ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 04:21



หัวข้อ: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 04:21
เมื่ออ่านความคิดเห็นนี้แล้ว  จะลบทิ้งหรือ Copy เื่พื่อส่งต่อให้เพื่อนฝูงหรือคนรักของท่านพิจารณา
ก็สุดแล้วแต่ท่านเถิด

1.
ในปี พ.ศ.2551 จะเป็นช่วงเวลาที่มฤตยูเคลื่อนเข้าสู่เมืองไทย
โดยก่อนหน้านั้น ราว ๆ 2-3 ปี  เป็นช่วงราหูเข้าครอบงำ
และถัดมาเมื่อราวปีที่แล้ว  เป็นช่วงที่พระเสาร์เข้าครองเมือง

2.
...มันหมายถึงอะไร ?

ราหู  คือ  สัญลักษณ์แห่งโลกียวิสัย ตัณหา โลภจริต  โมหจริต
ซึ่งช่วงเวลานั้นแทนที่ผู้คนในเมืองไทยจะช่วยกันขับไล่อัปมงคลตัวนี้  กลับดันไปช่วยกันบูชา ส่งเสริม อย่างเป็นล่ำเป็นสันซะอีกแน่ะ ( ไม่รู้ทำกันไปได้ยังไง ? )
ด้วยผลจากช่วงเวลานั้นและการยอมรับในบาปเคราะห์อันเป็น จริตแห่งราหู เข้ามาสู่เมือง - เข้าสู่ชีวิต
้ความพังพินาศทางจริยธรรมต่าง ๆ จึงประเดประดังเข้าสู่แผ่นดินเหมือนสายน้ำ
...ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวาระสุดท้ายขอ่งประเทศนี้
ันั่นคือ รากฐานทางสังคมถูกกัดกร่อนทำลาย  หลักธรรมอันเป็นแรงยึดเหนี่ยวกันไว้จนเกิดเป็นสังคมมนุษย์ เสื่อมถอย
คนโกหกฉ้อฉล - กลิ้งกลอกหลอกลวงได้รับการยกย่องเหนือคนที่มีความรับผิดชอบ - ยึดถือความสัตย์จริง
สังคมไม่มีเด็ก - ไม่มีผู้ใหญ่  ไม่มีการเคารพนับถือกัน  จะเหลือก็เพียงแต่ "ประเพณี" ที่ทำ ๆ กันไปเช่นนั้น "เพื่อให้ตัวเองดูดี และเผื่อไว้ขายได้" 
...อันเป็นการทำตาม ๆ กันไปเพื่ออย่างน้อยก็ไม่เสียโอกาสขายของ หรือรับการอนุเคราะห์จาก "ผู้มี" ( สถานภาพทางสังคมแบบใหม่ทีเข้า่มาแทน "ผู้ดี" )

ความโลภ - อยากรวย รวย ๆๆๆๆๆ ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นและฝังอยู่ในจิตใจผู้คนทุกระดับชนชั้น
ตัวอย่างสังเกตง่าย ๆ เช่น  ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยทั้งหลายแหล่  ทั้งในรายการ TV และสื่อต่าง ๆ   
ป้าย "บ้านนี้รวย" ที่สงฆ์บางสำนักใช้เป็นสินค้าหาเงินอย่างจริง ๆ จัง ๆ
ไปจนถึงแวดวงนักวิชาการโดยเฉพาะ "สายการเงินการธนาคาร" ที่ตั้งหน้าตั้งตาสอดส่องมองหาช่องทางทำเงินจาก "สถานภาพของรัฐ" จนหลงลืมที่จะฝากฝังหลัก กม.  หลักจารีตปฎิบัติ ให้แก่ผู้ติดตามรับฟังรับชม ( เป็น "อาจานไร" )
ตัวอย่างเช่น นัก กม.ด้านการเงินคนหนึ่งถึงกับตั้งตัวเป็นปรมาจารย์ในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี  แล้วก็ได้รับการยกย่องเชิดชูจากสังคมถึงขนาดเรียกขานว่า "อาจารย์" ทั้งบ้านทั้งเมือง
 
และแล้ว คนไทยก็เปลี่ยนไปหมด
บ้าคลั่งความร่ำรวยจนลืมเลือนความสงบสุบ ตามวิถีชีวิตแบบพอเพียงที่มีมาช้านาน
บ้าคลั่งคนดัง ( ที่ทำเงินได้เยอะ ) จนดูหมิ่นเหยียดหยามคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สันโดษ
บ้าคลั่งวัตถุ ที่ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของตน
...อยากได้  อยากมี  อยากเป็นที่รู้จัก
...เราเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างเต็มใจ  และรับเอาความคิดที่ว่า่อย่างน้อยต้อง "วิ่งตามฝูงให้ทัน" ( บางคนก็เสี้ยนอยาก ที่จะได้เป็นผู้นำฝูง - นำกระแส  ด้วย "มิจฉาทิฐิ" ) และแข่งขันให้ชนะ  โดยไม่ต้องสนใจว่าจะทำให้เกิดผู้แพ้ขึ้นในสังคม ( อธิบายกับตัวเองว่า "นั่นคือธรรมชาติของการแข่งขัน  ผู้ที่แข็งแรงกว่า + ฉลาดกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ )
...เรายอมรับ "วิถีแห่งการดำรงชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน" เข้ามาในชีวิตและสังคมแบบเต็ม ๆ

3.
หลังจากราหูผ่านไป  พระเสาร์ก็เข้ามาแทนที่
พระเสาร์คืออะไร ?
พระเสาร์ ในความหมายก็คือ อันธพาล  กุ๊ย  การใช้อำนาจข่มขู่คุกคาม  โทสะจริต 
อันเป็นช่วงเวลาตรงกับสมัยที่ 2 ของทักษิณ ที่ประชาชนในประเทศต้องอยู่อย่างหวาดกลัว  หวาดหวัั่น
ถ้าคุณเป็นคนเมือง ไม่ต้องถามว่า "รู้สึกปลอดภัยกับชัวิตและทรัพย์สินแค่ไหน ?"
การลัก ขโมย ปล้น ชิงทรัพย์ การใช้กำลังประทุษร้ายกัน ในแผ่นดินเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดา
...ปกติธรรมดาเสียจนกล่าวได้ว่าคนเดินถนนในกรุงเทพ ฯ จำนวนกว่าครึ่ง  เคยถูกลักทรัพย์ (แล้วบ้างก็ต้องทนรับสภาพว่า "ทำของหาย")  ถูกชิงทรัพย์  โจรเข้าบ้าน  ปล้นทรัพย์สินไปจากรถหรือห้องพัก  ฯลฯ  มาแล้ว
...แล้วรัฐบาลก็เสไปว่าเป็นเพราะผู้คนยังยากจน  เพื่อหา่ช่องทางผันเอางบประมาณไปแจกจ่าย  ยึดเอาที่ดินของรัฐ-สมบัติของประชาชนทั้งประเทศไปแบ่งซอย เร่ขาย-ให้เช่า เพื่อเอาคะแนนนิยม
...รวมทั้ง "หาแพะ" ที่ชื่่อ "พวกแก๊งยาบ้า" เอามาบูชายัญซะ
จนสามารถบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฺทางการเมือง-สังคมของประเทศไทยได้ว่า
"หากเป็นคดีลักวิ่งชิงปล้นล้วนเป็นผลจากยาบ้า  คดีฆาตกรรมก็เกิดจากขัดผลประโยชน์ (ถ้ามีผู้หญิงมาเกี่ยวข้องก็รวม "ชู้สาว" ไว้ด้วยสักหน่อย )  ส่วนไฟไหม้ก็ไฟฟ้าลัดวงจร"
...งานตำรวจไทยจึงง่ายดี  แต่ก็ถูกใจพวกไม่รู้สึกไม่รู้สม - ไม่รู้สึกไม่รู้สา ที่ก้มหน้าก้มตา "หาเงิน + รวย ๆๆๆๆ"  (แม้ว่าฝ่ายที่มีวติปัญญาจะกังขาหรือสงสัยอยู่บ้าง  ก็ไม่กล้าออกมาขัด   เพราะกลัวจะถูก "อุ้มหาย")

โดยยังไม่นับสภาวะ "ขวัญหนีดีฝ่อ" ในแวดวงข้าราชการ - พนง.รัฐวิสาหกิจ ที่สถานภาพความมั่นคงในชีวิตของตนช่างง่อนแง่น โงกเงกเต็มที   ไม่รู้ว่าจะเผลอไปเหยียบตาปลาทั่น CEO หรือ "คนของทักษิณ" เข้าเมื่อไหร่
...หรือหน่วยงานของตนจะถูกยุบ - ขาย อย่างไร - ไปทางไหน
โดยยังไม่นับประชาชนในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยยังไม่นับรวมสถานภาพขององค์กร สถาบัน หน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังถูกท้าทายหรือบ่อนเซาะให้หมดความน่าเชือถือศรัทธา
ฯลฯ

หากมีคำถามว่า "ในเมืออันธพาลครองเมืองแล้ว ทำไมผู้คนยังไม่หนีไป ?"
....นั่นเพราะอิทธิพลของ "ราหู" ที่ทิ้ิ้งไว้นั่นเอง
เปรียบเทียบได้กับสัตว์ที่อยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ( ความอยาก + เสี้ยน )  หรือสัตว์ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะจำศีล ( ความอยาก + ความจำเป็น )  หรือสัตว์ที่กำลังพ้นช่วงจำศีล ( ความอยาก + อดอยาก )  ที่ไม่ว่าจะมีเภทภัยอะไรรออยู่ข้างหน้า  ก็จะต้องดาหน้าออกไป ( จะเกิดห่าเหวอะไรค่อยว่ากัน  หาเงินก่อนโว้ย...เดี๋ยวไล่เก็บไม่ทันชาวบ้าน )

4.
เวลานี้ - ช่วงนี้ พระเสาร์ กำลังจากไปนะครับ 
แถมยังเป็นการจากไปแบบแปลก ๆ ซะด้วย 
คือ "เดินถอยหลัง" แบบ "หลบเส้นใหญ่ - แว่บไปชั่วคราว" อีกต่างหาก


เนื่องจาก ...มฤตยู กำลังจะเข้ามา... อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ไงล่ะครับ




หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 05:47
4. ...ต่อ
"มฤตยู" คืออไร ?

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า มฤตยูไม่ใช่ความชั่วร้าย 
อาจจะน่ากลัว  น่าหวาดหวั่น  แต่นั่นล่ะคือ "ความจริง" ของธรรมชาติ
มฤตยู เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้พ้น  แม้แต่ ( สภาวะตัวตนของ ) พระพุทธเจ้า รวมไปถึงศาสดา หรือใครก็ตาม - อะไรก็ตามที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ว่า "ขลังสุด ๆ"
..."เสร็จ" มฤตยู หมด !

และการทำงานของมฤตยู  ก็ไม่ได้หมายถึงความเกรี้ยวกราดถาโถมรุนแรงซะด้วย
ตัวของมฤตยูเองนั้น "เงียบ" และ "รวดเร็ว" อันเป็นภาวะสั้น ๆ ระหว่าง "เป็น > ตาย" เท่านั้น

มฤตยูไม่ได้ทำลายอะไร  เพียงแต่เข้ามาเพื่อปรับให้ทุกอย่างกลับไปเป็นศูนย์ ( ด้วยการทำให้สูญ )
มีชีวิต  ก็กลับไปเป็นไม่มีชีวิต
ร่ำรวย ก็กลับไปเป็นเหลือแต่ตัว
ตึกรามบ้านช่อง ที่ยื่นขึ้นมาจากแผ่นดิน  ก็กลับพังทลายลงไปอยู่ในระดับดิน ( Ground Zero )
...อะไรทำนองนี้

ซึ่งการมาของมฤตยูนี้เอง  จะส่งผลให้เกิดการปรับเข้าสู่สมดุลย์ ( ซึ่งคงไม่ถูกใจใครต่อใคร )
เช่น
คนที่เป็นหนี้  ก็จะปลดหนี้ ( เย้...)
แต่ทรัพย์สินที่มี  ก็จะสูญมลายหายสิ้นไปด้วย ( ไม่เช่นนั้น  ก็ืคือ "ไม่สมดุล" )
ตัวอย่าง : หนี้ในบัตรเครดิต  หนี้ที่ติดไว้กับแบงค์  จะหายไปหมด ( เย้...)
แต่บรรดาทรัพย์สินต่าง ๆ  โดยเฉพาะที่ได้มาจากการกู้ยืมนั้น ๆ ไม่ว่าผ่อนหมดแล้วหรือยังผ่อนไม่หมด  ก็จะฉิบหายวอดมลายไปด้วย !!

สถานการณ์ที่ว่านี้  อาจหมายถึงในรอบปีนี้จะมีการ "ยิงเจ้าหนี้" เกิดขึ้นทั่วไปในบ้านเมือง
ยิงลูกหนี้ไม่มีใครได้อะไรครับ  หนี้สินยัีงพลอยสูญเปล่า ๆ   ในขณะที่ "ยิงเจ้าหนี้" นี่สิ  มีผู้ได้รับประโยชน์มหาศาล
...ใครยิง ?
...ก็คนที่อยากเอาใจ "ลูกหนี้" หรือ "ลูกหนี้" นั่นเองล่ะ  ที่ยิง
แล้ว "หนี้" นั้นหมายถึงแต่ "เงิน" เท่านั้นหรือ
....ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ
หนี้  อาจจะเป็นหนี้บุญคุณ   หนี้ขี้ปาก   หรือหนี้ ( ที่ทึกทักเอาเอง ) หัวใจ ก็ได้

สถานการณ์ที่ว่านี้  อาจรวมหมายถึง การคืนกลับไปซึ่่งสมบัติของแผ่นดิน - คุณประโยชน์ของแผ่นดิน
แผ่นดินในความหมายนี้ไม่ใช่รัฐบาลนะครับ  แต่หมายถึงแผ่นพื้นพสุธาที่ไอ้-อีสารพัดสารพันกลุ่มเข้ามาอาศัย
การเอาคืนกลับไปของแผ่นดิน   อาจหมายถึงอุบัติภัยต่าง ๆ  และเหตุการณ์อันไม่มีใครคาดหวังจะให้เกิด
เช่น  อัคคีภัยร้ายแรง  เผาผลาญทำลายสร้างความเสียหายต่อชีวิต - ทรัพย์สิน ( เน้น "สิน" ) อย่างสุด ๆ
วาตภัยที่เข้ามากวาดทุกสิ่งทุกอย่างจนราบเรียบ   อุทุกภัยที่ทำให้ทุกอย่างไหลไปรวมกันทั้งสิ่งที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่แล้วและสิ่งที่เคยมีชีวิตมาก่อน
...ตลอดไปจนถึงพืชพรรณที่ปลูกไว้  อาจโดนแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ เข้าทำลาย   รวมทั้งอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีิดอกผลซะงั้น  ทั้งที่อัดปุ๋ย อัดยา อัดฮอร์โมนแร่ธาตุ ลงไปแล้วจนเพีียบ


ถึงตรงนี้แล้ว  อย่่าลืมนะครับว่ายังไม่ได้กล่าวถึง สิ่งที่มฤตยจะูเอาคืนไปจาก "ผู้คนในแผ่นดิน" เลย


5. เจ้าหนี้หายหน้า - ในเวลาที่ต้นทุนก็หมดสิ้น
แล้วจะทำอย่างไร ?
....ปล้นสิ  ฉกชิง - ฉกฉวยสิครับ   ก็ปากท้องยังต้องกิน จะให้ทำมาหาแดกอะไร ??
- คนต่างจังหวัดเข้าเมืองมาตกงาน - หางานทำไม่ได้  ก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า
- คนในเมือง พวกรับจ้างอิสระก็ไม่มีใครจ้าง  ส่วนพวกลูกจ้าง วันดีคืนดีก็ไม่มีนายจ้าง...แหม้งหายหัว ( พร้อมเงินเดือนกรู ) ไปไหนก็ไม่รู้
- รากหญ้า...เทวดาหน้าโง่ของทักษิณ ก็เปลี่ยนสภาพเป็นหญ้าคอมมิวนิสต์   ก่อม็อบวันละ 4 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน เรียกร้องสารพัดสารพันเสียจนรัฐบาล ( ไม่ว่าใครเป็นนายก ฯ ) ไม่มีปัญญาทำอะไรอื่น 
- ฯลฯ

การปล้น ฉกชิง ฉกฉวย ที่กำลังจะเกิดขึ้นไมใช่การฉ้อ่โกงหรือฉ้อฉล อีกต่างหาก 
เพราะเสียเวลา   
สู้ฟาดกบาลแล้วเอามันซึ่ง ๆ หน้านั่นเลย มิง่ายกว่าดอกรึ ?
...ปีนี้อาจมีข่าว "ฆ่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง  ฆ่าแท้กซี่" หนักหน่อย
อาจพาลไปถึงเรื่องแปลก ๆ   เช่น  ดักปล้น - ชิงรถเด็กส่งพิซซ่า หรือประักันภัย ( อ้าว...ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ )
...พ่อบ้านหรือแม่บ้านขับรถออกไปตอนเช้า  พอค่ำ ๆ ก็กลับมาในห่อผ้าขาวหลังกะบะรถปิคอัพสกรีนตรามูลนิธิ ฯ
...เหตุการณ์เรื่องโจรเข้าบ้านอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียจนมีธุรกิจประกัน "การโจรกรรมทรัพย์สินในเคหสถาน" แบบเมืองนอก ( ที่ไม่เจริญทางจิตวิญญาณ )

นอกจากปล้นชิงแล้ว  ในออฟฟิสก็จะมีเรื่องการยักยอก - โกงนายจ้าง - การจัดการงานนอกคำสั่ง - ลาภมิควรได้ เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ
....วงแชร์ล้มระนาวเหมือนกอเห็ดโดนยา  ส่งผลต่อเนื่องไปยังความสัมพันธ์ทางสังคม  เพราะคนเล่นแชร์ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ( แหม้งโกงกรูเห็น ๆ นะไอ้สาด...ตายซะเถอะ )
....หุ้น ( สามัญ ) ล้ม  ( กรูขอเอาไปก่อนนะเพื่อน  ไว้เจอกันชาติหน้านะ...ไอ้หน้าโง่ )
....ผู้รับเหมา - รับจ้าง ทิ้งงาน   ส่วนผู้จ้างก็ทิ้งผู้รับจ้าง ( แล้วแต่ว่าใครได้ประโยชน์ไปก่อน )
....น่าดีใจแทนคุณตำรวจ  ที่กลับไมค่อย่ว่างกันเลย - งานเข้าเยอะมาก  นั่นเพราะกำลังไปคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกนักการเมืองกฎุุมพี

สภาวะนี้เรียกว่าเป็น "สูญญากาศทางสังคม - เศรษฐกิจ" ครับ
คือผู้คนคิดเหมือนกัน - รู้สึกต่อกันและกันว่า
"กรูไม่เชื่อมรึง  กรูไม่ไว้ใจมรึง  กรูไม่เชื่อในรัฐ   แต่จะว่าไปแล้วกรูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนั่นล่ะ"

...เศรษฐกิจและสังคม เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ด้วย ความเชื่อมั่น - เชื่อถือ นะครับ
...ไม่ใช่เชื่อในลักษณะที่ว่า
"เมื่อยื่นมือออกไปแล้ว จะต้องคว้าอะไรมาได้เสมอ"
...แต่เป็นความเชื่อมั่นในลักษณะที่ว่า
"เมื่อหว่านเมล็ดพืชลงไปแล้ว  อย่างน้อยจะต้องงอกกลายเป็นต้นไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4"
และที่สำคัญที่สุดก็คือ
"ต้นไม้นั้นจะต้องไม่โดนใครมากระทืบให้ตายแหงแบนแต๊ดแต๋เอาเสียดื้อ ๆ"

ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ "สัตว์เศรษฐกิจ" แบบที่คนไทยแปลงร่างไปเป็นในช่วง 20 ปีมานี้ต่างไม่เคยมีอยู่
...เป็นเรื่องที่บรรดานักวิชาการทั้งหลายจากทุกสื่อ ไม่เคยสนใจศึกษา   ด้วยร้อยละ 90 เป็นผู้ที่มาจาก "สายการตลาด - เศรษฐศาสตร์" ถนัดแต่ซื้อ - ขาย ( ซึ้อมาขายไป ) ที่ต่างก็ตั้งหน้าตาทำมาหากินเพื่อบำรุงหน้าใหญ่ ๆ ( และเหลี่ยม ๆ ) ของตัวเองอย่างจริงจัง
...เป็นนักวิชาการที่พร่ำสอนให้รู้จักวิธี "เก็บดอก - เก็บผล" จนไม่สนใจที่จะบำรุงต้น บำรุงราก
...เป็นนักวิชาการที่ไม่สนใจว่าต้นไม้ - ต้นอ่อนที่ไหนจะถูกกระทืบแบนแต๊ดแต๋
แถมไอ้พวกนี้จะพาลถามกลับว่า
"แล้วมรึงจะเสียเวลาปลูกทำไม  ทำไมไม่รอตกเขียวแล้วนำผลไปขายต่อเอากำไร     ส่วนช่วงนี้ก็เอาเวลาไปจับจองยึดครองตลาดดักไว้เสียก่อนล่วงหน้า  จะไม่เป็นการฉลาดกว่าหรอกหรืิอ ?"

ตลอดระยะเวลา 20 ปีตั้งแต่ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ ( พลเอกเปรม ) เป็นต้นมา  เราไม่เคย "ปลูกต้นเศรษฐกิจ" เองเลย
เราอาศัยการลงทุน  หรือ "มือของต่างชาติ" แทบทั้งสิ้น
จากนั้นเราก็เป็นแค่ "รับจ้างเฝ้านา" หรืออย่างดีก็ "รับจ้างฉีดยา - โรยปุ๋ย"
โดยมีพวก "นายทุนชาวไทย" คอย "รับจ้างเก็บเกี่ยว" แล้ว "สีฝัด ขัดขาว" พร้อมบรรจุถุง
...เ่ท่านั้น


สุญญากาศทางสังคม - เศรษฐกิจ นี้รุนแรงกว่าทางการเมืองหรือทางวิชาการ มากมายหลายเท่า นะครับ


อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว  คงยังจำคำว่า "สูญ" หรือ "ศูนย์" ได้ใช่ไหม ?!
...นั่นล่ะ คือผลงานของ มฤตยู


6.  เหตการณ์หรือสถานการณ์ที่ผม "คาดเดา" นั้นเป็นเพียง "ทางผ่าน" เท่านั้น
แท้จริงแล้วมันอาจไม่ใช่อย่างนี้  หรือยิ่งไปกว่านี้ ก็ได้
สิ่งที่จะให้พิจารณาคือผลลัพย์ของมัน  หรือเจ้า "สูญญากาศทางเศรษฐกิจ - สังคม" นี้ล่ะ 

เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่  อาจจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ จู่ ๆ ก็มีเส้นด้ายสีแดง  ็ปรากฎขึ้นมาบนข้อมือผู้คนบนแผ่นดิน

เส้นด้ายสีแดง : เป็นสิ่งที่คนเป็น ( โดยเฉพาะผุ้ใหญ่ ) ใช้ผูกให้กันไว้ในขณะที่มีคนตายในครอบครัว
...ซึ่งเชื่อว่า หากดึงออกแล้วไซร้่  คนเป็นที่ไม่มีเส้นด้าย ฯ รายนั้น อาจจะได้ติดตามคนตายไปในเร็ววัน ( เพราะยมทูตแยกไม่ออก )



7. แล้วจะทำอย่างไร ?
......น่าคิดนะ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 07:09
7. ....ต่อ

ก่อนอื่น  ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณเป็นคนแบบไหน
ก. แบบแรก 

"แล้วจะให้ทำไงได้ล่ะ  เกิดมาในบ้านเมืองนี้ - ช่วงเวลานี้  จะหนีไปไหนได้พ้น  มันก็ต้องอดทนไปจนถึงที่สุดล่ะ  อะไรที่ละเว้นหรือปล่อยวางได้ก็ละ ๆ วาง ๆไป   คิดมากเยี่ยวเหลือง  เปลืองกระแสไฟฟ้าในเส้นประสาท เปล่า ๆ .... Blah Blah Blah"

...OK  ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทำบุญเยอะ ๆ ครับ   
เข้าวัดเอาเงินไปให้กรรมการวัดซื้อเครื่องประดับโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ   TV จอพลาสมา  เครื่องเล่น  DVD  รวมทั้งรถตู้ติดฟิล์มกรองแสงมืดตึ๊ดตื๋อให้พระสงฆ์องค์เจ้าในวัดใช้เวลามีกิจนิมนต์ Outdoor
...แล้วจบเลย  ไม่ต้องอ่านต่อ  เอาเวลาไปคิดมุขไว้ยิงกับพระเวลานิมนต์ท่านมาเทศนาที่ออฟฟิส



แต่ถ้าไม่ใช่แบบ ก.
ก็มีแบบ ข. และ แบบ ค. ( มี Option ซะด้วย ) ให้พิจารณา
...ขอบอกก่อนนะครับว่า อาจมีบางเรื่องที่วิญญูชนทำใจยอมรับไม่ได้



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 01-01-2008, 08:56
..มารออ่านต่อค่ะ  :slime_hmm:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 01-01-2008, 09:22
เข้ามาอ่านครับ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 01-01-2008, 09:53
ถ้าใช้หลักสากล ปีนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ที่มีผลทั่วโลกคือ พลูโตย้ายเข้าราศีมกร ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน เรือนภพที่ 8 หรือภพมรณะ ของดวงเมืองกรุงเทพฯ และตำแหน่งพลูโต+พฤหัสจรในช่วงปีใหม่ ก็กุมพฤหัส+เสาร์กำเนิดอยู่ด้วย

ก็ดูน่าเป็นห่วงอยู่มากนะครับ



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ลักลั่นย้อนแย้ง ที่ 01-01-2008, 10:09
เข้ามาอ่านต่อครับ  :slime_dizzy:  :slime_dizzy:  :slime_dizzy:

ปล. สวัสดีปีใหม่ครับปู่เย็น หายไปนานเลยนะครับ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 11:00
8. แบบ ข.และแบบ ค. เป็นคนไทยจำพวก "ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แล้วรอรับชะตากรรม" ( อย่างน้อยกรูก็ "Do Something" ล่ะวะ )

ขอกำหนดเองให้ ข.คือพวกมองในแง่ร้าย 
ว่า ปลายทางอุโมงค์มีแสงสว่างรำไร  แต่ต้องตก - ลงไปตายในเหวที่ขวางหน้าซะก่อน ( จากนั้นจึงเป็นวิญญาณลอยขึ้นไปสู่ลำแสง ณ ปลายอุโมงค์ )

ถ้าคุณเป็นแบบนี้  คิดว่า "เมืองไทยไปไม่รอดแน่....หรืออย่างน้อยในช่วงชีวิตที่เหลือ   เมืองไทยยังจมอยู่ในหุบเหวแห่่งความวิบัติอย่างแน่นอน"

...อพยพ ครับ 
...ไปอยู่เมืองนอกซะ  จะแว่บไปแว่บมา ( โดยแว่บไปซะส่วนใหญ่ ) หรือเปลี่ยนสัญชาติ-ภูมิลำเนา ไปเลยก็สุดแล้วแต่
...ที่นี่ - เมืองไทย มันคือโซดอม & กอมโมรา 
อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ  เพราะ "้พวกนักเลือกตั้ง - นักเล่นการเมือง" ทั้งหลายที่เห็น ๆ อยู่ในบ้านเมืองทุกวันนี้  ล้วนแต่มีบ้้านพัก - ถิ่นพำนักอยู่ ตปท. แล้วแทบทั้งสิ้น
...มันเห็นอะไร ๆ ก่อนเราแล้วครับ  เค้าลางความหายนะที่ปรากฎขึ้นนี้ "ไอ้พวกที่สร้างความหายนะ" นั่นล่ะรู้ดีที่สุด
ส่วนจะเป็นใครบ้าง - มีใครบ้าง  คงไม่ต้องขยายไว้ ณ ที่นี้หรอก


แต่บังเอิญการ "ทิ้งบ้านช่อง" ไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระ ( 1 )  มีความผูกพัน ( 2 )  และไร้ช่องทางเอาตัวรอดใน ตปท. ( 3 )
- มองออกไปก็ โอ้...โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์  ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นโตโยต้าโคโรลลา  ก่อนหน้านั้นอีกเคยเป็นโตโยต้าไฮลักส์   ก่อนหน้านั้นอีกคือคาวาซากิ-มัคทู ( สี่่จังหวะรุ่นสุดท้าย )
...กว่าจะ "มาถึงขนาดนี้ได้" มันยากนะ  มันเหนื่อยนะ  มันน่าเสียดายนะ !
- มองเข้ามาในบ้านก็ ลูก แม่ พ่อ ( ส่วนเมียหรือผัว...ช่างมันเหอะ  ไว้หาใหม่ที่เมืองนอกให้เจ๋ง ๆ กว่านี้ได้เยอะแยะ )
- หลับตานึกถึงงานการ  โอกาสที่กำลังจะได้เป็นผู้จัดการในเวลาอีกไม่กี่เดือน  ลูกน้องที่กว่าจะฝีกให้ช่วยโกงบริษัทได้ 1 ก๊กใหญ่ ๆ   ร้านค้าที่กำลังเติบโตดีวันดีคืน
...ลืมตาหรือหลับตา ก็ยังตอบตัวเองว่า "ไปไหนไม่ได้" สักที

งั้น "พวกนี้" ผมขอ "ข้าม" ไปก่อน ( โห...รับผิดชอบน่าดูเลยตู )


เราจะหมายถึง "คนโสด" หรือ "ผู้ที่อาศัยอยู่ ตปท. อยู่แล้ว" ก่อน
พวกนี้ ไม่ต้องกลับ - ไม่ต้องรอ ครับ
ไปเลย...แปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดแล้วซิ่ง
อย่าบอกใครว่ามาจาก ไทยแลนด์ อีกต่างหาก 
้มั่วไปเลยว่ามาจากไต้หวัน  มาเลเซีย  หรือมะยันมาร์ ( ถ้าอยู่ "เมืองฝรั่ง" )
แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน  ไกลนักก็กลัว  ก็แนะนำให้ Look West ครับ
ไปพม่า - อินเดีย - บังคลาเทศ - ซีลอน หรือยาว ๆ หน่อยก็ประเทศเล็ก ๆ แถบริมขอบอาฟริกา ( อย่าเข้าไปใจกลาง )
...ส่วนจะใช้ชีวิตอย่างไร  อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง
ที่สำคัญก็คือ จงบินไปให้สุดกำลังและแรงใจ  จงพุ่งไปอย่างลูกธนู
อย่าได้ห่วงหวงอาลัยอาวรณ์ในเมืองไทย  อย่าเป็นเบ็ดที่รอเวลาถูกกรอกลับ


กลับมาที่พวกซึ่ง "ยังติด (1 -2 -3 )"
อันนี้เข้าใจ  ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนี้
...คุณต้องแยกแล้วครับว่า "จะเอาอะไรไปด้วย" หรือ "ใครจะไปด้วย" กับคุณ
ถ้าเขาหรือเธอหรือท่านไม่ไป...ปล่อยไปตามบุญตามกรรม
จากนั้นค่อย ๆ แปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด ( หน่วย S$ หรือ MLSR น่าจะปลอดภัยกว่า US$ )
ฝากเิงินในธนาคารต่างประเทศให้หมด...กระจายความเสี่ยงไปยังแบงค์หลาย ๆ สัญชาติ

ถ้ามีสังหาริมทรัพย์จำพวก "ทรัพย์ใหญ่" ก็เอาเข้าไฟแนนซ์หรือรีไฟแนนซ์ซะ
ส่วนพวกอสังหา ฯ หากมีโอกาส  ให้ "ปล่อยเช่าเหมือนตั้งใจขาย" แก่ชาว ตปท. เช่น สัญญาเช่าระยะยาวเต็มข้อกำหนดของ กม. และให้บุริมสิทธิแก่ผู้เช่านั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้ถือกรรมสิทธิได้
....ขายให้สิงคโปร์ - ไต้หวันนั่นล่ะ  ง่ายที่สุด
ถ้าเปิดพอร์ตไว้ในตลาด  ก็จงเล่นสั้น ฉกแล้วฉากออกไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือตัววิ่ง
อย่าฟังไอ้พวกนักวิเคราะห์ ฯ มากนัก  เพราะเท่าที่เปิดตลาดเป็นต้นมา  ก็เห็นมีแต่พวกมันนั่นล่ะที่รวยเอา ๆ ด้วยเหตุที่มือข้างหนึ่งถือพายกวักน้ำ  ในขณะที่มืออีกข้างก็ถือกระชอนคอยดักเอาผู้ฟัง - ผู้ชมทั้งหลายแหล่ ที่กลายสภาพเป็นปลาเป็ด-กุ้งฝอย
...พันธบัตร ( ระยะยาว ) อะไรนั้นอย่าได้เข้าไปถือเด็ดขาด   คุณเชื่อจริง ๆ หรือว่าในสถานการณ์ที่บ้านเมืองแทบไม่เหลืออะไร - สมบัติของประเทศชาติถูกเร่ขายหมด ( แม้แต่คุณเองก็ช่วย่ขาย )  แล้วลูกหลานชาวไทยที่เห็นวิ่งเล่นตัวกะมอมกะแมมตามชุมชน "บ้านมั่นคง" ( ชื่อใหม่ของ "สลัม" หลังจากใช้คำว่า "ชุมชนแออัด" > "ชุมชนพัฒนา" มาได้ระยะหนึ่ง ) ทั้งหลายแหล่นั้น  จะมีปัญญาหาดอกผลมาชดใช้ให้ตามที่ปรากฎอยู่ในหนังสือพันธบัตร ??
....ยิ่งไอ้ - อีคนที่อนุมัติให้ออกพันธบััตรน่ะ  มันไปเสวยสุขอยู่ตามแมนชั่นหรู ๆ ที่ ตปท.ตั้งนานแล้ว
...คุณก็รู้
...นักวิเคราะหฺ์หุ้น - เศรษฐกิจทั้งหลายนั่น "ยิ่งโคตรรู้"

 
เมื่อถือเงินสดแล้ว  ให้โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ตามเมืองที่สามารถ "ออกไปจากราชอาณาจักร" ได้โดยง่าย  เช่น  ภูเก็ต  สมุย  หาดใหญ่  ระยอง  ตราด ฯลฯ ซะ
...อยู่ห่าง ๆ จังหวัดทีหากจะต้องออกไป ตปท.ก็จะต้องเข้าไปในประเทศเขา  เช่น  ลาว  เขมร  พม่า ให้มาก ๆ  เพราะประเทศเหล่านี้จะดัก "เอาทรัพย์สิน" ของคุณไว้แล้วปล่อยคุณ ( ไปไหนก็ช่างหัว ) ออกมาเพียงแค่ตัวเปล่า ๆ
...มีโอกาสก็หัดเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ( แนะนำ เอสปัญญอล - โปรตุกีส  หรือเยอรมัน ) ไว้บ้าง
...ฝึกฝนเรียนรู้งานฝีมือ  เช่น  การทำอาหารไทย-ขนมไทย  การร้อยพวงมาลัย - อุบะ  นวดแผนไทย  การพยาบาลเด็กและคนชรา  หรือแม้แต่เย็บกระเป๋า เย็บรองเท้า ฯลฯ
เพราะสิ่งแรกที่คุณจะต้องทำหากไปอยู่ ตปท.ก็คือ การหารายได้เลี้ยงปากท้อง  อย่าได้อาศัยบุญหรือเงินเก่าเป็นอันขาด  เพราะนั้นคือทุนก้อนสุดท้ายในชีวิต
...ไว้ "อยู่ตัว" สักหน่อนแล้ว จึงค่อยเอาประสบการณ์การทำงานจากเมืองไทยไปขาย    จงจำไว้เสมอว่างานลูกจ้างนั้นไม่มีคุณค่าถ้าคุณเปลี่ยน Field หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม   ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดสินค้านมกล่องในเมืองไทย อาจไม่มีประโยชน์อะไรแก่นายจ้างในประเทศเซโรโธ   เมื่อเทียบกับคนขับรถพื้นเมืองของเจ้าของกิจการนมกล่องชาวเดนมาร์ค
 
รายละเอียดมากนักก็เกรงใจ 
เอาเป็นว่า "จัดปีกจัดขน" ของใครของมันให้สมกับเพดานบินและสายพันธุ์ก็แล้วกัน





หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 01-01-2008, 11:24
มาแปะชื่อก่อน คุณปู่เย็นหายไปนานเลย  :slime_smile:

ทำไมไม่มีเรื่องดีเลยอ่ะค่ะ น่ากลัวจัง :slime_shy: :slime_shy:

มีพี่หลายคนแนะนำให้หนูอย่ากลับประเทศเลย ทำไงดีล่ะค่ะ ผู้ใหญ่หลายท่านก็หวังกับเรา ซึ่งแต่ละท่านก็หวังดีกับประเทศชาติทุกคน อยากเสี่ยงฝ่าฝันวิกฤตของประเทศสักครั้งค่ะ  :slime_shy:


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-01-2008, 12:04
คคห.นี้ มาเพื่อกล่าวคำ "สวัสดี" และ "สวัสดีปีใหม่"
สวัสดีครับท่านอัง ฯ
สวัสดีครับหนูอนา ฯ
สวัสดีครับคุณ QuaOs - คุณสมชาย ฯ - คุณลักหลับยกล้อ ( สงสัยสะกดผิด )

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ 
ขอให้พระคุ้มครองไปจนตลอดรอดฝั่ง ภยันตรายใด ๆ มิอาจแผ้วพานได้
...คิดหวังอะไร  ก็ขอให้ได้เฉพาะแต่เรื่องดี ๆ เป็นศิริมงคล นะครับ


( ผมไม่ได้ไปไหนนะ  แค่ปล่อยให้ลูกน้องเข้ามาเล่นในชื่อของเขาเอง  และ/หรือพิมพ์ให้ในชื่อของผม ระยะหนึ่ง )
 :slime_shy:


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 01-01-2008, 12:14
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ท่านปู่เย็นเปรียบเมืองไทยเช่นเมืองโสโดมโกโมราห์นี่ -- หมดอนาคตจริง ๆ ค่ะ  :slime_hmm:





หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 01-01-2008, 15:07
เมืองไทยคงถึงกลียุคแน่แล้วแบบนั้น


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: Kittinunn ที่ 01-01-2008, 15:31
ผมอ่านแล้วกลับงง  :slime_dizzy: จะให้ผมไปอยู่ที่ไหน???  :slime_hmm:

เอาเป็นว่า สิ่งที่จะคาดเดาได้อย่างหนึ่งหลังจากอ่านบทความของคุณปู่เย็นก็คือ
"ตลาดหุ้นไทย" ครับ โดยเฉพาะ SET ที่ถือเป็นสวรรค์ของนักเก็งกำไรและคนที่คิดโลภ
ผมเดาว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทย "ล่มจม" แน่ๆ เพราะดูไปรอบๆ ก็มีแต่คนที่ฟหช้ำดำเขียว

ส่วนเรื่องของมฤตยู ผมทำใจส่วนหนึ่ง แต่ก็ถือว่ายังดีที่เรามีคุณธรรมและความชอบธรรม
เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เราได้ทำใจร่มๆ อยู่ถึงทุกวันนี้

สวัสดีปีใหม่ปู่เย็น บุคคลที่ผมชอบอ่านคอมเม้นต์ประจำ หวังว่าจะเข้ามาที่นี่บ่อยๆ นะครับ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: Kittinunn ที่ 01-01-2008, 16:28
เอาบทความของ "กาแฟดำ" มาฝาก อ่านแล้วก็พยายามทำใจร่มๆ นึกถึงหลักความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลัก

เป็นคนไทย พ.ศ. 2551 ต้อง "ทำใจ" ให้เป็น
31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 12:10:00
 
วันสุดท้ายของปีนี้ นั่งพิจารณาการเมืองของปีหน้าแล้ว คนไทยจำนวนไม่น้อยต้อง "ทำใจ" เพราะจะมีเรื่องกวนความรู้สึกและกระทบสำนึกแห่งความถูกต้องชอบธรรมในสังคมมากมายหลายเรื่อง

เจอใครในช่วงนี้ผมควรอวยพรปีใหม่ด้วยยา "ทำใจ" เพราะหาไม่แล้วก็ต้องเผชิญกับความเครียดตลอดปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณคาดหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นเพราะมีการเลือกตั้งอย่างที่เราเรียกร้องแล้ว โดยเข้าใจผิดคิดว่าประชาธิปไตยหมายเพียงถึงการเข้าไปคูหาเลือกตั้งเพื่อกาบัตรเท่านั้น

เรื่องที่จะต้อง "ทำใจ" สำหรับคนไทยในปีใหม่นี้มีมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่การต่อรองเจรจาการตั้งรัฐบาลผสมที่มีอาการของการเมืองน้ำเน่าเก่าๆ หวนกลับมาให้คนไทยได้รู้สึกว่าบ้านเมืองเราช่างด้อยพัฒนา และนักการเมืองยังนึกว่าคนไทยส่วนใหญ่นั้นโง่กว่าตัวเอง ตามลูกเล่นต่างๆ ของพวกเขาไม่ทันอีกแล้ว

คุณต้อง "ทำใจ" กับคณะรัฐมนตรีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หากเป็นไปตาม "โผ" ที่ออกมาในหน้าหนังสือพิมพ์สองสามวันที่ผ่านมา เพราะเราท่านจะต้องร้อง "ยี้" กันจ้าละหวั่นอีกรอบหนึ่งแล้ว

คุณต้อง "ทำใจ" กับข่าวที่มีคนมากระซิบบอกคุณว่า ส.ส.ที่คุณเลือกเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นคนดีมีหลักการอย่างยิ่งนั้น ไปรับเงินเพื่อจะเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับเขาแล้ว

ยิ่งต้องทำใจใหญ่เมื่อคนที่มากระซิบคุณอ้างว่าได้ยินจากปากของคนสำคัญของพรรคที่เป็นแกนกลาง และกล่าวอย่างดูหมิ่นดูแคลนว่า

"ไหนคุณว่าคนนี้เงินซื้อไม่ได้ไง? ตอนแรกได้รับการเสนอ 20 ล้าน เขาทำท่าไม่เอา อ้างว่าเป็น ส.ส.ต้องมีหลักการ มิฉะนั้นประชาชนจะเล่นงาน แต่พอเราเพิ่มเป็น 30 ล้าน เขาก็บอกว่าได้สอบถามประชาชนของเขาแล้ว ประชาชนเขาอยากให้เข้าร่วมรัฐบาลเพราะเขาเลือกมาให้ทำงาน....ฮา"

คุณต้อง "ทำใจ" ว่าคนที่หัวเราะเยาะคุณนั้นเขากำลังจะบอกคุณว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนซื้อไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่จังหวะและราคา

คุณบอกว่าคุณอยากร้องไห้กับข่าวคราวอย่างนี้ใช่ไหม? คุณต้อง "ทำใจ" ว่าคุณจะต้องได้ยินเรื่องอย่างนี้อีกมากในปีใหม่นี้ เพราะการเมืองไทยกำลังจะกลับเข้าสู่วงจรแห่งความชั่วร้ายอีกครั้งหนึ่งอย่างโจ๋งครึ่ม

อีกเรื่องหนึ่งที่คุณจะต้อง "ทำใจ" ก็คือว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มจะเปลี่ยนน้ำเสียงและจุดยืนต่อเรื่องต่างๆ ในบ้านเมือง...ที่คุณเคยได้ยินเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน หรือคนมีชื่อมีเสียงในสังคมวิพากษ์วิจารณ์บางเรื่องอย่างเข้มข้นนั้น เขาหรือเธออาจจะเปลี่ยนเสียงในปีใหม่อย่างที่คุณคาดไม่ถึงก็เป็นได้

เพราะคนไทยจำนวนหนึ่งถือว่าการ "เข้าข้างผู้ชนะ" นั้นเป็นวิเทโศบายส่วนตัวที่ชาญฉลาด สำหรับคนเหล่านี้ คนโง่เท่านั้นที่ "ทวนกระแส" เพราะจะทำให้ไม่ได้ผลประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนทางการเมือง

โดยเฉพาะถ้าเพื่อนของคุณคนนั้นเป็นข้าราชการที่ไม่มีหลักไม่มีการในชีวิตอยู่แล้ว หรือเป็นนักธุรกิจที่แยกไม่ออกระหว่างความถูกต้องกับคำว่านักฉวยโอกาส

นอกจากนี้คุณต้อง "ทำใจ" ด้วยว่าคำนิยามของคำว่า "คอร์รัปชัน" กับ "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ที่เข้มข้นขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจะเริ่มอ่อนแอลงในสังคมไทย เพราะหลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะพลิกกลับ และอะไรที่คุณเคยเชื่อว่าผิดหลักการและจริยธรรมอาจจะกลับกลายเป็นเรื่อง "ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น" อีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้

แต่คุณอย่าได้เครียดกับมัน เพราะการ "ทำใจ" นั้นไม่ได้แปลว่าเราจะต้องยอมพ่ายแพ้ต่อความเสื่อมทรุดของสังคมไทย

ตรงกันข้ามที่เรามาชักชวนให้ "ทำใจ" ก็เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านจิตใจเพื่อต่อสู้กับความเหลวแหลกและการ "ลอกคราบ" อีกรอบหนึ่งของการเมืองไทย...เพราะนักการเมืองน้ำเน่านั้นมาแล้วก็ไป ความถูกต้องชอบธรรมเท่านั้นที่จะอยู่ยั่งยืนตลอดไป

ขอเพียงให้เรา "ทำใจ" และ "ปล่อยวาง" อย่างที่ท่านพุทธทาสได้สอนเราไว้ในการต่อสู้กับความทุกข์ทั้งปวง


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 02-01-2008, 19:49
กระทู้นี้ยังไม่จบนะครับ
แม้แต่ ข้อ 8 ( ตำแนะนำสำหรับผู้คนประเภท ข. ) ก็ยังไม่จบ
แต่ด้วยเหตุการณ์ในช่วงเวลาปัจจุบัน  ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะกระทำการใดอันมีลักษณะซ้ำเติมจิตใจพสกนิกรชาวไทยผู้มีความจงรักภักดี

จึงขอเว้นระยะไว้สักพักหนึง


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-03-2008, 04:20
มาต่อ...


ก่อนอื่น  จะต้องขอสรุปเล็ก ๆ ถึงบางเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมร่วมไว้ทุกข์ - ไว้อาลัยสมเด็จพระพรี่นาง ฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  พร้อมทั้งทบทวนจุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้

1. กระทู้นี้ตั้งขึ้นก่อนหน้ารู้ว่าหมักจะได้เป็นนายก ฯ
2. กระทู้นี้มีเจตนาให้ผู้อ่าน "เอาตัวรอด" ไ่ม่ใช่ "กอบกู้แผ่นดินไทย" จากกลุ่มคนชั่วชาติที่ได้รับการเลือกตั้งมาโดยคนโฉดชั่ว

...ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ แถวอีสานและภาคเหนือ "เลือกพวกมัน"
เลือก  เพราะ "ติดใจ" ในรสชาติการได้รับของแจก - ของฟรี ที่เป็น "ของคนส่วนรวมทั้งแผ่นดิน"
เลือก  เพราะ "มักง่าย" คิดง่าย ๆ แบบเดียวกับที่เคยโดนหลอกแดกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณที่โดนหลอกเอาลูกสาวไปเป็นกะหรี่ - หลอกเอาลูกชายไปเป็นขี้ข้า ( แล้วก็ตกค้างอยู่ในเมือง - กลับบ้านนอกไปทำนาไม่เป็นแล้ว )   ต่อมาก็ถูกหลอกให้เสียที่ดิน  แล้วก็ถูกหลอกให้บุกรุกป่า ( ตัดไม้ + ล่าสัตว์ออกมาให้ )    หลอกให้เล่นแชร์ลูกโซ่  หลอกให้ซื้อบัตรสมาชิก  หลอกให้ร่วมหุ้นทำสวนสักทอง  สวนยูคา ฯ   
...ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เพราะ "เสี้ยน - คัน - อยาก"   เมื่อเห็นไอ้พวกคนมาจากเมืองมันมีอะไรก็อยากได้บ้าง - อยากเป็นบ้าง   คันใจ อยู่เฉย ๆ ดี ๆ แล้วงุนง่านก็เลยเอาหัวไปให้เขาฟันเล่น...เอาเงินไปให้เขาโกง - เอาศักดิ์ศรีไให้เขาตลกขบขัน   เสี้ี่ยนอยากเป็นใหญ่ "เจ้าคนนายคน" กับเขาบ้างเพื่อจะได้มีโอกาส "วางก้ามใส่ไอ้พวกเรียนหนังสือ พวกครู - หมอ - ข้าราชการที่มัน "อยู่เหนือพวกกรู ( ทางสังคม )" มาเป็นเวลาเนิ่นนาน
...ซึ่งบรรดาความ "เสี้ยน - คัน - อยาก" เหล่านั้นไม่ถือว่าผิดหรอกครับ  มันเป็นโลกียสุข  ตามสันดานสัตว์สปีชีร์คนที่ยังชื่นชมในรสชาติแห่งภวตัณหาผ่านทาง หู - ตา - จมูก - ปาก - ดาก และแผ่นผิว   
...แต่มัน "ผิด" ที่มิได้แสวงหามาอย่าง "สัมมาทิฐิ" หรืออยู่ในกรอบแห่ง "จริยธรรม"

แบบเดียวกับพวกเด็กกุ๊ย ๆ ที่เสี้ยนอยากให้ครูบาอาจารย์   หรือเพื่อนฝูงที่เจริญก้าวหน้า  หรือบางทีก็รวมไปถึงพี่น้อง พ่อ-แม่ของตัวเอง "มายกมือไหว้"   รวมทั้งตัวเองก็ "ทำมาหากินไม่เป็น - หยิบโหย่ง - ขี้เกียจ"
...ก็เลยไป "บวช" ซะ  แล้วจะได้มีคนมากราบไหว้บูชา และเอาเครื่องบริขารมา "ถวาย"


......นั่นล่ะครับ "คนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง - เสียงสวรรค์ของพรรคพลังประชาชน"
......กลุ่มสัตว์สปีชีร์คน "พันธุ์รากหญ้าของทักษิณ" ที่น่าเชื่อได้ว่ามีคุณภาพ "ดีเยี่ยม" จนสามารถเป็นพลังผลักดันให้ประเทศไทยนี้สามารถแข่งขันกับชาวเวียดนาม - เขมร - ลาว ได้อย่างไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-03-2008, 04:54
อยู่ ๆ จู่ ๆ ทำไมผมถึงกล่าวถึง "คนพวกนี้" ?

เปรียบเทียบนะครับ  ว่าทำไมอาหารที่เก็บไว้อยู่ดี ๆ ในตู้เย็นก็กลายเป็นของเสียที่ทำให้เราต้องตัดใจ "ทิ้งไปทั้งหมด"
...ทำไมประเทศไทย - เมืองไทยที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นผาสุกดี ก็กำลังจะถูก "มฤตยู" เข้ามากวาดล้างทิ้งไปเสียหมด ??

ของมันต้อง "มีที่มาที่ไป" ซึ่งนั่นก็คือ "สังคมมันเน่าแล้ว - ความเป็นชาติ ( ประชาชนภายใต้รัฐเดียวกันบนแผ่นดิน ) มันถึงจุดอวสานแล้ว"
...อาหารเ่น่า เพราะ "เชื้อโรค" ที่อาจจะมี "มือโสโครก" มากระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
...สังคมเน่า - ชาติวิบัติ  ก็เพราะ "ปรสิตแผ่นดิน ( เสธ.แดงเรียก "สนิมของชาติ" )" ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย "คนชั่ว" กลุ่มหนึ่ง
...ดังนี้ล่ะครับ

เมื่อ "เชื้อโรค + อาหาร" แล้วทำให้บูดเน่านี้ทางอาหารเีรียกว่ากระบวนการ "ย่อยสลาย ( อินทรียวัตถุ )"
ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศชาิติ  ก็คือ
เมื่อ "ปรสิตแผ่นดิน + ทรัพย์สินของแผ่นดิน" แล้วทำให้ประเทศชาติ่วิบัตินี้ ก็เป็นด้วยกระบวนการที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" หรือ "อนาธิปไตยภายใต้แนวทางตัณหานิยม" นั่นเอง


ยั่วให้แย้ง :
คนเหนือ + อีสาน คุ้นชินกับ "การทำให้อาหารเน่า" เพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหารมานานู่แล้ว  เช่น  การทำส้ม ( แหนม ) หมักถั่วเน่า  ดองผัก  และการทำปลาร้า    ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าคนเหนือและคนอีสานอาจจะเห็นว่า "ไม่มีอะไรเสียหาย แถมยังน่าสนใจยิ่งขึ้นซะด้วยซ้ำ" ถ้าทำให้สังคม ( รวมทั้งวัฒนธรรม - ประเพณี ) ของตน "ฉิบหาย" ไปเสียบ้าง  เช่น  การส่งลูกสาวเข้ามาเป็นหมอนวด ( กะหรี่ )  สนับสนุนใ้ห้ลูกหลานเต้นกินรำกิน ( เป็นนักร้อง - หมอลำ...หรือหางเครื่องก็ยังดี ) สนับสนุนให้ลูกชายเข้าไปรับใช้ ( เป็นมือเป็นตีน ) คนมีอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรม



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-03-2008, 06:09

ทั้งนี้ทั้งนั้น...
โปรดสังเกตนะครับว่าเมื่อผมใช้คำว่า "คนเหนือและอีิสาน" ผมไม่ได้ระบุว่า "ชาวเชียงใหม่ อุบลฯ อุดร ฯ ฯลฯ"
นั่นเป็นเพราะ "ชาว" เหล่านั้นผมจะเรียกว่าเป็น "คนเมือง" ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลผู้ "รับทราบและเข้าใจดีแล้วในจริยธรรม หรือขนบธรรมเนียมอย่างสากลตามวิถีทางแห่งอารยชน"

...แน่นอน  โดยนัยนี้  ผมหมายรวมถึง "คนใต้" ด้วยนั่นล่ะ ( ซึ่งไม่ใช่ชาวสงขลา  ชาวปัตตานี คนชุมพร ฯลฯ )
...แน่นอน  โดยนัยนี้  ผมหมายรวมถึง "เจ๊ก" ด้วยนั่นล่ะ ( ซึ่งไม่ใช่ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว  แขะ  ไหหลำ  ฮกเกี้ยน ฯลฯ )
- ตัวอย่างเช่น ชาว กทม. ชาวปากน้ำ คนเมืองนนท์  ชาวแปดริ้ว ฯลฯ  คนเหล่านี้จะไม่พยายาม "Classified" ตัวเองเป็น "คนกลาง - คนภาคกลาง"  เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาสถาบัน "พวกกู - กลุ่มกู"

ด้วยเหตุที่เรากำลังพูดถึง "คน" จึงขอใช้วิธีการศึกษาพฤติกรรมอย่างพื้นฐานที่สุด   ตามหลัก "มาสโลว์สเต็ป" กัน
   เนื่องจากคนจะแสวงหาบันไดขั้นถัดปอีก 2 ขั้น  หลังจากได้ "1.กินอิ่มนอนอุ่น ( Physical Needs )" มาแล้ว 
นั่นคือ "2.ความปลอดภัย ( มีพวก - Safety Needs )" และ "3.ความยืดเบ่ง ( มีหน้ามีตา - Social Needs )" 
   ไอ้บันไดขั้น 2 ทีี่ชื่อ "ความปลอดภัย" น่ะไม่เท่าไหร่    แต่สัตว์สปีชีร์คนรับทราบอยู่แก่ใจดีว่า มัน "ยากส์" ที่จะอยู่อย่าง "3.มีหน้ามีตา" ใน "ฝูงโคตรใหญ่"   ดังนั้นเขาจึงพอใจที่จะสร้าง "ขอบเขต ( Boundary ) ย่อย" หนึ่ง ๆ ที่เขามีปัญญากวาดตาไปได้ทั่วถึง   โดยอาศัย "ส่วนร่วม - สัญลักษณ์" อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่างเข้ามาเป็นเกณฑ์

...คนอีสานจะรู้สึกว่ามันยากที่จะได้รับความสำคัญ  ถ้าจะนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนใต้ + ไอ้พวกกรุงเทพ + ไอ้พวกแปดริ้ว + ฯลฯ
...คนใต้จะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจ  ถ้าไม่แยก "ซุ้มปักษ์ใต้" ออกไปสุมหัวอยู่กันต่างหาก
...คนเชื้อสายจีนจะรู้สึกถูกคุกคามจากไอ้พวก "ฮวนนั้ง" จึงต้องสร้างเกราะความเป็น "ตึ่งนั้ง" แล้วเอาตัวเองเข้าไปจุมปุ๊กอยู่ข้างใน ( ส่วนพวก "คนไทย" ก็เรียกว่าคนจีนเหล่านี้ว่า "เจ๊ก"...เหยียดแหม้งกลับซะ - หายกันนะอาแปะ )
...ฯลฯ


มาถึงตรงนี้แล้ว "มันกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ?"

   คงจำคำว่า "ยืดเบ่ง" ได้นะครับ
...ในแต่ละขอบเขตสังคม ( ฝูง...ผมขอใช้คำนี้ ) ก็จะมีวิธี "เด่น" ตามความเชื่อ - ความชอบของตน
เช่น
- คนอีสานอาจจะรู้สึกว่าพวก "ดารุ่งดารา" หรือ "พวกที่ได้ออกทีวี - พวกที่มีแฟนนาติค" ช่างเป็นคนเด่นที่ "ยืดเบ่ง" ได้ดี
...คนอีสานจึงนิยม "พวกที่ได้ออกทีวี" หรือปรากฎหน้า - ปรากฎตัวในที่สาธารณะ
- คนเหนืออาจจะรู้สึกว่า "พวกไปประเทศนอก" เคยไปอยู่ต่างประเทศ - ต่างถิ่นมาแล้ว เช่น  "เฮาชนไหล่กะฝรั่งมาแล้วกา" นี้ช่างโก้เก๋
- คนใต้อาจจะรู่้สึกว่า "พวกที่เป็นใหญเป็น่โต - เจ้าคนนายคน" เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ  ยศฐาบรรดาศักดิ์สูง ๆ นี่สิเจ๋ง
- ส่วนเจ๊กก็รู้สึกว่า "คนมีตังค์" สิวะสมควรได้รับการยกย่องนับหน้าถือตามากที่สุด

.............ตรงนี้ล่ะครับที่ "พวกนักการเมือง เอามาใช้เป็นประโยชน์"
...ได้แก่
- หาโอกาสให้เจ๊ก ( โดยเฉพาะพวกรับเหมาก่อสร้าง - ขายวัสดุอุปกรณ์ ) ขายของได้เงิน > รวย > เจ๊กชอบ
- หาช่องทางให้คนอีสานได้เปิดตัว - ได้ออก TV - ได้ ปชส.ท้องถิ่นตน > ประทับใจ > อิสานชอบ
- หาวิธีการให้ฝรั่งมังค่าหรือคนต่างถิ่นได้เข้าไปกระทบไหล่คนเหนือ > ฮาได้อู้กำอิงลิชก๊า  หมู่เฮาปั๊ดตะนาแหล่วโว้ยยย > ชื่นชม > คนเหนือชอบ
- หาเส้นสายให้คนใต้ได้เข้าไปเป็นใหญ่เป็นโตในวงราชการ > ภาคภูมิใจ > คนใต้ชอบ ( สังเกตดี ๆ ว่าเมื่อไรที่พรรคแมงสาบเป็น รบ.  เมื่อนั้นจะมีการ Recrui- ข้าราชการบ่อยจัง  :mozilla_tongue:)

...จึงอาจกล่าวได้จริง ๆ ว่า ไม่ใชเรื่อง "เงิน" หรือผลประโยชน์อย่างเดียวหรอกครับ  ที่พวกนักเล่นการเมืองเหล่านี้ ( ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ) ใช้ "ซื้อวิญญาณ" ของชาวบ้าน

แต่ "ทั้งนี้ทั้งนั้น" ( อีกที ) ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นเพียง "อดีต" ก่อนที่ "ระบอบทักษิณ" จะเข้ามาในสังคมไทย นะครับ

เพราะไอ้กระบวนทัศน์เพื่อใช้ซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบเก่า ๆ นี้  เพียง
ทำให้หมูกลายเป็นแหนม
ทำให้ปลากลายเป็นปลาร้า
ทำให้ผักกลายเป็นผักดอง
( และทำให้ข้าวเหนียวกลายเป็นกระแช่...โอ้  หลั่ล ลาาา )
...ไม่ไ้ด้ทำให้ "เน่า" หรือ "บูด" ไปทั้งหมดเสียทีเดียว



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-03-2008, 07:46
ต่อ ๆๆ...

ยั่วให้เคือง...
    เจ๊ก (ในเมืองไทย) ชื่นชมคนร่ำรวย และปรารถนาให้ความร่ำรวยกลายเป็นสรณะอย่าง "เหนือสิ่งอื่นใด" ถึงขนาด "ไร้ความเคอะเขินถ่อมตัว" ที่จะแสดงอาการโอ่อวด โอหัง  ในทำนอง...

"ผม ( กู ) เรียนไม่จบ ป.4 ซะด้วยซ้ำ  แต่ทุกวันนี้ไอ้พวกจบปริญญายังต้องมาเป็นลูกน้อง ( ขี้ข้า ) ของผม  หรือแม้แต่พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ตอนนี้เป็นถึงด๊อกเต้อหรือพู่พิพากสาก็ยังแอบมาขอเงินผมใช้อยู่บ่อย ๆ"

    เชื่อหรือไม่ว่า  ผมเคยคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่มีเชื้อสายจีนหลายคน  แล้วผมก็พบว่าไม่มีผู้คนเชื้อสายจีนที่ไหนในโลกนี้อีกเลย  ที่มีพฤติกรรมอวดโอ่ - ขี้โม้ - โอหังอย่างเจ๊ก ( คนเชื้อสายจีนในเมืองไทย )
   อ้อ  วรรคข้างบนนี้  ผมกล่าวถึงเฉพาะพวก "เจ๊ก" นะครับ  ไม่ใช่ "คนไทยเชื้อสายจีน"

================================================================

กลับมาที่ "ความบูดเน่าของอาหาร - ความฉิบหายของสังคมประเทศชาติ"
    ในขณะที่วิเทโศบายในการซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบเก่าเปรียบเสมือนการทำให้อาหารมีรสเปรี้ยวกลิ่นส้ม  รสเค็มกลิ่นตุ่ย  หรือรสดีกลิ่นหอมแบบเหล้า ( ง่าาาา...) นั้น   วิเทโศบายในการซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบใหม่ที่ชื่อ "ระบอบทักษิณ" กลับเทียบได้กับการทำให้อาหารบูดเน่า - เสียหายไปทั้งหมดนั่นเลย

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ?
    นั่นเป็นเพราะว่า "วิธีการหาประโยชน์" ของเหล่าเดรัจฉานการเมือง ( ไม่ใช่ "นักการเมือง" ) ในระบอบทักษิณ มิได้มุ่งหมายเพียงแค่
1.สมประสงค์ทางการเมือง"
แล้ว
2. เอาประโยชน์ไปบ้างถึงพอสมควร
ก่อน
3. โยนเศษที่เหลือกับลงมา ( ซึ่งก็ไม่ได้มีจริยธรรมอะไรนักหรอก ) ให้สังคม
    หรือถ้าจะเปรียบเทียบเดรัจฉานการเมืองแบบเก่า  ก็คงราว ๆ สัตว์หน้าขนจำพวก "เสือ หมาไน" หรือหนักหน่อยก็ "อีแร้ง" ที่มุ่งโกงกินในลักษณะฉีกเนื้อเถือหนัง   ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่าเป็น "การล่า" ตามวิถีทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง  อันได้แก่  หากชาวบ้านกลุ่มไหนโง่นักก็กลายเป็นเหยื่อ - หรือก่อบาปกรรมให้แก่ประชาชนในประเทศชาติทั้งมวลด้วยการชักนำผู้ล่า ( ไอ้เดรัจฉานการเมืองวเหล่านั้น ) เข้ามาหาเหยื่อ 
     ถ้ากำจัด "ความโง่ ( เช่น  การให้การศึกษาเชิงตระหนักและรับผิดชอบต่อส่วนรวม ) & ความอ่อนแอ ( ความอดอยากยากจน )" ลงได้  ประเทศชาติ ก็ยังคงอยู่อย่างปลอดภัยจากผู้ล่าที่ชื่อ "นักการเมือง ( เดรัจฉานหน้าขน )" เหล่านั้นได้


.............ส่วน "ระบอบทักษิณ" ไม่เป็นเช่นนั้น...มันไม่ใช่วิถีทางที่เราคุ้นชินแบบนั้น :evil:



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 01-03-2008, 10:51
..มารออ่านต่อ  :slime_sentimental:
อย่าเว้นช่วงนานนักนะท่าน
แหม.. คำว่า 'เดรัจฉานการเมือง' นี่มันแสบไส้สะใจจริงๆ ค่ะ  :slime_agreed:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: Kna ที่ 01-03-2008, 11:51
มาลงชื่อรออ่าน ครับ    :mozilla_smile:


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 01-03-2008, 12:53
มานั่งขอบจอ รอปู่เย็น ด้วยคนนึงค่ะ  :slime_v:


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหินฮะ๛ ที่ 01-03-2008, 22:18
เจี๊ยก...กก   :slime_sentimental:    (เข้ามาเกาะขอบเวที..ฮะ)


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-03-2008, 22:23
มารออ่านบทความที่เชือดชำแหละ สังคมปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น

เห็นภาพตาม ได้อย่างชัดเจนและ ......จะรออ่านต่อค่ะ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ทองเปลว ที่ 01-03-2008, 23:17
พึ่งเข้ามาอ่านครับปู่เย็น อ่านแล้วรู้สึกว่ามันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง คงอีกไม่นาน.....


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว ที่ 02-03-2008, 13:17
ปู่เย็น ผมคิดแบบคุณมาก็นานแล้วครับ

ผมพูดคำว่าลาออกจากประเทศไทยให้แฟนฟังตั้งแต่ 2 ปีก่อน
ปัจจุบัน  หลังจากเฮียตะกวดได้ดิบได้ดีในสังคมแล้ว  มีอีกหลายคนที่พูดเหมือนผม

มันไม่ใช่แค่ที่ว่าผมจะเอาตัวรอด  มันคือสิ่งที่ปู่เย็นสรุปความไว้อย่างชัดเจน

ันั่นคือ รากฐานทางสังคมถูกกัดกร่อนทำลาย  หลักธรรมอันเป็นแรงยึดเหนี่ยวกันไว้จนเกิดเป็นสังคมมนุษย์ เสื่อมถอย
คนโกหกฉ้อฉล - กลิ้งกลอกหลอกลวงได้รับการยกย่องเหนือคนที่มีความรับผิดชอบ - ยึดถือความสัตย์จริง


สิ่งนี้ไม่ได้ชัดเจนแค่ในระดับมหภาค(การเมือง สังคม) นะครับ
แม้แต่ในระดับจุลภาค  ในองค์กรรัฐ รัฐวิสาหกิจ(ชัดเจนเลย) หรือเอกชนหลายๆแห่ง ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น

จากทศวรรษแย่งชิงอำนาจ  มาถึงทศวรรษฟองสบู่ มาถึงทศวรรษอินเตอร์เน็ตและทักษิณ
ประเทศไทย  ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ทั้งในแง่ศักยภาพในการทำมาหากินของตนเอง และในแง่ศีลธรรม

ผมจึงมองไม่เห็นเลยว่า มนุษย์จะสามารถอยู่ในสังคมแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน




หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 03-03-2008, 04:55
แล้วระบอบทักษิณ "เป็นแบบไหน ?"


...คงยังจำสำนวนที่ผมเคยใช้บ่อย ๆ ที่ว่า
"เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" กันได้บ้าง

สำนวน "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" นี้  ผมลักจำเอามาจากบทกวีของคุณอังคาร  กัลยาณพงศ์  ซึ่งหมายถึงสัตว์จำพวกหนอน พยาธิ
อันเป็นสัตว์ชั้นต่ำเกือบสุดแล้วในการจัดลำดับตามหลักอนุกรมภิธาน ( ต่ำกว่านั้นคือพวก อะมีบา  พารามีเซียม )
...โดย "หนอน" อาจจะพอมีศักดิ์์ศรีนิดหน่อย  ถ้าเป็นหนอน - ตัวอ่อนของแมลง ( ในกระบวนการเมตามอร์ฟอสิส )

เทียบ "ระบอบทักษิณ" ในการซื้อวิญญาณชาวบ้าน ก็คือ
   ระบอบทักษิณนั้นเปรียบเสมือนปรสิต  ที่ถูกส่งเข้าไปในร่างกายของ "เป้าหมาย"   แล้วเจ้าปรสิตนี้ก็จะทำการแพร่ขยาย เพิ่มจำนวนทีละเล็กทีละน้อยในร่างกายของเป้าหมาย   จนในที่สุดแล้วก็ยึดเอาสังขารไปได้ทั้งหมด
   เป็นการบ่อนเบียนที่ยากแก่การสังเกต  เนื่องจากกว่าจะรู้ตัวก็ "พยาธิขึ้นสมอง" หรือเบาะ ๆ ก็ "ตัวจี๊ดขึ้นตา"   แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือไอ้หนอน - พยาธิเหล่านี้ไม่มีหนทางขับออกไปได้เลย  ด้วยเหตุที่พฤติกรรมของเป้าหมาย  ดันเสือก "คุ้นชินกับการทำให้สังคมฉิบหายบ้างสักนิด  เพื่อสร้างความสนุก  ตื่นเต้น น่าสนใจ" ( จำได้ไหมว่าผมเคยกล่าวถึงพฤติกรรมที่ว่านี้ไปแล้วใน คคห.ก่อนหน้า )

ประชาชนไทย "กลุ่มนั้น - พวกเสียงส่วนใหญ่ - พวกที่มีอำนาจเลือกตั้งซึ่งกำหนดชะตาบ้านเืมืองของคนทั้งแผ่นดิน เหล่านั้น"
...เป็น "ไอ้ขี้โรค" ที่ยังชอบ "กินของโสโครกสกปรก" ( เอาประโยชนจากแผ่นดินเยี่ยงโจร เช่น บุกรุกป่า - ตัดไม้ -  แล้วยังเรียกร้องความเกื้อกูลเอาจากกองทุนต่าง ๆ ที่ตนเองไม่เคยช่วยเพิ่มพูนให้มีมูลค่า )
...เป็น "ไอ้ขี้ยา" ที่ยังปรารถนาได้ "หารสชาติแปลก ๆ" ( ทำเรื่องผิดบาป - ผิดศีลธรรมจรรยา  เช่น  ผิดลูกผิดผัว, เล่นการพนัน, กินเหล้าเมายาสารพัด, ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ )
...เป็น "ไอ้ขี้เรื้อน" ที่ยังหลงใหลการ "ถูไถตัวเองไปกับเสื้อผ้าของคนอื่น" ( ทำให้สิ่งดี ๆ ของสังคม - ประเทศชาติตกต่ำ  เช่น  ทำลายภาษา  บิดเบือนประวัติศาสตร์ - หลักการทางศาสนา  ทำลายธรรมชาติและวัฒนธรรม  พาลไปจนถึงการนินทาว่าร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ )
...เป็น "ไอ้ขี้เกียจ" ที่พอใจอยู่กับการแลบเลียเศษอาหารที่โปรยทานมาจาก "เทวดา ( แต่ก่อนคือพวก "ศักดินา" ปัจจุบันนี้คือพวก "กฎุมพี" )"

เมื่อประชาชนเป็นแบบนี้แล้ว "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้ทางการเมือง" ใน "ระบอบทักษิณ" ก็สบายสิครับ
...นอกจากเป้าหมายจะไม่ถูกฆ่าไม่ถูกทำลาย  กลับยังได้รับการส่งเสริม ( ให้เติบโต )  แล้วยังมี "พาหะ" ช่วยแพร่กระจายระบอบทักษิณออกไปให้กว้างไกลขจรขจายเสียอีก !


แต่...ครับ...แต่
ระบอบทักษิณ ไม่ได้มีเพียง "( ประชาชน ) เป้าหมาย" กับ "พยาธิสภาพ" เท่านั้นหรอกนะครับ
...ยังมีอีก...มีต่อ
...ซึ่งไ้อ้พวกนี้ล่ะ "สำมะคัญนัก"
( ใน Eco system ไม่ได้มีแต่ความสัมพันธ์แบบ ผู้ล่า - ผู้ถูกล่า, ปรสิต  เหยื่อ เท่านั้น )


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 03-03-2008, 05:58
ย้อนกลับไปนิด ๆ
...ในขณะที่การเมืองแบบเก่าเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย "เดรัจฉานการเมือง" ประเภท "สัตว์หน้าขน"
ซึ่งเราเชื่อว่าสามารถปกป้อง - เอาตัว ( ประเทศชาติบ้านเมือง ) รอดได้  ด้วยการให้การศึกษาเชิงตระหนักและรับผิดชอบ + กำจัดความยากจน* แก่ผู้คน

( *ขยายความ : อันที่จริงแล้ว สำหรับเมืองไทยนั้นไม่มีคำว่ายากจนถึงขนาด "ตกบันไดขั้นแรก" ตามแนวคิดของมาสโลว์หรอกครับ )

...แต่การเมืองตามระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย "เดรัจฉานการเมือง" ประเภท "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" นั้น
กลับไม่มีหนทางอื่นใดเลยที่จะเยียวยาแก้ไข   หากประชาชนกลุ่มที่มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้งในประเทศ  ไม่ถูกทำให้หมดอำนาจเลือกตั้งนั้น หรือกำจัดพฤติกรรมประดุจ "ตัวเลี้ยงเชื้อ - เหยื่้อพยาธิ" ลงให้ได้เสียก่อน

การแก้ไขหรือป้องกันด้วยความเข้าใจแบบเดิม ๆ ที่ว่า "ให้การศึกษาและกำจัดความยากจน" กลายเป็นเรื่อง "ไร้ผลในทางปฎิบัติ" ก็เพราะ
- ต่อให้ ให้้การศึกษา  ถึงขนาดยัดปริญญาใส่มือเป็นปึก ๆ ก็ไม่ได้เรื่อง  แถมยังจะกลายเป็นการผลิตผู้คนพฤติกรรม "Ignorance" + "Egoism"  ที่ในหัวมีแต่ "กูเก่ง - กูแน่  กูมีสิทธิที่จะเชื่อที่จะรักใครก็ได้ ( สันสนระหว่าง Assertive Right กับ ความดื้อด้านดักดาน )"
- ต่อให้ จัดสรรเงินจากกองทุนต่าง ๆ หรือสินเชื่อ ( เช่น ธกส.) รวมทั้งกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก็ไม่ได้เรื่อง  แถมดีไม่ดีเงินหรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นก็หมดไปกับหวย  หม้อ  ดอ  ขวด  ฯลฯ หรือบางรายที่พอจะดูไม่เป็นอบายมุขสักหน่อย  ก็กลายเป็นวัตถุนิยมจำพวกมือถือถ่ายรูปได้  มอเตอร์ไซค์ซิ่งของลูกชาย ( และค่าประกันตัว + ค่ารักษาพยาบาล ) ไปจนถึงเงินแต่งเมีย - แต่งเรือนหอ

==========================================================

กลับมาว่าต่อ...

   หากสังเกตก็จะพบว่า เดิมที่เสียงส่วนใหญ่หรือประชาชนผู้มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้ง เหล่านั้น ไม่เชิงว่าจะ้ปล่อยให้เดรัจฉานการเมืองทำลายประเทศชาติบ้านเมืองมากนักหรอก   แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็มีพฤติกรรมขี้โรค - ขี้ยา - ขี้เรื้อน และขี้เกียจ  เหมือนทุกวันนี้นั่นล่ะ
   เนื่องจากยังมี "ศรัทธา" ในสิ่งที่เป็น "สุจริตธรรม" ...แล้วก็
เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "การปกป้อง ( จากรัฐ ) ตามสมควร"
เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "ความเอ็นดูห่วงใย ( จากสังคมที่มีสถานภาพดีกว่า )"
เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "ความเห็นใจและอนาทร ( จากชนชั้นที่ปัจจุบันนี้ถูกเรียกว่า "พวกศักดินา อมาตยนิยม" )


แต่มาถึงวันนี้แล้ว "ไม่ใช่"
....พวกเขาเหล่านั้นไม่มีธรรมหลงเหลืออยู่ในสายตาของ "ฝ่ายที่ไม่มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้ง" อีกแล้ว



พวกเขากลายเป็น "รากหญ้าของทักษิณ"
- ที่เต็มไปด้วย "ความละโมบโลภมาก  อยากได้ใคร่มีไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ"
- ที่เต็มไปด้วย "พฤติกรรมตีสองหน้า  ลิ้นสองแฉก  กลับกลอก  ฉ้อฉล" เหมือนดั่งทักษิณผู้เป็น "เทวดากฎุมพี" ของพวกเขา
- ที่เต็มไปด้วย "ความไ่ม่รู้สึกไ่ม่รู้สา  ไม่รับรู้ว่าธรรมอันใด คือ "คุณธรรมแบบมนุษย์" อย่างสับสนปนเปกับ "ธรรมชาติของสัตว์ ( ที่มาของการเรียกว่า "สัตว์สปีชีร์คน")" ที่ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมซึ่งนำตนให้พ้นออกไปจากสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่** ทั้ง 2 ประเภท

( ** ขยายความ : "1. คุณธรรม" เป็นธรรมที่นำคนให้ "สูงขึ้น" จากสภาพสามัญชนสู่ความเป็นวิญญูชนไปจนถึงปราชญ์  ส่วน "2. ธรรมชาติ" เป็นการนำคน "ต่ำลง" ไปสู่ความหยาบถ่oย ไร้สำนึกชั่วดี ไปจนถึงอาชญากร )


จากเดิมทีที่สังคมไทย
"อยู่ห่างกันตามฐานะ แต่มีผัสสะกันทางจิตใจ"
ก็กลับกลายเป็น
"ต่างคนต่างอยู่ ( ไม่อยากจะรับรู้ว่าใครกำลังจะอด - ตาย )  และถ้าเป็นไปได้มึงอย่ามายุ่งเกี่ยวกับกูเลยจะดีกว่า"
...มันแตกแยกอย่างสมบูรณ์แล้วครับ
...เหลือก็เพียงแต่จะออกมาฆ่ากัน ( อย่างไม่รู้สึกไ่ม่รู้สา ) เมื่อไหร่ เท่านั้นเอง


คำถาม :
ถึงตรงนี้แล้ว "ยังยินดีที่จะมองเห็นฝันร้ายที่กำลังจะกลายเป็นความจริง" กันอยู่รึเปล่า ?
ถ้า "ไม" รู้สึกว่า "พอแล้ว - ไม่อยากรับรู้อีกแล้ว"
ผมจะได้ข้ามบริบทอื่น ๆ ที่เหลือ  ตรงไปที่ข้อ 9 ในหมวด "ข้อแนะนำในการเอาตัวรอด"



หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: isa ที่ 03-03-2008, 10:44
...อยากบอกปู่เย็นว่า... ทำไมเราคิดเหมือนกันเด๊ะเลยครับปู่

ความหลงทางของนักวิชาการ โดยเฉพาะฝ่ายซ้ายก็คือไปมองรากหญ้าว่าเป็นชนชั้นกรรมาชน แต่แท้จริงแล้วพวกนี้ยังติดอยุ่ในระบบ"ไพร่"
อยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์แบบตำข้าวสารกรอกหม้อ มองไกลแค่หัวแม่ตีน การพึ่งพาคนอื่นชนิดสุดตีน การหลงบูชาตัวบุคคลชนิดบ้าผีบุญ
การหวังรวยทางลัด การขายลูกสาวกิน การบูชาคนฉลาดแกมโกงแบบศรีธนนชัย การขาดค่านิยมยกย่องคนที่ความสามารถหรือจิตสำนึก ฯลฯ

สิ่งที่พวกนักวิชาการฟันน้ำนมเรียกว่าประชาธิปไตยรากหญ้า จริงๆแล้วก็เป็นแค่การไปปลุกให้พลังไพร่ที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ลุกขึ้นมาใช้พลังไพร่ๆ
อย่างเต็มที่เพื่อชี้นำการเมืองไทยไปสู่หายนะ ภายใต้การหลอกล่อของนักการเมืองเจ้าเล่ห์เท่านั้นเอง และสิ่งที่พวกรากหญ้าทำ ไม่ได้เป็นการเลือก
ผู้เข้ามาพัฒนาประเทศ แต่เป็นการเลือก "มูลนาย" ที่จะเข้ามาฉกฉวย เบียดบังผลประโยชน์ของทั้งชาติ เพื่อเอาไปอุปถัมภ์ไพร่สมในสังกัดตัวเอง
ลองศึกษาการเมืองไทยสมัยอยุธยาว่าทำไมกรุงแตก ก็ลองดูพฤติกรรมไพร่และมูลนายในยุคนั้นดูก็ได้ครับ

และด้วยความเหียกของนักวิชาการปีกซ้ายที่รับใช้ทักษิณ ก็เอาบทของชนชั้นกรรมาชนไปสวมให้กับไพร่รากหญ้า และเอาบทผู้ร้ายศักดินามาสวมให้กับ
ชนชั้นกลาง ทั้งๆที่ชนชั้นกลางต่างหากที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยในทุกประเทศ ทุกสังคม ไม่ใช่พวกไพร่
และฐานะทางสังคม หรือการศึกษาไม่ได้เปลี่ยนคนจากฐานะไพร่ไปสู่ชนชั้นกลาง แต่เป็นจิตสำนึกแบบชนชั้นกลางต่างหากที่ทำสิ่งนั้น

และจากมุมมองของคนที่ศึกษาศาสนาพุทธ (บ้าง) ผมว่าภพของคนในเมืองไทยมันตกต่ำไปถึงขั้นของมนุษย์สเปโต (มนุษย์เปรต)
แล้วล่ะ คนดีๆเค้าก็ถอดใจหนีไปเกิดใหม่กันเกือบหมดแล้ว

ผมเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด และภพภูมินะ แล้วก็ค่อนข้างจะเชื่อด้วยว่าความโลภในจิตใจของมนุษย์ปัจจุบัน ความสำส่อนของมนุษย์
ปัจจุบัน ได้ถ่วงภพมนุษย์ทั้งภพลงไปอยู่ใกล้เคียงกับภพเดรัจฉาน และภพเปรตชนิดที่เคาะประตูเรียกกันได้แล้วแล้ว
ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีพวกนี้มาผุดมาเกิดในโลกมนุษย์กันให้เยอะไปหมด และทำไมคนรุ่นใหม่ๆถึงได้มีความคิดที่
โลภโมโทสันไม่รู้จักอิ่มไม่ต่างอะไรจากเปรต และก้าวร้าว อันธพาล ไร้เหตุผล บ้ากาม บ้ากิน เบียดเบียนกันและกันไม่ต่างจากเดียรัจฉาน
 :slime_worship:

แต่ผมว่าผมคงไม่ต้องหนีไปถึงเมืองนอกหรอก เพราะผมเชื่อว่าในวิถีชีวิตของคนใต้ ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย ก็ยังมีจิตสำนึกของชนชั้นกลาง
ความพอเพียง และความรักศักดิ์ศรีมากพอที่จะคุ้มกันตัวเองและสังคมให้ปลอดภัยจากระบบทุนสามานย์ได้ครับ... อย่างมากก็หนีกลับใต้ละวะ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 03-03-2008, 17:17
ตอบกลับและทักทายท่านผู้ผ่านทาง...

ผมค่อนข้างชินกับคำว่า "ทำใจ ( ไม่ใช่ทัมใจ )" ของคุณ'โลห้า
เพราะทุกครั้งที่คนเรากำลังจะเดินหน้าเ้ข้าหาสถานการณ์วิกฤต  หรืออยู่เฉย ๆ รอรับสถานการณ์วิกฤต นั้น
เรามักจะบอกตัวเอง และเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างว่า
"...ทำใจ"

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอารมณ์เดียวกับเวลาที่ต้นหนเรือดำน้ำสั่งการไปยังลูกเรือทุกคนให้เตรียมตัวรับสถานการณ์ ( ร้าย ) ที่กำลังจะเกิดขึ้น  เมื่อระเบิดน้ำลึกถูกหย่อนลงมาว่า
"...เตรียมฮับการกระแทกเด้ออออ ( กองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐประชาชนลาว )"

นั่นล่ะครับ...บังเอิญ "คำเตือน" แบบนี้พวกลูกเรือต่างทราบว่าไม่ได้หมายถึงเพียงให้
"ทำใจเด่ออ้าย..."
แต่มันหมายรวมไปถึงให้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ "ตามที่ได้ฝึกมาก่อน" แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการไล่คว้าหาเสื้อชูชีพ - กระติกน้ำ - ปืนพก ตลอดจนมองหาช่องทางเอาตัวรอดออกไปจากเรือ...หากเรือแตก


ความคิดเห็นของคุณ isa เป็นบทวิพากย์เหล่านักวิชาการที่ชัดเจนครับ
...แต่โชคไม่ดีที่คนเหล่านั้นจมปลักอยู่กับแนวคิด - ทฤษฎียุุคสงครามเย็น 
โดยมีวิญญาณผีคอมมิวนิสต์กำมะลอ วนเวียนหลอกหลอนอยู่รอบข้าง
แถมยังไม่พยายามรับรู้ - รับทราบต่อพื้นฐานทางสังคม  โดยเฉพาะ "จริตสันดาน" ของคนไทยกลุ่มที่พวกเขาพยายามทึกทักว่าเป็นกรรมาชน  เพื่อให้ครบกระบวนการสำเร็จความใคร่ทางปัญญา
...ไม่มีใครเถียง "ความถูกต้อง" ทางทฤษฎีของท่านหรอกครับ
...ไม่มีใครเถียงว่าท่านเชียวชาญการทำสลัดหรอกครับ
เพียงแต่สิ่งที่มีอยู่ตรงหน้าท่าน เป็นแตงไทยสุก เนื้อขนุนฉีก และเม็ดแมงลักแช่น้ำ
ที่ท่านควรจะใช้น้ำกะทิ + น้ำตาลปี๊บเชื่อมราดลงไป  แล้วโปะหน้าด้วยน้ำแข็งใส
ไม่ใช่ดันทุรังราดด้วยน้ำสลัดทาวซันไอส์แลนด์  แล้วโรยหน้าซ้ำด้วยเบค่อนเฟลก



คุณสมานฉันท์ ฯ
...ทำใจครับ ( แซวท่าน'โลห้า  :slime_bigsmile: )
"อย่ามองโลกร้ายกว่าที่เราเองจะทำให้มันร้ายไปกว่านั้นได้"
...คติสอนใจของวายร้ายตัวเอ้คนหนึ่งในแฟ้มอาชญากร
 :slime_cool:


อาจารย์อัง ฯ  คุณดอกฟ้า ฯ  คุณทองเปลว  ท่านลูกหินฮะ๛ ( เออนะ...ทำไมไม่ใช่คำนำหน้าว่า "คุณ" )  คุณพรรณชมพู
...ผมน่าจะทำได้แค่ "เขียนได้อย่างที่พวกคุณคิด" เท่านั้น 
ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรอก

   จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้  ผมเคยโพส คคห.เรื่องนึงใน Pantip แล้วมีท่านผู้ผ่านทางท่านหนึ่งให้ comment ไว้ว่า
"ผมคิดเหมือนคุณนั่นล่ะ  แต่เขียนไม่ได้อย่างคุณ"

   ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมใจแตก หลงระเริงต่อการให้เกียรติจากคนแปลกหน้าอยู่พักใหญ่
กระทั่งวันนึงผมจึงเข้าใจแล้วว่า  ผมหลงผิด - คิดเข้าข้างตัวเองด้วยอัตตาทิฐิ 
เมื่อได้มีเวลา้พิจารณาความผิดพลาดเฮงซวยของตนเอง แล้วก็พบความจริงแบบดิบ ๆ อย่างหนึ่ง คือ
การที่ผม "เขียนได้อย่างนั้น" เป็นเพราะผมมีสันดาน "ไม่รักษาหน้า - ไม่รักษาน้ำใจคน - ไม่ยืนอยูบนหนทางแห่งวัฒนธรรม"
...คุ้นชินกับการปลดปล่อยความคิดผ่านทางถ้อยภาษาอย่างโหดร้าย
...หรืออย่างดีหน่อยก็เป็็นเพียงการกระทำอย่างหยาบคาย
ไม่ต่างจากการระบายท้อง - ปลดปล่อยของเสีย  แบบไม่กระมิดกระเมี้ยน
ตลอดจนไม่ค่อยกดชักโครกให้ความอึดอัดเหล่านั้นวนหายลงไปกับสายน้ำเป็นครั้งคราว
...เป็นการปลดปล่อยที่มีทั้ง "ซาวด์เอ็ฟเฟ็ค" และ "กลิ่นประกอบ"
ในแบบที่ใครบางคนผ่านมาประสบเหตุแล้วก็ได้แต่ยิ้มกะเรี่ยกะราด 
ึแล้วพึมพำกับตัวเองว่า
"...กรูก็อยากปลดปล่อยได้อย่างมรึงนั่นล่ะ  แต่กรูรู้จักอาย..."








หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 03-03-2008, 17:42
อยู่ต่อไปอย่างผู้แพ้...ต่อไปก็ชินเองแหล่ะ  เชื่อจ๊ะดิ๊!! :slime_smile2:

ผมยังไม่ได้เขียนถึงสัตว์สปัชีร์คนอย่างคุณ
ซึ่งเมื่อผมเขียน ( พิมพ์ ) เสร็จ และคุณรวมทั้งใครต่อใครได้อ่านแล้ว
คุณอะไรจ๊ะ จะรู้ว่าตัวคุณเองไม่ได้เป็นผู้ชนะตามที่เข้าใจ ( หรือพยายามหลอกตัวเอง )

เอาความคิดเห็นแบบเข้าใจง่าย ๆ ไปปรับทัศนคติของตนเองก่อนก็แล้วกัน

...เชื้อโรคในปากxมา ตัวที่กัดคนจนต้องรีบไปให้หมอฉีดวัคซีนนั้น
ไม่ได้เป็น "ผู้ชนะ" อย่างที่ "หมาตัวนั้นชนะ" คนที่โดนกัด ( ในระยะเวลาสั้น ๆ )
แต่มันเป็นเพียงสิ่งโสโครก น่ารังเกียจ สำหรับคน
พร้อม ๆ กันนั้น  ยังอาจเป็น "ตัวนำความหายนะ" ไปสู่หมา
เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่า เชื้อโรคในปากxมา อย่างที่'จ๊ะ กระทำอยู่นี้  เป็น "เชื้อหมาบ้า"
...หมาตัวนั้นก็จะถูกฆ่า - ตัดหัว  เพื่อเอาไปพิสูจน์
พาลไปถึงหมาตัวอื่น ๆ ในละแวกที่จะต้องเดือดร้อน
พาลไปถึงผู้คนทั่วไปในละแวก ที่จะต้องวิตกกังวล  โกลาหลวุ่นวาย

หมากัดคน - คนตีหมา  มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาตั้งแต่ยุคหิน
ไม่เคยมีใครเห็นว่าเป็นเรื่องแพ้ - ชนะ
จนกระทั่ง "เชื้อโรค - เชื้อหมาบ้า" อย่างอะไรจ๊ะปรากฎตัว
หมากับคนก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ไอ้เชื้อหมาบ้า
...รกโลกจริง ๆ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: Limmy ที่ 03-03-2008, 17:57
ปู่เย็นครับ

ในความเป็นจริง "รากหญ้า" นั้นรู้ดีครับว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับอะไร และจะต้องพบกับอะไรในอนาคต

แต่ระบบทักษิณ ระบบลด-แลก-แจก-แถม มันทำลายตัวตนและพฤติกรรมทางสังคมของรากหญ้าไปหมดแล้ว จนทุกวันนี้ถึงทางตันไปหมด

จากที่เคยเป็นผู้ผลิต กลายมาเป็นผู้ขอ

จากคนที่คิดต่อสู้ กลับกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา รอเพียงคนมาป้อนอาหาร

ครั้นจะเลิกเสพติดทักษิณ หันมายืนบนลำแข้งตัวเอง ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะหนี้สินท่วมหัว หวังเพียงทักษิณจะเข้ามาช่วยปลดหนี้

จึงไม่แปลกอะไรที่ทักษิณกลายเป็นศาสดาของคนกลุ่มนี้ไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เหตุผล และจริยธรรมใด ๆ


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 03-03-2008, 18:16
ปู่เย็นครับ

ในความเป็นจริง "รากหญ้า" นั้นรู้ดีครับว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับอะไร และจะต้องพบกับอะไรในอนาคต

แต่ระบบทักษิณ ระบบลด-แลก-แจก-แถม มันทำลายตัวตนและพฤติกรรมทางสังคมของรากหญ้าไปหมดแล้ว จนทุกวันนี้ถึงทางตันไปหมด

จากที่เคยเป็นผู้ผลิต กลายมาเป็นผู้ขอ

จากคนที่คิดต่อสู้ กลับกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา รอเพียงคนมาป้อนอาหาร

ครั้นจะเลิกเสพติดทักษิณ หันมายืนบนลำแข้งตัวเอง ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะหนี้สินท่วมหัว หวังเพียงทักษิณจะเข้ามาช่วยปลดหนี้

จึงไม่แปลกอะไรที่ทักษิณกลายเป็นศาสดาของคนกลุ่มนี้ไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เหตุผล และจริยธรรมใด ๆ


โอเค 
เมื่อมีผู้นำเสนอคำว่า "รู้ตัว ( เป็นอย่าง ) ดี" แล้ว  ผมคงจะละเลี่ยง - ไม่กล่าวถึง Manipulater อีก 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ไม่ได้
...ส่วนพวก "รากหญ้า ( ของทักษิณ )" นี้  ผมคงไม่ต้องขยายความเป็นการเฉพาะอีก
เนื่องจากคุณ Limmy ได้เสนอมุมมองอย่างให้เกียรติแก่ตัวตนของเป้าหมายอย่างกระจ่างชัดดี

อันที่จริงแล้ว  ผมมีเรื่อง "รากหญ้าของทักษิณ" โดยเฉพาะพวกที่มักอ้างว่าตนเองเป็นเกษตรกร ในบริเวณพื้นที่เขตงานอิสานใต้ ตลอดมาจนถึง จว.ชายแดนภาค ตอ. อยู่นิดหน่อย
...ไว้เดี๋ยวสักพัก  จะกลับมาพิมพ์ต่อ...


หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: มารุจัง ที่ 04-03-2008, 18:55
มารออ่านต่อค่ะ...
ต้องบอกตรง ๆ ว่า
อ่าน แล้วรู้สึกเหนื่อยใจจริง ๆ ค่ะ

แต่คงได้แต่ทำใจให้เตรียมรอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
และหาวิธีแก้ไขเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ตัวเอง และครอบครัวผ่านพ้นจุดที่เลวร้า่ยที่สุดไปให้ได้..
โดยยังยืนอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ถูกต้อง...





หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 19-03-2008, 06:58
มาต่อ...

เผลอลากยาวออกทะเลไปไกลเชียว
...ยังไงซะก็ต้องลากกลับมาก่อน

ก่อนหน้านี้  เคยมีการถกกันในกระทู้นึงเกี่ยวกับสถาบัน ฯ
...ซึ่งผมคงจะไม่นำมากล่าวถึงในด้านรายละเอียด
เอาเป็นว่า "เรารู้และตระหนัก" ในหลักความเป็นจริงทางธรรม
ก็แล้วกัน


บังเอิญ  ความเกี่ยวข้องมันอยูตรงนี้ล่ะครับ
เพราะ "ประเทศไทย" คือ "ราชอาณาจักร"
ที่คนกลุ่มนั้น และันั้น และนั้น และนั้น ( มี 4 กลุ่มใหญ่ ) พยายามทำให้ "คำนำหน้ารัฐ" แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป
บาง "นั้น" ก็เลือกที่จะ "อยู่เฉย ๆ   รอให้นั้นอื่น ๆ จัดการไปก่อน  แล้วค่อย "กินรวบ" ในภายหลัง
บาง "นั้น" ก็เลือกที่จะใช้วีถีทางการเมืองใน "แบบที่ตนถนัด" เข้าจัดการกับสังคม
บาง "นั้น" ก็พอใจที่จะ "อยู่เบื้องหลังไปก่อน" จนกระทั่งสถานการณ์ไปไม่รอดจึงออกมา
...ซึ่งไม่ว่าอย่างไร
ประชาชนก็เป็นเพียง 3 อย่าง "ในสายตาของคนพวกนั้น ๆๆๆ"
คือ เหยื่อ - เหยียบ ( ฐานมวลชน - กลุ่มผู้คนรองตีน ) และอย่าง ( ข้ออ้าง )
...รอก็เพียงแต่ "สัญญาณ" จากผู้มีอำนาจหรือผู้ชักใย
แล้วอะไร ๆ ที่ทุกวันนี้มันเป็นเพีงภาพราง ๆ ( และลาง ๆ ) ก็จะแจ่มชัด


การ "เล่นตามเกมส์" ของกลุ่มนั้น ๆๆๆ อาจจะเป็นหนทางที่ "ง่าย" ที่สุดสำหรับประชาชน
จะแตกต่างก็เพียง "เล่นอยู่ในฝ่ายไหน"
ที่ "อย่างน้อยก็จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวิบัติ" และก็ไม่มีใครอยากเป็นหนึ่งในฝ่ายนั้น ( แหงอยู่แล้ว )

การไม่ร่วมเกมส์ - ไม่เอาฝ่ายไหนเลย  วางตัวเป็นกลาง
ดูจะเป็นข้ออ้าง - คำโม้ ที่รู้ ๆ กันว่าคนพูดตอแหล
เพราะในสภาพป่า  อันเป็นที่่อยู่ของเหล่าเดรัจฉาน นั้น
สัตวตัวที่ฝูงที่ "ไม่เอาฝ่ายไหนเลย - ไม่เป็นภาคีกับใครเลย" นั่นล่ะคือ "เหยื่อกลุ่มแรก"
...ดังนั้น "อย่าทำ" ครับ
...อย่าทำตัวไม่รู้ไม่เห็น แล้วคิดว่า + บอกใคร ๆ ว่า "กรูอยู่ของกรู กรูไม่ยุ่งกะใคร" เด็ดขาด
เนื่องจากคุณจะกลายเป็นเพียง "ไอ้ - อี หัวเดียวกระเทียมลีบ" ที่ "น่าตบตีแล้วขบกัด" มากที่สุด

ซึ่งเรื่องนี้ "พวกลิ่วล้อของทักษิณ" ได้ "เลือกข้าง" ไปแล้วครับ
แม้แต่หลายคนก็ "เปลี่ยนข้างไปเอาด้วยกับทักษิณ"  เพราะเห็นว่าฝูงของทักษิณเด่นชัดและ "ดูฝูงใหญ่ดี - เสียงดังดี"
...ใช่  ไม่มีใครผิด
กุ๊ยย่อมต้องหาหัวหน้าแก๊ง - หัวหน้าโจร
ดอกทoงย่อมต้องเข้าหาผู้มีศักดาบารมี
กะหรี่ย่อมต้องเข้าหาผู้อุปถัมป์
...และถ้าพวกคุณสังเกตดี ๆ จะพบว่าพวกนี้ พยายาม "ชูคอ" เหมือนปรารถนาให้ "นายมองเห็น" กันอย่างสุด ๆ
เพราะการเข้าถึง "ชั้นใน" ได้มากเท่าไหร่  พวกมันก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยและได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น

...แต่...ถ้าหากพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ไม่ใช่ "แบบของคุณ"  !!

ผมก็มีทางเลือกให้อีก 2 อย่าง  คือ
1. เอาตัวออกไปจากป่า
2. วิ่งเข้า ๆ ออก ๆ ให้เร็ว

อย่างแรกก็คือการ "อพยพ" นั่นล่ะครับ
คงไม่ต่างจากสมัยที่ปู่ย่าตายายคนจีนที่อพยพมาอาศัยแผ่นดินไทย
ส่วนอย่างที่ 2 ก็คือสิ่งที่พวก "นักธุรกิจ" ในเมืองไทย  ไม่ว่จะเป็นสายอุตสาหกรรม - พาณิชยกรรม - วิชาการ ฯลฯ  กำลังกระทำอยู่
"การเข้าเ็ร็ว + ออกเร็ว" เป็นพื้นฐานของแนวคิด "โลกาธนวัตร" ทีี่่คนเหล่านี้พยายาม "ทำให้เป็นเรื่องปกติชอบธรรม"
ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรม "เสพสุขและสิงสู่ + มีชีวิตอยู่เพื่อล้างผลาญ" แบบที่พวกมันกระทำอยู่นั้น  อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดแก่สังคมหรือภูมิลำเนาที่มันเสพและสิงอยู่เลย
...เหมือน "ปรสิต" หรือ "กาฝาก" อย่างไรอย่างนั้น


พิจารณาเองนะครับว่าจะเอายังไง
...พิจารณาจากสถานภาพของตัวเอง
ถ้าจะ "อยู่" ก็ต้องเลือกข้าง
ไม่อย่างนั้นก็ต้อง "ไป"
หรือต้อง "ไม่ผูกพันกับความเป็นชาติ ( เชื้อชาติ  ชนชาติ สัญชาติ )" ใด ๆ ทั้งนั้น
...คุณมีทางเลือกแค่ 3 Mode
เพราะถ้าไม่เอาแบบไหนเลย  ก็คือ "เหยื่อ" หรือ "กลุ่มล่างสุดของห่วงโซ่แห่งอำนาจ"






หัวข้อ: Re: คำแนะนำและข้อคิดสำหรับทุกท่าน ในปี พ.ศ.2551
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 19-03-2008, 07:19

"ผู้มีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่ง  การตัดสินใจอันเด็ดขาดแม่นยำ  สติปัญญาอันรอบรู้หลักแหลม  ภววิสัยอันละเอียดรอบคอบ  สุขภาพอันแข็งแรงทรหด  และเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวปราดเปรียว" เท่านั้น  จึงจะอยู่รอดผ่านพ้นวิกฤติ - หายนะภัย ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้"

6 ปัจจัยนี้  ให้จำใส่ใจไว้เลยนะครับ
...อันที่จริงก็มีอีกข้อ  คือ  "ตัวใครตัวมัน" ซึ่งผมถือว่าแล้วแต่ศักยภาพของบุคคล
บางท่านอาจ "ตัวใครตัวมัน" ไม่ได้  เพราะบุคคลที่จะต้องฉุดกระชากลากถูไปด้วยมีทั้ง แม่ - พ่อ - ลูก ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญในชีวิต  ยืนยัน "ความเป็นมนุษย์" ในตัวตนของเรา   หรือบางท่านก็มีปัญหาสุขภาพอยู่ ก่อนหน้านี้แล้ว จึงจำเป็นต้อง "พึ่งพา" บุคคลอื่น

เอาน่า...ไม่เป็นไร  ข้อ 7 นี้ ผมจะทำเป็นไม่พูดถึงก็แล้วกัน
...เพราะมันแสลงใจ - แสลงหู

 :slime_p: