ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ประธานศาลฎีกายอมรับ มีทนายความนักการเมือง หอบเงินสด 2 ล้านบาท ไปฝากไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาจริง พร้อมสั่งตั้งองค์คณะสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนเงินของกลาง ได้คืนผู้ที่นำมามอบให้ไปแล้ว เผย เจ้าหน้าที่ได้จดรายละเอียดไว้หมดแล้ว และมีคดีสำคัญในศาลฎีกาของนักการเมืองอยู่ 3 คดี
       
       วันนี้ (11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.45 น. นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม โฆษกศาลยุติธรรม แถลงข่าวกรณี มีรายงานข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า มีทนายความของนักการเมือง ได้นำกล่องขนม ภายในบรรจุเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาว่า ในเช้าวันนี้ นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลาฏีกา ได้รับทราบรายงานถึงเรื่องดังกล่าวแล้วว่า มีการกระทำตามที่เป็นข่าวเกิดขึ้นจริง โดยประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่ง ให้ตั้งองค์คณะขึ้นไต่สวนกรณีดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามกฏหมายอย่างเร่งด่วน โดยมีผู้พิพากษา 3 คนเป็นองค์คณะ และจะเริ่มดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในทันที
       
       "ส่วนรายละเอียดในเรื่องนี้นั้น มีใครเป็นผู้นำเงินมามอบให้ และมอบให้กับใคร ข้อเท็จจริงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ในขณะที่เงินของกลาง 2 ล้านบาทนั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบแล้ว ได้ส่งคืนให้กับผู้ที่นำมามอบให้ไปแล้ว แต่จะมีการบันทึกรายละเอียดไว้มากน้อยแค่ไหนนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะต้องสอบสวนไปตามขบวนการก่อน"นายสราวุธกล่าว
       
       นายสราวุธกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี หากการสอบสวนพบว่า มีการกระทำในลักษณะดังกล่าวจริง ถือว่าเป็นกระกระทำที่อุกอาจมาก และเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล ส่วนจะเป็นการให้สินบนด้วยหรือไม่ ก็ต้องรอผลการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก่อน
       
       มีรายงานว่า รายละเอียดที่เจ้าหน้าที่ศาลได้ทำการจดบันทึก ภายหลังจากตรวจสอบกล่องขนมและพบจำนวนเงินดังกล่าวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการจดบันทึกไว้อย่างละเอียดว่าใครเป็นผู้นำมามอบให้ ข่าวจึงออกมาว่า ผู้ที่นำเงินไปมอบให้นั้นเป็นทนายความของนักการเมืองผู้หนึ่ง
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น มีคดีสำคัญอยู่ 3 คดีประกอบด้วย คดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก คดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรในคดีถูกใบแดงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และคดีของนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรมช.มหาดไทย ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินคลองด่าน

ผมรู้สึกว่ามันง่ายไป คงจะไม่มีทนายที่ไหนหน้าโง่ เอาเงินไปฝากไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแบบดุ่ยๆ หรอก

ต้องดูที่เจ้าหน้าที่คนที่จดรายละเอียดอีกทีนั่นแหละ เงินของใคร ฝากให้ใคร

เพราะถ้าพูดถึงสามคดีใหญ่ๆ นั้น แค่ค่างวดเฉยๆ ถ้าจะต้องจ่าย ผมว่าน่าจะหลักสิบล้านขึ้นนะ

อาจจะเป็นกระบวนการดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรมรึปล่าว เหมือนที่มันกำลังทำอยู่ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

เห็นด้วยกับคุณ พรรณชมพู ครับ เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

^
^
^
อารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวก็ด่าล้างโคตรหรอก

โดนเบี้ยวค่าแรงเหรอ  น่าสงสาร ไปขอข้าวพันธมิตรเค้ากินสิ  :slime_v:

ติดตามต่อไปครับ คุณพรรณชมพู อย่าได้ย่อท้อ


เวลาเราเข้าไปสู่ในถิ่นของคนอื่น หมามันจะเห่าก่อน เพื่อให้เจ้าของได้ยิน หลังจากนั้นเจ้าของก็จะชะโงกหน้าออกมาดู

ต่อจากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะออกมาถามไถ่ หรือโวยวาย หรือส่งลิ่วล้ออกมารบกวน ผมไม่มั่นใจว่าคุณพรรณชมพูกำลังเดินไปถึงไหน

สงสัยวันนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ
ปลอมลายเซ็นต์เอย กล่องขนมเอย

เจอแต่คนโง่บัดซบ
 :slime_smile:

คาดว่าอีกหน่อยจะมันส์ยิ่งกว่านี้

ต่อไปจะเกิดมหกรรมลากไส้ ออกมาประจาน มันศ์ษ์ซ์ สะแด่วแห้วว

“ทนายทักษิณ” เต้น ปัดเอี่ยวเหตุกล่องขนมยัดเงิน 2 ล้านเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา แต่ยอมรับวันเกิดเหตุไปศาลจริงเพื่อรายงานต่อศาลในคดีที่ดินรัชดาฯ แต่ไม่รู้เรื่องเงิน โอ่มั่นใจชนะคดีแน่
       
       วันนี้ (12 มิ.ย.) นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีทีมทนายของนักการเมืองใหญ่นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ใส่กล่องขนมไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ยืนยันว่าทีมทนายความไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวองค์คณะผู้พิพากษาอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาทางศาลฎีกาฯ ก็ให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายจำเลยในการให้โอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม จึงไม่ทราบว่าทำไมถึงมีการเชื่อมโยงเรื่องนี้ได้อย่างไร และมั่นใจว่าองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงที่ศาลได้ตั้งขึ้นนั้นจะสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
       
       “วันที่มีข่าว (10 มิ.ย.) ผมและคณะทนายความได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้ไปยื่นคำร้องเพื่อรายงานตัวต่อศาลฎีกาตามคำสั่งศาลหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งทางทีมทนายได้ใช้เวลานานไม่เกิน 30 นาที และยืนยันว่าไม่มีใครในทีมทนายนำกล่องขนมติดตัว หรือไปมอบให้เจ้าหน้าที่ จึงยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆตามที่มีข่าวระบุมา เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นแค่คิดผมยังไม่คิดเลย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปคดีได้ ที่ผ่านมาทีมทนายความก็ได้ประเมินว่าคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาจาก คตส.มาถึงชั้นศาล เรามั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ และเชื่อมั่นว่าองค์คณะผู้พิพากษาจะให้โอกาสแก่จำเลยในการสู้คดีโจทก์ได้อย่างเต็มที่ จึงไม่จำเป็นต้องมาดิสเครดิตเพื่อให้เปลี่ยนตัวองค์คณะผู้พิพากษาแต่อย่างใด” นายพิชิฏกล่าว
       
       นายพิชิฏ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าเป็นเงินที่ให้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาฯ เป็นระบบไต่สวน ซึ่งตามระบบก็เอื้ออำนวยความยุติธรรมที่ให้ทนายฝ่ายจำเลย สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารสำคัญในทางคดีได้ เพื่อให้มีการต่อสู้บนชั้นศาลอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องกับการที่มีการนำเงินไปให้แต่อย่างใด

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000068882

เงินสองล้าน หาเจ้าของไม่ได้  :slime_smile2: :slime_v:

รอฟังศาลท่านสอบอีกสักพัก จะออกหัวหรือก้อย  :slime_v:

ซี 7 ยันทนายอดีตนักการเมืองเสนอให้สินบนจริง ไม่ใช่หยิบผิดถุง

องค์คณะเริ่มไต่สวน “เงินขนม 2 ล้าน” เรียกสอบเจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกา นักการเมืองซี 7 แล้ว ยันมีเงินในถุงขนมจริงไม่ใช่ความเข้าใจผิด หรือทนายส่งถุงผิด สัปดาห์หน้าพร้อมตรวจเทปวงจรปิด ก่อนเรียกบุคคลภายนอกสอบข้อเท็จจริง ขณะที่ “เกรียงชัย จึงจตุรพิธ” ประธานแผนกคดีอาญานักการเมือง เตรียมประชุมผู้พิพากษาทั้งแผนก 16 มิ.ย.นี้ หามาตรการป้องกันวิ่งเต้นสินบน
       
       วันนี้ (13 มิ.ย.) รายงานข่าวจากศาลฎีกา เปิดเผยว่า วันนี้เมื่อเวลา 07.00 น.ที่ห้องประชุมเล็กข้างห้องประธานศาลฎีกา มีการประชุมองค์คณะผู้ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายอดีตนักการเมืองนำถุงขนมซึ่งมีเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้ไต่สวน ได้เรียกเจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ซึ่งเป็นผู้รับถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาทมาสอบถามข้อเท็จจริงการสนทนากับทนายอดีตนักการเมืองในวันที่ 10 มิ.ย. โดยวันดังกล่าวตรงกับวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางมารายงานตัวต่อศาลหลังกลับจากต่างประเทศ โดยมีนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความเดินทางมาด้วย
       
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ธุรการซี 7 ยืนยันว่า ภายในถุงมีขนมและเงิน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องทนายอดีตนักการเมืองหยิบถุงขนมผิดโดยไม่รู้ว่ามีเงินอยู่ภายใน
       
       รายงานข่าวระบุว่า หลังองค์คณะไต่สวนเจ้าหน้าที่แล้ว สัปดาห์หน้าจะนำเทปจากโทรทัศน์วงจรปิดบริเวณแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชั้นธุรการติดต่อกับทนายซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุมาตรวจสอบภาพบุคคล และการสนทนาเพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นจะเชิญบุคคลดังกล่าวเข้ามาทำการไต่สวนความจริง ส่วนจะต้องเปิดบัลลังก์ไต่สวนอย่างเปิดเผยหรือไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนจะมีการหารือกันก่อน
       
       แหล่งข่าวศาลฎีกา เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิ.ย. นายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาจะประชุมผู้พิพากษาในแผนกทั้งหมด 9 คน โดยการนัดประชุมดังกล่าวมีการนัดไว้ล่วงหน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับงานธุรการคดีภายในศาล แต่เมื่อมีเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาทเกิดขึ้น นายเกรียงชัยคงจะหยิบยกปัญหาการวิ่งเต้นสินบนขึ้นมาหารือเพื่อหามาตรการป้องกัน

ทนายคนที่หิ้วกล่องขนมไปให้เจ้าหน้าที่ศาล แม้ว่าจะไม่ใช่ทนายในทีมที่ดูแลคดีแต่ก็เคยเป็นทนายให้แม้ว

เป้นคนเดียวกับที่ถูกตัดสินว่าหมิ่นศาล ในคดี 3ห่วง ชื่อย่อ ธ. อีกไม่นานก็คงถูกองค์คณะฯเรียกมาสอบแล้ว

สังคมคงจะรู้ว่าเป็นใครในไม่ช้า ปลามันชอบว่ายมาตายน้ำตื้นกันจริงๆเลย งานนี้คงถูกทั้งศาลฎีกาและสมาคมทนายความ

เล่นงานจนหมดอนาคตแน่นอน

*  ชื่อย่อ ธ.  เริ่มมีคนออกอาการแล้ว  คือ  "  ธนา เบญจาทิกุล   "
    แต่เจ้าตัวเค๊าโวยว่า .... ไม่ใช่เขาอ่ะ

เบื้องลึกเงิน2ล้านเมื่อ"นาย"ท้าทายศาล
 
แฉเบื้องลึกเงิน 2 ล้าน ทนายไอ้โม่งยัดกล่องขนมหอบติดสินบนศาล ภารกิจนี้เพื่อ "นาย" ต่อสายตรงถึงรุ่นพี่ บยศ.
ขออนุเคราะห์ความสะดวกเดินทางออกนอกประเทศ แต่ความแตกและศาลท่านไม่เล่นด้วย

ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลและท้าทายอำนาจศาลอย่างยิ่ง เมื่อทนายความนักการเมืองหอบเงินใส่กล่องขนม 2 ล้านบาท
ไปติดสินบนผู้พิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทว่าความแตกเสียก่อนและศาลเองก็ไม่เล่นด้วย
ขณะเดียวกันก็มีการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อเอาผิดทางคดีอาญาด้วย

 ทนายไอ้โม่งคนที่ว่านี้คือใคร ?

 "คม ชัด ลึก" ตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากหลายฝ่ายด้วยกัน ทั้งกลุ่มทนายความ พนักงานอัยการ
และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อยู่ในเหตุการณ์อันอื้อฉาวในแวดวงทนายความ
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน แล้วความจริงก็ปรากฏออกมา

 วันเกิดเหตุทนายความ 2 คน ที่อยู่ในทีมทนายความของอดีตนักการเมืองผู้โด่งดัง ได้มายื่นคำร้องที่ศาลฎีกา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยื่นคำร้องขอให้ลูกความเดินทางออกนอกประเทศได้

 เนื่องจากเป็นอดีตนักการเมืองที่มีคดีความฟ้องร้องอยู่ในศาลหลายคดี การเดินทางออกนอกประเทศของอดีตนักการเมือง
ที่ผู้คนรอบกายต่างเรียกขานว่า "นาย" จึงต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาเท่านั้น ถึงจะออกนอกประเทศได้

 หนึ่งในสองทนายที่เดินทางมาในวันนั้น เป็นทนายความชื่อดังที่ยืนอยู่เคียงข้างนายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
และเคยเป็นผู้นำผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งแสดงออกในลักษณะละเมิดอำนาจศาลมาแล้ว เรื่องราวควรจะดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรม
หากว่าไม่เกิดความผิดปกติขึ้นกับกล่องขนมที่เขานำมาฝากให้แก่ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง

 ทนายความคนที่ว่าตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ประจำศาลฎีกา แจ้งขอพบผู้พิพากษาคนหนึ่ง โดยที่ผู้พิพากษาเองก็ไม่ทราบมาก่อน
ว่าเขาคนนี้จะมาหาเพื่อธุระปะปังอันใด เจ้าหน้าที่สอบถามถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าพบก็ได้รับคำตอบว่า
เป็นทนายความและเป็นรุ่นน้องในการอบรมหลักสูตรผู้บริหารศาลยุติธรรม (บยศ.) ของศาลท่านกับพี่ภรรยาของ "นาย" นำขนมมาฝาก !!!

 ด้วยความที่เป็นทนายความชื่อดัง ก่อนหน้าจะมารับใช้นายเขามีบทบาททางสังคมอยู่ไม่น้อย
จึงไม่เป็นการยากที่จะรู้จักและจดจำใบหน้าได้อย่างแม่นยำ เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาใช้โทรศัพท์ภายในต่อสายตรง
รายงานถึงผู้พิพากษาคนที่ทนายความชื่อดังอ้างถึง พร้อมกับเรียนให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ และกล่องขนมที่ทนายความชื่อดังนำมาฝาก

 ทว่าศาลติดภารกิจจึงบอกให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแกะขนมออกแบ่งกันรับประทานได้ เจ้าหน้าที่จึงแกะกล่องขนมออก
แล้วสิ่งหนึ่งก็ปรากฏออกมาสร้างความตกตะลึงแก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างมาก

 ภายในกล่องแทนที่จะเป็นขนมกลับเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท อัดแน่นอยู่เป็นปึก ปึกละ 1 แสนบาท นับรวมได้ 20 ปึก ก็ 2 ล้านบาท !

 เจ้าหน้าที่จึงรายงานกลับไปยังศาลว่า ขนมที่ได้รับมานั้นรับประทานไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่ขนม แต่เป็นเงินสด 2 ล้านบาท
ศาลจึงรีบลงมาดูและสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาบันทึกภาพ พร้อมทั้งจดหมายเลขธนบัตรและรหัสแถบกระดาษกาวว่า
ธนบัตรเหล่านี้มาจากธนาคารใด สาขาใด จากนั้นได้นำภาพถ่ายธนบัตรเข้ารายงานให้นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา รับทราบ
และติดต่อเรียกทนายอื้อฉาวมารับกล่องขนมเงินสดกลับคืนไป 

 ขณะเดียวกันประธานศาลฎีกาได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมกับเรียกทนายความจอมอื้อฉาวมาสอบถามพฤติการณ์ที่ก่อขึ้น
โดยมีพยานหลักฐานเป็นเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่งเป็นพยานยืนยันว่า
เขาเป็นผู้นำกล่องขนมเจ้าปัญหามามอบให้

 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไม่เฉพาะในวงสังคมเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ที่ประสบเหตุด้วยตัวเองก็วิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา
โดยมีความเห็นตรงกันว่าการกระทำครั้งนี้น่าจะได้รับเงินมาจากพี่เมียของ "นาย" ใช้เป็นค่าอำนวยสะดวกให้แก่ "นาย"
ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้ง่ายและไม่ติดขัด

 เนื่องจากก่อนหน้านี้มีคนใกล้ชิดนายกระซิบเตือนให้รู้ตัวว่า การที่ "นาย" ต้องเดินทางออกนอกประเทศอยู่บ่อยครั้ง
แต่พอได้รับอนุญาตจากศาลแล้ว มีอยู่หลายครั้งเช่นกันที่นายปฏิเสธที่จะเดินทาง คอยผลัดเปลี่ยนเรื่อยไป
อาจทำให้ศาลถูกจับตามองว่าไร้ความศักดิ์สิทธิ์ นำมาสู่ความพยายามติดสินบนแก่ศาลท่าน เพื่อเป็นใบเบิกทาง
และช่วยเคลียร์กับผู้พิพากษาคนอื่นๆ ทว่าศาลเองก็ตั้งอยู่บนความบริสุทธิ์ยุติธรรม ความพยายามครั้งนี้จึงล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า
ขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ถูกเปิดเผยให้เห็นถึงความพยายามอันโสมมของทนายความของอดีตนักการเมืองผู้นี้

 ด้านการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งขึ้นมานั้น หากพบว่าทนายความชื่อดังได้รับเงินสดมาจากใคร
รับมาได้อย่างไร และมีการสาวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็สามารถเชื่อมโยงไปถึงลูกความต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหมด
ลูกความคนที่ว่าอาจจะถูกถอนประกัน และถูกคุมขังไม่มีสิทธิเดินทางออกนอกประเทศไทยได้อีกต่อไป

 ในฐานะที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ที่มา : คม-ชัด-ลึก
 

ทำมาหากินด้วยการทุจริต ติดสินบนมาตลอดชีวิต นับตั้งแต่จบจากโรงเรียนนายร้อย

เปิดบริษัทอยู่แยกราชวัตร ขายคอมพิวเตอร์ให้หน่วยราชการ ก็วิ่งติดสินบนหน่วยงานราขการมาตลอด

สัมปทานมือถือที่ได้ สัมปทานดาวเทียมที่ได้ ล้วนแล้วแต่ติดสินบนนักการเมือง

มีลูกเป็นตัวเป็นตน ก็ใช้วิธีติดสินบน เพื่อให้ลูกเรียนหนังสือหนังหาจนจบมาได้ ก็ด้วยสินบน

ชีวิตนี้มันเลยรู้จักแต่การให้สินบน

จนถึงขนาดให้สินบนชาวบ้านร้านตลาด เพื่อให้เลือกมันเข้ามาเป็นนาย

ไม่เคยรู้จักความเป็นธรรม ความยุติธรรม จนถึงขนาดติดสินบนกับความยุติธรรม

ไอ้มนุษย์สารเลวแบบนี้ มันต้องติดคุกและตายด้วยสินบนนี่แหละครับ

จึงจะสาสมกับความเลวของมัน

อ้อ...เวลาไปนรก ก็ไปติดสินบนยมบาลด้วยนะ

http://www.komchadluek.net/2008/06/14/x_scoo_p001_206948.php?news_id=206948


 เจ้าหน้าที่จึงรายงานกลับไปยังศาลว่า ขนมที่ได้รับมานั้นรับประทานไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่ขนม แต่เป็นเงินสด 2 ล้านบาท ศาลจึงรีบลงมาดูและสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาบันทึกภาพ พร้อมทั้งจดหมายเลขธนบัตรและรหัสแถบกระดาษกาวว่า ธนบัตรเหล่านี้มาจากธนาคารใด สาขาใด จากนั้นได้นำภาพถ่ายธนบัตรเข้ารายงานให้นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา รับทราบและติดต่อเรียกทนายอื้อฉาวมารับกล่องขนมเงินสดกลับคืนไป 

อดใจไว้อีกไม่กี่วัน ก็จะได้เห็นหน้าดาราจำเป้น จากกล้องวงจรปิดของศาลแล้ว

นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา หนึ่งในองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีทนายความของนักการเมืองดัง นำกล่องขนมบรรจุเงิน 2 ล้านบาท ไปให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา กล่าวยืนยันว่า คณะทำงานจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่สามารถเปิดในรายละเอียดการตรวจสอบได้ แต่จะเปิดเผยให้ทราบในภายหลังหากกระบวนการสอบสวนเสร็จแล้ว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า  องค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง จะมีการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณ จุดเกิดเหตุภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเรียกสอบบุคคลที่ปรากฏในภาพ หากเป็นบุคคลภายนอก ก็จะมีการเปิดบัลลังก์เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=36138&catid=17

เรื่องนี้สะเทือนวงการตุลาการมาก หากมีการเปิดบัลลังก์เพื่อไต่สวน เรื่องก็คงไม่อาจจบไปแค่ง่ายๆ อย่างเช่นจะอ้างว่าหยิบถุงผิด

รายละเอียดของข่าวนั้นยังกำกวมอยู่มาก เนื่องจากนักข่าวคงหาข้อมูลได้ยาก เพราะเป็นเรื่องภายในของศาลที่บุคลากรค่อนข้างจะปิดปากสนิท เท่าที่ทราบมานั้น ห้องที่เกิดเหตุ เป็นห้องทำงานที่เรียกได้ว่าส่วนตัวของตุลาการท่านหนึ่ง ที่รับผิดชอบคดีสำคัญบางคดี โดยที่คดีนั้นเป็นเพียงคดีเดียวในสามคดีที่นักการเมืองเป็นจำเลย และกล่าวกันว่าเป็นคดีสำคัญ อีกทั้งยังรับผิดชอบต่อการเดินทางเข้าออกประเทศของจำเลยคนหนึ่งด้วย ดังนั้นหากการสอบสวนพบความไม่ชอบมาพากลจริง ก็แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า จำเลยคนไหนจะต้องร่วมรับผิดชอบไปด้วย

หวังว่าภานในเจ็ดวันนี้ เรื่องนี้คงกระจ่าง และอาจจะมีฟ้าผ่าลงมากลางเล้าเป็ดไก่ โปรดติดตามอย่างระทึกใจ  :slime_smile2: :slime_v:

องค์คณะไต่สวนถุงขนม 2 ล้าน สอบ จนท.ศาลเสร็จแล้ว รอเพียงบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมาสอบคำให้การ คาดเปิดบัลลังก์อ่านคำสั่งละเมิดอำนาจศาล หรือไม่สัปดาห์หน้า ขณะที่ 1 ในผู้พิพากษาศาลฎีกา เผย มีทนายความเกี่ยวข้อง 3 คน เป็นชาย 2 คน และเป็นทนายในคดีที่อยู่ในชั้นศาลฎีกา ย้ำ มีผู้หญิงเข้ามามีส่วนเกี่ยวด้วย ชี้ ให้สินบนเพราะต้องการล้วงความลับสำนวนคดี
       
       วันนี้ (19 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งเป็นหนึ่งในสามขององค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายอดีตนักการเมืองหิ้วถุงขนม 2 ล้านบาท มอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า ได้สรุปสำนวนในส่วนของการสอบปากคำบุคคลภายในเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้สอบคำให้การของบุคคลภายนอก คาดว่า จะไต่สวนแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ และจะเปิดห้องพิจารณาอ่านคำสั่งกลางสัปดาห์หน้า โดยคดีนี้เป็นคดีละเมิดอำนาจศาล ต้องทำคำสั่งเสมือนคำพิพากษา ว่า มีการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ซึ่ง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาได้มอบหมายให้ดำเนินตามกระบวนการพิจารณาอย่างเต็มที่
       
       ขณะที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกท่านหนึ่ง ให้ความเห็นว่าเรื่องนี้ศาลฎีกาควรเปิดเผยข้อเท็จจริง และรายละเอียด ในการไต่สวนต่อสื่อมวลชนทุกระยะ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อศาล และประชาชนต้องการความกระจ่างชัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ดังที่ศาลเคยทำหน้าที่แก้วิกฤตของบ้านเมืองมาแล้ว เวลานี้ศาลต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ให้เป็นที่พึ่งของสังคม ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ศาลก็อยู่ไม่ได้ และทราบว่า เรื่องนี้มีคณะทนายความเกี่ยวข้องสามคน เป็นชาย 2 คนซึ่งเป็นทนายความในคดีที่กำลังมีการพิจารณาอยู่ในศาลฎีกานี้ กับทนายความที่ไม่ได้ว่าความในคดีดังกล่าว เป็นคนนำเงินขึ้นมาส่งให้ เจ้าหน้าที่ศาล ก่อนจะมารับเงินคืนไป นอกจากนี้ยังมีหญิงสาว เข้ามาเกี่ยวข้องอีกคนด้วย ส่วนสาเหตุที่เอาเงินมาให้ถึงบนศาล เพราะต้องการล้วงความลับในสำนวนคดี

องค์คณะไต่สวนถุงขนม 2 ล้าน นัดฟังคำสั่งพรุ่งนี้ (25 มิ.ย.) 14.00 น.หลังไต่สวนเจ้าหน้าที่ศาลร่วม 7 ปาก ขณะที่ “พิชิฏ ชื่นบาน” ทนายทักษิณถูกเรียกสอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีการะบุหากถูกตัดสินละเมิดอำนาจศาล ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในเขตศาล โทษสูงสุด 6 เดือนปรับไม่เกิน 500 ชี้หากสั่งจำคุกจริงคำสั่งศาลถือเป็นที่สุด ไม่มีสิทธิอุทธรณ์-ฎีกา
       
       วันนี้ (24 มิ.ย.) มีรายงานข่าวจากศาลฎีกาว่า นายมงคล ทับเที่ยง รองประธานศาลฎีกา นายวีรพล ตั้งสุวรรณ และนายอิศเรศ ชัยรัตน์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีทนายความอดีตนักการเมือง นำถุงขนมสอดไส้เงินสด 2 ล้านบาท มามอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการ ซี 7 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นัดฟังคำสั่งการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้ (25 มิ.ย.) เวลา 14.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกา หลังจากที่องค์คณะฯ ได้ดำเนินการไต่สวนเจ้าหน้าที่ธุรการ ซี 7 ไปแล้วเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา และไต่สวนทนายความและทีมทนายความที่ถูกอ้างถึง 2 คนไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.
       
       แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา เปิดเผยว่า การไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ องค์คณะฯ ไต่สวนเจ้าหน้าที่ศาลที่อยู่ในเหตุการณ์ประมาณ 6-7 คน ส่วนกลุ่มทนายความที่องค์คณะเรียกมาไต่สวน ประกอบด้วยนายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นายธนา ตันศิริ ซึ่งเป็นทีมทนายความ  ทั้งนี้ ในการไต่สวนมีประเด็นที่องค์คณะดำเนินการสอบรวม 3 ข้อ 1.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร 2.มีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องบ้าง และ 3.การกระทำตามข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมีความผิดอย่างไรบ้าง
       
       แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวว่า หากการกระทำที่เกิดขึ้นองค์คณะฯ เห็นว่าเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจที่มีการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในเขตบริเวณศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 31 ซึ่งศาลสามารถมีคำสั่งลงโทษได้ทันที ตามประมวลกฎหมายดังกล่าวมาตรา 33 โดยที่ไม่ต้องแจ้งความดำเนินคดี โดยโทษการละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 33 ระบุว่า หากคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทำฐานละเมิดอำนาจศาลใด ให้ศาลนั้นมีอำนาจสั่งลงโทษด้วยวิธีการไล่ออกจากบริเวณ หรือให้ลงโทษจำคุกหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการกำหนดโทษจำคุกให้จำคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน และปรับให้ปรับไม่เกิน 500 บาท
       
       แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวด้วยว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูง ดังนั้น หากองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีบุคคลกระทำผิดฐานละเมิดศาล และศาลสั่งลงโทษจำคุกจริงโดยไม่รอลงอาญา คำสั่งศาลดังกล่าวต้องถือเป็นที่สุดที่บุคคลนั้นไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์-ฎีกาใดๆ ได้อีกเพราะถือเป็นคำสั่งศาลฎีกา ซึ่งหากบุคคลที่ถูกลงโทษนั้นเป็นทนายความด้วยก็จะไม่สามารถว่าความคดีได้อีก  ส่วนการประกอบวิชาชีพทนายความนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องขององค์กรวิชาชีพ คือ สภาทนายความที่จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ทนายความ ต่อไป
       
       แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา ทิ้งท้ายว่า การไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้จะมีมูลว่าเป็นเรื่องของการให้สินบนต่อเจ้าหน้าที่ศาลที่เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ ต้องรอฟังคำสั่งองค์คณะในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหากข้อเท็จจริงมีมูลว่าบุคคลนั้นมีพฤติการณ์และเจตนาการให้สินบน ก็ต้องถูกดำเนินคดีทางอาญาต่อไป ซึ่งในทางปฏิบัติศาลจะต้องมอบหมายให้ผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
 

จำเลยมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต (ติดสินบนศาล) อย่างนี้จะยืนขอให้ถอนประกันตัวได้หรือเปล่าครับ :slime_doubt:

"แหล่งข่าวผู้พิพากษาศาลฎีกา" เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น ระดับศาลฎีกา แอบย่องมาให้ข่าวกับนักข่าวเกี่ยวกับข้อมูลทางคดีด้วยหรือ ? อยากรู้ชื่อนามสกุลแหล่งข่าวจริงๆว่ะ จะได้ยื่น กต. ให้สอบวินัย

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 'พิชิฎ' พร้อมทีมทนาย 'แม้ว'รวม 3 คน คนละ 6เดือน คดียัดเงินสินบน 2ล้าน
   
 วันที่ 25 มิถุนายน 2551 - เวลา 16:07:52 น.
   
     

ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง  อ่านคำสั่ง กรณีที่ทนายความอดีตนักการเมืองมอบถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท กับเจ้าหน้าที่ธุรการ ซี 7 ของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา


ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาไต่สวนข้อเท็จจริง มีคำสั่งจำคุก นายพิชิฏ ชื่นบาน น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ทีมทนายความจำคุกคนละ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายธนาได้ยื่นหนังสืออ้างต่อศาลเพื่อขอเลื่อนการไต่ สวนเนื่องจากมีอาการปวดศรีษะ


ศาลได้พิเคราะห์ว่าอาการปวดศรีษะดังกล่าวไม่ร้ายแรง จึงถือว่ามีพฤติกรรมจงใจไม่มาศาล จึงออกหมายจับนนายธนาเพื่อมาดำเนินต่อไป


http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=2345


 :slime_smile2:
     

เห็นว่าศาลแจ้งความต่ออีกคดี คราวนี้ข้อหาติดสินบน น่าจะโทษหนักกว่าเก่า

รีบ ๆ สารภาพไปซะว่าใครสั่งให้ทำแบบนี้

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000068511

“โฆษกแม้ว” ชิงตัดบทสินบน 2 ล้าน ขำทนายไม่บ้าดิสเครดิตศาล

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 มิถุนายน 2551 16:56 น.

“พงศ์เทพ” ชิงรับหน้าเสื่อ เชื่อทีมทนาย “นายใหญ่” ไม่บ้าพอที่จะติดสินบนเพื่อดิสเครดิตศาลฎีกา ชี้ผลกระทบจะตกอยู่กับลูกความ โบ้ยเป็นเรื่องตลกใช้เป็นเกมการเมืองโยงถึงตัว “ทักษิณ”
       
       วันนี้ (11 มิ.ย.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทีมทนายนักการเมืองดังหิ้วขนมยัดเงิน 2 ล้านบาท ฝากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลฎีกาส่งต่อให้องคณะผู้พิพากษาคดีสำคัญว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดข่าวดังกล่าวว่ามีการนำเงินใส่กล่องขนมไปให้ศาล ถือเป็นเรื่องตลก และเป็นไปไม่ได้ ความเป็นจริงต้องถามว่าทีมทนายดังกล่าวเป็นของใคร แต่เท่าที่ทราบคงไม่มีใครนำเงินมากถึง 2 ล้านไปให้ระดับเจ้าหน้าที่ของศาล ซึ่งไม่มีความสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงรูปคดีได้ ส่วนที่มีการมองว่าอาจจะเป็นการดิสเครดิตการทำงานของศาลฎีกาเพื่อให้มีการเปลี่ยนองคณะของศาลฎีกานั้น การไปใส่ร้ายศาลจะเกิดผลเสียต่อคนที่เป็นจำเลยที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เป็นคนบ้าเท่านั้นที่จะทำ

หลักฐาน คงจะชัด
สมควรแล้ว 
 :slime_smile:

เงินของนายใหญ่เจี๊ยวหวาน ไม่อาจจะทำให้ผู้ถูกจ้างวานซัดทอดนายจ้าง
ต้องคอยติดตามภาคต่อไปของชุด สามหนาห้าห่วง ที่ยอมติดคุกแทนนาย   :slime_agreed:

 :slime_cool:

โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นำถุงเงินจำนวน 2 ล้านบาท มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ของศาล มองได้ว่าเป็นการจูงใจให้กระทำการอันเป็นการมิชอบต่อหน้าที่ โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ร่วมกันรู้เห็นเป็นตัวกลาง ข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ว่าเป็นการหยิบถุงผิด โดยประสงค์จะมอบถุงช็อกโกแลตให้กับเจ้าหน้าที่ และที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ 2 ต่อสู้ว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นไม่สามารถรับฟังได้
       
       การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มาตรา 33 กฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ เป็นกรณีร้ายแรง จึงให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 ในสถานหนัก ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 น่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 จึงให้เลขานุการศาลฎีกา ดำเนินการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากการไต่สวนนายธนา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 อ้างว่า

เมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 21.00 น. นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ได้นำเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ได้ซื้อบ้านผู้ถูกกล่าวหาในราคา 5.3 ล้านบาท มาให้

นายธนาจึงได้เตรียมนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น โดยให้ภรรยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ภรรยาไปซื้อช็อคโกแลต และห่อในลักษณะเดียวกัน เพื่อเตรียมมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลในวันที่ 10 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆในคดี

ขณะที่วันเกิดเหตุได้นำเกิดเหตุได้นำถุงขนมวางไว้ที่นั่งด้านหลังเบาะรถ ส่วนห่อเงินได้ใส่ไว้ที่กระโปรงหลังท้ายรถ แต่ตนได้หยิบถุงผิดไป

* เอาข่าวมาแปะให้เพิ่ม ......................

   สภาทนายความเล็งชงลบชื่อ 3 ทนาย  ออกจากทะเบียน

   นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความ เปิดเผยว่า หลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งจำคุก
   นายพิชิฏ ชื่นบาน  น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ  และนายธนา ตันศิริ   ทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  อดีต
   นายกรัฐมนตรีและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา กรณีนำถุงขนมบรรจุเงิน 2 ล้านบาท ให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกานั้น ในวันนี้ (26 มิ.ย.)
   ตนเองได้มอบหมายนายสมชัย โรจน์วณิชย์ รองประธานกรรมการมรรยาททนายความ ดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่
   ศาลฎีกา เพื่อขอคำสั่งดังกล่าว ก่อนเร่งนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาททนายความ เพื่อพิจารณามีมติให้ลบชื่อของทนายความ
   ทั้ง 3 คน ออกจากทะเบียนทนายความต่อไป

   อย่างไรก็ตาม ในการประชุมลงมติชี้ขาดคดีมรรยาท ด้วยการลบรายชื่อของทนายทั้ง 3 คนนั้น จะใช้มติเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 8 ใน 15
   ของคณะกรรมการมรรยาท   ตามมาตรา 63 ของพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528   หมวด 6 ว่าด้วยมรรยาททนายความ ส่วนใน
   มาตรา 71 ที่ระบุว่า  บุคคลที่ถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ จะขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตอีกมิได้  เว้นแต่เวลาได้ผ่านพ้น
   ไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับแต่วันถูกลบชื่อนั้น แต่ทั้งนี้ในทางปฏิบัติสภาทนายความยังไม่เคยอนุญาตให้ทนายคนใดกลับมาว่าความได้อีก

   http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=37907&catid=17

   ซวยแล้วละสิ ...... ไม่ติดคุกอย่างเดียวแล้ววววว  จะโดนถอนชื่อออกจากทะเบียนทนายความด้วย 

   ไม่รู้จะเห็นใจ หรือ สมน้ำหน้าซ้ำดี  .......ไม่น่าไปเป็นขี้ข้าไอ้ แม้ว เลย   เอ๊ออออ  !!!

หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ลงโทษสถานหนักจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา นายพิชิฏ ชื่นบาน หัวหน้าทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา  น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนาย และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีนำถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท มอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการ ซี 5 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  และยังแจ้งความดำเนินคดีฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 แล้ว

มีคำถามว่า นอกจากนายพิชิฎ ชื่นบาน(เกิดวันที่ 22 มกราคม 2502)หัวหน้าทีมทนาย เจ้าของสำนักงานกฎหมายพิชิฎ ชื่นบานแอนด์ แอสโซซิเอท ซึ่งเคยเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาแล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้องในคดี มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

คนแรก นายธนา ตันศิริ เปลี่ยนชื่อ 'ยศพล' เป็นผู้ประสานงานคดีระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมานกับทนายความซึ่งนายพิชิฎยอมรับว่า นายธนาเป็นญาติกับคุณหญิงพจมาน ขณะที่ในคำสั่งศาลฎีการะบุว่า ภรรยานายธนามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน

ภรรยาของนายธนาคือ พ.ต.ท.(หญิง)เอกอาภา ตันศิริ เป็น สารวัตรฝ่ายอำนวยการ 1 ก องบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาลซึ่งปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคดีดังกล่าว

มีบุตรด้วยกัน 1 คน

นายธนาเกิดวันที่  6 กุมภาพันธ์ 2506  อายุ 45 ปี  จบการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์และเนติบัณทิตไทย ได้รับใบอนุญาตทนายความเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2529 และได้ใบอนุญาตตลอดชีพเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2550

ด้วยเหตุที่เป็น'ดอง'กับคุณหญิงพจมาน และความนิยมชมชอบพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการส่วนตัวจึงเข้ามาช่วยงานในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดิน ถนนรัชดาภิเษก จนกระทั่งวันเกิดเหตุที่นายธนานำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาทไปให้เจ้าหน้าที่ศาล

คนที่สอง น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนาย เป็นทนายความประเภทตลอดชีพ วันออกใบอนุญาต 1 มกราคม 2529   เกิดเมื่อวันที่26 พฤาภาคม 2502 อายุ 49 ปี อยู่สำนักงานกฎหมายนิติเอกราช จบทางด้านนิติศาสตร์และเนติบัณฑิตไทย

คนที่สามคือ นายบุญชาญ อักษรสุวรรณ ซึ่งนายธนาอ้างว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 2551 นายบุญชาญนำเงินจำนวน 2 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินบางส่วนในการซื้อบ้านนายธนาในราคา 5.3 ล้านบาทมาให้ และได้เตรียมนำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น(10 มิถุนายน 2551) โดยให้ภรรยาซึ่งมีศํกดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน นำเงินบรรจุใส่ถุงกระดาษปิดผนึกมิดชิด  แต่อ้างว่า มีการหยิบถุงผิดแทนที่จะเป็นถุงช็อกโกแลต ซึ่งห่อในลักษณะเดียวกัน ไปให้เจ้าหน้าที่ศาล

นายบุญชาญ ปัจจุบันอายุ 36 ปี บ้านอยู่ย่านพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ลงทุนทำธุรกิจเรือเฟอร์รี่ โดยร่วมทุนกับนายจักรบ โชติดำรง ในนามบริษัท รุคส์เกาะช้าง เซนเตอร์พอยท์ จำกัด เมื่อปี 2541 และขณะนั้นมีธุรกิจเรือเฟอร์รี่อีกแห่งคือ บริษัท เฟอร์รี่เกาะช้าง จำกัด ที่มีนายพิศูจน์ รัตนวงศ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งตั้งขึ้นมาปี 2540 และเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน

ต่อมานายบุญชาญกับนายจักรบเกิดขัดแย้งทางธุรกิจ  นายบุญชาญจึงแยกตัวออกมาตั้งบริษัทแห่งใหม่ ชื่อ บริษัท เกาะช้างเฟอร์รี่ จำกัด ในระหว่างปี 2545-2546

ปี 2547 นายสมเกียรติ สว่างไสว นักธุรกิจในเครือซีพี จ.ตราด ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท เฟอร์รี่เกาะช้าง จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท มีนายจรัล เจียรวนนท์ นายมนตรี เจียรวนนท์  เป็นหุ้นส่วน โดยทั้งสองถือคนละ 30,000 หุ้น นายสมเกียรติ สว่างไสว  29,000 หุ้น และนายพิศูจน์ รัตนวงศ์  59,998 หุ้น

ต่อมา บริษัท เฟอร์รี่เกาะช้าง จำกัด และบริษัท เกาะช้างเฟอร์รี่ จำกัด ได้รวมธุรกิจตั้งบริษัทกลางชื่อ บริษัท เกาะช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีจำนวน 10,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท และตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2547 มีนางสมศรี ล่ำซำ นางนุชนารถ เจียรวนนท์ ถือหุ้นคนละ 1,125 หุ้น

นายพิศูจน์ รัตนวงศ์, นางมยุรี รัตนวงศ์ (ภรรยานายพิศูจน์) คนละ 1,000 หุ้น นายสมเกียรติ สว่างไสว 750 หุ้น กลุ่มตระกูลอักษรสุวรรณ จำนวน 5 คน (นางทองดี นายวรวุฒิ นายมงคล นายบุญชาญ และ นายสมเกียรติ) คนละ 1,000 หุ้น

ในปี 2549 มีรายได้ 28,444,170 บาท กำไร 2,384,747.87 บาท และปี 2550  มีรายได้  28,878,489.67 กำไร 4,210,913.71 บาท

นอกจากนี้ ตระกูลอักษรสุวรรณ ยังลงทุนก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว "ดุสิตปริ๊นเซส" ลงทุนกว่า 500 ล้านบาท โดยอยู่ในเครือดุสิตธานี ตั้งอยู่ที่บริเวณอ่าวท่าน้ำ ต.เกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด เปิดดำเนินการเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

จำเพาะว่าคนที่หนีศาล คือ ธนา ตันศิริ

ที่ภรรยาเกี่ยวดองเป็นญาติ คญ.พจมาน
และอ้างว่าได้รับเงินมาจากการขายบ้าน
บังเอิญหนี หรือจงใจปกปิดข้อมูล?  :slime_doubt:

"ทนายแม้ว" ส่อหลุดคดีอาญา ตร.ระบุแค่ "ซื้อความสะดวก" ไม่ถึงกับติดสินบน ชี้ "ธนา" คือกุญแจสำคัญ ด้าน คตส.สรุปสำนวน "แม้ว" รวยผิดปกติให้อัยการแล้ว ขณะที่ คตส.โวยอัยการสูงสุด หักหลังคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ"


สินบนศาล 2 ล้านบาท อาจไม่ถึงขั้นติดสินบนเจ้าหน้าที่ เมื่อตำรวจระบุว่า ต้องดูเจตนาของผู้กระทำผิด พร้อมกับอ้างคำพิพากษาที่ระบุว่าเป็นเพียงการซื้อความสะดวก อาจไม่ถึงกับการซื้อเพื่อล้มคดี

 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) กล่าวถึงการเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาสอบสวนคดีเกี่ยวข้องกับการติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาล 2 ล้านบาท ภายหลังตัวแทนศาลฎีกาเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษทนายความ เสมียนทนาย และผู้ประสานงาน รวม 3 คน ว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีพยานหลักฐานโยงใยถึงหรือไม่ ต้องรอสอบปากคำนายธนา ตันศิริ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญทางคดีก่อน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพราะไม่น่ามีประเด็นที่จะแตกอะไรไปมากกว่าคำพิพากษาศาลที่เป็นแนวทางอยู่แล้ว ตัวละครก็อยู่ในคำพิพากษา คือคนที่ศาลเรียกไปไต่สวน

 "คดีนี้จะทำง่ายมาก เพราะศาลทำทางให้แล้ว พนักงานสอบสวนก็สอบไปตามที่เบิกความไว้กับศาล ขอยืนยันว่าทุกอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน ไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมเต็มที่" พล.ต.ต.อำนวยกล่าว

 พล.ต.ต.อำนวยกล่าวต่อว่า คดีนี้ตัวแทนศาลฎีกาเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษทนายความ เสมียนทนาย และผู้ประสานงาน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามมาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่ใช่มาตรา 167 เพราะไม่ได้ให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ แต่ให้แก่เจ้าหน้าที่ธุรการ ไม่ถึงกับเป็นการจ้างล้มคดี อาจจะไปให้เพื่อความสะดวก ต้องมีการสอบสวนอีกที

 ผบก.น.1 กล่าวต่อว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เป็นผู้ต้องหาซ้ำกับที่ถูกดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาล มีทนาย 1 คน เสมียนทนาย 1 คน และเจ้าหน้าที่ประสานงาน 1 คน สำหรับเงิน 2 ล้านบาทนั้น เจ้าหน้าที่ศาลคืนไปตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่มีหลักฐานอยู่ มีการถ่ายรูปไว้ ส่วนเงินคืนเจ้าของไปแล้ว คงไม่ยากต่อการตรวจสอบว่าเงินมาจากไหนและได้มาอย่างไร แต่เป็นสิทธิของผู้ต้องหาว่าจะตอบหรือไม่ ถ้าไม่ตอบก็เป็นพิรุธว่า ทำไมไม่ตอบ ถ้าตอบมาเคลียร์ก็จบ ถ้าไม่เคลียร์ก็มีปัญหา ก็เป็นคำถามหนึ่งที่ต้องถามผู้ต้องหา ซึ่งเขาจะให้การหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม คงต้องขอสำนวนจากการไต่สวนของศาลมาตรวจสอบก่อน หากพบมีใครเกี่ยวข้องอีกก็ต้องเรียกมาสอบสวนให้หมด

 "คงไม่ได้เรียกว่าขยายผล ใช้คำว่าต้องสอบสวนจนสิ้นกระแสความว่า ทิศทางเงินมาจากไหน อย่างไร เงินที่มอบให้เพื่อล้มคดีหรือไม่ล้มคดีหรืออย่างไร เท่าที่ฟังดูจากคำพิพากษาขณะส่งมอบกันเป็นการบอกว่าคล้ายๆ กับซื้อความสะดวก มาติดต่อบ่อยๆ เอาไปแบ่งกัน และต้องไล่ที่มาที่ไปของเงินนี้ด้วยได้มาอย่างไร ใครเป็นเจ้าของ คุณเป็นเจ้าของเอง คุณได้มาจากไหน ถ้าบอกไปเบิกเช็คมา ก็ต้องไปดูตามนั้นอีก ที่มาของเงินมันต้องมีอยู่แล้ว ต้องดูรายละเอียดอีกที ถ้าตรงนั้นจะมีปัญหาข้อกฎหมายอยู่ว่า ถึงขนาดว่าล้มคดีหรือยัง ถ้ายังไม่เป็นการโน้มน้าวให้เป็นการกระทำผิดกฎหมาย ตามองค์ประกอบของกฎหมายมันยังไม่ผิดด้วยซ้ำไป แต่ต้องดูลึกๆ ผมต้องศึกษาในคำพิพากษาผลการไต่สวนของศาล เพราะในเรื่องละเมิดอำนาจศาล ไปทำการใดที่ไม่สมควรในศาล ก็ผิดละเมิดอำนาจศาลแล้ว แต่เรื่องการกล่าวหาติดสินบนมันต้องมีเจตนาจูงใจ เราต้องสอบอีกเยอะ" พล.ต.ต.อำนวยกล่าว

"ธนา"อ้างหมอสั่งให้พัก 7 วัน

 พ.ต.ต.ปิโยรส กัณหะสิริ สารวัตรสืบสวน สน.ลุมพินี กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มิถุนายน ได้เข้าไปพูดคุยกับนายธนา ภายในห้องพักของโรงพยาบาล นายธนาให้การว่าจะต้องรักษาตัวให้ครบตามใบแพทย์ที่แจ้งไว้ คือ 7 วัน โดยจะออกจากโรงพยาบาลได้ในวันอังคารที่ 1 กรกฎาคม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะคุมตัวไปส่งศาลฎีกาดำเนินการออกหมายขังตามคำพิพากษา และเพื่อความไม่ประมาท ป้องกันนายธนาหลบหนี ชุดสืบสวนของ สน.ลุมพินี ได้จัดตำรวจเฝ้าอยู่ที่บริเวณหน้าห้องพัก 2 นาย รวม 3 ผลัด ตลอด 24 ชั่วโมง

 ขณะที่ พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวถึงการส่งตัวนายธนาให้ศาลดำเนินการว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์ว่าอาการปลอดภัยหรือยัง 

 พล.ต.ต.สาโรจน์ พรหมเจริญ ผบก.น.5 กล่าวว่า นายธนามีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน เสียการทรงตัว คาดว่าภายใน 2-3 วัน จะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ และเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วจะนำตัวส่งศาลฎีกาในทันที 

"พิชิฏ"อ้างน้ำตาไหลเพราะตื้นตันใจ

 ส่วนบรรยากาศที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งนายพิชิฏถูกคุมขังอยู่นั้น ช่วงเช้าวันที่ 27 มิถุนายน มีญาติพี่น้องและเพื่อนทนายมาเยี่ยมจำนวนมาก โดยมีเวลาเยี่ยมและพูดคุยกันประมาณ 15 นาที ซึ่งเพื่อนทนายของนายพิชิฏพูดคุยกับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวในเชิงขอร้องไม่ให้สื่อนำเสนอเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับนายพิชิฏไปในทางคลาดเคลื่อน เพราะจะทำให้กระทบต่อจิตใจของญาติพี่น้องและนายพิชิฏ

 เพื่อนทนายความคนดังกล่าวยังบอกอีกว่า นายพิชิฏฝากขอบคุณสื่อมวลชนที่คอยติดตามเสนอข่าวและขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง และขอให้ทุกคนสบายใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสภาพร่างกาย จิตใจดีขึ้นและเริ่มปรับตัวกับสภาพความเป็นอยู่ได้มากแล้ว และที่ร้องไห้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน เพราะตื้นตันใจที่ญาติมาเยี่ยม มาเป็นกำลังใจ ไม่ใช่เครียดหรือเสียใจ

 นางจิติมา ฟักสะอาด เจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติ จ.ปราจีนบุรี น้องสาวนายพิชิฏ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่พี่ชายต้องติดคุก ส่วนตัวถ้าเป็นไปได้อยากเข้าไปอยู่ในคุกแทนพี่ชาย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตนตัดสินใจลาออกจากราชการในวันที่ 1 กรกฎาคม เพื่อจะได้มาดูแลพี่ชายได้ทุกวัน

 นางจิติมากล่าวอีกว่า อยากขอร้องสื่อไม่ควรมาเยี่ยมนายพิชิฏจำนวนมาก และอยากขอร้องให้เสนอข่าวเป็นไปในทางที่เป็นกลาง ดังเช่นวันที่ 26 มิถุนายน สาเหตุที่นายพิชิฏร้องไห้เป็นเพราะตื้นตันใจที่มีญาติ พี่น้อง และเพื่อนทนายมาเยี่ยมกันจำนวนมาก ไม่ใช่เพราะกดดันอะไร

 ด้านนายสมพงษ์ อมรวิฒน์ รมว.ยุติธรรม กล่าวยืนยันว่า กระทรวงยุติธรรมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือปกป้อง หรือเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่กำลังดำเนินการทางกฎหมายกับทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนเคารพการตัดสินของศาล

สภาทนายเตรียมถกลบชื่อ 3 ทนายทักษิณ

 นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความขอเตือนทนายทั่วประเทศให้ระมัดระวังในการวางตนเป็นทนายความให้แก่จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเดียวกับ นายพิชิฏ ชื่นบาน น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ที่ถูกศาลฎีกา จำคุก 6 เดือน เพราะละเมิดอำนาจศาลจากกรณีถุงขนมใส่เงินสด 2 ล้านบาท ติดสินบนเจ้าหน้าที่ธุรการศาลฎีกา เพราะการเป็นทนายความที่ดีนั้น ต้องไม่รับใช้ หรือเป็นทาสเงิน ทนายความไม่ใช่พ่อค้าที่จะหาประโยชน์ทุกอย่างใส่ตัว ทนายความที่ดีต้องนำความจริงมาใช้ในศาลอย่างสุจริต ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อรักษาประโยชน์ลูกความอย่างเดียว แต่จะต้องรักษาความยุติธรรมตามกฎหมายบ้านเมืองด้วย

 “กรณีนายพิชิฏ สร้างความสะเทือนและนำความเสื่อมเสียมาให้วงการทนายความ นึกไม่ถึงว่าจะมีทนายความกล้าทำแบบนี้ และจะเป็นคดีตัวอย่างที่ผมจะต้องนำไปใช้ในการอบรมมรรยาททนายความ และหามาตรการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมอยากให้ทนายความทั่วประเทศดูเป็นอุทาหรณ์ในตอนเลือกรับว่าความคดีให้ใคร เพราะจริงอยู่ว่า ไม่ว่าจำเลยมีเงิน มีอิทธิพล หรือเป็นอาชญากรมาจากไหน ทนายความย่อมต้องช่วยว่าความให้ แต่ต้องทำด้วยความสุจริต” ประธานคณะกรรมการมรรยาทฯ กล่าว

 นายสิทธิโชคกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ศาลฎีกาส่งคำพิพากษาคดีนายพิชิฏมาให้แล้ว คณะกรรมการก็จะพิจารณาโทษตามข้อบังคับมรรยาททนายความนั้น เมื่อเป็นทนายความละเมิดอำนาจศาล และให้สินบนเจ้าพนักงาน ถือว่าเป็นการกระทำร้ายแรง มีโทษลบชื่อออกจากการบัญชีทนายความ 5 ปี ผลก็คือ นายพิชิฏไม่อาจเป็นทนายได้ 5 ปี และเมื่อพ้น 5 ปี แม้มีสิทธิ์มายื่นขอออกตั๋วทนายความใหม่ แต่ที่ผ่านมากรณีถูกลบชื่อเพราะติดสินบนศาล สภาทนายความมักจะไม่จดทะเบียนออกตั๋วทนายให้ใหม่

"ทนายแม้ว" ส่อหลุดคดีอาญา ตร.ระบุแค่ "ซื้อความสะดวก" ไม่ถึงกับติดสินบน ชี้ "ธนา" คือกุญแจสำคัญ ด้าน คตส.สรุปสำนวน "แม้ว" รวยผิดปกติให้อัยการแล้ว ขณะที่ คตส.โวยอัยการสูงสุด หักหลังคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ"

 "คดีนี้จะทำง่ายมาก เพราะศาลทำทางให้แล้ว พนักงานสอบสวนก็สอบไปตามที่เบิกความไว้กับศาล ขอยืนยันว่าทุกอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน ไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมเต็มที่" พล.ต.ต.อำนวยกล่าว

สินน้ำใจ = สินบน
หยอดน้ำมัน =  สินบน
ซื้อความสะดวก = สินบน

*  แปะข่าวเพิ่ม ...........  ( ตัดมาบางส่วน )

    “ไทกร” แฉ “นายใหญ่” ผวาคุก! งัดแผนเตรียม ฮ.ชิงตัว “ทนายแม้ว”

     “ไทกร” แฉแหลก “นายใหญ่” ผวานอนคุก-เดินเกมระทึกจ้างเฮลิคอปเตอร์ชิงตัว “ทนายแม้ว” หลบหนีออกจากโรงพยาบาล
      พร้อมเตือนบริษัทให้เช่า ฮ.อย่าช่วยโจรอย่างเด็ดขาด
       ............................................................................................................
            นายไทกร กล่าวต่อว่า  บนหลังคาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีลานจอดรถเฮลิคอปเตอร์อยู่ทั้ง 2 ตึก ซึ่งมีการติดต่อหาข้อมูลตาราง
      การบินไปที่บริษัทให้เช่าเฮลิคอปเตอร์ 2 บริษัท คือ บริษัทศรีชัง ฟลายอิ้ง และบริษัทรอยัล ฟลายอิ้ง เพื่อเตรียมหลบหนี  ดังนั้น
      จึงไว้ใจไม่ได้ เพราะถ้านายธนา หลบหนีไปได้ จะทำให้สาวไปไม่ถึง พ.ต.ท.ตัวทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ที่สำคัญนายธนา
      ไม่ได้ป่วยอะไรเลย นอกจากจะวางแผนหลบหนี ซึ่งต้องจับตาดูเอาไว้ และขอเตือนบริษัทที่ให้เช่าเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 2 ว่า อย่าขน
      โจรออกจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เด็ดขาด
     
       http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000076024
       เหอ ๆ ..... จะจริงอย่างเค๊าว่าเหรอ  ???  ยังกะหนังเจมส์บอน 007 เลยนะนั่น !!!   :slime_doubt:

     

น่าจะมีใครสักคนหรือหลายๆคน ทำหนังสือไปยังแพทยสภา ให้ทำการตรวจสอบโรงพยาบาล

ที่มีพฤติกรรมให้ที่หลบซ่อนแก่ผู้ต้องหาที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และดำเนินคดีกับแพทย์เจ้าของไข้

................................................................................................................

งานนี้(สินบน 2 ล้าน) หากเจ้าพนักงานสอบสวนและฝ่ายอัยการพยายามทำสำนวนเพื่อเป่าคดี

อาจจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในคุกด้วย เพราะว่า ผู้แจ้งความได้รับมอบอำนาจมาจากผู้พิพากษา

...

เป็นเรื่องประหลาดที่นักโทษตามคำพิพากษา สามารถหนีการจำคุก
โดยพักอยู่ในห้องพิเศษ ของโรงพยาบาล แบบไม่มีกำหนด
หากสามารถหลบหนีออกไปได้จริง ไม่ทราบว่าใครจะรับผิดชอบ?  :slime_doubt:

ตำรวจที่เฝ้านะแหละครับ

นั่นสิผู้รับมอบอำนาจจากศาลแจ้งความเรื่องผู้ต้องหาทำอะไร แต่พนักงานสอบสวนกลับพยายายามช่วยผู้ต้องหา จะดูว่าจะส่งฟ้องด้วยมาตราไหน ฟ้องเท่าไหนศาลลงโทษได้แค่นั้น จะบอกว่าซื้อความสะดวก แล้วมันไม่ใช่เพื่อจูงใจให้กระทำการรึ

ส่วนเรื่องแพทย์และโรงพยาบาลนี่อาจเข้าข่าย
มาตรา ๑๘๙ ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดย
ช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๙๒ ผู้ใดให้พำนัก ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ให้ผู้ที่หลบหนีจากการคุมขังตามอำนาจของศาล ของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวน
คดีอาญา เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ