ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 20-04-2008, 21:12



หัวข้อ: คนตาบอดไม่กลัวเสือ!
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 20-04-2008, 21:12
คนตาบอดไม่กลัวเสือ!
 
โดย สิริอัญญา 20 เมษายน 2551 12:01 น.
 
 
       ชื่อบทความวันนี้ไม่ได้คิดเอง ตั้งเอง แต่ยืมเอาคำพูดของนักการเมืองผู้มากวาสนามาใช้ และคำพูดนี้ก็ไม่ได้ยินจากปากของคนพูดเอง แต่มาจากคำบอกเล่าให้สัมภาษณ์ของนายเสนาะ เทียนทอง อดีตประธานวิปพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาราชในปัจจุบันนี้
       
          เรื่องคนตาบอดไม่กลัวเสือนั้น นายเสนาะ เทียนทอง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน รวมทั้งจัดพิมพ์เป็นเอกสารมากมาย และได้เผยแพร่อย่างกว้างขวางในห้วงปี 2549-2550
       
        เนื้อความก็มีอยู่ว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยเสนอนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น นายเสนาะ เทียนทอง เกิดความสงสัยว่าจะทำกันจริงๆ แล้วละหรือ จึงไปถามนายกรัฐมนตรีว่าจะทำได้จริงหรือ?
       
        ก็ได้รับคำตอบว่าพูดเล่นๆ เพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนของคนทั้งประเทศได้ แต่คนยากจนเมื่อได้ยินว่าใครจะมาช่วยแก้ปัญหาก็จะชอบอกชอบใจโดยไม่มีทางรู้เท่าทัน พร้อมกับเปรียบเทียบว่า “คนตาบอดไม่กลัวเสือ” เพราะว่ามองไม่เห็นเสือนั่นเอง

       
        ดังนั้นวลีที่ว่าคนตาบอดไม่กลัวเสือจึงเป็นวลีที่โด่งดังวลีหนึ่งของยุคสมัย เพราะสะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของนักการเมืองที่มีต่อประชาชน และสะท้อนถึงภาพสังคมไทยโดยเฉพาะสังคมชนบทที่คนส่วนใหญ่เป็นคนยากจนอย่างแจ่มชัดที่สุด
       
        แล้วถามว่าทำไมจึงต้องตั้งชื่อบทความอย่างนี้ในวันนี้? ก็เพราะว่ามีคนกำลังประพฤติอย่างนั้นอีกแล้ว! ทำราวกับว่าคนไทยโง่บัดซบเป็นวัวเป็นควาย และไม่รู้ประสีประสาใดๆ เลย
       
        คนไทย 63 ล้านคนนั้นแน่นอนว่าต้องมีทั้งคนฉลาดและคนโง่ คือมีทั้งคนประเภท “ตาบอดไม่กลัวเสือ” และมีทั้งคนประเภท “ตาดีกลัวเสือ” ทั้งประเภท “ตาดีไม่กลัวเสือ” รวมทั้งคนประเภท “กูนี่แหละจะฆ่าเสือ เพราะกูกลัวเสือ”
       
        ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ท่านเป็นนักการตลาดที่มีชื่อลือชาและมีผลงานปรากฏ เพราะทำให้คนเชื่อถือในสิ่งที่ได้นำเสนอจนเป็นที่ถูกอกถูกใจและเข้าตาผู้มีอำนาจ จึงส่งอานิสงส์ให้มีอำนาจวาสนาขึ้นมาในทุกวันนี้
       
        ความจริงมาตรการทางการตลาดที่ใช้กับคนประเภท “คนตาบอดไม่กลัวเสือ” นั้นก็ได้ผลอยู่ แต่โดยผลที่แท้จริงแล้วคนตาบอดเหล่านั้นกลับประสบชะตากรรมที่น่าสมเพชเวทนาเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว
       
        เพราะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลจนรายได้ไม่พอใช้ เพราะถูกยุยงปลุกปั่นให้ใช้จ่ายเงินจนเกินตัว โดยหลงเข้าใจผิดคิดว่าเงินกู้ที่ได้มาในสารพัดรูปแบบคือรายได้ หรือเงินที่รัฐบาลท่านประทานให้โดยไม่ต้องจ่ายคืน
       
        เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้าหนี้สินก็พอกพูนขึ้นทุกที ดังที่ปรากฏข้อมูลชัดเจนแล้วว่าอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และคงไม่มีทางที่จะหยุดได้ในระยะเวลาใกล้ๆ นี้
       
        เพราะนิสัยเคยตัวได้บังเกิดขึ้นแล้วกับคนประเภท “ตาบอดไม่กลัวเสือ” เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายก็มีหนี้สินพะรุงพะรังขึ้นทุกที ทรัพย์สมบัติแม้กระทั่งไร่นาสาโทก็นำไปจำนองหรือไปวางเป็นประกันหนี้ไว้กับคนอื่นจนหมดเกลี้ยงแล้วและถูกยึดใช้หนี้ไปเกือบหมดแล้ว
       
        ก็ยังไม่รู้สึกตัว เพราะคนตาบอดย่อมไม่กลัวเสือ ไม่รู้ว่าถูกเสือกัดกินไปจนเหลือแต่กระดูกแล้วก็ยังถวิลหาเสืออยู่ร่ำไป
       
        ในปีนี้บังเอิญข้าวกล้าราคาดี ซึ่งคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็อาจจะเข้าใจได้ว่าเมื่อข้าวกล้าราคาดีคงเป็นทีของเกษตรกรไทยร่ำรวย เงยหน้าอ้าปากได้เป็นแม่นมั่นแล้ว
       
        คนที่มีแนวความคิดว่าประชาชนคือ “คนตาบอดไม่กลัวเสือ” ในกระทรวงพาณิชย์ก็คิดหลอกลวงต่อไป โดยตอนแรกก็อ้างว่าการที่ข้าวกล้าราคาดีก็เพราะฝีมืออันยอดเยี่ยมของตน
       
        แต่พูดไปไม่ทันขาดคำก็มีคนจับได้ว่าเป็นการโกหก คอลัมน์นี้ก็เป็นหนึ่งในพวกที่จับได้ไล่ทันว่าไม่ใช่ฝีมือฝีไม้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากเป็นเพราะปัจจัยภายนอกบันดาลให้เป็นไปต่างหาก
       
        นั่นเพราะว่าประเทศจีนประสบภัยธรรมชาติ ผลิตข้าวไม่พอกินและขาดแคลนมาก อินเดียก็ขาดแคลนติดตามมา ในขณะที่เวียดนามก็ประสบภัยธรรมชาติ ห้ามส่งข้าวออกนอกประเทศ แม้พม่าก็ไม่พอกิน
       
        เมื่อข้าวไม่พอกินเช่นนี้ราคาจึงพุ่งสูงขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในต้นเดือนมีนาคม 2551 ราคาซื้อขายในต่างประเทศก็พุ่งไปถึงตันละ 30,000 บาทแล้ว ควรที่ผู้มีอำนาจหน้าที่จะบอกกล่าวให้คนไทยได้รู้ตัว จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้
       
        หนอยแน่ะกลับมาแหกตาคนไทย บอกว่านี่คือฝีไม้ลายมือและผลงานอันเลิศล้ำ แต่พอถูกกระชากหน้ากากก็ทำหน้าปุแล่มๆ เจี๋ยมเจี้ยมไปตามเรื่องตามราว แล้วเบี่ยงเบนไปเป็นว่าผลงานส่งออกข้าวปีนี้ดีกว่าปีก่อน
       
        มาวันนี้เอาอีกแล้ว ออกมาเตือนชาวนาทั่วทั้งประเทศว่าขอให้รีบขายข้าวเถิด อย่ากักกันข้าวไว้อีกเลย เพราะราคาข้าวเปลือกหอมมะลิขณะนี้ตันละ 18,000 บาทแล้ว ข้าวเจ้าธรรมดาก็ตันละ 15,000 บาทแล้ว เกษตรกรมีกำไรพอแล้ว ขอให้รีบขายเสียเถิด
       
        แล้วยังขู่ชาวนาต่อไปว่า หากไม่รีบเอาข้าวออกมาขายภายในเดือนนี้หรืออย่างช้าภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ก็จะไม่ได้ราคาแล้ว เพราะจะมีข้าวนาปรังออกสู่ตลาดถึงเกือบ 7 ล้านตัน
       
        กลุ้มเสียจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องราวที่ดีงามแต่แท้จริงเป็นเรื่องแหกตาสารพัด ทั้งแหกตาดื้อๆ และแหกตาอ้อมๆ
       
        ที่แหกตาอ้อมๆ ก็คือการแหกตาว่าได้สร้างผลงานในการทำให้ข้าวมีราคาดีขึ้น แสดงให้เห็นว่าป่านนี้แล้วยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมที่ถูกเขาจับได้คาหนังคาเขามาแล้วอีก
       
        ก็ต้องบอกต่อพี่น้องชาวนาทั้งหลายที่ถูกเขามองว่าเป็นคนตาบอดไม่กลัวเสือว่าราคาข้าวปีนี้ที่พุ่งสูงไปนั้นไม่ใช่เพราะฝีมือของนักการเมืองหน้าไหนเลยแม้แต่คนเดียว แต่เป็นโชคของประเทศไทย
       
        หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นเพราะพระสยามเทวาธิราชท่านยังให้ความเมตตาต่อชาวนาไทยที่เป็นหนี้สินจนหมดเนื้อประดาตัวแล้วให้พอได้เงยหน้าอ้าปากได้บ้าง จึงทำให้ข้าวกล้าราคาดี ก็ยังดีเสียกว่าที่จะไปหลงเชื่อว่าเป็นผลงานของนักการเมือง
       
        ที่แหกตากันตรงๆ ก็คือการแหกตาว่าให้ชาวนาเร่งเอาข้าวออกมาขาย หากพ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ไปแล้วจะมีข้าวนาปรังออกมาถึง 7 ล้านตัน อาจจะทำให้ราคาผันผวน
       
        ใครๆ ก็รู้ดีว่าชาวนาไทยไม่มียุ้งฉางเก็บข้าว ตั้งแต่หมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวชาวนาก็ขายข้าวไปหมดแล้ว ที่จะเหลือเก็บไว้บ้างก็น้อยกว่าน้อยนักจนไม่ถือว่าเป็นนัยที่มีผลแต่ประการใด
       
        แล้วทำไมจึงมาพูดว่าให้ชาวนาเร่งเอาข้าวออกไปขาย? เหตุทั้งนี้ก็เพราะว่าต้องการจะให้มีผลทางจิตวิทยาว่าชาวนาไทยมีข้าวอยู่ในมือมากมาย มีฐานะดีแล้ว คนทั้งหลายที่หลงเชื่อก็จะได้ตั้งความหวังไว้ว่าเมื่อชาวนาจะขายข้าวได้เช่นนี้ก็จะมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากมาย ก็จะเร่งการผลิตอะไรต่อมิอะไรต่อไปอีก

       
        ใครเชื่อก็คงฉิบหายแน่เพราะชาวนาไม่มีข้าวอยู่ในมือ ไม่มีอะไรที่จะขายแล้ว นอกจากขายตัวและขายลูกสาว เวลานี้ชาวนาต้องซื้อข้าวสารกิน จากที่เคยซื้อเป็นถังก็ซื้อไม่ไหวเพราะราคาพุ่งสูงขึ้นไปจากถังละ 300-400 บาท จนใกล้จะ 500 บาทเต็มทีแล้ว
       
        ดังนั้นการที่ข้าวราคาแพง คนที่รับเคราะห์กรรมมากที่สุดก็คือคนยากคนจนและชาวนาผู้ปลูกข้าวนั่นเอง บรรดาโรงงานและร้านค้าทั้งหลายก็อย่าได้ไปหวังว่าชาวนาจะมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่น ใครผลิตหรือใครค้าขายอะไรที่หวังค้าขายเอากับชาวนาก็คือการหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
       
        และที่บอกว่าในเดือนมิถุนายนปีนี้จะมีข้าวนาปรังออกมาถึง 7 ล้านตันนั้นก็ต้องฟังกันให้ดี อย่าไปเชื่ออะไรใครง่ายๆ
       
        ก็แปลกใจเหมือนกันว่าคนพูดเช่นนี้กล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก แต่นั่นก็คงเป็นเพราะรากฐานความคิดที่คิดว่าประชาชนไทยคือคนตาบอดไม่กลัวเสือ จึงกล้าที่จะโกหกพกลมถึงขนาดนี้

       
        หลังจากสิ้นฤดูกาลผลิตที่แล้ว ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภัยแล้งคุกคามทั้งภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางอย่างหนักหน่วง ในขณะที่ภาคใต้ก็เกิดภัยน้ำท่วม อากาศร้อนจัดจ้า
       
        แผ่นดินแตกระแหง ต้นไม้ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาตายโดยทั่วไป น้ำกินน้ำใช้ก็ขาดแคลน บึงหนองคลองต่างๆ ก็แห้งเขิน พันธุ์ปลาจำนวนมากต้องสูญพันธุ์ไปแล้ว แล้วจะเอาน้ำที่ไหนไปทำนาปรัง?
       
        อย่าว่าแต่พื้นที่ห่างไกลจากแหล่งน้ำเลย พื้นที่ที่อยู่ใกล้ 25 แหล่งน้ำใหญ่ของประเทศต่างก็ขาดแคลนน้ำด้วยกันทั้งนั้น ทั้ง 25 แหล่งน้ำใหญ่ก็ตื้นเขินหมดแล้ว น้ำในแหล่งน้ำร้อนจนแทบจะเอามาชงกาแฟได้อยู่แล้ว จะใช้ทางการเกษตรย่อมไม่มีทางใช้ได้
       
        เมื่อขาดน้ำเสียอย่างหนึ่งข้าวนาปรังก็เสียหาย และเสียหายอย่างกว้างขวางทั่วทั้งประเทศ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหน่วยงานไหนหรือใครหน้าไหนที่ไปโกหกยกเมฆว่าจะมีข้าวนาปรังออกมาถึง 7 ล้านตัน
       
        เอาสักแค่ 2-3 ล้านตันก็ให้มันจริงเถิดพ่อเจ้าประคุณ!
       
        ที่น่าวิตกกังวลมากที่สุดก็คือความไม่รู้ว่าปริมาณข้าวที่จะใช้บริโภคในประเทศจากนี้ไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้างหน้าจะต้องใช้ข้าวเป็นจำนวนเท่าใด และขณะนี้มีข้าวเหลือในประเทศเท่าใดกันแน่ และเพียงพอต่อการบริโภคหรือไม่
       
        เพราะตัวเลขที่ว่ายังมีข้าวเหลือนับสิบล้านตันนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไม่เห็นหรือว่าข้าวในคลังหลวงหลายแห่งถูกปล้นถูกขโมยเอาไป เฉพาะที่จับได้และเผลอประกาศแพลมออกมานั้นก็มีถึง 200,000 ตันแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีการขโมยข้าวที่รับจำนำไปขายมากกว่านี้หลายเท่านัก
       
         การสร้างตัวเลขโกหกพกลมเช่นนี้ก็คือการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ส่งออกในการที่จะเร่งส่งข้าวที่ซื้อมาในราคาถูกก่อนหน้านี้ออกไปขายในราคาแพงๆ ได้กำไร 3-4 เท่าตัวเท่านั้น
       
        แล้วคำนึงกันบ้างหรือไม่ว่าเมื่อถึงวันหนึ่งที่ข้าวในประเทศเหลือไม่พอให้คนกิน จะเกิดความเดือดร้อนเป็นกลียุคสักปานไหน? และอย่าเที่ยวอ้างส่งเดชว่าจะมีข้าวนาปรังออกมาอีก 7 ล้านตัน
       
        เพราะการอ้างเช่นนี้นอกจากเป็นเรื่องโกหกพกลมแล้ว คนที่เขารู้เท่าทันเขาก็จะตั้งความสังเกตว่านี่คือการตั้งตัวเลขเผื่อหนีความรับผิดชอบ เพราะเมื่อใดที่ข้าวในประเทศไม่พอกินก็จะได้โกหกต่อไปว่าเป็นเพราะ-ข้าวนาปรังเสียหาย ไม่ได้ผลตามที่ประมาณการไว้
       
        โทษฟ้าโทษดิน ในขณะที่กินกันอิ่มหมีพีมันกันไปแล้ว อย่างนี้มันจะไหวหรือ!
       
        คนหิวข้าวและคนไม่มีข้าวกินนั้น ถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ถึงจะเป็นคนตาบอดแต่ถ้าหากหิวข้าวสุดๆ ก็จะไม่กลัวเสือ และในที่สุดก็จะรุมกันฆ่าเสือเป็นแม่นมั่น.

 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000045968



  เรื่องคนตาบอดไม่กลัวเสือนั้น นายเสนาะ เทียนทอง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน รวมทั้งจัดพิมพ์เป็นเอกสารมากมาย และได้เผยแพร่อย่างกว้างขวางในห้วงปี 2549-2550
       
        เนื้อความก็มีอยู่ว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยเสนอนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น นายเสนาะ เทียนทอง เกิดความสงสัยว่าจะทำกันจริงๆ แล้วละหรือ จึงไปถามนายกรัฐมนตรีว่าจะทำได้จริงหรือ?
       
        ก็ได้รับคำตอบว่าพูดเล่นๆ เพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนของคนทั้งประเทศได้ แต่คนยากจนเมื่อได้ยินว่าใครจะมาช่วยแก้ปัญหาก็จะชอบอกชอบใจโดยไม่มีทางรู้เท่าทัน พร้อมกับเปรียบเทียบว่า “คนตาบอดไม่กลัวเสือ” เพราะว่ามองไม่เห็นเสือนั่นเอง

       
        ดังนั้นวลีที่ว่าคนตาบอดไม่กลัวเสือจึงเป็นวลีที่โด่งดังวลีหนึ่งของยุคสมัย เพราะสะท้อนให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของนักการเมืองที่มีต่อประชาชน และสะท้อนถึงภาพสังคมไทยโดยเฉพาะสังคมชนบทที่คนส่วนใหญ่เป็นคนยากจนอย่างแจ่มชัดที่สุด




ไม่ต้องอธิบายสำหรับคนไม่กินหญ้า.....
แต่คนกินหญ้าจะเข้าใจไหม :?:

ถูกคนที่หลงรัก เคารพบูชา เห็นเป็น'ตัวกินหญ้า'มาตลอด.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า