ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: Can ไทเมือง ที่ 02-06-2008, 09:58



หัวข้อ: สกู้ปหน้า 1 : ข้างม็อบมัฆวานฯ แม่ค้าร่มจดๆจ้องๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 02-06-2008, 09:58
ข้างม็อบมัฆวานฯ แม่ค้าร่มจดๆจ้องๆ  
ไทยรัฐ [2 มิ.ย. 51 - 18:32]
 
บ่ายวันเสาร์ 31 พ.ค. หลังนายสมัคร สุนทรเวช ประกาศสลายม็อบพันธมิตร แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ทุกคนก็ยิ้มรับ สู้ไม่ถอย...

บรรยากาศกลุ่มผู้ชุมนุม เวทีเปิดเพลงปลุกใจต่อเนื่อง ทุกคนช่วยประสานเสียงจบเพลง แกนนำบนเวทีก็ปลุกเร้าต่อเนื่อง ระลอกแล้วระลอกเล่า

สัญญาณการสลายผู้ชุกชุมจากปากนายกรัฐมนตรี หักล้างด้วยคำพูดของผู้บัญชาการ ทหารสูงสุด ที่ออกมาเตือนรัฐบาลว่า อย่าทำเกินกว่าเหตุ

เสียงแกนนำบนเวทียืนยัน อีกว่า

“อีกไม่นานรัฐบาลหุ่นเชิดจะมีอันเป็นไป และในวันนั้นชัยชนะจะเป็นของ ประชาชน”

อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ย้ำว่า ไม่มีทางที่เราจะเคลื่อนไปไหนไม่มีทางที่จะสลาย ได้สำเร็จ แกนนำวางแผนเรียบร้อยแล้ว และจะมีคนออกมาช่วยกันเต็มประเทศ

อาจารย์สมเกียรติ วิจารณ์ผู้นำว่าพูดโกหก โกหกเรื่อง 6 ตุลาคม โกหกเรื่องสถาบันการเงินเจ๊ง...

ครั้งที่สาม ก็โกหกว่า จะร่างรัฐธรรมนูญเอง รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพเอง... พอเห็นประชาชนไปที่ธรรมศาสตร์ก็ถอย แล้วให้ลูกน้องเข้าชื่อ แล้วก็บอกว่าไม่ทำประชามติ พอตอนหลังก็บอกว่าทำประชามติเพื่อตัดความรำคาญ

สิ้นเรื่องโกหก ประโยคสุดท้าย เสียงผู้ชุมนุมก็เฮ...ดังต่อเนื่อง

จับใจความต่อไป เป็นคำอธิบาย แผนการตั้งรับการสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

การสลายม็อบครั้งนี้ จะเป็นการสลายชุมชนที่มีอารยะดีงามที่สุด เพราะเป็นการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ และทั่วโลก

ข้อที่สอง แกนนำทั้ง 5 คน จะยอมให้จับโดยหลีกเลี่ยงการปะทะ อย่างถึงที่สุด

เพื่อต้องการให้ทั่วโลกเห็นว่า เราอหิงสา

ข้อที่สาม หากมีกองกำลังภายใต้คำสั่งรัฐบาลเข้ามาสลายจริง ให้ผู้ชุมนุมทุกคนวางอาวุธ นั่งเฉยๆ...ให้จับไป แล้วมวลชนอีกเป็นแสนคน ที่รวมตัวกันในภาคอีสาน ใต้ กลาง ตะวันออก เหนือ จะมาสมทบ...เพื่อให้คุกแตก

ข้อสำคัญ ผู้ชุมนุมห้ามใช้อาวุธเด็ดขาด ให้เห็นว่ารัฐบาลเป็นผู้กระทำฝ่ายเดียว

ฟังตอนนั้น การสลายการชุมนุมแบบเด็ดขาดไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงจะมีอำนาจตามกฎหมาย แต่ก็มีข้อแม้ที่หนักหนา ต้องเป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามหรือ มีการประกาศกฎอัยการศึก

หากช่วงที่มีการสลายการชุมนุม บ้านเมืองไม่มีสภาวะดังกล่าว การสลาย การชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐจึงเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

บรรทัดฐานนี้ เกิดจากการเข้าสลายม็อบท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่สงขลาประชาชนฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายกับรัฐได้

ก่อนจบบทตั้งรับก็ทิ้งท้ายด้วยประโยคปลุกใจ

“ชัยชนะ...ต้องเป็นของประชาชน ชัยชนะ...ต้องเป็นของประชาชนชัยชนะ... ต้องเป็นของประชาชน”

เสียงจากแกนนำคนแล้วคนเล่าขึ้นมาพูด แสดงจุดยืนในการชุมนุมต่อไปอย่างไม่ย่นย่อ บางคนหนักแน่นถึงขั้นที่ว่า “ตาย...เป็นตาย”

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นไปเป็นลำดับ ความเข้มแข็งดุดันบนเวที... เสียงจากแกนนำบนเวที คนหนึ่งที่แหบพร่าเพราะป่วย ฝากให้ไปบอก คุณสมัคร สุนทรเวช...คุณเฉลิม อยู่บำรุง ที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ให้จำคำพูดวันนี้เอาไว้

“ผมมีภารกิจศักดิ์สิทธิ์ เข้ามาช่วยรักษาชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ภารกิจนี้ถ้าต้องทำให้ผมตาย ผมจะวิ่งหนีความตาย แต่ผมจะยอมตาย...

ถ้าผมเป็นอะไรไป พ่อแม่พี่น้องทั่วประเทศไทย ทั่วโลก ให้จำชื่อ 3 คนนี้เอาไว้ คนแรก...ทักษิณ ชินวัตร คนที่สอง...สมัคร สุนทรเวช คนที่สาม...เฉลิม อยู่บำรุงและลูกๆ”

พ่อแม่ พี่น้อง...สัญญาได้ไหม ถ้าผมตายจะล้างแค้นแทนผม

“เรามาเพื่อเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนมา ไม่ต้องกลัว...ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินกว่าความกลัวในตัวเอง”

ตามติดด้วยเสียงของ สมศักดิ์ โกศัยสุข เค้าบอกว่าวันนี้เค้าจะมา อย่าโกหกนะ... เราได้สำรวจอย่างดีแล้ว ว่าเรารักสงบ ก็พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นอย่างนี้มาตลอด

“เอาดีเอ็นเอมาดูก็ได้ ไม่มีหลักฐานที่จ้างวานมา แต่ละคนที่มาก็จะหมดเงินเดือนอยู่แล้ว... คงไม่แลกชาติ แผ่นดินเกิด กับเศษเงิน”

ชาติอยู่เหนือชีวิต อย่ากังวล อย่าเครียด จะทำอะไรก็ทำไป แต่เราไม่หนี เราไม่ยอมให้คน ชั่วเดินผ่านหน้าอย่างเด็ดขาด

“เรารู้ชัดเจนแล้วว่า พวกนี้กำลังโกงกินบ้านเมือง ให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำประเทศไทย เรายอมไม่ได้ เพราะไม่รู้จะหนีไปไหนแล้ว”

ประเด็นเหล่านี้ เรียกเสียงเฮจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ต่อเนื่อง ไม่หวาดหวั่น อย่าได้มาขู่กัน พลังของประชาชนเท่านั้น ที่จะชนะสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ ขอให้มีกำลังใจยืนหยัดต่อไป

เสียงปลุกเร้าบนเวทีมีต่อเนื่องไม่เว้นช่องไฟ สลับสับเปลี่ยนกับเสียงแกนนำตะโกน ผ่านเครื่องขยายเสียง “พี่น้องครับ สู้...ไม่สู้”...

กลุ่มผู้ชุมนุมก็ตะโกนตอบกลับว่า “สู้... เฮ...”

บรรยากาศการชุมนุมในวันนี้ดูหนักแน่น และเสี่ยง แต่ยิ่งเย็น ก็มีผู้คนทยอยเข้ามาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่องจนเต็มแน่นถนนราชดำเนินนอก

ถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม เชิงสะพานมัฆวาน เมฆฝนตั้งเค้าเหนือทำเนียบรัฐบาล เสียงบนเวทีพันธมิตรยังดังก้อง เชิญชวนให้คนมาร่วมชุมนุมกันที่นี่ มาช่วยกันรักษาแผ่นดินไทย

“ทุกอาชีพ ที่อยู่ในฐานะแกนนำในสังคมไทย ต้องมาช่วยกัน เพื่อปกป้อง ปกปักษ์...รักษาประเทศไทย”

เดินไกลมาถึงแนวจุดตรวจทางเข้า...ออก บรรยากาศในภาพรวม แม้ไม่รุนแรง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผู้ร่วมชุมนุมมีอารมณ์ร่วม มีการปลุกปั่นเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519

“ทุกวัน จะเข็นเข้าไปขายข้างใน แต่วันนี้...กลัว ไม่กล้าเข้าไป”

แม่ค้าร่ม-เสื้อกันฝน ยืนดูสถานการณ์อยู่นอกรั้ว เอ่ยประโยคแรก ดูข่าวตอนเช้ารู้สึก ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอมาถึงก็รู้สึกแปลกๆ ตัดสินใจขายอยู่รอบนอกไปก่อน คิดว่า ขายได้ก็เอา...ไม่ได้ก็ไม่เอา

ร่มคันโต ราคา 100 บาท วันไหนฝนตกก็ขายดี ขายได้ 40-50 คัน... “คันละร้อย ใครจะต่อก็บอกเลยว่ากำไรแค่ 15 บาท”

ปัญหามีว่า...ร่มไม่เหมือนน้ำ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ต้องเดินเจาะเข้าไปขาย ในม็อบ ถึงจะขายดี จะรอให้ลูกค้าออกมาซื้อคงยาก

“ต้องรออีกสักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรรุนแรง ก็จะเข้าไปขายข้างใน”

วางแผนไว้ว่า จะไปขายอยู่แถวๆหลังห้องน้ำ บ่ายหน้ารถเข็นออกมาตรงประตูรั้ว ให้ใกล้ทางออกมากที่สุด...เห็นท่าไม่ดี จะได้เข็นหนีออกมาได้ทัน

แม่ค้าร่มมองสถานการณ์เพื่อค้าขาย ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากขายดี...เพราะมีม็อบ

“การชุมนุมครั้งนี้ หวั่นใจว่าจะเกิดเหตุรุนแรง แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น”

ก้นบึ้งหัวใจ แม่ค้าร่ม อยากเห็นความสงบร่มเย็นในบ้านเมือง...เหมือนหัวใจคนไทยทุกคน..