ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 25-08-2007, 14:39



หัวข้อ: พจมาน ชินวัตร : "นายผู้หญิง" บ้านจันทร์ส่องหล้า.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 25-08-2007, 14:39
ถนนสาย 'จันทร์ส่องหล้า' และ 'มาลากันยัง' สองนางพญาผู้บอดใบ้
 
24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:00:00
 
ประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงในประเทศไทย ได้แสดงเสียงโนโหวตต่อรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 เพิ่งผ่านพ้น หมายถึงการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นความหวังของคนไทยที่จะนำไปสู่การมีผู้นำที่ดีกว่าที่ผ่านมา จุดประกาย ขอเสนอเรื่องราวของผู้นำบางคนในเอเชียที่เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนไทยในยามนี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

คนหลายคนยอมรับว่า เมื่อวัยบั้นปลายมาถึง การได้รำลึกถึงความหลังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต คนที่มีชีวิตแบบราบเรียบอาจไม่มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์มาก นอกจากทำใจเตรียมใจให้พร้อมกับวันที่ต้องจากโลกนี้ไป แต่ยังมีคนบางคนที่มีอดีตไม่ธรรมดา อาจต้องเผชิญกับความขมขื่นเจ็บปวด เมื่อหวนคิดถึงความหลัง อันรุ่งเรือง งดงาม ในขณะที่ชีวิตช่วงปลายอาจอยู่ในสภาพตรงกันข้าม

หลายคนกำลังประเมินว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึง อาจเปลี่ยนโฉมประเทศอีกครั้งได้หรือไม่ น่าจะขึ้นอยู่กับการกลับมามีอำนาจอีกครั้งของอดีตผู้นำ ที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อฟื้นคืนอำนาจในฐานะผู้นำประเทศให้ได้ แม้ในทางสาธารณะจะเห็นภาพการหยุดดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ด้วยการหันไปดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในระดับนานาชาติคือการซื้อทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีอย่างทุ่มเท

แต่ในทางลับ คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้เท่าทันว่าอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อ ‘ฟอกตัวเอง’ และ ‘กลับชาติมาเกิดใหม่’ อย่างสุดชีวิตเช่นกัน

บนเส้นทางของถนนสองสาย

ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี สังคมไทยถูกระบอบทักษิณเข้ามาครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งความเสื่อมสลายของหลายสถาบันในเวลาต่อมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีว่า การที่เรามีผู้นำเก่งล้ำเลิศ แต่เอาแต่ประโยชน์ตนและพวกพ้องไม่กี่ตระกูล ทำให้ประเทศชาติส่วนรวมเสียหายร้ายแรงอย่างไร

ระบบการผูกขาดอำนาจในสังคมไทย จึงไม่ใช่ทางเลือกที่คนไทยต้องการอีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดอำนาจโดยฝ่ายไหน ซ้าย ขวา อนุรักษ์ หรือทันสมัย ดังนั้นสถานการณ์การเมืองไทย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในเวลาเร่งรีบกันอีกหนในปลายปี 2007 มีหลายเรื่องที่ทำให้คนไทยต้องขบคิดกับอนาคตของประเทศของระบอบประชาธิปไตย


นักวิชาการไทยบางคนกล่าวว่า ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนฟิลิปปินส์มีกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยและอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับไทยมาก หากแต่ฟิลิปปินส์ มีภูมิหลังแตกต่างจากไทยตรงที่เคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนไม่น้อยกว่าสามศตวรรษ และต่อมาตกเป็นของอเมริกาอีกราวสี่ทศวรรษ ความเป็นมรดกตกทอดจากประเทศในโลกตะวันตกมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ชาวฟิลิปปินส์โหยหาประชาธิปไตย โดยเฉพาะการชุมนุมประท้วง การเดินขบวน เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน

ฉากการเมืองแบบนี้ อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศอื่นๆ ที่มีผู้คนอยู่ในสภาพสังคม 'กึ่งหลับกึ่งตื่น' กับระบอบประชาธิปไตย บางส่วนที่ตื่นรู้ ก็อยากเดินไปรุดหน้า อาจเป็นพวกรู้เท่าทันผู้นำ และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังหลับหรือสะลึมสะลือ ตกอยู่ในสภาพที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของผู้นำที่ฉลาดแต่ขาดคุณธรรม

รอยต่อของประวัติศาสตร์การเมืองฟิลิปปินส์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งคือ เมื่อประธานาธิบดีมาร์กอสใช้ ‘กลไกรัฐ’ โกงการเลือกตั้ง เอาชนะนางคอราซอน อาคีโน ภริยาของ นายเบนิกโน อาคีโน อดีตวุฒิสมาชิกคนสำคัญ ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่ถูกสังหารคาสนามบิน ขณะเดินทางกลับจากอเมริกาเพื่อลงสนามการเมืองต่อสู้กับมาร์กอส

 ภาพนั้นอาจทำให้ อดีตผู้นำของไทยที่ไปร่อนเร่ในต่างแดนหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2006 ใช้อ้างเป็นเหตุผลไม่กลับมาต่อสู้เมื่อถูกฟ้องศาลคดีคอร์รัปชัน ว่า “กลัวกลับมาแล้วถูกลอบสังหาร”

  .........................................................................................................................

รัศมีวังจันทร์ส่องหล้า

เรื่องการแสดงความเป็นผู้หญิงเก่งนี้ สะท้อนให้เห็นภาพหญิงเก่งอย่าง ‘นางพญา’ อีกคนคือผู้ครองคฤหาสน์ 'จันทร์ส่องหล้า’ ของไทยได้ดีไม่แพ้กัน

กล่าวคือหลังจากทัดทานสามีมาหลายปีไม่ให้ลงเล่นการเมือง จนธุรกิจงอกเงย กองเป็นภูเขาแล้ว พจมาน ชินวัตร เธอจึง ‘อนุญาต’ ให้สามีลงสนามการเมือง ด้วยการบริจาคเงินอย่างเป็นล่ำเป็นสันให้พรรคที่สามีเป็นหัวหน้า นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่สุดบริหารเครือข่ายธุรกิจชินคอร์ปด้วยการแตกลูกบริษัทให้เครือญาติคุมอำนาจสูงสุดทุกแห่ง สะสมที่ดินหลายร้อยแปลงในชื่อย่อของลูกทุกคน รวมทั้งมีส่วนจัดการทรัพย์สินสามีและเครือญาติสามีอย่างราบคาบ

ด้วยความใจถึง ใจใหญ่ของราชินีแห่งวังจันทร์ส่องหล้า เธอจึงรับตำแหน่ง ‘ผู้อำนวยการใหญ่’ ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามและไม่รับเงินเดือนเพราะเธอเป็นผู้จ่ายเงินเดือนเสียเอง

ข้อแตกต่างของสองนางพญาแห่งสองนคราใน ‘สองระบอบต่างยุค’ อย่างเห็นได้ชัด ขณะผีเสื้อเหล็กออกแซงหน้าสามีในหลายเรื่อง ราชินีแห่งวังจันทร์ฯ กลับทำตรงข้าม นอกจากเธอไม่เคยเป็นนางงาม ไม่สะสมรองเท้า แต่สะสมหุ้น เงิน ทอง และเครื่องเพชรแทน เธอยังเก็บปากเก็บเสียงกับสื่อ และไม่เคยส่งเสียงผ่านเวทีสาธารณะแม้สักครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีการยืนยัน จาก ‘บริวารสามี’ ในงานการเมืองเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอคือเสียงที่ดังที่สุด ในการชี้นำทางพรรคไทยรักไทย ด้วยบทบาท ‘นายหญิงสั่งลุย’ ในทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับสามี 

การเดินทางสู่ความสำเร็จของ 'นางพญาวังจันทร์ฯ' เต็มไปด้วยความพยายาม และการวางแผนที่ชาญฉลาดมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงเวลาที่สามีมุ่งมั่นในการทำปริญญาเอกเพราะเป็นนักเรียนทุน ก.พ. เธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก พร้อมกับทำงานพิเศษ อย่างพี่เลี้ยงเด็ก พนักงานฟาสต์ฟู้ด หรือแม้แต่พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินของบริษัทการบินไทย

และเมื่อครอบครัวชินวัตรเบนเข็มทิศไปสู่ชีวิต ‘ธุรกิจ’ แม้จะประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง อย่างธุรกิจผ้าไหม โรงภาพยนตร์ ให้เช่าซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และธุรกิจใหญ่อย่างการสื่อสารคมนาคม ผู้หญิงคนนี้ก็ทำหน้าที่ของศรีภรรยาที่ดีพึงจะกระทำ เธอเป็นคนวางแผนการต่อสู้ทางธุรกิจ พร้อมกับทำให้ธุรกิจสื่อสารในชื่อกลุ่มชินคอร์ปยิ่งใหญ่ขึ้นจนติดอันดับบริษัททำเงินของเอเชีย

แม้เธอจะไม่มีตำแหน่งนางงามประดับชีวิต แต่ความยิ่งใหญ่ของเธอทำให้ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักของคนไทยทุกคนในยุคนี้ ด้วยความรู้สึกที่อาจแตกต่างกัน

เธอสามารถทำให้ ‘ธุรกิจกับการเมือง’ เดินไปด้วยกันได้อย่างชาญฉลาด สามีได้เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 สมัย เธอได้รับการยกย่องจากสามีว่า “ภรรยาของผมได้ทำหน้าที่เป็นกระจกเงาชั้นเยี่ยม เธอสามารถเติมความแข็งแกร่งและความบกพร่องให้กับผมได้”

เธอจึงเป็นสตรีหมายเลข 1 มีบทบาททางการเมืองและสังคมไทยไม่แพ้ภริยานายกฯ ของประเทศใดๆ เธอมีวิธีคิด การวางแผน และกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตให้กับตัวเอง สามี และยังรวมไปถึงลูกๆ

และถึงแม้จะไม่มีการแสดงหลักฐานชัดเจนทุกฉบับ แต่เป็นที่รู้กันว่าการลงทุนทางธุรกิจนอกจากธุรกิจผูกขาดอย่างระบบโทรคมนาคมในประเทศไทย ที่ทำให้ตระกูลร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาภายในเวลาไม่ถึงทศวรรษแล้ว การซื้อโรงพยาบาล สร้างโครงการบ้านราคาแพงของกลุ่มเครือญาติตระกูลสามีนั้น มาจากเหตุผลของการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน การฟอกเงิน การซุกหุ้นเพื่อดำรงความมั่งคั่งของตนและสามี  ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายธรรมซึ่งพับพ่ายต่อระบอบทักษิณ ชี้ว่าการสะสมความมั่งคั่งอย่างผิดปกติของสายอำนาจวังจันทร์ฯ นับเป็นเรื่องขลาดเขลาอย่างหนึ่ง คือกลัวคนอื่นจะมีมากกว่า และกลัวว่าลูกหลานจะลำบากยากจน หรือมองได้อีกแง่ที่ว่า นางพญาวังจันทร์ฯ อาจทุ่มเทเวลากับเรื่องธุรกิจมากเสียจนไม่เหลือเวลาจะหาวิธีสอนให้ลูกหลานกล้าหาญที่จะใช้ชีวิตอย่างปกติ เช่น การพึ่งพาตนเองด้วยสติปัญญาและคุณธรรมในการใช้ชีวิต ที่เกิดมาเท่ากัน กินอยู่เท่าเทียมกับผู้อื่น มากบ้างน้อยบ้างก็ช่างมันได้

ตำนานสองหญิง
ความเป็นสตรีเคียงข้างผู้นำของทั้งสองคน เป็นเรื่องที่น่าจดจำสำหรับคนในสองชาติ คนหนึ่งเป็นตำนานชีวิตของการเสวยสุขอย่างล้นเหลือเพราะอยู่ในอำนาจ ทำให้ชีวิตปัจจุบันขมขื่น ส่วนอีกคนกำลังพิสูจน์พละกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ให้พ้นบ่วงบาศที่เกิดจากผลกรรมของความโลภ

ตำนานเหล่านี้คงมีคุณต่อคนรุ่นหลัง เมื่อเรียนรู้ว่า การเลือกทางเดินเพราะอำนาจล่อกิเลสตลอดเวลานั้น ทำให้คนที่ลุ่มหลงต่ออำนาจมีหัวใจบอดใบ้ ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าคนที่ตามองไม่เห็นหรือคนหูหนวก

เพราะการมองเห็นแสงพร่างพราวของอำนาจและเงินตรา แต่หัวใจปราศจากแสงคุณธรรมนำทาง ย่อมส่งผลให้ผู้เดิน ‘หลงทาง’ อย่างน่าเศร้า

จิราภรณ์ เจริญเดช
 

http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/24/WW06_WW06_news.php?newsid=91050


ถ้าต้องการรู้เรื่องของอีเมลด้า มาร์กอส ขอให้เข้าไปอ่านในลิงค์ข้างบนนี้

นี่เป็นบทความที่สะท้อนวิถีชีวิตและบทบาทที่น่าอ่าน น่าสนใจของพจมาน ชินวัตร เบื้องหลังทักษิณ
ชินวัตร นักธุรกิจการเมือง การแสวงหาผลประโยชน์จกกธุรกิจผูกขาด สัมปทานต่าง ๆ
รวมทั้งพรรคไทยรักไทยที่มีอำนาจเหนือรัฐสภาไทยเพื่อปกป้องธุรกิจ ผลประโยชน์ทับซ้อน และ ทุจริตทางนโยบาย....