ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: 55555 ที่ 17-02-2008, 09:01



หัวข้อ: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 17-02-2008, 09:01

                                             (http://img134.imageshack.us/img134/19/image002xk7.jpg) (http://imageshack.us)





วัดพรหมโลก กิ่ง อ.พรหมคีรี นครศรีธรรมราช
วันที่ 24 ตุลาคม 2520

เจริญพรเพื่อนอดีต ส.ส. และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่รัก นับถือ

จดหมายของอาตมา ฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม 2520 แจ้งผลการทอดผ้าป่าสามัคคีและเล่าเรื่องก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน คือ การที่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งขึ้นมา แล้วถูกยึดอำนาจให้ทราบบ้างแล้ว ตอนท้ายได้กล่าวไว้ว่า ความลับในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เท่าที่ประสบด้วยตนเองต่อ ดังนี้

วันที่ 6 ตุลาคม 2519 อาตมามาถึงตึกบัญชาการ สำนักนายกรัฐมนตรี เวลาประมาณ 7.00 น.เศษ มีนักหนังสือพิมพ์มาคอยอยู่ที่บันไดและลานก่อนเข้าลิฟท์หลายคน ต่างก็ถามถึงการที่มีภาพแขวนคอหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชาย อาตมาตอบว่า ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นายกรัฐมนตรีสั่งดำเนินคดี และกรรมการศูนย์นิสิตนักศึกษาบางคนเข้ามอบตัวแล้ว ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย แล้วอาตมารีบขึ้นไปชั้น 4 ที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี พบ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้ดูภาพในหนังสือพิมพ์ดาวสยามและบ้านเมือง จึงเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีว่า ให้รีบประกาศภาวะฉุกเฉิน ห้ามชุมนุมทั่วประเทศ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ฯพณฯ นายกเห็นด้วย และว่าเดี๋ยว 9 โมงเช้า ประชุมคณะรัฐมนตรี จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อาตมาจึงลงไปห้องทำงานชั้น 3 เห็นหนังสือด่วนไม่กี่ฉบับ เวลา 9.00 น.เศษ จึงรีบลงไปประชุมคณะรัฐมนตรีที่ตึกไทยคู่ฟ้า ไปถึงคณะรัฐมนตรีเปิดประชุมไปแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวกับอาตมาว่า กำลังพิจารณาเรื่องประกาศภาวะฉุกเฉิน อาตมาว่า ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย และจำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันเหตุร้ายในบ้านเมือง ปรากฏว่าพลตรีชาติชาย ชุณหะวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีอื่นฝ่ายพรรคชาติไทย คัดค้านไม่ให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ไม่ให้ห้ามการชุมนุม โดยอ้างเหตุผลว่าหากห้ามการชุมนุม ลูกเสือชาวบ้านจำนวนมากที่นัดมาชุมนุมที่อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า เดินทางเข้ามาชุมนุมมากแล้วและกำลังเดินทางมา ก็จะเดือดร้อน ชุมนุมไม่ได้ แล้วจะหันมาเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล

เหตุผลการคัดค้านของพลตรีชาติชาย ชุณหะวัน อ่อน รัฐมนตรีส่วนมากนั่งเฉย แสดงว่าเห็นด้วยในการประกาศภาวะฉุกเฉิน พลตรีชาติชายจึงได้ไปนำเอาพล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน ผู้เป็นหัวหน้าลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่งของฝ่าย ตชด. เข้ามาในคณะรัฐมนตรี มาคัดค้านการประกาศภาวะฉุกเฉิน และกล่าวว่า จะต้องปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้สิ้นซาก นายกรัฐมนตรีพูดว่าไม่ได้ หากเกิดจลาจลเป็นหน้าที่ของตำรวจทหาร บ้านเมืองมีขื่อมีแป คุณจะเอาประชาชนไปฆ่าประชาชนไม่ได้ พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์บังอาจโต้นายกรัฐมนตรีต่อไปว่า ลูกเสือชาวบ้านก็มีวินัยรวมกับตำรวจทหารได้ ดูเหตุการณ์จากการกระทำของรัฐมนตรีฝ่ายพรรคชาติไทยและที่ไปนำพล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ เข้ามาโต้เถียงกับนายกรัฐมนตรีแล้ว อาตมาเข้าใจได้ทันทีว่าพวกนี้ต้องวางแผนการปฏิวัติไว้แล้ว และเชื่อแน่ของพวกเขาแล้วว่าต้องสำเร็จแน่ ตำรวจยศพลตำรวจตรี ยังกล้าเถียงนายกรัฐมนตรีถึงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลตรีประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย รมต.เกษตรฯ แสดงความเห็นในคณะรัฐมนตรีว่า เป็นจังหวะและโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะปราบปราม ให้ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้ถูกลบชื่อหายไป  
ก่อนเที่ยงที่กำลังโต้กันเรื่อง จะประกาศภาวะฉุกเฉินหรือไม่ โดยรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปัตย์ให้ประกาศ รัฐมนตรีฝ่ายพรรคชาติไทยไม่ยอมให้ประกาศ ทั้งๆ ที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการ่างประกาศไว้แล้ว ยังไม่เป็นที่ยุตินั้น พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ ได้เข้ามารายงานในคณะรัฐมนตรี พร้อมกับร้องไห้โฮๆ ว่า ฝ่ายนักศึกษามีอาวุธปืนสงครามร้ายแรง ระดมยิงตำรวจบาดเจ็บและตายจำนวนมาก ฝ่ายนักศึกษาก็ตายแยะ พูดพลางร้องไห้พลาง ตำรวจนครบาลสู้ไม่ได้จึงส่งตำรวจพลร่มและ ตชด.เข้าไปปราบปราม ต่อมา พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ อธิบดีกรมตำรวจ เข้าไปรายงานเหตุการณ์ว่า ควบคุมสถานการณ์ในธรรมศาสตร์ไว้ได้แล้ว มีความสงบเรียบร้อยแล้ว นายกรัฐมนตรีถามว่า “ตำรวจตายกี่คนท่านอธิบดี” อธิบดีกรมตำรวจตอบว่า “ตำรวจไม่ตาย แต่บาดเจ็บไม่กี่คน” รัฐมนตรีจึงแสดงสีหน้าสงสัย อธิบดีกรมตำรวจหันไปมอง พล.ต.ท.ชุมพล นั่งเช็ดน้ำตา จึงไม่รู้ว่าก่อนนั้นเขารายงานกันว่าอย่างไร อธิบดีกรมตำรวจจึงเดินออกจากที่ประชุมไป ต่อไป พล.ต.ต.กระจ่าง ซึ่งเป็นหัวหน้านำ ตชด.เข้าไปทำการควบคุมนักศึกษา 3,000 คนเศษไว้แล้วนั้น เข้ารายงานเหตุการณ์ในคณะรัฐมนตรี ท่านผู้นี้อาตมาไม่ทราบนามสกุล และอาตมายกย่องเขาอยู่จนบัดนี้ว่า เขาเป็นตำรวจอาชีพ ผู้บังคับบัญชาสั่งไปทำงานก็ไปทำ แล้วมารายงานคณะรัฐมนตรีตามความเป็นจริง แต่สังเกตดูไม่เป็นที่พอใจของรัฐมนตรีฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์
พล.ต.ต.กระจ่าง รายงานว่า ปืนที่ยึดจากนักศึกษาเป็นปืนพกเพียง 3 กระบอก คุณเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ รองนายกรัฐมนตรี ถามว่าปืนอะไร ที่เสียงดังมาก ดังปุดๆ ปึงๆ ใครยิง ฝ่ายเรายิง หรือฝ่ายนักศึกษายิง พล.ต.ต.กระจ่าง ตอบว่า ปืนอย่างนั้นนักศึกษาจะเอามาจากไหน ตำรวจยิงทั้งนั้น จนกระทั่งเที่ยงปัญหาจะประกาศภาวะฉุกเฉินหรือไม่ ยังตกลงกันไม่ได้ อาตมาจึงตัดบทด้วยการเสนอว่ามอบอำนาจนายกรัฐมนตรีก็แล้วกัน ท่านจะประกาศภาวะฉุกเฉินเวลาใด แล้วพักรับประทานอาหาร อาตมาถาม พล.ต.ต.กระจ่าง เป็นการส่วนตัวนอกที่ประชุมว่า ยึดอาวุธจากนักศึกษาได้เพิ่มหรือไม่ พล.ต.ต.กระจ่าง วิทยุถามไปที่ควบคุมนักศึกษาบางเขน ซึ่งเป็นศูนย์ ได้รับตอบมาทางวิทยุว่าได้ปืนจากนักศึกษาในธรรมศาสตร์เพียง 3 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22  

มีต่อครับ


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 17-02-2008, 09:11
ตอนบ่ายประชุมคณะรัฐมนตรี มีการพิจารณาร่างแถลงการณ์ ได้มีการแถลงการณ์บางตอนไม่ตรงตามความจริง อาตมาเป็นผู้คัดค้านไม่ให้ออกแถลงการณ์เท็จ ต่อมา พล.ต.ชาติชาย รมต.อุตสาหกรรม ออกไปนอกห้องประชุมแล้วพูดว่า ลูกเสือชาวบ้านที่ชุมนุม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าเริ่มอึดอัดแล้วเพราะไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีถามว่า เหตุการณ์สงบแล้วยังไม่กลับบ้านอีกหรือ พล.ต.ชาติชายตอบว่า ยังไม่กลับ และเตรียมเดินขบวนมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอทราบคำตอบจากรัฐบาลตามข้อเรียกร้อง จึงมีรัฐมนตรีคนหนึ่งจำไม่ได้ว่าใครถามว่าลูกเสือชาวบ้านเรียกร้องอะไร นายกรัฐมนตรีตอบว่า กลุ่มแม่บ้านได้ยื่นข้อเรียกร้องมาเมื่อวันก่อน พร้อมกับล้วงซองขาวออกจากอกเสื้อ แล้วอ่านให้ฟังถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มแม่บ้าน จำได้ว่ามีข้อเรียกร้องให้นายสุรินทร์ มาศดิตถ์ นายชวน หลีกภัย นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ ออกจากรัฐมนตรี ให้จับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายแคล้ว นรปติ และกรรมการพรรคสังคมนิยมทุกคน ให้ใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยเด็ดขาด เมื่ออ่านข้อเรียกร้องจบ นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อเรียกร้องให้รัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเป็นสิ่งที่มากไป นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผมก็ไม่เห็นด้วยเพราะรัฐมนตรีได้รับพระกรุณาแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ การออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หากเห็นว่าไม่เหมาะสม ส.ส.ก็อาจลงมติไม่ไว้วางใจได้ การแถลงนโยบายในวันมะรืนนี้ (8 ตุลาคม) เพื่อรับรองความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร ก็มีสิทธิที่จะลงมติไม่ไว้วางใจได้ ประชาชนเพียงบางส่วนจะมาเรียกร้องแบบนี้ เห็นว่าไม่ถูกต้อง

อาตมาประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยความอดทน สิ่งที่จะพูดหลายครั้งแต่ไม่พูด แต่เฉพาะข้อเรียกร้องของแม่บ้านกลุ่มหนึ่งนั้น อาตมาเห็นว่าจะต้องพูด เพราะมีรัฐมนตรีบางคนในพรรคชาติไทยเป็นผู้ร่วมก่อเรื่องนี้ขึ้นด้วย อาตมาจึงพูดว่า

อาตมาถูกใส่ร้ายป้ายสีมากมายด้วยความโกหกมดเท็จของนักการเมืองบางพวก บางคน เป็นการสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสีกันอย่างน่าละอายที่สุด โดยมีหนังสือพิมพ์บางฉบับ สถานีวิทยุบางแห่ง เป็นผู้ร่วมสร้างข่าวเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีอาตมาด้วยความเท็จมาโดยตลอด แต่อาตมาทนหวังให้ผลงานเป็นสิ่งพิสูจน์ แต่เมื่อมาถึงขั้นให้กลุ่มคนส่วนน้อยที่ไม่ทราบความจริงมามีหนังสือบีบบังคับเช่นนี้ อาตมาไม่ออก อาตมาจะสู้เพื่อพิสูจน์ความจริง

แล้วอาตมาพูดต่อไปว่า อาตมาเป็นรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งปี 2519 นี้ พออาตมาได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์แล้ว อาตมาได้พูดกับนายกรัฐมนตรีต่อหน้าเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า หากผมไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ขอให้หัวหน้า (หมายถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี) กราบบังคมทูลเอาผมออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีได้ทุกเวลา และต่อมาในสมัยเสนีย์ 2 เมื่อหัวหน้าลาออกจากนายกรัฐมนตรี และสภาซาวเสียงให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก อาตมาก็พูดกับนายกรัฐมนตรีอีกว่า ตั้งผมเป็นรัฐมนตรีอาจยุ่งยากมาก ขออย่าแต่งตั้งผมเลย แม้ไม่เป็นรัฐมนตรี ผมก็จะช่วยพรรคเหมือนเดิม นี่ย่อมแสดงว่าอาตมาไม่ได้หวงตำแหน่งรัฐมนตรี ยอมทำตามมติพรรค คำสั่งพรรค และดำเนินแนวนโยบายของพรรคอย่างเคร่งครัดทุกประการ แต่เมื่อมาบีบบังคับกันด้วยเล่ห์การเมืองที่สกปรกแบบนี้ ผมไม่ลาออก ผมจะสู้ สู้เพื่อศักดิ์ศรีของผม เป็นคำพูดของอาตมาในวันนั้น หลังจากนั้น พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร พูดขึ้นว่าการใส่ร้ายป้ายสีกันมันก็มีทั้งนั้นละ นี่ก็มีข่าวว่าคุณดำรงไปพูดที่ขอนแก่น 

หลังจากนั้น พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัน ก็ออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่นานลูกเสือชาวบ้านและพวกเขาที่เตรียมไว้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีนายธรรมนูญ เทียนเงิน นายสมัคร สุนทรเวช  นายส่งสุข ภัคเกษม และพวกได้ไปร่วมอยู่ด้วยนั้น ก็เคลื่อนขบวนมาทั้งรถยนต์ และเดินมาล้อมทำเนียบรัฐบาล ขณะนั้นฝนกำลังตกหนัก การประชุมคณะรัฐมนตรีเลิกประมาณ 15.00 น.เศษ อาตมานั่งรถยนต์จากตึกไทยคู่ฟ้าไปตึกบัญชาการ ตั้งใจว่าจะทำงานอยู่ตามปกติ เพราะถือว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร แต่นายตำรวจคนหนึ่งยืนกรำฝนรออยู่และเตือนว่าท่านรัฐมนตรีรีบออกจากทำเนียบรัฐบาลเร็วที่สุด มิเช่นนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต อาตมาก็ได้คิดและสั่งคนขับรถออกจากทำเนียบไปได้อย่างปลอดภัย ความจริงยังมีอีกมาก ปฏิวัติแล้วเขาว่าจะมีเลือกตั้ง เราต้องพบกันอีก ขอพวกเราจงสามัคคีกัน อย่าเอาคนทรยศต่อพรรคเข้ามาอีก การอยู่รวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองต้องเลือกเอาคนที่มีแนวความคิดเดียวกัน แม้แต่คนละพรรคก็น่าจะร่วมกันได้ นักการเมืองทุกฝ่ายควรจะได้ร่วมกันเพื่อชาติจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออำนาจและเงิน หรือผลประโยชน์ในกิจการส่วนตัว การรวมพรรคการเมืองที่มีแนวความคิด นโยบาย ใกล้เคียงกัน เป็นปึกแผ่น สามารถที่จะเอาชนะเผด็จการได้ หากแตกแยกกัน เผด็จการจะครองเมือง เหมือนที่เป็นมา ขอให้ทุกคนประสบความสุขและโชคดี  

เจริญพรด้วยความรัก นับถือ

สุรินทร์ มาศดิตถ์  

อ่านแล้ว ก็ชั่งใจ ตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกัน ครับ......เหตุการผ่านไปแล้ว 30 กว่าปี......ความจริงหลายอย่างปรากฏชัดขึ้นในวันนี้.....

http://www.spiceday.com/watchdog/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=3526&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=


มีรายละเอียดเพิ่มเติม จากกระทู้ที่ มีคนไปแปะไว้ในเวป WOM ของลุงแคน

http://www.weopenmind.com/board/index.php?topic=2624.msg24221


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 17-02-2008, 10:36
มีบันทึก บทความ ข้อเขียน ของผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการ 6 ตุลาคม 2519 มากมาย และมีคนจำนวนมากที่ร่วมหรือเห็นเหตุการนั้น ยังคงมีชีวิตอยู่  และจำนวนมากเช่นกัน ที่มีอายุน้อยกว่าสมัคร ความจำเลยไม่เลอะเลือน

แต่ถึงกระนั้น ก็มีคนจำนวนมาก ที่พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ เมื่อมีความพยายามในการชำระประวิติศาสตร์ ก็ถูกต่อต้าน และออกหนังสือบิดเบือนมาใหม่  แต่นี่ดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย

คล้ายๆกับว่า ใครตะโกนเสียงดัง ย่อมชนะ 

จากหลักฐานมากมาย ทั้งที่พวกเรายกกันมาให้อ่านไว้ในเวบบอร์ดนี้ และที่ยังไม่ได้ยกมา ชี้ให้เห็นว่า มีบุคคลหลายกลุ่ม ดำเนินการกันไปตามแต่ผลประโยชน์ส่วนตน  บ้างหวังอำนาจ  บ้างหวังเงินตรา  บ้างหวังล้างแค้น  เรียกได้ว่าในเหตุการเดียวนี้ มีทุกรสชาติ

แต่ก็มีผูพยายามสร้างเรื่องว่า ทั้งหมดเป็นการวางแผนอย่างสมบูรณ์ และพยายามดึงฟ้าต่ำ

เหมือนกรณีสวรรคต ที่พยายามบิดเบือนกัน เพื่อโจมตี หรือช่วยเหลือ บุคคลต่างๆที่มีส่วนร่วมในเหตุการ ปั้นประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ทั้งๆที่ผู้รู้เห็นและมีส่วนร่วมในเหตุการนั้นยังคงอยู่มากมาย

ก็ว่ากันไปค่ะ นำเสนอข้อมูลกันไป แล้วก็ใช้ กาลามสูตร พิจารณากันเอง  (อ๋อ อย่าไปใช้กะโหลกกะลามาตัดสินนะคะ  :slime_smile2:)

แต่จากบทความที่คุณ ห้าห้า นำมาเสนอนี้ ทำให้ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า พรรคประชาธิปัตย์ รู้เห็นในเหตุการรุนแรง 6 ตุลาคม 2519 จริง และด้วยตรรกะเดียวกันต้องบอกว่า พรรคพลังประชาชน พรรคประชากรไทย ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า รู้เห็นในเหตุการนั้น

เพราะ สมัครเป็นหัวหน้าพรรคที่ว่ามา ทุกพรรค ค่ะ  :slime_v:



หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัย คุรุ เทวา โอม ที่ 17-02-2008, 12:11
สรุปของคุณ พรรณชมพู

การตายของนักศึกษาไม่ได้โดนปลุกปั่นโดยฝ่ายขวา

แต่โดนพวกญวณ มาทำแบบนายสมัคร บอกใช่หรือไม่


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 17-02-2008, 14:15
สรุปของคุณ พรรณชมพู

การตายของนักศึกษาไม่ได้โดนปลุกปั่นโดยฝ่ายขวา

แต่โดนพวกญวณ มาทำแบบนายสมัคร บอกใช่หรือไม่

สรุปมาจากประโยคไหนเหรอคะ อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ  :slime_doubt:

แล้วอันที่จริง สมัครก็ไม่ได้บอกว่า ญวน มาฆ่านักศึกษา แต่บอกว่าคนที่ถูกฆ่าเป็น ญวน  :slime_smile:

คุณสรุปแปลกๆค่ะ เอาตรงไหนมาหว่า  :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 17-02-2008, 17:51
สายใยไทยทั้งเมือง
(http://www.oknation.net/blog/user_icon/260/260?1203222468)

วันอาทิตย์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551
ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ( ป๋วย อึ๊งภากรณ์ )
Posted by Canไทเมือง , ผู้อ่าน : 35 , 10:20:37 น.   
 

ความรุนแรงและรัฐประหาร 
6  ตุลาคม  2519


(http://www.puey.org/th/mambots/content/multithumb/thumbs/200.250._home_puey_domains_puey.org_public)

ดร. ป๋วย  อึ๊งภากรณ์

ดร.ป๋วย : ****ท่านประธาน เสรีภาพของประชาชน เป็นสิ่งแปลก ถ้าตัวเราไม่ได้ถูกริดรอนเสรีภาพดังกล่าว ก็จะไม่รู้สึกอะไร และจะพูดได้เสมอว่าคนอื่นยังสามารถอยู่ได้เลย ภายใต้การขดขี่ ปราบปราม ถ้าคุณเป็นชาวนา และบุตรของคุณถูกตำรวจนำตัวไปโดยที่เขามิได้ก่อกวนแต่อย่างใด มิได้ทำอะไรทั้งนั้น ถูกนำตัวไปโดยปราศจากข้อหา เมื่อนั้นคุณจะรู้สึกขื่นขมมาก ฉะนั้นผมจึงไม่คิดว่า จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของปัญญาชนที่จะวิตกกังวลเท่านั้น คนตัวเล็ก ๆ ซึ่งได้รับความเดือดร้อนเพราะการไร้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพถูกข่มขู่จากพวกเผด็จการ จะได้รับความทุกข์กันทุกคน มีพวกปัญญาชนเท่านั้นที่สามารถจะบอกเล่าอะไร ชาวนาไม่ทราบจะพูดออกมาอย่างไร แต่พวกเขารู้สึกขื่นขมอย่างรุนแรง

บันทึกในชุดเดียวกัน
คำให้การของดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์กรณีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
http://www.oknation.net/blog/canthai/2008/01/19/entry-2

*******************
เริ่มบันทึก...

เจตนาและความทารุณโหดร้าย

1.  ในวันพุธ  ที่ 6  ตุลาคม  2519  เวลาประมาณ 7.30  น.  ตำรวจไทย  โดยคำสั่งของรัฐบาลเสนีย์  ปราโมช  ได้ใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   ยิงไม่เลือกหน้า  และมีกำลังของคณะกระทิงแดง  ลูกเสือชาวบ้าน  และนวพลเสริม  บ้างก็เข้าไปในมหาวิทยาลัยกับตำรวจ  บ้างก็ล้อมมหาวิทยาลัยอยู่ข้างนอก   เพื่อทำร้ายผู้ที่หนีตำรวจออกมาจากมหาวิทยาลัย  ผู้ที่ถูกยิงตายหรือบาดเจ็บก็ตายไปบาดเจ็บไป   คนที่หนีออกมาข้างนอกไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ต้องเสี่ยงกับความทารุณโหดร้ายอย่างยิ่ง  บางคนถูกแขวนคอบางคนถูกราดน้ำมันแล้วเผาทั้งเป็น   คนเป็นอันมากก็ถูกซ้อมปรากฏตามข่าวทางการว่าตายไป  40  กว่าคน  แต่ข่าวที่ไม่ใช่ทางการว่าตายกว่าร้อย  และบาดเจ็บหลายร้อย

ผู้ที่ยอมให้ตำรวจจับแต่โดยดีมีอยู่หลายพันคน  เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  หลายมหาวิทยาลัย  เป็นประชาชนธรรมดาก็มี  เป็นเจ้าหน้าที่และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูอาคารสถานที่และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยก็มิใช่น้อย

เมื่อนำเอาผู้ต้องหาทั้งหลายไปยังสถานีตำรวจ  และที่คุมขังอื่น  มีหลายคนที่ถูกตำรวจซ้อมและทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ  บางคนถูกทรมานจนต้องให้การตามที่ตำรวจต้องการจะให้การ   และซัดทอดถึงผู้อื่น

2.  เจตนาที่จะทำลายล้างพลังนักศึกษา  และประชาชนที่ใฝ่เสรีภาพนั้นมีอยู่นานแล้ว   ในเดือนตุลาคม  2516  เมื่อมีเหตุทำให้เปลี่ยนระบบการปกครองมาเป็นรูปประชาธิปไตยนั้น  ได้มีผู้กล่าวว่า  ถ้าฆ่านักศึกษาประชาชนได้สักหมื่นสองหมื่นคนบ้านเมืองจะสงบราบคาบ   และได้สืบเจตนานี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้  ในการเลือกตั้งเมษายน 2519  ได้มีการปิดประกาศและโฆษณาจากพรรคการเมืองบางพรรคว่า  “สังคมนิยมทุกชนิดเป็นคอมมิวนิสต์”  และกิตติวุฒโฑภิกขุ  ยังได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า  “การฆ่าคอมมิวนิสต์นั้นไม่เป็นบาป”  ถึงแม้ในกันยายน – ตุลาคม  2519  เอง  ก็ยังมีผู้กล่าวว่าการฆ่าคนที่มาชุมนุมประท้วงจอมพลถนอม  กิตติขจร สัก 30,000 คนก็เป็นการลงทุนที่ถูก

3.   ผู้ที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองในเดือนตุลาคม  2516  ได้แก่ทหารและตำรวจบางกลุ่ม  ผู้ที่เกรงว่าในระบบประชาธิปไตยจะสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไป   ได้แก่พวกนายทุนเจ้าของที่ดินบางกลุ่ม   และผู้ที่ไม่ประสงค์จะเห็นระบบประชาธิปไตยในประเทศไทย   กลุ่มเหล่านี้ได้พยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะทำลายล้างพลังต่าง ๆ ที่เป็นปรปักษ์แก่ตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ  ทางวิทยุและโทรทัศน์  ทางหนังสือพิมพ์  ทางใบปลิวโฆษณา  ทางลมปากลือกัน  ทางบัตรสนเท่ห์  ทางจดหมายซึ่งเป็นบัตรสนเท่ห์ขู่เข็ญต่าง ๆ  และได้ก่อตั้งหน่วยต่าง ๆ  เป็นเครื่องมือซึ่งจะได้กล่าวถึงในข้อ  20  และข้อต่อ ๆ  ไป

วิธีการของบุคคลกลุ่มเหล่านี้คือ  ใช้การปลุกผีคอมมิวนิสต์โดยทั่วไป  ถ้าไม่ชอบใครก็ป้ายว่าเป็นคอมมิวนิสต์   แม้แต่นายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์  หรือเสนีย์  หรือพระราชาคณะบางรูปก็ไม่เว้นจากการถูกป้ายสี  อีกวิธีหนึ่งคือการอ้างถึงชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  เป็นเครื่องมือในการป้ายสี  ถ้าใครเป็นปรปักษ์ก็แปลว่าไม่รักชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์

4.  ในกรณีของกันยายน – ตุลาคม 2519  นี้  เมื่อจอมพลถนอม  กิตติขจร  เข้ามาในประเทศไทย  ก็อาศัยกาสาวพัสตร์คือศาสนาเป็นเครื่องกำบัง   และในการโจมตีนักศึกษาประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ก็ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้าง

การแขวนคอ

5.  จอมพลถนอมเข้าประเทศเมื่อ  19 กันยายน  นักศึกษา  กรรมกร  ชาวไร่ชาวนา  ประชาชนทั่วไปมีการประท้วง  แต่การประท้วงคราวนี้ผิดกับคราวก่อน ๆ  ไม่เหมือนแม้แต่เมื่อคราวจอมพลประภาส  จารุเสถียรเข้ามา  คือกลุ่มผู้ประท้วงแสดงว่าจะให้โอกาสแก่รัฐบาลประชาธิปไตยแก้ปัญหา   จะเป็นโดยให้จอมพลถนอมออกจากประเทศไทยไป  หรือจะจัดการกับจอมพลถนอมทางกฎหมาย  ในระหว่างนั้นก็ได้มีการปิดประกาศในที่สาธารณะต่าง ๆ  เพื่อประณามจอมพลถนอม  และได้มีการชุมนุมกันเป็นครั้งคราว  (จนกระทั่งถึงวันที่ 4 ตุลาคม)

การปิดประกาศประท้วงจอมพลถนอมนั้น  ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อนักศึกษาประชาชน  นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 คน  และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 คนถูกทำร้ายในการนี้  บางคนถึงสาหัส

ที่นครปฐม   พนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2 คนออกไปปิดประกาศประท้วงจอมพลถนอม   ได้ถูกคนร้ายฆ่าตาย  และนำไปแขวนคอไว้ในที่สาธารณะ   ต่อมารัฐบาลยอมรับว่าคนร้ายนั้นคือตำรวจนครปฐมนั่นเอง

6.  ในการประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอมนั้น  ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาได้รับความร่วมมือจาก  “วีรชน 14   ตุลาคม  2516”  คือผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันในตุลาคม 2516  (บางคนก็พิการตลอดชีพ)  และญาติของ “วีรชน”  นั้น  ทำการประท้วงโดยนั่งอดอาหารที่ทำเนียบรัฐบาลในราว ๆ  ต้นเดือนตุลาคม  แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่ทำเนียบพยายามขัดขวางด้วยวิธีต่าง ๆ  ในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคมด้วยความร่วมมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ชุมนุมพุทธศาสตร์และประเพณี  ญาติวีรชนจึงได้ย้ายมาทำการประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บริเวณลานโพธิ์   ในวันจันทร์ที่  4  ตุลาคม  ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คาดว่าคงจะมีการก่อฝูงชนขึ้นที่นั่น   เป็นอุปสรรคต่อการสอบของนักศึกษา   จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ   ขอให้รัฐบาลจัดหาที่ที่ปลอดภัยให้ผู้ประท้วงประท้วงได้โดยสงบและปลอดภัย

7.  ในเที่ยงวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้นเอง   เหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างคาด  คือ  ได้เกิดการชุมนุมกันขึ้น  มีนักศึกษาธรรมศาสตร์  นักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ  ตลอดจนประชาชนไปชุมนุมกันที่ลานโพธิ์  ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประมาณ 500 คน  ได้มีการอภิปรายกันถึง (1)  เรื่องจอมพลถนอม (2) เรื่องการฆ่าพนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่นครปฐม   และได้มีการแสดงการจับพนักงานไฟฟ้านั้นแขวนคอ   โดยนักศึกษาสองคน   คนหนึ่งชื่ออภินันท์เป็นนักศึกษาศิลปศาสตร์ปีที่  4   และเป็นสมาชิกชุมนุมการละคอน  แสดงเป็นผู้ที่ถูกแขวนคอ

จากปากคำของอาจารย์หลายคน   ที่ได้ไปดูการชุมนุมกันในเที่ยงวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้น  ผู้แสดงแสดงได้ดีมากไม่มีอาจารย์ผู้ใดที่ไปเห็นแล้วจะสะดุดใจว่าอภินันท์แต่งหน้าหรือมีใบหน้าเหมือนเจ้าฟ้าชาย   มกุฎราชกุมาร  เป็นการแสดงโดยเจตนาจะกล่าวถึงเรื่องที่นครปฐมโดยแท้

เมื่ออธิการบดีลงไประงับการชุมนุมนั้น   เป็นเวลาเกือบ 14  น.  แล้ว  การแสดงเรื่องแขวนคอนั้นเลิกไปแล้ว  ก่อนหน้านั้นมีการประชุมคณบดีจนเกือบ  13  น. อธิการบดีรับประทานอาหารกลางวันที่ตึกเศรษฐศาสตร์ราว ๆ  13 น. ถึง 13.30 น. พอกลับจากตึกเศรษฐศาสตร์จะไปห้องอธิการบดี  เห็นว่ามีการประชุมกัน  เป็นอุปสรรคต่อการสอบไล่ของนักศึกษาจึงได้ไปห้าม

8.  รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ  หลายฉบับได้ลงรูปถ่ายการชุมนุมและการแสดงแขวนคอนั้น  จากรูปหนังสือต่าง ๆ  เห็นว่านายอภินันท์นั้น  หน้าตาละม้ายมกุฎราชกุมารมาก   แต่ไม่เหมือนทีเดียว   แต่ในภาพของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม (ซึ่งเป็นปรปักษ์กับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาตลอดมา)  รูปเหมือนมาก   จนกระทั่งมีผู้สงสัยว่าดาวสยามจะได้ไปจงใจแต่งรูปให้เหมือน

เรื่องนี้สถานีวิทยุยานเกราะ (ซึ่งก็เป็นปรปักษ์กับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา  และเคยเป็นผู้บอกบทให้หน่วยกระทิงแดงโจมตีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยอาวุธและลูกระเบิด   เมื่อสิงหาคม  2518 )  ก็เลยนำเอามาเป็นเรื่องสำคัญ  กล่าวหาว่าศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์   เจตนาจะทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์  จึงได้พยายามแต่งหน้านักศึกษาให้เหมือนมกุฎราชกุมารแล้วนำไปแขวนคอ   ในการกระจายเสียงของยานเกราะนั้น   ได้มีการยั่วยุให้ฆ่านักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ในธรรมศาสตร์นั้นเสีย   ยานเกราะได้เริ่มโจมตีเรื่องนี้เวลาประมาณ 18  น.  ในวันอังคารที่ 5 ตุลาคม  และได้กระจายเสียงติดต่อกันมาทั้งคืนวันอังคารต่อเนื่องถึงเช้าวันพุธที่ 6  ตุลาคม

การชุมนุมประท้วง 4  ตุลาคม 2519

9.  ส่วนทางศูนย์กลางนิสิตนักศึกษานั้น   ได้จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงประท้วง  (1)  ให้รัฐบาลจัดการกับจอมพลถนอม  กิตติขจร  (2)  ให้จับผู้ที่เป็นฆาตกรแขวนคอที่นครปฐมมาลงโทษ   ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม   เป็นการทดลอง “พลัง”  ตามที่นักศึกษากล่าว   แล้วเลิกวันเสาร์ที่ 2 อาทิตย์ที่ 3 เพราะมีตลาดนัดที่ท้องสนามหลวง  แล้วนัดชุมนุมกันอีกในเย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม

การชุมนุมประท้วงดังกล่าว  ได้ทราบจากนักศึกษาว่ากำหนดจัดกันในช่วงต้นเดือนตุลาคมเพราะเป็นระยะที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่เปลี่ยนตำแหน่งที่สำคัญ ๆ  เนื่องจากมีผู้ครบเกษียณอายุไปในวันที่  30  กันยายน  ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาสืบทราบมาว่าอาจจะมีการกระทำรัฐประหารโดยนายทหารผู้ใหญ่บางกลุ่มที่ไม่พอใจการสับเปลี่ยนตำแหน่งที่สำคัญ  จึงต้องการจะแสดงพลังนักศึกษาเป็นการป้องกันการรัฐประหาร   ในขณะเดียวกันก็เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำสองอย่างข้างต้น

ฝ่ายทางสหภาพกรรมกรก็กำหนดว่า  จะมีการสไตรค์สนับสนุนการประท้วงเพียง 1 ชั่วโมงเป็นชั้นแรกในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม

เรื่องการชุมนุมประท้วงของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่สนามหลวงนั้น  มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับไปถาม  ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  นายกรัฐมนตรีว่า  ถ้าเขาจะมาชุมนุมกันที่ในธรรมศาสตร์   นายกรัฐมนตรีเห็นเป็นอย่างไร  นายกรัฐมนตรีตอบว่า  ถ้าย้ายไปชุมนุมกันที่ธรรมศาสตร์ก็จะดีมาก  (หนังสือพิมพ์ต่อมาได้มาถามอธิการบดีธรรมศาสตร์ว่าเห็นเป็นอย่างไร  ในคำตอบของนายกรัฐมนตรี  อธิการบดีตอบว่า  ไม่ดีเลย) 

10.  ในการชุมนุมประท้วงที่สนามหลวง  เย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคมนั้น  เหตุการณ์ก็เหมือนกับการชุมนุมประท้วงในเดือนสิงหาคม  เมื่อจอมพลประภาสเข้ามา  คือพอฝนตกเข้าผู้ชุมนุมก็หักประตูทางด้านสนามหลวงเข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่เวลา 20 น.

ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัย  ได้ไปแจ้งความต่อตำรวจชนะสงครามตามระเบียบ  ทางตำรวจชนะสงครามได้ส่งกำลังตำรวจประมาณ 40  คน  ไปคุมเหตุการณ์ที่ด้านวัดมหาธาตุร่วมกับรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา  ในการชุมนุมประมาณ  25,000-40,000  คนนั้น   ตำรวจ 40 คนคงจะทำอะไรมิได้นอกจากจะใช้อาวุธห้ามผู้ชุมนุมมิให้เข้ามหาวิทยาลัย  ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเกิดจลาจล  ซึ่งมิใช่สิ่งที่ใคร ๆ  หรือรัฐบาลต้องการ  ฉะนั้นจึงเป็นภาวะที่ต้องจำยอมให้เข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ฝ่ายกระทิงแดงและนวพลนั้น   ก็มาชุมนุมกันอยู่ที่วัดมหาธาตุอีกมุมหนึ่ง   แต่เนื่องจากมีกำลังน้อยเพียงไม่กี่สิบคนจึงมิได้ทำอะไร

ทางด้านศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา  ก็ชุมนุมค้างคืนอยู่ในธรรมศาสตร์ตลอดมาถึงเช้าวันพุธที่ 6  ตุลาคม  ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดเหตุ

11.  ทางฝ่ายผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เมื่อมีประชาชนจำนวนมากไหลบ่ากันเข้ามาในเวลา 20 น.  ของวันจันทร์  4  ตุลาคม  ก็ได้โทรศัพท์หารือกับ  ดร.ประกอบ  หุตะสิงห์  องคมนตรี  นายกสภามหาวิทยาลัย  และด้วยความเห็นชอบของ  ดร.ประกอบ  ได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยทันทีเพื่อป้องกันมิให้นักศึกษาอื่น  และอาจารย์  ข้าราชการมหาวิทยาลัยต้องเสี่ยงต่ออันตราย  (คราวจอมพลประภาสเข้ามาได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยเมื่อมีการยิงกัน  และทิ้งระเบิดตายไป  2  ศพแล้ว)  และได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ  ก็ได้รับความเห็นชอบ  จึงมีหนังสือเป็นทางการรายงานท่านนายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีว่าการทบวงอีกโสตหนึ่ง

ครั้นแล้วผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ก็ย้ายสำนักงานไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานการศึกษาแห่งชาติชั่วคราว ทิ้งเจ้าหน้าที่รักษาทรัพย์สินและอาคารของมหาวิทยาลัยไว้ประมาณ 40 – 50  คน  และได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตลอดเวลาโดยทางโทรศัพท์และทางอื่น

การปลุกระดมมวลชน  และกฎหมู่

12.  ฝ่ายยานเกราะและสถานีวิทยุในเครือของยานเกราะก็ระดมปลุกปั่นให้ผู้ฟังเคียดแค้นนิสิตนักศึกษาประชาชน  ที่ประท้วงอยู่ในธรรมศาสตร์ตลอดเวลา   โดยอ้างว่าจะทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์  โดยระดมหน่วยกระทิงแดง นวพล  และลูกเสือชาวบ้านให้กระทำการ 2 อย่าง  คือ 

(1) ทำลายพวก  “คอมมิวนิสต์”  ที่อยู่ในธรรมศาสตร์
(2) ประท้วงรัฐบาลที่จัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยไม่ให้นายสมัคร  สุนทรเวช  และนายสมบุญ  ศิริธร  ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

การทำลายพวก  “คอมมิวนิสต์”  ในธรรมศาสตร์นั้นได้ใช้ให้กระทิงแดงและอันธพาล  ใช้อาวุธยิงเข้าไปในธรรมศาสตร์ตั้งแต่เที่ยงคืนจนรุ่งขึ้นของวันพุธที่ 6 ตุลาคม  ฝ่ายทางธรรมศาสตร์ก็ได้ใช้อาวุธปีนยิงตอบโต้เป็นครั้งคราว

13.  การปลุกระดมของยานเกราะได้ผล  ทางด้านรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคม  และได้มีมติให้นำตัวหัวหน้านักศึกษาและนายอภินันท์  ผู้แสดงละคอนแขวนคอมาสอบสวน

พอเช้าตรู่ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม  นายสุธรรม  เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา  พร้อมด้วยผู้นำนักศึกษาจำนวนหนึ่งกับนายอภินันท์นักแสดงละคอนแขวนคอ  ได้ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจที่บ้านนายกรัฐมนตรี  เผอิญนายกรัฐมนตรีออกจากบ้านไปทำเนียบเสียก่อน   นายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์แจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจคุมตัวนายสุธรรม  นายอภินันท์  และพวกไปสอบสวน  ผู้เขียนบันทึกในขณะนี้ยังไม่ทราบผลของการสอบสวนดังกล่าว

14.  การบุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยตำรวจ   ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีนั้น   เป็นการกระทำของรัฐบาลโดยเอกเทศมิได้มีการหารือกับอธิการบดีเลย   แม้ว่าในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคม  อธิการบดีจะได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  นายกรัฐมนตรีก็ตาม  นายกรัฐมนตรีมิได้แจ้งให้อธิการทราบว่ารัฐบาลจะเรียกตัวหัวหน้านิสิตนักศึกษาหรือนายอภินันท์มาสอบสวน  ถ้านายกรัฐมนตรีประสงค์เช่นนั้น  ก็มีวิธีที่จะเรียกตัวได้  ให้มาสอบสวนโดยสันติไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงจนควบคุมมิได้  และจนเกินกว่าเหตุ

15.  การโจมตีนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์   ซึ่งเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนโดยมีการยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยจากภายนอกนั้น  ได้ใช้กำลังตำรวจล้อมมหาวิทยาลัยตั้งแต่ 03.00  น.  และได้เริ่มยิงเข้าไปอย่างรุนแรงโดยตำรวจตั้งแต่เวลา 05.00 น.  ผู้ที่อยู่ในธรรมศาสตร์ขอให้ตำรวจหยุดชั่วคราว   เพื่อให้ผู้หญิงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสออกไป  ตำรวจก็ไม่ฟัง

อาวุธในธรรมศาสตร์

16.  ในการบุกธรรมศาสตร์นั้น  วิทยุยานเกราะประโคมว่าภายในธรรมศาสตร์มีอาวุธร้ายแรง  เช่น ลูกระเบิด  ปืนกลหนักและอาวุธร้ายแรงอื่น ๆ  ข้อนี้เป็นการกล่าวหาโดยปราศจากความจริงตั้งแต่  2517  มาแล้ว  แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้แต่ละครั้ง  เช่น  เมื่อกระทิงแดงบุกในเดือนสิงหาคม 2518  หรือเมื่อตำรวจเข้าไปกวาดล้าง  หลังจากการชุมนุมประท้วงจอมพลประภาส  ก็มิได้มีหลักฐานประการใดว่าได้มีอาวุธสะสมไว้ในธรรมศาสตร์

ถึงคราวนี้ก็ดี   สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาแสดงว่าเป็นอาวุธที่จับได้ในธรรมศาสตร์ก็มีแต่ปืนยาวสองกระบอก ปืนพกและลูกระเบิด  หาได้มีอาวุธร้ายแรงขนาดปืนกลไม่   เป็นเรื่องที่สร้างข้อกล่าวหาจากอากาศธาตุทั้งสิ้น

ตั้งแต่ปลายปี 2517  เป็นต้นมา  นักการเมือง  และหัวหน้านักศึกษาบางคนมีความจำเป็นต้องพกอาวุธไว้ป้องกันตัว  เพราะหน่วยกระทิงแดง  และตำรวจ  ทหาร  ฆาตกรมักจะทำร้ายหัวหน้ากรรมกร  หัวหน้าชาวนาชาวไร่  หัวหน้านักศึกษา   และนักการเมืองอยู่เนือง ๆ  และการฆ่าบุคคลเหล่านี้ทางตำรวจไม่เคยหาตัวคนร้ายได้   (ขณะเดียวกัน   ถ้าตำรวจฆ่าตำรวจ  หรือมีผู้พยายามฆ่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาล  ตำรวจจับคนร้ายได้โดยไม่ชักช้า)  พูดไปแล้ว  การมีอาวุธไว้ป้องกันตัว  ในเมื่อรู้ว่าจะเสี่ยงต่ออันตรายก็มีเหตุผลพอสมควร

ระหว่างคืนวันจันทร์ที่  4  ตุลาคม  จนถึงเช้าวันพุธที่  6 ตุลาคมนั้น  นักศึกษาและประชาชนที่เข้ามาชุมนุมในธรรมศาสตร์  มีโอกาสที่จะนำอาวุธเหล่านั้น  เข้าไปในมหาวิทยาลัยตลอดเวลา  น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้ตั้งด่านสกัดค้นอาวุธทั้งทางด้านผู้ชุมนุมประท้วง  และฝ่ายกระทิงแดงเสียแต่ต้นมือ   และเท่าที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงตลอดมา  ฝ่ายกระทิงแดงได้พกอาวุธร้ายในที่หสาธารณะเนือง ๆ  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้าห้ามหรือตรวจค้น

ถึงกระนั้นก็ดี  ผู้เขียนบันทึกนี้เห็นว่าการชุมนุมประท้วงทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม   ต้องกระทำโดยสันติและปราศจากอาวุธ  ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย  และรับรองโดยรัฐธรรมนูญ

17. จากการ “สอบสวน”  และ “สืบสวน”  ของตำรวจและทางการ  เท่าที่ปรากฏในเวลาที่เขียนบันทึกนี้มีข้อกล่าวหาว่าในธรรมศาสตร์มีอุโมงค์อยู่หลายแห่ง   แต่เจ้าหน้าที่ก็มิได้แสดงภาพของอุโมงค์ให้ดูเป็นหลักฐาน  เป็นการปั้นน้ำเป็นตัวสร้างข่าวขึ้นแท้ ๆ  คุณดำรง  ชลวิจารณ์  อธิบดีกรมโยธาธิการและประธานกรรมการสำรวจความเสียหายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ชี้แจงเมื่อกลางเดือนตุลาคมว่า  ไม่พบอุโมงค์ในธรรมศาสตร์เลย  และย้ำว่าไม่มี  เป็นข่าวลือทั้งนั้น  อุทิศ  นาคสวัสดิ์  กล่าวในโทรทัศน์ถึงห้องแอร์และส้วมที่อยู่บนเพดานตึก  คงจะหมายถึงชั้นบนสุดของตึกโดม  ซึ่งก็ไม่มีอะไรเร้นลับประการใด  และใครเล่านอกจากอุทิศ  นาคสวัสดิ์จะไปใช้ส้วมบนเพดานตึก  นอกจากนั้นอุทิศยังอุตส่าห์พูดว่า  บรรดาผู้ที่ไปชุมนุมในธรรมศาสตร์นั้นใช้รองเท้าแตะเป็นจำนวนมากแสดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย  เพราะผู้ก่อการร้ายใช้รองเท้าแตะ  ถ้าเป็นเช่นนี้คนในเมืองไทย  40 ล้านคน  ซึ่งใช้รองเท้าแตะก็เป็นผู้ก่อการร้ายหมด  ที่กล่าวถึงอุทิศ  นาคสวัสดิ์นั้น  เป็นตัวอย่างของโฆษกฝ่ายยานเกราะเพียงคนเดียวคนอื่นและข้อใส่ร้ายอย่างอื่นทำนองเดียวกันยังมีอีกมากที่ใช้ความเท็จกล่าวหาปรปักษ์อย่างไม่มีความละอาย

กฎหมู่ทำลายประชาธิปไตย

18.  ข้อเรียกร้องอีกข้อหนึ่งของยานเกราะและผู้ที่อยู่เบื้องหลังยานเกราะคือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนายสมัครและนายสมบุญเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและให้ขับไล่รัฐมนตรี “ฝ่ายซ้าย”  3  คน  ออก  คือ นายสุรินทร์  มาศดิตถ์  นายชวน  หลีกภัย  และนายดำรง  ลัทธพิพัฒน์  เรื่องนี้ยานเกราะเจ็บใจนักเพราะเมื่อ  ม.ร.ว.เสนีย์ ลาออกในเดือนกันยายนนั้น  สถานีวิทยุยานเกราะได้ระดมจ้างและวานชาวบ้าน  มาออกอากาศเป็นเชิงว่าเป็นมติมหาชน  คนที่จ้างและวานมาให้พูดนั้นพูดเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่าให้  ม.ร.ว.เสนีย์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป  แต่ให้กำจัดรัฐมนตรีที่ชั่วและเลวออก  การกลับกลายเป็นว่า ม.ร.ว.เสนีย์  นายกรัฐมนตรีกลับเอานายสมัคร  และนายสมบุญ  ออกไป  เป็นเชิงว่านายสมัครและนายสมบุญซึ่งเป็นพรรคพวกกันยานเกราะนั้นเป็นคนเลวไป

19.  ยานเกราะระดมกำลังเรียกร้องให้ลูกเสือชาวบ้าน  นวพล  กระทิงแดง  และกลุ่มอื่น ๆ  ในเครือ  ชุมนุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า  เพื่อเรียกร้องเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล  การเรียกร้องกระทำตลอดคืนวันอังคารที่ 5  คาบเช้าวันพุธที่ 6 แล้วก็สามารถระดมพลเพื่อการเรียกร้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต่อไปจนถึงเวลาบ่าย  ม.ร.ว.เสนีย์จึงยอมจำนน  และรับว่าจะคิดจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ตามคำเรียกร้อง

ต่อมาอีกประมาณ 1 หรือ 2 ชั่วโมงก็มีการยึดอำนาจกระทำรัฐประหารขึ้นในเวลา 18.00  น.

20.  เป็นที่น่าสังเกตว่า  ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516  เป็นต้นมาผู้ที่เป็นปรปักษ์กับพลังนักศึกษา  กรรมกรและชาวไร่ชาวนา  พยายามกล่าวหาว่านักศึกษา  กรรมกรและชาวไร่ชาวนา “ใช้วิธีปลุกระดมมวลชน”  และ  “ใช้กฎหมู่บังคับกฎหมาย”  การกระทำของยานเกราะ  กระทิงแดง  นวพล  และลูกเสือชาวบ้าน  และกลุ่มต่าง ๆ  นั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้  ถ้าไม่ใช่วิธีปลุกระดมมวลชน  และไม่ใช่การใช้กฎหมู่บวกกับอาวุธมาทำลายกฎหมาย

เรื่องที่กล่าวมานี้มิใช่จะเริ่มเกิดขึ้นใน  2519  แต่เริ่มมาตั้งแต่  2517  กระทิงแดงเป็นหน่วยที่ฝ่ายทหาร  กอ.รมน.จัดตั้งขึ้นจากนักเรียนอาชีวะ  ซึ่งบางคนก็เรียนจบไปแล้ว  บางคนก็เรียนไม่จบ  บางคนก็ไม่เรียน  กอ.รมน.  เป็นผู้จัดตั้งขึ้น  เพื่อหักล้างพลังศึกษาตั้งแต่พวกเรากำลังร่างรัฐธรรมนูญอยู่ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศลงข่าวอยู่เนือง ๆ  และระบุชื่อพันเอกสุตสาย  หัสดิน  ว่าเป็นผู้สนับสนุนแต่ก็ไม่มีการปฏิเสธข่าว   กอ.รมน.ไม่แต่เป็นผู้จัดตั้ง  เป็นผู้ฝึกอาวุธให้  นำอาวุธมาให้ใช้  และจ่ายเงินเลี้ยงดูให้จากเงินราชการลับ และตั้งแต่กลางปี 2517  เป็นต้นมา  หน่วยกระทิงแดงก็พกอาวุธปืนและลูกระเบิดประเภทต่าง ๆ  อย่างเปิดเผย  ไม่มีตำรวจหรือทหารจะจับกุมหรือห้ามปราม   ไม่ว่าจะมีการประท้วงโดยสันติอย่างใดโดยนิสิตนักศึกษา  กระทิงแดงเป็นต้องใช้อาวุธขู่เข็ญเป็นการต่อต้านทุกครั้ง   นับตั้งแต่การประท้วงบทบัญญัติบางมาตราของรัฐธรรมนูญ  ในปี 2517  การประท้วงฐานทัพอเมริกันใน 2517 – 2518 การบุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเดือนสิงหาคม 2518  การประท้วงการกลับมาของจอมพลประภาส  และจอมพลถนอม  ตลอดมาแต่ละครั้งจะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายเสมอ  แม้แต่ช่างภาพ  หนังสือพิมพ์ที่พยายามถ่ายภาพกระทิงแดงพกอาวุธ  ก็ไม่วายถูกทำร้าย  ในการเลือกตั้งในเมษายน 2519  กระทิงแดงก็มีส่วนขู่เข็ญผู้สมัครรับเลือกตั้ง  และในการโจมตีทำร้ายพรรคบางพรรคที่เขาเรียกกันว่าฝ่ายซ้าย

21. สมควรจะกล่าวถึง  กอ.รมน.  ในที่นี้  เพราะนอกจากจะเป็นผู้ชักกระทิงแดงให้ปฏิบัติการรุนแรงแล้ว  ยังมีส่วนในการจัดตั้งกลุ่มและหน่วยอื่น ๆ  เป็นประโยชน์แก่กลุ่มทหารด้วย  เช่นนวพล  ทั้งนี้โดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินประเภทราชการลับตลอดเวลา

กอ.รมน.  เดิมมีชื่อว่า  บก.ปค.  แปลว่ากองบัญชาการปราบคอมมิวนิสต์  ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น  กอ.ปค.  กองอำนวยการปราบคอมมิวนิสต์  ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายจะคบกับประเทศคอมมิวนิสต์  จึงเปลี่ยนชื่อเป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ  เป็นองค์กรที่จอมพลประภาสตั้งขึ้น  และเป็นมรดกตกทอดต่อมาถึงทุกวันนี้

ความสำเร็จของ  กอ.รมน.  วัดได้ดังนี้  เมื่อแรกตั้งประมาณ 10 ปีกว่ามาแล้ว  เงินงบประมาณสำหรับ  บก.ปค.มีอยู่ประมาณ 13 ล้านบาท  และเนื้อที่ในประเทศไทยที่เป็นแหล่งคอมมิวนิสต์  ในการปฏิบัติงานของ  บก.ปค.  มีอยู่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ในปัจจุบันมี  กอ.รมน. มีงบประมาณกว่า 800 ล้านบาท  และเนื้อที่ที่ประกาศเป็นแหล่งคอมมิวนิสต์มีอยู่เกือบทั่วราชอาณาจักรประมาณ 30 กว่าจังหวัด

การปราบคอมมิวนิสต์ของ  กอ.รมน.  เป็นวิธีลับ  ที่ปราบคอมมิวนิสต์จริงก็คงมี  แต่ที่ปราบคนที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็มีมาก     ตั้งแต่ก่อน  2516  มาแล้ว  เรื่องถังแดงที่พัทลุง  เรื่องการรังแกชาวบ้านทุกหนทุกแห่งมีอยู่ตลอด  แล้วใส่ความว่าเป็นคอมมิวนิสต์  จึงทำให้ราษฎรเดือดร้อนทั่วไป  และที่ทนความทารุณโหดร้ายต่อไปไม่ได้   เข้าป่ากลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ไปก็มากมาย

รัฐสภาประชาธิปไตยในปี  2517-2518 และ 2519  ในเวลาพิจารณางบประมาณของ  กอ.รมน.แต่ละปี  ได้พยายามตัดงบประมาณออก  หรือถ้าไม่ตัดออกก็ให้ตั้งเป็นงบราชการเปิดเผย  แทนที่จะเป็นงบราชการลับ  ได้ประสบความสำเร็จเพียงบางส่วน  กอ.รมน.  ยังสามารถใช้เงินเกือบร้อยล้านบาทแต่ละปีเป็นงบราชการลับ  ทำการเป็นปรปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยตลอดมา

22. นวพล  ถือกำเนิดจาก  กอ.รมน.  เช่นเดียวกับกระทิงแดง   แต่เป็นหน่วยสงครามจิตวิทยา  ไม่ต้องใช้อาวุธเป็นเครื่องมือสำคัญ  แต่ทำงานร่วมกับกระทิงแดง  เป็นองค์กรที่พยายามรวบรวมคหบดี  นายทุน  ภิกษุที่ไม่ใคร่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้ร่วมกันต่อต้านพลังนิสิตนักศึกษา  และกรรมกร  วิธีการก็คือขู่ให้เกิดความหวาดกลัวว่าทรัพย์สมบัติต่าง ๆ  ของตนนั้นจะสูญหายไปถ้ามีการเปลี่ยนแปลง  แม้จะเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย  เครื่องมือของนวพลคือ  การประชุม  การชุมนุม  การเขียนบทความต่าง ๆ  นายวัฒนา  เขียววิมล  ซึ่งเป็นผู้จัดการนวพลเป็นผู้ที่พลเอกสายหยุดชักจูงมารับใช้  กอ.รมน.  จากอเมริกา  มีผู้ที่เคยหลงเข้าใจผิดว่านวพลจะสร้างสังคมใหม่ให้ดีขึ้นด้วยวิธีสหกรณ์เช่นคุณสด   กูรมะโรหิตต้องประสบความผิดหวังไป  เพราะนวพลประกาศว่าจะสร้างสังคมใหม่  แต่แท้จริงต้องการสงวนสภาวะเดิมเพื่อประโยชน์ของนายทุนและขุนศึกนั่นเอง

23. ลูกเสือชาวบ้าน  ก่อตั้งขึ้นมาโดยแสดงวัตถุประสงค์ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง  แต่แท้จริงเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มนายทุนและขุนศึก   โดยเห็นได้จากการเลือกตั้งในเมษายน  2519  ลูกเสือชาวบ้านมีส่วนในการชักจูงให้สมาชิกและชาวบ้านทำการเลือกตั้งแบบลำเอียง  วิธีนี้เป็นวิธีที่อเมริกันเคยใช้อยู่ในเวียดนาม  แต่ไม่สำเร็จ  มาสำเร็จที่เมืองไทย  เพราะใช้ความเท็จเป็นเครื่องมือ  ว่าเป็นการจัดตั้งเพื่อชาติ  ศาสนาและพระมหากษัตริย์   กระทรวงมหาดไทยมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านขึ้นและมักจะใช้คหบดีที่มั่งคั่งเป็นผู้ออกเงินเป็นหัวหน้าลูกเสือ   การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 6 ตุลาคมของลูกเสือชาวบ้านเป็นหลักฐานอย่างชัด  ในวัตถุประสงค์ของขบวนการนี้

24.  นอกจากกระทิงแดง   นวพล  และลูกเสือชาวบ้าน  ฝ่ายกอ.รมน.  และมหาดไทยยังใช้กลุ่มต่าง ๆ  เรียกชื่อต่าง ๆ อีกหลายกลุ่ม  บางกลุ่มเป็นพวกกระทิงแดงหรือนวพลแอบแฝงมา  เช่น ค้างคาวไทย  ชุมนุมแม่บ้าน  ผู้พิทักษ์ชาติไทย  เป็นต้น   เครื่องมือการปฏิบัติงานของกลุ่มเหล่านี้ได้แก่  บัตรสนเท่ห์  ใบปลิว  โทรศัพท์ขู่เข็ญ  เป็นต้น

25.  ฆาตกรรมทางการเมืองได้เริ่มมาตั้งแต่  กลางปี  2517  โดยผู้แทนชาวไร่ชาวนาและกรรมกร  ถูกลอบทำร้ายทีละคน  สองคนต่อมาก็ถึงนักศึกษา  เช่น อมเรศ  และนักการเมือง  เช่น อาจารย์บุญสนอง   บุณโยทยาน  แต่ละครั้งตำรวจไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้   จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าตำรวจคงจะมีส่วนร่วมแน่ ๆ  เพราะถึงที่มีผู้ร้ายทำร้ายตำรวจ  หรือนักการเมืองฝ่ายขวา  ตำรวจจับได้โดยไม่ชักช้า

26.  ในตอนที่  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น  ได้เริ่มมีการครอบคลุมสื่อมวลชน  คือหนังสือพิมพ์  วิทยุและโทรทัศน์   ทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น  พลตรีประมาณ  อดิเรกสาร  รองนายกรัฐมนตรี  หัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นผู้คุมอยู่   ผู้ที่พูดวิทยุและโทรทัศน์ได้ต้องเป็นพวกของตน   ถ้าไม่ใช่พวกไม่ยอมให้พูด   และต้องโจมตีนักศึกษา  กรรมกร  ชาวนา  อาจารย์มหาวิทยาลัย   ขาประจำเรื่องนี้ได้แก่  ดุสิต   ศิริวรรณ  ประหยัด  ศ.นาคะนาท  ธานินทร์  กรัยวิเชียร  อุทิศ  นาคสวัสดิ์   ทมยันตี  อาคม  มกรานนท์  พ.ท.อุทาร  สนิทวงศ์  เป็นต้น  และการครอบคลุมเช่นนี้มีมาจนกระทั่งทุกวันนี้

27.  นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตนาบริสุทธิ์  ต้องการประชาธิปไตย  ต้องการช่วยเหลือผู้ยากจน  แก้ไขความอยุติธรรมในสังคม  ฉะนั้นพลังนิสิตนักศึกษาจึงเป็นพลังที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตย  และข้อกล่าวหาว่านิสิตนักศึกษาทำลายชาตินั้น  เป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนป้ายสีเพื่อทำลายพลังที่สำคัญนั้น  แต่ในสภาวการณ์ในปี 2518 – 19 ฝ่ายนิสิตนักศึกษาก็ไม่มีวิธีการผิดแผกไปจากตุลาคม  2516 

เมื่อทำงานได้ผลใน 2516  นักการเมืองต่าง ๆ  พากันประจบนิสิตนักศึกษา  อยากได้อะไรก็พยายามจัดหาให้   ถึงกับสนับสนุนให้ออกไปตามชนบทเพื่อสอนประชาธิปไตย  ในโลกนี้ไม่มีที่ไหน  ใครจะสอนประชาธิปไตยกันได้และนักศึกษาก็โอหัง   เมื่อออกไปตามชนบทก็สร้างศัตรูไว้โดยไปด่าเจ้าหน้าที่  คหบดี  ชาวบ้านต่าง ๆ  ต่อมานักศึกษาก็ยังคิดว่าพลังของตนนั้นมีพอที่จะต่อต้านองค์กรต่าง ๆ ใหม่ ๆ ของ กอ.รมน. มหาดไทย  และนายทุนขุนศึก จับเรื่องต่าง ๆ  ทุกเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่  พร่ำเพรื่อจนประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย  เช่น  ชุมนุมกันทีไรก็ต้องมีการด่ารัฐบาล  ไม่ว่ารัฐบาลไหน 

เรื่องการถอนทหารอเมริกันก็จัดชุมนุมอีก  แม้ว่ารัฐบาลจะได้สัญญาว่าจะมีกำหนดถอนไปหมดแน่   

การจัดนิทรรศการก็จัดแต่เฉพาะเป็นการโอ้อวดประเทศคอมมิวนิสต์  เป็นต้น 

ที่ที่นักศึกษาไม่มีความเกรงใจคือในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ใช้มหาวิทยาลัยพร่ำเพรื่อจนเกินไป  และทำให้มหาวิทยาลัยล่อแหลมต่ออันตรายแห่งเดียว   แทนที่จะกระจายฐานของนักศึกษาให้แพร่หลายออกไป   

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีเรื่องต้องขัดแย้งกับนักศึกษามากครั้งบ่อยที่สุด  แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นคือ  ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแทนที่จะเปลี่ยนวิธีการ  ยังใช้วิธีการเดิม  แทนที่จะปลูกนิยมในหมู่ประชาชน  กลับนึกว่าประชาชนเข้าข้างตนอยู่เสมอ  แทนที่จะบำรุงพลังให้กล้าแข็งขึ้น  กลับทำให้อ่อนแอลง

อธิการบดีและที่ประชุมอธิการบดี

28.  เมื่อมีข่าวว่าจอมพลถนอมจะเข้าประเทศไทยนั้น  ผู้เขียนได้รับบทเรียนจากคราวที่จอมพลประภาสเข้ามาเมืองไทย เดือนสิงหาคม  จึงได้เห็นว่า  มหาวิทยาลัยต่าง ๆ  จะต้องได้รับความกระทบกระเทือนแน่  จึงได้เรียกประชุมอธิการบดีทั้งหลายที่ทบวงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ   โดยรัฐมนตรีทบวงเห็นชอบด้วย ที่ประชุมอธิการบดีได้มีมติตอนต้นเดือนกันยายน  ให้เสนอขอให้รัฐบาลพยายามกระทำทุกอย่าง  มิให้จอมพลถนอมเข้ามาในประเทศไทย  เพราะจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการศึกษา   และจะทำให้สูญเสียการเรียน  ในขณะเดียวกันก็มีข้อตกลงกันภายในระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งหลายว่า  ถ้าจอมพลถนอมเข้ามาจริง   แต่ละมหาวิทยาลัยก็ต้องใช้ดุลพินิจว่ามหาวิทยาลัยใดควรปิดมหาวิทยาลัยใดควรเปิดต่อไป  ทั้งได้วางมาตรการร่วมกันหลายประการ

29.  เมื่อจอมพลถนอมเข้ามาจริงในวันที่ 19 กันยายน  ผู้เขียนในฐานะประธานในที่ประชุมอธิการบดีสำหรับ  2519  ได้เรียกประชุมอธิการบดีอีกทันที  ในวันที่ 20  กันยายน  โดยมีรัฐมนตรีทบวงร่วมด้วย  ที่ประชุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องจอมพลถนอมโดยด่วน  และขอทราบว่ารัฐบาลจะทำเด็ดขาดอย่างใด   เพื่อจะได้ชี้แจงให้นักศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัยทราบเป็นการบรรเทาปัญหาทางด้านนักศึกษา  แต่รัฐบาลหาได้ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดไม่  เพียงแต่ออกแถลงการณ์อย่างไม่มีความหมายอะไร

ต่อมาได้มีการประชุมอธิการบดีเรื่องนี้อีก  2  ครั้ง  แต่ละครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลเป็นที่แน่นอนอย่างไร  ดร.นิพนธ์  ศศิธร  รัฐมนตรีทบวง  ได้ให้ความพยายามอย่างมาก  และเห็นใจอธิการบดีทั้งหลายในเรื่องนี้  แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  ในอันที่จะให้คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีแสดงท่าทีอย่างไร

30.  ในคืนวันจันทร์ที่  4  ตุลาคม  เมื่อนักศึกษาและประชาชนหักเข้ามาในธรรมศาสตร์นั้น   ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ประกาศปิดมหาวิทยาลัยตามที่ได้กล่าวมาข้อ  11  ทั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงกันในที่ประชุมอธิการบดี

ต่อมา  ในคืนวันอังคารที่  5  ตุลาคม  ผู้เขียนได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว. เสนีย์   ปราโมช  นายกรัฐมนตรี  ในเวลาประมาณ 23  น.  ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีตั้งใครที่มีอำนาจเจรจากับนักศึกษาไปเจรจาในธรรมศาสตร์   เพราะที่แล้วมารัฐบาลเป็นเพียงฝ่ายรับ   คือเมื่อนักศึกษาต้องการพบนายกรัฐมนตรี   จึงให้  พบผู้เขียนเสนอว่าการตั้งผู้แทนนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับนักศึกษานั้น   จะช่วยให้การชุมนุมสลายตัวได้ง่ายขึ้น   นายกรัฐมนตรีตอบว่าจะต้องนำความหารือในคณะรัฐมนตรีก่อน

หลังจากนั้นผู้เขียนเลยปลดโทรศัพท์ออกกระทั่งรุ่งเช้าเพราะเหตุว่าในคืนวันนั้นได้มีผู้โทรศัพท์ไปด่าผู้เขียนอยู่ตลอดคืน  พอรุ่งเช้าก็เกิดเรื่อง

31.  ก่อนหน้านั้นได้มีการนัดหมายอยู่แล้วว่า   จะมีการประชุมสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ในวันที่ 6 ตุลาคม  เวลา 10 น.  ดร.ประกอบ  หุตะสิงห์  นายกสภามหาวิทยาลัย  เป็นประธานในที่ประชุม  ท้ายการประชุมนั้น   ผู้เขียนได้แถลงลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โดยอ้างว่าจะอยู่เป็นอธิการบดีต่อไปไม่ได้   เพราะนักศึกษาและตำรวจได้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายมากมาย   สภามหาวิทยาลัยก็แสดงความห่วงใยในความปลอดภัยส่วนตัวของอธิการบดี

32.  ในตอนบ่ายมีเพื่อนฝูง  อาจารย์หลายคน  แนะให้ผู้เขียนเดินทางออกไปจากประเทศไทยเสีย   เพราะยานเกราะก็ดี  ใบปลิวก็ดี  ได้ยุยงให้มีการลงประชาทัณฑ์อธิการบดีธรรมศาสตร์  ในฐานที่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมนักศึกษา  ให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  ผู้เขียนเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่เป็นประโยชน์  ต้องหลบ ๆ  ซ่อน ๆ  ระวังกระสุน  จึงตัดสินใจว่าจะไปอยู่กัวลาลัมเปอร์  ดูเหตุการณ์สักพักหนึ่ง   เพราะขณะนั้นยังไม่มีการรัฐประหาร

33.  เครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์จะออกเวลา  18.15  น.  ผู้เขียนได้ไปที่ดอนเมืองก่อนเวลาเล็กน้อย  ปรากฏว่าเครื่องบินเสียต้องเลื่อนเวลาไป   1  ชั่วโมง   จึงนั่งคอยในห้องผู้โดยสารขาออก

ต่อมาปรากฏว่ามีผู้เห็นผู้เขียนและนำความไปบอกยานเกราะ  ยานเกราะจึงประกาศให้มีการจับกุมผู้เขียน  และยุให้ลูกเสือชาวบ้านไปชุมนุมที่ดอนเมือง  ขัดขวางมิให้ผู้เขียนออกเดินทางไป

เวลาประมาณ 18.15  น.  ได้มีตำรวจชั้นนายพันโทตรงเข้ามาจับผู้เขียน   โดยที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่  ได้ใช้กิริยาหยาบคายตบหูโทรศัพท์ร่วงไป   แล้วบริภาษผู้เขียนต่าง ๆ  นานาบอกว่าจะจับไปหาอธิบดีกรมตำรวจ   ผู้เขียนก็ไม่ได้โต้ตอบประการใด  เดินตามนายตำรวจนั้นออกมา

บรรดา  สห. ทหารอากาศและตำรวจกองตรวจคนเข้าเมืองได้ออกความเห็นว่า  ไม่ควรนำตัวผู้เขียนออกไปทางด้านห้องผู้โดยสารขาออก  เพราะมีลูกเสือชาวบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก  เกรงว่าจะมีการทำร้ายขึ้น   จึงขออนุญาตทางกองทัพอากาศจะขอนำออกทางสนามกอล์ฟกองทัพอากาศ

ระหว่างที่คอยคำสั่งอนุญาตนั้น  ตำรวจทั้งหลายได้คุมตัวผู้เขียนไปกักอยู่ในห้องกองตรวจคนเข้าเมืองทางด้านผู้โดยสารขาเข้า

34.  เมื่อถูกกักตัวอยู่นั้น  ตำรวจกองปราบฯ  ได้ค้นตัวผู้เขียนก็ไม่เห็นมีอาวุธแต่อย่างใด  มีสมุดพกอยู่เล่มหนึ่ง  เขาก็เอาไปตรวจและกำลังอ่านหนังสือ Father Brown ของ G.K. Chesterton  อยู่เขาก็เอาไปตรวจ  กระเป๋าเดินทางก็ตรวจจนหมดสิ้น

35.  นั่งคอยคำสั่งให้เอาตัวไปคุมขัง  อยู่ประมาณ  1  ชั่วโมง  ระหว่างนั้นได้ทราบแล้วว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น  ก็นึกกังวลใจว่าเพื่อนฝูงจะถูกใส่ความได้รับอันตรายหลายคน  ส่วนตัวของตัวเองนั้นก็ปลงตกว่า   แม้ชีวิตจะรอดไปได้ก็คงต้องเจ็บตัว

ประมาณ  20  น.  ตำรวจมาแจ้งว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนให้ปล่อยตัวได้   และให้เจ้าหน้าที่จัดหาเครื่องบินให้ออกเดินทางไปต่างประเทศ

ขณะนั้นเครื่องบินที่จะไปกัวลาลัมเปอร์หรือสิงคโปร์ออกไปเสียแล้ว  มีแต่เครื่องบินไปยุโรปหรือญี่ปุ่น  จึงตัดสินใจไปยุโรป

นายตำรวจที่เอาสมุดพกไปตรวจนำสมุดพกมาคืนให้  ผู้เขียนก็ขอบใจเขาแล้วบอกว่า  คุณกำลังจะทำบาปอย่างร้าย  เพราะผมบริสุทธิ์จริง ๆ  นายตำรวจผู้นั้นกล่าวว่า   นักศึกษาที่เขาจับไปนั้น  3  คนให้การซัดทอดว่า  ผู้เขียนเป็นคนกำกับการแสดงละคอนแขวนคอในวันจันทร์ที่ 4 โดยเจตนาทำลายล้างพระมหากษัตริย์   และเติมด้วยว่านักศึกษาที่ให้การซัดทอดนั้นพวกกระทิงแดงเอาไฟจี้ที่ท้องจึง  “สารภาพ”  ซัดทอดมาถึงผู้เขียน

36.  ระหว่างที่นั่งรอคำสั่งอยู่นั้น   มีอาจารย์ผู้หญิงของธรรมศาสตร์ที่เป็นนวพลเข้ามานั่งอยู่  2 คน   
นัยว่าต้องการเข้ามาเยาะเย้ย  แต่ผู้เขียนจำเขาไม่ได้ เลยไม่ได้ผล และขณะนั้นก็มีคำสั่งให้ปล่อยตัวเดินทางได้แล้ว   

เข้าใจว่าอาจารย์ทั้งสองคือ  อาจารย์ราตรี  และอาจารย์ปนัดดา

ต่อมาอีกสักครู่  นายวัฒนา  เขียววิมล  ก็เข้ามาในห้องที่ผู้เขียนถูกคุมขังอยู่   
เคยรู้จักกันมาก่อน   เขาจึงเข้ามาทักผู้เขียนก็ทักตอบ   แต่แล้วก็หันไปจัดการจองเครื่องบินกับเจ้าหน้าที่  นายวัฒนาอยู่สักครู่เล็ก ๆ  ก็ออกไป

การปฏิวัติรัฐประหาร

37.   คณะที่กระทำการปฏิวัติ  เรียกตนเองว่า  “คณะปฏิรูปการปกครอง”   เพื่อมิให้ฟังเหมือนกับการ  “ปฏิวัติ”  ของจอมพลสฤษดิ์  และจอมพลถนอมที่แล้วมา  ซึ่งเป็นที่เบื่อหน่ายของประชาชน   แต่ความจริงก็เป็นการปฏิวัติรัฐประหารนั่นเอง  โดยทหารกลุ่มหนึ่ง  โดยมีพลเรือนเป็นใจด้วย  เพราะ 

(1) ได้มีการล้มรัฐธรรมนูญ 
(2)  ได้มีการล้มรัฐสภา 
(3)  ได้มีการล้มรัฐบาลโดยผิดกฎหมาย 
(4)  คำสั่งของหัวหน้าคณะ  “ปฏิรูป” เป็นกฎหมาย 
(5)  มีการจับกุมปรปักษ์ทางการเมืองโดยพลการเป็นจำนวนมาก  และยังมีลักษณะอื่น ๆ  ที่ไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากการปฏิวัติรัฐประหารที่แล้ว ๆ มา

38.  มีพยานหลักฐานแสดงว่า  ผู้ที่ต้องการจะทำการรัฐประหารนั้น   มีอยู่อย่างน้อย  2  ฝ่าย  ฝ่ายที่กระทำรัฐประหารเมื่อเวลา  18  น.  วันที่ 6  ตุลาคม  กระทำเสียก่อน  เพื่อต้องการมิให้ฝ่ายอื่น ๆ  กระทำได้  ข้อนี้อาจจะเป็นจริง  เพราะปรากฏว่า พลเอกฉลาด  หิรัญศิริ  นักทำรัฐประหารถูกปลด  และไปบวชอาศัยกาสาวพัสตร์อยู่ที่วัดบวรนิเวศเช่นเดียวกับจอมพลถนอม  (วัดบวรนิเวศต่อไปนี้คงจะจำกันไม่ได้  ว่าแต่ก่อนเป็นวัดอย่างไร)
 และพลโทวิฑูร  ยะสวัสดิ์  ก็รีบรับคำสั่งไปประจำตำแหน่งพลเรือนที่ประเทศญี่ปุ่น

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นปฏิวัติรัฐประหารอยู่วันยังค่ำ  

39.  ตามประเพณีการรัฐประหารของไทย   ในระยะ  20  ปีที่แล้วมา  คณะรัฐประหารจัดให้มีการปกครองออกเป็น 3  ระยะ

(ก)  ระยะที่ 1  เพิ่งทำการรัฐประหารใหม่ ๆ  มีการล้มรัฐธรรมนูญ   ล้มรัฐสภาจับรัฐมนตรี  และศัตรูทางการเมืองประกาศตั้งหัวหน้าและคนรองๆ ไป  ตั้งที่ปรึกษาฝ่ายต่าง ๆ  เช่น  การต่างประเทศ  เศรษฐกิจ  ฯลฯ  ให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่รัฐมนตรี  ออกประกาศและคำสั่งต่าง ๆ  เป็นต้น  ระยะนี้เป็นระยะที่เผด็จการมากที่สุด

(ข)  ระยะที่ 2  เป็นระยะที่มีธรรมนูญการปกครอง  ตั้งคณะรัฐมนตรี  ตั้งสภา  ออกกฎหมายโดยสภา  แต่ยังเป็นระยะที่เผด็จการอยู่มาก  เพราะคณะรัฐมนตรีก็ดี  รัฐสภาที่แต่งตั้งขึ้นก็ดีหัวหน้าปฏิวัติยังเป็นผู้คุมอยู่

(ค)  ระยะที่ 3  เป็นระยะที่รัฐสภาแต่งตั้งนั้น  ได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้ว จะมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร แต่หัวหน้าปฏิวัติยังสามารถบันดาลให้การเลือกตั้งนั้น  ลำเอียงเข้าข้างตนเอง

แต่ระยะเวลาจะกินเวลาเท่าใดนั้น  แล้วแต่หัวหน้าคณะปฏิวัติ  เช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์   ระยะที่  2  กินเวลากว่า 10 ปี

การจับกุมศัตรูทางการเมือง  และใช้อำนาจเผด็จการนั้นกระทำได้ทุกเมื่อทุกระยะ   โดยอาศัยกฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์   และอาศัยธรรมนูญการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ  ( ปกติ มาตรา  17 )   ให้อำนาจแก่หัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่

40.  ในการรัฐประหารปัจจุบัน  ระยะที่ 1 กินเวลาตั้งแต่  6  ตุลาคม  ถึง  22  ตุลาคม  นับแต่นั้นมาเราอยู่ในระยะที่ 2  ขณะนี้  แต่นายกรัฐมนตรีธานินทร์   กรัยวิเชียร  ยังขยายความต่อไปอีกว่า  ระยะที่ 2 จะกินเวลา  4 ปี  และระยะที่  3 จะแบ่งเป็น  2  ตอน  ตอนละ  4  ปี  โดยจะกุมอำนาจไว้ต่อไปในระยะที่ 3 ตอนต้น  “เพื่อให้เวลาประชาชนไทยสามารถเรียนรู้การใช้สิทธิตามระบบประชาธิปไตย”

41.  การรัฐประหารปัจจุบันมีข้อแตกต่างจากการรัฐประหารที่แล้วมาอยู่  3  ข้อใหญ่ ๆ  คือ (1)  หัวหน้าปฏิวัติไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง  กลับแต่งตั้งพลเรือนเป็นนายกรัฐมนตรี  และมีการแต่งตั้งล่วงหน้า  14  วัน (2)  ตามธรรมนูญการปกครองที่ประกาศใช้เมื่อ 22  ตุลาคม  2519  (เขาเรียกกันว่ารัฐธรรมนูญ)  นายกรัฐมนตรี  และคณะรัฐมนตรีมีอิสรภาพในการบริหารน้อยกว่าที่แล้วมา   เพราะมีสภาที่ปรึกษา (ทหารล้วน)  ค้ำอยู่ และ (3)  มีการเทิดทูนความเท็จในทางปฏิวัติมากกว่าคราวก่อน ๆ

42.  ในการรัฐประหารแต่ละครั้งในประเทศไทย  หัวหน้าปฏิวัติเป็นนายทหารบก  คราวนี้หัวหน้าเป็นนายทหารเรือ  และรองก็เป็นนายทหารอากาศ  เป็นที่เข้าใจกันว่า  พล.ร.อ.สงัด   ชลออยู่  เป็นผู้ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมามากกว่า  เพราะนิสัยใจคอและลักษณะการคุมกำลังนั้น  คงจะไม่ทำให้คุณสงัดกระทำรัฐประหารได้เอง  การที่รีบตั้งพลเรือนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่จะเป็นเสียเองก็ทำให้เกิดความฉงนมากขึ้น   ปัญหาที่มีผู้กล่าววิจารณ์กันมากก็คือ  ใครเล่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารคราวนี้  ซึ่งรู้สึกว่า  กระทำกันแบบรีบด่วน  อาจจะวางแผนไว้ก่อนหน้าแล้ว  แต่รู้สึกว่ารีบจัดทำขึ้นในวันที่  6  ตุลาคม หลังจากฆาตกรรมในธรรมศาสตร์นั่นเอง

จะว่าพวกของพลเอกฉลาดก็ไม่ใช่   จะว่าพวกของพลโทวิฑูรก็ไม่ใช่   จอมพลถนอมก็ยังไม่ออกหน้ามา  และคงจะไม่แสดงหน้าออกมา 

จะเป็นใครเล่า  เป็นประเด็นที่นักประวัติศาสตร์คงจะค้นหาความจริงได้

43.  รัฐธรรมนูญ  22  ตุลาคม  ก็ยังให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง  เช่นจะใช้อำนาจตุลาการลงโทษผู้ใดก็ได้ตามอำเภอใจ  ตามมาตรา 21  ซึ่งถอดมาจากมาตรา 17  ของธรรมนูญการปกครองเดิม  แต่คราวนี้มีสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาค้ำคอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี  (มาตรา 18  และมาตรา 21)  สภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  ได้แก่ “คณะปฏิรูปการปกครอง”   นั่นเอง  คือเป็นกลุ่มนายทหารและตำรวจ ( 1  คน )  ที่ยึดอำนาจเมื่อ  6  ตุลาคม 2519 

44.  มาตรา  8  ของ  “รัฐธรรมนูญ”  เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของบุคคลมีข้อความประโยคเดียว  คือ  “บุคคลมีสิทธิเสรีภาพภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย”  และเราก็พอจะทราบว่าใครเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย

นอกจากนั้น  ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นมา  ประชาชนจะไม่มีสิทธิ์ทราบความจริงอย่างไรเลย  นอกจาก  “ข้อเท็จจริง”  ที่รัฐบาลอนุญาตให้ทราบได้  เพราะ  “คณะปฏิรูป”  ได้ตั้งกรรมการขึ้น  2  คณะ  คณะหนึ่งเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะอนุญาตให้หนังสือพิมพ์ใดบ้างออกตีพิมพ์ได้   และอีกคณะหนึ่งเป็นผู้เซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ที่ออกได้  บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการทั้ง  2  คณะนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการกล่าวเท็จ  เขียนเท็จทั้งนั้น  และหนังสือพิมพ์ที่ได้รับอนุญาตให้ออกจำหน่ายได้ก็มีแต่หนังสือที่เชี่ยวชาญในความเท็จ  ฉะนั้นในระยะนี้และระยะต่อไปนี้ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะหมดสิ้นเมื่อใด  หนังสือพิมพ์ของเมืองไทยส่วนใหญ่จะมีแต่ความเท็จเป็นเกณฑ์  เชื่อถือไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น  ดาวสยาม  ลงข่าวว่าตำรวจตามจับนายคำสิงห์  ศรีนอกแล้ว  ทางทหารได้หลักฐานยืนยันว่าคำสิงห์กับป๋วยกับเสน่ห์กับสุลักษณ์  ไปประชุมกันที่โคราชกับ เค จี บี  เพื่อทำลายชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  แล้วลงรูปถ่ายหมู่มีฝรั่งอยู่ด้วย  อ้างว่าเป็น  เค จี บี  (รัสเซีย)  ความจริงนั้นรูปถ่ายหมู่  ถ่ายที่เขื่อนน้ำพรม  การประชุมนั้นเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนผามอง  ผู้ร่วมประชุมนอกจากอาจารย์มหาวิทยาลัย  ชาวบ้าน  ข้าราชการทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นแล้ว  ยังมีผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตด้วย  และคนที่ดาวสยามอ้างว่าเป็นรัสเซีย เค จี บี  นั้น  คือนายสจ๊วต  มีแซม  ชาวอเมริกัน 
ศาสนาคริสเตียน  นิกายเควกเก้อ  ขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการสัมมนาของเควกเก้ออยู่ที่สิงคโปร์  เวลานี้กลับไปอเมริกาแล้ว

ความเท็จที่หนังสือพิมพ์เหล่านี้ค้าอยู่มีตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2517

ส่วนวิทยุโทรทัศน์นั้น  ก็ยังค้าความเท็จอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม


ในคืนวันที่ 5 ต่อวันที่ 6 ตุลาคม  สถานีวิทยุ  ท.ท.ท.  ได้พยายามเสนอข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงอย่างเป็นกลาง  แต่สถานีวิทยุยานเกราะไม่พอใจ  เพราะ  ท.ท.ท. เสนอความจริง  ทำให้การปลุกระดมของยานเกราะเสียหายจึงได้ประณาม ท.ท.ท.  อยู่ตลอดเวลาด้วย  ครั้นมีการรัฐประหารขึ้น  ก็ได้มีการปลดผู้รับผิดชอบทาง  ท.ท.ท.  ทั้งวิทยุ และโทรทัศน์ออกโดยไม่มีเหตุผล

เป็นอันว่าจะหาความจริงจากหนังสือพิมพ์หรือวิทยุโทรทัศน์เมืองไทยมิได้เลย   แม้แต่ข่าวว่าตำรวจหรือทหารได้จับใครต่อใครไปบ้าง   หรือใครข้ามไปลาว  หรือใครทำอะไร  อยู่ที่ไหน  พูดว่าอย่างไร  นอกจาก  “ข่าว”  ที่รัฐบาลป้อนให้

คณะรัฐมนตรี  22  ตุลาคม  2519

45.  นายธานินทร์   กรัยวิเชียร  นายกรัฐมนตรีเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์เท่าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการแผ่นดิน  เป็นผู้ที่ได้ออกวิทยุโทรทัศน์แบบนิยม  “ชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์”  และสอนกับเขียนหนังสือ  เกี่ยวกับการต่อต้านปราบปรามคอมมิวนิสต์มากพอสมควร  จนมีผู้กล่าวกันว่า  เป็น “ขวาสุด”

เมื่อยังหนุ่ม ๆ  อยู่  กลับจากศึกษาที่ประเทศอังกฤษใหม่ ๆ  นายธานินทร์เป็นผู้ที่รักการเขียนอยู่เป็นนิสัยแล้ว  ได้เขียนบทความหลาย ๆ  เรื่อง  โดยอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของไทย  ครั้งนั้นวงการตุลการมีเสียงกล่าวหาว่านายธานินทร์เป็นคอมมิวนิสต์  จะด้วยเหตุนั้นกระมังที่มีปฏิกิริยาต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างไม่หยุดยั้ง

นายธานินทร์มีความรู้ดี  มีสติปัญญาเฉียบแหลม  และรู้ตัวว่าฉลาดและสามารถ  ปัญหามีอยู่ว่าจะทนให้สภาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีค้ำคออยู่ได้นานเท่าใด  เฉพาะอย่างยิ่งถ้าสภาที่ปรึกษานั้นเข้าข้างคนทุจริตในราชการ  หรือทำการทุจริตเสียเอง

46.  ในคณะรัฐมนตรี  ฝ่ายทหารสงวนตำแหน่งไว้  3  ตำแหน่ง  คือ รองนายกรัฐมนตรี  1  รัฐมนตรีกลาโหม 1  และรัฐมนตรีช่วยกลาโหม  1  ทั้ง  3   ตำแหน่งนี้ไม่ต้องกล่าวถึง

รัฐมนตรีมหาดไทย  ก็เหมาะสมกับฉายาของกระทรวงนี้ที่เราเรียกกันว่า กระทรวงมาเฟีย

รัฐมนตรีที่เป็นข้าราชการประจำ   ไม่ถึงชั้นปลัดกระทรวงได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี 8 คน  คือ  รองนายกรัฐมนตรี  คนที่ 2  รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย รัฐมนตรีต่างประเทศ  พาณิชย์  ยุติธรรม  ศึกษาธิการ  สาธารณสุข  และทบวงมหาวิทยาลัย

รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และรัฐมนตรียุติธรรม  เป็นเพื่อนส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลือกมาจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน  รัฐมนตรีว่าการเกษตรเป็นข้าราชการบำนาญอายุ 77 ปี  รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรมเป็นข้าราชการบำนาญทหารอากาศ  รัฐมนตรีว่าการคมนาคมเป็นเจ้าของรถเมล์ขาวมาแต่เดิม  ทั้ง 4 คนนี้  คงจะทำหน้าที่ได้ตามสมควร   ตามความประสงค์ของสภาที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี   แต่เท่าที่ได้ทราบมา  นายกรัฐมนตรีได้ทาบทามผู้อื่นก่อน  และได้รับการปฏิเสธมาหลายราย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโกหกเก่ง  และโกหกจนได้ดี

47.  คนอื่น ๆ ที่โกหกเก่ง  แต่น่าเสียใจที่ยังไม่ได้ดี  คือ  ศาสตราจารย์  ดร.อุทิศ  นาคสวัสดิ์  อาคม  มกรานนท์  ทมยันตี  วัฒนา  เขียววิมล  อุทาร  สนิทวงศ์  ประหยัด  ศ.นาคะนาท  และเพื่อน ๆ ของเขาอีกหลายคนที่เป็นนักหนังสือพิมพ์  นักพูดวิทยุและโทรทัศน์

อะไรจะเกิดขึ้น

48.  ผู้เขียนได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไว้  เมื่อเดือนกันยายน  ซึ่งบางตอนได้นำมาถ่ายทอดใน  Far Easten  Economic Review  ว่า  ถ้าเกิดปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในประเทศไทยจะมีนักศึกษา  อาจารย์   นักการเมือง  กรรมกร  ชาวนาชาวไร่  เข้าป่าไปสมทบกับพวกคอมมิวนิสต์  (ทั้ง ๆ  ที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์)  อีกเป็นจำนวนมาก  เท่าที่ฟังดูในระยะยี่สิบวันที่แล้วมา  ก็รู้สึกเป็นจริงตามนั้น  ยิ่งมีเหตุร้ายแรงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ซึ่งกระทบกระเทือนทั่วไปหมด  มิใช่แต่นักศึกษาธรรมศาสตร์เท่านั้น   ยิ่งมีช่องทางเป็นจริงมากขึ้น
 
49.  ข้อที่น่าเสียดายสำหรับคนรุ่นหนุ่มสาวที่ใฝ่ในเสรีภาพก็คือ  เหตุการณ์ในวันที่  6 ตุลาคม  2519  ไม่เปิดโอกาสให้เขามีทางเลือกที่  3  เสียแล้ว  ถ้าไม่ทำตัวสงบเสงี่ยมคล้อยตามอำนาจเป็นธรรม  ก็ต้องเข้าป่าไปทำงานร่วมกับคอมมิวนิสต์ใครที่สนใจในเรื่องสันติวิธี   ประชาธิปไตย  และเสรีภาพ  จะต้องเริ่มต้นใหม่  เบิกทางให้แก่หนุ่มสาวรุ่นนี้และรุ่นต่อ ๆ ไป

50.  ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า  ทหารทั้งหลายยังแตกกัน  และยังแย่งทำรัฐประหาร  สภาพการณ์ก็คงจะเป็นอยู่เช่นนั้น  แม้ว่าตัวการคนหนึ่งจะหลบไปบวช  และอีกคนหนึ่งไปญี่ปุ่น  จะทำอย่างไรให้เกิด  “ความสามัคคี”  ในหมู่ทหาร  ซึ่งหมายความว่าเป็น  “คความสามัคคีในชาติ”  ได้  น่าคิดว่าบทบาทของจอมพลถนอม  กิตติขจร  น่าจะยังมีอยู่  อาจจะสึกออกมารับใช้บ้านเมืองเพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นได้   อย่างที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งหลายหน  เช่น  พระมหาธรรมราชา  เป็นต้น  แล้วจอมพลประภาส  จารุสเถียร  เล่า  พันเอกณรงค์   กิตติขจร  เล่า

51.  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรทางด้านการเมืองก็ตาม  เป็นที่แน่ชัดว่า  โครงการสร้างระบบประชาธิปไตย 3  ระยะ  12  ปี  ของคุณธานินทร์  กรัยวิเชียร  กับพวก  คงจะไม่เป็นไปตามนั้น  “เสี้ยนหนามศัตรู”  ของรัฐบาลนี้มีหลายทางหลายฝ่ายนัก  อะไรจะเกิดขึ้นได้  และสภาวะบ้านเมืองก็คงจะอำนวยให้เกิดขึ้นได้หลายอย่าง  ข้อที่แน่ชัดก็คือ  สิทธิเสรีภาพพื้นฐานจะถูกบั่นทอนลงไป  สิทธิของกรรมกร  ชาวไร่ชาวนา  จะด้อยถอยลงและผู้ที่จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด  คือประชาชนพลเมืองธรรมดานั่นเอง

52.  เมื่อกรรมกรไม่มีสิทธิโต้แย้งกับนายจ้าง  เมื่อการพัฒนาชนบทแต่ละชนิดเป็นการ  “ปลุกระดมมวลชน”  เมื่อมีการปฏิรูปที่ดินเป็นสังคมนิยม  เมื่อราคาข้าวจะต้องถูกกดต่ำลง  เมื่อไม่มีผู้แทนราษฎรเป็นปากเสียงให้ราษฎร  เมื่อผู้ปกครองประเทศเป็นนายทุนและขุนศึก   การพัฒนาประเทศและการดำเนินงานเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  คงจะเป็นไปอย่างเดิม   ตามระบบที่เคยเป็นมาก่อน  2516  ฉะนั้นพอจะเดาได้ว่า  ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนจะมีมากขึ้นทุกที  โดยช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนจะกว้างขึ้น   ชนบทและแหล่งเสื่อมโทรมจะถูกทอดทิ้งยิ่งขึ้น  ส่วนชาวกรุงเทพฯ  และหัวเมืองใหญ่ ๆ  ที่ร่ำรวยอยู่แล้วจะรวยยิ่งขึ้น  ความฟุ้งเฟ้อจะมากขึ้นตามส่วน

การปฏิรูปการศึกษา  การกระจายสาธารณสุขไปสู่ชนบท  การกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นอย่างดี  ก็จะหยุดชะงัก  ปัญหาสังคมของประเทศไทยจะมีแต่รุนแรงขึ้น

53.  ทางด้านการต่างประเทศ   อเมริกาคงจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศ  โดยใช้เป็นหัวหอกต่อสู้กับประเทศคอมมิวนิสต์เพื่อนบ้านของเรา  ประเทศต่าง ๆ  ที่เป็นภาคีในองค์การอาเซียนคงดีใจ  เพราะได้สมาชิกใหม่ที่เป็นเผด็จการด้วยกัน  แล้วยังเป็นด่านแรกต่อสู้คอมมิวนิสต์ให้เขาด้วย

ภายในรัฐบาลไทยเอง  ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์คงจะไม่ราบรื่นนัก  จะเห็นได้จากการที่เอาปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  และอธิบดีกรมการเมืองออกจากราชการ  นัยว่าพวกทหารไม่ชอบ  เพราะไปทำญาติดีกับญวน  เขมร  และลาว  โดยสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีต่างประเทศคนก่อน  การ  “ปราบ”  ญวนอพยพคงจะมีต่อไปการวิวาทกับลาวและเขมรเรื่องเขตแดนหรอเรื่องอื่น ๆ  ที่หาได้ง่าย  คงจะเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา  ปัญหามีอยู่ว่า  จะเป็นเรื่องวิวาทเฉพาะประเทศเล็ก ๆ  ด้วยกันอย่างเดียว  หรือจะชักนำมหาอำนาจให้เข้ามาร่วมทำให้ลุกลามต่อไป


54 ผู้เขียนรู้สึกว่าเท่าที่เขียนมานั้น  ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเศร้าน่าสลด  อนาคตมืดมน

ใครเห็นแสงสว่างบ้างในอนาคต  โปรดบอก


ป๋วย   อึ๊งภากรณ์
28  ตุลาคม 2519


ที่มา  : จากหนังสือ คำให้การของ  ดร.ป๋วย  อึ๊งภากรณ์ กรณีเหตุการณ์  6  ตุลาคม
มูลนิธิโกมลคีมทอง  , พิมพ์ครั้งที่  3  ตุลาคม 2527  หน้า 87 - 129

หมายเหตุ
บันทึกนี้ สังเกตวันที่ ลง 28 ตุลาคม 2519 เรียกได้ว่าเป็น "บันทึกสด ๆ" หลังเหตุการณ์เพียง 22 วันเท่านั้น
ย่อมถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ผมยังไม่ได้ตรวจสอบกับเรื่องเดียวกัน ในหนังสือ"คำให้การของดร.ป๋วยฯ" ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2
ของสำนักพิมพ์สนุกนึก ( พฤศจิกายน 2525 ) แต่ถ้าผิดพลาดคลาดเคลื่อนคงเรื่องตัวสะกดและวรรคตอน

แคน ไทเมือง

******************
สายใยไทยทั้งเมือง

Permalink : http://www.oknation.net/blog/canthai
 
http://www.oknation.net/blog/canthai/2008/02/17/entry-2


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 17-02-2008, 19:05
อ้างถึง
13.  การปลุกระดมของยานเกราะได้ผล  ทางด้านรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนในตอนดึกของวันอังคารที่ 5 ตุลาคม  และได้มีมติให้นำตัวหัวหน้านักศึกษาและนายอภินันท์  ผู้แสดงละคอนแขวนคอมาสอบสวน

พอเช้าตรู่ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม  นายสุธรรม  เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา  พร้อมด้วยผู้นำนักศึกษาจำนวนหนึ่งกับนายอภินันท์นักแสดงละคอนแขวนคอ  ได้ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจที่บ้านนายกรัฐมนตรี  เผอิญนายกรัฐมนตรีออกจากบ้านไปทำเนียบเสียก่อน   นายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์แจ้งให้อธิบดีกรมตำรวจคุมตัวนายสุธรรม  นายอภินันท์  และพวกไปสอบสวน  ผู้เขียนบันทึกในขณะนี้ยังไม่ทราบผลของการสอบสวนดังกล่าว

ฝากลุงแคนไว้นะคะ

เคยได้ยิน จากปากของผู้ถูกจับกุมในวันนั้นคนหนึ่ง ในการเล่าด้วยวาจา ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ ผู้เล่าคือ อ.วิโรจน์ ตั้งวานิช ที่แสดงเป็นหนึ่งในช่างไฟฟ้าที่ถูกแขวนคอ ร่วมกับ นายอภินันท์ เล่าว่า ในวันที่ไปหานายกรัฐมนตรี มรว.เสนีย์ ที่บ้านนั้น ได้พบค่ะ ก่อนที่ท่านจะออกไปทำเนียบเล็กน้อย และเมื่อได้พูดคุยกันสองสามคำ ท่านก็สั่งให้รอตำรวจสอบสวนอยู่ที่บ้านท่าน เมื่อตำรวจมาก็ควบคุมตัวไปทั้งหมด และหมดอิสรภาพตั้งแต่วันนั้น จนได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในอีกหลายปีต่อมา

เท็จจริงก็ฝากไว้ค่ะ เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์อันหนึ่ง


อีกข้อมูลที่อยากฝากไว้ก็คือ

พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ นับถือศาสนาคริสต์ ที่บอกเล่าไว้มิได้มีเจตนาเกี่ยวกับศาสนาแต่อย่างไร แต่อยากจะให้เป็นข้อมูลว่า การรัฐประหารของประเทศไทยนั้น เคยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารในทุกศาสนาใหญ่ของประเทศ ทั้ง พุทธ อิสลาม คริสต์

เป็นภาพที่แสดงว่า การแบ่งแยกคนเพราะศาสนาในประเทศไทยนั้น ไม่มีมานานแล้ว ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็สามารถรับราชการ หรือทำงานได้ ทุกตำแหน่ง ทุกสถานที่

การแบ่งแยกโดยอ้างศาสนาทางภาคใต้ จึงเป็นเรื่องของคนที่พยายามหาเรื่องเท่านั้นเองค่ะ  :slime_v:


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 17-02-2008, 19:22
นายกเสนีย์ กลัวว่าจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไงครับ เพราะในฝ่ายซ้ายของ ปชป. ก็มี ฝ่ายขวาก็มี

ตอนที่จับหรือควบคุมตัวแกนนำ นิสิตนักศึกษาที่บ้านน่ะ ก็ถูกแล้ว คือคำสั่งนายกให้ตำรวจสลายการชุมนุม

แต่ไม่ได้ไปสั่งให้ยิง ให้ฆ่าใคร เสียดายช่วงนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่งั้นเหตุการณ์คงไม่บานปลายขนาดนั้น

( ในหนังสือของมรว.เสีย์ ปราโมช ก็เล่าเรื่องนักศึกษาไปหาที่บ้านไว้ด้วยนี่ครับ )

รายละเอียดของเหตุการณ์แต่ละช่วง แต่ละห้วงเวลา ต้องนำมาเรียงลำดับ ตามเวลาที่เกิดเหตุ

ในฝ่ายทหารเองก็มี 2 ก๊ก แย่งชิงการนำ คือฝ่าย พลเอกกฤษณ์ สีวะรา กับกลุ่มสายเก่า ถนอม / ประภาส

ตอนที่เค้าปฏิวัติกันแล้ว ยังไม่มีตัวนายก เค้าก็เสนอให้ มรว.เสีย์ ปราโมช เป็นนายกขัดตาทัพ แต่ท่านไม่รับ

มรว.เสีย์ ปราโมช ถูกกักอยู่ในบก.คณะปฏิรูป 2-3 วัน ถึงปล่อยตัวกลับ

ช่วงที่ จอมพลประภาส กลับมาเมืองไทยแล้วถูกกดันให้ออกไปอีกครั้ง ผมไปทำข่าวด้วยตัวเอง

ถ้าให้ดี ต้องค้นหนังสือเก่า มาเรียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ทราบว่า คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ ที่อยู่ในฝ่ายผู้เสียหาย

เรียบเรียงไปถึงไหน....เห็นที่ใช้อ้างอิง ก็เป็นเรื่องราว ลำดับเวลาจากหนังสือ "สารคดี" เป็นหลัก


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 17-02-2008, 20:05
อ้างถึง
มีปัญหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งที่ทำการปฏิวัติตี 4 คืนวันที่ 6 ตุลาคม คือใคร คุณสงัดบอกปู่แต่เริ่มต้นเป็นรัฐบาลว่า คุณประมาณหัวหน้าพรรคชาติไทยชวนให้ทหารทำการปฏิวัติแต่เห็นได้ว่าโดยลำพังพรรคชาติไทยจะก่อการปฏิวัติไม่ได้ ต้องพึ่งกำลังทหาร โดยพฤติการณ์ของคุณประมาณและชาติชายที่เดินเข้าๆออกๆระหว่างประชุม ค.ร.ม. เช้าวันที่ 6 ตุลาคม ดังกล่าวมา อย่างมากคงรู้เห็นผสมโรงกับลูกเสือชาวบ้านและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหรือไม่รู้เห็นกับกลุ่มตี 4 เพื่อล้มรัฐบาล อีกฝ่ายหนึ่งที่จะก่อการปฏิวัติตี 4 คงได้แก่กลุ่มพลเอกฉลาด หิรัญศิริ คุณประมาณในฐานะเป็นร.ม.ต.กลาโหมในรัฐบาลคึกฤทธิ์ แต่งตั้งพลเอกฉลาดเป็นรองผบ.ทบ.หลังจากทำการปฏิวัติสำเร็จ พลเอกฉลาดเป็นหัวหน้าทหารยึดอำนาจ ยิงพลเอกอรุณ ถึงแก่ความตาย แต่ยึดอำนาจไม่สำเร็จ พลเอกฉลาดถูกนำตัวขึ้นศาลทหารและถูกยิงเป้าฐานก่อการขบถ

การยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 คณะก่อการเรียกว่าเป็นการปฏิรูปไม่ใช่การปฏิวัติ โดยรูปศัพท์ ปฏิวัติ (Revolution) หมายความถึงการเปลี่ยนแปลงชนิดตัดรากถอนโคน เช่น การปฏิวัติ 2475 ล้มอำนาจสมบูรณาสิทธิราชย์ ส่วนการปฏิรูป (Reformation) หมายความถึง การปรับปรุงใช้ของเก่าที่มีอยู่ แต่ดัดแปลงให้ดีขึ้น
อันนี้ เป็นส่วนหนึ่ง จากบันทึก เรื่อง 6 ตุลา 19 ของหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ฯ.....

ผมนำมาโค๊ต เพื่อ อธิบายว่า ใคร เป็นคนต้นคิดเรื่องปฏิวัติในครั้งนั้น


เหตุผลการคัดค้านของพลตรีชาติชาย ชุณหะวัน อ่อน รัฐมนตรีส่วนมากนั่งเฉย แสดงว่าเห็นด้วยในการประกาศภาวะฉุกเฉิน พลตรีชาติชายจึงได้ไปนำเอาพล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน ผู้เป็นหัวหน้าลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่งของฝ่าย ตชด. เข้ามาในคณะรัฐมนตรี มาคัดค้านการประกาศภาวะฉุกเฉิน และกล่าวว่า จะต้องปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้สิ้นซาก นายกรัฐมนตรีพูดว่าไม่ได้ หากเกิดจลาจลเป็นหน้าที่ของตำรวจทหาร บ้านเมืองมีขื่อมีแป คุณจะเอาประชาชนไปฆ่าประชาชนไม่ได้ พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์บังอาจโต้นายกรัฐมนตรีต่อไปว่า ลูกเสือชาวบ้านก็มีวินัยรวมกับตำรวจทหารได้ ดูเหตุการณ์จากการกระทำของรัฐมนตรีฝ่ายพรรคชาติไทยและที่ไปนำพล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ เข้ามาโต้เถียงกับนายกรัฐมนตรีแล้ว อาตมาเข้าใจได้ทันทีว่าพวกนี้ต้องวางแผนการปฏิวัติไว้แล้ว และเชื่อแน่ของพวกเขาแล้วว่าต้องสำเร็จแน่ ตำรวจยศพลตำรวจตรี ยังกล้าเถียงนายกรัฐมนตรีถึงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลตรีประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย รมต.เกษตรฯ แสดงความเห็นในคณะรัฐมนตรีว่า เป็นจังหวะและโอกาสดีที่สุดแล้วที่จะปราบปราม ให้ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้ถูกลบชื่อหายไป  

การกวาดล้างอย่างรุนแรง ด้วยการฆ่าฟัน คงไม่ใช่รูปแบบที่ มรว.เสนีย์ ต้องการให้เป็นอยู่แล้ว ...แล้วยิ่งไม่น่าจะใช่ คนที่ สมศักดิ์ เจียมกล่าวอ้างว่า อยู่เบื้องหลัง พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่.....การฆ่าฟันนักศึกษา น่าจะมีการวางแผนล่วงหน้ากันแล้ว....

ดังนั้น หม่อม เสนีย์ จึงเสนอให้ ประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อ ควบคุม และ สลายการชุมนุม...เนื่องจาก มีกำลังลูกเสือชาวบ้าน เริ่มก่อตัว และ มีแนวโน้ม จะเข้าทำร้ายนักศึกษา....แตพลเอก ชาติชาย กลับคัดค้าน ..มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ

อ้างถึง
"หลังจากนั้น พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัน ก็ออกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่นานลูกเสือชาวบ้านและพวกเขาที่เตรียมไว้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีนายธรรมนูญ เทียนเงิน นายสมัคร สุนทรเวช นายส่งสุข ภัคเกษม  และพวกได้ไปร่วมอยู่ด้วยนั้น ก็เคลื่อนขบวนมาทั้งรถยนต์ และเดินมาล้อมทำเนียบรัฐบาล"

คงไม่ต้องสงสัยน๊ะครับ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ลูกเสือชาวบ้านเหล่านั้น

ปล. จดหมายจากพระสุรินทร์ เป็น เอกสารทีมีการอ่านกันมามากกว่า ยี่สิบปีแล้ว...แต่ ผมยังไม่เคยเห็นตัวละคร ที่ คุณสุรินทร์ พูดถึงใน จดหมาย ออกมาปฏิเสธ......เรื่องการสั่งการ ต้องฟังจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับ การสั่งการในตอนนั้นครับ.....ในยุคนั้นข่าวสารมันไม่ว่องไว รวดเร็ว เหมือนปัจจุบัน...ข่าวต่าง ๆ ค่อนข้างปิด ไม่งั้นคุณสมัคร จะปั่นหัวให้คนไปฆ่าฟันพวกนักศึกษาได้เหรอครับ....มันโหด ขนาดมีการ ตอกลิ่มที่อก คนที่ยังไม่ตาย มีการเผาคนเป็น ๆ...
แล้วยังอะไรต่อมิอะไรอีกที่ได้ดูจากวิดีโอที่นำมาฉายกันในหลายปีให้หลัง.....สิ่งสำคัญ มันไม่ใช่ ซ้ายหรือขวาหรอกครับ...แต่ เป็นอำนาจ ที่ คนอยากได้จนถึงกับยอมฆ่าฟันคนไทยด้วยกัน ทำสิ่งชั่ว ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ.....

หลังจากการยึดอำนาจ ของพลเอกสงัด ชลออยู่......นายสมัคร สุนทรเวช ก็ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรี มหาดไทย...ในยุคนั้น เป็นกระทรวงที่ใหญ่คับฟ้าครับ  เพราะมี กำลังตำรวจอยู่ในมือ.....ผมยังจำที่ เพื่อน ๆ พูดเล่นกันตอนนั้นได้เลยครับ...ตำรวจจะยืนคุยกับคุณสมัคร.... ต้องยืนกุมไข่


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 17-02-2008, 23:43
สมัครขึ้นมาใหญ่ ในมหาดไทย งานแรกคือ ปลดอธิบดีตำรวจ พล.ต.ต ศรีสุข ซึ่งเป็น 1 ในคณะปฎิรูป

ปลดผู้ว่าฯ กทม. คนที่ปลุกปั้นสมัครขึ้นมานั่นแหละ


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 25-02-2008, 20:33
มานั่งรอคุณ mebeam ครึ่งชั่วโมงแล้ว....ขุดกระทู้มาให้เลยดีกว่า


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: jerasak ที่ 25-02-2008, 21:12
สมัครขึ้นมาใหญ่ ในมหาดไทย งานแรกคือ ปลดอธิบดีตำรวจ พล.ต.ต ศรีสุข ซึ่งเป็น 1 ในคณะปฎิรูป

ปลดผู้ว่าฯ กทม. คนที่ปลุกปั้นสมัครขึ้นมานั่นแหละ

เรื่องปลดผู้ว่าฯ กทม. ธรรมนูญ เทียนเงิน (ผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 5 ดำรงตำแหน่ง 10 สค. 18 - 29 เม.ย. 20)
เป็นฝีมือของคุณสมัครด้วยหรือครับ จากข้อมูลที่ลงในวิกิพีเดียระบุว่าเป็นคำสั่งปลดของ นายกฯ ธานินทร์
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ประมาณครึ่งปี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.81.E0.B8.95.E0.B8.B1.E0.B9.89.E0.B8.87.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B8.A7.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.8A.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.87.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.9E.E0.B8.A1.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.84.E0.B8.A3_.E0.B8.9E..E0.B8.A8._2535

หรือว่าจริงๆ คุณสมัคร ในฐานะ รมว.มหาดไทย เป็นคนเซ็นปลดอาของตัวเองจากตำแหน่ง  :slime_smile:


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: mebeam ที่ 25-02-2008, 22:09
มานั่งรอคุณ mebeam ครึ่งชั่วโมงแล้ว....ขุดกระทู้มาให้เลยดีกว่า

รอทำไม ผมก็แค่คนเข้ามาอ่าน เพื่อประดับความรู้เท่านั้นแหละจ้า



หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 26-02-2008, 08:45
ลุงเปลว เรียบเรียง เหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับนายสมัคร.....ในช่วงก่อน และ หลัง วันที่ 6 ตุลา 19  เอาไว้.....ผมนำมาแปะ ไปไว้ในกระทู้ จะได้ ค่อย ๆ เรียบเรียง เหตุการณ์ กันให้สมบูรณ์  ....ใคร เป็น ใคร...ใครเสียอำนาจ ...ไม่พอใจ เรื่องตำแหน่ง....

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=23/Feb/2551&news_id=154954&cat_id=200


อ้างถึง

ถึงแม้ "ท่านนายกฯ สมัคร" จะเป็นตัวละครมีตำแหน่งอยู่ทั้ง ๒ ด้าน คือทั้งด้านถูกปฏิวัติและด้านปฏิวัติ  แต่การเปลี่ยนข้างนั้น ใช้เวลาเป็นรอยต่อแคบจริงๆ

เพราะฉะนั้น  ท่านอาจจะเบลอๆ จำไม่ได้ว่าได้ทำอะไร ได้พูดอะไรไปบ้าง และอยู่ข้างไหนกันแน่ตอนนั้น วันนี้ผมจึงอยากนำบันทึกแต่ละช่วงสั้นๆ ในรอยแต่พลิกขั้ว-พลิกข้างมากระตุ้นต่อมความจำให้ท่าน

-๑๙ ก.ย.๑๙ จอมพลถนอม กิตติขจร บวชเป็นเณรจากสิงคโปร์เข้าไทย มาบวชเป็นพระอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร

-๒๓ ก.ย.๑๙ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

-๒๕  ก.ย.๑๙ นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา ประชุม ๔ พรรคร่วม  มีมติให้ ม.ร.ว.เสนีย์เป็นนายกฯ ต่ออีกวาระ  และนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

-๒๕  ก.ย.๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว.เสนีย์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก็ขอแทรกให้ทราบนะครับว่า ครม.ของรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แห่งพรรคประชาธิปัตย์นี้ มีนายสมัคร  สุนทรเวช และนายสมบุญ ศิริธร ฉายาหมูหิน ร่วมเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย และท่านเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น
ในช่วงนี้ นับจากจอมพลถนอมบวชเข้าประเทศไทย บรรยากาศ "ซ้ายพิฆาตขวา-ขวาพิฆาตซ้าย" ตึงเครียด  เข้มข้นมาก นิสิตนักศึกษา-ประชาชนไม่ยอม เดินขบวนชุมนุมประท้วง พลุ่งพล่านทั้งเมือง

เมื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ได้รับโปรดเกล้าฯ กลับเข้ามาเป็นนายกฯ ก็ต้องฟอร์ม ครม.ใหม่อีก ข่าวมีว่า ครม.ใหม่นี้จะไม่มีชื่อนายสมัคร-นายสมบุญเป็นรัฐมนตรีอีก ฉะนั้น ในปฏิทินบันทึกจึงมีว่า

-๑  ต.ค.๑๙ นายสมบุญ ศิริธร และนายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย  ได้ยื่นหนังสือถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ว่าหากมีการเปลี่ยน หรือย้ายให้ไปอยู่กระทรวงอื่น จะไม่ยอมรับตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

-๓ ต.ค.๑๙ ม.ร.ว.เสนีย์กล่าวว่า เมื่อนายสมัคร กับนายสมบุญ ไม่เต็มใจรับตำแหน่งใหม่ ก็จะไม่แต่งตั้งให้
-๔  ต.ค.๑๙  ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย  ชุมนุมการต่อต้านการกลับมาของพระถนอมที่สนามหลวง มีนักศึกษา-ประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก ต่อมาย้ายไปชุมนุมที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

-๕ ต.ค.๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

-๕ ต.ค.๑๙  กลุ่มผู้รักชาติชุมนุมประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล คัดค้านการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่  ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมบุญ ศิริธร รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ไม่ได้รับการแต่งตั้ง
-๖  ต.ค.๑๙ กลุ่มต่อต้านศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และประชาชน พยายามบุกเข้าธรรมศาสตร์ เกิดการยิงต่อสู้ ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่

มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก 

-๖ ต.ค.๑๙ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน  เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  เมื่อเวลา ๑๘.๐๐  น.

-๘   ต.ค.๑๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี

ครับ..ที่ผมลำดับเหตุการณ์ไปตามวันให้ท่านเห็น ก็เพื่อคลายความจำสับสนน่ะครับ เพราะช่วงรอยต่อรัฐบาลใหม่ ม.ร.ว.เสนีย์เข้าทำหน้าที่ กับช่วงทหารเข้ายึดอำนาจเป็น "รัฐบาลหอย" มีนายธานินทร์เป็นนายกฯ

เรียกว่า "วันชนวัน"!

หลายคน  อาจรวมถึงเจ้าตัวคือ "นายสมัคร" เองด้วย อาจเบลอไปว่า เอ๊ะ..แล้วในบรรยากาศ  ๖ ตุลา เราเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลฝ่ายไหนกันแน่?

นายสมัครเป็นรัฐมนตรีอยู่ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายปฏิวัตินั่นแหละครับ เพียงตกร่องอยู่ช่วงที่ ม.ร.ว.เสนีย์ลาออก และกลับเข้าเป็นใหม่ นายสมัครก็ว่างอยู่ระหว่างฟอร์ม ครม.ใหม่ จาก  ๒๓  กันยา ถึง  ๕ ตุลา ที่มีพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ โดยไม่มีชื่อนายสมัคร แค่ ๑๑-๑๒ วันเท่านั้น
แต่จากวันที่ ๖ ต.ค.ที่ พล.ร.อ.สงัดปฏิรูปล้มรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ และนายธานินทร์มาเป็นนายกฯ รัฐบาลปฏิรูปวันที่ ๘ ต.ค.

นายสมัคร-จากอดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของพรรคประชาธิปัตย์ "ซ้ายอ่อนๆ" ก็ข้ามฟากมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของฝ่าย "ขวาจัด" เต็มตัว  ครับ..ค่อยๆ จัดเส้นประสาทให้เข้าที่ "ทีละน้อย" ก่อนนะครับ จะได้จำความหลัง-หายเลอะเลือน เพื่อตอบข้อสงสัยของนักข่าวรุ่นลูกๆ หลานๆ ที่ชอบซักกันอยู่เรื่อยว่า "ตายกี่คนกันแน่?" ได้แม่นยำ ท่านจำชื่อ "สุรินทร์  มาศดิตถ์" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมัยนั้นได้ใช่ไหมครับ แล้ววันจันทร์ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด..ไม่ชัด ก็คงมีใครต้อง "ช็อค" กันไปข้างแหละครับ


หัวข้อ: Re: จดหมายพระสุรินทร์ (สุรินทร์ มาศดิตถ์)
เริ่มหัวข้อโดย: sak ที่ 28-02-2008, 00:16
  ขอให้ผู้ที่เสียสละชีวิต ในเหตุการณ์ทุกคนไปสู่สุขคติ

 พวกท่านไม่ได้เปงคนกล่มแรกและกลุ่มสุดท้ายที่เสียสละชีวิต เพื่อ ประชาธิประไตย ตามใดที่คนชั่ว ยังครองเสียงข้างมากในสภา

 คนรุ่นหลังจะยังคงสืบสานเจตนารมณ์  ของพวกท่านต่อไป