ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 05-11-2007, 09:37



หัวข้อ: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 05-11-2007, 09:37
“สุรยุทธ์” สั่งชำระแบบเรียนประวัติศาสตร์
 
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ว่า ตนได้นำเสนอเรื่องการชำระแนวคิดแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ วธ. เป็นผู้ดำเนินการต่อที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอแนะ และประเด็นปัญหาจากนักวิชาการ เกี่ยวกับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนี้
1.วิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนและสังคม เป็นวิชาท่องจำประวัติบุคคลสำคัญมากเกินไป
2.เน้นตามกระแสชาติพันธุ์นิยม ไม่ใส่ใจในพื้นที่เกิดมีความสับสนว่าคนไทยมาจากไหน
3.ไม่กล่าวถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมาเป็นสมัยสุโขทัย
4.มีการกล่าวถึงคนไทยในสมัยต่างๆ แต่ไม่กล่าวถึง คนไทยเชื้อสายอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย

รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า ข้อ

5.ผลของการใช้ แบบเรียนประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนและรัฐขาดความเข้าใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาชาติของตน และยังพยายามที่จะกลืนสลายวัฒนธรรมคนกลุ่มน้อยให้เข้ากับคนกลุ่มใหญ่ ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยรู้สึกถูกคุกคามวิถีชีวิตวัฒนธรรม ทำให้เกิดการต่อต้านและเกิดปัญหาความไม่สงบขึ้น
6.เมื่อทิศทางการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย กลายเป็นเรื่องเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ทำให้สังคมขาดจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย และ
7.หากไม่ใส่ใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติ ส่งผลให้เยาวชนขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ของตนเอง และของชนชาติอื่นๆ รวมทั้งทำให้ไม่เข้าใจความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมได้

ดังนั้น ที่ประชุมมีมติว่า จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุด ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยจัดทำประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ได้แก่ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อใช้ในการศึกษา และข้อมูลประวัติศาสตร์ภาคพิสดาร ยึดตามวิถีชีวิตและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร รวมทั้งต้องรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ขาดหายมาเชื่อมโยง เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนประวัติศาสตร์.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=education&content=67037

ชำระแถวๆ 2475, 2488, 2519 ด้วยนะท่าน เรียนๆ แล้วมันแหว่งๆ ไงไม่รู้ไม่สะใจเรยยย :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 05-11-2007, 09:47
“สุรยุทธ์” สั่งชำระแบบเรียนประวัติศาสตร์
 
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ว่า ตนได้นำเสนอเรื่องการชำระแนวคิดแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ วธ. เป็นผู้ดำเนินการต่อที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอแนะ และประเด็นปัญหาจากนักวิชาการ เกี่ยวกับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนี้
1.วิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนและสังคม เป็นวิชาท่องจำประวัติบุคคลสำคัญมากเกินไป
2.เน้นตามกระแสชาติพันธุ์นิยม ไม่ใส่ใจในพื้นที่เกิดมีความสับสนว่าคนไทยมาจากไหน
3.ไม่กล่าวถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมาเป็นสมัยสุโขทัย
4.มีการกล่าวถึงคนไทยในสมัยต่างๆ แต่ไม่กล่าวถึง คนไทยเชื้อสายอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย

รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า ข้อ

5.ผลของการใช้ แบบเรียนประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนและรัฐขาดความเข้าใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาชาติของตน และยังพยายามที่จะกลืนสลายวัฒนธรรมคนกลุ่มน้อยให้เข้ากับคนกลุ่มใหญ่ ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยรู้สึกถูกคุกคามวิถีชีวิตวัฒนธรรม ทำให้เกิดการต่อต้านและเกิดปัญหาความไม่สงบขึ้น
6.เมื่อทิศทางการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย กลายเป็นเรื่องเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ทำให้สังคมขาดจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย และ
7.หากไม่ใส่ใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติ ส่งผลให้เยาวชนขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ของตนเอง และของชนชาติอื่นๆ รวมทั้งทำให้ไม่เข้าใจความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมได้

ดังนั้น ที่ประชุมมีมติว่า จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุด ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยจัดทำประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ได้แก่ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อใช้ในการศึกษา และข้อมูลประวัติศาสตร์ภาคพิสดาร ยึดตามวิถีชีวิตและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร รวมทั้งต้องรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ขาดหายมาเชื่อมโยง เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนประวัติศาสตร์.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=education&content=67037

ชำระแถวๆ 2475, 2488, 2519 ด้วยนะท่าน เรียนๆ แล้วมันแหว่งๆ ไงไม่รู้ไม่สะใจเรยยย :slime_bigsmile:

ประวัติศาสตร์นั้นเป็นการจดบันทึกมาจากคนรุ่นก่อนๆ หรือมาจากการสืบเสาะค้นหาของคนรุ่นต่อๆมา มีผิดบ้างถูกบ้างก็เป็นปกติ เมื่อเกิดข้อสงสัยก็ชำระสะสางกันตามหลักวิชาการ เห็นสมควรจะทำก็ทำกันไป

เขาว่ากันว่า ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ จริงเท็จประการใดก็คงต้องไปพิสูจน์กัน

แต่มีประวัติศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง คือประวัติศาสตร์ที่อยากจะเชื่อกัน เช่นบางคนเขาเชื่อว่าเป็นใครบางคนกลับชาติมาเกิด จะมาทวงแผ่นดินคืนอะไรประมาณนั้น โดนลูกน้องสอพลอเข้าจนเชื่อ และเหิมเกริมจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ กะอีแค่มีชื่อสะกดเป็นภาษาอังกฤษคล้ายๆกัน ก็เชื่อได้เป็นตุเป็นตะ อย่างนี้ให้นักประวัติศาสตรืชำระคงไม่ไหว ต้องใช้กระดาษชำระเพียงอย่างเดียว  :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: irq5 ที่ 05-11-2007, 09:57
 :(

ไม่แค่นั้นหรอกครับ

ยังมีลูกกระแป๋งที่พึ่งโดนซิวไป ใช้ชื่อ login เป็นพระยาคนสนิทอีกตะหาก

เป็นผมคงเคลิ้มๆ อยู่ไม่น้อย


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ล้างโคตรทักษิณ ที่ 05-11-2007, 10:13
พยายามโยงสายตระกูลว่า เกี่ยวข้องกับปรีดีอีก เอาเข้าไป :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: meriwa ที่ 05-11-2007, 10:46
โถแก๊สเน่าอยากจะกลับไปเป็นอย่างในสมัยมนุษย์ดึกดำบรรพ์ นี่เอง   ถึงว่ามีแต่ความคิดโบราณๆ

เมื่อก่อนมันคงเสรีมากเลยเนอะ ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีคำว่าพ่อแม่พี่น้อง ทำอะไรก็ได้ 

เหมือนสัตว์ดีๆนี่เอง ที่ไม่มีวัฒนธรรม  มีแต่ความเท่าเทียมกัน 55555


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sweet Chin Music ที่ 05-11-2007, 12:03
อย่าลืมใส่ประวัติศาสตร์ คนโกงชาติ เข้าไปด้วยละ

เด็กๆ เยาวชน จะได้รู้ว่าไอ้คนนั้น มันเลววววว ขนาดไหน


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 05-11-2007, 14:33
กลุ่มนวพลเป็นกลุ่มฝ่ายขวาที่มีส่วนอย่างมากในปราบปรามและสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์ 6 ตุลา[1] เมื่อ พ.ศ. 2519

กลุ่มนวพลก่อตั้งเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517 โดยกลุ่มทหารในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เช่น พล.อ. วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ อดีตเจ้ากรมข่าวทหาร และ พล.อ. สายหยุด เกิดผล เสนาธิการ กอ.รมน. เป็นต้น พล.อ.วัลลภ ได้อธิบายเหตุผลในการก่อตั้งกลุ่มว่า ชาติจะอยู่รอดได้ด้วยสถาบันวัดกับวัง จึงต้องระดมประชาชนเพื่อป้องกันสองสถาบันหลักนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายหนึ่งของชื่อกลุ่มนวพล คือที่หมายความว่า “พลังเก้า” (หมายถึงพลังของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 – รัชกาลในสมัยที่ก่อตั้ง) ส่วนอีกความหมายหนึ่งคือ “กำลังใหม่” (ตามรูปแบบการก่อตั้ง)

ผู้นำสำคัญของกลุ่มนวพล:

พลโท สำราญ แพทยกุล ซึ่งเป็นองคมนตรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 และเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทอย่างยิ่ง พลโทสำราญเป็นนวพลอันดับแรก หรือ นวพล 001
พล.อ. วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ อดีตเจ้ากรมข่าวทหาร
พล.อ. สายหยุด เกิดผล เสนาธิการ กอ.รมน.
นายวัฒนา เขียววิมล ปัญญาชนจากสหรัฐอเมริกา เป็นวิทยากรประจำกลุ่มและเป็นผู้ประสานงานกลุ่ม
พระกิตติวุฒโฑ พระภิกษุผู้ประกาศต่อสาธารณชนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2519 ว่า “การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
กลุ่มนวพลเคยจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงรับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง
ที่มา: วิกิ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A5)

ตัวอย่าง ประวัติศาสตร์ที่คลุมเครือ ไปกล่าวหาว่าท่านองคมนตรีเป็นหัวหน้ากลุ่มนวพล แล้วบอกว่าท่านเป็นฆาตกรไง จริงป่าวหว่า  :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 05-11-2007, 14:37
กลุ่มนวพลเป็นกลุ่มฝ่ายขวาที่มีส่วนอย่างมากในปราบปรามและสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์ 6 ตุลา[1] เมื่อ พ.ศ. 2519

กลุ่มนวพลก่อตั้งเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2517 โดยกลุ่มทหารในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เช่น พล.อ. วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ อดีตเจ้ากรมข่าวทหาร และ พล.อ. สายหยุด เกิดผล เสนาธิการ กอ.รมน. เป็นต้น พล.อ.วัลลภ ได้อธิบายเหตุผลในการก่อตั้งกลุ่มว่า ชาติจะอยู่รอดได้ด้วยสถาบันวัดกับวัง จึงต้องระดมประชาชนเพื่อป้องกันสองสถาบันหลักนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายหนึ่งของชื่อกลุ่มนวพล คือที่หมายความว่า “พลังเก้า” (หมายถึงพลังของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 – รัชกาลในสมัยที่ก่อตั้ง) ส่วนอีกความหมายหนึ่งคือ “กำลังใหม่” (ตามรูปแบบการก่อตั้ง)

ผู้นำสำคัญของกลุ่มนวพล:

พลโท สำราญ แพทยกุล ซึ่งเป็นองคมนตรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 และเป็นผู้ที่ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทอย่างยิ่ง พลโทสำราญเป็นนวพลอันดับแรก หรือ นวพล 001
พล.อ. วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ อดีตเจ้ากรมข่าวทหาร
พล.อ. สายหยุด เกิดผล เสนาธิการ กอ.รมน.
นายวัฒนา เขียววิมล ปัญญาชนจากสหรัฐอเมริกา เป็นวิทยากรประจำกลุ่มและเป็นผู้ประสานงานกลุ่ม
พระกิตติวุฒโฑ พระภิกษุผู้ประกาศต่อสาธารณชนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2519 ว่า “การฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
กลุ่มนวพลเคยจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงรับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง
ที่มา: วิกิ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%A5)

ตัวอย่าง ประวัติศาสตร์ที่คลุมเครือ ไปกล่าวหาว่าท่านองคมนตรีเป็นหัวหน้ากลุ่มนวพล แล้วบอกว่าท่านเป็นฆาตกรไง จริงป่าวหว่า  :slime_doubt:


ช่วยจัดประวัติป๋าหมากมามั่งดิครับพี่แก๊สเหงาอยากฟัง  ไม่ค่อยรู้เรื่องกะเค้าหรอก หวังให้พี่แก๊สบอกเอาบุญ  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 05-11-2007, 14:55
เก่งประวัติศาสตร์มาก รักประชาธิปไตยมาก
ไหนมึงลองบรรยายประวัติศาสตร์ตอนนี้หน่อย


(http://img208.imageshack.us/img208/3675/thaksinandbiggeorgeer7.jpg)


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 05-11-2007, 15:16
อ้างถึง
1.วิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนและสังคม เป็นวิชาท่องจำประวัติบุคคลสำคัญมากเกินไป

เขาถึงเรียกวิชาประวัติศาสตร์ไงครับ ไม่งั้นคงเรียกคหกรรมศาสตร์หรือแพทยศาสตร์ไปแล้ว ผมว่ามันก็ไม่ได้มากเกินไป แต่อยู่ที่คนเรียนเขาสนใจแค่ไหน อย่างประวัติ ทงบังชิงกิ "ห้าหนุ่มเทพเจ้าจากเกาหลี"  :slime_dizzy: ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนหนึ่งรับรองท่องจำได้ว่าพวกนั่นเขาลืมตาดูโลกหัดคลานหัดเดินตั้งกะปีไหนมา

อ้างถึง
2.เน้นตามกระแสชาติพันธุ์นิยม ไม่ใส่ใจในพื้นที่เกิดมีความสับสนว่าคนไทยมาจากไหน

ก๊อ มาจากเทือกเขาอัลไตไง  :slime_bigsmile: ทุกวันนี้เขาส่วนใหญ่เขาก็เข้าใจกันว่าคนอเมริกันยกขโยงมาจากยุโรปเป็นส่วนใหญ่ อาจมีกล้อมแกล้มว่ากันถึงอินเดี่ยวไม่ให้โดนมองว่าเป็นเรซิสท์ ทีอย่างนั้นก็ยังพอเข้าใจได้

อ้างถึง
3.ไม่กล่าวถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมาเป็นสมัยสุโขทัย


ผมรู้จักคำว่าตามพรลิงส์ น่านเจ้า สุพรรณบุรี ทวาราวดี ศรีสัชนาลัย มาตั้งกะเด็กแล้ว ผมได้เคยอ่านประโยคข้างบนมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าทุกวันนี้เขาไม่ได้เรียนกันหรืออย่างไรครับ

 
อ้างถึง
4.มีการกล่าวถึงคนไทยในสมัยต่างๆ แต่ไม่กล่าวถึง คนไทยเชื้อสายอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย

จะเอาใจกลุ่มไหนก็ทำไป ก็อย่าลืมเอาใจกลุ่มอื่นให้ครบด้วยเด้อ มอแกน ม้ง ตองเหลือง มอญ ฯลฯ ไม่ใช่มาตัดเอาบางส่วนทีหลังแล้วบอกว่าเอามาเฉพาะ "ที่สำคัญ" เด๋วได้เจอข้อหา เรซิสต์คืนกลับมั่ง

อ้างถึง
5.ผลของการใช้ แบบเรียนประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนและรัฐขาดความเข้าใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาชาติของตน และยังพยายามที่จะกลืนสลายวัฒนธรรมคนกลุ่มน้อยให้เข้ากับคนกลุ่มใหญ่ ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยรู้สึกถูกคุกคามวิถีชีวิตวัฒนธรรม ทำให้เกิดการต่อต้านและเกิดปัญหาความไม่สงบขึ้น

อ่านข้อ 5 นี่รู้เลยว่ากำลังหมายถึงพวกไหน

ผมว่าอย่าเต้นตามเขา เชื่อป๋ม ลองไปดูปาเลสติเนียน ตุรกี เขาก่อน ศึกษาเขาก่อนเรื่องการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรม(ที่เขาเคลมว่าเป็น)ตะวันตกที่เข้ามาในชีวิตพวกเขา ทุกอย่างมีทางออกทั้งนั้น ไอ้ที่ไปก่อกวนพวกเขาที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องวัฒนธรรม แต่เป็นเรื่องความยุติธรรม

อ้างถึง
6.เมื่อทิศทางการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย กลายเป็นเรื่องเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ทำให้สังคมขาดจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย

ยังกะตอนนี้คนเขากำลังอนุรักษ์วัฒนธรรมสมัยสุโขทัยกันอยู่อย่างนั้นแหละ เจดีย์ พระปรางค์โดนขุดเอาเครื่องลางของขลังจนปรุไปหมดแล้ว พระพุทธรูปสมัยเก่าโดนตัดโดนและไปขายฝรั่ง พระใหม่หล่อขายฝรั่งที่จตุจักรไปประดับในห้อง

อ้างถึง
7.หากไม่ใส่ใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติ ส่งผลให้เยาวชนขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ของตนเอง และของชนชาติอื่นๆ รวมทั้งทำให้ไม่เข้าใจความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมได้

 :slime_smile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ชัย คุรุ เทวา โอม ที่ 05-11-2007, 18:04
ในวันที่ 4 ตุลาคม มีการชุมนุมที่ลานโพธิ์ มีการอภิปราย และการแสดงละครเกี่ยวกับกรณีฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้านครปฐม จัดโดยชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นสถานีวิทยุยานเกราะนำโดย อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา , สมัคร สุนทรเวช ทมยันตี, ฯลฯ ออกข่าวว่านักศึกษาที่แสดงละคร มีใบหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชายถูกแขวนคอ ต่อมาหนังสือพิมพ์ดาวสยาม และบางกอกโพสต์ ฉบับเช้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่ภาพการแสดงล้อการแขวนคอของนักศึกษาที่ลานโพธิ์ โดยพาดหัวข่าวเป็นเชิงว่า การแสดงดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

อันนี้ก็จาก วิกิ เหมือนกัน


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 05-11-2007, 18:05
เก่งประวัติศาสตร์มาก รักประชาธิปไตยมาก
ไหนมึงลองบรรยายประวัติศาสตร์ตอนนี้หน่อย


(http://img208.imageshack.us/img208/3675/thaksinandbiggeorgeer7.jpg)

ก๊ากกกกก

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ชัย คุรุ เทวา โอม ที่ 05-11-2007, 18:09
พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ กิตติวุฑโฒ ภิกขุ เจ้าอาวาสวัดจิตตภาวัน จังหวัดชลบุรี

พระเทพกิตติปัญญาคุณ เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2479 เป็นชาวจังหวัดนครปฐม อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2500 ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มีผลงานทางด้านการพัฒนาการศึกษาของสงฆ์ การประพันธ์และแต่งหนังสือเป็นจำนวนมาก

ในช่วงเหตุการณ์ตึงเครียดก่อน เหตุการณ์ 6 ตุลา เคยกล่าวคำพูดโด่งดังว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป ซึ่งถูกฝ่ายขวา อันได้แก่ นวพล กลุ่มกระทิงแดง ในสมัยนั้นนำไปใช้เป็นวาทกรรม โจมตีฝ่ายซ้าย และยุยงให้คนไทยเกลียดชังนิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมต่อต้านการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำไปสู่การสังหารหมู่กลางเมืองในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

ระยะหลังพยายามที่จะสร้างอุโบสถกลางทะเลและระดมทุนก่อสร้างคอนโดธรรมะ รวมทั้งโรงพยาบาลสงฆ์ แต่ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ต้องมามรณะเสียก่อน รวมอายุได้ 69 ปี
*******************************************************************************


ประวัติศาสตร์ใหม่ ต้องใส่ชื่อพระเอี้ย ไปด้วย


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Angleevil ที่ 05-11-2007, 19:17
ขอออกความเห็นส่วนตัวในฐานะนิสิตประวัติศาสตร์ ผมเองก็รู้สึกนะครับถึงความแตกต่าง

เพราะในประวัติศาสตร์ ที่เรียนๆกันอยู่ปัจจุบัน เขาเรียนประวัติศาสตร์ ฉบับกรมพระยาดำรงกัน

แต่ความเป็นจริงแล้วปัจจุบันข้อมูลทางประวัติศาสตร์มันมีมากกมายและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

จนถึงปัจจุบัน ที่ผมเรียนมา ประวัติศาสตร์ฉบับกรมพระยาดำรง เหลือเค้าความเป็นจริงน้อยมาก

อย่างตอนนี้ ถามจริงๆ ใครเชื่อว่า พระเจ้าอู่ทองหนีโรคระบาดมาจากเมืองเมืองอู่ทองแล้วตั้งเมืองอยุธยา

ซึ่งความเป็นจริงเมืองนี้ มันมีก่อนหน้านั้น ตามหลักฐาน อย่างวัดหลายวัด ก็เก่าแก่กว่า แถมเมืองอู่ทองที่สุพรรณ ก็ล่มก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทองกว่า 300 ปี

นี้คือตัวอย่าง ประวัติศาสตร์ บางส่วนที่มีความแตกต่าง

จริงอยู่ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่เราก็ควรหาสิ่งที่เป็นไปได้ ที่สุด
เพราะอาจารย์ ผมไม่เคยพูดเลยว่าประวัติศาสตร์ที่เห็นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่อิมเมจขึ้นจากจินตนาการของนักประวัติศาสตร์ตามหลักฐานที่มีอยู่

แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอก็คือ การเรียนประวัติศาสตร์ อย่าท่องจำ เพราะประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่ท่องจำ ถ้าจะสอน ต้องเรียน อย่างวิเคราะห์ หาสาเหตุ ความเป็นไป ทำไม อยุธยาต้องตั้งเมืองโดยมีน้ำล้อมรอบ ทำไมพม่า ต้องรบกับไทย ทำไม สงครามครูเสดถึงเกิด

ถ้าสอนตรงนี้ได้ผมว่า มันไม่ได้มีประโยชน์เพราะมันเป็นแค่วิชาประวัติศาสตร์ แต่สามารถไปปรับใช้ในวิชาอื่นๆได้ด้วย เชื่อผมสิ 


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: aoporadio ที่ 05-11-2007, 19:19

อยากชำระ 44-49 ก่อนอะ :slime_evil:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ชัย คุรุ เทวา โอม ที่ 05-11-2007, 19:24
รูปข้างบนช่างงงงงงงงงงงงงงงง

โอ้ ขอเชิญมาเป็นสมาชิก หูดำครับท่านพี่


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 05-11-2007, 19:29
ขอออกความเห็นส่วนตัวในฐานะนิสิตประวัติศาสตร์ ผมเองก็รู้สึกนะครับถึงความแตกต่าง

เพราะในประวัติศาสตร์ ที่เรียนๆกันอยู่ปัจจุบัน เขาเรียนประวัติศาสตร์ ฉบับกรมพระยาดำรงกัน

แต่ความเป็นจริงแล้วปัจจุบันข้อมูลทางประวัติศาสตร์มันมีมากกมายและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

จนถึงปัจจุบัน ที่ผมเรียนมา ประวัติศาสตร์ฉบับกรมพระยาดำรง เหลือเค้าความเป็นจริงน้อยมาก

อย่างตอนนี้ ถามจริงๆ ใครเชื่อว่า พระเจ้าอู่ทองหนีโรคระบาดมาจากเมืองเมืองอู่ทองแล้วตั้งเมืองอยุธยา

ซึ่งความเป็นจริงเมืองนี้ มันมีก่อนหน้านั้น ตามหลักฐาน อย่างวัดหลายวัด ก็เก่าแก่กว่า แถมเมืองอู่ทองที่สุพรรณ ก็ล่มก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทองกว่า 300 ปี

นี้คือตัวอย่าง ประวัติศาสตร์ บางส่วนที่มีความแตกต่าง

จริงอยู่ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่เราก็ควรหาสิ่งที่เป็นไปได้ ที่สุด
เพราะอาจารย์ ผมไม่เคยพูดเลยว่าประวัติศาสตร์ที่เห็นเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่อิมเมจขึ้นจากจินตนาการของนักประวัติศาสตร์ตามหลักฐานที่มีอยู่

แต่สิ่งที่ผมอยากเสนอก็คือ การเรียนประวัติศาสตร์ อย่าท่องจำ เพราะประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่ท่องจำ ถ้าจะสอน ต้องเรียน อย่างวิเคราะห์ หาสาเหตุ ความเป็นไป ทำไม อยุธยาต้องตั้งเมืองโดยมีน้ำล้อมรอบ ทำไมพม่า ต้องรบกับไทย ทำไม สงครามครูเสดถึงเกิด

ถ้าสอนตรงนี้ได้ผมว่า มันไม่ได้มีประโยชน์เพราะมันเป็นแค่วิชาประวัติศาสตร์ แต่สามารถไปปรับใช้ในวิชาอื่นๆได้ด้วย เชื่อผมสิ 


ประวัติศาสตร์แบบนี้คนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังยังไงก็ไม่ทราบ  คนพวกนี้ ผมจะเรียกว่าแกะดำ เพราะชักจูงได้ง่าย  ฮ่าฮ่าฮ่า  แต่ประวัติศาสตร์บางอย่างเราต้องยอมรับให้ได้ว่าสมควรที่จะต้องบิดเบือน
แล้วจะสงบสุขเอง ฮ่าฮ่าฮ่า :slime_smile:  ใครจะไปรู้ว่า อีก20-30ปีข้างหน้า เรื่อง ราวของพวกเราๆท่านๆ ที่มานั่งเถียงกันในเว็บบอร์ด  จะเป็นยังไง  เรื่องราวทางการเมืองจะไปทางไหน  เรื่องของ สถาบันจะเป็นเช่นไร
ขึ้นอยู่กับผู้ที่อำนาจในตอนนั้น จะเขียนให้มันออกมาดูดีเท่าไร ตะหาก hahaha  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 05-11-2007, 19:39
คิดว่า อีกไม่กี่ปี .. ประวัติศาสต์ไทย อาจจะบันทึก "ทรราชย์โคตรโกงรุ่น ๓"

รุ่น ๑. ทรราชย์ยุค ๒๕๑๖
รุ่น ๒. ทรราชย์ยุค ๒๕๓๕
รุ่น ๓. ทรราชย์โคตรโกงยุคดิจิตอล ๒๕๔๙

 :slime_cool:

...


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: นิธิพจน์ ที่ 05-11-2007, 20:08
คิดว่า อีกไม่กี่ปี .. ประวัติศาสต์ไทย อาจจะบันทึก "ทรราชย์โคตรโกงรุ่น ๓"

รุ่น ๑. ทรราชย์ยุค ๒๕๑๖
รุ่น ๒. ทรราชย์ยุค ๒๕๓๕
รุ่น ๓. ทรราชย์โคตรโกงยุคดิจิตอล ๒๕๔๙

 :slime_cool:

...




ขออนุญาตแก้ไขคำผิดนิดหนึ่งครับ


คิดว่า อีกไม่กี่ปี .. ประวัติศาสต์ไทย อาจจะบันทึก "ทรราชย์โคตรโกงรุ่น ๓"

รุ่น ๑. ทรราชย์ยุค ๒๕๑๖
รุ่น ๒. ทรราชย์ยุค ๒๕๓๕
รุ่น ๓. ทรราชย์โคตรโกง สานฝันเป็นประธานาธิบดี ยุคดิจิตอล ๒๕๔๙

:slime_mad:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 05-11-2007, 22:35
ยาก ถึงยากมาก เอาแค่
- หลักศิลาจารึก ของจริงหรือของปลอม
- ย่าโมมีจริงไหม
- ศรีปราชณ์ไม่มีตัวตนจริง
- ลอยกระทงไม่ได้เกิดสมัยสุโขทัย
- คนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต
- ฯลฯ

แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว ยังมีเอาละครแต่ง มาผสมกับเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง
อย่าง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน ก็ไม่มีจริง

หรือ กรุงศรีอยุธยาแตกเพราะความไม่สามัคคี โถ โดนปิดล้อม ต่อให้สามัคคี
จะชนะได้ยังไง เขาปิดล้อม 2 ปี ก็อดตายกันทั้งเมือง ที่แตกเพราะต่างคนต่าง
รู้ว่ามันไม่รอดแล้ว พม่ายังปิดล้อม ทั้งๆ ที่ถึงฤดูน้ำท่วม หนีได้เป็นหนีแล้ว
เหมือนพระเจ้าตากนั่นแหละ



หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 05-11-2007, 23:09
มีอยู่ช่วงตอนเข้าราชดำเนินใหม่ๆ ผมจะอ่านหนังสือของค่าย 'ศิลปะวัฒนธรรม' ยอมรับว่าเขียนสนุกโดยเฉพาะการโจมตีการศึกษาประวัติศาสตร์ของกลุ่มศักดินายุคเก่า ตั้งกะศิลาจารึก ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ประเพณีวัฒนธรรมที่ถือว่าเป็นของสุโขทัย ฯลฯ

แต่พอเวลาผ่านไป ผมเริ่มเบื่อกับคำว่าประนามว่า 'ล้าหลัง-คลั่งชาติ' หนังสือหลายๆเล่มที่ถือว่าเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคใหม่พยายามสร้างจุดเด่นให้กับตนเองโดยการอ้างถึงการซ่อนเร้นปิดบังประวัติศาสตร์เพื่อจุดประสงค์ 'รวมชาติ' บางครั้งก็เกินพอดีในความรู้สึกของคนอ่าน

กลายเป็นว่าพระนิพนธ์ของกรมพระยาดำรงค์เองก็พยายามจะตัดสินอะไรด้วยความเป็นกลางมากกว่า แต่ติดตรงที่ข้อจำกัดทั้งหลักฐาน (และความรู้ในสมัยนั้น) ซึ่งก็น่าจะมีการต่อยอดหรือหักล้างกันด้วยเหตุและผลในความเป็นกลางที่ใกล้เคียงกัน



หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 05-11-2007, 23:23
ยาก ถึงยากมาก เอาแค่
- หลักศิลาจารึก ของจริงหรือของปลอม
- ย่าโมมีจริงไหม
- ศรีปราชณ์ไม่มีตัวตนจริง
- ลอยกระทงไม่ได้เกิดสมัยสุโขทัย
- คนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต
- ฯลฯ

แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว ยังมีเอาละครแต่ง มาผสมกับเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง
อย่าง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน ก็ไม่มีจริง

หรือ กรุงศรีอยุธยาแตกเพราะความไม่สามัคคี โถ โดนปิดล้อม ต่อให้สามัคคี
จะชนะได้ยังไง เขาปิดล้อม 2 ปี ก็อดตายกันทั้งเมือง ที่แตกเพราะต่างคนต่าง
รู้ว่ามันไม่รอดแล้ว พม่ายังปิดล้อม ทั้งๆ ที่ถึงฤดูน้ำท่วม หนีได้เป็นหนีแล้ว
เหมือนพระเจ้าตากนั่นแหละ





  เอิ๊กๆๆๆๆแล้วคุณ eAT รู้ได้ไงครับ เกิดทันปล่าวหรือระลึกชาติได้


     :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:





หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 06-11-2007, 03:53
ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก ไอ้คำว่ากระซิบข้างหู กับกระซิบเฉยๆ ถึงป่านนี้
ยังมีโง่ๆ เข้าใจผิดไม่หยุดอยู่เลย ถ้าไอ้อีพวกนี้มันพ่นไปเรื่อย คนอื่นก็เชื่อ
ว่าเป็นกระซิบข้างหูกันไม่หยุด สุดท้ายก็จะมีพวกนึงไปบันทึกในภายหลัง
ตามความจำตัวเองว่า กระซิบข้างหู จนลูกหลานเชื่อตามนั้น รวมทั้งเรื่องวัด
พระแก้ว ทุบศาลพระพรหม เท่ากับคนควายๆ สมัยนี้ถ่ายทอดเรื่องผิดๆ ให้
ลูกหลาน ทั้งที่รู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เนี่ยแหละพวกทำลายอนาคตของชาติ
อย่างแท้จริง เลวซะไม่มี


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 06-11-2007, 04:34
“สุรยุทธ์” สั่งชำระแบบเรียนประวัติศาสตร์  

ไทยรัฐ [5 พ.ย. 50 - 04:12]
 
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ว่า ตนได้นำเสนอเรื่องการชำระแนวคิดแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ วธ. เป็นผู้ดำเนินการต่อที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอแนะ และประเด็นปัญหาจากนักวิชาการ เกี่ยวกับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนี้

1.วิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นวิชาที่ไม่ได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนและสังคม เป็นวิชาท่องจำประวัติบุคคลสำคัญมากเกินไป

2.เน้นตามกระแสชาติพันธุ์นิยม ไม่ใส่ใจในพื้นที่เกิดมีความสับสนว่าคนไทยมาจากไหน

3.ไม่กล่าวถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมาเป็นสมัยสุโขทัย

4.มีการกล่าวถึงคนไทยในสมัยต่างๆ แต่ไม่กล่าวถึง คนไทยเชื้อสายอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย

รมว.วัฒนธรรม กล่าวต่อว่า

ข้อ 5.ผลของการใช้ แบบเรียนประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนและรัฐขาดความเข้าใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ความเป็นมาชาติของตน และยังพยายามที่จะกลืนสลายวัฒนธรรมคนกลุ่มน้อยให้เข้ากับคนกลุ่มใหญ่ ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยรู้สึกถูกคุกคามวิถีชีวิตวัฒนธรรม ทำให้เกิดการต่อต้านและเกิดปัญหาความไม่สงบขึ้น

6.เมื่อทิศทางการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย กลายเป็นเรื่องเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ทำให้สังคมขาดจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย และ

7.หากไม่ใส่ใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติ ส่งผลให้เยาวชนขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ของตนเอง และของชนชาติอื่นๆ รวมทั้งทำให้ไม่เข้าใจความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมได้

ดังนั้น ที่ประชุมมีมติว่า จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุด ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยจัดทำประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ได้แก่ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อใช้ในการศึกษา และข้อมูลประวัติศาสตร์ภาคพิสดาร ยึดตามวิถีชีวิตและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร รวมทั้งต้องรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ขาดหายมาเชื่อมโยง เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนประวัติศาสตร์.
[/size]
(http://www.thairath.co.th/2550/education/Nov/library/05/politic1.jpg)

http://www.thairath.co.th/news.php?section=education&content=67037
 

ประวัติศาสตร์ ยุคแม้วครองเมือง ยิ่งต้องเขียนให้ละเอียดยิบ
 :slime_inlove: :slime_inlove:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 06-11-2007, 04:40
^
^
บอร์ดร้างโฆษณาแฝงว่ะ ก๊าก ก๊าก  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 06-11-2007, 08:03
ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก ไอ้คำว่ากระซิบข้างหู กับกระซิบเฉยๆ ถึงป่านนี้
ยังมีโง่ๆ เข้าใจผิดไม่หยุดอยู่เลย ถ้าไอ้อีพวกนี้มันพ่นไปเรื่อย คนอื่นก็เชื่อ
ว่าเป็นกระซิบข้างหูกันไม่หยุด สุดท้ายก็จะมีพวกนึงไปบันทึกในภายหลัง
ตามความจำตัวเองว่า กระซิบข้างหู จนลูกหลานเชื่อตามนั้น รวมทั้งเรื่องวัด
พระแก้ว ทุบศาลพระพรหม เท่ากับคนควายๆ สมัยนี้ถ่ายทอดเรื่องผิดๆ ให้
ลูกหลาน ทั้งที่รู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เนี่ยแหละพวกทำลายอนาคตของชาติ
อย่างแท้จริง เลวซะไม่มี

อ๊ะ กระซิบใครๆก็ต้องหมายถึงที่ข้างหูอยู่แล้ว หากกระซิบที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายแล้วจะฟังรู้เรื่องกันเหรอคับ (http://img120.imageshack.us/img120/1124/d582d79fni4.gif)


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 06-11-2007, 08:33
^
^
บอร์ดร้างโฆษณาแฝงว่ะ ก๊าก ก๊าก  :slime_bigsmile:

อิ อิ ไปแอบดูสถิติกันบ้างหรือเปล่า...เมื่อวานคนเข้าก็ 70 กว่า ก็โอเคน่ะ..

เว็บห้องสมุด อยู่เงียบ ๆ แบบนี้ดีแล้ว ขี้เกียจลบความเห็นติงต๊อง

ดีไม่ดีพลอยซวยติดคุกอีก ฮ่า ฮ่า

อ้อ..ไปดูยังรายชื่อผู้สมัครแบบสัดส่วน รู้สึก พลังประชาชน ส่งแบบรู้ตัวเองนะ ฮ่า ฮ่า
บางเขตส่ง 4-5 คน แล้วไปคุยว่าจะได้ 250 ไม่มากไปหน่อยเหรอ อิ อิ


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: พัน.ตระ.กะ.โท.ด็อกเตอร์ ทากสิน กินดินวัด ที่ 06-11-2007, 08:50
คิดว่า อีกไม่กี่ปี .. ประวัติศาสต์ไทย อาจจะบันทึก "ทรราชย์โคตรโกงรุ่น ๓"

รุ่น ๑. ทรราชย์ยุค ๒๕๑๖
รุ่น ๒. ทรราชย์ยุค ๒๕๓๕
รุ่น ๓. ทรราชย์โคตรโกงยุคดิจิตอล ๒๕๔๙

 :slime_cool:

...

:slime_bigsmile: คงจะจริง


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 06-11-2007, 09:11
มีอยู่ช่วงตอนเข้าราชดำเนินใหม่ๆ ผมจะอ่านหนังสือของค่าย 'ศิลปะวัฒนธรรม' ยอมรับว่าเขียนสนุกโดยเฉพาะการโจมตีการศึกษาประวัติศาสตร์ของกลุ่มศักดินายุคเก่า ตั้งกะศิลาจารึก ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ประเพณีวัฒนธรรมที่ถือว่าเป็นของสุโขทัย ฯลฯ

แต่พอเวลาผ่านไป ผมเริ่มเบื่อกับคำว่าประนามว่า 'ล้าหลัง-คลั่งชาติ' หนังสือหลายๆเล่มที่ถือว่าเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคใหม่พยายามสร้างจุดเด่นให้กับตนเองโดยการอ้างถึงการซ่อนเร้นปิดบังประวัติศาสตร์เพื่อจุดประสงค์ 'รวมชาติ' บางครั้งก็เกินพอดีในความรู้สึกของคนอ่าน

กลายเป็นว่าพระนิพนธ์ของกรมพระยาดำรงค์เองก็พยายามจะตัดสินอะไรด้วยความเป็นกลางมากกว่า แต่ติดตรงที่ข้อจำกัดทั้งหลักฐาน (และความรู้ในสมัยนั้น) ซึ่งก็น่าจะมีการต่อยอดหรือหักล้างกันด้วยเหตุและผลในความเป็นกลางที่ใกล้เคียงกัน

ขอตัวอย่างด้วยที่ว่า "โจมตี" นะครับ ผมอ่านเจอแต่ "โต้แย้ง" ครับผม
แล้วอีกอย่าง ประวัติศาสตร์ในตำราเรียน มันเกิดในยุคคลั่งชาตินี่ หรือว่า
ไม่จริงครับ ผมไม่ชอบเรื่องรวมชาติหรอก ถ้าพื้นฐานไม่ให้ จะไป make
มันหรือ อย่าง เยรมัน ตะวันออก-ตะวันตก หรือ เวียดนาม เหนือ-ใต้
ถึงจะถูกบังคับให้แยกกัน ในที่สุดมันก็รวมกันกันจนได้ เพราะพื้นฐานแล้ว
มันเป็นประเทศเดียวกัน ขณะที่ไทย-ลาว ตำราไทยบอกว่า เป็นประเทศ
เดียวกัน แต่โดนฝรั่งเศสมันแบ่งแยก ขอถามหน่อย แล้วใครที่ยกทัพไป
เผาเมืองเวียงจันทร์ ถ้าประเทศเดียวกัน เขาก็ยึดคืน แล้วก็จบ ไม่มีการ
เผาเมืองในประเทศตัวเองหรอกครับ หรือว่าไม่จริงอีก





  เอิ๊กๆๆๆๆแล้วคุณ eAT รู้ได้ไงครับ เกิดทันปล่าวหรือระลึกชาติได้


     :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


งั้นก็ไปบอก พ. ณ ประมวลมารค (หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี) ก็แล้วก้น
ว่าเถอะ กล้าไปบอกไหม ผมไม่กล้าหรอก เพราะว่า......


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 06-11-2007, 10:48
@ คุณ eAT

http://www.tttonline.net/books/viewDetails.php?type_id=303&hot_id=1&hot_name=

อ้างถึง
ประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับ "ล้าหลังคลั่งชาติ" บอกว่า คนไทยอพยพมาจาก "เทือกเขาอัลไต" บริเวณมองโกเลีย เหนือประเทศจีนขึ้นไป ก่อนโดนคนจีนไล่หนีร่นลงมาทางใต้สู่ดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน

ขณะที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ เจ้าสำนัก "ศิลปวัฒนธรรม" ยืนกรานและเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ ให้มีการชำระประติศาสตร์ฉบับล้าหลังคลั่งชาติว่า

ว่า "คนไทยไม่ได้มาจากไหน? เพราะคนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์"

การระบุความเป็นคนไทยเริ่มเกิดขึ้นราวหลัง พ.ศ.1700 ตามหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดี ตลอดจนร่องรอยต่างๆ ทางภาษาและสังคมวัฒนธรรม บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ภายหลังต่อมามีการพัฒนาเป็นรัฐกรุงศรีอยุธยา รัฐสุพรรณภูมิ รัฐกรุงสุโขทัย

ที่เรียกโดยรวมว่าราชอาณาจักรสยามแห่งแรก

และกว่าจะเป็น "คนไทย" มีกระบวนการยาวนานกว่าสามพันปี

หนังสือ "คนไทยมาจากไหน" รวบรวมมาจากบทความของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่เคยเขียนโต้แย้งประวัติศาสตร์ฉบับล้าหลังคลั่งชาติจากหนังสือหลายเล่มต่างกรรมต่างวาระกัน

ว่า "คนไทยไม่ได้มาจากไหน? เพราะคนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์"

สุจิตต์ วงษ์เทศ ให้ความรู้ไว้ตอนหนึ่งว่า "คำถามยอดนิยมว่าคนไทยมาจากไหน? บรรพบุรุษของคนไทยคือใคร? มีหนาหูขึ้นราวหลัง พ.ศ.2500 เมื่อนักโบราณคดีไทยและต่างประเทศ ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ที่บ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

ต่อมาราวหลัง พ.ศ.2510 ขุดพบโครงกระดูก ภาชนะสัมฤทธิ์ และหม้อลายเขียนสีที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

แต่คำตอบและคำอธิบายยังเหมือนเดิม คือ อพยพมาจากที่อื่น เช่น เทือกเขาอัลไต น่านเจ้า ฯลฯ"

และต่อไปนี้ ถ้ามีคำถามว่า "คนไทยมาจากไหน" หาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้ ตอบคำถามไว้อย่างชัดเจน พร้อมหลักฐานหนักแน่น

ว่า "คนไทยไม่ได้มาจากไหน? เพราะคนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์"

ขณะที่คำตอบเรื่องคนไทยอพยพมาจากแดนไกล แผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ

อ่านคร่าวๆ ผมเจอคำว่าล้าหลังคลั่งชาติอยู่ 3 คำ ผมคุ้นๆว่าเคยเห็นคำทำนองนี้ในหนังสือ

และผมไม่คิดว่ากล่าวถึงบางอย่างบางสิ่งว่า "ล้าหลัง" หรือ "คลั่งชาติ" จะเป็นข้อความที่มีเจตนาเพื่อที่จะโต้แย้ง ทันทีที่คุณบอกว่าสิ่งนี้ล้าหลังนั่นคือ  1) คุณ(เข้าใจว่า)รู้ว่าสิ่งนั้นนั้น "ล้าหลัง" 2) คุณรู้ว่าอะไรที่ไม่"ล้าหลัง"

สายอื่นนั้นผมไม่รู้ แต่สายที่ผมเรียนมา การกล่าวว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ล้าหลังด้วยความเข้าใจว่าตนเองรู้แจ้งว่าตนเองไม่ล้าหลังถือเป็นสิ่งอันตราย

การบันทึกทางประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าข้อจำกัดอยู่ที่ผู้บันทึก การแยกความจริงออกมาถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้อ่าน (ซึ่งมีข้อจำกัดเช่นกัน) ยกตัวอย่างเช่น หากผมจะเขียนประวัติศาสตร์ให้ตนเอง ผมย่อมบันทึกว่าผมเคยให้เงินคนจรจัดสามบาท ขณะที่ผมจะไม่บันทึกว่าหลังจากนั้นผมกลับไปบ้านไปดูดบิตคลิปแอบถ่ายดาราชายเกาหลีจนเต็มฮาร์ดดิสก์

การศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยหลักฐานที่มีอยู่ จึงมีเรื่องอคติ(ศาสนา การศึกษา)ที่ควรยอมรับว่ามันมี แต่การประนามอคติดังกล่าวเป็นเรื่องเป็นสิ่งเพิ่มเติมที่มองแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องในการส่งเสริมศาสตร์ดังกล่าว

กลับมาที่ไทย ลาว

คุณต้องมองว่าสมัยก่อนนั้นมีกรุงศรีอยุธยา บางกอก(ซึ่งตอนหลังก็ชื่อยาวๆเหมือนกันกับชื่อกรุงศรีอยุธยา) นครเวียงจันทร์ สิ่งที่คุณมองว่าลาวจริงๆก็คือประกอบด้วยลาวลุ่ม ลาวสูง และลาวเทิง ที่กระจัดกระจายภายใต้การปกครองของเมืองใหญ่ๆเช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยา เช่นจำปาศักดิ์ เวียงจันท์ หลวงพระบาง สามเมืองนี่ก็เคยแยกเป็นอิสระของกันและกัน

การกำหนด scope ว่าสิ่งใดเป็นไทย สิ่งใดเป็นลาวนั่น เริ่มจากหัวใจของชุมชนนั่นคือผู้ปกครองจากเมืองที่กุมอำนาจบนขอบเขตพื้นที่(ราชอาณาจักร) การที่ขยายราชอาณาจักร (เพื่อการเพิ่มทรัพยากรของศูนย์กลาง) จึงมาทั้งจากการฑูต(ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง หรือการจิ้มก้อง ว่ากันไป) และการทำสงครามนั้นแปรเปลี่ยนไปได้ตามสภาพความเหมาะสม หากครองได้ครอง กวาดต้อนเชลยมาเป็นทาสในเมืองหลวง(เช่นที่นำมาขุดคลองแสนแสบ)ได้ก็จะกวาดต้อน ส่วนหากเวลาไม่พอก็คือฆ่าเผาและปล้น เพื่อที่จะถอยทัพกลับมาก่อนให้ทันโดนตีโต้กลับจากกลุ่มที่ยังแข็งขืนในพื้นที่

ตัวอย่างกบฎอั้งยี่ในรัชการที่ 5 ที่ฉะเชิงเทราน่าจะนำมาเปรียบเทียบได้ครับ จากที่ผมศึกษาในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องผีดุทั่วประเทศไทย  การปราบพวกอั้งยี่ที่ตัดคอเจ้าเมืองซ่องสุมอาวุธต่อต้านส่วนกลางนั่น เขาใช้อาวุธหนักระดมใส่พวกอั้งยี่ที่หลบเข้าไปในวัดครับ เสร็จงานนั้นมีคำสั่งตัดหัวคนต้องสงสัยว่าเป็นกบฏอั้งยี่ไปหลายสิบคนจนต้องใช้เพชรฆาตสามผลัดลงดาบกัน สมัยก่อนมันก็โหดกันอย่างนี้ แต่สมัยเรามันสงบกันมากแล้ว ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยก็ยังใช้วิธีการอย่างนี้

(โม้ไปเรื่อยครับ )


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: ล้างโคตรทักษิณ ที่ 06-11-2007, 11:13
ขอตัวอย่างด้วยที่ว่า "โจมตี" นะครับ ผมอ่านเจอแต่ "โต้แย้ง" ครับผม
แล้วอีกอย่าง ประวัติศาสตร์ในตำราเรียน มันเกิดในยุคคลั่งชาตินี่ หรือว่า
ไม่จริงครับ ผมไม่ชอบเรื่องรวมชาติหรอก ถ้าพื้นฐานไม่ให้ จะไป make
มันหรือ อย่าง เยรมัน ตะวันออก-ตะวันตก หรือ เวียดนาม เหนือ-ใต้
ถึงจะถูกบังคับให้แยกกัน ในที่สุดมันก็รวมกันกันจนได้ เพราะพื้นฐานแล้ว
มันเป็นประเทศเดียวกัน ขณะที่ไทย-ลาว ตำราไทยบอกว่า เป็นประเทศ
เดียวกัน แต่โดนฝรั่งเศสมันแบ่งแยก ขอถามหน่อย แล้วใครที่ยกทัพไป
เผาเมืองเวียงจันทร์ ถ้าประเทศเดียวกัน เขาก็ยึดคืน แล้วก็จบ ไม่มีการ
เผาเมืองในประเทศตัวเองหรอกครับ หรือว่าไม่จริงอีก

ประวัติศาตร์ไทย ยุคที่เรียกว่า คลั่งชาติ ถูกสร้างในสมัย จอม พล ป.  ประพันธ์โดย โอกิลวี่เมืองไทย หลวงวิจิตรวาทการ จนเป็นที่มานิยายขายดี เช่น สายโลหะ  เลือดสุพรรณ กรุงแตก ฯลฯ

ส่วนเรื่องเผาเวียงจันทร์ เป้นการระบายความแค้น - หวาดผวาของชนชั้นปกครองสยามเอง เนื่องมาจาก อนุวงศ์ นั้นเป็นเจ้าต่างแดนองศ์แรกที่สามารถยกกำลังเข้ามีจ่อคอหอยถึงสระบุรี อีกนิดเดียวก็ตลุยถึงกรุงเทพฯ

หากไม่มีการหักหลังกันในบรรดาเจ้าลาว และ ไทโคราชสวามิภักดิ์ซะก่อน



หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 06-11-2007, 23:25
ไปอ่านตามลิงค์ที่คุณPriateľ ให้มา มันเหมือนแนะนำหนังสือไม่ใช่หรือ
คุณยืนยันนะว่าข้อความนี้ มีอยู่ในหนังสือ พอดีว่าเล่มนี้ไม่มี ก็เลยหยิบเอาเรื่องอื่นมา
ก็เห็นเขาให้คำนิยามว่า "ชาตินิยม" ไมใฃ่ "ล้าหลังคลั่งชาติ"

ส่วนตัวแล้วชอบคำว่า "คลั่งชาติ" มากกว่า เพราะว่า มันไม่ล้าหลังหรอก เรื่องคลั่งชาติ
อย่างอเมริกา ที่ถล่มอิรัก ก็โดนปั่นเรื่องคลั่งชาติ ทั้งๆ ที่ความจริง ไม่ได้สนใจเรื่อง
ก่อการร้ายหรอก หวังจะฮุบเอาบ่อน้ำมันในอิรักต่างหาก

จริงๆ แล้วก็เห็นกันอยู่ไม่ใช่หรือ ในแบบเรียน มันเป็นประวัติศาสตร์แบบคลั่งชาติ
ขณะที่ ไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียว ที่ยืนยันว่าคนไทย มาจากเทือกเขาอัลไต
ขนาดตำนานสักชิ้นก็ไม่เห็นมี แต่ว่ามันเอามาสอนเป็นว่า คนไทย โดนรังแก จนกระทั่ง
ถอยมาอยุ่ทีแหลมทอง แล้วก็ถอยอีกไม่ได้ เดี๋ยวตกทะเล ประวัติศาสตร์หรือนิยายกัน
เอามาสอนกันได้ยังไง

เออ ถ้าสอนว่า อพยพมาจาก อาฟฟริกัน ยังว่าไปอย่าง เพราะ โฮโม ซาเปียน เกิดที่นั่น
ตามหลักฐาน ชีวบรรณ ที่พบ


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 07-11-2007, 01:05
"ล้าหลังคลั่งชาติ" เค้า วิพากษ์นโยบาย "ชาตินิยมจ๋า"

หลัง ๆ นี่พอไปศึกษานิรุกติศาสตร์ ประกอบศิลปะวัฒนธรรม รวมทั้งหลักฐานอื่น ๆ ก็บอกชัดว่า

เค้าเดิมจริง ๆ ก็เป็นกลุ่มคนไทยนี่แหละ อยู่ทั้งแถบซ้าย - ขวา แม่น้ำโขง

กลุ่มคนไทยเป็นกลุ่มหลายชาติพันธุ์มาแต่โบราณแล้วครับ ผสมปนเปกันไปหลากหลายเชื้อชาติ

สามารถเข้าได้กับทุกอารยะธรรม

ถ้ายิ่งย้อนไปรุ่น "บ้านเชียง" ยิ่งจะเห็นชัดว่าแอ่งอารยธรรมมันอยู่ตรงใหนบ้าง

เรื่อง รัฐ-ชาติ มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป ใครรบเก่ง คนนั้นก็ขยายเขตอิทธิพล เรียกเก็บค่าคุ้มครอง

เป็นการเมืองเรื่องการแสวงหาทรัพยากรและผู้คน

การศึกสงครามในอดีต เป็นเรื่องของ "ผู้ครองรัฐ" เป็นเรื่องความมั่นคงและแสวงอำนาจการเก็บส่วย

ขนาดทางเชียงใหม่ คงรูปแบบการปกครองตนเองไว้ได้

แต่ยังต้องยอมเป็นประเทศราช มาจนประเทศไทยใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาล ในรัชการที่ 5 ถึงต้องเลิกไป รวมทั้งรัฐปัตตานีทางใต้

ว่าง ๆ ดู "จูมง" บ้างก็ดีครับ อิ อิ


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 07-11-2007, 01:20
ผมเคยฟัง อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ อธิบายว่า ทำไมแกถึงให้ความเคารพและยกย่องกรมพระยาดำรงฯ มาก
ทั้งที่ นักประวัติศาสตร์รุ่นหลัง ๆ มีข้อพิสูจน์หักล้างแล้วว่า
การค้นคว้า และตีความประวัติศาสตร์ของกรมพระยาดำรงฯ "ผิดพลาด" เสียเป็นส่วนใหญ่

จาน ส. บอกว่า เรื่องผิดพลาดก็เข้าใจ
แต่ จานแกยกย่องกรมพระยาดำรงฯ ในแง่นักประวัติศาสตร์แท้ ๆ ที่มีความเป็นกลางในการอธิบายประวัติศาสตร์
ซึ่งแทบจะหาไม่ได้ ในเมืองไทย ยุคต่อ ๆ มา

นักประวัติศาสตร์ (หรือจะสถาปนาตัวเองเป็น "นัก" อย่างอื่น แขนงอื่น) รุ่นหลังของไทย
มักจะเป็น "นักประวัติศาสตร์เลือกข้าง" เสียเป็นส่วนใหญ่
ไม่ก็เลือกหยิบใช้ประวัติศาสตร์ เฉพาะส่วนที่จะอธิบาย "ความคิด" ของตัวเอง

ผมว่า เหตุผลข้อนี้ของ จาน ส. รับฟังได้


หัวข้อ: Re: บอกแล้วที่เรียนประวัติศาสตร์กันมามันมั่วซะเยอะ
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 07-11-2007, 01:36
นักประวัติศาสตร์ยุคกลัวฝรั่ง ย่อมสร้างเหตุผลประวัติศาสตร์ของตนเองให้ยิ่งใหญ่เอาไว้ก่อน

แต่ก็สามารถใช้เป็น "ต้นเค้า" เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อ ๆ มา

บางทีหลักฐานต่าง ๆ มันต้องหันมามองประวัติศาสตร์ ในมิติที่กว้างขึ้น จินตนาการโดยเหตุผล

อาจมีหลักฐานยืนยัน ด้วยโบราณคดี

การใช้ความคุ้นเคยของยุคสมัยนี้ ไปตีความบางทีก็อาจพลาดได้ง่าย ๆ

ถ้าหากมั่ว ก็ต้องมีเหตุผลรองรับ มั่วบนเหตุผลสามารถโต้แย้งได้เสมอ

แม้จะมีหลักฐานใหม่ ความเห็นใหม่ ๆ แต่ "ของเก่า" ที่คนรุ่นเก่าศึกษาไว้ก็ใช่จะไร้ค่า

ผมว่าเทียบเคียงแล้ว นักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย รวมทั้งราชบัณฑิต น่าจะลงความเห็น

เพื่อสร้างชุดความรู้ซึ่งมีข้อโต้แย้งน้อยที่สุดออกมา อย่างน้อยการได้รับรู้ความจริง ที่ยอมรับความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ

อาจทำให้ คนไทยรุ่นหลัง ๆ มีจิตใจกว้างขวาง ยอมรับความแตกต่างได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นคือฐานรากของ "ประชาธิปไตย"