ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สโมสรริมน้ำ => ข้อความที่เริ่มโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-01-2008, 22:02



หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-01-2008, 22:02
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา...ดอกฟ้าฯได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่

หลังจากไม่ได้ไปมานานแล้ว เลยอยากเอาภาพสวยๆมาฝากค่ะ

ขออภัยถ้าหากเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนในที่นี้นะคะ


ผิดตกยกเว้น....ดอกฟ้าฯ ขออภัยล่วงหน้านะคะ

 แค่อยากเอาสิ่งที่ได้เห็นมาแบ่งปันกันค่ะ


..................................................................่



สถานที่แห่งแรก ที่พี่สาวพาไปชมและไปกราบสักการะ หลังจากไปถึงก็คือ อนุสาวรีย์ พระนางจามเทวี แห่งนครหริภุญไชย

ปฐมกษัตรีย์แห่งล้านนา ที่จังหวัดลำพูนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเชียงใหม่เท่าไหร่นัก





(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/1-1.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/4d63e34c.jpg)





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-01-2008, 22:14
พระนางจามเทวี

ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย

ชาติกำเนิดของพระนางจามเทวี มีที่มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน

ทั้งจากตำนาน พงศาวดารและหลักฐานอื่น ในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวว่าพระนางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้

ได้เดินทางพร้อมพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏกและช่างผู้มีฝีมือหลากหลายประเภท 500 คน จากเมืองละโว้ สู่นครหริภุญไชย

(อ้างอิงจาก จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และมูลศาสนา สำนวนล้านนา)อีกสำนวนหนึ่งซึ่งเป็นมุขปาฐะ

สำนวนพื้นบ้าน กล่าวว่า พระนางจามเทวีนั้นทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวหริภุญไชยมาแต่เดิม

โดยเป็นบุตรีของคหบดีผู้หนึ่ง นามว่า อินตา ส่วนมารดาไม่ทราบชื่อ ทั้งสองเป็นชาวเมงคบุตร

อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

ได้มีการบันทึกตามพระชาตาพระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่า

ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๑๗๖ เวลาจวนจะค่ำ


ที่มา... จากวิกิพีเดีย



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/jpg.jpg)


มีผู้มาสักการะบูชาไม่ขาดสาย


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-01-2008, 23:22
ขากลับเข้าเชียงใหม่ ได้มีโอกาสได้ไปกราบสักการะ

พระธาตุหริภุญไชยที่ชาวลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ เคารพนับถืออย่างมาก....


 ตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นในราวปลายพุทธสตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยของพญา-

อาทิตยราช กษัตริย์แห่งจามเทวีวงศ์ ที่แห่งนี้เดิมเป็นพระราชฐาน ต่อมาได้อุทิศถวายให้เป็น

พุทธบูชา เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตามพุทธทำนาย

       ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ปรากฏในตำนานว่าเดิมเป็นเจดีย์ทรงปราสาท ก่อด้วยศิลาแลง

ในสมัยพญามังรายเปลี่ยนเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา และในสมัยพระเจ้าติโลกราชทรงร่วมกับพระมหาเมธังเถระ

บูรณะจนมีรูปทรงดังในปัจจุบัน ประกอบด้วยชุดฐานปัทม์แบบบัวลูกแก้วยกเก็จ

รองรับฐานซ้อนลดหลั่นเป็นชุด ประกอบด้วยฐาน 3 ฐาน รองรับองค์ระฆังที่ประดับลวดลายดอกไม้สี่กลีบ

ระหว่างลายมีภาพพระพุทธรูปดุนนูนโดยรอบ น่าจะเป็นส่วนบูรณะเพิ่มเติมในสมัยพระเมืองแก้ว

เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ 21รูปแบบพระธาตุหริภุญไชยที่เห็นนี้เป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาอย่างแท้จริง

มีกำหนดอายุในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20-21

http://www.krungsri.com/KrungsriDocumentlary/text26-dec45.htm[/size]


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture056jpg.jpg)pt][/size][/color]


ภาพนี้ถ่ายเองค่ะ... :slime_v:



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/6caf5d72.jpg)


ได้แวะซื้อลำไยอบแห้งมาเคี้ยวเล่น อีกทั้งของฝากในบริเวณพระธาตุฯ ซึ่งราคาถูกกว่า

ข้างนอกมาก เล่นเอาเมื่อยขาเลยทีเดียว เพราะใช้เวลาเลือกซื้ออยู่นาน

มีแต่ของสวยๆ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหินฮะ๛ ที่ 19-01-2008, 06:44
:slime_smile:

เข้ามาอ่านฮะ .. ชอบมาก ในยุคพระนางจามเทวี

 :slime_smile:  นางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้..   
และ.. เป็น ..ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย
ลวะปุระ หรือละโว้ เป็นศุนย์กลางแห่งหนึ่งของศิลปะทวารวดี

จุลศักราชที่1 แคว้นเชียงแสนนั้น ก็เช่นกัน ในตำนานได้กล่าวว่า แคว้นนี้ ถูกสถาปนาขึ้นราว จุลศักราชที่ 1 โดยปู่เจ้าลาวจก หรือ ลาวจักราช ซึ่งเป็นชื่อที่เกิดจากธรรมเนียมนิยมในการแต่งตำนานที่มักนิยมแปลงชื่อภาษาถิ่น ให้เป็นภาษาบาลี และ นิยมเทียบจุดกำเนิดเมืองต่าง ๆ ให้เริ่มต้นที่จุลศักราชที่ 1 ดังที่ปรากฏในตำนานเกี่ยวกับนางจามเทวี ดังนั้น ในเรื่องราวในช่วงต้น ๆ ของแคว้นเชียงแสน
  เรื่องราวของแคว้นเชียงแสนในตำนานเริ่มชัดเจนขึ้น ตั้งแต่รัชสมัยของ ขุนเจื๋อง เป็นต้นมา และชัดเจนที่สุดตั้งแต่รัชสมัยของพระยามังรายเป็นต้นมา โดยพระองค์สามารถรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก
และต่อมาถึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านนา มีราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงใหม่
 
(คนละพวกกับ กลุ่ม ขอม )
ขอม คือพวก อานาจักร เขมร มี
พระเจ้าชัยวรมันที่ 1(พ.ศ.1178 - 1233)
เขมรก็ได้ขยายอาณาจักรออกไปอีกมากมาย โดยทางเหนือจรดอาณาจักรน่านเจ้าทางตะวันตก ตีได้ดินแดนของอาณาจักร ทวาราวดี แต่กษัตริย์เขมรที่ขึ้นครองราชย์ต่อๆมาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาอำนาจและดินแดนเอาไว้ได้ ทำให้เขมรในสมัยต่อมาเกิดความแตกแยกและอาณาจักรแตกออกเป็น 2 ส่วนคือ เจนละเหนือ (บก) และเจนละใต้ (น้ำ)
 


อ้างถึง
ดังนั้น ลวะปุระ (ละโว้ )ปู่เจ้าลาวจก หรือ ลาวจักราช   เป็น ญาติ กับ พรานางจามเทวี  ( ปฐมกษัตริย์ อาณาจักรหริภุณชัย )ครอบครองดินแดน อาณาจักรทารวดี ร่วมกัน ..

โดยมีพวกขอม อาญาจักรเขมร มี พระเจ้าชัยวรมันที่ 1   เป็น ศัตรู  ชอบเข้ามาก่อกวนแย่งดินแดน อิสาน และแม่น้ำเจ้าพระยา
...
 


 :slime_agreed:  เรื่อง ที..ประวัติศาตร์ ไทย ไม่ค่อยจะสอนเด็กให้จดจำ

อยากให้ เด็กไทย จดจำ .. ยุค ของ พระนาง จามเทวีฮะ
เพราะมีเรื่อง .. ที่ สถานการณ์เดียวกัน คือ
..  พ.ศ. 1167 แม่นาง อู่เม่ยเหนียง(บูเช้คเทียน)  เกิด ก่อนพระนางจามเทวี 9 ปีเอง
..  พ.ศ. 1176 พระนางจามเทวี เกิด ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. 1176 เวลาจวนจะค่ำ 
..  พ.ศ.  1178 พระเจ้าชัยวรมันที่ 1
..  พ.ศ. 1181   ต้นกำเหนิด  จุลศักราช ที่ 1 เราเริ่ม แบ่ง ดินแดน แยก กับ พวก ขอม ***
..  เป็น ยุคเดียว กับ ราชวงค์ ถัง ของจีน คือ  องค์ที่ 2  ถังไท่จง"หลี่ซื่อหมิง" เริ่มครองราช ตอนอายุประมาณ 40 ขวบ
..  เป็น ยุคเดียว กับ พระถัง ซำจั๋ง อายุได้ สมณะเฮี่ยนจั๋ง(พระถังซำจั๋ง) เกิดเมื่อ พ.ศ.๑๑๔๕ เป็นชาวเมืองโลยางจาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดียเมื่ออายุ ๒๗ ปี เดินทางถึงนาลันทาต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๑๑๘๐**** ในยุคที่นาลันทาเจริญรุ่งเรืองเต็มที่แล้ว(พ.ศ.๑๑๗๒-๑๑๘๘) นาลันทามหาวิหารกลายเป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบในสมัยราชวงศ์คุปตะ

.. ราชวงศ์หริภุญชัย (พ.ศ. 1206 อาณาจักรหริภุณชัย)  สิ้น ราชวงค์ -พ.ศ. 1836


 :slime_fighto: สนุก มากฮะ ถ้า เราอ่าน อนุทิน ประวัติศ่าสตร์


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-01-2008, 21:50
:slime_smile:

เข้ามาอ่านฮะ .. ชอบมาก ในยุคพระนางจามเทวี

 :slime_smile:  นางเป็นธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้..   
และ.. เป็น ..ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย
ลวะปุระ หรือละโว้ เป็นศุนย์กลางแห่งหนึ่งของศิลปะทวารวดี

จุลศักราชที่1 แคว้นเชียงแสนนั้น ก็เช่นกัน ในตำนานได้กล่าวว่า แคว้นนี้ ถูกสถาปนาขึ้นราว จุลศักราชที่ 1 โดยปู่เจ้าลาวจก หรือ ลาวจักราช ซึ่งเป็นชื่อที่เกิดจากธรรมเนียมนิยมในการแต่งตำนานที่มักนิยมแปลงชื่อภาษาถิ่น ให้เป็นภาษาบาลี และ นิยมเทียบจุดกำเนิดเมืองต่าง ๆ ให้เริ่มต้นที่จุลศักราชที่ 1 ดังที่ปรากฏในตำนานเกี่ยวกับนางจามเทวี ดังนั้น ในเรื่องราวในช่วงต้น ๆ ของแคว้นเชียงแสน
  เรื่องราวของแคว้นเชียงแสนในตำนานเริ่มชัดเจนขึ้น ตั้งแต่รัชสมัยของ ขุนเจื๋อง เป็นต้นมา และชัดเจนที่สุดตั้งแต่รัชสมัยของพระยามังรายเป็นต้นมา โดยพระองค์สามารถรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก
และต่อมาถึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านนา มีราชธานีอยู่ที่เมืองเชียงใหม่
 
(คนละพวกกับ กลุ่ม ขอม )
ขอม คือพวก อานาจักร เขมร มี
พระเจ้าชัยวรมันที่ 1(พ.ศ.1178 - 1233)
เขมรก็ได้ขยายอาณาจักรออกไปอีกมากมาย โดยทางเหนือจรดอาณาจักรน่านเจ้าทางตะวันตก ตีได้ดินแดนของอาณาจักร ทวาราวดี แต่กษัตริย์เขมรที่ขึ้นครองราชย์ต่อๆมาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาอำนาจและดินแดนเอาไว้ได้ ทำให้เขมรในสมัยต่อมาเกิดความแตกแยกและอาณาจักรแตกออกเป็น 2 ส่วนคือ เจนละเหนือ (บก) และเจนละใต้ (น้ำ)

 


 :slime_agreed:  เรื่อง ที..ประวัติศาตร์ ไทย ไม่ค่อยจะสอนเด็กให้จดจำ

อยากให้ เด็กไทย จดจำ .. ยุค ของ พระนาง จามเทวีฮะ
เพราะมีเรื่อง .. ที่ สถานการณ์เดียวกัน คือ
..  พ.ศ. 1167 แม่นาง อู่เม่ยเหนียง(บูเช้คเทียน)  เกิด ก่อนพระนางจามเทวี 9 ปีเอง
..  พ.ศ. 1176 พระนางจามเทวี เกิด ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. 1176 เวลาจวนจะค่ำ 
..  พ.ศ.  1178 พระเจ้าชัยวรมันที่ 1
..  พ.ศ. 1181   ต้นกำเหนิด  จุลศักราช ที่ 1 เราเริ่ม แบ่ง ดินแดน แยก กับ พวก ขอม ***
..  เป็น ยุคเดียว กับ ราชวงค์ ถัง ของจีน คือ  องค์ที่ 2  ถังไท่จง"หลี่ซื่อหมิง" เริ่มครองราช ตอนอายุประมาณ 40 ขวบ
..  เป็น ยุคเดียว กับ พระถัง ซำจั๋ง อายุได้ สมณะเฮี่ยนจั๋ง(พระถังซำจั๋ง) เกิดเมื่อ พ.ศ.๑๑๔๕ เป็นชาวเมืองโลยางจาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดียเมื่ออายุ ๒๗ ปี เดินทางถึงนาลันทาต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๑๑๘๐**** ในยุคที่นาลันทาเจริญรุ่งเรืองเต็มที่แล้ว(พ.ศ.๑๑๗๒-๑๑๘๘) นาลันทามหาวิหารกลายเป็นมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบในสมัยราชวงศ์คุปตะ

.. ราชวงศ์หริภุญชัย (พ.ศ. 1206 อาณาจักรหริภุณชัย)  สิ้น ราชวงค์ -พ.ศ. 1836


 :slime_fighto: สนุก มากฮะ ถ้า เราอ่าน อนุทิน ประวัติศ่าสตร์








ขอบคุณในความรู้ที่เพิ่มเติมให้ค่ะ....

ดอกฟ้าฯ ได้อ่านหนังสือ จอมนาง หริภุญไชย

ซึ่งผู้เขียนก็ยืนยันจาการค้นคว้า และอ้างอิงจากนักปราชญ์ หลายท่านที่ยืนยัน

ว่าพระนางจามเทวีมิได้ทรงเป็นชนชาติขอมแน่นอน

แม้พระนางฯจะทรงเป็นชาวละโว้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ

เมื่อตำนานทั้งหลายกล่าวว่าพระนางทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ใน พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓

เนื่องจากวัฒนธรรมของขอมเพิ่งจะแผ่สู่กรุงละโว้ หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๕ นั่นเอง


ถ้าใครจะคิดว่าพระนางทรงเป็นขอม เราคงได้มีได้โอกาสเห็นซากของปราสาทหินคงเหลืออยู่ในจังหวัดลำพูนบ้าง

แต่ข้อเท็จจริงนั้น คือไม่ปรากฎสถาปัตยกรรมเขมรใดๆในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ เลย


ถ้าจะเรียกว่า พวกละโว้เป็นขอม เราคงต้องรอจนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ไปแล้วจึงจะพูดเช่นนั้นได้



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/2551005jp.jpg)




(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture037jpg.jpg)


 ...


คำแปลบท กราบไหว้พระนางจามเทวี ....หามาตั้งนานเพิ่งจะเจอค่ะ



พระเทวีพระนามว่า   จามะเทวี  มีพระรูปเลอโฉม


ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก   ในอดีตกาล พระนางได้ครองเมืองหริภุญไชยด้วยพระเมตตา


และเป็นธรรม   สร้างประโยชน์สุข  แก่ชาวหริภุญไชยอย่างมากมาย


ข้าพเจ้ามีใจเลื่อมใสศรัทธา  ขอกราบไหว้พระนางด้วยเศียรเกล้าตลอดกาลฯ





ที่มา...อ้างอิงจากหนังสือ "ลำพูนที่น่ารู้ คนดีที่โลกไม่ลืม"






หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-01-2008, 22:50
อ้านะ....ชักเริ่มหิวกันแล้ว

ตกเย็นไปทานมื้อค่ำกันที่ไหนดี.......
:shock:


คุณโชเฟอร์ผู้ใจดี....เลยแนะนำร้านอาหารอร่อยให้คือ ร้านกาแล

อยู่หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วแถมบอกสรรพคุณว่า ดอกไม้ที่นั่นสวยมากๆ

ดอกฟ้าฯเลยหูกางเป็นเรือใบแล่นลม....เพราะชอบดอกไม้มากๆเลยค่ะ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture134jpg.jpg)


ทางเดินเข้า....ที่เต็มไปด้วยไม้ดอกหลากสี

สวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture069jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...อาหารตา อาหารใจ *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-01-2008, 19:30
ภาพดอกไม้สวยๆ....ในบริเวณ "ร้านกาแล"

เก็บภาพมาฝากจนลืมหิวเลยค่ะ....


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture131jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture132jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture136jpg.jpg)


หนูน้อย...คนนี้มาชมดอกไม้เป็นเพื่อนเราซะด้วย

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture094jpg.jpg)


มุมนั่งเล่นพักผ่อน....ย่อยอาหาร

หอมดอกลิลลี่มากๆเลย อากาศก็หนาวเย็น....มีความสุขจังเลย :slime_inlove:


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture100jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: อธิฏฐาน ที่ 20-01-2008, 21:07

ดอกไม้สวยจริง ๆ ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น่าจะนั่งกับคนรู้ใจค่ะ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ดอกไม้เมืองหนาววว *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-01-2008, 21:52
ดอกไม้สวยจริง ๆ ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น่าจะนั่งกับคนรู้ใจค่ะ


คนรู้ใจเรา....คงต้องไปงม...หาในมหาสมุทรอินเดียมังคะ :slime_smile2:

เอาภาพสวยๆมาฝากอีกค่ะ...
:slime_inlove:

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/b759f2aa.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture127jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...อ้ายฟ้าร้อง *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-01-2008, 21:02
รุ่งขึ้นเราวางแผนกันว่าจะไปกราบสักการะ ท่านครูบาศรีวิชัยและพระธาตุดอยสุเทพ

รถตู้มารอแต่เช้า....กว่าจะเคลื่อนขบวนออกจากที่พักได้ก็เกือบสาย



ภาพนี้คือ.....ที่ซื้อดอกไม้ ธูป เทียน เพื่อกราบสักการะ ท่านครูบาฯ

ก่อนที่จะขึ้นดอยสุเทพ




(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture165jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture168jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture170jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน... "อ้ายฟ้าร้อง" *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-01-2008, 21:20
ครูบาศรีวิชัย

 
ครูบาศรีวิชัย เกิดที่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

มีนามเดิมว่า อ้ายฟ้าร้อง เพราะในขณะที่ท่านเกิด อากาศวิปริต
 
มีลมฝน ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า จึงถือเอานิมิตนั้นมาตั้งชื่อ

ท่านเกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ เหนือ (เดือน ๗ ใต้)
 
ตรงกับวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ ปีขาล เวลาพลบค่ำ บิดาชื่อ นายควาย มารดา ชื่อ นางอุสา

 
การบรรพชา อุปสมบท


ครูบาศรีวิชัย ได้เริ่มบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๘ ปี ณ วัดบ้านปาง อำเภอลี้

ซึ่งเป็นอารามเล็กๆ ประจำหมู่บ้าน
 
มี ครูบาขัติยะ วัดบ้านปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ อายุครบ ๒๐ ปี ก็อุปสมบท

มี พระครูสุมโณ วัดบ้านโฮ่งหลวงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า สิริวิชโย

ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานจาก ครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา
 
(ปัจจุบันอยู่ในตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน) ด้วยเหตุที่มีอุปนิสัยชอบสงบเสงี่ยม เจียมตัว พูดน้อย กินน้อย และรู้แนวทาง

ปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว จึงถือโอกาศขึ้นไปอยู่ปฏิบัติกัมมัฏฐานบนดอยทิศใต้ของหมู่บ้าน (ที่ท่านสร้างเป็นวัดบ้านปางเดี๋ยวนี้)

เมื่อท่านได้วิเวกทางกาย จิตใจก็หยั่งรู้เข้าสู่สมาธิหยั่งลงสู่วิปัสสนาญาณ

ท่านก็ยิ่งมีความพากเพียรในการปฏิบัติกัมมัฏฐานมากขึ้น

เคร่งครัดในวินัย ไม่แตะต้องลาภสักการะปัจจัย ฉันอาหารมังสะวิรัติ

ประชาชนจึงเกิดความเลื่อมใส ชื่อเสียงของท่านก็ยิ่งโด่งดัง

ไกลออกไป ชาวบ้านหลั่งไหลเข้ามาเคารพบูชาท่านมากขึ้น ต่อมา ครูบาขัติยะย้ายไปจำพรรษาที่อื่น

ท่านจึงรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง และบุกเบิกป่านั้นสร้างเป็นวัดขึ้น

ไม่นานก็สร้างเสร็จมีงานฉลอง (ปอยหลวง) ถึง ๗ วัน ๗ คืน และได้ตั้งชื่อวัดใหม่

่แห่งนี้ว่า วัดศรีดอนชัยทรายมูลบุญเรืองบ้านปาง ชาวบ้านเรียกว่า วัดบ้านปาง

ส่วนวัดเดิมที่มีอยู่ในหมู่บ้านก็หมดสภาพไป นับเป็น

วัดแรกที่ท่านได้สร้างขึ้นมา (พ.ศ. ๒๔๔๔) ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๖๓

ต้องอธิกรณ์ถูกกล่าวหาในหลายกรณี เช่นเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน ไม่ประพฤติตนให้ เป็นไปตามคำสั่งของคณะสงฆ์

ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของพระครูมหารัตนากร

เจ้าคณะแขวงลี้ ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ตามพ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ ฯลฯ ครูบาศรีวิชัยถูกกักบริเวณให้อยู่ในวัดพระธาตุหริภุญชัย ๑ ปี

(พ.ศ.๒๔๕๔) ถูกกักบริเวณอยู่ในวัดศรีดอนชัยเชียงใหม่ ๓ เดือน สุดท้ายจึงถูกนิมนต์ให้เข้าไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ (พ.ศ.๒๔๖๓)
 
แต่ทุกคดีก็ได้รับการวินิจฉัยจากสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

สมเด็จพระสังฆราชในสมัยนั้นว่าไม่มีความผิด


ครูบาศรีวิชัยจึงเดินทางกลับจังหวัดลำพูน บรรดาสานุศิษย์จัดขบวนต้อนรับ ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ

ประชาชนก็เพิ่มความเคารพเลื่อมใสยิ่งขึ้น (ถูกอธิกรณ์ครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๗๘)

จึงทำให้ศรัทธาสาธุชนทั่วสารทิศมาเฝ้าชื่นชมบารมี ร่วมทำบุญกับครูบาศรีวิชัย

ที่ถือว่าเป็นพระอริยสงฆ์มาโปรดสัตว์โลกในยุคกึ่งพุทธกาล

ท่านมักจะรับนิมนต์ไปเป็นประธาน (นั่งหนัก)ในการบูรณะศาสนสถานทั่วภาคเหนือไม่ต่ำกว่า ๑๐๘ แห่ง


ผลงานการก่อสร้างศาสนาสถาน และสาธารณสมบัติ

บูรณะซ่อมแซมบริเวณหน้าวิหารหลวงและพระบรมธาตุ วัดพระธาตุหริภุญชัย (พ.ศ.๒๔๖๓) หลังจากกลับจากกรุงเทพฯแล้ว

ไปบูรณะพระเจดีย์ พระธาตุดอยเกิ้ง อำเภอฮอด (พ.ศ.๒๔๖๔) สร้างวิหาร วัดพระเจ้าตนหลวง จังหวัดพะเยา (พ.ศ.๒๔๖๕)
 
บูรณะพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ (พ.ศ.๒๔๖๖) วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๖๗) สร้างธาตุและบันไดนาค วัดบ้านปาง

พระธาตุเกตุสร้อยแก่งน้ำปิง (พ.ศ. ๒๔๖๘) รวบรวมพระไตรปิฏกฉบับอักษรล้านนาจำนวน ๕,๔๐๘ ผูก (พ.ศ.๒๔๖๙-๒๔๗๑)
 
บูรณะวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๗๔) และผลงานชิ้นอมตะคือ

การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจังหวัดเชียงใหม่ ที่ศรัทธาสานุชน

มาร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คน แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ตามสัจจะวาจา (พ.ศ.๒๔๗๘)

สร้างวิหารวัดบ้านปาง(พ.ศ.๒๔๗๘ เสร็จปี พ.ศ.๒๔๘๒)

วัดจามเทวี (พ.ศ.๒๔๗๙) สุดท้าย คือ สะพานศรีวิชัย เชื่อมระหว่างลำพูน (ริมปิง) - เชียงใหม่(พ.ศ.๒๔๘๑)

ที่มาสร้างเสร็จภายหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยมรณภาพ (รวมวัดต่างๆที่ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยไปบูรณะปฏิสังขรณ์รวม ๑๐๘ วัด)

ต่อมามีผู้เรียกท่านว่า พระศรีวิชัย ชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า ครูบาศรีวิชัยบ้าง

ครูบาวัดบ้านปางบ้าง ครูบาศีลธรรมบ้างซึ่งเป็นนามที่ชาวบ้านตั้งให้ ด้วยความนับถือ


ผลงานที่เด่นมากของครูบาศรีวิชัยก็คือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่

ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รับคำเรียกร้องจากศรัทธาประชาชน ให้ช่วยดำริและจัดการเรื่องนี้


จึงเริ่มลงมือสร้างเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ณ เชิงดอยสุเทพ

ด้านห้วยแก้ว โดยมี พลตรี เจ้าแก้วเนาวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ขุดจอบเป็นปฐมฤกษ์

การสร้างถนนสายนี้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก

วันหนึ่งๆ จะมีผู้คนช่วยทำงานประมาณวันละไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คน

ถ้าคิดมูลค่าแรงงานเป็นเงินก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว การสร้างทาง

สายนี้ใช้เวลา ๕ เดือน กับ ๒๒ วัน จึงแล้วเสร็จ และเปิดให้รถขึ้นลงได้ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘


วาระสุดท้ายชีวิต


ผลงานชิ้นสุดท้ายของท่านคือ การสร้างสะพานข้ามลำน้ำปิง ระหว่างบ้านริมปิง จังหวัดลำพูน กับอำเภอหางดงจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ สะพานยังไม่ทันเสร็จ โรคริดสีดวงทวารของท่านกำเริบ จึงต้องไปพักที่วัดจามเทวี อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ก็รับสั่งให้หาหมอดีๆ มารักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลา ท่านจึงกลับวัดบ้านปาง อำเภอลี้

อาการของท่านมีแต่ทรงกับทรุด

จนถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ เวลา ๐๐.๐๕ นาฬิกา กับ ๓๐ วินาที ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ

ศพของท่านได้เก็บไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี

เมื่อวิหารที่วัดบ้านปางเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำศพของท่านแห่เป็นขบวนใหญ่กลับเข้าสู่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน

เป็นเวลา ๗ ปี เพื่อให้ลูกศิษย์ได้พึ่งบารมีของท่าน ทำการสร้างสะพานข้ามแม่น้าปิงให้เสร็จตามคำสั่งของท่าน

ต่อมาเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ทางจังหวัดลำพูนจึงได้บำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพของท่านอย่างใหญ่โตถึง ๑๕ วัน ๑๕ คืน

ตำรวจ ทหาร เข้ารักษาการณ์อย่างเข้มแข็ง เพื่อมิให้ใครเข้ายื้อแย่งอัฐิของท่าน

และได้มีการตกลงแบ่งอัฐิของท่านออกเป็น ๖ ส่วน คือ

 
บรรจุไว้ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ส่วนหนึ่ง

 
บรรจุไว้ที่วัดจามเทวี อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ส่วนหนึ่ง

 
บรรจุไว้ที่วัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ส่วนหนึ่ง


บรรจุไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปางส่วนหนึ่ง

 
บรรจุไว้ที่วัดพระเจ้าตนหลวง จังหวัดเชียงราย (ปัจจุบันจังหวัดพะเยา) ส่วนหนึ่ง


บรรจุไว้ที่วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ส่วนหนึ่ง


เพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธา และเคารพนับถือท่านจะได้กราบไหว้สักการบูชาต่อไป


ครูบาศรีวิชัย คือนักบุญในกึ่งยุคพุทธกาล ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ และพุทธศาสนา

ด้วยความเมตตากรุณาอันเปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาอันแน่วแน่

 ท่านจึงได้รับการขนานนามว่า นักบุญแห่งล้านนาไทย (ต๋นบุญ โพธิสัตว์)


อ้างอิง...จาก http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~cturdsak/kuba.htm


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture173jpg.jpg)


คติเตือนใจ....จากหนังสือ คนดีที่โลกไม่ลืม..


อยู่เฮือนพัง ยังดี ไม่มีทุกข์
ดีกว่าคุก หลายเท่า ไม่เศร้าหมอง
จนยังดี มีธรรม ค้ำประคอง
ดีกว่าปอง ทุจริต คิดร่ำรวย..


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 25-01-2008, 21:11
หลังจากขึ้นเขา.....เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา

ถึงที่หมายซะที


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture175jpg.jpg)


จ่ายค่าขึ้นลิฟท์ คนละ 20 บาท



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture178jpg.jpg)


พอขึ้นมาถึง....ดอยสุเทพหายเหนื่อยเลยค่ะ

มีดอกไม้สวยๆให้ถ่ายภาพเก็บไว้....สวยๆ..มากมาย
:slime_inlove:

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture194jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture182jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture235jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture245jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture191jpg.jpg)



อากาศก็เย็นกำลังดี....มีความสุขจัง :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 27-01-2008, 02:19
ทางขึ้นไปสักการะพระธาตุฯ มีรูปปั้นท้าวเวชสุวรรณอยู่ทั้งซ้ายขวา

แต่ได้แอบสงสัยว่าทำไมท่านฯถึงมีงวงออกมาเหมือน พระพิฆเนศ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture196jpg.jpg)


เกิดมาทั้งที.....วันนี้ได้เห็นต้นสาละตัวจริงซะที

แถมแอบมีผลให้ดูซะด้วย.....



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture181jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture190jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture186jpg.jpg)


ไม่เสียเที่ยว ที่มาเลยค่ะ


สาละลังกา Cannonball Tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ Couroupita guianensis Aubl.

วงศ์ LECYTHIDACEAE (ปัจจุบันจิกอยู่ในวงศ์ Barringtoniaceae)

เป็นไม้นำมาจากประเทศคิวบา ศรีลังกาได้มาปลูกประมาณปี พ.ศ.2422

ส่วนประเทศไทยปลูกเมื่อปี พ.ศ.2500 เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง ๑๕-๒๕ เมตร

เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวออกเวียนสลับตามปลายกิ่งรูปใบหอกกลับ

กว้าง ๕-๘ ซม.ยาว ๑๕-๓๐ ซม. ปลายแหลม โคนสอบ มน ขอบจักตื้น ๆ ดอกสีชมพูอมเหลืองและแดง กลิ่นหอมแรง

 ออกเป็นช่อใหญ่ตามลำต้น กลีบดอก ๔-๖ กลีบ แข็ง เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง ๕-๘ ซม.

โคนของเกสรตัวผู้เชื่อมติดกันเป็นรูปโค้ง ผลรูปกลมผิวสีน้ำตาลเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐ - ๒๐ ซม.

ต้นสาละลังกากับพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นต้นไม้มงคลในพระพุทธศาสนา

เนื่องจากชาวลังกาเห็นว่าดอกมีลักษณะสวยและมีกลิ่นหอมจึงนำไปถวายพระ

อีกทั้งนิยมปลูกภายในวัดมากกว่าตามอาคารบ้านเรือน

ความเกี่ยวข้องกันของต้นสาละกับพุทธศาสนา


สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า "Sal" เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง

ทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้


ตอนพระพุทธเจ้าประสูติ

ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ

จึงเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการที่กรุงเทพวทหะ

อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์

เมื่อขบวนเสด็จมาถึงครึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ณ ที่ตรงนั้นเป็นสวนมีชื่อว่า "สวนลุมพินีวัน"

เป็นสวนป่าไม้ "สาละ" พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท (ปัจจุบันคือตำบล "รุมมินเด" แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล)

พระนางประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละ และขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์

และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์เพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คำว่าสิทธัตถะแปลว่า "สมปรารถนา"


ตอนก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้

เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจะอยู่ในถาดทองคำของนางสุชาดาแล้ว

ได้ทรงอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณ ขอให้การลอยถาดทองคำนี้สามารถทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้

เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรงลอยถาด ปรากฎว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ

จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควงไม้สาละ ตลอดเวลากลางวัน

ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ

และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลารุ่งอรุณ ณ วันเพ็ญเดือน 6


ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน

เมื่อพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี

พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม

โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ แล้วพระองค์ก็ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์

โดยพระปรัศว์เบื้องขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา) และแล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน

 
http://www.geocities.com/ruammitra/tree-sal.html


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 27-01-2008, 02:33
มาถึงที่หมายด้วยความตั้งใจ.....ที่อยากกราบสักการะบูชา....


สวยงามมากเลยค่ะ......


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture205jpgjp.jpg)[/


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 27-01-2008, 02:47
วัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์เม็งราย

 พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่

ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง

พร้อมกับทำทักษิณาวัติสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม

แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น

ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081

สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้ทรงโปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก

พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ

ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง

 เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร



ข้อมูล...จาก วิกิพีเดีย...


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture213jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 27-01-2008, 02:52
........ เอาภาพสวยๆมาฝากอีกค่ะ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture216jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture220jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture219jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหินฮะ๛ ที่ 27-01-2008, 07:15
:slime_smile: ...  น่าอ่านทุกวันอาทิตย์ตอนเช้า...
ชอบมากเวลา.. พี่ดอกฟ้า ไปเที่ยวฯ แล้วนำรูปมาฝาก
เหมือนดูหนังท่องเที่ยวสารคดี ตอนเช้าๆ ..ทานขนมไปพลางฮะ
:slime_fighto:
~@----------------------------------------------------------------------@~
(http://www.stonekid.com/uploads/ขนม/ทองหยอด.jpg) 
~@----------------------------------------------------------------------@~




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 31-01-2008, 00:47
:slime_smile: ...  น่าอ่านทุกวันอาทิตย์ตอนเช้า...
ชอบมากเวลา.. พี่ดอกฟ้า ไปเที่ยวฯ แล้วนำรูปมาฝาก
เหมือนดูหนังท่องเที่ยวสารคดี ตอนเช้าๆ ..ทานขนมไปพลางฮะ
:slime_fighto:
~@----------------------------------------------------------------------@~
(http://www.stonekid.com/uploads/ขนม/ทองหยอด.jpg) 
~@----------------------------------------------------------------------@~




ขอบคุณน้องลูกหินฮะ

พี่ดอกฟ้าฯ เอามะกรูดมาแลกมะนาว....

ทำเองด้วย นะเนี่ย......ป่าวโกหก อิ อิ
:slime_bigsmile:

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture026jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-02-2008, 20:25
หลังจากเวียนเทียน 3 รอบเสร็จ ก็มากราบสักกาะรพระพุทธรูปในบริเวณพระธาตุฯ


พระแก้วมรกต....กับพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกสีขาว....สวยงามมากเลยค่ะ..


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/48770a56.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture212jpg.jpg)


เดินชมบริเวณรอบๆ....มีแต่สิ่งที่หน้าสนใจ และสวยงาม

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture233jpg.jpg)
(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture225jpg.jpg)


เมืองเชียงใหม่....มุมสวย ถ่ายจากยอดดอยสุเทพ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture231jp.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture224jpg.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture223jpg2.jpg)





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ปรมาจารย์เจได ที่ 01-02-2008, 20:34
อยากไปแอ่วเหนือมั่งจังครับ

 :slime_bigsmile: :slime_inlove:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-02-2008, 20:56
อยากไปแอ่วเหนือมั่งจังครับ

 :slime_bigsmile: :slime_inlove:


เจียงใหม่มีแต่ของสวยๆงามๆนะเจ้า...ขอบอก

หากยังไม่มีเวลาว่างไปแอ่วเหนือ

พี่ดอกฟ้าฯ เอาภาพงามๆมาฝากก่อนละกันนะ
:slime_bigsmile:


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/843283c7.jpg)


แจกันเงินโบราณ ฉลุลายสวยงามมาก

มีป้ายบอกว่า น้ำหนัก 15600 กรัม


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture239jpg.jpg)

เดินไป เดินมา เมื่อยแล้ว...

แวะมุมกาแฟ ดื่มลาเต้ กับวาฟเฟิลไส้สับปะรด อร่อยดีจัง

ว้า...ลืมถ่ายรูป ของอร่อย
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ปรมาจารย์เจได ที่ 01-02-2008, 22:41
แหล่งวัฒนธรรม หรือ วัตถุ อาหาร ที่เหนือไม่น่าสนครับ

สนแต่สาวเหนืออย่างเดียวครับ 55

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 02-02-2008, 22:58
แหล่งวัฒนธรรม หรือ วัตถุ อาหาร ที่เหนือไม่น่าสนครับ

สนแต่สาวเหนืออย่างเดียวครับ 55

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


ตรงนี้...เป็นความชอบส่วนบุคคลนะคะ

ไม่ขอก่าวก่าย....แต่เห็นด้วยตรงที่ได้สัมผัสมาว่า.....

สุภาพสตรีที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าท้องถิ่นหรือบุคคลทั่วไป ค่อนข้างจะน่ารัก

อัธยาศัยดี แววตาและคำพูดแสดงออกถึงความมีน้ำใจไมตรีค่ะ





ยกตัวอย่างสองสาวที่ร้านนี้....น่ารัก พูดเพราะ...ทั้งลดแลก แจกแถม

ฝากเบอร์โทรศัพท์ ไว้ให้ด้วยนะ....น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง เจ้านี้อร่อยจริงๆค่ะ :slime_inlove:

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/92cc1203.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 03-02-2008, 01:34
แหล่งวัฒนธรรม หรือ วัตถุ อาหาร ที่เหนือไม่น่าสนครับ

สนแต่สาวเหนืออย่างเดียวครับ 55

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

อาหารก็อร่อยนะครับ ถ้าคุณเจไดมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็บอก ผมจะพาไปกินร้านอร่อยๆ :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 11-02-2008, 18:03
(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture244jpg-1.jpg)


บันไดนาค


        บันไดนาค เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพ

มีความงดงามทางด้านศิลปะที่ทรงคุณค่า และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์

นักท่องเที่ยวผู้มานมัสการพระบรมธาตุ มักจะต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้านของบันไดนาค

ซึ่งมีทัศนียภาพงดงามและมีเสน่ห์เมื่อมองขึ้นไปตามขั้นได นักท่องเที่ยวที่มาเยือนครั้งแรก

มักจะเดิน ขึ้นหรือเดินลงบันไดนาคเสมอ แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินลง ส่วนตอนขึ้นนั้นมักจะขึ้นทางลิฟท์หรือรถรางไฟฟ้า

 

ประวัติการสร้างบันไดนาค


         บันไดนาค สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2100 (ค.ศ.1557) โดยมีพระมหาญาณมงคลโพธิ ้เป็นประธานก่อสร้าง

ซึ่งมีขนาดความยาว 306 ขั้น จากล่างถึงบน ประกอบด้วยพญานาคทั้ง 2 ข้าง ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก

ตกแต่งอย่างปราณีต พญานาคแต่ละตัวมี 7 หัว บันไดนาคนี้สร้างมานานกว่า 400 ปี

 มีการชำรุดไปบ้างแต่ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา จนทำให้พวกเราทุกคนได้เห็นบันไดนาคอยู่ในสภาพเดิมตราบเท่าทุกวันนี้





http://www.doisuthep.com/




ถ้ากลัวเมื่อย และอยากประหยัดเวลาและพลังงานไว้ ท่องเมืองเชียงใหม่

ก็ลงอีกทางโดยรถรางไฟฟ้า....




(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture247jpg-1.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/f9795cd1.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 11-02-2008, 18:26
มาเชียงใหม่..ทุกครั้ง ไม่เคยที่จะไม่แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านนี้ค่ะ...



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture248jpg.jpg)



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture258jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture250jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture252jpg.jpg)



โอย.....มีให้เลือกมากมายกว่าเก่าเลยค่ะ....เอื๊อกก...[/[/color]


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture256jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture254jpg.jpg)



นี่ก็ของชอบ...ขนมจีนน้ำเงี้ยว

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture253jpg.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/Picture255jpg.jpg)



หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 11-02-2008, 20:38

 ขอบคุณคุณดอกฟ้าฯ ที่แนะนำทั้งที่น่ากินและที่น่าเที่ยว

 จะรออ่านและดูต่อนะครับ
   :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...เวียงกุมกาม... *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-02-2008, 19:48
ขอบคุณคุณดอกฟ้าฯ ที่แนะนำทั้งที่น่ากินและที่น่าเที่ยว

 จะรออ่านและดูต่อนะครับ
   :slime_v: :slime_v:


ขอบคุณเช่นกัน...ที่กรุณาติดตามค่ะ





หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว....เราจะไปชมโบราณสถาน


ที่ขุดพบ และเพิ่งค้นเจอเมื่อปี ๒๕๒๗...........เวียงกุมกาม



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/8690407e.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/cacd95a4.jpg)



พระบรมธาตุ วัดกู่คำกุมกามภิรารมณ์ (เจดีย์เหลี่ยม)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/13a17626.jpg)


ดอกสมปรารถนา...ที่จัดไว้ให้ผู้มาเยี่ยมชม นำไปกราบสักการะพระธาตุฯ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/bc558549.jpg)


ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้น..... ที่จะมีมักคุเทศก์ท้องถิ่นอาสา พาเราชมนครโบราณไต้พิภพ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/783deab6.jpg)



รถนำเที่ยว...ที่จะพาเราไปดื่มด่ำกับอดีตที่ไกลโพ้น....



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/95e8b31d.jpg)




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-02-2008, 20:19
นครต้นแบบแห่งนครเชียงใหม่ และอาณาจักรล้านนา

เวียงกุมกามสร้างขึ้นโดยพญาเม็งราย อายุนานกว่า 700 ปี
 
เวียงกุมกามถูกทิ้งไว้รกร้าง ภายใต้ซากปรักหักพังในบริเวณชุมชนและหมู่บ้านห่างจากถนนมหิดลราว 2 กิโลเมตรหรือ

ประมาณ 4-5 กิโลเมตรจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ตามตำนานเล่าขานของล้านนา


                 พญาเม็งรายทรงสร้างเวียงกุมกามเพื่อเป็นศูนย์กลางของล้านนาราวพุทธศตวรรษที่ 18

เวียงกุมกามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง

ก่อนที่พญาเม็งรายจะทรงสร้างนครเชียงใหม่ เวียงกุมกามยังคงมีความสำคัญ

และเป็นเมืองหน้าด่านต่อมา อีกหลายร้อยปี จนกระทั่งยุคเสื่อมของล้านนา พม่าเข้ายึดครอง

 
                 เวียงกุมกามถูกน้ำท่วมใหญ่จนถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา และเงียบหายไปจากความทรงจำ

จากหลักฐานการขุดค้นโดยกรมศิลปกร ในอดีตเวียงกุมกามเป็นศูนย์กลางการค้าขายของชาวเมือง

และพ่อค้าจากต่างเมือง มีความ เจริญทางเศรษฐกิจ โดยพบว่าในศิลาจารึกได้ระบุว่า

มีเรือมาค้าขายเป็นจำนวนมาก และมีเรือล่ม 2-3 วันเป็นประจำ

จนพญาเม็งราย เห็นสมควรให้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง เพื่อให้การไปมา

และค้าขายทำได้อย่างสะดวกความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะได้รับอิทธพลจากศิลปะมอญและพม่า

ดังจะเห็นได้จากร่องรอยและรูปแบบของเจดีย์ ลายปูนปั้น และพระพุทธรูปมีรูปแบบผสมผสานระหว่างล้านนาและพม่า

 
                 ในปัจจุบัน เวียงกุมกามได้แปรเปลี่ยนสภาพสู่โบราณสถานที่ทรงคุณค่า จากการขุดค้น พบโบราณสถาน

มากกว่า20 แห่ง และยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างทำการขุดค้นและบูรณะเพิ่มเติม

วัดเจดีย์เหลี่ยม หรือเจดีย์กู่คำ นับเป็นโบราณสถานที่ยังทรงความงดงาม แม้จะตั้งตระหง่านมายาวนานกว่า 700 ปี

และเป็นโบราณสถาน แห่งแรกที่ควรค่าแก่การแวะชมและสักการะเป็นแห่งแรก

จากนั้นท่านสามารถเข้าชมโบราณต่าง ๆ โดยรอบอีกกว่า 20 แห่ง

ซึ่งสามารถขับรถ เข้าชมได้โดยรอบ แต่แนะนำให้แวะชมโดยการปั่นจักรยานซึ่งจะให้อรรถรสในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

และเป็นการร่วมรักษ์สิ่งแวดล้อม บริเวณเวียงกุมกาม วัดช้างค้ำ และวัดกานโถม นับเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดตามหลักฐานประวัติศาสตร์

 
                 วัดช้างค้ำและวัดกานโถมตั้งอยู่ตอนกลางของเวียงกุมกาม วัดกานโถมสร้างโดยช่างกาน โถมตามประสงค์ของ

พญาเม็งรายเพื่อศักการะพระมหากัสสปะเถระ วัดช้างค้ำยังเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางทางจิตใจของชุมชนโดยรอบของเวียงกุมกาม

นอกจากวัดเจดีย์เหลี่ยมและวัดช้างค้ำแล้ว โบราณสถานอื่น ๆ โดยรอบประกอบด้วย วัดพญาเม็งราย วัดพระเจ้าองค์

ดำ วัดธาตุขาว วัดอีก้าง วัดธาตุปู่เปี้ย กู่ป้าต้อม กู่ริดไม้ม กู่มะเกลือ วัดกู่ไม้ซ้ง กู่ต้นโพธิ์ วัดหัวหนอง กู่อ้ายหลาน และโบราณ-

สถานแห่งอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการขุดค้น และบูรณะ




http://www.geocities.com



ร่องรอย...ของวัดต่างๆ ที่ขุดพบเจอ ที่เคยจมอยู่ใต้น้ำ




(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/4bf19e77.jpg)



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/2-4.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/eed93c01.jpg)


หลวงพ่อขาว...ที่ขุดเจออยู่ใต้ดิน

ปัจจุบันเป็นที่เลื่อมใสของคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมเป็นอันมาก


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/8ce96883.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/f61ecadc.jpg)




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 13-02-2008, 22:35
  ร่องรอยของเวียงกุมกามปรากฏอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

โดยมีระยะห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร

ลักษณะที่ตั้งและรูปร่างของเวียงกุมกามนั้น จากการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศและจากการสำรวจ

 ร่องรอยของคูน้ำคันดินที่เป็นกำแพงเวียงโบราณที่เหลืออยู่พบว่า เวียงกุมกามมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

มีความยาวประมาณ 850 เมตรไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือและกว้างประมาณ600 เมตร

 ตัวเมืองยาวไปตามลำน้ำปิงสายเดิมที่เคยไหลไปทางด้านทิศตะวันออกของเมือง


http://www.geocities.com


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/92e6deb3.jpg)


ที่นี่มีนักดนตรีอาสา ขับกล่อมบรรเลงผู้มาเยือน ทำให้บรรยากาศครื้นเครง

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/5122a895.jpg)




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 13-02-2008, 22:37
บ้านไทยล้านนาในอดีต...ก็มีให้ชม


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/d713d1c1.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/1-2.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/2-5.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/9c4dc62a.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/dd49a0e9.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/2551091jpg.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 14-02-2008, 18:46
ครกตำข้าว...เครื่องทุ่นแรงสมัยก่อน....




(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/ffe18e9b.jpg)


ต้นพระศรีมหาโพธิ์.....


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/5b0c65dd.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/79be48a7.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 14-02-2008, 21:33


  ขอบคุณคุณ ดอกฟ้าฯครับ ที่นำเรื่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่

 มาให้ชมและอ่านครับ  เสียดายรูปถ่าย  ครกตำข้าว จังเลย

 ที่ภาพถ่ายออกมา  มันดูมืดไป  ก็เลยเห็นครกไม่ชัดครับ

 แล้วเมื่อไรจะพาไปกินซะที  ผมหิวแล้วครับ
   :slime_smile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-02-2008, 23:40

  ขอบคุณคุณ ดอกฟ้าฯครับ ที่นำเรื่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่

 มาให้ชมและอ่านครับ  เสียดายรูปถ่าย  ครกตำข้าว จังเลย

 ที่ภาพถ่ายออกมา  มันดูมืดไป  ก็เลยเห็นครกไม่ชัดครับ

 แล้วเมื่อไรจะพาไปกินซะที  ผมหิวแล้วครับ
   :slime_smile:





ยังไม่ถึงเวลารับประทาน....ยังไม่เสร็จสิ้นภาระกิจ


รอแป๊ะนึง....


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2008, 00:04
(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/10143c5b.jpg)



พระเจ้าเม็งรายมหาราช

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


 
พระราชานุสาวรีย์ พ่อขุนเม็งราย ที่ห้าแยกพ่อขุน จังหวัดเชียงรายพระเจ้าเม็งรายมหาราช หรือ พ่อขุนเม็งราย หรือ พญามังราย

ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา โดยทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงแสน มาสู่เมืองเชียงราย

และในที่สุดก็ทรงตั้งเมืองเวียงพิงค์ หรือเชียงใหม่เป็นราชธานี




เมื่อพระชนมายุได้ 20 ชันษา พระเจ้าลาวเม็งสวรรคต พญามังรายเสวยราชสมบัติปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางสืบต่อมา

นับเป็นราชกาลที่ 25 แห่งราชวงศ์ลวจังกราช เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้วก็ทรงพระราชดำริว่า

แว่นแคว้นโยนก ประเทศนี้ มีท้าวพระยาหัวเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของปู่เจ้าลาวจก (ลวจังกราช)

ต่างก็ปกครองอย่างสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกประการหนึ่งบ้านเมืองใด

หากมีผู้เป็นใหญ่ปกครองบ้านเมืองมากเจ้าหลายนายก็มักจะสร้างความทุกข์ยากให้แก่ ไพร่บ้านพลเมืองของตน

และถ้าหากมีศัตรูต่างชาติเข้าโจมตีก็อาจจะเสียเอกราชของชนชาติไทยได้โดยง่าย

ฉะนั้นเพื่อความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง พญามังรายจึงมีพระประสงค์ที่จะรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 วิธีดำเนินตามนโยบายก็คือ แต่งพระราชสาสน์ไปถึงบรรดาหัวเมืองต่างๆ

ให้เข้ามายอมอ่อนน้อมในบรมโพธิสมภารของพระองค์เสียแต่ โดยดีหาไม่แล้วพระองค์จะทรงยกกองทัพไปปราบปราม

พ.ศ. 1805 พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายโดยการก่อกำแพงเมืองโอบเอาดอยจอมทองไว้ท่ามกลางเมือง

ต่อมาตีได้เมืองของ ชาวลัวะคือ ม้งคุมม้งเคียนแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงตุง
 
พ.ศ. 1818 ขณะที่ประทับที่เมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองที่สร้างมาแต่ครั้งพระเจ้าลวจังกราช

เมืองฝางมีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรหริภุญชัย ของพญายีบา

 พญามังรายทรงทราบเรื่องราวของความเจริญรุ่งเรือง และความอุดมสมบูรณ์ของเมืองหริภุญชัย

พระองค์ทรงมอบ ให้อ้ายฟ้าขุนนางเชื้อสายลัวะเป็นผู้รับอาสาเข้าไปเป็นไส้ศึกทำกลอุบายให้พญายีบามาหลงเชื่อ

 และทำให้ชาวเมืองหริภุญชัยเกลียดชัง พญายีบา พญามังรายทรงมุ่งมั่นที่จะขยายพระราชอำนาจเหนือดินแดนลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนให้ได้

 จึงมอบเมือง เชียงรายให้แก่เจ้าขุน เครื่องปกครอง ส่วนพระองค์มาประทับที่เมืองฝาง

ต่อมาพระองค์ทรงกรีฑาทัพเข้าตีเมืองพม่า แต่ด้วยเกรงในพระราชอำนาจ จึงถวายพระนางปายโคเป็นพระมเหสี

เมื่อพระนางอั้วมิ่งเวียงไชยทราบก็ทรงสลดพระทัย เนื่องจากทรงระลึกได้ว่าพญามังรายทรงผิดคำสาบาน

ที่พระองค์ทรงสาบาน ในเมื่อประทับ อยู่ที่เชียงแสนว่า จะมีมเหสีเพียง พระองค์เดียว

 พระนางจึงสละพระองค์ออกจากพระราชวัง ออกบวชชี ซึ่งเชื่อกันว่า ต่อมาบริเวณที่พระนางไปบวชนั้น เป็น เวียงกุมกาม

พ.ศ. 1824 อ้ายฟ้าสามารถทำการได้สำเร็จ โดยหลอกให้พญายีบาเดินทางไปขอกำลังพลจากพญาเบิกเจ้าเมืองเขลางค์นคร

พญามังรายจึงสามารถเข้าเมืองหริภุญชัยได้พระองค์ทรงมอบเมืองหริภุญชัยให้อ้ายฟ้าปกครอง

ส่วนพระองค์ได้มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ซึ่ง อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือให้ชื่อว่า เมืองกุมกาม หรือเวียงกุมกาม

ต่อมาพญามังรายทอดพระเนตรชัยภูมิระหว่างดอยสุเทพ ด้านตะวันตกกับแม่น้ำปิง ด้านตะวันออก

ทรงพอพระทัยจึงเชิญพระสหาย คือ พญาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) และพญางำเมือง แห่งเมืองพะเยา

มาร่วมปรึกษาหา รือการสร้างเมืองแห่งใหม่ให้นามว่า เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 1839

เรียกสั้นๆ ว่า นครเชียงใหม่ พญามังรายได้ย้ายเมืองหลวง จากเวียงกุมกามสถาปนาเมืองใหม่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง

ของอาณาจักรล้านนามีอำนาจเหนือ ดินแดนลุ่มแม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำกกถึงแม่น้ำโขงตอนกลางจนถึงหัวเมืองไทยใหญ่ (เงี้ยว) 11 หัวเมืองลุ่มแม่น้ำสาละวิน

 
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อทรงเสด็จออกตลาด โดยมี อสุนีบาตต้องพระองค์สิ้นพระชนม์

เชื่อกันว่าเป็นปาฏิหารย์ของ พระนางอั้วมิ่งเวียงไชย

อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นที่ยอมรับของอาณาจักรข้างเคียง

พญามังรายทรงเป็นปฐมวงศ์กษัตริย์ราชวงศ์มังราย มีกษัตริย์สืบเชื้อสายถึง 18 พระองค์ จนถึง พ.ศ. 2101

ล้านนาสูญเสียความเป็น เอกราชให้แก่พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งพม่า





........................................................................


ประวัติศาสตร์....ที่น่าเรียนรู้และนำมาสอนใจ

ทำไม.... ราชวงศ์หิริภุญชัยจึงล่มสลาย

ทำไม....อำนาจในการปกครองแว่นแคว้นในสมัยก่อน...ถึงต้องอาศัยความเกรียงไกรของไพร่พล

การเมือง คือบทสะท้อน ของประชาราษฎ์ ในทุกยุคสมัย.....





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 19-02-2008, 18:56



ยังไม่ถึงเวลารับประทาน....ยังไม่เสร็จสิ้นภาระกิจ


รอแป๊ะนึง....




แงๆๆๆๆหิววว..  จวนได้เวลาหาที่หม่ำยางง ... :slime_whistle:




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ผาลาด ตะวันรอน *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 21-02-2008, 22:23


แงๆๆๆๆหิววว..  จวนได้เวลาหาที่หม่ำยางง ... :slime_whistle:






ถึงเวลาพาไปรับทานแว้ววว.....ร้านผาลาดตะวันรอน...

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/8a19d7be.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/8c778b7c.jpg)






หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ผาลาด ตะวันรอน *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 21-02-2008, 22:31
บรรยากาศรอบๆ ที่แสนประทับใจ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/caf3acf3.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/da718b33.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/a81c1eff.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/87e32775.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 22-02-2008, 00:53
มัวแต่เดินชมบรรยากาศรอบๆเพลิน...กลับมาเห็นแค่เนี้ยเอง อิ อิ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/c7975d5a.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/1d4979dd.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/8a0df72b.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/be7de2fc.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ทิมมี่ ที่ 23-02-2008, 21:04
เข้ามาอ่าน ขอบคุณสำหรับเรื่อง และภาพที่นำมาฝากทุกๆท่านครับ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 24-02-2008, 21:32


 คุณดอกฟ้าฯครับ  อ้าวไม่เห็นอธิบายเส้นทาง

 ที่จะไปหม่ำหล่ะครับ  หรือเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่

 ให้จอดรถถามคนเดินข้างถนน หรือสามล้อเอาเองหรือครับ
  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 25-02-2008, 20:28

 คุณดอกฟ้าฯครับ  อ้าวไม่เห็นอธิบายเส้นทาง

 ที่จะไปหม่ำหล่ะครับ  หรือเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่

 ให้จอดรถถามคนเดินข้างถนน หรือสามล้อเอาเองหรือครับ
  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:



ขอประทานโทษ....ลืมไป นึกว่าคุณเล่าปี๋ จะไปหาจากกูเกิ้ล

ไม่อยากบอก...เพราะไม่ได้ค่าโคสะนา....อิ อิ ล้อเล่นน่ะ :slime_smile2:

เบอร์ร้าน  053-216039 , 216576


อันนี้ลิงค์ รายละเอียดเพิ่มเติมของร้านค่ะ




http://webboard.gmember.com/showthread.php?t=299


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 26-02-2008, 18:32


ขอประทานโทษ....ลืมไป นึกว่าคุณเล่าปี๋ จะไปหาจากกูเกิ้ล

ไม่อยากบอก...เพราะไม่ได้ค่าโคสะนา....อิ อิ ล้อเล่นน่ะ :slime_smile2:

เบอร์ร้าน  053-216039 , 216576


อันนี้ลิงค์ รายละเอียดเพิ่มเติมของร้านค่ะ




http://webboard.gmember.com/showthread.php?t=299


ขอบคุณคุณดอกฟ้าฯ ครับ

แล้วถ้าไปกินร้านที่นี้ แล้วบอกเจ้าของร้านว่า

อ่านมาจากกระทู้  ของคุณดอกฟ้าฯจะมีส่วนลดมั่งอ่ะปล่าว ?
  :slime_whistle:





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-03-2008, 22:26

ขอบคุณคุณดอกฟ้าฯ ครับ

แล้วถ้าไปกินร้านที่นี้ แล้วบอกเจ้าของร้านว่า

อ่านมาจากกระทู้  ของคุณดอกฟ้าฯจะมีส่วนลดมั่งอ่ะปล่าว ?
  :slime_whistle:







ขออภัยค่ะ....ที่มาตอบช้า

ขอบอกว่าไม่มีค่ะ...เพราะยังไม่ได้เป็นถึงขนาดหมึกแดง

หรือเชลล์ชวนชิม...
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 06-03-2008, 20:46

  อ่าๆ...อิ่มแล้วครับ มีแรงตามคุณดอกฟ้าฯ

ไปเที่ยวต่อได้แล้วครับ
.... :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 07-04-2008, 00:09


แงๆๆ อ่า...คุณดอกฟ้า ฯ ไปไหนแล้ว...อ่า..ผมหิวคร้าบ..


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: patchktt ที่ 19-05-2008, 11:19
ถ้ามีโอกาสมาแอ่วเชียงใหม่ คราวต่อไป อย่าลืม ไป "ป่าดงปงไหว"  ด้วยนะ ธรรมชาติดีมาก
ยิ่งช่วงฤดูฝนด้วย  ต้นไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย จะเห็นป่าชุมชมที่อุดมสมบูรณ์ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-05-2008, 23:24
ถ้ามีโอกาสมาแอ่วเชียงใหม่ คราวต่อไป อย่าลืม ไป "ป่าดงปงไหว"  ด้วยนะ ธรรมชาติดีมาก
ยิ่งช่วงฤดูฝนด้วย  ต้นไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย จะเห็นป่าชุมชมที่อุดมสมบูรณ์ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:




ขอบคุณ..ที่กรุณาแนะนำค่ะ

ว่าแต่ว่า "ป่าดงปงไหว" นี่อยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่คะ เพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย

ในกูเกิ้ลจะมีข้อมูลรึเปล่า เผื่อว่าครั้งหน้าจะได้แวะไปเยี่ยมเยือน แล้วเอาภาพมาฝากเพื่อนๆสมาชิกค่ะ
:slime_smile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: (ลุง)ถึก สไลเดอร์ ที่ 20-05-2008, 01:00
เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เชิญฟังเพลงนี้ได้เลยครับ.....เอิ้กกกก
 http://www.pa-orn.com/monmuengnoe1.mp3



หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-05-2008, 20:58
เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เชิญฟังเพลงนี้ได้เลยครับ.....เอิ้กกกก
 http://www.pa-orn.com/monmuengnoe1.mp3





ขอบพระคุณลุงถึก....ที่หาเพลงอมตะนิรันดร์กาล มาเปิดให้เข้าบรรยากาศ

ฟังแล้วเพราะดีค่ะ
:slime_v:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 24-06-2008, 19:20
สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ
เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ

                    ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477  ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ

วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า “ การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ” ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่า”การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย”  จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น.
คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน

เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน

เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์

ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้

เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน

ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า “พระอภิชัย” แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา

พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้

หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า

“ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก “

นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย

ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา

เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน
วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ

เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า

                            ..นักบุญแห่งล้านนาไทย..


ที่มา : นิตยสาร PASZO’

ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว

ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัฐ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา
เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ

ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 24-06-2008, 19:28
ไปเชียงใหม่อย่างไร  ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส
...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ

จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ
อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม
...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย
แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 24-06-2008, 19:37
ไปเชียงใหม่อย่างไร  ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส
...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ

จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ
อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม
...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย
แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย

มิน่าละครับ ปู่เย็น ผมซื้อของไม่เคยได้ลดเลย
สงสัยต้องทำแบบที่ปู่บอกซะแล้วววว
 :slime_v:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 26-06-2008, 03:22
สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ
เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ

                    ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477  ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ

วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า “ การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ” ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่า”การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย”  จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น.
คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน

เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน

เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์

ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้

เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน

ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า “พระอภิชัย” แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา

พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้

หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า

“ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก “

นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย

ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา

เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน
วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ

เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า

                            ..นักบุญแห่งล้านนาไทย..


ที่มา : นิตยสาร PASZO’

ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว

ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัตน์ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา
เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ

ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ




ขอบคุณ คุณpaper punch มากเลยค่ะ เดือนตุลาคมนี้ ดอกฟ้าฯจะไปเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง


จะไปหาของอร่อยๆทาน ตามที่คุณแนะนำ ส่วนดอกพญาเสือโคร่ง ดอกฟ้าฯเห็นในโปสการ์ดที่เค้าขายยังส่งให้น้องคนนึง แล้วบรรยายหลังภาพว่า


นี่คือดอกไม้ของเมืองไทย....ที่คล้ายดอกซากุระ แต่ตอนนี้โรยหมดแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปชื่นชม


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 27-06-2008, 22:42
สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ

เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว

- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา
- พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)

- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 11-07-2008, 22:38
สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ

เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว

- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา
- พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)

- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ



ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ

ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว

ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...แอ่วเชียงใหม่..เจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 14-07-2008, 15:29


ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ

ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว

ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน


สวัสดีครับคุณดอกฟ้าฯ

ผมมีเว็บไซด์ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณดอกฟ้าฯ ก่อนมาเชียงใหม่ครับ
 www.cm108.com

รวบรวมเหตุการณ์ประจำวันที่เชียงใหม่ รูปภาพ ที่เที่ยว ร้านอาหาร ฯลฯ ครับ





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมตลาดร่มหุบ แม่กลอง *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-09-2008, 22:09
สวัสดีครับคุณดอกฟ้าฯ

ผมมีเว็บไซด์ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณดอกฟ้าฯ ก่อนมาเชียงใหม่ครับ
 www.cm108.com

รวบรวมเหตุการณ์ประจำวันที่เชียงใหม่ รูปภาพ ที่เที่ยว ร้านอาหาร ฯลฯ ครับ







ขอบพระคุณ....คุณpaper punch ค่ะ

ที่กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ตั้งใจไว้แล้ว ได้จองที่พักเชียงใหม่ ว่ามีแผนจะไป เดือน ธ.ค นี้แน่นอน :slime_v:









วันนี้ดอกฟ้าฯไปเที่ยว อัมพวา ตามที่ลุงป๋าสามแนะนำ เพิ่งไปมาเมื่อวานนี้

ออกเดินทาง จากกทม. ขอแวะที่ตลาดแม่กลองก่อนตอนบ่าย แวะชมตลาดร่มหุบ ที่เคยออกทีวี และเป็นที่น่าสนใจ

ตลาดร่มหุบ จะอยู่หลังตลาดเทศบาลแม่กลอง เดินอ้อมไปทางด้านหลัง

ตลาดร่มหุบ คือตลาดที่ขายอาหารทะเล และอาหารสด คาวหวานจิปาถะ

อยู่ริมทางรถไฟ ชนิดหายใจรดกันเลย และกางเตนท์ผ้าใบเหลื่อมเข้ามาในรางรถไฟ

พอรถไฟมา ทุกคนจะเอาร่มและเตนท์ที่กาง ลงโดยพร้อมเพรียงกัน โดยจะทราบเวลารถไฟมา

ทั้งสองเที่ยว ตอนเช้า ประมาณ 8 โมง ส่วนตอนบ่าย ประมาณ บ่าย 2 ครึ่ง

มีนักท่องเที่ยวมารอชมกันคึกคักทุกวัน แถมราคาสินค้าที่วางขายก็ค่อนข้างถูกกว่าในตลาดแม่กลอง


เอาภาพที่ได้ มาฝากเพื่อนสมาชิกค่ะ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/DSC002.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/004.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/003.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/005.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมตลาดร่มหุบ แม่กลอง*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-09-2008, 22:38
เจอปลาตัวใหญ่....หน้าตาเหมือนปลาฉลาม

ถามพ่อค้าว่าปลาอะไร แกตอบว่าปลาโทงเทง แล้วก็หัวเราะ ไม่รู้ว่ามีปลาชื่อนี้จริงรึป่าว :slime_doubt:

เดินไปเดินมาถึงบางอ้อ...เพราะเห็นมีทอดมันปลาโทงเทงขายด้วย อิ อิ
:slime_bigsmile:

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/006.jpg)



หลังจากเดินชมตลาดไปซื้อของไปจนเมื่อย

ชักหิว ถามแม่ค้าในตลาดว่า แถวนี้มีอะไรอร่อย เธอก็ใจดีแนะนำร้านอร่อยๆให้

เป็นร้านบะหมี่เกี๊ยว ขายข้าวหมูแดงด้วย อยู่เยื้องๆ ธนาคารกรุงไทยฯ

ชิมแล้ว อร่อยจริงๆ



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/008.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/010.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/009.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/011.jpg)


 :slime_inlove: :slime_v:


มีขนมโบราณ น่าลองชิมขายอยู่บริเวณข้างทางด้วย

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/013-1.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/012.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 21-09-2008, 18:28
ออกจากตลาดแม่กลองเพื่อเดินทางไป ยัง อุทยาน ร.๒

อยู่ห่างกันประมาณ 6 กม. ที่อยู่บริเวณเดียวกันที่จัดงาน กาลครั้งหนึ่ง ณ อัมพวา


สถานที่ตั้งของอุทยานร.๒นี้ อยู่ติดกับวัดอัมพวันเจติยาราม

ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งนิวาสถานดั้งเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เนื้อที่ 11 ไร่ของอุทยาน ร.๒ แห่งนี้ พระราชสมุทรเมธี อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวันเจติยาราม

เป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินของบริเวณพระอารามให้

(เดิมเป็นนิวาสถานของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชชนนี ภายหลังพระราชทานให้เป็นสมบัติของวัด)

โดยที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับวัดอัมพวันเจติยาราม ด้านหนึ่งติดกับถนนแม่กลอง-บางนกแขวก ส่วนอีกด้านหนึ่งติดริมแม่น้ำแม่กลอง



อ้างอิงจาก http://www.land.arch.chula.ac.th


หลังจากได้ที่จอดรถเป็นที่สะดวกดีแล้ว ขอแวะทำบุญไหว้พระก่อน


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/014.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/015-1.jpg)


หลังจากทำบุญเสร็จเดินอ้อมมาข้างศาลา เจอเจ้าตัวนี้นั่งอยู่ น่ารักจริงๆ

เลยฝากค่าขนมใส่กระป๋องให้ แถมเก็กท่าให้ถ่ายรูปแบบไม่เหน็ดเหนื่อย

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/016.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 21-09-2008, 19:21
(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/v6o.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/017.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/021.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/028.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/027.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/026.jpg)


 อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเป็นองค์ประธาน


เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นทั้งนักรบ

นักปกครอง ศิลปิน กวี และช่าง ซึ่งได้พระราชทานศิลปวัฒนธรรมอันงดงามประณีตไว้เป็นมงคลแก่ชาติ

และปรากฏพระเกียรติคุณแพร่หลายไปในนานาประเทศ

จนได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก UNESCO

ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้ส่งเสริมให้มีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฉลองพระบรมราชสมภพครบรอบ 200 ปีเมื่อ พ.ศ.2511

 พร้อมจัดสร้างอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ฯ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมไทยในรัชสมัยของพระองค์

และเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงนั้นด้วย


อ้างอิง ข้อมูลจากที่เดิม




เสียดายที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้บันทึกภาพ

วัตถุโบราณต่างๆ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์

เลยได้แค่นำภาพสวยงามร่มรื่นรอบๆบริเวณมาฝากเพียงอย่างเดียว


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-09-2008, 19:03
รูปปั้นจำลอง น่ารักของเด็กๆสมัยโบราณ จนอดถ่ายภาพมาฝากไม่ได้

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/031.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/034-1.jpg)


ภาพร่มรื่น... จากสวนสวยธรรมชาติรอบๆอุทยานฯ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/019.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/043.jpg[IMG]http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/020.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/020.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/018.jpg)




หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: personal jesus ที่ 23-09-2008, 19:15

แวะมาชม สวยมาก น่าเที่ยวจัง
บะหมี่ กับ กาลอจี๊ ก็น่ากินมากกกก


....น้ำลายไหล สองหยด  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-09-2008, 20:36
แวะมาชม สวยมาก น่าเที่ยวจัง
บะหมี่ กับ กาลอจี๊ ก็น่ากินมากกกก


....น้ำลายไหล สองหยด  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:



โปรดติดตามตอนต่อไป...เดี๋ยวจะเอาภาพน่ากิ๊น...น่ากินมาฝากอีกเยอะแยะเลยค่ะ :slime_v:






มาเที่ยวกันต่อนะคะ....

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/030.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/032.jpg)


ห้องสุขา...ยังสวยงามน่าไปพึ่งพิง อิ อิ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/037.jpg)


ดอกไม้...สวยๆ ที่ไม่ทราบชื่อ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/039.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/038.jpg)


น้ำเต้าลูกโต ห้อยอยู่บนกิ่งก้านที่บอบบาง

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/033.jpg)
  :slime_inlove:


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/040.jpg)


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/041.jpg)





หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 23-09-2008, 22:17

อ่านกระทู้นี้ทีไร  น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ :slime_whistle:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-09-2008, 23:06
อ่านกระทู้นี้ทีไร  น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ :slime_whistle:


หาผ้าซับน้ำลายผืนโตๆไว้นะคะ

เดี๋ยวจะพาไปชิมอาหารอร่อยๆ สุดยอดไปเล้ย อิ อิ
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-09-2008, 23:34
แดดร่ม ลมตกฝนตั้งเค้ามารีบเผ่นไปฟากกระนู้น

เพื่อดูงาน กาลครั้งหนึ่ง อัมพวาฯ ดีกว่า เดี๋ยวลุงป๋าสามจะค้อนเอา ว่าแนะนำแล้วไม่ให้ความสนใจ

เดินข้ามถนนไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/023.jpg)[/size]



เป็นซอยแคบๆ มีของมาวางขายมากมาย

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/045.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/046.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/047.jpg)


นี่มะดัน...ซื้อกลับบ้านไปต้มมะดันปลาทูดีก่า

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/049.jpg)


ปูทะเล 2 ตัวร้อย แถมน้ำจิ้ม กุ้งสดๆน่าทาน

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/051.jpg)


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 24-09-2008, 17:01


เอื๊อก..ขอกลืนน้ำลายก่อน หาผ้าซับไม่ทัน..เห็นแล้วน่าหม่ำจริงๆ :slime_whistle:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 18:42
มาแล้วค่ะ...มายั่วน้ำลายตอนเย็นๆ



(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/058.jpg)

สารพัด ของฝากที่ซื้อไปให้ใครๆชิม

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/052.jpg)

ตบท้ายด้วยของหวาน แม่ค้าร้องขายว่า ซื้อเรือแถมพายค่า พอดีฝนใกล้ตกเลยไม่ได้ถาม แปลว่าไร


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/053.jpg)

อันนี้ตัวด้วงเขาควาย หรือด้วงกวาง หรือแมงครามของทางอีสาน ที่เรียกชื่อต่างๆกัน

มีลานไขที่ใต้ท้อง กางปีกได้ วิ่งได้ แต่บินไม่ได้  :slime_smile2:

เลยซื้อมา 4 ตัว 90 บาท ทั้งสี่เวอร์ชั่นเลย

จะเอามาแกล้งแมวที่บ้าน อิ อิ


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: personal jesus ที่ 24-09-2008, 19:03

ปลาหมึก กับขนม ของโปรด
สมัยก่อนชอบแกล้งแมวเหมือนกัน กับเลเซอร์
ส่องไปตรงโน้น ตรงนี้ที มันวิ่งไล่จับสุดชีวิต
ตอนนี้เลิกแกล้ง แล้ว อิอิ


 :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 19:12
เดินต่อไป...จนสุดทาง จุดที่จะจัดการแสดงแสงสีเสียง ทางน้ำ

กิจกรรมในวันนั้น อ่านตามแผ่นพับ

จะมีพิธี ถวายสังฆทานทางน้ำ

การแสดงขวบวนแห่ขันหมากทางน้ำ

การแสดง ขบวนแห่เพลงเรือฯลฯ

แต่เนื่องจากมีพายุ เมฆดำครึ้มน่ากลัว ขอเผ่นไปตั้งหลักบนรถก่อนดีกว่า

ท่าทางการแสดงคงเริ่มไม่ได้ง่ายๆ เลยเอาภาพที่เหลือมาฝาก แถมกล้องก็ไม่ได้เป็นชนิดถ่ายใต้น้ำได้

บวกกับคนที่เริ่มทยอยมาในงานแบบมากมาย รถโค้ช คันใหญ่ๆ แล่นเข้ามาจอด สิบกว่าคัน ไม่รวมรถส่วนตัว

ซอยเล็กๆทางที่เดินเบียดกันแทบจะไม่มีที่ยืน ไว้วันหน้าคงจะมาเยี่ยม ตลาดน้ำอัมพวาใหม่


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/050.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/054.jpg)


ตลาดน้ำอัมพวา คือตลาดน้ำยามเย็น อยู่ที่ปากคลองอัมพวา ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม

เคยเป็นตลาดน้ำชุมชนริมน้ำดั้งเดิมที่เคยมีมาในอดีต ที่ได้สูญหายไปเมื่อหลายปีก่อน

เทศบาลอัมพวา ใด้ร่วมมือกับประชาชนในท้องถิ่นฟื้นฟู ตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อนุรักษ์วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชนริมแม่น้ำให้สืบทอดไปตราบยาวนาน

โดยใช้ชื่อว่า ตลาดน้ำยามเย็น จัดให้ได้ชมกันในทุก วันศุกร์ เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ สี่โมงเย็นเป็นต้นไป

ตลาดน้ำแห่งนี้ ถือเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย
:slime_inlove:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...หอยหลอดผัดฉ่า ร้อนๆจ้า *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 19:33
ปลาหมึก กับขนม ของโปรด
สมัยก่อนชอบแกล้งแมวเหมือนกัน กับเลเซอร์
ส่องไปตรงโน้น ตรงนี้ที มันวิ่งไล่จับสุดชีวิต
ตอนนี้เลิกแกล้ง แล้ว อิอิ


 :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_bigsmile: :slime_v:


ดอกฟ้าฯเคยค่ะ ปิดไฟก่อนแล้วเอาเลเซอร์ส่องตรงโน้นตรงนี้

บางทีส่องตรงฝาผนัง ให้เค้ากระโดดสูงๆ แต่ตอนหลังๆเค้าอ้วนมากเลยไม่ค่อยอยากแกล้ง :slime_hmm:




ส่วนขนมที่ซื้อมา วันนั้นได้เจอข้าวเกรียบข้าวโพด เกิดมาเพิ่งเคยชิมอร่อยดี

ได้มะขามอ่อน โลละ 40 บาทเปรี้ยวจี๊ด มาทำน้ำพริกมะขามสดจะอร่อยมาก

ได้ปลากุเลาแดดเดียว ข้าวโพดสดๆต้ม มากมายหลายอย่าง ทั้งถือ ทั้งคาบ ถ้าเอามาทัดหูได้ คงทำ อิ อิ

ยังค่ะ..... เรื่องกินเรื่องเที่ยว ทริปนี้ยังไม่จบ :slime_v:


หลังจากหนีพายุมาตั้งหลักในรถ ในฐานะหัวหน้าทัวร์ เลยตัดสินใจกลับทานมื้อเย็นที่ถิ่นเก่า

คือดอนหอยหลอด.....หลังจากจับไม้สั้นไม้ยาวกับลูกทัวร์แล้ว

ตกลงกันว่าหาร้านใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองชิมกันดีกว่า เป็นร้านเล็กๆราคาย่อมเยา


วันนี้....ดินเนอร์ท่ามกลางสายฝนกันที่ร้านน้ำทิพย์ ณ. ดอนหอยหลอด

เอาภาพอาหาร ที่น่าทานและรสชาติอร่อย ไม่ผิดหวังมาฝากค่ะ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/063.jpg)

หอยหลอดผัดฉ่า ตัวอวบๆ อร่อยมาก
:slime_inlove:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...อาหารจานอร่อย *** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 20:29
(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/065.jpg)


จานนี้...เอ็นหอยทอดกระเทียม


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/064.jpg)

ยำสาวแม่กลอง....รสชาติกลมกล่อม มีผักลวก หมูแผ่น ปลาหมึกลวก กุ้งสดๆลวก เม็ดมะม่วงหิมพานต์โรยหน้าด้วย



หอยแมลงภู่อบ


แอบสงสัยว่าทำไมใส่จานมา :slime_doubt:

 แต่ไม่ว่ากัน เพราะหอยสดๆ ตัวโต๊โต
:slime_inlove:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...ชมอุทยาน ร.๒ อัมพวา*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 20:46
ออกไปยืดเส้นยืดสาย...หลังจากชิมอาหารไปเล็กน้อยถึงมาก

วันนี้ฝนตก ร้านรวงปิดกันเกือบหมด เหลืออยู่ไม่กี่ร้าน

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/060.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/068.jpg)

ปูกระตอยสามรส ชิมแล้วอร่อยดี ซื้อมาฝากชาวบ้านดีกว่า

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/069.jpg)

หอยแคลง กับหอยคลาง ตัวใหญ่เล็กไม่เหมือนกัน แอบถามคนขาย
:slime_smile2:


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/071.jpg)


ลูกอะไรเอ่ย....คนที่กำลังตกอยู่ในความรัก ห้ามรับทาน :slime_shy:


หัวข้อ: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2008, 21:54
เดินกลับมาที่โต๊ะ...มีคนสั่งอาหารเพิ่ม

ต้มยำหอยหลอด....กับปลาเก๋าสามรส

ชิมแล้ว อร่อยเหมือนเดิม รู้สึกดีใจที่เลือกร้านไม่ผิด

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/066.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/067.jpg)

ฝนตกพรำๆ บรรยากาศ สบายๆ



ดอนหอยหลอด คือ สันดอนมหึมาธรรมชาติหนึ่งเดียวในโลก อันเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน

และสถานที่ท่องเที่ยว และตื่นตาตื่นใจกับการหยอดหอยหลอด ด้วยไม้จิ้มปูนขาวแล้วจับหอยหลอดมาทำเป็นอาหาร

โดยเฉพาะในเดือน มีนาคม ถึง สิงหาคม

แต่ตอนนี้ทราบข่าวมาว่า ร้านอาหารริมทะเลดอนหอยหลอดกำลังต้องย้ายไป เพราะการรุกล้ำที่สาธารณะ


ยังขอรอฟังข่าวต่อไปค่ะ




ขอจบการเที่ยวครั้งนี้ด้วยภาพที่เหลือค่ะ

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/061.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/062.jpg)

(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/070.jpg)


หัวข้อ: Re: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 29-09-2008, 18:50
โอย..สุดยอดครับ สุดยอด

จากนี้ไปจะขอเป็นลูกทัวร์ตามไกด์ดอกฟ้าฯไปทุกทริปเลยคร้าาาาบ.
ก็เล่นมีแต่ของอร่อยๆน่าทาน แถมที่เที่ยวก็สวยซะขนาดนั้น

เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ จริงๆครับ

 :slime_sentimental:



หัวข้อ: Re: Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-10-2008, 00:10
ขอบคุณมากค่ะ...ที่กรุณาติดตาม

ดอกฟ้าฯว่าเมืองไทย มีที่ๆ น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย เงินทองไม่รั่วไหล เพราะอยู่ในประเทศของเรา


รอดูทริปต่อไปนะคะ
:slime_bigsmile: