ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ของบักยุทธ แล้วนั่งฟังข่าวเรื่องราคาปุ๋ย หลังจากฟังจบ ผมจึงได้เห็นถึงความสามารถในการเจรจาของ นายมั่วขวัญว่า เป็นนักเจรจา ที่สุดยอดเป็นอย่างยิ่ง



















สุดยอดที่ว่านี้คือ สุดยอดของความไม่เอาไหน นะครับ

มีอย่างที่ไหน ไปเจรจาซื้อปุ๋ยราคาถูกจากจีน ก็ไปเจรจาเอาตอนที่จีนตั้งกำแพงภาษีปุ๋ยจาะ 35% เป็น 135% แล้ว แล้วอย่างนี้ จีนมันจะยอมเรอะ (ในเมื่อจีนมันก็กลัวปุ๋ยในประเทศขาดแคลนเหมือนกัน ไม่งั้นมันจะัต้องกำแพงภาษีหาพระแสงด้ามยาวอะไร)

อีกเรื่องนึง เจรจาได้มากี่ตันผมไม่ทราบ จำไม่ได้แล้ว แต่ไหงตอนเจรจา ไม่พูดถึงการขนส่งไปด้วยล่ะ นี่อะไร พอถึงเวลาจะเอาของ เอกชนเพิ่งมาบอกว่า "เฮ้ย ปุ๋ยอ่ะ กรูมีให้ แต่มรึงต้องมาขนเอาเองนะเว้ยยยย!!" ช่างเป็นนักเจรจาที่เก่งChipหายเลยว่ะ

ต่ออีกเรื่อง สูตรปุ๋ยที่ไปเจรจามา ได้ไม่ตรงกับสูตรที่เกษตรกร ต้องการ สรุปว่ายังไงๆ เกษตรกร ก็ต้องซื้อปุ๋ยแพงอยู่ดี!!! เพราะปุ๋ยที่ได้มา มันใช้ไม่ได้!!! นี่ก็เป็นการบ่งบอกได้เลยว่า นายคนนี้ มีนิสัยการทำงานเป็นอย่างไร ละเอียดรอบคอบ และ มีความรู้ในเรื่องที่ทำแค่ไหน

แล้วอยากถามอีกอย่าง เพิ่มรายได้ 4 เท่า ลดรายจ่าย 4 เท่าน่ะ เมื่อไหร่มันจะเป็นจริง

ตอนนี้เห็นมีแต่ เพิ่มรายจ่าย 4 เท่า เท่านั้นล่ะมั๊ง

วิปริต จิตผิดเพี้ยนขนาดนั้น ทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว

ปล.แต่ถ้าตั้งใจเพี้ยนเพราะมีอะไรอยู่ข้างหลังก็ขอเปลี่ยนจากเพี้ยนเป็น "เลว" ก็แล้วกัน

เรื่องราคาของแพงขึ้นก็จัดเป็นผลงานของรัฐบาลนี้แล้วนี่

แฉมิ่งขวัญมุบมิบเซ็นFTA

"มิ่งขวัญ" แอบเซ็นเอฟทีเอ อาเซียน-ญี่ปุ่นแล้ว หวั่นทึกทักลงนามเอง หวังไม่ต้องนำการลงนามเข้าสภาฯ หลังก่อนหน้านี้หวั่นหมกเม็ดข้อเสียเปรียบไม่บอกใคร

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้มีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น  (ASEAN-Japan  Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) กับทางฝ่ายญี่ปุ่นที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติให้มีการลงนามในความตกลงดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2551

ทั้งนี้ การลงนามในข้อตกลงดังกล่าว  นายมิ่งขวัญได้ขอลงนามโดยไม่มีการเปิดเผย  ทั้งๆ  ที่ตามปกติการลงนามในสัญญาการค้าระหว่างประเทศ   จะมีการกระทำกันอย่างเปิดเผย มีการเปิดให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพ  และมีการแถลงข่าวถึงความสำเร็จ แต่นายมิ่งขวัญกลับไม่มีการดำเนินการเช่นนั้น และใช้จังหวะที่ใกล้เทศกาลสงกรานต์ ที่คนไทยต่างกังวลเกี่ยวกับการวางแผนการท่องเที่ยว  และเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดลงนามในข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อตกลง  AJCEP  พบว่า  เป็นข้อตกลงที่อาเซียนและญี่ปุ่นได้ตกลงที่จะเปิดเสรีครอบคลุมการค้าสินค้า  บริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยญี่ปุ่นจะยกเลิกภาษี  90%  ของมูลค่าสินค้านำเข้าจากอาเซียนทั้งหมดทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ และลด ยกเลิกภาษีอีก 6.7% ภายใน 10 ปี ขณะที่ไทยได้เสนอเปิดเสรีตามข้อผูกพันในระดับเดียวกันกับที่ได้ทำในข้อตกลง  JTEPA เท่านั้น โดยสินค้าที่ไทยจะได้ประโยชน์จาก AJCEP ที่มากกว่า JTEPA นั้น มีถึง 71 รายการ เช่น ปลาหมึกปรุงแต่ง  ผงโกโก้  วาฟเฟิลและเวเฟอร์  พิซซ่าแช่แข็ง เพสทรี และขนมจำพวกเบเกอรี่อื่นๆ  ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี  และยังเปิดโอกาสให้สะสมแหล่งกำเนิดสินค้า โดยใช้วัตถุดิบภายในภูมิภาคและผ่อนคลายกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่ยืดหยุ่นมากกว่า  JTEPA อีกหลายรายการ ทำให้ไทยมีทางเลือกที่จะส่งออกภายใต้ JTEPA หรือ AJCEP เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าได้

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้หลังจากที่อาเซียนและญี่ปุ่นได้มีการเจรจา และตกลงสรุปการจัดทำเอฟทีเอเสร็จสิ้น  ทางฝ่ายไทยได้มีการประชาสัมพันธ์กันอย่างหนักว่า ข้อตกลงฉบับนี้ก่อประโยชน์ให้กับไทยมากมายและได้ประโยชน์มากกว่าข้อตกลง JTEPA ที่ไทยได้เซ็นสัญญากับญี่ปุ่น แต่การที่นายมิ่งขวัญไม่ยอมมีการเซ็นสัญญาเอฟทีเออาเซียน-ญี่ปุ่นอย่างเปิดเผยในครั้งนี้  ทั้งๆ ที่อาเซียนอื่นๆ กระทำกันอย่างเปิดเผยนั้นได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ว่า มีอะไรที่ไทยเสียประโยชน์จากข้อตกลง AJCEP หรือไม่ ถึงไม่อยากให้ใครรู้ว่านายมิ่งขวัญเป็นคนไปเซ็นข้อตกลงเอาไว้

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ญี่ปุ่นจะนำข้อตกลงไปให้อาเซียนที่เหลือลงนาม ซึ่งหากลงนามครบทั้ง 10 ประเทศแล้ว จะมีการเปิดเผยรายละเอียดความตกลงให้เป็นที่รับทราบกันทั่วไป.  

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=21/Apr/2551&news_id=157406&cat_id=600


มิน่าล่ะช่วงนี้เห็น "หายหน้า หายตา" ไปจากสื่อ(ที่ซึ่งปกติ ช๊อบ ชอบ เป็นข่าว) ...

สงสัยต้องหัวฟาดอีกรอบ ถ้าจะดี :slime_bigsmile: