ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:11



หัวข้อ: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:11
"24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย ให้พี่ๆ ได้อ่านก่อนเว็บไฮทักษิณอีกนะคะ

ด้วยความรัก จากน้องลิเดียค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ








24 ชั่วโมงของทักษิณ

คำนำ
 
ในประวัติศาสตร์ไทยแต่ไรมาไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นทักษิณ

เขาได้รับการวิจารณ์จากนักวิชาการในเมือง แต่กลับเป็นที่ชื่นชมจากประชาชนในต่างจังหวัด คนที่คัดค้านทักษิณกล่าวว่า เขาหยิ่งยะโส คอร์รัปชั่น ทำลายประชาธิปไตย นำพาประเทศไปสู่ระบบพรรคการเมืองเดียว ส่วนคนที่สนับสนุนเขากล่าวว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย เข้าถึงชาวบ้าน เป็นผู้กล้าหาญ ดูแลเอาใจ่ใส่คนจน และทำคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง การตัดสินใจดำเนินนโยบายในแต่ละเรื่องของเขาขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ดูเหมือนได้รับการโต้แย้งและถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั้งรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้เขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างคึกคักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนพินิจพิเคราะห์ประชาธิปไตย ผู้คนพูดคุยและถกเถียงเกี่ยวกับการเมืองของเอเชีย ติดตามสถานการณ์ของประเทศไทย และวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ

ทักษิณ ชินวัตร อายุ 58 ปี เป็นผู้ซึ่งสื่อมวลชนให้สมญานามว่าเป็น “คนที่มีอำนาจและร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย” ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเมือง เขาเป็นเศรษฐีร้อยล้านจากธุรกิจโทรคมนาคม และก่อนที่เขาจะสู่วงการธุรกิจ เขาเป็นนายตำรวจยศพันโทที่ได้เคยไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียนตำรวจ เขาเป็นลูกหลานในครอบครัวนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความมานะและความเฉลียวฉลาดของเขา ก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งอำนาจและความร่ำรวย ในกระบวนดังกล่าวนี้เต็มไปด้วยความผิดหวังและอุปสรรค แต่เขาเป็นคนที่เก่งเรียนรู้โดย “นำความผิดหวังเปลี่ยนเป็นโอกาส” ไม่ยอมล้มเหลว เขามีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ ประสบการณ์ในความสำเร็จ และอุปนิสัยที่มีเสน่ห์ของทักษิณก็อยู่ตรงนี้นี่เอง

แม้ว่าจะมีการคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่เพียงแค่ดูตัวเลขทางเศรษฐกิจและบันทึกทางการเมืองในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย ก็ต้องยอมรับว่า คนคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน มีความคิดปราดเปรียวฉับไว กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แม้กระทั่งศัตรูทางการเมืองที่เคยโจมตีเขายังยอมรับในภายหลังว่า เขาได้นำความแตกต่างมาสู่เวทีการเมืองไทย พรรคไทยรักไทยที่เขาก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดบริหารประเทศด้วยความชัดเจนมากที่สุด เขาได้นำวิธีการบริหารบริษัทมาบริหารประเทศโดยลดการทุจริตของข้าราชการ เขาปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาชาญากรรมแบบไม่ยั้งมือ ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดการตำหนิว่า “เมินเฉยต่อสิทธิมนุษยชน” เขาได้ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนจนหลายนโยบาย อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นนักการเมืองที่มีจิตใจเมตตา แม้ว่าจะมีเขามีจะมีอุดมคติลอยๆ ไปบ้าง นอกจากนี้ยังมีหลายสิ่งซึ่งเขาไม่มีเหมือนกับนักการเมืองทั่วไปก็คือ ท่าทีที่เสแสร้งและพูดซ้ำซากแต่เรื่องเดิม อุปนิสัยของเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอ่อนน้อมเข้ากับคนง่ายเป็นอย่างยิ่ง คุณสมบัติสองประการนี้ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเขาอย่างน่าอัศจรรย์
วันที่ 19 กันยายน 2549 โชคชะตาของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน เขาถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินเกิดโดยไร้ความปราณี จากยอดเขาตกลงสู่เหว นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่งกลาย เป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่สามารถกลับประเทศตนได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวที่พิศดารเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์

ข้อสรุปที่มีต่อเขาตอนนี้ยังเร็วเกินไป ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ คุณอาจจะมองเขาเป็นผู้แพ้ และอาจมองเขาเป็นผู้ที่ถูกทำร้าย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 21 การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองโดยใช้กำลังทหาร เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฏแห่งประชาธิปไตยและความหมายของเสรีภาพ แม้ว่าจะการรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เสียเลือดเนื้อก็ตาม แต่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราไม่สามารถที่จะหาคำที่รุ่งโรจน์ และมีมนุษยธรรมอันสูงส่งไปกว่าคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “เสรีภาพ” อีกแล้ว คำแหล่านี้ได้ถูกคิดค้น อธิบาย ใน ท้ายที่สุดได้นำมาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นเพื่อขจัดความรุนแรงและโหดร้ายให้หมดสิ้น และใช้รูปแบบที่มีเหตุผลและสันติมาแก้ไขความขัดแย้งและข้อพิพาทที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น

สิ่งนี้มีส่วนที่เหมือนกับแนวคิดคุณค่าของศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำชาติของไทย อย่างไรก็ตาม นอกจากศาสนาพุทธจะช่วยลดความระดับของความรุนแรงของการรัฐประหารแล้ว ก็ไม่ได้ให้ “ปรัชญาทางการเมือง” ใดๆ ต่อเมืองพุทธที่มีเมตตาธรรมนี้ บางทีหากมองจากมุมของศาสนาและการนับถือแล้ว การเมืองก็เหมือนกับเศรษฐกิจที่ต่างก็จะต้องรับผิดชอบต่อการแย่งชิงและการใช้กำลังของโลกเรา มนุษยชาติส่งเสริมการแก่งแย่งชิงดี แสวงหาของนอกกาย และบ่อยครั้งหลงทาง สูญเสียความรัก มันก็เหมือนกับที่นักการเมืองจำนวนหนึ่งที่ถกถียงกันไม่หยุด หย่อนว่า “ใครผิดใครถูก” และไม่ยอมปล่อยให้อำนาจในมือหลุดลอย มีใครบ้างที่จะสนใจความผาสุกของชาวบ้านและทุกข์สุขของคนจนอย่างแท้จริง?

หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นจากการสัมภาษณ์ทักษิณแล้วหลายครั้ง “คำบอกเล่าของทักษิณ” ได้ย้อนรำลึกถึงชีวิต ความคิดที่มีต่อรัฐประหารและความเห็นคัดค้านต่อยุทธวิธีบริหารบ้านเมือง หนังสือเล่มนี้อาจบอกความจริงส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด ทักษิณก็มีข้อจำกัดของตนเอง และข้อจำกัดของยุคสมัย บทเรียนจากการรัฐประหารของไทย มิเพียงเป็นบทเรียนของเขา และของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนของโลกและของมนุษยชาติอีกด้วย


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:16
(http://www.bloggang.com/data/communist/picture/1185982519.jpg)


บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ

ตอนที่ 1

วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23  ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้ ปัจจุบันนี้ สถานที่ที่นั้นเหลือเพียงแต่หลุมใหญ่ๆ 2 หลุม และป้ายรำลึกที่สลักชื่อผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีรั้วเหล็กกั้นไว้ เมื่อ 2-3 วันก่อนที่นี่เพิ่งจัดงานรำลึกครบรอบ 5 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีบุชและภรรยาได้มาวางช่อดอกไม้ด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยจุดเทียนเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้เสียชีวิต ปัจจุบันนี้บนรั้วเหล็กที่กั้นสิ่งปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และธงชาติสหรัฐฯ จำนวนมาก ตามแผนงานของมหานครนิวยอร์ก หลังจาก 3 เดือน อเมริกาจะก่อสร้าง “ตึกแห่งเสรีภาพ” บนพื้นที่ของตึกเวิลด์เทรดเดิม แต่ทว่า หากไม่เปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธแก้ไขปัญหา มนุษยชาติก็ไม่อาจมีเสรีภาพตลอดไป ความเจ็บปวดของมนุษย์ก็ไม่มีทางสิ้นสุด

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรส ซิเดนท์เชี่ยลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา หัวคิ้วที่ขมวดอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานาน ศีรษะกว้างและใหญ่ รอยย่นปรากฏเป็นริ้วๆ ขอบใต้ตาดำคล้ำ มีถุงใต้ตาอย่างชัดเจน รูปหน้าทรงกลม/เหลี่ยม อาจเป็นเพราะความขาวหมดจดของใบหน้าจึง ทำให้ดูเหมือนอายุยังไม่มากนัก แต่เมื่อดูโดยรวมแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ หลังจากเกิดเรื่อง “รถวางระเบิด” เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยภัยคุกคามที่อาจรู้ได้ว่าจะมาจากไหน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉับพลันก็ออกมาสร้างความตกใจให้กับเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้กล่าวว่า วันนั้น เป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา และมันยังน่ากลัวกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนี้

ตอนเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ฝ่ายตำรวจของไทยประกาศว่า พบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้ทางด่วนแห่งหนึ่งซึ่งมีระยะ 1 กิโลเมตรใกล้กับที่พักของนายกรัฐมนตรีบริเวณเขตปริมณฑล เป็นระเบิดทีเอ็นทีที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยซึ่งบรรจุในถุงจำนวนกว่า 10 ถุง นอกจากนี้ยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูก รวมทั้งดินระเบิดที่มีลักษณะเป็นพลาสติกจำนวนหนึ่ง และสายชนวนและท่อนำ ฝ่ายตำรวจกล่าวว่าวัตถุระเบิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถ และติดตั้งติดกับรถมาอย่างดี นอกจากนี้ตัวรถยังติดตั้ง remote sensing ด้วย ซึ่งเพียงแค่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกล พลังของระเบิดก็จะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้กลายเป็นผุยผงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดว่า ระเบิดนี้มุ่งทำร้ายทักษิณ ตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีจะต้องผ่านทุกวัน เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี 9 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลออกมากล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างดีและพร้อมที่จะระเบิด สายนำไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิด และรับประกันว่าระเบิดจะต้องมุ่งทิศทางไปยังขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่นอน”

ตำรวจได้ควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คนดังกล่าวได้ที่เกิดเหตุ และได้ขับรถไปใต้ทางด่วนนั้น แต่ว่า ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความผิด นายธวัชชัยยืนยันว่า ตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีเลย และไม่รู้ด้วยว่ามีระเบิดติดตั้งในรถคันดังกล่าว สำหรับชื่อของระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็แทบจะไม่เคยรู้จัก แค่มีเพื่อนหนึ่งฝากให้เขาขับรถคนนี้ไปที่ที่ใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เขาจึง “ทำตามอย่างงงๆ”

ข้อแก้ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เห็นรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่งตามขบวนรถนายกรัฐมนตรีอย่างลับๆ ล่อๆ และสามวันก่อนเกิดเรื่อง รถยนต์คันนี้ก็ขับกลับไปกลับมาและมีท่าทางน่าสงสัยบนถนนใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และเช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบเห็นรถคันดังกล่าวกำลังกลับรถไปมา จึงรีบแจ้งตำรวจทันที

หลังจากที่ทักษิณรอดตายจากภัยนี้แล้ว ทักษิณก็ได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า ในวันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากประตูนรกนั้นได้ สาเหตุสำคัญก็คือ ได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองได้ทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง ทักษิณยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายที่จะสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งในระยะ 2-3 เดือนนี้ สำหรับการบงการเบื้องหลังเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ ทักษิณเชื่อว่าอย่างน้อยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน โดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้ว แต่ความจริงจะเป็นใครนั้น ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย
เพื่อความปลอดภัย ทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆ ในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อนออกไป เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจทักษิณนั้นเขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่า ตอนนี้เขาเองยังเอาตัวไม่รอด เกรงว่า จะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้ เขาเร่งเพิ่มกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คน และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูกของตน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วัน เขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหาร ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชาย รวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้

ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่งในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่งของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่า มันเป็นการกระทำของ “หนอนบ่อนไส้” อย่างไรก็ตาม ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 เดือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติยังไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่ากลุ่มอำนาจใดต้องการทำร้ายทักษิณ ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในประเทศพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นานก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก 4 ปีข้างนี้คือ “ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น” ด้วยเหตุนี้ ทักษิณจึงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกวาดล้างยาเสพติด

ท่าทีเช่นนี้ของทักษิณทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ 2 ปีต่อมา ก็มีข่าวอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากนอกประเทศว่า พวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่มือปืนที่สามารถฆ่าตัดหัวทักษิณได้ และยังมีรายงานข่าวอย่างเป็นตุเป็นตะว่า ข่าวกรองที่สำคัญนี้ได้ถูกส่ง มาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และสำนักข่าวกรอง โดยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตทักษิณคือชาวอเมริกันจริงหรือ รัฐบาลไทยปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพูดแต่เพียงว่า “มืดมีดชาวต่างชาติที่วางแผนมุ่งร้ายลอบสังหารทักษิณยังไม่ได้เข้าประเทศไทย”

ภาพอันน่าสยดสยองของการเสียเสียชีวิตของพวกค้ายาเสพติดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทักษิณได้แสดงว่าตนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าวว่าตนจะไม่ประนีประนอม เพราะ “เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ห่วงเลยแม้แต่นิด” หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหรา แต่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ กันกระสุน ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่กล้าวางใจ จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 1,000 นาย คอยอารักขาทักษิณเมื่อต้องออกไปประชุมหรือเปิดตัวสู่สาธารณะข้างนอก

แต่ทว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับภัยอันตรายที่ได้รับครั้งนี้ สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันเหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟ ภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความโกรธ คนที่ต้องการกำจัดเขาไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศ แต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจไม่ว่าจะพลังมืดหรือสว่างที่คัดค้านการบริหารประเทศของเขาในช่วงระยะกว่า 5 ปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่า ทักษิณกำลังนั่งอยู่บนระเบิดที่จวนจะระเบิดก็คงไม่เกินความเป็นจริงแม้แต่นิด


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:19
ตอนที่ 2

“คดีขายหุ้น” เป็นมูลเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของทักษิณเมื่อตอนต้นปี วันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาวของทักษิณ คือ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองธา ได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1,870 ล้านดลลาร์สหรัฐ ของบริษัทชินคอร์ป (Shin Corp) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเส็ก (Temasek) ตามกฎหมายของไทยที่ออกมาใหม่ว่าด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเงินทุนต่างชาตินั้น รายได้ซึ่งมาจากการซื้อขายหุ้นที่ดำเนินการในนามของบุคคลธรรมดาจะสามารถเลี่ยงชำระภาษีได้ ดังนั้นการที่ลูกชายและลูกสาวของทักษิณซื้อขายหุ้นของตน ในทางกฎหมายก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนประโคมข่าวออกมาเรื่องก็บานปลายขึ้น ผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณว่าสร้างแบบอย่างการไม่ชำระภาษีให้กับประชาชน และหลีกเลี่ยงภาษี “เขาควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เขากลับไม่เป็น” ยังมีคนที่สงสัยทักษิณว่า การที่เขาขายธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทย ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ “เขาเลวยิ่งกว่าซัดดัมจริง ๆ” “เผด็จการอย่างซัดดัม แม้ว่าจะโหดร้ายทารุณ แต่ยังรู้จักใช้อำนาจบาตรใหญ่นั้นทำสงครามเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศตน” แต่ทักษิณกลับ “ขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว”

ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อ “โค่นล้มทักษิณ” คนเดินขบวนค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากสองพันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ จากเศรษฐีที่ร่ำรวยได้ผลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมืองเป็นต้นมา เนื่องจากเขาร่ำรวยมหาศาล และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อนจึงทำให้คนอิจฉาริษยา และฟ้องร้องเขาต่อศาลในหลายคดี ทักษิณได้อธิบายการซื้อขายครั้งนี้ว่า “การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ...พวกลูกๆ ได้ช่วยผมตัดสินใจ เพียงเพราะหวังว่าผมจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมืองได้” สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า “ไม่ผิดกฎหมาย” “แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง” หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีกลับคำขอของสมาชิกวุฒิสภา 28 คนที่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายทางธุรกิจของทักษิณตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า “คำยื่นอุทธรณ์คลุมเคลือไม่ชัดเจน”

คำบอกเล่าของทักษิณ

หุ้นเป็นของลูกๆ ผมตามกฎหมาย พวกเขาอายุ 20 ปีเต็มแล้ว ซึ่งสามารถเป็นผู้ถือหุ้นได้ แต่ว่าไม่ว่าลูกผมจะขายบริษัทให้ใคร เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัวเรา พวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ต้องไม่วางใจ และยังมีคนที่ไม่อยากเห็นผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปที่คอยหาโอกาสหาเรื่องผม พวกลูกผมช้าเร็วจะต้องขายบริษัทนี้ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมขึ้นอยู่กับรัฐบาล สองคือ ต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ค่าใช่จ่ายยังมหาศาลอีกด้วย พวกเราไม่คิดจะทำต่อแล้ว แค่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนหุ้นที่เราขายไปนั้นเป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆ ผู้ที่ถือหุ้นธรรมดามีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ หนึ่ง รอเงินปันผล สอง คือ ขายหุ้นให้คนอื่น

การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ใสสะอาดอย่างยิ่ง การกระทำของเราทั้งหมดล้วนชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลายบริษัท ไม่เฉพาะแต่เพียงบริษัทของสิงคโปร์เพียงบริษัทเดียว เราขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ แต่ว่าพนักงานและผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย ด้านสิงคโปร์ได้แต่ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้น และมิใช่การปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ

ทักษิณโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ว่าเขาก็พบว่า ประเด็นร้อนที่ผู้คนพากันถกเถียงกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่า “ผิดกฎหมายหรือไม่” แต่เป็นเรื่อง “มีคุณธรรมหรือไม่” พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล ได้กล่าวว่า “แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีที่ที่จะให้ถูกประณามในทางกฎหมายได้ แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรม เพราะคุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี สมมุติว่าเขาเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก”

ทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก เขามีท่าทีแข็งกร้าว “ยังไงก็จะไม่ลาออกเพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมือง และก็จะไม่ยอมแพ้คนส่วนเดียวที่ไม่ต้องการผม” ทักษิณตอบโต้ผู้ชุมนุมประท้วงว่า “รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย” แต่ว่าข่าวลือและถ้อยคำใส่ร้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการ และใช้อำนาจเอื้อผลประโชยน์ส่วนตัว รวมไปถึงข่าวลือต่างๆ ที่โจมตีตัวบุคคล ก็แพร่สะพัดไปตามถนนตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก แม้กระทั่งผู้นำธุรกิจที่อยู่วงนอกก็เริ่มบ่นว่า “การชุมนุมบนท้องถนนจะทำให้นักลงทุนหนีกันไปหมด” เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ประกาศลาออกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงรับผิดชอบต่อ “คุณธรรมทางการเมือง” คำพูดที่ว่า “ผู้ชุมนุมประท้วงไม่น่ากลัว” จึงเป็นคำพูดที่ทักษิณต้องเก็บกลับมาคิดใหม่เพื่อเริ่มหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลัน และจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน โฆษกรัฐบาลแถลงว่า “หลังจากที่ประชาชนต่างได้ยินที่ได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน ก็ให้ประชาชนตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราเห็นว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ทักษิณบอกว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง พวกเขามองว่า นี่เป็น “กลเล่ห์เพทุบาย” ของทักษิณ เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมาก พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคที่ทักษิณก่อตั้งด้วยมือของเขาเอง ในการเลือกตั้งปีที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภามากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ร้อยละ 76 กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับตนยอมแพ้ หลังการเลือกตั้ง ทักษิณก็จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขต มีเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ไม่มีผู้สมัครจากพรรคอื่น สภาวะการณ์ที่พรรคไทยรักไทยลงเล่นอยู่พรรคเดียว จึงชนะการเลือกตั้ง ฝ่ายค้านก็ออกมาพูดว่า“ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคัดค้านอย่างนี้ต่อไป จนกว่าทักษิณจะลาออก” วันที่ 4 เมษายน ทักษิณออกมาประกาศลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วัน ทักษิณได้ออกมาพูดให้ประชาชนยอมรับการเลือกตั้ง แต่แล้วกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งนิยาย ภายนอกประเทศคาดเดากันว่า คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงมีคุณธรรมและพระบารมีอันสูงส่ง ทักษิณพูดออกโทรทัศน์ว่า “ การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวันที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี...เราไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ...” ทักษิณประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวเองจะขอพัก มีการกล่าวกันว่า คณะรัฐมนตรีหลายคนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคที่ติดตามสถานการณ์นี้ ก็ปล่อยโฮออกมาเมื่อตอนที่ทักษิณประกาศลาออก ทักษิณพร้อมด้วยภรรยาและลูกต่างก็กอดคอกันร้องไห้

สองวันต่อมา รถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของทักษิณที่ตึกทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นก็มีคนเห็นทักษิณกำลังจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่า เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า “ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลย ไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า” และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้ จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ เขาเขียนว่า “หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์” นอกจากนี้ เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตีกอลฟ์ เมื่อเขาตีกอลฟ์ออกไปได้สวย เขาก็บอกว่า “วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา”

ดูไปแล้ว ทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมือง แต่หลังจากนั้น 48 วัน เขาก็ขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ทำเนียบรัฐบาล เหตุผลก็คือ ในช่วงที่เขาพักร้อน ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ เหตุผลก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดการทุจริต เช่น กล่องใส่บัตรเลือกตั้งวางหันทิศทางที่ผิดกฎ ดังนั้น คำสัญญาของทักษิณที่ว่า เขาจะ “ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ก็มีอันต้องหมดความหมายไป ประกอบกับภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็กำลังเข้ามาถึง เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างอยู่ เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงช่วงที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม แต่ทว่า สามวันต่อมา เขาได้รับการเตือนจากนายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของไทย ว่า “ ให้ระวังถูกลอบสังหาร อย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย”

คำเตือนนี้ในที่สุดแล้วไม่ใช่แค่พูดการพูดลอยๆ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:22
ตอนที่ 3

ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง “ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด” ดังนั้น “ ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น” โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้.....อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาอาจจะหนีไม่รอดแน่”

คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิดซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ พลเอกพัลลภมีอุปนิสัยโหด***ม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า “เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ” เหตุการณ์นี้ยังถูกประนามทั้งในและนอกประเทศ เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภอยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมืองอย่างเปิดเผย ในขบวนการ “โค่นล้มทักษิณ” ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า “เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน” เขายังกล่าวอีกว่า “สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร”

ขณะที่พลเอกพัลลภเรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ ”แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี” กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว นายอิทธิพลซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ต้องสงสัยพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “ นายธวัชชัยเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อนายกทักษิณ เขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารทักษิณอย่างแน่นอน” ยังมีผู้สงสัยว่า หากว่า “รถวางระเบิด” เป็นเรื่องนั้นจริงๆ แล้วประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะชีวิตหาไม่ไปทั้งหมด โดยเฉพาะละแวกใกล้ๆ นั้นมีโรงเรียนอยู่ด้วย แต่ว่าในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ “กู้ระเบิด” ก็ไม่ได้อพยพประชาชนโดยรอบออกไป อย่างไรก็ตาม ก็ได้แจ้งสื่อมวลชนหลักให้เข้ามาทำข่าวในที่เกิดเหตุ

ฝ่ายค้านก็ยิ่งทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้ “แผนการทำลายตนเอง” ที่วางโดยทักษิณ เพื่อมุ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน และปิดบังอำพรางการทุจริตคอร์รัปชั่น ในคณะรัฐมนตรี และให้พลเอกพัลลภเป็น “แพะรับบาป” ยังมีคนกล่าวอีกว่าคะแนนนิยมในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยลดลง จึงใช้เพทุบายเก่าๆ ดั่งเช่นนายเฉิน สุยเปี่ยนของไต้หวัน การกระทำที่เรียกร้องความสนใจจากประชาชนใน “คดีลอบยิง” ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้ “คะแนนเห็นใจ” สื่อของไทยบางสื่อก็สงสัยในเหตุการณ์นี้ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเดอะเนชั่น ได้วิจารณ์ว่า ทักษิณกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เกิด “เหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ” ที่มุ่งมายังเขาหลายเหตุการณ์เพียงแต่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น ปัญหานั้นได้มาถึงแล้ว หากเกิดภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตเขาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่อง ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงเลือกที่จะให้มีการเลือกตั้งในช่วงนี้ (วันที่ 24 สิงหาคม เป็นวันที่พระราชบัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยมีผลบังคับใช้วันแรก) และเปิดเผยข่าวที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองต่อประชาชน ? การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดั่งเช่นนิยายนี้ เห็นได้ชัดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 15 ตุลาคม

มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า เป้าหมายของเหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จนี้ยิ่งขู่ขวัญมากขึ้น แต่ไม่ได้มุ่งเป้าทำให้คนตาย นี่เป็นเพทุบายที่เกิดอย่างต่อเนื่องในการเมืองไทย อำนาจทางการเมืองบางอย่าง ครั้งแล้วครั้งเล่าได้มาด้วยการพลิกแพลงใช้ยุทธวิธีเพื่อให้ชนะใจประชาชน พวกเขาก็จะสวมหน้ากากเป็นผู้ถูกทำร้าย หรือใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม หรือใช้วิธีที่แยบยลเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายทั้งสองประการ ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจแล้วว่า การสอบสวนเรื่องเช่นนี้มักจะสอบสวนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป หนังสือพิมพ์ก็เลิกพาดหัวข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยุติลง ประชาชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงื่อนงำของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

วันที่ 25 สิงหาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ลงบทความหัวข้อ “แผนลอบวางระเบิดหรือการกุเรื่อง” โดยอ้างถึง คำพูดของอดีตผู้รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า จริงๆ แล้วแผนลอบวางระเบิดทั้งหมดเป็นฝีมือของรัฐบาลทักษิณซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ยิ่งกว่านั้น ทักษิณสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ยังมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งขี้นหัวข้อข่าวสะเทือนขวัญว่า “ทักษิณใช้เงิน 20 ล้านจงใจสร้างปาหี่ทางการเมือง” 1 สัปดาห์ต่อมา มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยประชาชนถึงร้อยละ 49.8 ไม่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบวางระเบิดนายกรัฐมนตรี และมีเพียงร้อยละ 20.5 ที่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบสังหาร

ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ และทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจ หนึ่งปีครึ่งต่อมา ทักษิณยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ แต่เพียง 2-3 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นนักวางแผน และเป็นนักการเมืองที่ต่ำช้า ทักษิณถูกกดดัน มีคนสงสัย และโจมตี โดยที่ประชาชนไม่สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายอย่างไร ตามรายงานข่าว ลูกสาวของทักษิณ คือ นางสาวแพทองธาร ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า “ แพทองธาร เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปอีกเหรอ ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก! พอพูดถึงพ่อเธอ ฉันก็รู้สึกขยะแขยง” แพทองธารก็โต้กลับไปว่า “ ก็แล้วแต่อาจารย์จะพูด คงมีสักวันหนึ่งที่หนูพูดถึงอาจารย์ หนูก็คงจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน” เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูทักษิณ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากล่าวว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย “ เอาความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองมาโจมตีคนในครอบครัวของนักการเมืองได้อย่างไรกัน ! ”

เข้าของวันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง บริเวณที่ใกล้กับที่พักของทักษิณ สืบทราบว่า ชายคนหนึ่งขณะกำลังไปส่งน้ำแข็งให้กับโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ก็พบวัตถุต้องสงสัยซึ่งมีลักษณะเป็นห่ออยู่ริมถนน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรววจพบว่า ภายในห่อดังกล่าวมีนาฬิกาปลุก 1 เรือน อิฐ 1 ก้อน สายไฟและถ่านเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระดาษที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการทำร้ายทักษิณ นี่ก็เป็นพฤติกรรมข่มขวัญอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า “เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย” ต่อมาวันที่ 4 กันยายน ตำรวจก็ออกหมายจับนายทหารจำนวน 4 นาย ในข้อหามีส่วนพัวพันกับแผนการลอบสังหารนายกรัฐนตรี นายทหารทั้ง 4 นายนี้เป็นทหารประจำการ โดยมียศเป็นพลตรี 1 นาย พันเอก 1 นาย พันโท 1 นาย และนายทหาร 1 นาย สามวันต่อมา นายทหารผู้ต้องสงสัย 3 นายถูกจับ แต่ทั้งสามนายก็ให้การปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการดังกล่าว

มีข่าวลือว่า เป็นเวลานานมาแล้วเมื่อทักษิณประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี ก็มักจะให้นักโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาให้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาประสบกับเหตุการณ์ร้ายที่เอาชีวิตรอดมาได้ เขาจึงหวาดระแวงและรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นที่สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก เล่ากันว่า หมอดูได้แนะนำทักษิณให้เปลี่ยนที่อยู่ “เดินทางไปต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว” แม้ว่าทักษิณไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดนี้เป็นจริง แต่เขาก็รีบย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว ต่อมาวันที่ 9 กันยายน เขาเดินทางโดยเครื่องบินพิเศษ “ไทยคู่ฟ้า” เดินทางเยือนประเทศฟินแลนด์ จากนั้นเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นที่ มหานครนิวยอร์ค ในวันที่ 12 กันยายน


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:25
ตอนที่ 4

ตอนนี้ทักษิณสามารถนอนหลับอย่างสบายใจในมหานครนิวยอร์คซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย ผู้นำรัฐบาลและประมุขประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศมารวมตัวกันที่การประชุมนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐต่างปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตามโรงแรมที่พักของคณะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ไม่มีแม้กระทั่งการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล เขามีจิตใจแจ่มใสและปลอดโปร่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศไทยยังคงวุ่นวาย ใน ระหว่างการเยือนของเขา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะเลื่อน การเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคม อาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 19 หรือ 26 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ สมาชิกในคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน ถูกศาลอาญาตัดสินว่าความผิดฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน โดยเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กรรมการฯ ทั้ง 3 คนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุก 4 ปี สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งที่เดิมกำหนดไว้เดือนตุลาคม จึงต้องเลื่อนออกไป นี่ไม่ใช่ข่าวดี ทักษิณรู้อยู่แก่ใจ ความจริง การจัดการเลือกตั้งเดือนกันยายนจะสามารถจัดได้หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครคาดคะเนได้ ในระยะนี้เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ตลอดเวลา สมองอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีสติอยู่ทุกวินาที ครุ่นคิดหาทางรับมืออยู่ตลอด ก้าวต่อไปจะทำอย่างไรดี ? จะเข้าหรือออก ? ออกแล้วจะเป็นยังไง ? เข้าแล้วจะเป็นยังไง ?

การที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เรื่องนี้แม้กระทั่งฝ่ายค้านย่อมรู้ดี เนื่องจาก ไม่ว่าปัญญาชนระดับหัวกะทิในกรุงเทพฯ จะรุมโจมตีแค่ไหน แต่ทักษิณและพรรคไทยรักไทยยังมีฐานเสียงจากชนชั้นรากหญ้าในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่า “ร้องตะโกนหนึ่งครั้ง มีเสียงตอบรับเป็นร้อย” แม้ว่าการเลือกตั้งในเดือนเมษายนจะเป็นโมฆะ และรัฐบาลทักษิณมีข่าวไม่ดีออกมาไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม พรรคไทยรักไทยก็ยังคงชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึงร้อยละ 57 ประเด็นก็ย้อนกลับไปเหมือนกับที่ผ่านมาก็คือ เพียงแค่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าทักษิณจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ 1 เดือน มีข่าวออกมว่า ทักษิณละจุดยืนเดิมที่จะ ” จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” และจะนำพรรคไทยรักไทยให้ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และพร้อมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข่าวนี้ทำให้ฝ่ายค้านที่ต้องการ “ขุดรากถอนโคน” รัฐบาลทักษิณถึงกับนั่งอย่างไม่เป็นสุข

ตอนบ่ายของวันที่ 18 กันยายน ในระหว่างที่ทักษิณกำลังกล่าวสุนทรพจน์ที่คณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ของสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น มีคนถามคำถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ? มันสร้างความวุ่ยวายและยุ่งเหยิง เราอยากทราบเหตุผลที่คุณตัดสินใจช้าเช่นนี้ ? ทักษิณตอบว่า

ผมไม่ได้ตัดสิน เพราะผมเองก็ยังสับสน (ผู้ฟังหัวเราะ) บางครั้งผมรู้สึกว่าผมควรเสียสละ ฝ่ายค้านรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะผม เพราะพลังประชาชนเข้มแข็งมาก เรายังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเหนียวแน่น แต่ว่า ยังมีคนที่ไม่มีความสุขที่เห็นรัฐบาลของผม อย่างเช่น นักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป ผู้อยู่เบื้องหลังการค้าเสพติดและหวยเถื่อน รวมถึงเจ้าพ่อวงการสื่อมวลชน พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อให้ผมลงจากตำแหน่ง หากว่าผมยอม ก็เท่ากับว่า ผมยอมก้มหัวให้กับคนที่เสียผลประโยชน์แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านผม ดังนั้น ตอนนี้ผมได้แต่พูดอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ผมก็ยังเป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป และจะนำพรรคไทยรักไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งในฐานะผู้นำพรรคการเมือง แต่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ผมกำลังคิดอยู่ เพราะตอนนี้ผมสับสนมาก ผมอาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในวันที่กำหนดวันเลือกตั้ง

นี่ไม่ใช่คำพูดแบบขอไปทีของนักวางกลยุทธ ตอนนี้ทักษิณยังไม่ได้ตัดสินใจ บางที่อาจจะจริง บางครั้งอำนาจก็เหมือนกับปีศาจเมดูซ่าในเทพนิยายกรีก ไม่ว่าใครก็ตามที่สบตากับดวงตาที่สวยงามคู่นั้นของเมดูซ่า ก็จะกลายเป็นหินทันที เนื่องจากหากเคยชิมรสชาติของการเป็นนักปกครอง หรือผู้บัญชาการ ซึ่งกำหนดชะตาขีวิตของผู้คนเป็นล้านเป็นสิบล้านคนมาก่อน ก็ยากที่จะต้านทานแรงดึงดูดของอำนาจได้ ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ได้ถูกบีบให้อยู่ในภาวะจำยอม แต่ยอมละทิ้งอำนาจด้วยความสมัครใจ มีจำนวนน้อยมาก สำหรับทักษิณ เขายืนยันมาโดยตลอดว่าเขาไม่ผิด “ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำลายประเทศชาติ” สำหรับ “เรื่องการขายหุ้น” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น เขาได้กล่าวในสุนทรพจน์นี้ว่า

พวกเขาโจมตีว่าผมหลีกเลี่ยงภาษี คนจำนวนหนึ่งกล่าวว่า “ คุณขายก๋วยเตี๋ยว ยังต้องเสียภาษีเลย ขายบริษัทกลับไม่เสียภาษีเหรอ ? “ แต่ว่า การขายก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่คุณขายก็คือ สินค้าซึ่งจะต้องจ่ายภาษี แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินและกำไรที่ได้จากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี สำหรับเรื่องนี้ ผมเคยเสนอให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านไม่ตกลง พวกเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ผมจึงทำได้แต่เพียงยุบสภา เพื่อให้ประชาชนติดสินว่าผมควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ ในความเป็นจริง การขายหุ้นครั้งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ เงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม...

ทักษิณยังกล่าวอีกว่า

กระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีและความยุติธรรมไม่ควรถูกปฏิเสธเพียงเพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่ชอบผลการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนได้แสดงเสียงโดยผ่านการเลือกตั้ง ความตั้งใจของประชาชนก็ควรได้รับความเคารพ ไม่ใช่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมประท้วงบนท้องถนน
ประชาธิปไตยที่สุกงอมจะจะต้องพึ่งพาการสร้างสรรค์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชน สมาชิกในสังคมทุกหมู่เหล่าสามารถยอมรับและเคารพกฎและเกมส์ของประชาธิปไตย .....วันนี้ปัญหาพื้นฐานที่สังคมเอเชียประสบอยู่ก็คือ พลังอำนาจของการคัดค้านประชาธิปไตยที่ยังคงรวมตัวกัน พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของประชาธิปไตย ซึ่งความจริงก็คือ ความโอบอ้อมอารีของประชาธิปไตย พวกเขาใช้อำนาจโจมตีระบอบของเรา

เห็นได้ชัดว่า นี่ทำให้ผู้ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผลเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนที่พรรคไทยรักเป็นผู้ชนะต้องเป็นโมฆะ มีคนถามว่า อำนาจที่ทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่เป็นที่ยอมรับนั้น จะยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่กำลังจะมาถึงได้หรือไม่ ? สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมั่นคงขึ้นเมื่อไร ? ทักษิณตอบว่า

ฝ่ายค้านไม่มีอำนาจยับยั้งการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน สาเหตุที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะว่า กลัวว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ว่าครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้กล่าวว่า พวกเขาจะเข้าร่วมลงเลือกตั้ง หากทุกพรรคลงเลือกตั้ง ก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลใหม่ที่ได้จากการเลือกตั้งก็จะเริ่มทำงานก่อนขึ้นปีใหม่ ผมคิดว่า ภายใน 3 เดือน สถานการณ์ของประเทศไทยจะกลับมาเป็นปกติ

3 เดือน สถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลับมาเป็นปกติ การเลือกตั้งจะพิสูจน์ให้เห็นความจริงโดยเร็ววัน ! การฟันธงเช่นนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทักษิณไม่เพียงตัดสินสถานการณ์ภายในประเทศผิดพลาด แต่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เปรียบเหมือนสัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย

เมื่อกล่าวสุนทรพจน์จบ ทักษิณก็กลับเข้าโรงแรมที่พัก มีผู้เห็นว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของทักษิณในหัวข้อ “อนาคตประชาธิปไตยของไทย” ที่ที่ประชุมคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาแรงสนับสนุนจากแวดวงการศึกษาและสื่อมวลชน เนื่องจากคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งใน Think Tank ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาควบคุมอำนาจก็ตาม ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา รวมทั้งประธานาธิบดีต่างก็มีสมาชิกของคณะกรรมการนี้อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้คณะกรรมการนี้อยู่เหนือการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของพรรคการเมือง และกลายเป็น “องค์กรเหล็ก” ของรัฐบาลสหรัฐฯ การกล่าวสุนทรพจน์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ซึ่งมีนาย Maurice R. Greenberg รองประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการเป็นประธานจัดงาน ประสบผลสำเร็จด้วยดี เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง บรรยากาศในที่ ประชุมเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา แต่ทักษิณจิตใจยังฟุ้งซ่าน
เวลา 2 ทุ่ม ทักษิณนั่งอยู่หน้าที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดการประชุม teleconference กับคณะรัฐมนตรีที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง และบรรยากาศของการเมืองภายใน ประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด มีข่าวออกมาว่า วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายค้านจำนวน 1 แสนคนจะรวมตัวกันเดินขบวน “ล้มทักษิณ” เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เตรียมพร้อมเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เวลาเที่ยงคืน การประชุมสิ้นสุดลง ทักษิณก็นอนหลับพักผ่อน ตามกำหนดการแล้ว เขาจะต้องตื่น 7 โมงเช้า และ 8 โมงเช้า รถก็จะมุ่งหน้าไปยังที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน เป็นต้นมา การประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ และอภิปรายตามปกติ วันนั้นประธานาธิบดีบุช และประธานาธิบดีของอิหร่านจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่รอดูเกมส์ที่น่าสนุกของสองผู้นำซึ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันเดียวกัน ทักษิณก็มีกำหนดการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 20 กันยายน ในหัวข้อ “ประธิปไตยของไทย”

เวลาตีห้าของวันรุ่งขึ้น ทักษิณกำลังอยู่ในภวังค์ ความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันของเขาในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ การไม่นอนดึก ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืน อย่างน้อยต้องนอน 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตื่นมาตอนเช้า ปกติก็จะต้องออกกำลังกายสักพัก เขาชอบว่ายน้ำ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้ เขาจึงมีแรงต่อสู้มาอย่างยาวนาน ไม่ถูกแรงกดดันอันหนักหน่วงมาโจมตีได้

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“ตู้ด ๆ ๆ ๆ” เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาตื่นขึ้น

ใครโทรมาแต่เช้า รบกวนการนอนหลับของเขานะ ?

“ฮัลโหล ?”

“ฉันเอง” เสียงที่เขาได้ยิน คือ เสียงที่คุ้นเคยของภรรยา “พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร”

พวกเขาเป็นใครกัน ?

คำบอกเล่าของทักษิณ
หลังจากที่รับโทรศัพท์จากภรรยาแล้ว ผมก็รู้สึกตกใจ ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่นิวยอร์ก ก็มีลางสังหารณ์ ผมจึงให้เพื่อนรัฐมนตรีคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่พวกเขาใช้วิธีอื่นหลอกพวกเรา พวกเขาตั้งใจและตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้

คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 2 (หลังเกิดการรัฐประหาร รถถังก็ออกมาตรึงอยู่บนถนน)
(21) ภาพหน้า 21 วันที่ 3 เมษายน 2549 ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กำลังให้ สัมภาษณ์นักข่าว ณ ที่ทำการพรรค เขาปฏิเสธทที่จะลาออก เขากล่าวว่า “ผมจะรับข้อเสนอใดๆ ที่ทำให้ประชาชนในชาติปรองดองกัน” เพื่อ หยุดยั้งวิกฤตทางการเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 2 เดือน

********************************


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 07-08-2007, 01:27
24 ชม.
ขอข้ามไปตอนดึกๆ เวลาไปตีกอปหรือดำน้ำกับน้องลิเดียเลยได้มั้ย :slime_inlove: :slime_fighto:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:31
บทที่ 2 ข่าวลือกลายเป็นความจริง

ตอนที่ 1

ในยามพลบค่ำ ณ กรุงเทพมหานครที่ฟ้ายังคงสว่างอยู่ ขณะนั้นเป็นเดือนกันยายนซึ่งตรงกับฤดูฝนพอดี ในอากาศจึงเต็มไปด้วยกรุ่นไอของความชื้น ประจวบกับเป็นช่วงการจราจรคับคั่งที่สุดของวัน รถเล็กใหญ่ที่ดูราวฝูงมดที่ออกจากรังต่างเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ กลางถนนสายแคบซึ่งขนาบด้วยตึกระฟ้าทั้งสองข้างทาง รถไฟลอยฟ้าได้ทอดตัวผ่านอากาศอันอบอุ่นแห่งเขตร้อนชื้น—กระแสแรงผลักดันของทุนนิยมอันมีพลัง หากปราศจากพระราชวังและวัดที่มียอดสีทองและสีแดงซึ่งกระจายตัวอยู่ในหมู่สิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกแล้ว มองดูเพินๆ จากภายนอก กรุงเทพ (City of Angel) อันเป็นประเทศแห่งพุทธศาสนาในแดนตะวันออกแห่งนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองคอนกรีตและเหล็กของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายซักเท่าไรเนื่องจากผู้คนในเมืองนี้ต่างลุ่มหลงอยู่ในยุคของวัตถุนิยมกันทั่วหน้า แต่ทว่า หากพิจารณาอย่างละเอียด ก็ยังสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่นครแห่งนี้ต่างจากเมืองอื่นได้อย่างง่ายดาย กล่าวคือ ตามถนนและตรอกซอยต่างๆ ในกรุงเทพฯ เราจะเห็นพระสงฆ์ในจีวรสีเหลืองในทุกหนทุกแห่ง ในกรุงเทพฯ มีวัดอยู่จำนวน 300 แห่ง พระสงฆ์ 6 หมื่นกว่ารูป ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร บรรดาพระสงฆ์ก็มักจะเดินเท้าเปล่าไปตามท้องถนนอันวุ่นวาย ด้วยอากัปกิริยาที่สงบและสายตาที่มีสมาธินั้น แทบจะมองไม่ออกเลยว่าท่านมีความรู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ร้อยแปดที่เกิดขึ้นรอบข้าง อารมณ์ที่มาจากจิตวิญญาณทางพุทธศาสนาในส่วนลึกเป็นเสมือนหมอกที่ปกคลุมบนแม่น้ำเจ้าพระยาและได้นำความเย็นสบายมาให้กับเมืองพุทธศานาแห่งนี้

ทว่า เมื่อเร็วๆมานี้ แม้แต่พระสงฆ์ที่ได้ตัดขาดกับทางโลกแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีผู้คนพากันซุบซิบและลือถึงข่าวที่น่ากังวลกันตามท้องถนน ลานและสวนสาธารณะต่างๆ และหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ อยู่ดีๆ ก็มีรถถังปรากฎขึ้นมาบนท้องถนน จส. ร้อย ได้รับโทรศัพท์แจ้งสถานการณ์ดังกล่าวจำนวนสิบกว่ารายในทันที ผู้เห็นเหตุการณ์ผู้หนึ่งได้โทรมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ตายแล้ว..คงไม่เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกหรอกนะ” ผู้สื่อข่าวได้รีบโทรไปถามฝ่ายทหาร โดยได้คำตอบดังนี้ “หลังจากที่กองทัพฝึกซ้อมเสร็จก็จะกลับค่าย ไม่ต้องตกใจไป” อย่างไรก็ตาม คำตอบนี้ก็ไม่ทำให้ประชาชนแคลงความสงสัยในใจได้ ในช่วง 9 เดือนกว่าที่ผ่านมา วิกฤตทางการเมืองเลวร้ายลงทำให้กองทัพ ตำรวจ พระราชวังและรัฐบาลต่างเริ่มกังวลมากขึ้นทุกวัน เมื่อพิจารณาจากเค้าลางต่างๆ ก็พอจะทราบว่าเรื่องราวคงไม่สามารถแก้ไขโดยแนวทางที่ปกติได้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ทักษิณได้ประกาศจะนำพรรคไทยรักไทยลงเลือกตั้งครั้งต่อไปในฐานะผู้นำพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้น 2 วัน ก็ได้เกิดเหตุการณ์ “ระเบิดรถยนต์” อันสะเทือนขวัญขึ้น บรรยากาศในกรุงเทพฯ ตึงเครียดมาก แม้กระทั่งประชาชนธรรมดายังรู้สึกถึงสายอัสนีที่ซ้อนเร้นอยู่ในชั้นเมฆ

สองสามเดือนมานี้ ข่าวลือที่ว่ากำลังจะเกิดการรัฐประหารก็เริ่มหนาหนูมากขึ้น ข่าวลือที่ว่าเริ่มมีการวางแผนก่อการรัฐประหารเพื่อโค้นล้มอำนาจทางการเมืองของทักษิณนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 และต่อมาหลังจากที่ทักษิณได้กลับเข้ามากุมอำนาจทางการเมืองในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีในเดือนพฤษภาคม ข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารก็แพร่สะพัดขึ้นอีกครั้ง และในเดือนมิถุนายน พลเอกเปรม ติลสูลานนท์ วัย 86 ปี ที่ปรึกษาหมายเลขหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานองคมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้สวมชุดทหารเก่าออกมาขอให้นักเรียนโรงเรียนนายทหาร “ทำงานสนองและรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” พร้อมท่าทางที่ปลุกเร้าความฮึกเหิม ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายทวีวุฒิ จุลวัจนะ ผู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยท่านหนึ่งของไทยได้ลงจดหมายเปิดผนึกในเว็บไซต์การเมืองที่มีชื่อเสียงเว็บหนึ่งโดยอ้างถึงข่าวจากฝ่ายทหารว่ากองทัพกำลังดำเนินการวางแผนก่อการรัฐประหารอย่างลับๆ พร้อมกับเตรียมขับไล่ทักษิณออกจากประเทศ หลังจากนั้น ในวันที่ 20 กรกฎาคม นายทหารบกระดับชั้นกลางที่สนับสนุนทักษิณจำนวน 129 นาย ได้ถูกสั่งให้ย้ายออกจากกรุงเทพฯ ซึ่งหลายคนได้มองว่าเป็นการโหมโรงก่อนการรัฐประหารจริง

อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทยของทักษิณหรือพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต่างก็วุ่นอยู่กับการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่ ทุกคนต่างก็ยังพะว้าพะวงใจอยู่กับข่าวลือที่ยังไม่ปรากฎความจริง จนสุดท้ายก็ทำให้เกิด ความเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นในอนาคต แต่แล้วในวันที่ 19 กันยายน เวลา 8.00 น. (ซึ่งตรงกับวันที่ 18 กันยายน เวลา 20.00 น. ณ กรุงนิวยอร์ก) สิ่งที่เป็นห่วงนั้นได้มาแล้วจริงๆ ขณะที่ทักษิณซึ่งอยู่ไกลถึงสหรัฐฯ กำลังประชุมทางไกลผ่านระบบ Tele-Conference บรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายทหาร ซึ่งรวมถึงผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ทหารเรือ บกและอากาศต่างก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกได้ชี้แจงว่าเป็นเพราะประกาศเรียกประชุมมาค่อนข้างกระทันหัน จึงเข้าประชุมไม่ทัน หลังจากนั้น ข่าวลือเรื่องก็ก่อรัฐประหารก็แพร่กระจายอย่างรวดร็วไปทุกหนทุกแห่งในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกซอกทุกมุมในตลาดหุ้น ในตอนบ่ายวันเดียวกันก่อนที่พายุไต้ฝุ่นจะเข้า (การก่อรัฐประหาร) ก็ได้มีข่าวลับจากฝ่ายทหารหลุดออกมาว่าพลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีคำสั่งให้นายทหารบางส่วนอยู่ประจำกองกำลังเพื่อรอประกาศสำคัญ ต่อมาก็มีข่าวลืออีกว่าหลังจากกองกำลังรถหุ้มเกราะตอบโต้เร็วภายใต้กองทัพภาคที่ 2 และ 3 รวมถึงกองกำลังหน่วยรบพิเศษที่อยู่รอบเขตกรุงเทพฯ ฝึกซ้อมเสร็จในตอนเช้าแล้วมิได้กลับไปค่ายของตนตามปกติ
ผู้ที่เป็นหูเป็นตาซึ่งมีความรวดเร็วของทักษิณนั่งไม่ติดตั้งแต่ต้นแล้วจึงรีบรายงานให้พจมาน ดามาพงศ์ ภรรยาของทักษิณทราบในทันทีเนื่องจากทักษิณอยู่ที่นิวยอร์ก มีเพียงภรรยาและญาติที่สนิทสองสามคนที่รู้ทางติดต่อกับทักษิณได้ พจมานเป็นผู้หญิงประเภทที่หากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นมากลางดึกก็จะเป็นคนแรกที่โดดขึ้นจากเตียงและยกปืนขึ้นมาเพื่อส่องสอดดู ความปลอดภัย หล่อนถูกมองว่าเป็นมันสมองที่แท้จริงและเป็นกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังของทักษิณมาโดยตลอด จากลางสังหรณ์ของผู้หญิง หล่อนได้ล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของสิ่งที่กำลังก้าวเข้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว และเป็นคนแรกที่โทรศัพท์ถึงสามีที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่อีกซีกโลกหนึ่งเพื่อแจ้งข่าวอันน่าสะพรึงกลัวนี้


ตอนที่ 2

ทักษิณนั่งอยู่บนขอบเตียงโดยรู้สึกว่าสมองโล่งเปล่าซักสองสามวินาที ท่ามกลางความตกใจอย่างสุดขีด บางคราวก็รู้สึกชาและมึนงงเสมือนว่ากำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปและไม่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป---การหลบหนี ความทุกข์ทั้งมวลในจิตใต้สำนึกนั้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เพื่อปกป้องตนเองในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เขานั่งอยู่อย่างนิ่งเงียบเหมือนท่อนไม้โดยไม่ได้เปิดไฟ ห้องอันมืดสนิทปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร สำหรับการเจรจาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ซึ่งได้บอกล่วงหน้าถึงพายุระลอกนี้ มาถึงตอนนี้ราวกับว่าคลื่นน้ำระลอกใหญ่ได้พัดผ่านโขดหินแล้ว ภาพเรื่องราวต่างๆ ได้ประติดประต่อและปรากฎตัวอย่างชัดเจนในหัวสมองของเขา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองได้ถูกหลอกแล้ว

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯ ผู้บัญชาการทหารบกหนึ่งครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่าเบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมี ชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือ กองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียวก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านซึ่งก็เหมือนกับเขาที่ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบที่ขับความเด่นให้แก่ผู้มีอำนาจสูงสุดซึ่งไม่แสดงตัวออกมา แต่ที่สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นท่าทีของฝ่ายทหาร--ฝ่ายทหารเคยชินกับการใช้วิธีการรัฐประหารโดยขับไล่นายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่ถูกใจออกไป

การหารือในครั้งนี้เป็นเหตุมาจากการพิจารณารายชื่อการแต่งตั้งนายทหาร นับตั้งแต่มีข่าวว่าออกมาว่าฝ่ายทหารอาจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในวิกฤตการเมืองครั้งนี้ ทักษิณก็ได้มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าสุดท้ายสถานการณ์คงต้องพัฒนาไปเป็นการแย่งชิงอำนาจโดยมีกองทัพเป็นผู้บัญชาการ ใครที่สามารถควบคุมกองทัพได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ตามจากข่าวลือซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สื่อออกข่าวกันอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ในเดือนกันยายน ทักษิณได้ใช้สิทธิพิเศษของนายกรัฐมนตรีเสนอชื่อนายทหารที่ฝึกอบรมในโรงเรียนนายทหารซึ่งสนับสนุนตนจำนวนร้อยกว่าคนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองพลที่หนึ่ง (ทักษิณยังได้พยายามที่จะเลื่อนตำแหน่งให้พลตรีพฤณฑ์ สุวรรณทัต ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งที่ดูแลความสงบในเขตกรุงเทพฯและต้องการให้ พลตรีดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ ซึ่งเป็นพันธมิตรมารับผิดชอบในกองพลทหารราบที่หนึ่งด้วย โดยแต่เดิมนั้น พลเอก พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกก็เป็นคนของเขา ดังนั้นหากสามารถเปลี่ยนนายทหารระดับกลางและระดับสูงภายในกองทัพบกให้เป็นพวกตนได้ ก็สามารถมีอำนาจในการบังคับบัญชากองทัพที่ดูแลความสงบในกรุงเทพฯได้อย่างมั่นคง มีการพูดกันว่า เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ทักษิณมีเรื่องที่ผิดใจกันกับฝ่ายทหารและทำเนียบองคมนตรี)

ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีปูด้วยพรมที่ค่อนข้างหนาจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า บนโต๊ะทำงานสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่มีเอกสารวางอยู่จำนวนหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และเครื่องพรินเตอร์เลเซอร์ 1 เครื่อง โดยโต๊ะได้หันหน้าไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งแขวนอยู่ เครื่องปรับอากาศกำลังทำงานอยู่ อากาศอันร้อนระอุของพระอาทิตย์ได้ถูกกั้นไว้ภายนอกกระจกห้อง ภายในห้องอันเย็นสบายและสงบเงียบ ทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากัน พลเอกสนธิซึ่งอยู่ในชุดทหารนิ่งเงียบอย่างสุขุม

พลเอกสนธิมีอายุมากกว่าทักษิณ 4 ปี เกิดในครอบครัวมุสลิมบริเวณใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ โดยบรรพบุรุษได้เคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย ตัวพลเอกสนธิเองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย หลังจากเข้าร่วมในสงครามเวียดนามก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารราบสงครามพิเศษ โดยได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งทำให้บุคคลมากมายต่างพากันตกใจ เนื่องจากบรรดาทหารในกองทัพไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวพุทธ พลเอกสนธินับเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรกที่เป็นชาวมุสลิม นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ทักษิณเลือกพลเอกสนธิเนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การรบในสนามรบที่ช่ำชองและลัทธิ ความเชื่อของมุสลิมเพื่อแก้ปัญหาชาวมุสลิมที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทยซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ดูจากภายนอกแล้ว พลเอกสนธิดูไม่เหมือนผู้ที่จะวางแผนทรยศโดยลุกขึ้นมาก่อ การรัฐประหาร ทั้งภาพลักษณ์และการพูดจาของนายทหารระดับมืออาชีพท่านนี้ล้วนแต่แสดงออกถึงบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยน แม้ตอนถอดชุดทหารแล้วก็กลับดูเหมือนศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย
“คุณคิดจะก่อรัฐประหารโค่นล้มผมหรือเปล่า” ทักษิณถามอย่างตรงไปตรงมา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก” พลเอกสนธิตอบด้วยเสียงเบาๆ ตามปกติ ระหว่างที่เขาพูดนั้น สายตาเขามักจะมองก้มลงโดยไม่รู้ตัว และกวาดตามองเป็นครั้งคราว เหมือนกับแมลงปอบินระน้ำ น้ำเสียงก็ค่อนข้างแผ่วเบา น้ำเสียงอยู่ในโทนเดียวตลอด คำพูดที่ออกมาจากปากเขาไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่แสดงถึงความสนิทคุ้นเคยหรือคำพูดที่น่ากลัวก็ล้วนแต่พูดออกมาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน นี่ไม่ใช่ผู้ที่กระหายในเลือด เมื่อเขาได้รับภารกิจให้แก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย เขาได้กล่าวว่า “แม้จะต้องมีการปะทะกันทางวาจาระหว่างเจรจา ก็จะไม่ใช้กำลังอาวุธมามาสงบสถานการณ์” สำหรับข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น เขาได้เปิดเผยท่าทีว่า “ฝ่ายทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว การก่อรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยอย่างมาก” แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองแย่ลง เขาก็ได้เคยกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นนักรบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราอยากที่จะช่วยพระองค์ในการขจัดความกังวลและ ความทุกข์ยากทั้งปวง ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระองค์อย่างเคร่งครัด”

ทักษิณถอนหายใจ เขาไม่สามารถจะแน่ใจได้ว่าคำสัญญาของพลเอกสนธินั้นเชื่อถือได้เพียงใด “คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณ ก็เพราะหวังให้คุณทุ่มเทกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง ขอให้สัญญากับผมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของคุณและความเป็นพี่น้องว่าคุณจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องการเมือง หากคุณสัญญา ผมจะขยายระยะเวลาให้คุณอยู่ในตำแหน่งนานขึ้นอีก 1 ปี”

“ผมสัญญา” คำตอบที่สั้นแต่หนักแน่น พลเอกสนธิยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ และจับมือกับทักษิณ โค้งคำนับ 1 ครั้ง และเดินออกไป การหารืออันเต็มไปเสียงฟ้าอึมครึ้มที่เป็นลางบอกถึงฝนที่กำลังจะตกนั้นก็ได้สิ้นสุดลง

บัดนี้ เรื่องราวได้เป็นที่กระจ่างแล้วว่า พลเอกสนธิได้หลอกเขา ทรยศเขา ในสุดท้ายทักษิณก็ได้ประจักษ์ถึงความจริง ภายใต้ภาพลักษณ์อันสุภาพอ่อนโยนของผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ได้ซ่อนจิตใจอันเด็ดเดี่ยวที่สุด มีความสามารถแบกรับภาระกิจอันยากลำบากและกล้าตัดสินใจด้วยความกล้าหาญเป็นที่สุด รวมทั้งในการกระทำทุกอย่างก็ยอมเสียสละอย่างถึงที่สุดด้วย นายทหารเก่าที่เคยร่วมรบสงครามเวียดนามท่านนี้ นายพลที่กล่าวไว้หลายครั้งว่าไม่คิดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองท่านนี้ นายทหารไทยที่เงียบๆ ไม่ค่อยเป็นข่าวท่านนี้ ภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียวเขากลับทำให้คนทั้งโลกจำเขาได้อย่างแม่นยำ
ที่น่าแปลกก็คือ ในการเจรจาที่ไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเป็นพยานนั้น เรื่องที่ผ่านการถ่ายทอดจากบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกคนกลับแตกต่างกันราวกับเป็นเรื่องราโชมอนอีกต้นฉบับหนึ่ง เมื่อพลเอกสนธิให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากนั้น ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนที่หารือกับทักษิณว่า “ตอนนั้นท่านทักษิณถามผมว่า คุณจะก่อการรัฐประหารหรือไม่ ผมก็ตอบไปอย่างชัดเจนว่า ผมจะทำ ผมไม่เสียใจที่ตอบไปเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะตอบท่านเช่นเดิม” พลเอกสนธิยังกล่าวอีกว่าระหว่างเขากับผู้มีบุญคุณที่แต่งตั้งเขาขึ้นมานั้นแทบจะไม่มี “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ระหว่างกัน ก่อนเกิดการรัฐประหาร มีครั้งหนึ่งเขาได้ตามทักษิณไปเยือนประเทศพม่า มีคนเตือนให้เขาระมัดระวัง ดังนั้น เขาจึงได้สั่งให้ลูกน้องพกปืนไปด้วย โดยส่วนตัวเขาเองได้นั่งตรงข้างประตูเครื่องบิน “เพื่อจะได้จัดการกับเรื่องฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที”

สุดท้ายแล้วไม่ทราบว่าใครที่โกหก สมมุติว่าเป็นจริงดังเช่นที่พลเอกสนธิเล่าว่าเขาได้พูดต่อหน้าทักษิณว่า “ผมจะโค่นล้มคุณ” ถ้าเป็นเช่นนั้น ทักษิณก็ต้องรีบจัดการโต้ตอบในทันทีถึงจะถูก ทักษิณก็ควรรีบจัดการคนที่เป็นอันตรายต่ออำนาจทางการเมืองในปัจจุบันของเขาโดยการปลดออกจากตำแหน่งและลงโทษทางวินัยในทันที แต่ทว่า ทักษิณกลับไม่รู้สึกอะไร อีกทั้งในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นกลับแกล้งเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนไม่มีอะไร ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น นั่งรอให้ศัตรูมาทำร้ายตนเองจนถึงแก่ความพ่ายแพ้ ปฏิกริยาตอบสนองเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดเกินไปกระมัง


ตอนที่ 3

หลังจากได้ฟังโทรศัพท์จากภรรยา ทักษิณก็นิ่งอึ้งไป

ราวกับว่าเวลายาวผ่านไปนานหมื่นกว่าปี---ทั้งที่จริงๆ แล้วผ่านไปเพียงแค่สิบกว่าวินาที ทันใดนั้นเขาก็มีสติกลับมาโดยรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาบุคคลคนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายข่าวกรอง ฝ่ายทหาร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรมตำรวจ ข้าราชการผู้ใหญ่ตามพื้นที่ เป็นรายชื่อที่ยาวมาก แม้กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ทราบได้โทรศัพท์ไปทั้งหมดกี่ครั้งภายในสองชั่วโมงกว่า

ณ ขณะนี้สิ่งที่ทักษิณต้องการอย่างเร่งด่วนก็คือต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าว่าข่าวที่ตนได้จากภรรยานั้นเป็นความจริงหรือไม่โดยสอบถามจากบุคคลหลายๆคน แต่คำตอบที่ได้นั้นช่างน่างงงวย บางคนบอกว่าเป็นเรื่องจริง บางคนกลับบอกว่าเป็นข่าวลือ บางคนก็ไม่ทราบอะไรเลย บรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลทักษิณต่างแทบจะรู้เรื่องเมื่อนาทีที่เกิดการรัฐประหารขึ้นกันทั้งนั้น ส่วนฝ่ายข่าวกรองของรัฐบาลนั้น ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่ได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือใดๆ เลย

คำบอกเล่าของทักษิณ
แน่นอนว่าผู้ที่รับผิดชอบฝ่ายข่าวกรองนั้นมีปัญหา แต่ว่าหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลไทยก็ล้วนแต่ขาดประสิทธิภาพทั้งนั้น และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน จึงไม่อาจแก้ไขได้ในช่วงข้ามคืน ระบบข้าราชการไทยก็ต้องได้รับการปรับและปฏิรูปทั้งระบบเสียใหม่ สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาของกระทรวงใดหรือคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมีระบบมารองรับ หากไม่มีระบบมาประกันและพึ่งตัวบุคคลเท่านั้น พอบุคคลนั้นลงจากตำแหน่ง สิ่งที่เขาได้เคยริเริ่มไว้ก็จะหายไปเช่นกัน
ความรู้สึกกระสับกระส่ายได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา

เขารู้สึกเสียใจที่ได้คาดการณ์ผิดอย่างมาก การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Tele -Conference เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบก เรือและอากาศล้วนไม่ได้เข้าร่วมประชุม ผู้ใดก็ตามที่มีไวต่อความรู้สึกย่อมต้องรู้สึกได้ว่ามันเป็นสัญญาณบอกถึงความผิดปกติ แน่นอนว่าเขาได้สังเกตเห็นแล้ว แต่ทว่ากลับเพิกเฉยมิได้สนใจ อีกทั้งยังเข้านอนอย่างไม่ได้ตะขิดตะขวงใจเลย

สิ่งนี้เป็นความผิดที่ยากจะอภัยได้อย่างยิ่ง

ทักษิณถือโทรศัพท์เดินไปมาในห้อง เขาได้สั่งให้พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในประเทศไทยรีบควบคุมสถานการณ์ เขายังได้ติดต่อกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งขณะนั้นอยู่ในกรุงปารีส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเขา
เขาพบว่ารัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญของไทยหลายท่านล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในประเทศในขณะนั้น

ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกำลังร่วมงานนิทรรศการวัฒนธรรมไทย-ฝรั่งเศสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธาน ณ กรุงปารีส

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังพักร้อนอยู่กับครอบครัวที่ประเทศฝรั่งเศส

พลอากาศเอกคงศักดิ์ วันทนา ประธานกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้บินจากกรุงเทพฯ ไปประเทศเยอรมนีแล้ว

ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีไปติดตามเขาไปประชุมที่กรุงนิวยอร์ก

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมประชุมประจำปีของธนาคารโลก ที่ประเทศสิงคโปร์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่ที่กรุงปารีสเช่นเดียวกัน

แล้วเขาก็คิดขึ้นมาทันทีถึงคำเตือนของหมอดูที่ได้โทรมาเตือนเขาเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “ให้ระมัดระวัง ศัตรูกำลังคิดจะโจมตีท่านแต่ว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าหรือทำร้ายท่านให้บาดเจ็บ” คำทำนายอันโชคร้ายนี้ช่างแม่นยำจริงๆ ศัตรูไม่มีทางทำร้ายเขาได้—และก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขาด้วย พวกนั้นต้องการที่จะขับไล่เขาออกนอกประเทศ เพราะการขังนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่รักของประชาชนผู้ยากไร้ไว้ในประเทศรังแต่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในขณะนี้ ทักษิณพร้อมที่จะสู้แต่ไม่มีกำลังและอำนาจก็ครอบคลุมไปไม่ถึง ดูตามรูปการณ์แล้ว เรื่องราวทั้งหมดได้ผ่านการวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฝ่ายทหารได้เลือกห้วงเวลาที่เหมาะสมแล้วจริงๆ เขาคิด นอกจากจะเลือกเวลาที่เหมาะสมแล้วยังกล้าที่จะเสี่ยงทำความผิดอันใหญ่หลวง โดยกลับไปเดินเส้นทางเก่าเมื่อ 73 ปีก่อน ในยุคศตวรรษที่ 21 อีกด้วย


คำบอกเล่า...ของทักษิณ
เกี่ยวกับข่าวนี้ในขณะนั้น บ้างก็ว่าไม่แน่ใจ บ้างก็ว่าแน่นอน ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่กรุงนิวยอร์กแต่ก็พยายามควบคุมสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด แต่ทว่ามันก็ได้สายไปแล้ว วันที่เกิดรัฐประหารขึ้นนั้น รัฐมนตรีหลายท่านก็ไม่ได้อยู่ในประเทศ หากผมอยู่ในประเทศ ผมเชื่อว่าพวกเขาจะไม่กล้าทำการเช่นนี้



ตอนที่ 4

ประเทศไทยมีประเพณีของการรัฐประหาร

มีบางคนกล่าวว่ากองทัพของไทยนั้นไม่ได้มีไว้ทำสงคราม แต่มีไว้ก่อรัฐประหาร พวกเขาไม่เหมือนนักรบที่คอยปกป้องดินแดนของประเทศ แต่กลับเหมือนผู้บุกรุกที่เอะอะก็ขับรถถังเข้ามาตามท้องถนน

ตั้งแต่ปี 2475 ถึง 2549 ประวัติศาสตร์การเมืองของไทยใน 73 ปีที่ผ่านมาก็คือก็คือประวัติศาสตร์ของการก่อรัฐประหาร เวลา 5 ใน 6 ของรัฐบาลนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำที่เป็นทหาร หากไม่นับการรัฐประหารที่ไม่สำเร็จและผ่ายแพ้แล้ว การก่อรัฐประหารที่สำเร็จนั้นมีถึง 17 ครั้ง ความถี่ของการเกิดการรัฐประหารนับว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก

วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ผู้มีความรู้ระดับสูงและนายทหารหนุ่มที่ได้จบการศึกษาจากประเทศตะวันตกได้ฉวยโอกาสที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 พร้อมกับครอบครัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปพักผ่อนฤดูร้อนที่พระราชวังหัวหินซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 195 กิโลเมตร ก่อการรัฐประหารขึ้นอย่างเงียบๆ ที่กรุงเทพฯเพื่อโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อข่าวได้แพร่ออกไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ที่ทรงกำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ก็ได้ทรงโยนไม้กอล์ฟทิ้งและรีบเสด็จฯ กลับมายังกรุงเทพฯเพื่อเจรจากับคณะปฏิวัติ แต่เมื่อพระองค์ทรงประจักษ์ว่าพระองค์ไม่สามารถต่อรองอะไรได้อีกในสถานการณ์เช่นนั้น พระองค์จึงจำต้องยอมถอยเพื่อรักษาตำแหน่งกษัตริย์เอาไว้โดยยอมให้ตั้งระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และในเดือนธันวาคมปีเดียวกันก็ได้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นและเกิดการรัฐสภาสมัยแรกขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยเป็นนักกฎหมาย ซึ่งมีภรรยาที่เคยเป็นนางกำนัลถวายงานในองค์สมเด็จพระราชินี ในตอนนั้นหลายคนเข้าใจผิดไปว่าท่ามกลางการปฏิวัติครั้งใหญ่เพื่อโค้นล้มอำนาจกษัตริย์อย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินของไทยนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทางที่สุภาพอ่อนโยน มีเหตุผลและหลักแหลม ด้วยวิธีการที่สันติอันมีค่านำไปสู่บทสรุปที่สวยงามโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว แต่ข้อความในหนังสือซึ่งแต่งโดยพระญาติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ท่านหนึ่งในภายหลังได้กล่าวไว้ว่า ขณะนั้น องค์รัชกาลที่ 7 ทรงเศร้าโศกเสียใจด้วยความเจ็บแค้น จนถึงขนาดหมดหวังและได้ทรงมีพระราชดำรัสว่าหากพวกกบฏยังคงบีบขั้นพระองค์อีก พระองค์จะทรงยิงพระชายาและจะทรงสังหารพระองค์เองตาม

ความไม่ไว้วางใจกันในช่วงแรกเกิดจากการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ผู้ร่างแผนดังกล่าวก็คือ นายปรีดี พนมยงค์ ดร.ที่ศึกษาด้านกฎหมายและการเศรษฐกิจการเมืองวัย 35 ปี หนึ่งในผู้นำในการก่อรัฐประหาร เขาเกิดในครอบครัวพ่อค้าชาวจีนที่ร่ำรวย เคยศึกษาที่ กรุงปารีส โดยหลังจากกลับประเทศได้ทำงานในกระทรวงยุติธรรม โดยการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าในที่สุดข้าราชการวัยหนุ่มท่านนี้กลับได้ก่อตั้งกลุ่มลับจำนวน 50 คน โค่นล้มอำนาจในการปกครองประเทศของกษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์ 700 กว่าปี นายปรีดี ได้เสนอในแผนพัฒนาเศรษฐกิจดังนี้ “ให้ถือว่าประชาชนทุกคนรวมถึงเกษตรกรเป็นข้าราชการโดยใช้ระบบการให้เงินเดือนกับทุกคน” เพื่อแก้ไขปัญหาความเลื่อมล้ำของรายได้และความไม่เป็นธรรมที่ผู้ซึ่งไม่ได้ทำงานแต่กลับได้รับค่าตอบแทน ถึงแม้ว่าความคิดนี้จะเกิดขึ้นจากเจตนาที่ดีแต่ว่าค่อนข้างไร้เดียงสาและไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง จึงไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีบางคนในหน่วยงานรัฐบาลได้ออกมาโจมตีโดยว่าเป็น การดำเนินตาม “แผนลัทธิคอมมิวนิสต์ของโซเวียด (รัสเซีย)” นายปรีดี จึงถูกบีบให้ออกจากประเทศ และพร้อมๆ กันนั้นก็เกิดการต่อสู้ระหว่างกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูอำนาจกษัตริย์กับกลุ่มที่ต่อต้าน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นตัวประกันของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ไปทรงซ่อนพระองค์ที่ภาคใต้ แต่เมื่อเริ่มเห็นว่ากลุ่มที่สนับสนุนกษัตริย์กำลังพ่ายแพ้ พระองค์จึงเสด็จฯ ไปอังกฤษด้วยเหตุผลว่าไปรักษาพระเนตร ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2478 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ประกาศสละราชสมบัติที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (พระชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์องค์ปัจจุบัน) ผู้เป็นพระราชนัดดาในพระองค์ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อมา ซึ่งขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนม์มายุเพียง 10 พรรษา หลังจากนั้น 10 ปี พระองค์ถึงเสด็จฯ กลับประเทศไทยเพื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ในระบอบรัฐสภาที่มีกษัตริย์เป็นประมุข

ในระหว่างนี้ อำนาจได้ตกอยู่ในมือของทหารที่ปืนอยู่ในครอบครองไปแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะที่เกิดการรัฐประหารในปี 2475 นั้นมียศเป็นเป็นเพียงแค่พันตรี แต่ได้ปรากฎตัวเด่นออกมาในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายกบฏกับฝ่ายที่ต้องการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ จนได้เป็นแม่ทัพทหารบก ต่อมาในปี 2482 จอมพล ป. ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เริ่มการปกครองโดยทหารซึ่งยาวนานถึง 15 ปี เขาได้ปราบกลุ่มอำนาจที่เป็นปรปักษ์อย่างไม่ไว้หน้าใครโดยอ้างเหตุว่าเป็นภัยคุกคามต่อความความสงบปลอดภัยของประเทศและความมั่นคงของรัฐบาล โดยได้ตั้งศาลพิเศษขึ้น จับตัวศัตรูทางการเมืองที่ต่อต้านเขาขังคุกและสั่งประหารชีวิตถึง 18 คน สังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์ในความเป็นเผด็จการของเขา แต่จอมพล ป. กลับแย้งว่า “ฆ่าแค่ 18 คน นับว่าเยอะหรือ ตอนปฏิวัติที่ฝรั่งเศสนั้น บรรดาหัวคนที่ถูกตัดใส่บนรถยังสามารถเรียงได้เป็นแถวๆ” ในปี 2498 จอมพล ป. ได้ใช้เวลา 2 เดือนกว่าในการเยือนประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสเปน ฯลฯ ได้พบกับผู้นำต่างๆ เช่น นาย EisenHower พระราชินีอลิซาเบธ นายพล Franco และได้ฟังปาถกฐาที่สวน Hyde Park ซึ่งเป็นสวนในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในอังกฤษ ดูราวกับว่าเขาจะเข้าใจระบบประชาธิปไตยในประเทศตะวันตก พอกลับประเทศจึงได้มีคำสั่งให้จัดตั้งศาลากลางเมือง (Town Hall) แบบยุโรปและสหรัฐอเมริกาในกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญต่างๆ ของไทย เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในที่แห่งนี้ ในพิธีมอบตำแหน่งแก่ทหารเรือ เขาได้กล่าวว่า “ในระบอบประชาธิปไตย ทหารไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง....เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ข้าราชการพลเรือนหรือ ตำรวจก็ไม่ควรเข้ามามีส่วนในกิจกรรมทางการค้าที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตย การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาเข้าสู่รัฐสภา ไม่ใช่อาศัยกำลังของทหารหรือตำรวจ..กองทัพและตำรวจมีหน้าที่เพียงการปกป้องประเทศในยามจำเป็นเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงประเทศไทย พวกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผมขอให้การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นไปโดยไม่อาศัยอิทธิพลของทหารหรือตำรวจอีก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ขัดต่อประชาธิปไตย”

แต่ทว่า เมื่อประชาชนออกมาแสดงว่าคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองและเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ แล้ว นายพลผู้ที่รู้จักประชาธิปไตยแต่เพียงในหนังสือก็ได้ออกมาประกาศอย่างไม่ปราณีแม้แต่น้อยว่า “เพื่อความสงบของประเทศ รัฐบาลตัดสินใจว่าจะจับตัวคนที่เหยียบย้ำกฎหมาย ออกมาก่อความปั่นป่วนในสังคมโดยอ้างเหตุผลของประชาธิปไตย” การเปลี่ยนแปลงราวกับละครเช่นนี้ทำให้นักวิชาการสมัยหลังหลายท่านต่างถอนหายใจ แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ของตะวันตกเป็นสิ่งที่ดี มันฝังรากอยู่ในลัทธิความหลากหลายทางสังคม ระบบชนชั้น ประชาสังคม แนวความคิดต่อการปกครองโดยกฎหมาย ประสบการณ์จากระบบตัวแทน การแบ่งแยกระหว่างอำนาจทางการเมืองและศาสนา รวมถึงการยึดถือต่อลัทธิปัจเจกบุคคล ทั้งหมดทั้งหลายนี้ล้วนได้เริ่มปรากฏขึ้นในยุโรปตะวันตกเมื่อ 1 พันกว่าปีมาแล้ว และได้ผ่าน การพัฒนาการเป็นพันปีกว่าจะตั้งรากฐานในสังคมตะวันตกได้ในที่สุด แต่ว่า ในประเทศตะวันออกที่มีการปกครองด้วยระบบอัตตาธิปไตยซึ่งมีค่านิยมสืบต่อหลายพันปีมาว่าอำนาจของกษัตริย์นั้น “สูงเสียดฟ้า” ถึงแม้ว่าคนผู้ควรจะตะหนักถึงผลดีของระบอบประชาธิปไตยแต่ว่าในทางปฏิบัติ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางยุคสมัย สิ่งแวดล้อมและประวัติศาสตร์ได้ เพราะว่าประชาธิปไตยนั้นสุดท้ายแล้วก็คือผลผลิตทางวัฒนธรรมและการพัฒนาการทางวัฒนธรรม มิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน

หลังจากนั้น 2 ปี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ก่อการรัฐประหารขึ้นและบีบให้จอมพล ป. ออกจากประเทศโดยให้เหตุผลว่าจอมพล ป. ทุจริตการเลือกตั้ง โดยเริ่มแรกจอมพลสฤษดิ์ไม่ได้ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยในทันทีแต่จัดการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ตามขั้นตอนระบอบประชาธิปไตย แต่ 1 ปีหลังจากนั้น เขาก็ได้ก่อการรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งที่สองโดยเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะเห็นว่ารัฐประหารครั้งแรกไม่ได้กระตุ้นให้เกิดรูปแบบของอำนาจทางการเมือง “หนังสือพิมพ์ยังคงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้เหมือนเดิม สมาพันธ์แรงงานหรือเจ้าของหน่วยงานองค์กรอื่นๆ ก็ประท้วงหยุดงานได้ ฯลฯ และสิ่งที่เกินจะอดกลั้นก็คือสมาชิกรัฐสภาพยายามแย่งชิงอำนาจต้องการเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนั้นกระทรวงนี้หรือต้องการตำแหน่งนั้นนี้ พวกเขาขู่รัฐบาลว่าหากไม่แต่งตั้ง พวกเขาจะถอนการสนับสนุนรัฐบาลและได้ทะยอยกันตั้งพรรคฝ่ายค้าน ดังนั้น พวกเราคิดว่าการจะแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังประสบอยู่นี้ต้องเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนแปลงการบริหารเสียใหม่” จอมพลสฤษดิ์ได้ยกเลิกระบบประชาธิปไตยต่างๆ ที่รับมาจากตะวันตกแบบขาดๆ แหว่งๆ กระจัดกระจายที่ปรากฎในรัฐบาลแต่ละสมัยหลังจากการเปลี่ยนมาใช้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในปี 2475 โดยได้เสนอว่า “ต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เป็นของประเทศไทยเองซึ่งเหมาะกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย” “ประชาธิปไตยแบบประเทศไทยควรต้องมีรากกำเนิดจากพื้นแผ่นดินของประเทศไทย พืชพันธุ์ที่เจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์บนผืนดินที่ได้รับแสงอาทิตย์และน้ำฝนแห่งนี้ ผลของมันควรจะเป็นกล้วย มะม่วง เงาะ มังคุด และทุเรียน ไม่ใช่แอ็ปเปิ้ล องุ่น ผลัมหรือเกาลัด” หากกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย” ก่อนอื่นต้องให้ความสำคัญกับมั่นคง อันดับรองลงมาคือการพัฒนา “ประเทศต้องการการพัฒนามากที่สุด ไม่ใช่ประชาธิปไตย” “เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาคือ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน” บรรดานักการเมืองที่เห็นการผลประโยชน์ส่วนตน “ย่อมจะไม่เห็นแก่ประชาชนอย่างแน่นอน มีแต่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ความแตกแยกและความอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล”

จอมพลสฤษดิ์เห็นว่า การยอมรับและเทิดทูนอำนาจบารมีของผู้นำได้หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย ซึ่งสิ่งนี้ต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นอิสรภาพ ความเสมอภาคและสิทธิส่วนบุคคลโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ระบอบที่ได้ผ่านการบ่มเพาะมาจากอารยธรรมตะวันตกย่อมจะไม่เหมาะกับสภาพความเป็นจริงของประเทศไทย หลายร้อยปีที่ผ่านมา ภายในเขตวัฒนธรรมขงจื้อของเอเชียตะวันออกซึ่งรวมถึงประเทศไทยมีความทัศนคติด้านการปกครองบ้านเมืองซึ่งสืบทอดมายาวนานว่า “ประเทศมีกษัตริย์เป็นผู้นำสูงสุดฉันใด ในครอบครัวมีพ่อบ้านเป็นหัวหน้าครอบครัวสูงสุดฉันนั้น” “กษัตริย์ก็ต้องปฏิบัติตัวตามหน้าที่ของกษัตริย์ ขุนนางก็ต้องทำหน้าที่ของขุนนาง บิดาก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของบิดา บุตรก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของบุตร” กษัตริย์และบิดาต้องปฏิบัติกับขุนนางและบุตรด้วย “ความเมตตา” ขุนนางและบุตรก็ต้องปฎิบัติตนต่อกษัตริย์และบิดาด้วย “ความจงรักภักดี” อำนาจของกษัตริย์กลายเป็นอำนาจของบิดาในขอบเขตที่กว้างขึ้น เพราะประเทศก็คือครอบครัวในขนาดขยาย กษัตริย์ก็ดูแลประเทศเหมือนดังที่ดูแลครอบครัว โดยใช้ความเมตตาและคุณธรรมสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับพสกนิกร ในขณะเดียวกัน ขุนนางและประชาชนก็ควรรับใช้และเคารพอำนาจของผู้ปกครอง จอมพลสฤษดิ์กล่าวว่า ประชาชนไทยควรจะ “เห็นค่าของระบบพ่อปกครองลูกแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นประเพณีแต่โบราณของเรา...ผู้ปกครองไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้นำครอบครัวขนาดใหญ่ของเราเอง ต้องถือว่าประชาชนทุกคนเป็นลูกของตนเอง ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตากรุณา ต้องดูแลเอาใจใส่ความทุกข์ร้อนของประชาชนเหมือนดังที่ปฏิบัติกับลูกตนเอง”
ดังนั้น เกิดการรัฐประหารได้ไม่กี่วัน “ผู้นำครอบครัวซึ่งมีความเมตตา” ท่านนี้ก็ได้แสดง “แนวทางการปกครองด้วยความเมตตา” ของตนออกมา เขาได้ลดค่าไฟ ราคาสินค้าที่จำเป็นใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น ถ่าน อาหาร น้ำตาล ฯลฯ และได้ส่งน้ำกินน้ำใช้ฟรีให้ทุกครัวเรือนครัวเรือนละ 30 ถัง/เดือน จัดตลาดนัดวันอาทิตย์ และจัดหาสินค้าราคาถูกให้กับประชาชน นอกจากนั้นยังใช้ทหารเรือส่งมะพร้าวล็อตใหญ่มาจำหน่ายในราคาทุน เพื่อกดราคาสินค้า สำหรับพวก “เนื้อร้าย” ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสังคม เช่น ยาเสพติด อิทธิพลมืด
 
จอมพลสฤษดิ์ก็ได้ใช้ไม้แข็งในการปราบปราม พวกคดีวางเพลิงต้มตุ๋น เขาจะไป ณ ที่เกิดเหตุด้วยตนเองและตัดสินโทษผู้ทำความผิดทันทีโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมายซึ่งทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งประเทศ 5 ปีหลังจากนั้น หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์เสียชีวิตลง จอมพล ถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน

จอมพลสฤษดิ์มีคำกล่าวที่มีชื่อเสียงประโยคหนึ่งว่า “ใครก็สามารถก่อการปฏิวัติ (รัฐประหาร) ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อท่านปฎิวัติแล้วท่านจะทำเช่นใดให้ประชาชนยอมรับท่าน” ตั้งแต่ปี 2475 ถึงปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ก่อการรัฐประหาร ในช่วงเวลา 25 ปี ประเทศไทยได้ผ่านการรัฐประหารมาทั้งสิ้น 10 ครั้ง—เฉลี่ยแล้ว 2.5 ปี /ครั้ง มีการประกาศรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 6 ฉบับ จัดการเลือกตั้งแล้ว 9 ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีแล้ว 8 คน มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรวม 26 สมัย สถานการณ์การเมืองเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา ไม่ตกอยู่ระหว่างการทะเลาะกันทางการเมือง ก็เกิด การรัฐประหาร กองทัพที่เป็นอิสระจากรัฐบาลได้กลายเป็นชนชั้นพิเศษที่มีอำนาจทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ระบอบประชาธิปไตยของตะวันตกไม่เคยแตกหน่อออกใบในผืนแผ่นดินแห่งนี้ เกี่ยวกับเหตุผลนี้ ดร. ลิขิต ธีระเวคิน นักรัฐศาสตร์ของไทยมีคำอธิบายไว้อย่างเฉียบคมว่า

“ความพยายามในการก่อรัฐประหารในปี 2475 ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ และได้ก่อตั้งระบอบประชาธิปไตยขึ้นโดยปราศจากสภาพแวดล้อมของวัฒนธรรมประชาธิปไตยแบบตะวันตก กล่าวคือ ไม่มีระบอบและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยมาสนับสนุน ดังนั้น ความพยายามของพวกปฏิวัติจึงไม่เกิดผล การเมืองของไทยก็ได้กลับไปสู่รูปแบบเก่าอีก ซึ่งก็คือการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา”

ในประวัติศาสตร์ที่ทหารเข้ามาปกครองประเทศไทยนั้น ท่านที่สำคัญที่สุดท่านสุดท้ายคือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2523--ซึ่งก็คือบุคคลที่เมื่อสองสามเดือนก่อนได้สวมชุดทหารขอให้นักเรียนโรงเรียนนายทหารอย่ารับใช้เชื่อฟัง “นักการเมืองที่มาจาก การเลือกตั้ง” แต่ว่า พลเอกเปรมไม่ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งด้วยวิธีการรัฐประหาร หากแต่ได้รับเชิญจากนักการเมืองที่ไม่โดดเด่นบางคนให้ขึ้นมาบริหารประเทศ พลเอกเปรมดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เป็นนายทหารมืออาซีพอย่างแท้จริง ไม่มีพรรคไม่มีพวก แต่ว่าทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่นับถือของประชาชนทั่วไป พรรคเสียงข้างมากในรัฐสภาซึ่งได้มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยได้รวบรวมชื่อและเสนอให้นายทหารผู้ที่ไม่เคยลงสมัครเลือกตั้งท่านนี้ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรมได้บริหารประเทศนานถึง 8 ปี โดยระหว่างนั้นยังได้ควบดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกอยู่ 3 ปีกว่า นับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ปกติรัฐบาลจะมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี พลเอกเปรมได้เผชิญกับการรัฐประหารมาจำนวน 2 ครั้ง--พันธมิตรในกองทัพของเขาในอดีตบางส่วนไม่พอใจอย่างมากต่อการที่เขาครองตำแหน่งสูงสุดทั้งทางการเมืองและทหารไว้อย่างมั่นคงเป็นเวลานาน แต่ทว่า พลเอกเปรมก็สามารถเอาชนะกลุ่มที่ก่อการรัฐประหารทั้งสองครั้งได้

ในช่วงเวลาที่พลเอกเปรมบริหารประเทศนั้น ได้เกิดธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งของทหารและตำรวจซึ่งคือ เมื่อถึงวันเทศกาลสำคัญ เช่นวันปีใหม่ของตะวันตกหรือของไทยรวมถึงวันเกิดของพลเอกเปรม หรือเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่สงบ บรรดาทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต้องเดินทางมาทำเนียบรัฐบาลร่วม “พิธีถวายสัตย์แสดงความจงรักภักดี” โดยความจริงแล้วเพื่อต้องการแสดงให้สังคมได้เห็นว่ากองทัพสนับสนุนเขา ในวันเกิดครบรอบอายุ 65 ปี ของพลเอกเปรม มีทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวน 300 กว่านายได้แสดงความจงรักภักดีต่อเขาว่า “พวกเราทุกคนจะปฏิบัติตามคำชี้แนะและคำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรี” พลเอกเปรมได้ตอบรับว่า

“ความสามัคคีของกองทัพและตำรวจเป็นเสาหลักสำคัญของประเทศเรา....ไม่ว่ามีปัญหาอะไร

ขอเพียงพวกเราสามารถรักษาความสามัคคีนี้ไว้ได้ พวกเราก็จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากต่างๆ ที่เข้ามาได้ทั้งหมด” พลเอกเปรมเป็นคนแข็ง ทำอะไรตามอำเภอใจ เคยยุบสภา 3 ครั้งโดยไม่ได้ปรึกษากับสมาชิกคณะรัฐมนตรีและผู้นำรัฐสภาคนใดเลย โดยให้เหตุผลว่า “เป็นอุปสรรคขัดขวางการบริหารบ้านเมือง” เกี่ยวกับด้านสื่อมวลชน พลเอกเปรมล้วนไม่เคยให้ความสนใจ ผู้สื่อข่าวนั้นยากที่จะได้ข่าวอะไรจากปากของเขา และพลเอกเปรมได้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2531 โดยหลังจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาหมายเลขหนึ่งส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประธานองคมนตรีจนถึงปัจจุบัน คนภายนอกเห็นว่าเขาเป็นเสมือนโฆษกส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำพูดของเขาทุกครั้งมักล้วนแต่ถูกมองว่าเป็นพระราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คำบอกเล่าของทักษิณ
หนึ่งในบรรดานายกรัฐมนตรีที่ได้ถูกขับให้ออกจากประเทศนั้น เขาทุกข์และเศร้าใจอย่างมากหลังจากลงจากตำแหน่ง เดิมทีเขาหวังว่าจะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบตุลาการของไทย แต่ผลสุดท้ายกลับโดนไล่ลงจากตำแหน่งและเสียชีวิตอยู่ที่กรุงปารีส ส่วนนายกรัฐมนตรีอีกคนที่ถูกเนรเทศนั้น ครั้งแรกได้ถูกทำเนียบองคมนตรีขับไล่ออกไป หลังจากลงจากตำแหน่งแล้วเขาก็ไปทำสวนที่ต่างจังหวัด โดยภายหลังได้ถูกเชิญให้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ถูกขับไล่ลงจากตำแหน่งอีกโดยการรัฐประหารของฝ่ายทหารและสุดท้ายได้เสียชีวิตลงที่กรุงโตเกียว นอกจากนั้นยังมีนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่ถูกขับลงจากตำแหน่ง เขาผู้นั้นเป็นผู้ซึ่งพยายามพัฒนาให้ประเทศมีความทันสมัยและขจัดความยากจนของประชาชน ผมเชื่อว่าในประเด็นนี้ผมทำได้ดีกว่าเขา


ตอนที่ 5

หลายปีมานี้ นักการเมืองและทหารเหมือนกับโคมไฟม้าหมุน ท่ามกลางเวทีการเมืองที่สั่นคลอนไปมา ดีไม่ดีก็ยุบคณะรัฐมนตรี ดีไม่ดีก็ก่อรัฐประหาร แต่สิ่งที่ทำให้คนตะลึงมากที่สุดคือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงธงหน้าประตูเมือง (ตัวผู้นำ) ชาวไทยก็มีท่าทีที่ยอมคล้อยตามและนิ่งเงียบเช่นที่ผ่านมาตลอด การรัฐประหาร การปฏิรูป ก่อความวุ่นวายและการปฏิวัติหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ไม่มีครั้งไหนที่ประสบความพ่ายแพ้เพราะได้รับการต่อต้านจากประชาชน แม้แต่ การประท้วงขนาดใหญ่ยังเกิดขึ้นน้อยครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กุมอำนาจของประเทศกับผู้ที่เสียภาษีซึ่งเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริงคือ “เรื่องไม่เกี่ยวกับตนเอง ก็เฉยไว้ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย” ไม่สนใจว่าใครจะขึ้นใครจะลง ใครอยู่ใครไป ขอแค่เพียงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ผู้คนก็สงบไม่สะทกสะท้านอะไร นักวิชาการหลายท่านเห็นว่า ท่าทีที่เมินเฉย “เผชิญเรื่องที่ไม่ดีได้อย่างไม่สะทกสะท้าน” ของประชาชนทำให้ทหารสามารถผูกขาดสิทธิอำนาจมาได้ตลอด “อำนาจของทหารมาจากค่านิยมและความเชื่อ” จุดกำเนิดของค่านิยมและความเชื่อนั้นก็มาจากศาสนาและวัฒนธรรม

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในจำนวนประชากร 63 ล้านคน ร้อยละ 95 นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท (หินยาน) ทั่วประเทศมีวัดจำนวน 32,000 กว่าแห่ง พระสงฆ์ 3 แสนกว่ารูป—โดยเฉลี่ยในจำนวนประชาชน 160 คนจะมีพระสงฆ์ 1 คน โดยในกลุ่มนี้หลายคนก็บวชไม่สึกตลอดชีวิต ไม่ว่าในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกที่ทันสมัย หรือในชนบทที่ห่างไกลออกไปก็สามารถเห็นวัดสีทองอร่ามและพระสงฆ์เดินตามท้องถนนทุกหนทุกแห่ง สำหรับปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศและคุณภาพของประชาชนก็คือ การศึกษา ซึ่งในประวัติศาสตร์จะอยู่ในความรับผิดชอบจัดการของพระสงฆ์มาเป็นเวลานาน คนไทยโดยปกติจะสำเร็จการศึกษาระดับประถมในวัด ปัจจุบันนี้ ถึงแม้งานด้านการศึกษาจะได้ส่งมอบให้รัฐบาลเป็นผู้ดูแลแต่โรงเรียนหลายโรงเรียนก็ยังคงอยู่ในวัดเช่นเดิม ศาสนาพุทธก็มีบทบาทควบคุมกระบวนการหล่อหลอมวัฒนธรรมของไทยและมีอิทธิพลอย่างสูงต่อค่านิยมด้านศักดิ์ศรีและความจงรักภักดีกตัญญู รวมถึงความเชื่อของชาวไทย

คนไทยคิดว่า “บุญ” เป็นโชคชะตาชนิดหนึ่ง เป็นผลที่ได้จากการทำบุญทำกุศลในชาติที่แล้ว การสั่งสมบุญมามากหรือน้อยจะกำหนดฐานะของเราในชาตินี้ ยิ่งเป็นคนที่มีบุญมาก ทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมีมาก อำนาจก็จะยิ่งมาก หากสั่งสมบุญไม่พอ โชคชะตาในชาตินี้ก็จะไม่ดี ทำได้เพียงพยายามสร้างกุศลอย่างแข็งขันเพื่อให้ชาติหน้าจะได้ความเป็นสิริมงคลตอบแทน หนังสือเรื่อง <Discourse on the Stages of Yogic Practice> กล่าวว่า “สิ่งที่ทำแล้วจะไม่หายไป สิ่งที่ยังไม่ได้ทำย่อมไม่ได้มา” “หลายร้อยปีที่ผ่านมา ความถูกต้องของเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งอำนาจและการถ่ายทอดอำนาจล้วนแต่อ้างถึงการสั่งสมบุญในชาติที่แล้วและเรื่องวีรบุรุษกลับชาติมาเกิด แม้กระทั่งการลุกฮือขึ้นมาของประชาชนก็ยังใช้เหตุผลเหล่านี้เพื่ออ้างความถูกต้อง” “บุคคลที่มีอำนาจจะอ้าง “การสั่งสมบุญ” ในการกล่าวว่าคนที่ยากจนและคนที่ไม่มีอำนาจในชาตินี้เป็นเพราะชาติที่แล้วไม่ได้สั่งสมบุญไว้ แต่คนที่ร่ำรวยและมีอำนาจก็เป็นเพราะได้สั่งสมบุญไว้ ดังนั้น ไม่ว่าปัจจุบันนี้จะเป็นคนรวยคนจน มีอำนาจไม่มีอำนาจ เป็นสิ่งที่โชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว ทุกคนทำได้แต่ยอมรับโชคชะตา”
ยอมรับสิ่งที่ทำไปในชาติที่แล้ว พยายามแก้ไขทำเพิ่มเติมในชาตินี้ และคาดหวังในชาติหน้า ระบบความเชื่อและค่านิยมทางพุทธศาสนาแบบนี้ได้สะท้อนออกมาในวัฒนธรรมการเมืองซึ่งก็คือ “การยอมรับและทำตาม” อำนาจทางการเมืองเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลชนโดยสวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว ประชาชนทำได้แค่เพียงยอมรับกับสภาพในปัจจุบันและโชคชะตาของตน อิจฉาผู้ที่มีอำนาจและร่ำรวย ปฏิบัติตามเครื่องจักรที่ควบคุมประเทศและบุคคลที่กุมอำนาจการปกครองประเทศอย่างไม่มีเงื่อนไข ผู้ครองอำนาจสามารถหาเหตุผลอ้างอิงอันทรงคุณธรรมที่สวยงามที่สุดจากแนวความคิดทางพุทธศาสนาไว้ได้แล้ว
ลักษณะพิเศษของการรัฐประหารของไทย คือ ไม่เสียเลือดเนื้อ และก็เกี่ยวพันกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา มีชาวตะวันตกหลายคนเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นอภิปรัชญาที่ไม่เกินความพอดี เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตที่สันติ เป็นธรรมชาติ เและอ่อนโยน เพราะว่าศาสนาพุทธห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ “การฆ่าสัตว์”เป็นศีลข้อแรกในห้าข้อของศาสนาพุทธ ถือเป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด และผลกรรมก็น่ากลัวที่สุดด้วย ในพระไตรปิฎกได้บันทึกไว้ว่า ผลกรรมอย่างบาปมหันต์ในขั้นที่ 1 คือ การฆ่าสัตว์จะต้องตกนรกหลายร้อยล้านปีและต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสุดทน ผลกรรมในขั้นที่ 2 คือ ขณะมีชีวิตอยู่ชอบฆ่าสัตว์อยู่เป็นนิจก็จะทำให้อายุสั้นและมีโรคภัยไข้เจ็บมารุมเร้ามากมาย ผลกรรมขั้นที่ 3 ขณะมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย การฆ่าสัตว์ก่อให้เกิดผลกรรมหนักขนาดนี้ การฆ่าคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น ถึงแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงไปมา การต่อสู้ทางการเมืองจะโหดร้ายปราศจากความปราณี รัศมีของการให้อภัยด้วยความโอบอ้อมอารีของพระพุทธศาสนาได้ส่งผลต่อค่านิยมของผู้คน ดังนั้นเหตุการณ์การสังหารผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองนั้นปรากฎให้เห็นน้อยมาก การก่อรัฐประหารที่ผ่านๆ มาก็แทบจะไม่ปรากฎเหตุการณ์หลั่งเลือดขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว ประชาชนก็รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมืองมาตั้งนานแล้ว นาย Sang-sa-ka-di (นายสังคีต--ผู้แปล) นักวิชาการของไทยได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “รัฐบาลและการเมืองไทย” ว่า “คนไทยถือว่าการเมืองเป็นสรรพนามแทนคำว่า เลวร้าย เสื่อมโทรม วุ่นวาย มองนักการเมืองว่าเป็นผู้กระหายใจอำนาจ ใช้อำนาจหน้าที่ตามอำเภอใจ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ชอบโต้เถียงและทะเลาะ ไม่มีใครมีประสิทธิภาพ” นอกจากนั้น ดร.ลิขิต ได้กล่าวในหนังสือเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย”ที่ได้ตีพิมพ์เมื่อปี 2542 ว่า ”ประชาธิปไตยของไทยได้เดินทางมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากระบอบนี้ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสามารถนำประโยชน์มาสู่คนส่วนใหญ่ได้ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ประชาชนเห็นกลับเป็นเพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างนักการเมือง ลอกลวงกันไปมา ทำให้ประชาชนรู้สึกเอือมระอาอย่างที่สุด ได้ปรากฎเค้าลางแสดงให้เห็นแล้วว่าระบอบที่แลกมาด้วยเลือดและชีวิตของวีรบุรุษนั้นอาจจะตกอยู่ในความวุ่นวายซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด คำถามที่ว่า “ระบอบนี้จะสามารถใช้ได้ในประเทศไทยหรือไม่” ได้ก่อเกิดขึ้นในใจของหลายคนแล้ว สิ่งนี้เป็นที่ควรต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังแล้ว และก็ควรหาคำตอบอย่างจริงจังแล้วด้วย”


ตอนที่ 6

การรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทยเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว หลังจากที่พลเอกเปรมได้ลาออก ประเทศไทยจึงได้มีนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนและมาจากการเลือกตั้ง คนแรกในช่วง 12 ปี ซึ่งก็คือ พลเอกชาติชาย ชุญหะวัน เขาเป็นนักปฏิรูป นอกจากการปฏิรูปนโยบายทางเศรษฐกิจและการทูตแล้ว ยังพยายามนำอำนาจที่อยู่ในมือทหารและข้าราชการมาโดยตลอดมาให้แก่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตนเอง ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ขณะที่สายตาจากรอบโลกต่างจับจ่องอยู่ที่ไฟอันลุกโชนจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย พลเอกชาติชายกลับถูกฝ่ายทหารจับตัวอย่างเงียบๆ ที่สนามบินกรุงเทพฯ เหตุผลการก่อรัฐประหารก็เหมือนกับรัฐประหารครั้งที่ผ่านๆ มา คือ “ความฟอนเฟะได้แพร่กระจาย” ผู้นำการก่อรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พลเอกชาติชาย เป็น “นายกรัฐมนตรีที่เหลวแหลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์” ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นไม่นานนายกรัฐมนตรีท่านนี้ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้สร้างปฏิหาริย์แก่เศรษฐกิจไทย” ฝ่ายทหารในฐานะที่มีไพ่เหนือกว่าทั้งหมดไว้ในมือ ไม่ได้ยิงปืนแม้แต่นัดเดียว จะมีก็แต่เพียงลงประโยคสั้นๆในสื่อ ความว่า “คณะมนตรีความมั่นคงซึ่งประกอบด้วยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการสูงสุด และผู้บัญชาการของทหารบก เรือและอากาศ รวมถึงอธิบดีกรมตำรวจประกาศสืบทอดอำนาจการบริหารประเทศ โดยรัฐบาลพลเรือนซึ่งนำโดยพลเอกชาติชาย อดีตนายกรัฐมนตรีได้ถูกโค่นล้มแล้ว”

แต่ทว่า สองสามเดือนหลังจากนั้น ประชาชนชาวไทยที่เผชิญเรื่องร้ายอย่างไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็ได้ลุกขึ้นมาประท้วง แต่มิใช่เพราะว่าพวกเขาตื่นตัวไว แต่เป็นเพราะว่าเหล่าทหารที่มือไม้ว่องไวแต่คิดอะไรแบบง่ายเหล่านี้มองข้ามกระแสประชาธิปไตยที่กำลังเติบโตอยู่ในโลกขณะนั้น โดยฟื้นฟูวัฒนธรรมการรัฐประหารขึ้นในประเทศประชาธิปไตยที่ดำเนินระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษกว่า (หลายคนเห็นว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ”ประชาธิปไตยครึ่งใบ”) ด้วยความฮึกเหิมในทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 พวกเขาผิดสัญญาที่ให้แก่ประชาชน หลังจากก่อรัฐประหารแล้ว นอกจากจะไม่ยอมฟื้นฟูระบอบการปกครองแบบเดิมและไม่สร้างอำนาจรัฐธรรมนูญตามความประสงค์ของประชาชนแล้ว กลับยังแทรกตัวแทนฝ่ายทหารเข้าไปในรัฐบาลอย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็คือ พลเอกสุจินดา โดยให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งยังแก้ไขกฎหมายทำให้ข้าราชการและทหารได้รับอำนาจอันมหาศาล เมื่อเดือนเมษายน 2535 พลเอกสุจินดาแพ้การเลือกตั้งแต่กลับฮึกเหิมแต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับประชาชนเป็นอย่างมากจนมีประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงกันมากขึ้นทุกวัน ครึ่งเดือนให้หลัง ประชาชนที่ออกมาเดินประท้วงมีจำนวนเกินหนึ่งแสนคน ต่อมาในเช้าตรู่ของวันที่ 18 พฤษภาคม กองทัพได้ก็เคลื่อนรถถังเข้ามาในเขต กทม.และได้ประกาศกฎอัยการศึกขึ้นทั่วพื้นที่เมือง ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมคนเกิน 10 คน ผู้นำขบวนประท้วงถูกจับ กลุ่มผู้ประท้วงถูกกล่าวหาว่าเป็น “พรรคคอมมิวนิสต์” เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว ท่ามกลางการกระทำอันรุนแรงที่ เกี่ยวกับการใช้กำลังปราบปรามในแทบทุกประเทศในโลกนั้น มักจะมีฝ่ายซึ่งโชคร้ายที่ถูกขนานนามว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ หากว่ามาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ไม่ทราบว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร

กรุงเทพฯ โชยไปด้วยกลิ่นคาวของเลือดติดต่อกันนาน 3 วัน ทหารได้ยิงบรรดาผู้ประท้วงบรรดาหน่วยแพทย์บางคนที่รีบเข้ามาช่วยผู้บาดเจ็บก็โดนลูกหลงเสียชีวิตลง แม้กระทั่งนักข่าวต่างชาติที่หลบอยู่หลังต้นไม้ที่เก็บภาพเหตุการณ์คนหนึ่งก็หลบลูกปืนไม่พ้น จากการรายงานขององค์การสิทธิมนุษยชนระบุว่า เหตุการณ์รุนแรงนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 52 คน หายสาบสูญไป 200 กว่าคน และบาดเจ็บอีก 600 กว่าคน ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ซึ่งทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองก็ได้ทรงปรากฏพระวรกาย กษัตริย์ผู้มีพระนามว่า พระรามาธิบดีองค์ที่ 9 พระองค์นี้ทรงมีฐานะดั่ง ”สมมุติเทพ” ในดวงใจของผู้คนทั้งประเทศ ทรงเป็นดังหลักศิลาที่ตั้งอยู่อย่างมั่นคงในท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและพลิกผันตลอดเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พลเอกสุจินดาและพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำฝ่ายที่ประท้วง (ซึ่งเป็นผู้นำ ”พันธมิตรเพื่อประชาชน” ที่ต่อต้านรัฐบาลของทักษิณในครั้งนี้) เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับฟังพระราชโอวาท โดยได้ให้โทรทัศน์ถ่ายทอดสดตลอดการเข้าเฝ้าฯ

ด้วยเหตุฉะนี้ ประชาชนทั้งประเทศจึงได้เห็นภาพที่ระทึกใจทางหน้าจอโทรทัศน์ กล่าวคือ ภาพของนายทหารผู้ที่ใช้ลูกปืนกราดใส่ฝ่ายค้านได้อย่างไม่เสียดาย และนักสู้ที่ต่อสู้โดยไม่คิดชีวิต ซึ่ง ณ นาทีนั้น ทั้งสองได้ก้มลงกราบแทบพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความเคารพเทิดทูน “ปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว การนองเลือด เมื่อคนเราได้กระทำการรุนแรงขึ้น ผลที่ออกมาจึงยากที่จะควบคุมได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายของประเทศ มีอะไรน่าภูมิใจหรือ? ดังนั้นจึงได้เชิญพวกท่านมา ไม่ใช่ให้มาเผชิญหน้ากัน แต่ให้มาพูดจากัน” พระราชดำรัสที่กล่าวเตือนอย่างตรงไปตรงมา พระจริยวัตรอันเลิศล้ำ และเปี่ยมด้วยคุณธรรมสูงส่ง ตลอดจนพระเดชบุญญาบารมี ทั้งสองคนคุกเข่านิ่งเป็นเวลานานเบื้องหน้าพระพักตร์ของ “องค์พระผู้ทรงธรรม”
ฉากสุดท้ายซึ่งนายทหารไทยถอยออกจากเวทีการเมืองได้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันน่าตื่นตะลึงที่ยากจะลืมเลือนได้และด้วยน้ำพระทัยที่หาที่เปรียบมิได้ในครั้งนั้น พลเอกสุจินดาประกาศลาออกด้วยตนเอง การเลือกตั้งจึงถูกจัดขึ้นใหม่อีกครั้ง
จนถึง ณ ปัจจุบัน ฝ่ายทหารได้ใช้เวลาถึง 15 ปีในการจำศีลอย่างว่านอนสอนง่าย ทำให้คนคิดเดาไปว่ายุคสมัยของการรัฐประหารได้สิ้นสุดแล้ว แต่ทว่า ในความเป็นจริงพวกเขาได้ใช้กระบองตีหัวผู้คนที่มีความฝันอันสวยงามในระบอบประชาธิปไตยไปเรียบร้อยแล้ว

คำบอกเล่าของทักษิณ
สังคมโลกล้วนเห็นว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งปกติธรรมดาในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยในประเทศนี้มีปัญหามากเพียงใด ในวันนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นในอดีตแล้ว ศตวรรษที่ 21เป็นศตวรรษแห่งความเชื่อมโยง เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นในประเทศหนึ่งก็จะส่งผลต่อไปอีกประเทศหนึ่งในทันที เช่น วิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ย่อมทำลายผลประโยชน์ของชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งทำให้ความเชื่อมั่นที่สังคมโลกมีต่อประเทศไทยนั้นสั่นคลอน เมื่อสังคมโลกสูญเสียความไว้วางใจและเชื่อมั่นต่อคุณแล้ว เศรษฐกิจระบบทุนนิยมก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ในประเทศไทย

คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 29 วันที่ 20 กันยายน 2549 พลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้ บัญชาการการก่อการรัฐประหารจัดการแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน ณ กรุงเทพฯ

******************************



หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:35
พี่ๆ บางท่านที่สูงวัยแล้ว อาจจะอ่านจนตาลาย ขอให้มาพักสายตากับรูปสวยๆของน้องลิเดียนะคะ เดี๋ยวน้องลิเดียจะมาแปะต่อ คิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/9/92/Lydia_1.jpg)


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 07-08-2007, 01:42
พี่ๆ บางท่านที่สูงวัยแล้ว อาจจะอ่านจนตาลาย ขอให้มาพักสายตากับรูปสวยๆของน้องลิเดียนะคะ เดี๋ยวน้องลิเดียจะมาแปะต่อ คิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


รูปหย่ายยมากจ้ะลิเดียย
ว่าแต่น้องลิเดียท่าทางรู้ใจผู้สูงอายุ
สงสัยจะชอบชายหนุ่มวัยประมาณ 60 ใช่มะ :slime_smile2: :slime_inlove:



หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:43
ต่อเลยนะคะ น้องลิเดียรีบเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวป๋าเรียก คิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



บทที่ 3 ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

ตอนที่ 1

ความคิดล้มล้างทักษิณโดยการรัฐประหารทางทหารกำลังดำเนินการต่อไป

วันที่ 19 กันยายน 2550 เวลา 18.30 น. กรุงเทพมหานคร มีข่าวว่า 4 หน่วยรบพิเศษจากภาคตะวันออก 4 จังหวัดของไทยกำลังทำการรวมกำลังพล ภายหลังการตรวจสอบแล้ว พบว่ากองกำลังทั้ง 4 หน่วยคือกรมทหารราบที่ 31 กรมทหารม้าที่ 23 กรมทหารม้าที่ 24 และกองพลที่ 2 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังสำคัญจากกองทัพภาคที่ 3 และกองทัพภาคที่ 5

ในคืนวันเดียวกันนั้น กองกำลังเหล่านี้พร้อมอาวุธครบมือได้เข้ามาทำการคุมสถานการณ์ด้านทิศตะวันออกและเหนือรอบ กทม. เป็นบริเวณ 100 กม. การที่กองกำลังพิเศษที่ประจำการอยู่ที่ จ. ลพบุรีไม่ได้เดินทางกลับค่ายทหารหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการฝึก เป็นการแสดงออกถึงอาการที่น่าเคลือบแคลงใจ เพราะว่าจุดหมายการเดินทางของกองกำลังพิเศษ จ. ลพบุรีและกองกำลังรถหุ้มเกราะตอบโต้เร็วและกรมทหารราบที่ 9 จังหวัด กาญจนบุรี นั้นล้วนมุ่งมาที่ กทม. โดยที่จังหวัดทั้งสอง (กาญจนบุรี และลพบุรี) ล้วนห่างจะกรุงเทพฯ เป็นเวลาเพียง 2 ชั่วโมง

ในเวลาเดียวกันนั้น มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กำลังเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้นักวิเคราะห์ล้วนคิดว่า พล.อ. เปรมฯ ผู้ซึ่งมีฉายาว่า “เพชรฆาตแม่น้ำเจ้าพระยา” คือค้นคิดผู้บงการการรัฐประหารอย่างลับๆ
ในการสนทนาของทักษิณครั้งหนึ่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ทักษิณเคยบอกว่า มีกระแสนอกรัฐธรรมนูญ (unconstitutional power) กำลังพยายามขับไล่เขาออกจากตำแหน่ง ซึ่งคนต้นคิดและบงการกระแสนี้เป็นบุคคลที่มีบารมีเป็นอย่างมาก (charismatic person) โดยมีหลายคนเชื่อว่าเป็น พล. อ. เปรมฯ
ถึงขนาดที่ว่า ภายหลังเหตุการณ์ระเบิดรถยนต์ในเดือนสิงหาคมที่หมายลอบสังหารทักษิณไม่กี่วัน มีบุคคลที่สนับสนุนทักษิณนับสิบคนได้เดินทางไปพบกับ พล. อ. เปรมฯ ที่บ้านพัก ขอร้องให้ พล. อ. เปรมฯ ที่ซึ่งกำลังฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่ 86 อย่างสนุกสนานว่า “ขอให้แสดงความเมตตา ไว้ชีวิต นรม.ทักษิณด้วย” แม้ว่า พล. อ. เปรมฯ จะไม่ได้ออกมาพบกลุ่มคนเหล่านี้ แต่ก็ได้ส่งตัวแทนออกมารับหนังสือขอร้องจากคนกลุ่มนี้

ตามคำบอกเล่าของคนสนิทของ พล. อ. เปรมฯ ในช่วงเวลานั้น เปรมฯ “หน้าดำคร่ำเครียด ไม่ค่อยยอมพูดจากับใคร” นอกจากนั้น ยังมีข่าวลืออีกว่า ทักษิณที่ตอนนั้นอยู่นิวยอร์ก เมื่อได้ทราบข่าวว่าจะมีการทำรัฐประหาร เคยคิดว่าจะชิงลงมือก่อน โดยทำการควบคุม พล. อ. เปรมฯไว้ เพื่อยับยั้งการเกิดขึ้นของรัฐประหาร ทั้งนี้ การที่กองกำลังตำรวจประสบกับการพ่ายแพ้ในการดำเนินการเข้าควบคุมตัว พล.อ. เปรมฯ นั้นไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่เป็นที่รู้กันว่า ในคืนที่มีการทำรัฐประหารนั้น ผู้ที่เป็นคนพา พล.อ. สนธิ บุญยรัตนกลิน เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัวคือ พล.อ.เปรมฯ

ณ บัดนั้น สารวัตรทหารที่ตรึงกำลังอยู่ทั่ว กทม. ก็ได้รับคำสั่งตรงจาก ผบ. ทบ. สนธิฯว่า กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลไทย “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” จะมีการจัดการชุมนุมประท้วง “โค่นทักษิณ” ครั้งยิ่งใหญ่ในวันที่ 20 ก.ย. 50 เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ขอให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อมเป็นเวลา 24 ชม. นี่ก็เป็นการดำเนินการที่เป็นไปอย่างธรรมชาติเพราะ การที่ตำรวจต้องถือกระบอง ใส่เครื่องแบบรัดๆ ในอากาศที่ร้อนจัดเดินตามผู้ประท้วง ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น ทำให้ตำรวจกว่า 2 หมื่นนายของ กทม. ไม่เคยได้หยุดพักเลย เพราะหลายเดือนที่ผ่านมามีการประท้วงโค่นล้มทักษิณ และการเดินขบวนสนับสนุนทักษิณเกิดขึ้นโดยตลอดอย่างไม่มีการว่างเว้น อย่างเช่น มีครั้งหนึ่งที่ผู้ชุมนุมประท้วงจำนวน 1 แสนคนเดินทางมาทำเนียบรัฐบาลเพื่อทำการประท้วง ซึ่งในโอกาสนั้น กรมตำรวจได้จัดสรรเจ้าหน้าที่ตำรวจ 6 พันนายมาควบคุมสถานการณ์

สำหรับการประท้วงในวันที่ 20 ก.ย. 50 ก็คาดว่าจะมีผู้ร่วมประท้วงกว่า 1 แสนคนเช่นกัน โดยผู้ประท้วงจะมารวมตัวที่ถนนที่ใหญ่อันดับ 5 ของกรุงเทพฯ และทำการนั่งขวางจราจรเพื่อขอร้องให้ทักษิณลงจากตำแหน่ง เพราะฉะนั้น ข่าวการที่มีคำสั่งให้สารวัตรทหารเตรียมพร้อม ก็ไม่ได้ทำให้สื่อมวลชนรู้สึกใดๆ นัก สถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุต่างๆ ก็ยังถ่ายทอดรายการของตนต่อไป โดยไม่มีใครรู้สึกได้ถึงพายุฝนที่กำลังจะมาเยือน

18.55 น. สำนักข่าวไทยได้ทำการประกาศว่า “นรม. ทักษิณ ชินวัตรจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เร็วกว่ากำหนด 1 วัน โดยจะเดินทางกลับถึง กทม. ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 49” สำหรับสาเหตุของการเปลี่ยนกำหนดการเดินทางนั้น ไม่ได้มีการกล่าวถึงหรือให้คำอธิบาย ถ้าหากมองจากจุดนี้ ขณะที่ทักษิณอยู่ที่นิวยอร์ก ตัวทักษิณเองก็ทราบแล้วถึงข่าวที่ว่าฝ่ายทหารจะกระทำการรัฐประหาร การที่ทักษิณให้สำนักข่าวไทยออกประกาศนี้เป็นการบอกผู้ที่จะกระทำการรัฐประหารว่า “ผมรู้แล้วถึงแผนอันชั่วร้ายของพวกคุณ ผมกำลังจะกลับไปจัดการกับเรื่องนี้เอง หากจะกลับตัวกลับใจซะตอนนี้ก็ยังไม่สาย!” หรือไม่ก็อาจจะเป็นการบอกกลุ่มคนที่ยังสนับสนุนเขาอยู่ว่า “ไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น จงเดินหน้าหยุดยั้งและบดขยี้การทำรัฐประหาร สำหรับที่เหลือผมจะจัดการเอง”

แต่ว่า ณ เวลานี้เขาไม่สามารถเดินทางกลับมาได้เพราะเหตุการณ์นั้น อันตรายเกินไป ดังนั้นเขามีความจำเป็นที่จะต้องสังเกตุการณ์ความเป็นไปของเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ รอดูว่าจะแก้ไขวิกฤตนี้อย่างไร เพราะว่าหากการทำรัฐประหารประสบความสำเร็จ การที่เขาจะกลับไปตอนนี้ก็เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ในภาวะปัจจุบันเขาทราบเพียงแต่ว่า เสียงสนับสนุนหรือเสียงไม่สนับสนุนเขาในกองทัพ จะเป็นสิ่งที่ตัดสินผลลัพธ์ของรัฐประหารในครั้งนี้ เขาไม่มีวันที่จะคาดคิดได้ว่า ในที่สุดแล้วเหตุการณ์นี้จะเป็นสงครามแย่งชิงของสื่อมวลชน ใครสามารถควบคุมสื่อมวลชนได้ ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้

ฝ่ายทหารชิงลงมือเพื่อแย่งชิงโอกาส เมื่อประมาณ 19.00 น. มีนายทหารแต่งชุดเต็มยศเดินทางเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์ ททบ. ช่อง 5 และได้ทำการเตรียมพร้อม “ข่าวพิเศษ” ไว้ 1 ชุด แม้ว่าสาเหตุของการทำรัฐประหารจะซับซ้อน แต่ขั้นตอนการกระทำนั้นดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ไร้ซึ่งความแปลกใหม่ ประสบการณ์การทำรัฐประหารกว่า 70 ครั้งในประวัติศาสตร์ไทยบอกเราว่า ก่อนฝ่ายทหารจะทำการรัฐประหารจะต้องทำการส่งกองกำลังทหารพิเศษเข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ขอให้สถานีต่างๆ ยุติการถ่ายทอดรายการของตนและเปลี่ยนเรายการป็น รูปของพระราชวงศ์ เปิดเพลงปลุกใจ รักชาติ และถ่ายทอดสารคดีพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็จะมีการส่งกองกำลังรบพิเศษไปพระราชวังสวนจิตรลดา รักษาความปลอดภัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการกระทำทั้งสองนั้นก็เพื่อที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของผู้กระทำรัฐประหาร เพราะหากว่าพระมหากษัตริย์ออกมาไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร อนาคตของผู้นำรัฐประหารก็มีเพียงการเนรเทศตัวเองทางเดียว หลังจากนั้น รถถังก็จะออกมาวิ่งบนถนนในกรุงเทพมหานคร ทหารถือปืนกลก็จะมายึดทำเนียบนายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจในการบริหารประเทศ แล้วก็จะมีการประกาศปลดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ยกเลิกรัฐธรรมนูญ และการนำมาซึ่งการบริหารประเทศภายใต้ระบบการปกครองใหม่


ตอนที่ 2

เวลา 07.30 น. ท้องฟ้าสว่างแล้ว ณ นครนิวยอร์ก เสียงของมหานครก็เริ่มดังขึ้น มหานครที่มีชีวิตชีวาที่สุดในโลกก็กลับเข้าสู่ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ที่คุ้นเคย
ขณะนั้น นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีที่พักอยู่ ณ โรงแรมไฮแอท บนถนน 42 (avenue) กำลังจะเดินลงมารับประทานอาหารเช้า ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ซึ่งเมื่อรับ ผู้ที่พูดคือนายกรัฐมนตรี “คุณมาที่ห้องผมหน่อย”

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้อง presidential suite ในห้องมี ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี นายพันธุ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาด้านนโยบาย นายทอม เครือโสภณ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี .... นั่งอยู่แล้ว 10 กว่าคน ซึ่งทุกคนที่เป็นบุคคลสำคัญในการเดินทางมาร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติล้วนมาครบแล้ว โดยที่ในระหว่างนั้นก็มีคนเคาะประตูและเดินทางเข้ามาอยู่เรื่อยๆ นายแพทย์สุรพงษ์ฯ รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องไม่ค่อยที่จะสู้ดีนัก มีหลายคนที่หน้าตาเต็มไปด้วยความกังวล

สำหรับหน้าตาของท่านนายกรัฐมนตรีนั้นกลับดูธรรมดา ไม่เหมือนกับว่ามีความกังวลใด ทว่าประโยคที่ท่านกล่าวออกมาจากปากนั้นทำให้ทุกคนตกใจ
“ที่กรุงเทพฯ คืนนี้อาจมีการทำรัฐประหาร พลเอกสนธิฯ กำลังทำการเคลื่อนกำลังพล”

“เจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว” พันธุ์ศักดิ์พูดไปสั่นหัวไป ในกลุ่มคนกลุ่มนี้เขาเป็นเพียงผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงคนเดียวที่เคยประสบกับเหตุการณ์ฝ่ายทหารทำรัฐประหาร นั่นก็คือเมื่อ 15 ปีก่อนเขาเคยอยู่ในรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ตอนที่รัฐบาลชาติชายถูกฝ่ายทหารทำรัฐประหาร

“พวกมันกล้าที่จะทำจริงๆ หรือ?”
 
นั่นคือปฏิกริยาแรกของแทบจะทุกๆ คน ทุกคนไม่เชื่อว่าหลังจากที่การทำรัฐประหารโดยฝ่ายทหารได้เงียบหายไปเป็นเวลา 15 ปี ทหารไทยในปี 2550 ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยโดยฝ่ายทหารจะทำการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันการใช้กำลังทหารไปล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นถูกประชาคมโลกประณาม ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการแก้ไขปัญหาทางการเมืองอย่างประชาธิปไตยก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย เพราะการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งใหม่ก็กำลังจะมาถึงในเร็ววัน แต่คนพวกนั้นกลับกล้าทำสิ่งนี้ในช่วงเวลานี้!

“พวกมันไม่มีทางประสบความสำเร็จ”

“ใช่ พวกมันไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
...

ในขณะที่สถานะทางการเมืองของนักการเมืองสูงศักดิ์และสูงเกียรติกลุ่มนี้ไม่มั่นคงนั่งถกกันถึงผู้บงการการรัฐประหาร พัฒนาการของสถานการณ์ จุดจบของเหตุการณ์ ใครเป็นพวกใคร ใครแย่งอะไรกับใคร ควรจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร... อยู่ในห้องโรงแรมในนิวยอร์ก สิ่งที่แปลกที่สุดคือ แม้ว่าวาระแห่งความวินาศจะมาถึง แต่ว่าน่าประหลาดใจที่คนกลุ่มนี้โดยทั่วไปยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่า รัฐประหารจะต้องถูก “บดขยี้” ปรปักษ์ของรัฐบาลจะไม่ประสบความสำเร็จ! เพราะว่าทหารที่จงรักภักดีต่อนายกรัฐมนตรี ประชาชนที่รักและเทิดทูนนายกรัฐมนตรี ปัญญาชนที่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร คนเหล่านี้จะยอมและไม่แยแสปล่อยให้ทหารใช้กำลังกระชากนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งลงมาจากเก้าอี้เช่นนั้นฤา ยิ่งกว่านั้นทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่อยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งติดต่อกัน 2 สมัย เป็นผู้นำไทยคนแรกที่สามารถก่อตั้งรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยพรรคการเมืองเดียว นอกจากนั้นยังเป็นดาวเด่นทางการเมืองของเอเชียที่นานาประเทศจับตามอง เป็นนักการทูตที่สามารถสานสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย จีนและประเทศมหาอำนาจอื่นๆ กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่สามารถดึงดูดมวลชนหมู่มากในชนบท พร้อมกันนั้นยังได้รับการเทิดทูนยกย่องจากประชาชนเหล่านั้นโดยเรียกท่านว่าเป็น “นายกฯรากหญ้า” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ประชาชนจะไม่แยแสและยอมให้เกียรตินิยมของทักษิณแปดเปื้อน ผลงานถูกทำลาย และชีวิตการเมืองของเขาจะต้องถูกรัฐประหารทำให้จบสิ้นลง? ตลอดระยะเวลา 1 ปีของวิกฤตทางการเมือง แม้ว่าคนที่คัดค้าน ด่าทอและโจมตีทักษิณอยู่ไม่น้อย แต่ว่าผู้เห็นด้วยและสนับสนุนทักษิณนั้นก็เข้มแข็งไม่น้อยไปกว่ากัน ---นี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ทักษิณสามารถอยู่รอดทางการเมืองมาได้จนปัจจุบันท่ามกลางเสียงคัดค้านรัฐบาลของประชาชน
ตอนที่นายกรัฐมนตรีถูกกระแส ”โค่นทักษิณ” รุมโจมตีและประสบกับภาวะวิกฤต ประชาชนไทยโดยเฉพาะชนชั้นเกษตรกรก็ได้ยืดอกเดินก้าวออกมาปกป้องนายกรัฐมนตรี เกษตรกรจำนวนหลายหมื่นคนเดินทางสู่กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทักษิณ ซึ่งสิ่งนี้ในประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นพวกที่คิดจะล้มล้างเขาจะกล้าทำสิ่งที่เขาคิดโดยไม่คำนึงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมวลชน


ตอนที่ 3

คนเหล่านี้คิดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นาน...

ใต้แสงแดดเดือนมีนาคมของภาคกลางของประเทศไทย ลมพัดหอบใหญ่ทำให้บนถนนใหญ่เกิดเป็นม่านฝุ่นที่ดูเหมือนมังกรดินตัวหนึ่ง มังกรดินตัวนี้คดๆ งอๆ ทอดตัวตามแกนเหนือ-ใต้ยาวหลายกิโลเมตร มีเกษตรกรกว่า 3 หมื่นคนที่มาจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังโดยสารยานพาหนะนานาชนิดเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พวกเขากลางวันเดินทาง กลางคืนพักเอาแรงโดยทำการปูเสื่อบนข้างทางแล้วก็นอนตัวลงอย่างง่ายๆ ซึ่งก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นอนหลับเอาแรงใต้พาหนะของเขา มีเกษตรกรคนหนึ่งสวมหมวกสาน ผิวคล้ำกรำแดด มือหนึ่งพยายามเช็ดเหงื่อของเขา ขณะที่เขาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า “จากเชียงรายถึงกรุงเทพฯ ไกลซะจริงๆ ตั้ง 700 กว่า กม. เนี่ยผมขับรถมา 14 วันแล้ว ระหว่างขับรถผมก็เสียไปตั้ง 7 -8 หน” ซึ่งสิ่งที่เกษตรกรคนนี้เรียกว่ารถนั้น คือรถแทรกเตอร์ที่กำลังจอดควันขโมงอยู่ข้างๆ เขานี่เอง รอบๆ รถคันนี้ ยังมีแทรกเตอร์ รถตัดหญ้า รถอีแต๋น รถปิ๊คอัพ ฯลฯ ที่สภาพพอๆ กันอีก 600 กว่าคัน ซึ่งบนรถทุกคันมีชาวชนบทบ้างนั่งบ้างยืนอยู่เต็มพิกัด จุดประสงค์การเดินทางของคนพวกนี้ง่ายมาก คือจัดตั้งเวทีของพวกเขาในกรุงเทพฯ เพื่อตอบโต้กลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล และช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีทักษิณที่ตกอยู่ท่านกลางการรุมล้อมของชาวกรุง นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่เกษตรกรเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี รวมตัวกันได้เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ขนาดนี้และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง แม้ว่าคนที่มาจากชนบทเหล่านี้จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่ค่อยจะดี อากัปกิริยาอาจจะไม่ค่อยสู้ดี เหนื่อยล้า สีหน้าซีดเซียว – พวกเขาก็เดินทางกันมา 10 กว่าวัน โดยได้นำเอาอุปกรณ์ในการหุงหาอาหารมาด้วยเพื่อทำการหุงหาอาหารระหว่างทาง แต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าคนเหล่านี้นั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ สำหรับสิ่งที่คนเหล่านี้พูดก็ทำให้ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก มีเกษตรกรคนหนึ่งกล่าวว่า “อุปสรรค และความยากลำบากต่างๆ นานาที่เราพบบนท้องถนน ก็เช่นเดียวกับความยากลำบากที่ท่านนายกรัฐมนตรี พวกเราทำได้ นายกก็ต้องทำได้เช่นกัน”

ตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคมที่คดีขายหุ้นเกิดขึ้น ทักษิณก็อยู่ภายใต้ความกดดันอันยิ่งใหญ่ กลุ่มผู้คัดค้าน “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ได้ทำการตั้งเวทีที่สวนลุมพินีสวนสาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ เป็นแหล่งเคลื่อนไหว ทั้งวันทั้งคืนทำการปราศัยและทำการชุมนุม ซึ่งคำปราศัยของแกนนำขบวนการ”โค่นทักษิณ” เจ้าพ่อสื่อ สนธิ ลิ้มทองกุลสามารถปลุกระดมผู้คนได้มากที่สุด ทุกประโยคที่เขาพูดจะต้องขึ้นด้วย “พ่อแม่พี่น้อง...” แล้วตามด้วยข้อความยืดยาวที่กล่าวว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไร้ซึ่งความเมตตา ไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่ซื่อสัตย์ เชื่อถือไม่ได้ ไม่จงรักภักดี ไม่กตัญญูรู้คุณคน คอร์รัปชั่นโกงกิน ... สนธิ ลิ้มทองกุลบอกนักข่าวว่า “ช่วงกลางวันมีผุ้เข้าร่วมกว่า 1 แสนคน สำหรับช่วงกลางคืน ในช่วงที่มีคนมาร่วมสูงสุดถึง 5 หมื่นคน” ตัวเลขเหล่านี้แม้จะค่อนข้างเกินจริงไปบ้าง แต่ว่าการประท้วงบนท้องถนนกรุงเทพฯ นั้นยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้น โดยมีการชุมนุมประท้วง 5 ครั้งที่มีผู้คนร่วมด้วยเกิน 1 แสนคน ผู้มาร่วมประท้วงยาวรวมตัวกันเป็นแถวยาวเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนทำให้การจราจรอัมพาตในที่ที่กลุ่มผู้ประท้วงไปถึง นอกจากนี้ยังมีการนำเอาผ้าสีเหลือง-สัญลักษณ์ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาผูกไว้บนหัวและแขน พร้อมกับชูธงชาติ และป้ายต่างๆ นานาที่ต่อต้านรัฐบาลและทำให้ทักษิณดูไม่ดี ภายใต้การบรรยายของฝ่ายต่อต้านทักษิณ ทักษิณมีเขี้ยวโง้วราวหมูป่า และในปากมีลิ้น 2 แฉกของอสรพิษแลบออกมา หรือไม่ก็มีการใส่ผ้าปิดตาโจรสลัดกัปตันฮุค มีมือข้างหนึ่งเป็นตะขอ หรือไม่ก็มีภาพล้อเลียนอีกภาพหนึ่งที่เอาหน้าทักษิณไปแปะไว้บนตัวจระเข้ โดยจระเข้ตัวนั้นใส่บิกีนี่และทำท่ายั่วยวน ผู้ประท้วงยังมีการคลี่คำขวัญ “ทักษิณ นายกฯ ไทยที่ห่วยที่สุด” และตะโกน “ทักษิณ ออกไป!”

ข่าวลือกระจายไปทุกหัวระแหง คำตำหนิด่าทอทักษิณดั่งน้ำครำถังแล้วถังเล่าถูกสาดลงไปบนหัวทักษิณ ถึงขั้นที่ว่ามีการใช้เวทมนตร์เข้าช่วย มีบางคนที่ยืนอยู่บนเวทีต่อต้านทักษิณ ทำการสั่งสอนให้ผู้หญิงที่มาฟังอยู่ด้านล่างของเวทีสาปแช่งนายกฯ—การเอารูปภาพทักษิณลอดหว่างขา 3 ครั้งจะทำให้ทักษิณมีอันต้องออกจากประเทศไทยไปสิงคโปร์ นักวิจารณ์สังคมที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากเช่น ส. ศิวรักษ์ ประกาศว่า “แม้ว่าผมไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง แต่ก็มีข่าวลือหลายกระแสที่กล่าวว่าทักษิณและบุคคลในคณะรัฐมนตรีมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย—ไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ขอเพียงเขาลงจากตำแหน่งเรื่องราวอันฉาวโฉ่ด้านเพศก็จะได้รับการเปิดเผยออกมา ดังเช่นสฤษดิ์ ธนรัชต์ ณ บัดนี้ แม้กระทั่งพระสงฆ์ที่ไม่ข้องแวะกับการเมืองก็เริ่มเดินออกจากวัดมาเคลื่อนไหว ลูกศิษย์ “สันติอโศก” ภายใต้การนำของหลวงตามหาบัวได้ทำการประกาศตำหนิรัฐบาลทักษิณว่า ชั่วร้ายเลวทราม โกงกิน เน่าถึงราก หลงใหลอำนาจ

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 49 นายกฯผู้ที่ถูกคลื่นเสียงคัดค้านถาโถมเข้ามาจนไม่สามารถทนได้อีกแล้ว ออกมายืนต่อหน้าบรรดานักข่าวแล้วยกป้ายอันหนึ่งขึ้นมาด้วยหน้าตาเหลืออดว่า “หากว่ายังมีคนเหล่านี้ ก็ขอให้ส่งเสียงสนับสนุนเหล่านั้นมาที่ที่อยู่นี้—ทำเนียบรัฐบาลไทย” แล้วเขาจะนำเสียงสนับสนุนเหล่านั้นมาแปะไว้บนกำแพงของทำเนียบฯ จะได้ทำให้พวกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขาหมดกำลังใจ หลังจากนั้น 2 วันได้มีการจัดการชุมนุมเพื่อสนับสนุนทักษิณอย่างยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนที่สนามหลวง การชุนนุมครั้งนี้มีข่าวว่าเป็นการจัดการของพรรคไทยรักไทย โดยที่พรรคต้องการให้ ส.ส. ทุกคนระดมผู้สนับสนุนมาร่วมงานอย่างน้อย 500 คน สื่อในกรุงเทพฯ รายงานว่ามีผู้สนับสนุนมาร่วมงาน 2 แสนคนในขณะที่นักข่าวต่างชาติคาดเดาว่ามี 1 แสน 5 หมื่นคน ทักษิณกล่าวว่า ในอดีตเขาได้แต่อดทนและอดกลั้นต่อการกระทำของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ที่เขาไม่เคยสนับสนุนให้มีการชุมนุมเพื่อสนับสนุนเขานั้น เป็นเพราะเขาพยายามที่จะรักษาความสงบในภาพรวมเอาไว้ แต่บัดนี้เขาต้องการให้คนกลุ่มนั้นที่ไม่ชอบเขาเห็นพลังของประชาชน ผู้ที่มานั้นมีการเขียน ตะโกนคำขวัญ นอกจากนั้นทุกคนยังใส่ที่คาดหัวที่พิมพ์ว่า “พวกเรารักนายก” ในคืนเดียวกันนั้น ท่ามกลางทะเลของเสียงโห่ร้องสนับสนุน ทักษิณเดินออกมาที่ใจกลางสนามหลวง แสดงความเคารพผู้ที่มาสนับสนุนเขา พร้อมกับยื่นกิ่งมะกอกให้กับกลุ่มผู้คัดค้านเขา “พวกเราเคยเป็นเพื่อนกัน ผมยอมที่จะลืมสิ่งที่พวกคุณทำในอดีต หากมีความไม่พอใจอะไรเราควรจะนั่งลงคุยกัน ไม่ใช่มาปุกปั่นให้ประเทศชาติแตกแยก” พร้อมกันนั้นทักษิณก็ได้เสนอความคิด “รัฐบาลประชาชน” ยินยอมที่จะปล่อยวางการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และหวังที่จะจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยดึงเอาพรรคการเมืองอื่นมาร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้ง

ทว่าการออมชอมทางการเมืองมักจะมาสายเกินไป กลุ่มคนที่คัดค้านทักษิณไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น พวกเขายังวุ่นอยู่กับการจัดการชุมนนุมเดินประท้วงครั้งต่อไป เช้ามืดวันที่ 14 มี.ค. มีผู้คนที่ตื่นเช้ากว่า 3 -4 แสนคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง คนกลุ่มนี้มีทั้งนักศึกษา กรรมกร ปัญญาชน ผู้ต่อต้านโลกาภิวัฒน์ และแม่บ้าน ในตอนแรก ทุกคนตั้งใจฟังปราศัยโจมตีรัฐบาล หลังจากนั้นการแสดงก็เริ่มขึ้น มีบางคนเริ่มเต้น บางคนร้องเพลง บางคนแสดงละครเสียดสีการเมืองระบอบทักษิณ—ชนิดของการแสดงนั้นหลากหลายมาก เมื่อทุกการแสดงจบลงก็จะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะ เสียงก่นด่า เสียงผิวปาก... และ”ทักษิณออกไป” เมื่อผู้คนในลานมารวมตัวกันมากขึ้น ขบวนเดินประท้วงที่ประกอบด้วยคน 1 แสนคน (บ้างก็บอกว่า 7 หมื่นคน แต่ว่า Associated Press รายงานว่ามี 1 แสนคน) ก็เริ่มเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาลที่อยู่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงหน้าตึกทำเนียบฯ พวกเขาต้องการที่จะสร้างกำแพงมนุษย์ปิดล้อมไม่ให้ทักษิณสามารถเดินทางไปมาจากทำเนียบรัฐบาลได้

ผู้บัญชาการการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็คือ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้เมื่อ 15 ปีก่อนเคยนำประชาชนออกมาต่อต้านรัฐบาลทหาร จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ก่อนที่เขาจะเคลื่อนขบวน เขาตะโกนบอกกลุ่มชนว่า “ต้องอดทนรอให้ทักษิณออกจากตำแหน่ง ต้องใช้วิธีการที่ไม่รุนแรง ต้องยึดมั่นในเส้นทางสันติภาพ จนกระทั่งเราจะได้ชัยชนะ” ซึ่งในวันนั้น ขบวนผู้ประท้วงก็ปฏิบัติตัวอย่างมีเหตุมีผลและทำการประท้วงอย่างสงบ เห็นได้จากตลอดเส้นทางนอกจากบรรยากาศที่เคียดแค้นและเสียงตะโกนก่นด่าไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเลย โดยที่สองข้างทางผู้คนก็มองผู้ประท้วงเดินผ่านไปอย่างเงียบเงียบ เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงเดินทางถึงทำเนียบรัฐบาลแล้วก็เริ่มทำการนั่งสมาธิบนท้องถนน การนั่งสมาธิประท้วงครั้งนี้ดำเนินไปเป็นเวลา 20 กว่าวัน--จนกระทั่งทักษิณลาออกจึงยุติลง ซึ่งระหว่างการนั่งสมาธิประท้วงนั้นก็มีคนเกิดอาการช็อคเพราะว่าทนอากาศร้อนไม่ไหว

สื่อไทยรายงานว่า “ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 ประเทศไทยไม่เคยมีการประท้วงที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน” นอกจากนั้นแล้ว ขนาดของการประท้วงต่อต้านรัฐบาลก็ยิ่งใหญ่ชนิดไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ประท้วงที่หวังจะช่วยนายกฯ ที่ยังเดินทางอยู่บนถนนมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีนักการเมืองไทยคนไหนที่ตกอยู่ท่ามกลางความแตกแยกที่ยิ่งใหญ่เท่านี้ ในบ้านความเห็นที่ไม่ตรงกันทำให้สมาชิกในครอบครัวมองกันดั่งศัตรู พนักงานขับรถแท๊กซี่ไล่ผู้โดยสารลงจากรถเพราะว่าความเห็นไม่ตรงกัน ประชาคมโลก cyber ก็ตอบโต้กันอย่างรุนแรงตาม web board ต่างๆ แม้กระทั่งนักเรียนประถมที่ “รักทักษิณ” กับ “โค่นทักษิณ” ก็ไม่ยอมมองหน้ากัน ประเทศทั้งประเทศตกอยู่ในภาวะที่สับสนและขัดแย้งกัน ซึ่งความขัดแย้งนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทยเช่นกัน

วันที่ 18 มี.ค. เหล่ามิตรของนายกฯ เดินทางถึงเมืองหลวง พวกเขาจอดพาหนะต่างๆ ของเขาทิ้งไว้ในทุ่งที่ห่างจากกรุงเทพฯ 40 กิโลเมตร แล้วก็เดินเท้ากันเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงเวลานั้น ก็มีผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ และผู้ขับรถแท็กซี่ กว่า 400 คนร่วมขบวน คนเหล่านี้กล่าวว่า นายกฯปราบปรามอาชญากรรมอย่างหนัก ทำให้ตำรวจที่คดโกงและกลุ่มอันธพาลไม่กล้าแบมือเรียกร้องค่าคุ้มครองจากเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องไปร่วมสนับสนุนนายกฯ ยามที่ทุกคนผ่านเลนส์ของนักข่าว พวกเขาก็จะชูสองนิ้ว (เมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ทักษิณประกาศเลือกตั้ง เบอร์ที่เขาจับได้ให้กับพรรคไทยรักไทยก็คือเบอร์ 2 ดังนั้นการชู 2 นิ้วก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนพรรคไทยรักไทย ซึ่งการชูนิ้ว 2 ก็หมายถึงชัยชนะเช่นกัน) หลังจากเดินทางถึงกรุงเทพฯแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้ตั้งชื่อกลุ่มตัวเองว่า “คาราวานคนจน” (ซึ่งสื่อก็เรียกคนเหล่านี้ว่ากระจัดกระจายดั่งทรายในกระบะ) ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้ยึดเอาสวนจตุจักรเป็นที่ตั้งมั่น

วันที่สองที่กลุ่มคนนี้เข้ามา ก็ได้ทำการเผาหุ่นของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และตัวแทนของชาวเมือง สาเหตุมาจากการที่คนกลุ่มนี้กล่าวหาว่ารัฐบาลกรุงเทพมหานครพยายามขับไล่พวกเขาออกจากสวนจตุจักร โดยไม่มีการจัดหาน้ำกินมาให้ และจัดหาห้องน้ำเคลื่อนที่เพียง 2 ห้องมาให้พวกเขาใช้ สำหรับคนในเมืองแล้ว พวกเขามองว่าผู้สนับสนุนทักษิณไร้วัฒนธรรม “มีเงินจ่ายก็ทำ” นอกจากนั้นแล้ว”เศษเหล็ก”ของพวกเขาที่จอดอยู่ก็ขัดกับกฎจราจร ซึ่งสำหรับเรื่องเหล่านี้ เกษตรกรไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ พวกเขาก็ทำการก่อสร้างเวทีง่ายๆ แล้วเริ่มตอบโต้กลุ่มผู้คัดค้านรัฐบาลทักษิณ มีเกษตรกรรายหนึ่งที่ได้ฟังปราศัยของสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวอย่างโมโหว่า “ที่เขาพูดปาวปาวว่า พ่อแม่พี่น้อง พวกเรานี่แหละพ่อแม่พี่น้องตัวจริง”

กลุ่มผู้สนับสนุนชาวเกษตรกรนั้นไม่มีเครื่องแบบที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไม่ค่อยถนัดในการปราศัย ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่มีลวดลายเหมือนกับผู้ประท้วงที่ต้องการโค่นทักษิณ พวกเขาชอบจัดคอนเสิร์ต”เรารักทักษิณ” มีทั้งฝ่ายชายร้องเดี่ยว ชายหญิงร้องคู่ ใต้แสงไฟนีออน ทุกครั้งที่ร้องจบหนึ่งเพลงเหล่านักแสดงก็จะพนมมือแล้วก็ขอบคุณผู้ชมที่อยู่ในความมืดใต้เวที นอกจากนั้น ในบางโอกาสก็มีคนที่มีอารมณ์ร่วมถึงขั้นลุกขึ้นมาเต้นรำตามดนตรี เมื่อถึงยามดึกคนพวกนี้ก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าของสวนสาธารณะ

เมื่อถึงเวลาอรุณรุ่ง พวกเขาก็จะใช้น้ำจากก๊อกน้ำที่ใช้รดน้ำต้นไม้ล้างหน้า สีฟัน อย่างง่ายๆ แล้วก็นั่งใต้แสงแดดที่ร้อนแผดเผาไปตลอดวัน—พวกที่ประท้วงคัดค้านทักษิณเช่นกันก็นั่งอยู่ตาม 2 ข้างถนนเส้นที่ทอดผ่านข้างทำเนียบฯ ช่วงกลางวัน และตอนค่ำ คนที่รับผิดชอบด้านอาหารการกินก็จะทำการแจกจ่ายอาหาร ชาวเกษตรกรไม่เหมือนชาวเมืองที่ไม่ว่าอะไรนิดอะไรหน่อยก็ออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม นอกจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับผู้คัดค้านทักษิณฯ ที่สวนลุมพินี เกษตรกรส่วนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในสวนลุมพินี โดยที่ผู้โดยสารรถยนต์ชาวกรุงในบางโอกาสก็จะมองลงมาจากสะพานต่างระดับ ผู้ชุมนุมชาวเกษตรกรยืนยันว่า พวกเขาจะอยู่ในกรุงเทพฯ จนกระทั่งวันเลือกตั้ง วันที่ 2 เม.ย. โดยกล่าวว่า “เกษตรกรที่ตกทุกข์ได้ยากจะสนับสนุนนายกฯ ตลอดไป โดยพวกเราพร้อมรับบัญชาจากนายกฯ”

วันที่ 2 เม.ย. วันเลือกตั้ง ผู้สื่อข่าวต่างชาติกว่า 100 คนได้พบกับฉากที่ชวนให้ตื้นตันใจในโรงเรียนประถมที่ตั้งอยู่บนด้านซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะว่า ณ โรงเรียนประถมแห่งนี้ ทักษิณผู้ที่ถูกการประท้วงเคี่ยวกรำมาอย่างยาวนาน จะมาทำการลงคะแนนเสียงในฐานะประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่หน่วยเลือกตั้งนี้ ซึ่งตั้งแต่เช้ามืดนักข่าวที่มาจากนานาชาติก็ได้เดินทางมาล้อมโรงเรียนประถมแห่งนี้เพื่อเตรียมทำข่าว เมื่อเวลา 9.25 น. ทักษิณก็ได้พาลูกชาย รปภ. และลูกน้องของเขามาลงคะแนนเสียง ทักษิณใส่เสื้อสีฟ้า ไม่ได้กลัดกระดุมบน 2 เม็ดอย่างที่เขาทำมาโดยตลอด ท่ามกลางห่าคำถามของนักข่าว ทักษิณเพียงพูด 1 ประโยค “ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ...เวลาของการทำตามขบวนการทางกฎหมายมาถึงแล้ว” แล้วเขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วก็ทำท่า “จุ๊จุ๊” หลังลงคะแนนเสียงแล้วทักษิณก็ขึ้นรถเบนซ์ S600 แล้วก็บึ่งออกไป คำพูดและการกระทำของทักษิณทำให้เหล่านักข่าวผิดหวัง แต่เหล่านักข่าวก็ผิดหวังได้ไม่นาน เพราะว่ามีผู้หญิงกลางคนคนหนึ่งหลังจากลงคะแนนเสียงแล้วก็หยิบสมุดเนื้อเพลงออกมา 1 เล่ม แล้วก็เริ่มร้องเพลงอย่างไม่สนใจใคร เพลงที่ผู้หญิงคนนี้ร้องเป็นเพลงประกอบละครทีวีดังในช่วงเวลานั้น “แดจังกึม” โดยเพลงชื่อว่า “ความหวัง” โดยเนื้อเพลงมีอยู่ว่า

มองว่าวล่องลอยไปไกลแสนไกลแต่เส้นด้ายก็ยังไม่ขาดสะบั้นลง
มองชีวิตเสมือนถนนยาวหมื่นลี้ที่คดเคี้ยวและทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
มองการก้าวเดินของความเสียสละที่ทำให้อบอุ่น
ความรักที่อบอุ่นคอยเฝ้าระลึกถึงรอยยิ้ม...

ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “พวกคนไม่สังเกตหรือ แค่ไม่กี่เดือนนายกฯ แก่ไปเยอะ คงเป็นเพราะถูกความขัดแย้งทางการเมืองทรมานเอา ฉันอยากจะบอกให้ท่านยึดมั่นและแน่นหนักโดยไม่ลดละ เหมือนกับตัวแสดงหลักในเพลง “ความหวัง” ความมานะเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งชัยชนะ ฉันลงคะแนนให้เขา 1 คะแนนและส่งความหวังอีก 1 ความหวัง”

แม้ว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. จะมีผู้คนไม่ไปใช้สิทธิ์สูงถึง 10 ล้านคน แต่ว่าทักษิณและพรรคไทยรักไทยของเขาก็ยังมีผู้ที่สนับสนุนถึง 16 ล้านเสียง และได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนร้อยละ 57 นอกจากจังหวัดทางภาคใต้แล้ว พรรคไทยรักไทยได้เสียงสนับสนุนร้อยละ 70 จากประชาชนในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้จากการเลือกตั้งในครั้งนั้น ส.ส. สังกัดพรรคไทยรักไทยกว่า 200 คนได้รับเลือกตั้ง แม้แต่ในกรุงเทพฯ ที่มีการประท้วงขับไล่ทักษิณอย่างต่อเนื่อง กว่าร้อยละ 40 ของคนกรุงเทพฯ ก็ลงคะแนนเสียงให้พรรคไทยรักไทย

นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำไมทักษิณกล้าที่จะออกมาต่อต้านผู้ที่ขับไล่เขาและรัฐบาลของเขา และสาเหตุที่เขาไม่ยอมที่จะลาออกจากตำแหน่ง และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมแม้ว่าเขาจะลาออกแล้วหลังการเลือกตั้งเขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและทำการบริหารประเทศอีกครั้ง นอกจากนั้นแล้ว ความเชื่อมั่นที่เขามี ทำให้ภายหลังการเลือกตั้งทักษิณสามารถมีเวลาคิดว่าจะยอมรับตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ และสาเหตุที่ทำให้เขาและคนสนิทของเขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าการรัฐประหารจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แม้ว่าพวกเขาจะทราบข่าวว่าการทำรัฐประหารของทหารได้เริ่มขึ้นแล้ว



ตอนที่ 4

ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นนายกฯที่ได้รับการยกย่องจากกลุ่ม”รากหญ้า” (คนจนพูดว่าเขาเป็น”นายกฯ คนเดียวที่มาพูดคุยกับเราในกระต๊อบของเรา”) เขาเป็นนายกฯ ที่นำเอาการ ”ช่วยเหลือเกษตรกร”เป็นอุดมการณ์ของตนในการเป็น”นายกฯนักปฏิรูป” นอกจากนั้น เขายังเป็นนายกฯ ที่นำเอกการ”ขจัดความยากจน”มาเป็นจุดประสงค์ในการบริหารประเทศของ”นายกฯในฝัน”ของตัวเขาเอง ภายหลังที่เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาได้ผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจที่ให้ผลประโยชน์ต่อเกษตรกรและคนจน ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย แม้แต่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็ยากที่มีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้น

ทักษิณเคยพูดไว้ในปี ค.ศ. 1998 ตอนที่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศไทยคือความจนทั่วหน้า” นี่คือข้อสรุปทีเขาได้จากการลงพื้นที่ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วประเทศ ปีแล้วปีเล่า การแก้ปัญหาความยากจนเป็นเหมือนกับฝีหนองที่คอยทรมานประเทศ ในประชากร 63 ล้านคน มีอยู่เกือบ 10 ล้านคนที่อยู่ในเกณฑ์ยากจน ประชากรกว่าร้อยละ 80 ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ความแตกต่างทางรายได้ระหว่างเมืองและชนบทอยู่ที่ 4 เท่า ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความแตกต่างทางรายได้มากที่สุดในโลก ในหมู่บ้านบางหมู่บ้านในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีเกษตรกรบางคนที่มีรายได้ไม่ถึง 30 เหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 240 หยวนจีน) มีบางคนที่มีรายได้ไม่ถึง 30 บาทต่อวัน (ประมาณ 6 หยวนจีน) หรือเทียบเท่ากับค่าก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม ทักษิณกล่าวว่า “ความยากจนเปรียบเสมือนสภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของคนปกพร่อง หากสภาวะความเป็นอยู่ของผู้ยากไร้ไม่ดีขึ้นแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของสังคมก็จะเกิดปัญหา โรคร้ายหรือสิ่งร้ายต่างๆ ก็จะบุกรุกเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด โกงกิน การศึกษาไม่ทั่วถึง ฯลฯ” ซึ่งสาเหตุของความยากจนทักษิณเชื่อว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารของรัฐบาล “ปัญหาคนจนแก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่สำเร็จเพราะการเมืองเป็นกิจการที่ต้องใช้เงิน เมื่อนักการเมืองได้รับเลือกตั้งเขาก็มีภาระอันหนักอึ้ง 2 อย่าง อย่างแรกคือต้องหาวิธีให้ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสามารถเรียกคืนเงินทุนที่เขาใช้ไปในการเลือกตั้ง อย่างที่สองคือเตรียมเงินทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพียงแค่นี้นักการเมืองก็ยุ่งพอแล้ว มีเวลาที่ไหนคิดถึงพวกคนจน?” เพราะฉะนั้น ในการบริหารประเทศ ทักษิณเชื่อว่าต้องเริ่มที่การแก้ปัญหา”ความยากจน” เพราะว่า “หากเราไม่ทำการเปลี่ยนวิธีการคิด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นอย่างเดิม ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ทำงานเหมือนกับที่เราทำเมื่อวาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก่อนที่ปัญหาเก่าจะได้รับการแก้ไข ปัญหาใหม่ก็จะเกิดขึ้น”

คำบอกเล่าของทักษิณ
การที่เราทำสิ่งนี้ให้กับประชาชนนั้นไม่พอ เพราะว่ามีเรื่องอีกหลายอย่างที่เราทำสายเกินไปแล้ว พวกเราต้องทำมากกว่านี้ เราต้องปรับโครงสร้างหนี้ของคนเหล่านี้ ทำให้คนเหล่านี้สามารถมีเงินไปสร้างบ้าน หาการงานทำ นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องช่วยเหลือเขาปรับปรุงโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของเรา มีมาตรการทางการตลาดรองรับและช่วยเหลือพวกเขา ทางด้านนี้เราจำเป็นที่จะต้องทำในมิติมหภาค หากประชาชนมีความมั่นคงประเทศชาติก็จะเข้มแข็ง เปรียบได้กับการที่เรายืนอยู่บนโต๊ะ หากเรายกโต๊ะขึ้นเราก็จะสูงขึ้นด้วย เพราะว่าพวกเราทุกคน ไม่ว่าหน่วยงานรัฐบาล พ่อค้านักธุรกิจ รวมถึงประเทศไทยล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานซึ่งก็คือประชาชนคนธรรมดา ดังนั้นหากเราสามารถยกระดับประชาชนให้สูงขึ้นได้ ทุกคนก็จะสูงขึ้นด้วย นี่คือปรัชญา นี่คือแนวทางความคิดพื้นฐานของผม

ทักษิณได้ตั้งเข็มทิศทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยว่า “ขจัดความจน เป็นตัวแทนของรากหญ้า” หลังจากนั้น 2 ปี เขาก็นำพรรคไทยรักไทยลงสมัครเลือกตั้ง คำขวัญของพรรคที่ใช้ในการเลือกตั้งคือ “ทำใหม่ คิดใหม่” เขาสัญญาว่า หากพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นพรรครัฐบาล แนวทางในการบริหารประเทศคือ “ยึดเอาเกษตรกรรมพื้นฐาน” คืนประโยชน์ให้กับประชาชน นโยบายจะมุ่งเน้นไปในการแก้ปัญหาให้กับผู้คนในชนบทและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในเมืองใหญ่ นโยบายพรรคไทยรักไทยได้รับความตอบรับอย่างดีจากคนยากคนจนในชนบท ทำให้พรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งครั้งนั้น ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอยในการเลือกตั้ง ทำให้ทักษิณที่อายุเพียง 52 ปีเดินขึ้นส่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“การขจัดความยากจน”กลายเป็นภาระกิจแรกของรัฐบาลใหม่ ทักษิณได้ประกาศว่าในระยะเวลา 2 สมัย หรือ 8 ปี จะแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศให้อย่างสิ้นซาก สำหรับวิธีการนั้น สิ่งแรกคือจะต้องเตรียมพร้อมทุนและโอกาสให้กับคนจนพลิกฟื้นโชคชะตาของตน “ขอเพียงให้โอกาสพวกเขา ปลดปล่อยศักยภาพของพวกเขา ก็สามารถแก้ไขรากฐานปัญหาความยากจน ส่งผลให้มวลชนสามารถพึ่งพาตัวเองในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของตัวเองได้” หน้าที่ของรัฐบาลคือคอยให้โอกาสที่เหมาะสมและเงินทุนเริ่มต้นก็เพียงพอแล้ว


คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมคิดว่าปัญหาพื้นฐานของประเทศไทยคือความยากจน แต่ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงยากจน หรือว่าเป็นเพราะการศึกษาไม่พอ? ไม่มีโอกาส? เข้าไม่ถึงข่าวสารหรือขาดแคลนเงินทุน? ต่อมาผมพบว่า เงินทุนนั้นเป็นปัญหาสำคัญ ผมมีเพื่อนสมัยประถมที่ขับรถแท๊กซี่ที่บ้านเดิมของผม แต่ว่าเมื่อตอนผมและเขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาในอนาคตจะกลายเป็นคนขับรถแท๊กซี่ นี่เป็นเพราะเขาไม่มีเงินทุน และไม่ได้รับการศึกษาทีดีนัก ทำให้ลูกต้องตามรอยเท้าของพ่อ และยากที่จะหลุดพ้นจากชะตาของคนรุ่นพ่อ เพราะฉะนั้นผมเลยพยายามทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คนจนยากจน ผมคิดว่าหากพวกเขามีโอกาสที่พอเพียง สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลสำคัญ มีหนทางเข้าถึงเงินทุน และได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น พวกเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้



ตอนที่ 5

“โครงการกองทุนหมู่บ้านละล้าน” เป็นโครงการแรกของรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลกลางได้เทเม็ดเงิน 7-8 หมื่นล้านบาทเข้าไปในหมู่บ้าน 7-8 หมื่นหมู่บ้าน ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วทุกหมู่บ้านจะได้รับเงิน 1ล้านบาทเพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นเงินที่ชาวบ้านสามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น เกษตรกรสามารถไปกู้เงินออกมาจากกองทุนเพื่อนำไปใช้ในการแปรรูปผลผลิต หรือนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนในการทำการค้าเล็กน้อยระหว่างที่ว่างเว้นจากการทำนาทำสวน หรือไม่ก็นำเงินไปซื้อวัตถุดิบ แล้วใช้ความสามารถของตนในการผลิตหัตถกรรมเพื่อนำไปขาย เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง

ในช่วงเวลาหนึ่ง หน้าประตูของคณะกรรมการบริหารหมู่บ้านมีชาวบ้านยืนยิ้มปริต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อกู้เงินจากกองทุนหมู่บ้าน ในอดีตเมื่อเกษตรกรไม่มีเงิน หากญาติสนิทมิตรสหายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย พวกเขาก็ต้องหันหน้าไปพึ่ง “เงินกู้นอกระบบ” ทำธุรกิจ “เงินกู้นอกระบบ”เจริญรุ่งเรืองตามหมู่บ้านยากจนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งดอกเบี้ยของเงินกู้นอกระบบนั้นก็สูงอย่างน่าตกใจ มีตั้งแต่ 20 – 200 เปอร์เซนต์ แต่ว่าทำอย่างไรได้ นอกจากโดนเขาเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่มีทางสู้ เพราะว่าประตูธนาคารนั้นเปิดให้กับคนมีเงิน การกู้จำเป็นต้องมีสินทรัพย์มาจำนอง หากไม่มีทรัพย์สินและสินทรัพย์หรือว่ามีเพียงกระต๊อบที่มีค่าไม่กี่บาท การกู้เงินก็เป็นสิ่งที่แม้เห็นอยู่ตรงหน้าแต่ก็ไกลเกินเอื้อม

คำสรรเสริญนายกฯคนใหม่ก็เริ่มดังขึ้นอย่างรวดเร็วตามชนบทของประเทศไทย เหล่าเกษตรกรคิดว่าทักษิณ “เป็นคนดีมาก” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “เขาเชื่อมั่นในตัวพวกเรา” ในการอภิปรายนโยบายนี้ในรัฐสภา พรรคฝ่ายค้านประณามโครงการนี้ว่าจะส่งเสริม “พฤติกรรมสร้างหนี้ของคนจน” พอถึงเวลาคืนเงิน “เอาเงินนั้นไม่มี ถ้าเอามีแต่ชีวิตคืนให้” ซึ่งจะทำให้หนี้เสียในประเทศนั้นเพิ่มมากขึ้น แต่ในทางกลับกันทักษิณเชื่อว่า แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสีย ก็ต้องจัดหา”แหล่งเงินทุนที่สุจริตและเป็นธรรม”ให้กับผู้ยากไร้เหล่านี้ มองโดยรวมแล้ว นโยบายนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย 2ปีให้หลัง สถิติก็เป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกนักการเมืองที่เหมาเอาว่าความยากจนเท่ากับความไม่ซื่อสัตย์ เหมาเอาว่าคนจนเป็นคนหลอกลวงนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง! เพราะว่ามีผลงานวิจัยทางสถิติชิ้นหนึ่งของหน่วยงานสถิติแห่งหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ในจำนวนเงินกู้กว่า 1หมื่นล้านมีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้นที่เป็นหนี้เสีย โดยที่เหลืออีกร้อยละ 97 มีการชำระเงินตามกำหนด

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมจัดสรรให้ทุกหมู่บ้านเงินทุนจำนวนหนึ่ง แม้ว่าจำนวนตัวเงินจะไม่มาก แต่ว่าเงินจำนวนนี้สามารถเป็นขุมทรัพย์น้อยๆ ของพวกเขา ที่พวกเขาสามารถนำไปใช้ตามที่พวกเขาเห็นสมควรในการนำไปใช้เป็นเงินทุนเริ่มต้นสำหรับการพยายามดิ้นให้หลุดพ้นออกจากภาวะความจน ในอดีตเกษตรกรไม่รู้จักการไปขอเงินกู้จากธนาคาร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ สิ่งที่ผมทำคืออัดฉีดเงินทุนให้หมู่บ้านเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยชาวบ้านเป็นผู้บริหารเอง ซึ่งทุกหมู่บ้านจะต้องทำการคัดเลือกคณะกรรมการหมู่บ้าน 9 – 15 คน และคณะกรรมการนี้จะเป็นผู้บริหารการปล่อยกู้การนำเงินกู้ไปใช้ สาเหตุเพราะพวกเขาทราบดีว่าใครทำอะไร ทำให้คนเหล่านี้ระมัดระวังในการปล่อยเงินกู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำได้สำหรับธนาคารทั่วไป ดังนั้นคณะกรรมการหมู่บ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับการบริหารเงิน แต่ยังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่พวกเขาต้องไปทำด้วย เช่นป้องกันการแพร่ระบาดเข้ามาในชุมชนของยาเสพติดเป็นต้น เมื่อหมู่บ้านเข้มแข็ง การบริหารประเทศก็จะเป็นเรื่องง่าย

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินทางไปดูตลาดสดของหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วพูดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก”โครงการกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน” ในอดีตเขาเป็นคนที่ยากจน ต้องพึ่งพาทำสวนทำนาหาเลี้ยงชีพ เขาต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา แต่เขาไม่เคยมีเงินทุนเริ่มต้นที่จะทำสิ่งนี้ หลังจากที่เขาได้รับเงินกู้ เขาก็เอาเงินไปซื้อเตาปิ้ง เนื้อแกะ เครื่องปรุง และเปิดร้านขายเนื้อย่างในตลาดสด เงินที่ได้จากการขายเนื้อย่างทุกวันรวมแล้วมากกว่าเงินที่ได้จากการปลูกข้าวในอดีต เขาบอกว่าเขาต้องขอขอบคุณผมเป็นอย่างมาก ตัวอย่างอย่างนี้ผมพบเห็นมานักต่อนักตามหมู่บ้านในชนบท
ทักษิณยังเข็นนโยบาย “พักหนี้ชั่วคราว 3 ปีและลดระดับหนี้” ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหายากจน เขาสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยไปสำรวจทุกท้องที่ของประเทศและจัดให้ผู้ยากไร้มาทำการขึ้นทะเบียน พร้อมอธิบายถึงสภาพหนี้สินของตน เพื่อดูว่าพวกเขาเป็นหนี้อยู่เท่าใด แหล่งหนี้มีอะไรบ้าง หลังจากนั้น จากความสามารถในการใช้หนี้ ขอให้หน่วยราชการท้องถิ่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการ ลด พัก หรือยกเลิกภาระหนี้สินของพวกเขา
1 เม.ย. 2544 หลังทักษิณเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 2 เดือน เขาก็ประกาศว่าจากวันนี้ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2547 ภายในระยะเวลาสามปี เกษตรกรที่มีภาระหนี้สินกับ ธกส. ไม่เกิน 1 แสนบาท ไม่จำเป็นต้องทำการจ่ายเงินชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี สิ่งนี้จะทำให้คนเหล่านี้มีเวลาเพียงพอในการสะสมเงินทุน ทำให้พวกเขาสามารถนำเงินทุนที่สะสมได้ไปใช้ในการฟื้นฟูและขยายการผลิต โดยที่เมื่อคนเหล่านี้มีรายได้แล้วค่อยเอาเงินมาคืนธนาคารก็ไม่สาย หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลก็ได้ทำการปัดฝุ่นโครงการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหมู่บ้าน และการฝึกอบรมเทคโนโลยีใหม่ให้แก่ประชาชนที่หยุดไปหลายปี โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยยกระดับความสามารถในการผลิต จากข้อมูลสถิติของธนาคารกสิกรไทย มีเกษตรกร 2 ล้าน 3 พันคนที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ โดยจำนวนหนี้ที่ถูกพักการจ่ายคืนอยู่ที่ 1แสนล้านบาท

สำหรับเกษตรกรแล้ว ทักษิณได้คิดหาทางลด และยกเลิกภาระหนี้ให้กับพวกเขา เขาสั่งการให้สหกรณ์การเกษตรเป็นตัวนำในการเจรจากับพวกผู้ประกอบการกิจการเงินกู้นอกระบบ ให้ธนาคารของรัฐซื้อหนี้เน่าทั้งหมดแล้วยกเลิกดอกเบี้ยของยอดเงินนั้นๆ โดยหากลูกหนี้มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากไร้มากถึงขั้นที่ไม่สามารถจ่ายภาระดอกเบี้ยได้ สามารถทำการลดภาระหนี้ของคนเหล่านี้ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งของยอด โดยมีเวลา 20 ปีในการผ่อนชำระ จากสถิติมีผู้ยากไร้ 1,300,000 คนได้รับการลด ยกเลิกหนี้โดยคิดเป็นหนี้จำนวน 42,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลทำการรับผิดชอบภาระเงินจำนวนนี้

คำบอกเล่าของทักษิณ
ทุกครั้งที่ผมคิดว่าเราจะสามารถให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างไร ผมก็คิดถึงว่ายอดรวมของหนี้พวกเขามีอยู่เท่าใด และประเทศสามารถรับรองภาระดอกเบี้ยได้เท่าไร นอกจากนี้ หากพักการคืนหนี้เกษตรกรจะต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใด พวกเขาถึงจะสามารถฟื้นฟูการผลิตของพวกเขาได้ สภาพปัจจุบันของเกษตรกรไทยหารือกับคนไข้ที่ถูกทับโดยก้อนหินใหญ่ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือช่วยพวกเขายกก้อนหินออกไป หลังจากนั้นต้องช่วยทำการฟื้นฟูสุขภาพให้กับพวกเขาด้วย หากเปรียบกับจำนวนเงินที่ถูกใช้ไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ความจริงแล้วจำนวนเงินที่รัฐบาลนำไปใช้จ่ายกับผู้ยากไร้นั้นไม่มากเลย ในช่วงเวลานั้น เพื่อปกป้องค่าเงินบาท ปกป้องไม่ให้บริษัทล้มละลาย และปกป้องชื่อเสียงของประเทศ พวกเราต้องเสียหายไป 1.3 ล้านล้านบาท แต่ว่าในวันนี้จำนวนเงินที่เราจะใช้ในการช่วยเหลือเกษตรกรส่วนใหญ่ของไทยใช้เงินแค่ 2 แสนล้านบาท หากคิดดูแล้วมันเป็นเงินจำนวนไม่เท่าไหร่เลย

2 นโยบายที่ล้วนมุ่งให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน ทำให้พวกเขามีโอกาสก่อร่างสร้างตัว ทว่า “ความยากจนเพราะการเจ็บป่วย” ก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชนบทของไทย ในหลายๆ โอกาสการเจ็บป่วย ในหลายๆโอกาสการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ก็สามารถลากครอบครัวที่มีฐานะดีลงสู่ห้วงเหวแห่งความยากจน ดังนั้นนโยบายที่ 3 ของทักษิณ “30 บาทรักษาทุกโรค” –นโยบายก็ส่งผลให้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคม ในประเทศไทย ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจนั้นมีประกันสุขภาพ และประชาชนที่ยากจนก็ได้รับประกันสังคม “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” ในความเป็นจริงแล้วเป็นการซื้อประกันสุขภาพให้กับผู้ยากไร้ทั้งหมด รัฐบาลจัดสรรเงิน 1308 บาทต่อคนให้กับคนไทยทุกคน และประชาชนเพียงจำเป็นต้องจ่ายเงินเพียง 30 บาท (เทียบเท่า 6 หยวนจีน) ก็สามารถมีสิทธิ์รับการรักษาโรคต่าง ๆ รวมทั้งโรคร้ายแรง เช่นโรคหัวใจ ฯลฯ จากโรงพยาบาลของรัฐ โดยที่ค่าใช้จ่ายที่เหลือรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติในระยะแรก โรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐล้วนประสบปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาล แผนกคนไข้นอกมีคนไข้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ตารางคิวผ่าตัดของหมอผ่าตัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเดียวอันสั้น สำหรับคนไข้ที่ไม่สามาถหาเงินมาจ่ายค่าผ่าตัดแล้วจำเป็นต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป ตอนนี้พวกเขาสามารถใช้บริการนี้ด้วยค่าใช้จ่ายที่แสนถูกรักษาโรคของเขา ผลลัพธ์คือมีชีวิตไม่น้อยที่ได้รับการช่วยเหลือจากนโยบายนี้ นอกจากนี้รัฐบาลยังเข็นนโยบาย “ประกันภัยเอื้ออาทร” ออกมา โดยกำหนดว่า ผู้ที่มีรายได้ต่ำขอเพียงจ่าย 365 บาทต่อปี (เทียบเท่า 73 หยวนจีน) ก็สามารถซื้อประกันชีวิต และประกันอุบัติเหตุ ซึ่งในกรณีที่ผู้ซื้อประกันเสียชีวิตหรือทุกพลภาพก็จะได้รับเบี้ยชดเชย 3 แสนบาท (เทียบเท่า 6 หมื่นหยวน)
ในโลกนี้ไม่มีประเทศใด—แม้แต่ประเทศทุนนิยมที่ร่ำรวยที่สุด หรือประเทศสังคมนิยม—กล้าที่จะนำมาตรการประกันสุขภาพสำหรับประชาชนที่ราคาถูกเท่านี้มาใช้ เพราะการทำเช่นนี้รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายซึ่งใหญ่หลวง แต่ว่าสำหรับทักษิณการที่เขากล้าทำสิ่งนี้ในประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยเช่นประเทศไทย ทำให้สื่อทั่วโลกในเวลานั้นทำการรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบ้างเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วย แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้คนยอมรับความกล้าของทักษิณมากขึ้น
พรรคฝ่ายค้านทำการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายนี้ในรัฐสภาอย่างเผ็ดร้อน ฝ่ายค้านพูดว่านโยบายที่มโหฬารจะดึงประเทศชาติลงไปในโคลนตม อ้างถึงสถิติรัฐบาลไทย ระหว่างปี 2544 – 2546 รัฐบาลใช้เงินไปกับโครงการรักษาพยาบาล 54,100 ล้านบาท และในปี 2547 รัฐบาลใช้เงินไป 60,900 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีช่องว่างทางงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปเติมเต็ม เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างทำการแสดงความไม่พอใจเพราะว่าปริมาณงานที่มากขึ้นของพวกเขานั้น เงินเดือนของพวกเขาแทบจะไม่มีการขึ้นเลย นอกจากนั้นแล้วการที่รัฐบาลจัดสรรเงินทุนไม่ได้ประสิทธิภาพ ทำให้ในหลายโอกาส โรงพยาบาลก็จำเป็นที่จะต้องควักเนื้อตัวเอง ต่อมาทักษิณก็ยอมรับว่าในช่วงเวลาที่วางแผนนโยบายนี้ซึ่งมีสีสรรความเป็นสังคมนิยมค่อนข้างมาก ยังขาดความเข้าใจในข้อจำกัดของความเป็นจริงและค่อนข้างอุดมการณ์เกินไป แต่ว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มีคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ทำให้พวกเขามีโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตและโชคชะตาตนเอง

คำบอกเล่าของทักษิณ
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายแรกในประวัติการณ์ของประเทศไทย มีประชาชนผู้ยากไร้ 18 ล้านคนได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ ที่ผ่านมาผู้ยากไร้หลายต่อหลายคน รอเป็นปีก็ไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ เพราะพวกเขาไม่มีเงิน นอกจากนั้นเพราะความจนของเขา พวกเขาต้อง “ขอร้อง” ไม่ใช่ “ไปใช้” บริการการรักษา โครงการนี้ทำให้คนพวกนี้สามารถไปหาหมอ ได้รับความยุติธรรมในการบริการ และการรักษาที่ได้คุณภาพ ทำให้สุขภาพและชีวิตประจำวันของเขาดีขึ้น และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้รับการปกป้อง
 
ในช่วงเวลาที่มีการประท้วงและโจมตีรัฐบาล มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาผม เขาแบะเสื้อของเขาออกและให้ผมดูรอยแผลเป็นบนหน้าอกของเขา รอยแผลเป็นใหญ่และยาวมาก เห็นได้ว่าเป็นแผลจากการผ่าตัดหัวใจ เขาพูดว่า “ หลังท่านผลักดันนโยบายประกันสุขภาพ ผมถึงมีโอกาสใช้ 30 บาทในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งก่อนการผ่าตัดผมเป็นคนร่างกายอ่อนแอไม่สามารถทำงานได้ แต่หลังการผ่าตัดผมสามารถทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ ตอนนี้ลูกสาวผมเรียนจบปริญญาตรีและมีงานทำ ผมมีความสุขมาก ไม่มีสิ่งใดให้ผมห่วงอีกแล้ว ชีวิตผมสำหรับคนอื่นไม่มีค่าแล้ว ผมไม่อยากมีชีวิตแล้ว ผมยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณ ผมเกลียดคนที่ใส่ร้ายคุณ ผมเกลียดมัน


ตอนที่ 7
 
โครงการที่โด่งดัง ”1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ OTOP” เป็นโครงการที่ทักษิณเลียนแบบมาจากแนวทางปฏิบัติของญี่ปุ่น แผนของโครงการนี้คือสนับสนุนและผลักดันให้ทุกๆหมู่บ้านใช้ความได้เป็นได้เปรียบของแต่ละหมู่บ้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ 1 อย่างหรือมากกว่า 1 อย่างที่มีลักษณะพิเศษของแต่ละท้องถิ่น โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ช่วยเหลือด้านเงินทุน ความรู้ด้านเทคนิค การบริหารจัดการ การตลาด ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ทำการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้พวกเขายังสามารถขยายตลาดของตัวเองให้กว้างขึ้นได้โดยการใช้ประโยชน์จากการค้าทางอินเตอร์เน็ต ในการนี้รัฐบาลได้ทำการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาผลิตภัณฑ์ OTOP ขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อทำการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ของธุรกิจหมู่บ้าน จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นสามารถรับการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ เทคนิค บรรจุภัณฑ์ การตลาด ฯลฯ และสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการสนับสนุนให้ทำการส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศต่อไป
ตามคำบอกเล่าประเทศไทยมีเหล้าผลไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่ใช้ผลไม้เขตร้อนนำมาหมัก ซึ่งในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ได้รับความนิยม แต่ว่าภายใต้การโจมตีและกระแสนิยมเบียร์และสุราต่างประเทศทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยม ภายใต้การกระตุ้นของนโยบาย “OTOP” เทคนิคในการหมักและบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนา ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความชมชอบในเทศกาลสุราสากล นับแต่นั้นมา การทำสุราหมักก็ฟื้นขึ้นมา และส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย
นี่ก็เป็นอีกนโยบายโอบอุ้มคนจนที่ประสบความสำเร็จที่สุด จากข้อมูลทางสถิติในปี 2544 ยอดขาย ผลิตภัณฑ์ OTOP อยู่ที่ 215 ล้านบาท หลังจากนั้น 1 ปียอดขายผลิตภัณฑ์ OTOP เท่ากับ 24,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่าตัว ในปี 2546 ยอดเพิ่มขึ้นไปถึง 33,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก

คำบอกเล่าของทักษิณ
มีหมูบ้านที่มีทรัพยากรป่าไม้อุดมสมบูรณ์มาก แต่ว่าชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ที่มีอยู่ ทุกครั้งที่ฝนตกพวกเขาก็ต้องปวดหัวเพราะไม้ที่ไหลลงมาพร้อมกับน้ำมาทำให้แม่น้ำของหมู่บ้านอุดตัน หลังจากหน่วยงานของรัฐบาลทราบเรื่อง ก็ได้ทำการส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคเข้าไปทำการสำรวจสภาพของท้องถิ่น และช่วยเหลือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่ต้องการของตลาด หลังจากนั้นไม้ที่ลอยลงมาพร้อมกับสายน้ำก็ได้รับการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ไม้ที่สวยงาม ทำให้รายได้ของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ยังมีอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยากจนมาก ซึ่งความยากจนนี้เองที่ผลักดันให้หมู่บ้านนี้หันมาเป็นแหล่งผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย พวกเราได้ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวและสอนให้ชาวบ้านผลิตมีด ดาบ กรรไกรทำสวน ฯลฯ และด้วยมาตรฐานงานฝีมือที่สูงรัฐบาลจึงช่วยรับผิดชอบในการส่งผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านนี้ไปขายในต่างประเทศ

โครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์นำมาซึ่งความหวังสำหรับเกษตรกรและช่วยยกระดับมาตรฐานชีวิตของประชาชน หากมองจากความสำคัญทางสังคม นโยบายนี้มีส่วนช่วยในการป้องกันไม่ให้ชาวชนบททะลักเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อเสาะหางานทำ นอกจากนี้รายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น แรงซื้อท้องถิ่นก็จะสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยฉุดเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เกษตรกรไทยคือรากฐานสำคัญของประเทศไทย การทำให้คุณภาพของพวกเขาดีขึ้น ก็เท่ากับการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ นี่คือสาเหตุว่าทำไมรัฐบาลต้องการที่จะวางการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเป็นนโยบายพื้นฐานของประเทศ

นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลทักษิณยังมีนโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ซึ่งเป็นแนวทางให้ประชาชนสามารกเข้าถึงทุนที่พวกเขาสามารถทำไปใช้สอยทางธุรกิจได้ โครงการเอื้ออาทรต่างๆ เช่น “บ้านเอื้ออาทร” “คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร” “รถแท๊กซี่เอื้ออาทร” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ที่มีรายได้ต่ำ วัตถุดิบราคาถูกสำหรับนำไปใช้ในการผลิตเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการขยายการศึกษาในชนบท ให้เงินสนับสนุนทางการศึกษาสำหรับผู้ยากไร้ จัดหลักสูตรอบรมด้านเทคนิคการเกษตร ฯลฯ ซึ่งนโยบายและโครงการเหล่านี้ได้รับการเรียกว่า “Thaksinomics” การพัฒนาเศรษฐกิจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าไปจัดการกับสิ่งที่พื้นฐานที่สุดก่อน กล่าวคือ พัฒนาเศรษฐกิจชนบท โดยพึ่งพาการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเกษตรกร ฉุดความต้องการภายในประเทศ และผลักดันพัฒนาการของเศรษฐกิจของประเทศ จากสถิติ ช่วงเวลาที่ทักษิณบริหารประเทศ รายได้รวมของเกษตรกรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 60 อัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 1.5 GDP เติบโตร้อยละ 5 – 6 ต่อปี ซึ่งเป็นรองเพียงจีน และเป็นอันดับสองในเอเชีย

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมยังเคยพยายามนำเอาที่ดินที่รกร้างมาแบ่งให้กับเหล่าคนจน นี่เป็นแผนการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ พวกเรานำที่ดินที่รกร้างส่วนหนึ่งมาทำการจัดสรรใหม่ให้กับเจ้าของสวน / ไร่รายย่อย บนที่ดินรกร้างมีต้นไม้อยู่ไม่น้อยแต่พวกเขาก็ไม่โค่นต้นไม้พวกนี้ทิ้ง พวกเขากลับทำการรักษาและบำรุงมัน แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านี้ถือว่าที่ดินผืนนี้เป็นบ้านของพวกเขา ที่พวกเขาจะอยู่บนที่ตรงนี้อย่างสงบสุข ผมยังคิดจะสร้างระบบภาษีขึ้นมาชนิดหนึ่ง สำหรับเจ้าของที่ดินที่ทำการเพาะปลูกบนที่ดินของตนเอง อย่างเช่นว่าคุณมีที่ดินเยอะ ถ้าคุณใช้ที่ดินสำหรับการเพาะปลูก ใช้ที่ดินในการผลิตเพื่อการค้าขาย ไม่มีปัญหา แต่ทว่าคุณต้องการเก็งกำไร ขอโทษที ทุกปีคุณต้องจ่ายภาษีหนัก ซึ่งถ้าคุณไม่สามารถรับภาระตรงนี้ได้ ดี ขอให้คุณขายที่ดินให้กับรัฐบาล เพื่อรัฐบาลจะนำที่ดินมาจัดสรรให้กับผู้ยากไร้

แผนการเหล่านี้ของผมมีสีสรรของความเป็นสังคมนิยมที่ค่อนข้างเข้มข้น หลายๆ อย่างจึงไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผมอยากทำจริง ๆ เพราะว่าเมื่อประชาชนเลือกคุณเข้ามาแล้ว คุณก็ต้องตอบแทนประชาชน คุณต้องสำนึกในบุญคุณของพวกเขา ถ้าหากคุณได้รับการแต่งตั้ง คุณก็เพียงต้องสำนึกในบุญคุณของบุคคลที่แต่งตั้งคุณเท่านั้น โดยคุณอาจเมินประโยชน์ของประชาชนและมองเอาว่า คนจนเป็นเพียงคนรับใช้ คนสวน คนขับรถ ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเป็นประชาชนซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ดังนั้นประชาชนนั่นแหละที่คนที่ผมจะบริการ
หากคุณเพียงแต่นั่งบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปร่วมงานพิธีบ้าง ไปร่วมงานประชุมบ้าง ให้อาหารแก่ผู้ยากไร้ รับประกันพวกเขาไม่อดตาย แค่นี้ก็คงจะไม่เกิดความยุ่งยากที่จะตามมา แน่นอนหากเป็นไปตามคำพูดนี้ ประชาชนก็คงจะไม่รักและเทิดทูนคุณ ซึ่งนี่ไม่ใช่ไสตล์ของผม

เศรษฐีร้อยล้านอย่างทักษิณได้รับการสนับสนุน และชื่อเสียงอย่างมากในพื้นที่ชนบทได้รับการสนับสนุนมากกว่านักการเมืองทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เกษตรกรเรียกเขาอย่างสนิทสนมว่า “นายกฯ ของเรา” ทุกครั้งที่เขาไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ชนบทหรือชุมชนยากจนเขาก็มักจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น ทุกครั้งที่เขายืนปราศัยในชนบท ใต้เวทีก็จะส่งเสียงสนับสนุนอย่างอื้ออึง เขามักจะกินอยู่กับประชาชน นอกจากนั้นเขายังมักจะควักกระเป๋าตัวเองแล้วเอาเงินเป็นพันยัดใส่มือของผู้ยากไร้ สำหรับเกษตรกรขอเพียงพวกเขาเห็นนายกฯ เดินสำรวจตามถนนของหมู่บ้าน พวกเขาก็จะวิ่งเข้าไปห้อมล้อมเขา มอบดอกไม้ให้เขา เข้าไปโอบกอดเขา แม้กระทั่งวิ่งเข้าไปกอดเขาแล้วร้องไห้ออกมา นายกฯ ไม่เป็นเพียงบุคคลทางการเมือง เขายังเป็น ”ขวัญใจประชาชน” “วีรบุรุษของเกษตรกร” “พ่อพระของผู้ยากไร้” จนทำให้พรรคฝ่ายค้านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก พวกเขาบอกว่า นโยบายเอื้ออาทรของทักษิณนั้น short sighted และทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวเขาได้สร้างตัวเขาขึ้นมาเป็น “พ่อพระของผู้ยากไร้” เพื่อเรียกร้องเสียงสนับสนุนของประชาชน ซึ่งสิ่งที่เขาทำนั้นใช้เงินของประเทศชาติมาหาเสียงให้กับตัวเอง

ทักษิณนั้นกล่าวว่า จุดประสงค์ของสิ่งที่เขาทำคือ “ช่วยเหลือคนจน” มันเป็นเพียงสิ่งที่เด็กที่โตขึ้นมาในชนบท เมื่อได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จากความทรงจำที่ลึกซึ้งของเขาเกี่ยวกับความขมขื่นของประชาชน พยายามเท่าที่เขาจะทำได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้ยากไร้เท่านั้นเอง ในความปราถณาที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ และไม่มีความคิดที่จะใช้นโยบาย “ทำทาน” หรือ “หลอกใช้” มันเป็นเพียงสิ่งที่บังเกิดจากมโนธรรมของนักการเมืองที่มีความรับผิดชอบ

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ไม่ยอมเข้าใกล้หรือไม่ยอมคลุกคลีกับคนจน ผมตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของผมในชนบท ผมก็มักมองพ่อผมทำงานเกษตร มองเกษตรกรมาทำงานที่บ้านผม ผมคิดว่าผมกับพวกเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าผมเพียงแค่ประสบความสำเร็จมากกว่าพวกเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงจำเป็นต้องตอบแทนพวกเขา

ตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเกษตรกรชาวไทย พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาเป็นเวลานาน ในช่วงเวลาที่ผมบริหารประเทศ ผมได้พยายามช่วยเหลือพวกเขา ยกระดับรายได้พวกเขา พวกเขาเคยเห็นความหวัง แต่ว่าปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเลวร้ายลง นโยบายหลายอย่างไม่ได้รับความนิยม เพราะรัฐบาลไม่ได้รับการสนับสนุนที่พอเพียง นอกจากนั้น ปัญหาก็เกิดขึ้นอีกเพราะ ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจนโยบ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:50
รูปหย่ายยมากจ้ะลิเดียย
ว่าแต่น้องลิเดียท่าทางรู้ใจผู้สูงอายุ
สงสัยจะชอบชายหนุ่มวัยประมาณ 60 ใช่มะ :slime_smile2: :slime_inlove:



ว้ายตายแล้ว พี่รู้ได้ไงคะเนี่ย น้องว่าน้องเก็บเป็นความลับดีแล้วนะ ว้ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เขินมั่กๆ



บทที่ 4 จากตำรวจถึงนายกรัฐมนตรี

ตอนที่ 1

วันที่ 26 กรกฎาคม 2492 ทักษิณ ชินวัตร เกิดที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดทางภาคเหนือของไทย ในครอบครัวที่ค้าผ้าไหม แม้จะเกิดทางภาคเหนือ แต่บิดาก็ตั้งชื่อว่า “ทักษิณ” ซึ่งแปลว่าภาคใต้ (ในภาษาไทยทักษิณแปลลว่าภาคใต้) และได้ตั้งชื่อให้บุตรชายคนรองว่า “พายัพ” และบุตรชายคนที่สามว่า “ประจิม” ตามลำดับ น่าเสียดายที่มารดาไม่สามารถกำเนิดบุตรคนที่สี่ได้ ไม่เช่นนั้นบุตรคนดังกล่าวคงได้ชื่อว่า “บูรพา” เป็นแน่ หาใช่บิดาตั้งความหวังไว้กว้างไกลสุดโต่ง มุ่งให้บรรดาบุตรชายทั้งหลายเติบโตขึ้นแล้ว ทุกคนเป็นกำลังสำคัญในการบริหารปกครองประเทศเช่นนั้นไม่ แต่เนื่องจากช่วงนั้นเขากำลังให้ความสนใจกับศาสตร์แห่งหมอดู การตรวจดูชะตาของชาวตะวันออกหนีไม่พ้นเรื่องโหงวเฮ้งและโป่ยก่วย ทั้งทิศเหนือใต้ตกออก บิดาได้ใช้ชื่อทั้งสี่ทิศตั้งชื่อให้กับลูกโดยมุ่งหวังให้เป็นมงคลกับบุตรไปตลอด แต่ทว่าการที่บุตรคนโตชื่อทักษิณนั้น ก็เหมือนเป็นการระลึกถึงบรรพบุรุษ เพราะตระกูลชินวัตรเดิมแซ่ชิว (คู) มาจากมณฑลภาตใต้ของจีนคือกวางตุ้ง

รัชสมัยกวางสูที่ 31 (ค.ศ. 1906) ทวดของทักษิณนายชิว ชุนเซิ่ง ได้เริ่มเดินทางอพยพจากเขตเหมวโจว อำเภอเฟิงซุ่น ข้ามน้ำข้ามทะเล หอบสื่อผืนหมอนใบมาทำมาหากินในประเทศไทย ซึ่งก็เหมือนกับคนจีนหลายคนที่ออกมาหางานทำในต่างประเทศขณะนั้น นายชิว ชุนเซิ่ง ได้อาศัยการทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพในจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกของไทย ในเวลาอันรวดเร็ว ชาวต่างด้าวที่มีความสามารถเลิศล้ำด้านการคำนวณและช่ำชองในการคบค้าสมาคมก็สามารถได้รับตำแหน่งเป็นข้าราชการด้านภาษีของท้องที่ได้ ต่อมาเขาได้อพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าว พาภริยาซึ่งเป็นชาวไทยนั่งเรือผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตอนเหนือของไทย และได้ตั้งรกรากในดินแดนที่อิงกับภูเขา อากาศอบอุ่น และมีดอกไม้บานตลอดปีที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ประกอบอาชีพเดิม และมักจะเดินทางไปเก็บภาษีในต่างถิ่น แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ครั้งหนึ่งที่เดินทางไปต่างที่กับภริยาได้ถูกโจรปล้น ภริยาถูกฆ่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ชิว ชุนเซิ่ง ท้อแท้กับเหตุการณ์นั้น และลาออกจากการรับราชการ และได้เริ่มอาชีพขายผ้าไหม โดยเขาได้รับซื้อไหมดิบจากประเทศข้างเคียงคือพม่าและยูนนานของจีน และได้ว่าจ้างคนพื้นเมืองตัดเย็บเป็นผ้าโสร่ง จากนั้นก็นำกลับเข้าไปจำหน่ายในพม่า เมื่อมาถึงรุ่นคุณปู่ของทักษิณ ฐานะของครอบครัวก็ถือเป็นระดับพ่อค้าคหบดีในพื้นที่ และได้ตั้งชื่อเป็นตระกูลในภาษาไทยว่า “ชินวัตร” ตระกูลชินวัตรได้ทำมาค้าขายกิจการผ้าไหมไทยมาตลอด พวกเขาระดมว่าจ้างคนในหมู่บ้านทำการย้อมและถักทอผ้าไหม โดยเลียนแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในรูปแบบเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยม และมีสีสันฉูดฉาดบาดตา โดยมีตราสัญลักษณ์ว่าชินวัตร และออกจำหน่ายยังจังหวัดที่อยู่ไกล

ในฐานะผู้เลื่อมใสในศาสนาขงจื้อ คนจีนมีความคิดคตินิยมมีบุตรหลานเป็นผู้ชายมากๆ เพื่อจะนำโชควาสนามาสู่ครอบครัว ซึ่งความคิดเช่นนี้ก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่อายุเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในความคิดของครอบครัวชินวัตร บิดาของทักษิณคือนายเลิศก็มีบุตรชายบุตรสาวถึง 12 คน ทักษิณเองก็มีพี่สาวน้องสาวถึง 9 คน ก็เพราะว่ามีลูกมากเช่นนี้เองแม้ครอบครัวมีฐานะมั่งคั่ง เมื่อแบ่งทรัพย์สมบัติให้บุตรชายบุตรสาวก็ไม่ได้สมหวังดั่งที่คิด

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมได้รับความคิดที่สืบทอดมาจากการมีสายเลือดคนจีนนั่นคือความมีกตัญญูรู้คุณ สำหรับพ่อแม่และบุคคลที่เคยให้ความช่วยเหลือ ผมจะระลึกถึงบุญคุณของท่านเหล่านั้นตลอดเวลา และจะตอบแทนบุญคุณให้มากเป็นทวีเท่า คุณลักษณ์อีกอย่างที่ได้มาก็คือ ความขยันขันแข็ง และอดทนในการทำงาน ซึ่งทำให้ผมเป็นคนไม่อยู่นิ่ง บางทีสิ่งเหล่านี้คงได้รับแบบอย่างจากพ่อแม่ กล่าวโดยสรุปชีวิตทั้งชีวิตของผมมีแต่ขยันทำงาน

บิดาของผมเป็นคนจีนรุ่นที่ 3 แต่ผมไม่รู้ภาษาจีน สำหรับเรื่องบรรพบุรุษในเมืองจีนผมก็รู้ไม่มาก นอกจากเรื่องที่บรรพบุรุษอพยพไปเชียงใหม่แล้ว ผมรู้อะไรเกี่ยวกับเชื้อสายทางฝ่ายพ่อน้อยมาก พ่อของผมมีพี่น้อง 12 คน ย่าของผมเป็นคนพื้นเมืองเชียงใหม่แท้ๆ ย่าค้าขายเก่งมาก ท่านรับซื้อไหมดิบจากจีน แล้วนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมและขายในไทย จากเริ่มต้นกิจการเป็นน้ำพักน้ำแรงของย่าคนเดียว หลังจากนั้นกิจการก็ขยายใหญ่มาตลอด ย่าก็ระดมชาวบ้านในหมู่บ้านมาช่วย แต่ผ้าไหมเหล่านี้ต้องขายในตราสัญลักษณ์ของตระกูลชินวัตร ปู่ย่าของผมประสบความสำเร็จมากในการค้าขายด้านนี้ ผ้าไหมของเรามีชื่อเสียงมาก แต่เนื่องจากตระกูลเรามีพี่น้องมาก พ่อผมเลยไม่ได้รับมรดกมากเท่าที่ควร ผมเลยต้องยืนด้วยลำแข้งตนเอง

นายเลิศ ชินวัตร ไม่ได้ทำมาค้าขายผ้าไหมเหมือนกับตระกูลเดิม โดยได้ไปเปิดร้านกาแฟในตำบลเล็กๆ ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากขายกาแฟยังมีชาเย็น ผลไม้ และน้ำผลไม้คั้น ทักษิณ ใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้

เมื่อเติบโตจนสูงเท่าโต๊ะ เด็กชายทักษิณนี้ก็เริ่มช่วยงานในร้านเสริฟชาเสริฟน้ำ และงานจิปาถะ บางครั้งก็ไปช่วยแม่ในย่านร้านค้าขายผ้าไหมและส้ม มารดานางยินดีก็มีเชื้อสายจีน บรรพบุรุษมาจากมณฑลกวางตุ้ง เกิดที่ประเทศไทย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อหลบหนีญี่ปุ่น ได้อพยพไปอยู่ที่เหมยโจวเป็นเวลาหลายปี สามารถพูดภาษาจีนแคะได้ และได้เล่าให้ทักษิณฟังถึงเรื่องราวความหลังในเหมยโจว มีอยู่บางช่วงที่แม่กับพ่อมีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกัน เด็กชื่อทักษิณในวัยเยาว์ถูกส่งตัวไปอยู่ที่บ้านย่าและบ้านอาสลับกันไป เพราะแม่ต้องการใช้เวลาที่มีในการทะเลาะกับพ่อ มีเรื่องเล่าว่าในช่วงที่บิดาทำงานเป็นผู้ตรวจโครงการก่อสร้างในจังหวัดต่างๆ นั้น บางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน และเมื่อกลับมาก็มักพาสาวสวยติดตามมาอยู่ด้วย ทำให้มารดาเจ็บช้ำสุดทน และบ่อยครั้งจะระบายความขมขื่นในใจให้บุตรน้อยฟัง รวมทั้งความไม่พอใจต่อสามีของตนในแต่ละเรื่อง ต่อว่าสามีว่าเป็นคนลืมตัว และไม่ให้เกียรติผู้หญิง ทักษิณเข้าใจความทุกข์ของมารดาอย่างลึกซึ้ง และเรียนรู้บทเรียนจากการกระทำของบิดา หลังจากทักษิณแต่งงาน จึงได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเสมอภาคและราบรื่นกับพจมาน และคล้อยตามคำตักเตือนที่ถูกต้องของภริยาอยู่เสมอ ขณะที่ภริยาก็แสดงบทบาทสำคัญในทุกครั้งที่ชีวิตของทักษิณถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมมีความใกล้ชิดกับพ่อแม่มาก โดยเฉพาะคุณแม่ คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยของเด็กผู้ชาย ผมกับแม่คุยกันได้ทุกเรื่อง และมักจะนำเรื่องที่ไม่อยากบอกพ่อมาเล่าให้ผมฟัง นี่อาจเป็นลักษณะความสัมพันธ์แม่ลูกในแบบของคนจีน แม่บอกผมว่าอะไรดี อะไรเลว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แม่สอนผมให้รู้จักความเป็นคน เข้าใจชีวิต เข้าใจลักษณะของคน ผู้ชายเมื่อประสบความสำเร็จแล้วมักเห่อเหิมลืมตนง่าย และเชื่อมั่นตนเองสูงเกินไป และมักไม่ฟังคำเตือนของฝ่ายหญิง พ่อของผมก็เป็นคนแบบนี้ ดังนั้น เมื่อผมมีครอบครัว จึงให้ความสนใจและรับฟังคำชี้แนะจากภริยา

อย่างไรก็ตาม พ่อของผมก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ท่านรักลูกๆ มาก และเป็นผู้แบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว ทำงานก็ขยันขันแข็ง เรื่องต่างๆ พ่อมักจะลงมือทำด้วยตนเองท่านยังชอบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ลักษณะนิสัยของพ่อนี้ก็ถ่ายทอดมาถึงผมด้วย ผมสนใจการค้นคว้าและการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มักอ่านหนังสือประเภทนี้ประจำ บางครั้งก็อาจไม่จำเป็นต้องทราบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นได้อย่างไร รู้แต่ว่าใช้ให้เป็นเท่านั้น ผมเป็นคนที่สันทัดในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์


ตอน 2

ทักษิณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ และมีศักยภาพในการเป็นพ่อค้า เริ่มตั้งแต่อายุได้ 3 ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือที่วัดใกล้บ้าน ในวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กเล็ก ครูผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นได้แสดงความประหลาดใจที่เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่เหนือคนอื่นในด้านการคำนวณ เมื่อจบชั้นอนุบาล ระดับวิชาคณิตศาสตร์ของทักษิณก็สูงถึงระดับเด็กประถม 2 และ 3 แล้ว เมื่อเข้าโรงเรียนตามเกณฑ์ปกติ เขาก็มักจะสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ที่หนึ่งเสมอ
ทักษิณมีผิวขาวมาก ไม่เหมือนเด็กไทยทั่วไปที่มีผิวดำคล้ำ เมื่ออยู่ในหมู่เด็กจะสังเกตได้โดยง่าย เด็กนักเรียนในชั้นพากันขนานนามเขาว่า “แม้ว” ต่างบอกว่าเขาเหมือนชนเผ่าแม้วที่อยู่บนดอย ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในป่ารกทึบ ผิวจึงขาว จนเมื่อเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี นสพ. ไทยบางครั้งก็เรียกชื่อเขาสั้นๆ ว่า นายกแม้ว

ทักษิณเป็นคนเปิดเผย เบิกบานร่าเริง ในช่วงวัยเด็กมีรูปภาพเก็บไว้รูปหนึ่ง เป็นรูปที่เขาสวมหมวกแก๊ป ใส่กางเกงขาสั้น และกำลังแบกสับปะรดที่มีขนาดใหญ่เท่ากระโหลกศรีษะยืนอยู่ในสวนสับปะรด และแย้มยิ้มอย่างน่ารักไร้เดียงสา อีกรูปภาพหนึ่งเป็นภาพที่เขากำลังหยอกล้อกับกลุ่มเพื่อนบนรางรถไฟ นัยตาที่มองมาที่กล้องถ่ายเป็นนัยตาที่มีประกายความฝัน ลักษณะทั้งสองสิ่งนี้ยังคงเปล่งประกายออกมาแม้หลายสิบปีต่อจากนั้นจนเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคนๆ นี้มีความสดใสและมีเสน่ห์

ทักษิณชอบเล่นเครื่องจักรกล ซึ่งจุดนี้น่าได้อิทธิพลจากพ่อ นายเลิศมักสนใจอย่างมากต่อเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ครั้งหนึ่งเมื่อไปกรุงเทพฯ พบว่าในกรุงเทพฯ มีเครื่องมือบดโกโก้ จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งเครื่อง และนำมาทำนมช๊อกโกแลตที่ใครๆ นื้พื้นที่ก็ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน เขายังเป็นคนๆ แรกในท้องที่ที่ซื้อตู้เย็นมาใช้ก่อนใคร และใช้ตู้เย็นทำไอศครีมขายในร้านกาแฟ และยังเป็นคนแรกที่ใช้รถแท๊กเตอร์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องเมื่อ 55 ปีที่แล้ว

ตอนอายุ 8 ขวบ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ร้านกาแฟมีคนแปลกหน้าปรากฏขึ้น คนๆ นั้นมองซ้ายมองขวาสังเกตเด็กที่กำลังเสริฟกาแฟ ทันทีก็ยื่นมือออกมา ลูบศรีษะเขาด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเอ็นดู และทำนายทายทักอย่างมหัศจรรย์ว่า “ไอ้น้อง เอ็งรู้ไหม เอ็งหน้าตาเหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่งในจีน อนาคตของเอ็งจะต้องสดใสแน่นอน” ทักษิณยังไม่รู้ประสีประสา จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาพูดอะไร คำว่า “อนาคต” สำหรับเด็ก 8 ขวบที่ยังไม่มีวุฒิภาวะยังไกลเกินกว่าจะรับรู้ได้ แต่ทว่าคำพูดคำนี้ได้ฝังแน่นลึกอยู่ในสมองของเขานับแต่นั้น หลังจากครึ่งศตวรรษผ่านไป บนชีวิตร่อนเร่ในต่างแดน เพราะจุดประทุเล็กๆ ในความคิด ในที่สุดเขาก็เห็นทะลุในท่ามกลางความมืดมิดถึงบางสิ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว

เดือนธันวาคม 2549 ภายในร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง สายตาของทักษิณได้ถูกดึงดูดจากพระพุทธรูปจีนองค์หนึ่ง เหมือนพระพุทธรูปทองเหลืองสร้างในรัชสมัยจักรพรรดิ์เฉียน หลงแห่งราชวงศ์ชิงองค์นี้จะรู้จักกับเขามาก่อน เหมือนกับได้เคยเห็น ณ ที่หนึ่งที่ใด ทันใดนั้น ความรู้สึกที่สั่นสะท้านคล้ายถูกไฟฟ้าช็อตก็แล่นไปทั้งสรรพางค์กาย คำทำนายที่ลึกลับนั้นได้ผุดขึ้นมาทันใดคล้ายวิญญาณที่ฟื้นจากหลุมฝังศพแห่งกาลเวลา ผ่านความทรงจำที่ถูกฝุ่นไอกลบทับมาเกือบครึ่งศตวรรษ ช่วงขณะนั้น สิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าเหลี่ยมกลมมน หน้าผากเลิกกว้าง ติ่งหูห้อยยาน จมูกสิงห์โต และก็คงมีแต่ผู้บรรลุธรรมระดับพระโพธิสัตว์ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะยิ้มได้อย่างสงบและเป็นธรรมชาติเยี่ยงนี้ ช่างเหมือนใบหน้าเด็กแปดขวบที่ดูเฉลียวฉลาดและขี้อายคนนั้นเมื่อ 50 ปีก่อน เจ้าของร้านของเก่า รวมทั้งบุตรและเพื่อนฝูงที่ติดตามเขามาต่างตกตะลึงไปกับความเหมือนอย่างประหลาดที่คิดไม่ถึงนั้น ทักษิณยืนอยู่ ณ ตรงนั้นอยู่นาน มองไปยังพระพุทธรูปคลับคล้ายกับคือชาติที่แล้วของตน มีความรู้สึกที่ทั้งทุกข์ระทมและปลื้มปิติค่อยๆ ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจระคนปนเปกันไป
โอ้ใช่เลย ด้วยพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้เลือกสรรเวลาในช่วงที่เขากำลังเป็นใหญ่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น ไม่ได้เลือกเวลาที่เขากำลังได้รับการเคารพยกย่องในฐานะผู้มีอำนาจ ไม่ได้เลือกสถานให้เป็นบ้านเกิดของเขาที่เป็นประเทศที่เต็มที่ไปด้วยพระพุทธรูป หากแต่ได้เลือกให้เป็นช่วงเวลานี้ซึ่งเขากำลังใช้ชีวิตเร่ร่อนและไม่รู้อนาคต เป็นช่วงชีวิตที่มืดมน ตกต่ำ และน่าเศร้าสลดที่สุด ในดินแดนต่างประเทศซึ่งก็มีสายเลือดผูกพันกับเขา สิ่งเหล่านี้จึงได้ค่อยๆ ปรากฏแก่คนที่ผ่านชีวิตอย่างโชกโชนเยี่ยงเขา เลิกผ้าม่านบังตาเผยให้เห็นชะตาชีวิตที่คาดคิดไม่ถึงของเขา เหมือนกับเเป็นการปลอบประโลมและให้กำลังใจอย่างหนึ่ง เป็นบุญวาสนาที่ชะตาได้ลิขิตไว้ พระพุทธรูปองค์นี้ต้องผ่านกาลเวลายาวนานนับ 300 ปี ผ่านประวัติศาสตร์ที่เคล้าเลือดและน้ำตาซึ่งได้มอดดับไป ซัดเซพเนจรไปมาในที่ต่างๆ จากนั้นในวันๆ หนึ่งแห่งเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บในที่ต่างแดน พระพุทธรูปได้มายืนรออยู่ ณ ร้านของเก่าเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อพบพานเขา ชะตากรรม นี่แหละชะตากรรม ทักษิณรู้สึกใจสะท้านเหลือพรรณนา ผ่านกาลเวลาย้อนกลับไป 50 ปี เขาคลับคล้ายเหมือนเด็กเสริฟกาแฟคนนั้น เด็กที่หยอกล้อเล่นกันในสวนสับปะรด เขาควรต้องยอมรับ ชะตาชีวิตได้ให้เขามามากเกินพอแล้ว หนทางแห่งชีวิตของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างสดใส และหลังจากได้ประสบ ความทุกข์ยากลำบากเขาก็ได้มาพบพระพุทธรูปองค์นี้ หรือว่านี่เป็นการเตือนของโชคชะตา จงละจากความเจ็บแค้นใจ ขอบคุณโชคชะตา ที่ให้เสรีภาพใหม่ ทักษิณได้ใช้เงิน 6 หมื่นหยวนเช่าพระองค์นั้น สำหรับเขาแล้วเหมือนเป็นการปลอบใจครั้งใหญ่ที่สุด ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่เงินทองไม่อาจประมาณการได้


ตอน 3

บางทีอาจเป็นเพราะเห็นว่าการให้ลูกชายขายไอศครีมและกาแฟทีละแก้วๆ ไม่มีอนาคตอะไร ย่าของทักษิณในที่สุดก็ยอมตัดใจมอบที่ดินที่ใช้ชื่อของตนเองให้กับบุตร ที่ผืนนี้มีเนื้อที่ค่อนข้างมาก คิดเป็นประมาณ 600 หมู่ตามหน่วยวัดจีน (1 ไร่ เท่ากับ 2.41 หมู่) นายเลิศปลูกข้าวไม่เป็น จึงพัฒนาพื้นที่เป็นสวนผักและผลไม้โดยนำพันธุ์ส้มสีเขียว ดอกไม้ และผักมาจากต่างประเทศ ทักษิณมักช่วยบิดาในการทำแปลงเกษตรอยู่เป็นนิจทั้งขุดคันดิน หว่านเมล็ด รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ซึ่งเขาทำได้ทั้งนั้น

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมได้เรียรรู้อะไรหลายอย่างจากพ่อในร้านกาแฟ ผมเรียนรู้วิธีชงกาแฟ ล้างแก้วนม ใส่น้ำแข็ง พ่อซื้อเครื่องบดโกโก้มาเครื่องหนึ่ง ผมก็เรียนวิธีทำนมรสช๊อกโกแล็ต ต่อมาย่าซื้อที่ดินให้พ่อผืนหนี่งพ่อก็เริ่มประกอบอาชีพการเกษตร พวกเราปลูกผลไม้ ดอกไม้ และพืชผักชนิดต่างๆ ผมเรียนรู้วิธีรดน้ำพืชผัก และการนำน้ำเข้าสวนจากระยะไกล ผมได้เรียนรู้การทำแปลงเกษตรเกือบจะทุกด้าน ผมแทบจะเป็นเด็กที่เติบโตในท้องไร่ท้องสวน แต่เล็กได้เห็นชีวิตและการทำงานที่ยากลำบากของเกษตรกร

เมื่อทักษิณอายุ 12- 13 ปี บิดาก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของตัวแทนสาขาธนาคารกรุงไทยที่เชียงใหม่ หอที่อยู่ใกล้สระน้ำมักได้เห็นพระจันทร์ก่อน เมื่อได้รับเงินกู้ก้อนหนึ่ง เขาก็เริ่มดำเนินกิจการต่างๆ ที่ไม่เคยทำให้เขารวย ทั้งบริษัทรถรับจ้าง บริษัทสามล้อ ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซด์ฮอนด้าและจักรเย็บผ้า ปั้มน้ำมัน และโรงหนัง เป็นต้น หลังเลิกเรียน เขาจะไปที่ธนาคารเพื่อรอพ่อเลิกงานกลับบ้าน ตกค่ำ เมื่อทำการบ้านเสร็จ ก็จะไปเก็บเงินจากลูกค้า มักจะทำงานถึงเที่ยงคืนกว่าจะหลับนอน แต่ผลการเรียนของเขาก็สอบได้ที่ 1 เสมอๆ

บริษัทรถรับจ้างที่พ่อประกอบการอยู่มีรถยนต์กว่า 50 คัน เมื่อรถรับจ้างซ่อมเสร็จทักษิณจะเป็นคนขับไปลองรถ มีบางครั้งที่คนขับหยุดพัก ทักษิณจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปขับรถรับส่งผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มรายได้จากการขายตั๋ว ตลอดเวลายาวนานมีรถเป็นเพื่อนคู่กาย เขาไม่มีครูสอนแต่ก็เรียนรู้เองจนซ่อมรถได้ ในเวลาต่อมาเมื่อได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ นักเรียนนอกที่ขี้อายคนนี้ได้อาศัยความรู้และเทคนิคที่สร้างสมไว้จากวัยเด็ก ลงมือซ่อมรถเบนซ์มือสองของตนด้วยตนเอง จนประหยัดเงินค่าซ่อมรถได้จำนวนมาก

เมื่ออายุ 16 ปี ทักษิณได้เป็นผู้จัดการโรงภาพยนต์ พ่อได้เปิดโรงภาพยนต์ขึ้น 2 แห่ง และก็มีความคิดไม่เหมือนใคร โดยไม่นำหนังอินเดียและหนังจีนที่กำลังฮิตในขณะนั้นมาฉาย แต่จะฉายเฉพาะหนังฝรั่งและหนังไทย ขณะฉายหนังเรื่องแรกซึ่งเป็นหนังฝรั่งชื่อ “ป้อมปืนนาวาโรน” มีคนดูเข้าแถวยาวเหยียดที่หน้าโรงหนังเพื่อรอชม เนื่องจากพนักงานโรงหนังมีไม่มาก และทักษิณต้องดูแลโรงหนังทั้งโรง ผู้จัดการที่อายุไม่บรรลุนิติภาวะต้องเข้าเรียนช่วงเช้า ช่วงบ่ายกลับมาช่วยคุมโรงหนัง ทุกวันผ่านไปอย่างเร่งรีบ

เมื่ออายุ 17 ปี พ่อซึ่งเชื่อคนสนิทง่ายในที่สุดก็หลงกลหุ้นส่วน กิจการงานได้รับผลเสียหายหนัก กิจการต่างๆ ที่ลงทุนลงแรงมากว่า 10 ปีมีเหลือเพียงกิจการโรงหนัง และที่ดินแปลงซึ่งแม่เหลือไว้ให้เท่านั้น เขาท้อแท้มาก และสูญเสียความสนใจต่อธุรกิจ และเป็นผลให้เปลี่ยนไปสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ที่ไม่มีใครรู้จัก ชีวิตทางการเมืองของเขาก็เหมือนการทำธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็ส่งผลถึงบุตรของเขาอย่างมาก ทักษิณต้องติดตามบิดาไปร่วมดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการหาเสียงนอกเวลาเรียน ทั้งการร่วมการชุมนุม การแจกแผ่นโฆษณาไปตามย่านต่างๆ การไปรับฟังเสียงจากผู้ลงคะแนน บางครั้งเมื่อบิดาไปประชุมรัฐสภาที่กรุงเทพฯ ก็จะนำทักษิณไปด้วย ทำให้ทักษิณค่อยๆ เกิดความสนใจในการเมือง ต่อมาได้มีเกร็ดข่าวราวเรื่องที่กลายเป็นที่สนใจรายงานของสื่อมวลชน นั่นคือ ขณะเมื่อทักษิณจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยม มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์ถามว่า พวกเธอจบการศึกษาแล้วคิดที่จะเรียนต่อที่ใด ทุกคนต่างแสดงความเห็นต่างๆ นานา แต่เมื่ออาจารย์ถามถึงทักษิณ เขากลับย้อนถามว่า มีโรงเรียนใดบ้างที่สอนให้คนเป็นนายกรัฐมนตรี

คำบอกเล่าของทักษิณ
พ่อของผมทำธุรกิจหลากหลายมากจนเกินไป เขามักจะเปลี่ยนจากธุรกิจประเภทหนึ่งไปยังอีกประเภทหนึ่งเสมอ แต่ก็ไม่เคยทำกำไร ในที่สุดก็ถูกหุ้นส่วนโกง ธุรกิจก็ล้มโดยไม่ฟื้น ผมเองก็เกือบจะต้องหยุดเรียน ยังโชคดีที่แม่มีเงินเก็บส่วนตัว นำมาส่งผมเล่าเรียน พอผมใกล้จบระดับมัธยม พ่อก็เข้าสู่วงการเมือง แต่เขามีพรรคพวกในกรุงเทพค่อนข้างจำกัดมาก ไม่มีมืออาชีพคอยช่วยเหลือ และยังเป็นกังวลเรื่องเงินทองตลอด จะทำการเมืองต้องมีเงินมาก ทำให้ครอบครัวชักหน้าไม่ถึงหลัง ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากบทเรียนของพ่อ ผมได้เห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของพ่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากต่อชีวิตผมทั้งชีวิต ดังนั้น เมื่อขณะที่ผมทำธุรกิจ ภริยามักจะคอยเตือนผมอยู่ข้างๆเสมอว่า อย่าลืมบทเรียนของพ่อ ตราบใดยังมีเงินไม่พอ ก็ไม่ควรเล่นการเมือง


ตอน 4
 
ทวดของทักษิณเป็นพ่อค้า ปู่ก็เป็นพ่อค้า ส่วนพ่อก็เป็นพ่อค้าและนักการเมืองสมัครเล่นที่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น แทบไม่ต้องสาธยายมากเลย เด็กคนนี้ก็คงโตขึ้นเป็นพ่อค้า แต่ทว่า ทักษิณกลับเข้าเรียนโรงเรียนนายทหาร ในสมัยนั้นอาชีพทหารและตำรวจเป็นที่อิจฉาตาร้อนจากผู้คน ร่างกายที่ยืนตรงทะมัดทะแมง ชุดแต่งกายที่งดงาม และใบหน้าที่เคร่งครึม เป็น “เจ้าชายขี่ม้าขาว” ในความฝันของหญิงสาวจำนวนมาก ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของนายทหาร แต่ที่สำคัญกว่านั้น ทหารเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของประเทศ และเป็นชั้นชนพิเศษที่เป็นเอกเทศจากระบบของรัฐบาล เพียงแต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยวันนี้ ก็จะเข้าใจ ซึ่งประเพณีนิยมที่ฝังรากลึกแบบนี้ยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแต่อย่างใด

ทักษิณเมื่อเข้าโรงเรียนนายตำรวจมีอายุแก่กว่าเพื่อนร่วมรุ่น 1 ปี คืออายุ 19 ปี ครั้งแรกที่สมัครสอบในโรงเรียนนายตำรวจที่กรุงเทพฯ แพทย์กล่าวว่าที่ปอดของเขามีร่องรอยสีดำ การตรวจสุขภาพไม่ผ่าน ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เพราะตนเองไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ปอดจะมีปัญหาได้อย่างไร คนที่ปอดแข็งแรงอย่างทักษิณเห็นว่าแพทย์คงจะตรวจผิด เขาไม่ยอมลดละ โดยเลือกที่จะรอไปอีก 1 ปีแล้วมาสอบใหม่ ในปีที่สองเขาก็สมปรารถนา แต่ทว่าอุปสรรคที่คาดไม่ถึงนี้ก็เหมือนเป็นการบ่งบอกนัยบางอย่าง เขาเลือกเดินผิดทาง เส้นทางสายนี้ไม่น่าจะเหมาะกับนิสัยของเขา ต่อมา แม้เขาจะได้รับปริญญาระดับดอกเตอร์ และได้ทำงานในสายงานตำรวจนี้ถึง 12 ปี แต่ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนทางเดินชีวิต

ชีวิตในค่ายทหารระยะเริ่มแรกเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งความเข้มงวด เคร่งระเบียบ และการต้องปฏิบัติตามอย่างสิ้นเชิง ในวันเวลานั้นเด็กหนุ่มประเภทที่รักอิสระและไม่ชอบการบังคับอย่างทักษิณคงจะไม่สุขสำราญใจ นอกจากนี้ ในชั้นเรียนก็ไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ที่เขาทั้งชอบและถนัด ทุกวันเป็นการฝึกทางกายที่เหนื่อยล้าและยากลำบาก ทั้งยังต้องท่องจำกฎระเบียบที่สลับซับซ้อนและยาวเหยียด หากไม่ยอมท่องจำ ก็ไม่อาจสอบผ่านได้ มีช่วงหนึ่งที่ทักษิณคิดจะหยุดเรียน และหันไปเข้าโรงเรียนหลักสูตรทั่วไป เพื่อศึกษาในคณะวิศวกรรมสาสตร์ที่เขาชอบ ในอนาคตจะได้เป็นวิศวกร เพราะชีวิตของเขาสนใจหลงใหลในเครื่องจักรกลและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ว่านายเลิศไม่เห็นด้วย บิดาที่มีจิตใจแข็งแกร่งและต่อสู้ไม่ถอดถอยมาทั้งชีวิตคงจะไม่ยอมให้บุตรมีจิตใจอ่อนแอ และล้มเลิกความตั้งใจกลางครัน บิดายืนกรานที่จะให้ทักษิณเรียนโรงเรียนนายทหารจนจบ
 
เมื่อมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาผู้ซึ่งจะต้องขจัดความอ่อนแอถดถอย แสดงความกล้าฝ่าฟันไปข้างหน้า บนร่างกายของทักษิณจะเกิดความสามารถอย่างมหาศาลในการปรับตัวเอง ซึ่งเป็นศักยภาพที่ฝังลึกอย่างไม่อาจหยั่งได้ ซึ่งพลังอันนี้ยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเขาก้าวสู่วงการธุรกิจการค้าต่อมาในภายหลัง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ หากมีความตั้งใจจริงแล้ว จะทุ่มเทหมดทั้งสรรพางค์กาย และเขาก็จะปรากฏกายโดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วในท่ามกลางฝูงชน เดินก้าวไปข้างหน้าเร็วกว่าผู้อื่น ปีนป่ายไปสูงกว่า มองได้ไกลกว่า และกลายเป็นจุดดำเล็กๆ ที่ผู้อื่นที่ถูกทิ้งให้อยู่ไกลต้องวิ่งตามในที่สุด เขาเป็นบุคคลที่โดดเด่นกว่าบุคคลอื่น มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์ธรรมดา หลังจากนั้น 4 ปี เด็กหนุ่มที่เคยคิดจะล้มเลิกการเรียน ก็จบการศึกษาโดยสอบได้ที่หนึ่ง และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลให้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมเรียนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนสำหรับผู้ชาย ขณะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเคยถามพวกเขา ที่ไหนมีโรงเรียนสำหรับผู้ชาย พวกเขาตอบว่า โรงเรียนนายตำรวจกำลังรับสมัครนักเรียน ดังนั้น ผมก็เลยเข้าเรียนโรงเรียนนายตำรวจ ในเวลานั้น ตระกูลของผมมีญาติหลายคนที่รับราชการทหารทั้งทหารบกทหารอากาศ แต่ทหารเรือและตำรวจยังไม่มี แต่ผมว่ายน้ำไม่เป็น ไม่อาจเลือกเป็นทหารเรือ คงมีแต่ต้องเข้าโรงเรียนนายตำรวจ พอผมเรียนโรงเรียนนายตำรวจได้ 1 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตในโรงเรียนซ้ำซากน่าเบื่อ และไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ จึงอยากเลิกเรียน แต่พ่อของผมไม่เห็นด้วย ท่านกล่าวว่า ผมควรยืนหยัดอีก 3 ปี ผมจึงได้แต่อดทนเรียนจนจบ และก็สอบได้ที่หนึ่งจากทั้งโรงเรียนรวมทั้งได้รับทุนไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคนตั๊กกีในสหรัฐฯ ชีวิตในโรงเรียนนายตำรวจมีส่วนช่วยผมอย่างมาก ผมได้รู้จักเพื่อนมากมาย และการฝึกฝนร่างกายจนเป็นนิสัยก็ทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นกว่าก่อนมาก

สิ่งที่มีผลอย่างมากอย่างแท้จริงต่อชีวิตของทักษิณในการใช้ชีวิตในโรงเรียนนายตำรวจ หาใช่การฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มงวดไม่ และก็ไม่ใช่กฎหมายและระเบียบที่พออ่านผ่านตาไปก็ลืม แต่กลับเป็นคำขวัญง่ายๆ คำหนึ่ง “หากยอมแพ้พ่าย ก็ตายเสียดีกว่า” คำพูดที่มีรสชาดของความดุดันนี้แหละที่เป็นคำเตือนใจของโรงเรียนนายตำรวจที่กรุงเทพฯ และก็คงเป็นหลักการที่กองทัพทั้งหลายทั้งปวงที่เคร่งวินัยจะต้องปฏิบัติตาม เพราะทหารหากสู่สมรภูมิรบ พ่ายแพ้ก็ย่อมหมายถึงความตาย คติเตือนใจสำหรับชีวิตของทักษิณคือ “ไม่มีวันพ่ายแพ้” ซึ่งบางทีอาจจะดัดแปลงมาจากคำเตือนใจข้างต้น มุ่งมั่น ยืนหยัด ไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมลดละง่ายๆ แท้จริงน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชีวิตของเขาก้าวไปถึงระดับที่สุดยอดที่สุดในทุกๆ ด้าน หากไม่มีความคิดที่มุ่งมั่น แม้จะมีมันสมองที่มีพรสวรรค์และมีดวงชะตาที่ดีอย่างไรก็ตาม ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ในเวลาต่อมาคำพูดที่ทักษิณชอบมากที่สุดก็คือ “ ไม่มีเรื่องใดที่ทั้งสองมือและความฉลาดของเธอทำไม่ได้ ขอเพียงแต่เธออยากทำจริงจัง”

นอกจากนี้ ทักษิณยังได้พบกับบุคคลสำคัญในชีวิตของเขาในสถานที่นี้ด้วย นั่นคือ พจมาน ดามาพงศ์ ขณะเมื่อศึกษาโรงเรียนนายตำรวจปีที่ 2 มีอยู่วันหนึ่ง มีนักเรียนรุ่นน้องวานทักษิณไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน สาวน้อยที่เปิดประตูรับเขาก็คือน้องสาวของนักเรียนรุ่นน้องคนนี้ที่ชื่อพจมาน ขณะนั้นอายุ 15 ปี ทักษิณอายุ 21 ปี เขาเพียงแต่มองหล่อนแว่บเดียว ก็ตกหลุมรักบุตรีของนายตำรวจยศพลตำรวจโทที่สวยงามบริสุทธิ์ผู้นี้

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมมีครอบครัวที่สงบและอบอุ่นมาก ภริยาของผมเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัว เธอมีพี่ชาย 3 คน แต่ภริยามักแสดงออกจนดูเหมือนเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน ทั้งเอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง ทั้งยังเป็นคนอารีอารอบ มักจะให้เงินช่วยเหลือเจือจานเพื่อนฝูง เธอเป็นคนละเอียดอ่อน และสังเกตสังกาเรื่องราวรอบๆ ได้อย่างละเอียด ขณะพบปะผู้คนแม้เพียงอีกฝ่ายมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถรู้สึกถึงได้ เธอยังเป็นคนกล้าหาญ ทุกครั้งที่พวกเราเผชิญวิกฤต เธอจะสุขุมรอบคอบอย่างมาก และไม่เคยรู้สึกหวาดกลัว และมักเป็นฝ่ายบอกผมว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้

ผมกับภริยามีนิสัยต่างกันคนละแบบ เธอเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก และเป็นแม่บ้านที่ดีด้วย เธอเป็นคนรักเด็กมาก และมักมองลูกว่ายังเป็นเด็กอยู่ เธอสามารถขับรถพาลูกและเพื่อนของลูกออกไปรับประทานอาหารค่ำ ลูกสาวของผมหากต้องออกจากบ้านเวลากลางคืน เธอก็จะขับรถไปส่งลูกด้วยตนเอง เรามีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน ลูกชายชอบสัตว์เล็ก โดยเฉพาะสุนัข เขาทราบถึงสุนัขพันธุ์ต่างๆ ลูกชายหากชอบสิ่งใดก็จะหาหนังสือเกี่ยวกับสิ่งนั้นมาอ่าน เขามีหัวทางศิลป์ ผมคิดว่าเขาเหมาะที่จะคุมกิจการเกี่ยวกับสื่อมวลชน ส่วนลูกสาวทั้งสองก็ดูเหมือนฝาแฝด แต่แท้จริงอายุห่างกัน 4 ปี ลูกสาวคนโตกำลังศึกษาที่ลอนดอน เป็นการเรียนระดับปริญญาโทใบที่ 2 เกี่ยวกับด้านการเงิน ลูกสาวคนเล็กกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 3 ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คนนี้มีหน้าตาคล้ายผม แต่นิสัยเหมือนแม่ เป็นคนง่ายๆ และเป็นที่ชื่นชอบในกรุงเทพฯ ผมหวังให้ลูกคนนี้พัฒนาไปทางด้านการค้า โดยก่อตั้งกองทุนช่วยเหลือคนยากจน

ความรักมาราธอนคู่นี้ใช้เวลาถึง 3 ปี เมื่อทักษิณทราบว่าหญิงในหัวใจกำลังเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่นิวยอร์กภายใต้การจัดการของพ่อหล่อน เขาก็เริ่มเร่งรีบฝึกฝนภาษาอังกฤษ โดยหวังจะเดินทางไปเรียนสหรัฐฯ พร้อมกับพจมาน ในที่สุดคู่รักคู่นี้ก็ได้บินไปสหรัฐฯ พร้อมกันเพื่อเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยของมลรัฐเคนตั๊กกี พจมานศึกษาด้านการศึกษาสำหรับเด็กอ่อน ทักษิณศึกษาด้านอาชญาวิทยา ความฝันของเขาในช่วงนั้นคือฝันอยากเป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อขจัดปัญหาความฟอนเฟะในวงการเมืองซึ่งเป็นโรคร้ายเรื้อรังของสังคมไทย โดยคิดไม่ถึงว่าในเวลาต่อมาตนเองจะถูกรัฐประหารและถูกกล่าวหาในข้อหานี้ ช่างเป็น “จอมอภิมหาความฟอนเฟะจริงๆ”

ทักษิณใช้เวลาศึกษาเพียง 1 ปี 4 เดือน ก็ได้รับปริญญาโทด้านดังกล่าว จากนั้นได้กลับประเทศพร้อมพจมาน เพื่อแต่งงานกัน พ่อตาเป็นนายตำรวจในราชสำนัก งานแต่งงานของลูกสาวย่อมต้องเป็นงานที่ได้รับพระราชทาน และนี่เป็นครั้งแรกที่ชีวิตของทักษิณได้มีส่วนสัมพันธ์อย่างเล็กๆ น้อยๆ กับพระราชวงศ์
ปี 1976 ทักษิณเดินทางกลับสหรัฐฯ พร้อมภริยา เขาได้เข้าศึกษาระดับปริญญาเอกด้านอาชญาวิทยาที่มหาวิทยาลัยแซมฮุสตัน มลรัฐเท็กซัส พจมานได้เรียนเป็นเพื่อน เมื่อทุนศึกษาไม่พอใช้ ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญในการเรียนไปทำงานไป บุตรีของข้าราชการชั้นสูงต้องมาเป็นคนเลี้ยงเด็ก คนงานกะ พนักงานขายสินค้า ขณะที่ทักษิณทำงานส่งหนังสือพิมพ์ เด็กเสิรฟ และแคชเชียร์

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมทำงานเป็นคนงานในร้านเคนตั๊กกี้ เรียนวิธีการทอดมันฝรั่ง ทอดขาไก่ ในภัตตาคารหรูอีกแห่งหนึ่ง ผมเป็นผู้ช่วยบริกร เพราะงานนี้มีทิป มีรายได้มากขึ้น ทุกคนชอบผม เมื่อผมทำงานในส่วนของตนเสร็จ พวกเขาก็ชอบที่จะแบ่งงานอื่นให้ผมทำ มีบางครั้งผมต้องช่วยกุ๊กเตรียมอาหารค่ำสำหรับวันเสาร์ เมื่ออาหารค่ำผ่านไป ผมก็ไปเป็นแคชเชียร์ จากนั้นก็ไปช่วยงานกุ๊ก เพื่อเตรียมอาหารเช้าสำหรับวันต่อไป ในวันอาทิตย์ผมมักจะเตรียมอาหารเช้าก่อนถึงจะกลับบ้าน ต่อมา ผมได้เก็บเงินจนซื้อรถมือสอง ทุกวันตอนเช้าขับรถไปส่งหนังสือพิมพ์ สิ่งที่ได้รับจากงานชิ้นนี้คือความสามารถในการหลบหลีกสุนัขเฝ้าบ้าน ผมต้องเลือกระยะที่ไม่ใกล้ไม่ห่างเกินไป เพื่อโยนส่งหนังสือพิมพ์ จากนั้นก็รีบเผ่นขึ้นรถ สุนัขก็วิ่งเข้ามาหาผมไม่ทัน ภริยาผมช่วยคนอื่นดูแลลูก เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยเกินไป ทำให้แท้งลูกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่ผมได้เข้าใจอย่างมากในสหรัฐฯคือ นี่เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยโอกาส ขอเพียงแต่ให้โอกาสแก่ผู้คนอย่างเต็มที่ คนก็จะยึดโอกาสที่มีอยู่ทั้งหมดในการแสวงหาความอยู่รอด แล้วก็จะค่อยๆ เอาชนะความยากลำบากได้ ตอนนั้นผมคิดเพียงว่า หากประเทศของผมสามารถให้โอกาสแก่ผู้คนมากมายเช่นนี้ก็คงจะดี ต่อมาเมื่อได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่ได้เห็นจากสังคมอเมริกันในช่วงนั้นได้ช่วยชี้ทางให้ผมอย่างมาก

ในการเรียนระดับปริญญาเอก จำต้องเรียนวิชาปรัชญา ผมเริ่มนิยมชมชอบนักปรัชญาหลายคน เช่น โซเครติส เพลโต มองเตกิแอร์ รุสโซ และจอห์น ล็อค เป็นต้น นักปรัชญาเหล่านี้สอนผมให้รู้ว่าอะไรเรียกว่าสัญญาประชาคม อะไรคือสิทธิประโยชน์และอำนาจ การเรียนปรัชญาช่วยให้ผมเข้าใจนัยความหมายอย่างถ่องแท้ของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้มีความหมายง่ายๆ แค่การเลือกตั้ง ซึ่งยังห่างไกลจากแก่นหลักมาก คนที่มีอำนาจควรต้องทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนทำงานเพื่อเขา ก็เหมือนกับที่พวกเรากล่าวถึงปรัชญาทางการค้า ซึ่งมักเอ่ยว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า ลูกค้าต้องมาก่อน” การเมืองก็เหมือนกัน รัฐบาลๆ หนึ่งขอเพียงถือว่าผลประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ประชาชนก็จะสนับสนุนเขา และเคารพรักเขา

แต่ทว่า สิ่งที่มีอิทธิพลที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของทักษิณแท้จริงกลับไม่ใช่ความฉลาดและความลึกล้ำของนักปรัชญา และก็ไม่ใช่ความโชติช่วงชัชวาลย์จากการได้รับปริญญาเอกทางอาชญาวิทยา แต่กลับเป็นวิชาเลือกด้านคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยกิตเพียง 3 หน่วย เพียงเพราะเขาไม่ชอบวิชาภาษาต่างประเทศ เขาจึงได้เลือกเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันกับวิชาคณิตศาสตร์อยู่บ้าง และตอนนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าทางเลือกที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการก่อตั้งกิจการในชีวิตของเขา


ตอน 5

ในวันหนึ่งที่ร้อนระอุของช่วงฤดูร้อนปี 2522 ทักษิณซึ่งมีอายุ 30 ปี และพจมานซึ่งมีอายุ 24 ปี ได้อุ้มลูกชายซึ่งเป็นทารกอายุ 5 เดือน เดินทางจากเท็กซัสกลับไทย พวกเขานำกระเป๋าติดตัวไม่มาก มีเพียงรถเบ๊นซ์มือสองรุ่นเก่าๆ คันนั้นเท่านั้นที่พอจะมีค่าบ้าง แต่การจะนำเข้ารถต้องเสียภาษีศุลกากรถึง 4 แสนบาท ทักษิณควักเงินจนหมดกระเป๋าก็จ่ายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขารู้สึกเสียดายที่จะต้องขายรถเก่าเพื่อคู่กายมาหลายปีคันนี้ จึงได้ยืมเงินก้อนหนึ่งจากป้า เพื่อจ่ายเป็นค่าภาษี จากนั้น ก็ขับรถคันนี้ไปรายงานตัวที่แผนกวิจัยและวางแผน กรมตำรวจ เขาเคยเป็นตำรวจ อารักขาให้กับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรี และเคยเป็นครูให้กับผู้บังคับการโรงพักในโรงเรียนอบรมตำรวจ รวมทั้งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นที่รวบรวมข้อมูลด้านคดีอาชญากรรมประเภทต่างๆ ที่พิลึกพิลั่น โดยทำงานในหน้าที่นี้ถึง 6 ปี และได้เลื่อนยศจนเป็นพันตำรวจโท แต่เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความจำเจน่าเบื่อ

ทักษิณมักมีความคิดก้าวไกลไปกว่าคนอื่น มักเป็นผู้นำหน้าในด้านเทคโนโลยี และมีความคิดจะใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือของกรมตำรวจให้ทันสมัย เขาได้เสนอแนวความคิดอย่างอาจหาญ “โดยการสร้างระบบเครือข่ายที่เหมือนระบบขายตั๋วรถไฟ เมื่อจับกุมผู้ร้ายได้คนหนึ่งก็นำข้อมูลของเขาใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์ติดตามคดีที่เกิดขึ้นโดยตลอด เมื่อคนร้ายดังกล่าวก่อคดีอีก ก็จะสามารถค้นหาข้อมูลได้โดยทั้งหมด” ความคิดนี้ในปัจจุบันอาจจะฟังดูง่ายๆ และธรรมดา แต่ในยุคสมัยซึ่งคอมพิวเตอร์ยังเป็นของแปลกใหม่ที่หายากนั้น ความคิดนี้กลับไม่เป็นที่เข้าใจและยอมรับจากผู้บังคับบัญชา ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เขายิ่งยากที่จะทนทำงานอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ได้ สภาพทางเศรษฐกิจของดอกเตอร์นักเรียนนอกผู้นี้ชักหน้าไม่ถึงหลังมาตลอด ตำรวจเป็นส่วนหนึ่งในระบบข้าราชการ เงินเดือนไม่ถือว่าสูง เขาก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนมา 10 ปี เงินเก็บไม่มีเหลือหลอ นอกจากค่าใช้จ่ายรายวันและนมของลูกชายแล้ว เงินที่เหลือแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้าน

สามีภริยาคู่นี้เริ่มแรกพักอาศัยที่บ้านพ่อตาไปพลางก่อน ต่อมา พ่อของเขาซึ่งมีสภาพเศรษฐกิจไม่ดีได้ให้บ้านไม้เล็กๆ ที่มีเพียงสองห้องนอนแก่ทักษิณ แต่ทว่าบ้านหลังนี้ซอมซ่อมาก มีจุดที่ฝนรั่วเต็มไปหมด เวลาฝนตกหนัก หลังคาจะมีน้ำรั่ว ทำให้ต้องใช้ปั้มปั้มน้ำออกไป มีอยู่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักและไฟฟ้าดับ ทำให้สองสามีภริยาหมดหนทางได้แต่มองดูน้ำที่ยิ่งไหลเอ่อล้น จนกระทั่งเตียงลอยขึ้นมา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากการมีชีวิตที่ยากลำบาก ทักษิณจำต้องตัดสินใจหันไปทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพชีวิต ในตอนนั้นเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าจะได้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินนับร้อยล้าน แต่ว่าจะทำธุรกิจอะไรดี เขายังไม่มีไอเดียแม้แต่น้อย ในช่วงเริ่มแรกเป็นเวลาหลายปีเขาเหมือนแมลงวันที่ถูกเด็ดหัวที่พยายามดีดดิ้นบินว่อน เขาได้เจริญรอยตามนายเลิศ บิดาซึ่งเป็นพ่อค้าที่ไม่เคยประสบความร่ำรวย เดินทางในเส้นทางเดิมของตระกูลชินวัตร โดยเปลี่ยนจากสาขาธุรกิจหนึ่งไปอีกสาขาธุรกิจหนึ่ง ซึ่งแต่ละกิจการก็ล้วนประสบความย่อยยับขาดทุน

คำบอกเล่าของทักษิณ
ในตอนนั้นผมจำต้องทำธุรกิจ เพราะแต่ละเดือนมีเงินเดือนไม่ถึง 3,000 บาท ตอนเริ่มแรก ผมเช่าห้องเล็กราคาถูกในโรงแรมแห่งหนึ่งขายผ้าไหมไทย เงินหมุนเวียนและสินค้าก็ยืมมาจากลูกพี่ลูกน้อง ภริยาก็ต้องลงมาค้าขายเอง ธุรกิจตอนนั้นย่ำแย่มาก มีบางวันลูกค้าไม่มีแม้คนเดียว หลังเดือนหนึ่งผ่านไป ผมก็บอกกับภริยาว่าเราต้องเปลี่ยนธุรกิจแล้ว ทำต่อไปไม่ไหว ผมก็มักเป็นแบบนี้ เมื่อพบว่าเรื่องที่ทำอยู่ไม่ประสบผล ก็จะพลิกผันไปเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว โดยจะไม่ให้เสียเวลา แต่ป้าของผมบอกว่าผมเป็นคนไม่อดทน มักจะใจร้อนเกินไป หมอดูก็บอกว่าเป็นคนนิสัยใจร้อน ทำธุรกิจถ้าเสียหายทีตัวเลขเป็นหลักล้าน
พ่อผมเคยทำโรงหนัง มีสายสัมพันธ์กับคนในแวดวงอยู่บ้าง ผมก็เลยไปหาเพื่อนเก่าเหล่านั้น พอเข้าสู่แวดวงธุรกิจโรงภาพยนต์ ผมเคยกล่าวกับเพื่อนพ่อค้าที่ทำหนังคนหนึ่งว่า “ดูเถิด ผมไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ยังมีลูกชายหนึ่งคน จำเป็นต้องหาเงินทุกวิถีทาง เขากล่าวว่ากำลังมีหนังถ่ายทำเสร็จเรื่องหนึ่ง “นายต้องการดูไหม” ผมตอบว่า “ดี” ตอนนั้นผมไม่เข้าใจภาพยนต์เลยแม้แต่น้อย ใครเป็นดารา คนไหนโด่งดัง ไม่รู้จักทั้งสิ้น แต่ว่าพอดูหนังของเขาแล้ว ก็รู้สึกไม่เลว ที่สำคัญนางเอกในเรื่องมีชื่อคล้องจองกับแม่ผม ผมก็คิดว่านี่อาจจะเป็นลางดีก็ได้

ทักษิณขับรถเบนซ์คันนั้นของเขาไปที่โรงจำนำ แลกได้เงินมา 1 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ฉายภาพยนต์เรื่องนั้น เดือนหนึ่งผ่านไป เขาก็ไปไถ่ถอนรถคันดังกล่าวจากโรงจำนำคืน เงินในกระเป๋ายังมีเพิ่มอีก 1 ล้านบาท ความสำเร็จที่ได้มาโดยง่ายนี้ทำให้ทักษิณตื่นเต้นอย่างมาก แต่นิสัยเป็นคนใจร้อนก็นำความโชคร้ายมาสู่เขาอย่างรวดเร็ว การซื้อลิขสิทธิ์ฉายภาพยนต์ยิ่งมากก็กลับยิ่งขาดทุนมาก ภายในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินมากกว่า 30 ล้านบาท

คำบอกเล่าของทักษิณ
พอผมเข้าสู่วงการฉายภาพยนต์ นอกจากหนังเรื่องแรกที่ทำเงินแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่ขาดทุนทั้งสิ้น ในตอนนั้น คนไทยดูหนังเพื่อดูดาราดัง และผมเพิ่งกลับจากสหรัฐฯ ไม่รู้จักดาราดังในประเทศเลย หนังที่ผมซื้อก็ไม่มีดาราดัง เรื่องแรกที่ทำเงินก็ไม่มี แต่นางเอกเป็นดาราใหม่ และก็เริ่มดังขึ้นมาจากภาพยนต์เรื่องนั้น เมื่อลงทุนฉายภาพยนต์ล้มเหลว ผมขาดทุนไม่น้อย แต่ก็ได้รับบทเรียนไม่น้อยเช่นกัน และเนื่องจากเริ่มทำธุรกิจ มีเงินหมุนเวียน ในธนาคารก็มีเครดิตพอควร สามารถยืมเงินได้จากธนาคาร ต่อจากนั้นผมก็ยืมเงินธนาคารเพื่อหาธุรกิจอื่นทำ

เป้าหมายต่อไปของทักษิณคือเข้าสู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสายนี้เงินมาเร็ว กำไรสูง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการหาเงินมาใช้หนี้จำนวนมาก เขาทุบทิ้งโรงภาพยนต์มูลค่า 18 ล้านบาท และยืมเงินธนาคารเพิ่มอีก 20 ล้านบาท เพื่อเตรียมสร้างอาคารชุดที่อยู่อาศัยสูง 15 ชั้น เขาวิเคราะห์ว่า กรุงเทพฯ พัฒนาเร็วมาก ที่อยู่อาศัยของคนเมืองเริ่มมีไม่พอความต้องการ ขณะนั้นที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ส่วนมากเป็นตึกเล็ก 2-3 ชั้น หากปลูกเป็นตึกสูง จะต้องหาเงินได้มาก แต่ก็วาดความฝันสวยหรูอยู่ได้ 2 วัน รัฐมนตรีมหาดไทยก็ออกกฎระเบียบใหม่ห้ามสร้างตึกสูงเกินกว่า 7 ชั้นในเขตใจกลางเมือง ตึก 15 ชั้นเหลือเพียง 7 ชั้น กำไรที่ได้ก็หดหายไปด้วย ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่ยิ่งเลวร้ายกว่าก็กำลังจะตามมา มีนักเขียนคอลัมน์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเขียนบทความลง น.ส.พ. คัดค้านอย่างรุนแรงที่จะให้มีการสร้างตึกสูงสำหรับอยู่อาศัย เพราะตึกสูงเกิดไฟไหม้ได้ง่าย ขณะที่สถานีโทรทัศน์ก็เข้าร่วมขบวนการคัดค้านตึกสูงด้วย ในช่วงนั้นมีการฉายภาพยนต์เรื่องหนึ่งต่อต้านเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเสมือนน้ำเย็นชืดสาดไปบนประกายไฟแห่งความหวังที่จะหาเงินของทักษิณ ภาพยนต์ฝรั่งเศสชื่อ “ตึกนรก” เรื่องนี้เป็นการแสดงโศกนาฏกรรมของผู้คนจำนวนมากที่ตายไปอันเนื่องมาจากไฟไหม้ตึกสูงและไม่สามารถจะช่วยกู้ภัยได้ แต่เดิมทีคนไทยเองก็นิยมปลูกบ้านเตี้ยๆ อยู่แล้ว เมื่อได้เห็นภาพอันน่าสะพึงกลัวนี้แล้ว ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากอาศัยบนตึกสูง

นายตำรวจยศพันโทคนนี้ลงทุนไปแล้วขาดทุนเข้าเนื้อ หลังสร้างตึกสูงเสร็จ นอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ซื้อห้องไปจำนวน 10 ชุด ส่วนที่เหลือไม่มีใครสนใจอีกเลย หนี้สินได้เพิ่มจาก 30 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท แม้แต่เงินค่าจ้างของคนงานก่อสร้างก็ไม่มีจะจ่าย เจ้าหนี้ก็โทรศัพท์ทวงหนี้ทุกวัน ทุกครั้งที่โทรศัพท์ในบ้านดังขึ้นก็เสมือนระฆังงานสวดศพที่ดังขึ้นฉะนั้น สร้างความตึงเครียดอย่างสูงต่อสองสามีภริยา เลือดไหลออกเร็วมาก ทุกวันคืนไม่อาจหลับนอน ทักษิณก็เริ่มเข้าออกศาลบ่อยขึ้น อาศัยฝีปากระดับดอกเตอร์ด้านอาชญาวิทยา ทั้งให้คำสบถสาบาน เพื่ออ้อนวอนผู้พิพากษาที่มีจิตใจดี ให้เลื่อนระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป ขณะที่พจมานก็ต้องบากหน้าด้วยรอยยิ้มขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดรอบทิศ ญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดล้วนกลายเป็นเจ้าหนี้ของหล่อน
ทักษิณเคยมีความคิดจะเลิกล้มทำธุรกิจ เพราะไม่ว่าประกอบการด้านใดก็ล้มเหลว ยิ่งทำยิ่งขาดทุน เขาแทบจะไม่กล้าคิดเลยว่า หากอดรนทนทำต่อไปหนี้สินจะยิ่งสูงท่วมขึ้นมาอีกเท่าไร บางทีตนเองอาจไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นนักธุรกิจ แต่ว่าหนี้สินจำนวนมากที่แบกรับอยู่ขณะนี้จะทำฉันใดดี หากอาศัยรายได้เล็กน้อยจากการเป็นข้าราชการ ชาตินี้ทั้งชาติก็คงชดใช้ไม่หมด ยิ่งกว่านั้น ติดเงินธนาคารแล้วไม่ชำระ ก็อาจต้องติดคุก ทักษิณเริ่มเข้าใจถ่องแท้ถึงคำว่า “อับจนหนทาง”

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมเป็นคนชอบสบถสาบาน โดยเฉพาะต่อหน้าผู้พิพากษา ผมสาบานไม่รู้กี่ครั้งว่าผมจะใช้หนี้ให้อย่างแน่นอน โดยขอเวลาให้ผมอีกหน่อย ช่วงระยะเวลานั้นคือช่วงระหว่างการประกอบธุรกิจภาพยนต์ที่ประสบความล้มเหลวกับการประกอบธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่ประสบความสำเร็จ ผมทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส มันเป็นความยากลำบากอย่างที่สุดจริงๆ

คนเรามักจะพบกับชีวิตใหม่หลังจากมาถึงทางตันที่สุดของชีวิต

ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่อาจระแคะระคายถึงว่าการพัฒนาของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศจะนำมาซึ่งโอกาสทางการค้าอย่างไร้ขอบเขตนั้น ทักษิณก็เปรียบเสมือนนกเป็ดน้ำในสุภาษิตจีนที่รู้ว่าน้ำแม่น้ำอุ่นขึ้นเป็นตัวแรก เขารู้ถึงศักยภาพอันมหาศาลของกิจการธุรกิจนี้ เขาจึงมีความคิดที่จะนำตึกออกให้เช่า และเปลี่ยนไปประกอบธุรกิจคอมพิวเตอร์ พจมานเองก็ตกตะลึงกับความคิดของเขา คิดว่าสามีคงจะเสียสติ โดยนับถึงปัจจุบันโครงการที่เขาคิดทำขึ้นล้วนแต่ขาดทุน หล่อนไม่อาจปล่อยให้สามีฝันกลางวันต่อไปได้ แต่หล่อนก็ทนต่อการตอกย้ำในข้อเสนอของสามีครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ไหว เขาวิเคราะห์ถึงอนาคตของการทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ให้ภริยาฟังอย่างละเอียด จนที่สุดพจมานก็ยินยอมตกลงให้เขาลองทำดูสักครั้ง ด้วยเหตุนี้นี่เอง การเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ 6 หน่วยกิตที่สหรัฐฯ จึงได้เริ่มแผลงฤทธิ์อันมหัศจรรย์ให้เป็นที่ปรากฏ ทำให้ทักษิณได้สามารถเริ่มปีนป่ายขึ้นมาจากก้นเหวแห่งการทำธุรกิจ

เดือนธันวาคม 2525 มีบริษัทให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ ICSI ก่อตั้งขึ้น ลูกค้าหลักของบริษัทคือหน่วยงานรัฐบาลและสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยที่ต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ลูกค้ารายแรกที่สำคัญคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตามมาด้วยการรถไฟแห่งประเทศไทย ในปีที่ 2 ICSI ได้ประมูลโครงการได้รวดเดียว 8 โครงการ ทำให้ทักษิณดีใจบอกไม่ถูก โดยได้รีบลงทุนอีก 20 ล้านบาท จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อให้บริการด้านคอมพิวเตอร์และการลงทุนชินวัตร (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชินวัตรเทเลคอม) ประกอบการเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และกลางของ IBM การให้บริการครบวงจรทั้งจำหน่าย ให้เช่า และซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์ ธุรกิจดำเนินไปได้ไม่เลว แต่ทว่าในไม่ช้าเขาก็เริ่มที่จะไม่พอใจเพียงเท่านี้

คำบอกเล่าของทักษิณ
IBM ให้รัฐบาลไทยเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้วิธีดำเนินการในลักษณะสากล โดยซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อค่าเงินบาทลดค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลก็เริ่มรับไม่ไหว รู้สึกขาดทุน และปวดเศียรเวียนเกล้ามาก IBM ก็สูญเสียตลาดบางส่วนจากเรื่องนี้ และก็เป็นทุกข์ พวกเขาต้องการผู้แทนจำหน่ายสักราย ที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจาก IBM และนำไปเช่าให้รัฐบาลด้วยเงินบาท ผมเห็นว่านี่เป็นไอเดียที่ดี ตอนนั้นผมกำลังเป็นหนี้ก้อนหนึ่ง เวลานั้นต้องยืมเงินเขาไปทั่วเพื่อใช้หนี้

ภริยาผมยืมเงินจากเพื่อนพ่อจำนวน 10 ล้านบาท แต่ว่าดอกเบี้ยสูงมาก ในแต่ละเดือนโดยเฉลี่ยต้องใช้หนี้ถึง 3-5% ก็ประมาณ 25,000 บาท ในช่วงนั้นพวกเราได้รับแรงกดดันมาก ทุกวันต้องนั่งคิดว่าทำอย่างไรจึงจะผลัดผ่อนหนี้ออกไป ต่อมาธุรกิจคอมพิวเตอร์ทำเงินได้บ้าง แต่ผมคิดแล้ว หากเป็นไปตามความเร็วที่เป็นอยู่ คงจะอีกนานกว่าจะใช้หนี้ได้หมด ผมได้หารือกับภริยา และคิดจะเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม ทำธุรกิจด้านนี้หากโชคดีก็จะได้กำไรมากมาย ในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย ตลาดมีข้อจำกัด ผมเห็นว่าตลาดโทรคมนาคมน่าจะกว้างไกลกว่า แต่ว่าไม่มีคนสนับสนุน พวกเขาต่างก็เห็นว่าภูมิหลังผมไม่ใช่มืออาชีพในสายงานนี้ อีกทั้งไม่มีเงินทุนจำนวนมาก รวมทั้งการทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ก็ไปได้ดีอยู่แล้ว ผมก็แจ้งไปว่าดีก็ดีอยู่ แต่ยังห่างจากเป้าหมายที่ผมตั้งไว้มาก ในช่วงนี้เอง ค่าเงินบาทก็ตกต่ำอย่างฉับพลัน คนที่ขาดทุนมากที่สุดก็คือคนที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐทำธุรกิจอย่างผม ดังนั้น ในชั่วพริบตาหนี้สินของผมก็กลับยิ่งท่วมท้นมากล้นศรีษะ


ตอนที่ 6

ในช่วงชีวิตแต่ก่อนของทักษิณ เป็นเสมือนวงจรชีวิตลักษณะหนึ่ง มักจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ครั้งรุนแรงเสมอ ถึงจะนำไปสู่ความสำเร็จในก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่า เขามักจะแสวงหาจนได้พบช่วงจังหวะแห่งการผลักดันไปข้างหน้า ต่อมาได้เผชิญกับทางตันแห่งชีวิตเสียก่อนแล้วเสมอ มีคนกล่าวว่า ทักษิณมีจุดเด่นที่สุดที่การแปรเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นโอกาส

ปี 2517 เงินบาทมีค่าลดฮวบลงขนาดหนัก จาก 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 21 บาท ลดลงเหลือ 26 บาท การที่ค่าเงินเปลี่ยนแปลงทำให้เขาขาดทุนเกือบ 20 ล้านบาท ขณะเมื่อเงินบาทจะยิ่งมีค่าตกต่ำลงอีก ธนาคารเกรงว่าทักษิณจะไม่มีปัญญาใช้หนี้ จึงเสนอให้เขาแปลงทรัพย์สินแลกเป็นเงินฟรังซ์สวิส แต่เรื่องก็กลับยิ่งเลวร้าย ในเวลาอันรวดเร็วอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินฟรังซ์สวิสก็ลดจาก 13 : 1 เหลือ 22 : 1 ยิ่งลดรุนแรงกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐเสียอีก นายตำรวจยศพันโทที่น่าสงสารคนนี้เปรียบเหมือนหนีเสือปะจระเข้ ในขณะนี้หนี้สินที่เขาแบกรับอยู่ไม่ใช่แค่หลัก 10 ล้าน หากแต่เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท
ทักษิณเหมือนติดกับอยู่ในวังวนความทุกข์คล้ายไร้ทางออก ตัวหมัดยิ่งมีมากก็ยิ่งชาชินจนไม่รู้สึกถึงอาการคัน เขายกนิ้วขึ้นครุ่นคิดคำนวณ ธุรกิจให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละปีได้กำไร 10 ล้านบาท หากจะใช้หนี้สินให้หมดต้องใช้เวลาถึง 20 ปี เขาไม่มีทางเลือกอื่น พจมานก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน นอกจากยินยอมให้สามีเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อไปวัดดวงเอา

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่อดทนสู้ต่อไป ตอนเข้าสู่วงการธุรกิจโทรคมนาคมใหม่ๆ ก็ไม่ได้ทำเงินอะไร แต่เนื่องจากมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ทำให้ผมสามารถยืมเงินจากธนาคารได้ นำเงินก้อนนี้ให้ชดใช้หนี้เก่าบางส่วน ต่อมา ผมขยายไปทำธุรกิจเพเจอร์ เคเบิลทีวี และโทรศัพท์เคลื่อนที่ และต่อมาได้ขยายไปทำธุรกิจดาวเทียม ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผมได้ร่วมมือกับบริษัท AT&T ของสหรัฐฯ และได้เงินจากเขา 700 ล้านบาท เพื่อเปิดกิจการ ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว คนอย่างผมสันทัดในเรื่องการเจรจา

และแล้วดวงของทักษิณก็พลิกฟื้นจริงๆ ไข่มุกต้องมนต์คำสาปของเทพีเฮียราถูกเขาโยนทิ้งลงกองมูลควายไปแล้ว หลังจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานแห่งความหนาวเหน็บ หลังจากที่เขาต้องประสบความยากลำบากจากกองหนี้สินที่ถมทับจนแทบไม่สามารถหายใจหายคอ ในที่สุดคืนมืดอันยาวนานของเขาก็ผ่านพ้นไป และได้ต้อนรับแสงสว่างยามอรุณรุ่งท่ามกลางลมพริ้วแผ่วเบา สมองใหญ่ที่ได้รับพรจากฟ้าในด้านสติปัญญา นักต่อสู้ที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ขณะนี้ช่วงเวลาของเขามาถึงแล้ว

ปี 2528 ทักษิณจัดตั้งบริษัทแปซิฟิคเทเลคอมโปรเจ็คขึ้น โดยได้รับสัมปทานผูกขาดในการประกอบการธุรกิจด้านเพเจอร์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นระยะเวลา 10 ปี ในปีเดียวกันได้จัดตั้งบริษัท IBC ซึ่งเป็นกิจการโทรทัศน์วงจรปิดแห่งแรกของเครือข่ายโทรคมนาคมของไทย โดยได้รับสัมปทานถึง 20 ปี
 
ปี 2529 บริษัทชินวัตรเทเลคอมกรุ๊ปได้ร่วมมือลงทุนกับบริษัท TELEZIS ของสหรัฐฯ ในกิจการเพเจอร์ ในปีเดียวกันได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้บริการด้านสารสนเทศ ซึ่งประกอบกิจการให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์

ปี 2530 ทักษิณลาออกจากการเป็นข้าราชการตำรวจ เพื่อประกอบธุรกิจอย่างจริงจัง ในด้านหนึ่งเพราะกิจการยิ่งขยายเติบใหญ่ อาศัยพจมานดูแลเพียงคนเดียวไม่ทั่วถึง ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตในหน่วยงานราชการที่เจริญเติบโตตามขั้นตอนอย่างชักช้า (ผมรู้สึกว่าเวลาเสียไปกับกองเอกสารและการประชุมที่ว่างเปล่าและน่าเบื่อหน่าย)

ปี 2532 บริษัทชินวัตรดิจิตอลเทเลคอมได้รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยให้ดำเนินธุรกิจด้านเครือข่ายโทรคมนาคมระบบดิจิตอล

ปี 2533 ทักษิณเริ่มดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ CELLULAR 900 ในปีเดียวกันบริษัทชินวัตรเพเจอร์ก็ได้รับสัมปทานให้ประกอบกิจการ PHONELINK ขอบข่ายทั่วประเทศ วันที่ 21 สิงหาคม บริษัทชินวัตรเทเลคอมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของชีวิตทักษิณ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีหุ้นก็ขึ้นไปตลอดอย่างรวดเร็ว จากมูลค่าหุ้น 10 บาทขึ้นไปถึง 158 บาท เขาขายหุ้นในมือจำนวน 25,000 ล้านบาทออกไปหมด ในช่วงพริบตาก็เข้าสู่แถวขบวนของมหาเศรษฐีร้อยล้าน

ปี 2535 ทักษิณได้จัดตั้งบริษัทมหาชน PLC ขึ้น เพื่อลงทุนในกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศโดยขยายธุรกิจไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา เป็นต้น สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศพากันขยายนามเขาว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งโทรคมนาคม” หรือ “เจ้าพ่อแห่งวงการเทเลคอม” เมื่อไม่นานนี้ เขาได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์จูนให้เป็นเศรษฐีติดอันดับ 1 ใน 500 คนของโลก และเป็นคนไทยเพียงคนเดียวในนั้น

คำบอกเล่าของทักษิณ
นักโหราศาสตร์บอกว่าดวงของผมเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ตอนอายุก่อน 45 ปีมีดาวในเรือนเพียงดวงเดียว ซึ่งบ่งบอกว่ามีแต่ต้องอาศัยการศึกษาเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ทั้งหมดก็ล้วนต้องจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งสิ้น อายุหลัง 45 ปีไปแล้วชะตาชีวิตจึงพลิกฟื้น แต่ในความเป็นจริง ตอนอายุ 40 ปีดวงก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ตอนอายุ 40 ปี ผมมีทรัพย์สินทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 ล้านบาท เริ่มจาก 1 ล้านบาทเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท แต่ทว่าก่อนหน้านี้ผมยากลำบากมาก ได้ประสบความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง ชีวิตของผมเต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลาย

จากคนที่เคยสิ้นเนื้อประดาตัวจนถึงเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นของไทย ทักษิณใช้เวลาสั้นๆ เพียง 10 ปี ในช่วงเวลาของการสั่งสมทุนทรัพย์นั้น เขามีความต้องการเรียนรู้อย่างแรงกล้า มีความสามารถในการวิเคราะห์พิจารณาที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาในการสมาคมพบปะผู้คน เขามีอุปนิสัยที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด เป็นคนมีเสน่ห์ในความกล้าคิดกล้าทำ และมีพลังในการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจของเขาที่มีต่อเศรษฐกิจ ความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ และความรู้จักที่มีต่อสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นเพียงพื้นฐานที่ปูไว้สำหรับเขาเพื่อจะไปแบกรับภารกิจที่ใหญ่ยิ่งกว่าในวันข้างหน้า ความมั่งคั่งอันมหาศาลเป็นแค่ก้อนหลักศิลาที่ปูทางให้การมีชีวิต เป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของทักษิณ กำลังจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 83 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2005 นายกรัฐมนตรีทักษิณได้เดินทางไปเยี่ยม บรรพบุรุษที่หมู่บ้านเหมยเจี้ยว เขตเหมยโจวซึ่งเป็นบ้านเกิดฝ่ายมารดา และได้จูงมือญาติผู้น้องในหมู่บ้านโบกมือทักทายคนในหมู่บ้าน)
(2) ภาพหน้า 97 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้เยือนจีน อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีจีน ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม )


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Body&Soul ที่ 07-08-2007, 01:50
เข้าใจจริงๆครับ คนนอนคุยกันย่อมรู้อะไรๆเยอะกว่า ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ

อ้าว :slime_sentimental: ลืมสวัสดีน้องลิเดียร์ :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 01:57
บทที่ 5 การปกครองประเทศโดยซีอีโอ

ตอนที่ 1

ประเทศไทยมีคำพังเพยอยู่คำหนึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปคือ พ่อค้าที่ร่ำรวย 10 คน ก็เปรียบไม่ได้กับข้าราชการของรัฐ 1 คน มิใช่เพียงประเทศไทยเท่านั้น ทรรศนะคติที่ว่าความร่ำรวยเปรียบไม่ได้กับยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้มีการถ่ายทอดในวัฒนธรรมขงจื้อทั่วเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ในยุคปี 1970 ของศรรตวรรษที่แล้ว นายลิขิต ธีระเวคินนักวิชาการได้เขียนโครงสร้างของสังคมไทยที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงคุณค่าในการสร้างสังคมไทยอย่างไร ดังนี้
1. กลุ่มคณะปกครอง
2. ชนชั้นข้าราชการ
3. พ่อค้าต่างด้าว
4. ชาวนา

ระดับบนสุดคือชนชั้นปกครอง รวมถึงบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทหารระดับสูง หัวหน้าพรรคการเมือง รองลงมาคือชนชั้นข้าราชการ เป็นกลุ่มอำนาจบริหารที่ประกอบด้วยหัวกระทิทางเทคนิค เช่น ข้าราชการ เป็นต้น อันดับที่ 3 คือ พ่อค้าต่างด้าว เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พ่อค้าส่วนใหญ่ในสังคมไทยจะเป็นลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเล พ่อค้าจึงเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกคนจีน และระดับล่างที่สุดก็คือ ชาวนา เป็นชนชั้นที่มีเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับการนับถือ ถูกกดขี่ขูดรีดจากชนชั้นอภิสิทธิ์มาเป็นเวลาหลายพันปี ประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น ก็เป็นเช่นนี้ เข้าสู่สมัยปี 2523 เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ผู้มั่งมีที่มีพลังทางเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่งก็ได้ค่อย ๆ ขอความช่วยเหลือจากชนชั้นปกครอง และในกระแสของประชาธิปไตยที่นับวันยิ่งใหญ่เหล่าพวกยศศักดิ์และข้าราชการทหารจำเป็นที่จะคงอยู่โดยอาศัยการจัดตั้งพรรคการเมือง การแข่งขันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น เป็นเครื่องมือเพื่อมุ่งสู่ถนนแห่งอำนาจที่ถูกต้อง ตามกฏหมายโดยใช้เสื้อคลุมประชาธิปไตย การใช้เงินทองในการซื้ออำนาจยิ่งเข้มแข็ง การติดต่อระหว่างทหาร รัฐบาลและพ่อค้านับวันใกล้ชิดซึ่งได้กลายเป็นความใฝ่ฝันของนักธุรกิจเป็นจำนวนมาก ก่อนนายทักษิณ ชินวัตร นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทยก็คือนักธุรกิจก่อสร้างที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง

เงินทองกล่าวสำหรับทักษิณ แล้วเป็นเพียงตัวเลข เขาได้ตั้งเป้าหมายที่สูงยิ่งให้กับตัวเขาคือการเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ แนวคิดดังกล่าวสามารถหวนย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะที่เขาได้ติดตามคุณพ่อซึ่งเป็นสมาชิกสภาเมืองเชียงใหม่ไปเยี่ยมเยียนประชาชนผู้ใช้สิทธิเกิดความรู้สึกชอบการเมืองตั้งแต่นั้นมา ต้นปี 2535 ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า การเมืองการค้าว่าไปแล้วก็คือครอบครัวเดียวกันควรยอมรับความเป็นจริงในเรื่องนี้ การเมืองเปรียบเหมือนพระอาทิตย์ กิจการค้าเปรียบเหมือนโลก ใกล้เกินไปก็จะร้อน ห่างเกินไปก็หนาว ในตอนนั้นเขาเริ่มสนใจที่จะลงเล่นการเมือง พร้อมกันนี้ ก็ได้รับรู้อย่างมีสติถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการค้า เพียงแต่การทำการค้าจะให้ความสำคัญเรื่องผลกำไรและต้นทุน จะไม่แยแสต่อวิธีการดำเนินการในส่วนรวม แต่การเมืองจะมีความซับซ้อนซ่อนอุบายมากมายจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างมีไหวพริบ การเมืองไม่เหมือนการค้าที่เป็นเกมส์หวังแต่ผลประโยชน์มากที่สุด การเมืองเป็นเกมส์ในทางจิตวิทยาเป็นความสามารถในการควบคุมตนเองและปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ แต่เป็นที่น่าเสียดายในจุดนี้ตั้งแต่ต้นจนจบทักษิณ ไม่สามารถควบคุมได้

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
ภายหลังจากที่ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจการสื่อสารก็คิดที่จะเข้าวงการเมืองเพื่อทำงานให้กับบ้านเมือง แต่ภริยาไม่เห็นด้วยโดยเตือนสติตนว่า อย่าลืมคำพูดของคุณแม่ตนที่ได้พูดไว้ว่า ก่อนที่จะมีความมั่งมีอย่าย่างก้าวสู่การเมือง แม้ว่าเราจะมีเงินแล้ว แต่การค้ายังไม่มั่นคงอีกทั้งยังไม่มีผู้ที่เหมาะสมที่จะมาแทนตน ขอให้รออีกหน่อย ตนรอมา 2 ปี จนอายุ 45 ปี

ในปี 2537 พลตรีจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมของไทยก็ได้มาหาตนที่บ้านขอเชิญตนเป็นตัวแทนของพรรคเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เงื่อนไขคือ ทำตามที่พรรคกำหนดโดยการกรอกใบสมัครเข้าพรรค 1 ฉบับ ทักษิณ ตกใจมาก แม้ว่าเขาจะมีความจัดเจนในสนามการค้า แต่ประสบการณ์ทางการเมืองมีน้อยไม่สันทัดในกิจการต่างประเทศ ในช่วง 2 ปี ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ใฝ่ฝันในทางการเมืองอีกทั้งมีเงินได้ถูกนักการเมืองพูดจาหว่านล้อมให้เล่นการเมืองเป็นที่หมายปองของพรรคต่าง ๆ อย่างมาก แต่เขาปฏิเสธ เนื่องจากภริยาไม่เห็นด้วย และงานธุรกิจสื่อสารที่ต้องดูแลจนล้นมือ แต่ครั้งนี้เขาระงับใจไม่ไหวเกิดความสนใจขึ้นบ้างแล้ว เข้าสู่การเมืองก็เข้าดำรงตำแหน่ง รมว. รัฐบาล จุดเริ่มต้นนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดินกับจุดเริ่มต้นสมัยที่ทำธุรกิจแพรไหมในร้านเล็ก ๆ สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พลตรีจำลอง เป็นเพื่อนที่ดีคบค้ากันมาหลายปี ดังเช่นที่วงการภายนอกได้วิพากวิจารณ์กันว่า พลตรีจำลอง เป็นผู้นำทางให้แก่ทักษิณ ในวงการเมือง คือเจ้าพ่อทางการเมืองของเขา

พลตรีจำลอง ก็เป็นลูกหลานของชาวจีนโพ้นทะเล มีชื่อจีนชื่อหลู จิน เหอ เกิดเมื่อปี 2478 ครอบครัวยากจน บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เยาวัย มารดาเป็นคนรับใช้ที่บ้านของนายทหารเรือที่เกษียณราชการ ในช่วงที่เขามีอายุ 12 ปี มารดาได้แต่งงานใหม่กับบุรุษไปรษณีย์ พลตรีจำลอง มีความฉลาดเฉลียว ผลการเรียนยอดเยี่ยม ภายหลังเรียนจบมัธยมได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ต่อมา ได้ไปอบรมด้านการทหารระดับสูงที่อเมริกาหลายครั้ง เขาเคยเข้ารบในสนามรบในลาวและเวียดนาม เคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาล เคยสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย ปี 2528 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายพล ภายหลังจากนั้น เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ผู้ว่ากรุงเทพฯ 6 ปี ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นพรรคที่สุจริตมีความกล้าหาญ ปี 2535 พลตรีจำลอง และพรรคพลังธรรมได้นำมวลชนเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทหาร ผลปรากฏว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบเกิดการปะทะนองเลือด

พลตรีจำลอง เป็นผู้เลื่อมใสในศาสนาพุทธ เป็นผู้นิยมลัทธิระงับความอยาก ทานมังสาวิรัส ใส่เสื้อม่อห้อมในที่สาธารณะเสมอ ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการเมือง ตามที่กล่าวอ้างในช่วงแรก ๆ ความคิดเห็นทางการเมืองของทักษิณ และพลตรีจำลอง ค่อนข้างจะเหมือนกัน ภายหลังจากที่ทักษิณ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เคยเรียนเชิญพลตรีจำลอง รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารับผิดชอบด้านการศึกษาของพรรคไทยรักไทย อีกทั้งยังว่าจ้างเขาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชินวัตร แต่ว่าต่อมา พลตรีจำลอง ได้เป็นแนวหน้าที่จะล้มล้างเขา บุญคุณและความแค้นของบุคคลทั้งสองแวดวงภายในเป็นอย่างไร ได้เป็นปริศนาตลอดมา

ปัจจุบัน เป็นช่วงฮันนีมูนของ 2 คน อย่างแท้จริง ทักษิณ ได้ทำการไตร่ตรองรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่หายาก เขาได้ตอบรับการเรียนเชิญของพลตรีจำลอง เข้าดำรงตำแหน่ง รมว. กต. ในคณะรัฐมนตรีของนายชวน หลีกภัย แต่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็ได้นำมาสู่การถกเถียง มีคนวิจารณ์เขาว่า ขาดประสบการณ์ทางการเมืองเป็นมือใหม่ในด้านการต่างประเทศ มีคนสงสัยว่า ธุรกิจการลงทุนในต่างประเทศของเขาจะกระทบถึงนโยบายต่างประเทศของไทย ยังมี สส. 23 คน เข้าชื่อกล่าวหาทักษิณ ละเมิดข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รมว. ในคณะรัฐมนตรีไม่อาจถือหุ้นในบริษัทของรัฐเกินกว่าร้อยละ 50 ได้ ได้ขอร้องให้เขาลาออกในทันที ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ทักษิณ ประกอบการในอุตสาหกรรมสื่อสารล้วนเป็นรายการที่ดำเนินกิจการโดยรัฐบาล แต่ว่า หุ้นของกลุ่มบริษัทสื่อสารชินวัฒน์ที่เขาและภริยาถือครองอยู่รวมกันแล้วคิดเป็นร้อยละ 48.7 ไม่ได้ละเมิดกฏหมายอย่างแน่นอน นักการเมืองผู้นี้เดือดดาลอย่างมากต่อการลอบทำร้ายของคู่ต่อสู้ เขาแสดงว่า ยินดีประกาศทรัพย์สินเพื่อแสดงความขาวสะอาด คดีได้ฟ้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ แต่ว่า สุดท้ายก็ไม่ได้มีการตัดสิน คู่ต่อสู้ของเขาได้ทำลายชื่อเสียงของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างลับ ๆ ทักษิณ โมโหมากได้ขอลาออกจากตำแหน่ง อยู่ในตำแหน่ง รมว. กต. เพียง 105 วัน

อาชีพนักการเมืองครั้งแรกของทักษิณ ก็เป็นอันจบสิ้นลง วันที่ 26 ตุลาคม 2537

วันแรกที่ทักษิณ ดำรงตำแหน่ง รมว. กต. นักข่าวก็ได้ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องรัฐประหาร เมื่อ 3 เดือนก่อนรัฐบาลกัมพูชาเพื่อนบ้านของไทยได้ทำลายการก่อรัฐประหารแบบไม่มีการนองเลือด ทหารที่ก่อการรัฐประหารประมาณ 300 คน ที่ประจำอยู่นอกกรุงพนมเปญ 25 กิโลเมตรได้ถูกรถถังของรัฐบาลสกัดกั้นถูกเตือนให้กลับเข้าฐานที่มั่นในเวลาต่อมา หัวหน้าผู้ก่อรัฐประหารตามที่กล่าวอ้างคืออดีตรองนายกและพระโอรสของเจ้านโรดมสีหนุ เจ้านโรดมจักรพงษ์ ภายหลังแผนประสบความล้มเหลวเจ้านโรดมจักรพงษ์ หนีไปมาเลเซีย ผู้ต้องสงสัยพัวพันในการก่อรัฐประหารเป็นอดีต รมว. มหาดไทยถูกจับกุมตัว สังคมนานาชาติวิพากวิจารณ์เรื่องนี้ไปทั่ว รมว. กต. ออสเตรเลียแสดงว่า รัฐประหารในครั้งนี้อาจได้รับความสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากประเทศไทยเพราะว่า เขมรแดงของกัมพูชาได้อาศัยชายแดนกัมพูชา-ไทยเป็นสถานที่ป้องกันตัวตลอดมาเป็นที่สะสมกำลังตีโต้ฝ่ายรัฐบาล ขณะเมื่อนักข่าวได้ถามทักษิณ รมว. กต. จะประเมินค่าอย่างไรต่อเรื่องดังกล่าว รมว. มือใหม่ผู้นี้ได้ตอบคำถามนักข่าวอย่างไม่มีลีลาที่เกรงใจของนักการทูต เขาตัดบทกล่าวว่า เป็นเพียงข่าวลือทั้งสิ้น หลังจากนั้นไม่กี่วันทักษิณ ก็ได้พบกับ รมว. กต. ออสเตรเลียในที่ประชุมระดับ รมว. APEC เขากล่าวกับ รมว. กต. ออสเตรเลียว่า มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าประเทศไทยสนับสนุนเขมรแดง คำถามตรงเกือบจะเป็นคำถามที่หยาบคายทำให้ รมว. กต. ออสเตรเลียตลึง เขากล่าวต่อไปว่า ผมรู้สึกว่าข่าวสารที่ท่านมีน่าจะล้าสมัยแล้ว ท่านควรสอบถามความเห็นของ สอท. ออสเตรเลียประจำประเทศไทย ต่อปัญหานี้ออสเตรเลียสามารถจัดตั้งคณะทูตานุทูตประเทศต่าง ๆ ไปตรวจสอบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับรัฐบาลทหารกัมพูชา ณ สถานที่จริง รมว. กต. ออสเตรเลีย มีสีหน้าอับจนเพื่อเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอด เขาได้หันไปตำหนินักการทูตที่ติดตามเขาว่าไม่ได้รายงานให้เขาทราบอย่างละเอียด ต่อมา ในที่เปิดเผยสาธารณะ รมว. กต. ออสเตรเลียยอมรับกับนักข่าวว่า การพูดคุยของทักษิณ ไม่เป็นการเหมาะสม

มีเรื่องหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยและแบบอย่างทางการเมืองของทักษิณ เป็นอย่างดีคือ ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง รมว. กต. ไม่นาน เขาร้อนรนที่จะไปเยือนพม่าเพื่อผ่อนคลายความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพม่า แต่ว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่า รมว. เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นานจะไปเยือนพม่าไม่เพียงแต่ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตแล้วยังทำให้เสียระบบอีกด้วย ท้ายที่สุดทักษิณ ก็ได้ไปเยือนพม่าในโอกาสที่เหมาะสม เขาได้รอพบผู้นำพม่าตามเวลาและสถานที่นัดหมาย แต่ฝ่ายตรงข้ามมิได้ปรากฏตัวตามเวลาที่นัดหมายโดยอ้างว่า ผู้นำกำลังประชุมอยู่ เมื่อเขาหวนคิดถึงอดีต รมว. กต. ที่อารมณ์ดีของไทยต้องรอพบผู้นำพม่าเป็นเวลา 6 ชั่วโมงแล้วก็เกิดโมโห เขากล่าวว่า ภายใน 5 นาที หากไม่สามารถพบผู้นำพม่าก็จะไม่รอ สุดท้ายไม่ถึง 5 นาที ฝ่ายตรงข้ามก็ปรากฏตัว กล่าวโดยสรุปการปรากฏตัวครั้งแรกในวงการเมืองที่ด้อยประสบการณ์ของทักษิณ การแสดงออกของเขาถือว่าสอบผ่าน


ตอนที่ 2

4 เดือนให้หลัง ทักษิณได้หวนคืนสู่วงการเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคพลังธรรมลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. พื้นที่เยาวราช กท. ความเป็นคนมีนิสัยนุ่มนวล หน้าตาที่เขร่งขรึมน่าเกรงขามแต่ไม่ เสแสร้งของทักษิณ ได้สร้างภาพประทับแก่คนในย่านเยาวราชอย่างมาก เป็นผู้ที่ไม่วางมาด ไม่ดูถูกคนจน พูดจาตามสบาย นิสัยตรงไปตรงมา ไม่ถือสาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทักษิณ ได้นำพรรคพลังธรรมเข้าร่วมรัฐบาลผสมของนายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งรองนายกดูแลเรื่องคมนาคม เขากล่าวว่า ต่อนี้ไปจะไม่ยอมให้ลูกหลานของเราเกิดในรถ กินในรถ โตในรถ ตายในรถอีกต่อไป เขาได้เสนอโครงการ 3 ช่วง ระยะสั้น กลาง ยาว จะใช้เวลา 6 เดือน แก้ไขสัญญาณไฟจราจร กฏระเบียบการจราจร จากนั้นใช้ระบบบังคับการจราจรที่ใช้เทคนิคขั้นสูงแก้ปัญหาสภาพรถติด และในอนาคตจะมีการสร้างสะพานลอยฟ้า ถนนวงแหวน รถไฟใต้ดินเช่นกัน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ได้ประจักษ์เป็นจริงในปัจจุบันแล้ว ทักษิณ ให้คำมั่นภายใน 6 เดือนจะแก้ปัญหารถติดในกท. ผู้สื่อข่าวเห็นว่า เขาพูดเหลวไหล ได้มีการวาดภาพการ์ตูนล้อเลียนสัญณาณไฟเขียวมีฝูงวัวกำลังเดินข้ามถนน สัญณาณไฟจราจรระบบคอมพิวเตอร์จะแก้ปัญหารถติดได้หรือ รองนายกผู้นี้ได้ถูกผู้สื่อข่าวหยามหน้า

คำบอกเล่า...ของทักษิณ
พรรคพลังธรรมของพวกเรามีความได้เปรียบที่กรุงเทพฯ แต่ว่า ไม่ค่อยประสบความสำเร็จที่ชนบท ที่สำคัญคือ ในเวลานั้นผมไม่มีเวลาดูแลชนบท ผมดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคนี้เป็นเวลาปีกว่า ต่อมา นายบรรหารได้เชิญผมเข้าดำรงตำแหน่งรองนายก แรกเริ่มผมไม่คิดที่จะตอบรับ แต่เขาบอกว่ารายชื่อแต่งตั้งได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วผมจึงเข้ารับตำแหน่งรองนายก ในช่วงนี้บิดาของผมได้ถึงแก่กรรมลง มีเวลาปีครึ่งผมไม่สามารถหักห้ามความเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้ ในปี 2541 ผมรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว ผมจะจัดตั้งพรรคการเมืองด้วยตนเอง

ทักษิณอยู่ในตำแหน่งรองนายก 1 ปี 1 เดือน ได้ลิ้มรสถึงประชาธิปไตยแบบไทย ๆ จัดตั้ง ครม. บ่อยครั้ง วงการเมืองที่สั่นคลอน นโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง การบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ จากประวัติศาสตร์การเมืองยุคใกล้ของไทยเป็นที่ประจักษ์ว่า การจัดตั้งรัฐบาลประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง แต่ละพรรคก็หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ตามที่นักวิชาการของไทยได้กล่าวว่า ระบบการเมืองของไทยไม่มี สส. พรรคฝ่ายค้านมีแต่ สส. ที่เข้าร่วม ครม. และ สส. ที่รอเข้าร่วม ครม. ที่เข้าร่วม ครม. ก็อยู่ในตำแหน่งไม่นาน ที่ไม่ได้เข้าร่วมก็ทะเลาะไม่เลิก

การเมืองที่ไม่สุกงอมของพรรคการเมืองไทยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ จากโครงสร้างทางการเมืองในสมัยนั้น อำนาจทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฏหมายหนีไม่พ้นพรรคการเมือง ระยะเวลาที่ถูกต้องตามกฏหมายที่พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมมีเพียง 15 ปี รัฐบาลทหารควบคุมสิทธิการร่างกฏหมายเพื่อควบคุมการอยู่รอดของพรรคการเมืองมาโดยตลอดทำให้พรรคการเมืองตกเป็นเครื่องมือของอำนาจฝ่ายทหาร รัฐธรรมนูญที่รัฐบาลประกาศ 15 ฉบับ มีเพียง 5 ฉบับ ที่มี พ.ร.บ. พรรคการเมือง พรรคที่มีประวัติการก่อตั้งยาวนานมีเพียงไม่กี่พรรคส่วนใหญ่มีประวัติการก่อตั้งช่วงสั้น ๆ ไม่ต่อเนื่อง มีพรรคการเมืองจำนวนมากจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งรีบและยุบไปในชั่วพริบตา พรรคการเมืองส่วนใหญ่มีเพียงสำนักงานใหญ่ ไม่มีแผนทางการเมืองที่ยาวไกล ขอเพียงผลประโยชน์เบื้องหน้ากฏข้อบังคับของพรรคสามารถแก้ไขเมื่อใดก็ได้ตามที่นาย Huntingtonได้วิเคราะห์ไว้ว่าระบอบการเมืองระบอบหนึ่งความถี่ของการถูกทหารเข้าแทรกแซงในการบริหารประเทศจะเป็นปฏิภาคกลับกันกับพลังอำนาจของพรรคการเมือง รัฐประหารโดยตัวมันเองแล้วไม่สามารถทำลายพรรคการเมืองได้เป็นแค่ยืนยันว่ากลไกพรรคการเมืองเกิดการเน่าเฟะเท่านั้น นาย Huntington ยังกล่าวว่า พรรคการเมืองของไทยไม่เคยเป็นตัวแทนที่แท้จริงของพลังสังคมเลยเป็นเพียงตัวแทนของกลุ่มชนชั้นปกครองระดับบนและของพวกเขาเท่านั้นเอง

รัฐบาลที่มีนายบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรี วงการเมืองได้เข้าสู่ภาวะที่เลวร้ายรอบใหม่ ครม. อยู่ในสภาวะที่อาจต้องถูกปรับตลอดเวลา ในเดือนพฤษภาคม 2539 รัฐสภาได้มีมติไม่ไว้วางใจ รมว. ใน ครม. 4 คน เพราะมีส่วนพัวพันโดยใช้อำนาจหาผลประโยชน์ใส่ตัว รับสินบน การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลมีการด่าทอ สาดโคลนด้วยคำพูดที่รุนแรง หลังจากที่ รมว. ทั้ง 4 คนได้ลาออกไปแล้ว ทักษิณ ได้ยกเอาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของรัฐบาลเป็นข้ออ้างขอลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 3 เดือนต่อมาได้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ พรรคพลังธรรมแพ้ยับเยินได้รับเลือกเพียงคนเดียว ทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรคกระอักกระอ่วนใจมากประกอบกับเป็นเพราะปัญหาเรื่องการปฏิรูปเกิดปะทะกับสมาชิกอาวุโสในพรรคจนต้องแขวนหมวกจากไป

ความตั้งใจในชีวิตการเมืองที่กว้างไกลของทักษิณได้ยุติลงชั่วคราวอยู่ในช่วงความคิดวกวนกลับไปกลับมา เช่นเดียวกับที่ก่อนเขาจะประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ที่น่ากลัว ดูเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจะประทานการทดสอบที่หนักอึ้งและการโจมตีเขาติดต่อกันช่วยเหลือเขาในการค้นหาทิศทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ เขาเริ่มวางแผนอาชีพการเมืองของเขาใหม่ ในช่วงเวลานี้เขาได้ตระเวนไปในที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ พ่อค้า ชาวนา ฯลฯ เพื่อรับฟังเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองที่แท้จริงของพวกเขา รับทราบถึงปมเงื่อนของปัญหาสังคมที่มีอยู่ ภาพความหวังทางการเมืองใหม่ได้ค่อย ๆ ก่อรูปขึ้นในสมองของเขา ผู้เข้มแข็งที่ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติของใครตลอดการผู้นี้พบว่า การสร้างสีสรรในพิมพ์เขียวของผู้อื่นคงไม่ดีเท่าการเขียนแบบใหม่ในกระดาษขาวทั้งแผ่น เขาต้องการจะก่อตั้งพรรคของตนเอง เป็นพรรคการเมืองในอุดมคติของตัวเอง

ขอเพียงสอดคล้องกับข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญในประเทศไทยไม่ว่าใครก็ตามสามารถจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ทักษิณได้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคไทยรักไทยอย่างเป็นทางการต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกพรรคที่จัดตั้งในตอนแรกมีจำนวน 23 คน ในจำนวนนี้เป็นด๊อกเตอร์ 13 คน ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มจะเป็นพรรคการเมืองที่จัดเจนมาก พรรคนี้ต่อมากลายเป็นพรรคที่พูดปกป้องผลประโยชน์ให้กับชาวนา วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งพรรครวมถึง ผู้มีปัญญา ยึดการทำงานเป็นทีม ร่วมมือกัน ประสานจิตใจมาควบคุมดูแลกิจการของบ้านเมือง กล้าคิดกล้าทำ ยึดพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก รัฐบาลและทุกวงการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอาศัยรูปแบบการควบคุมจัดการที่ก้าวหน้ามาแก้ไขปัญหาที่คั่งค้างของชาติ

ที่กล่าวว่า รูปแบบการควบคุมจัดการที่ก้าวหน้าใช้คำพูดของทักษิณ ก็คือการใช้รูปแบบในการบริหารธุรกิจควบคุมจัดการบริหารประเทศเพราะว่า แท้ที่จริงแล้วทั้งสองอย่างมีส่วนคล้ายคลึงกัน แม้ว่า การบริหารจัดการรัฐบาลจะยากมากกว่าก็ตาม เขาเปรียบประเทศไทยเป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง บริษัทใหญ่นี้จำเป็นต้องผลิตผลิตภัณฑ์จำนวนมากเพื่อเอาผลกำไรมาเลี้ยงพนักงานทั่วประเทศซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้น วิธีการที่ปฏิบัติได้จริงและง่ายของเขาก็คือ ยกประสิทธิภาพการทำงานให้สูง ผลประโยชน์มาก่อนสิ่งทั้งหมด บุคคลในวงการภายนอกเรียกขานแนวคิดดังกล่าวของเขาว่า การปกครองประเทศโดย GEO แก่นของแนวคิดที่แท้จริงก็คือประโยคเดียว คัดค้านลัทธิราชการที่วางอำนาจ

ทักษิณ ได้นำการควบคุมจัดการแบบ CEO มาใช้ในการสร้างพรรคและการเลือกตั้งทั่วประเทศในตอนแรก เขาใช้เทคนิคการประกอบธุรกิจตามอย่างบริษัทข้ามชาติ จัดตั้ง สนง. ใหญ่พรรคไทยรักไทยที่ กท. และสาขา 4 ภาค ที่ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในเขตเลือกตั้ง 400 แห่งทั่วประเทศจัดตั้งสาขาจำหน่ายแนะนำผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคและนโยบายของพรรค เขาใช้เงื่อนไขที่อุดมดึงดูด สส. 100 คน เข้าพรรคไทยรักไทย สองปีให้หลัง พรรคไทยรักไทยได้กลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดของไทย ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 สส. ไทยรักไทยได้รับเลือก 248 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง ได้สิทธิจัดตั้ง ครม. ทักษิณ หัวหน้าพรรคขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 วันแรกที่ทักษิณ เข้าดำรงตำแหน่ง การประชุม ครม. นัดแรกบนโต๊ะประชุมจะไม่มีแฟ้มเอกสารดังเช่นในอดีต ทุกคนมีคอมพิวเตอร์มือถือ 1 เครื่อง หัวข้อการประชุมจะถูกเก็บไว้ในแผ่น CD ทักษิณ ประกาศว่า ต่อนี้ไป การประชุม ครม. จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สมาชิก ครม. ทุกคนจะต้องเรียนรู้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นโดยเร็วไม่ต้องอาศัยเลขาอีกต่อไป จะเห็นว่า การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประชุมเสียค่าใช้จ่ายลดลงเพียง 40,000 บาท จากเดิมที่ต้องจ่ายเป็นเงิน 180,000 บาท เวลาที่จัดเตรียมเอกสารจาก 20 ชั่วโมงเหลือเพียง 6 ชั่วโมง การประชุมโดยทั่วไปใช้เวลา 3 ชั่วโมงก็ยุติไม่เหมือนก่อนที่ต้องใช้เวลาทั้งวัน ไม่กี่วันต่อมานายกคนใหม่ก็ได้ประกาศมาตรการอีกว่า หลังวันที่ 31 มี.ค. ให้ยุบคณะกรรมการที่ไม่จำเป็นที่ประจำในทุกกระทรวงฯ จำนวน 516 คณะกรรมการ ปฏิรูปจำนวนนายตำรวจที่ สนง. ตำรวจแห่งชาติจัดเตรียมไว้สำหรับอารักขานายก 3 กลุ่มรวม 43 นายให้ลดน้อยลง
 
ถัดมานายกรัฐมนตรีก็ได้นำเสนอนโยบายประหยัดพลังงาน เขากำหนดว่า ต่อนี้ไปเมื่อมีการประชุม ครม. สมาชิก ครม. ไม่จำเป็นต้องใส่สูทเพื่อประหยัดไฟ หน่วยงานของรัฐบาลต้องจำกัดการใช้รถนำทางอย่างเข้มงวด รถตำรวจและขบวนรถรักษาความปลอดภัย อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในที่ทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ อาคารธุรกิจใหญ่ ๆ Supermarket ไม่ควรต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ห้างสรรพสินค้าควรลดเวลาประกอบกิจการ เวลาเที่ยงคืนให้ดับไฟถนนและไฟโฆษณา ปิดไฟส่องสว่างอาคาร ปิดไฟถนนที่มีรถและคนเดินน้อย

ทักษิณ ได้ตามอย่างพระเจ้าอยู่หัวใช้น้ำมันตาลโตนดกับรถตู้ของเขา เขาหวังให้ประชาชนหันมาใช้เชื้อเพลิงจากพืชแทนน้ำมันเบ็นซิลอย่างวางใจตามอย่างพระเจ้าอยู่หัว

การบริหารประเทศที่ไม่เหมือนใครของนายกคนใหม่ ได้นำมาซึ่งความแปลกใหม่ในวงการเมืองของไทย และดูเหมือนว่าตำรวจที่อยู่เวรในท้องถนน กท.ก็มีมากขึ้น แต่ว่า ทักษิณ นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก้นยังไม่ทันร้อน เป็นเพราะปัญหาทรัพย์สินนำไปสู่การล้างแค้น


ตอนที่ 3

วันที่ 18 มิถุนายน 2544 เป็นวันที่ทักษิณถูกพิจารณาคดีในข้อหาเจตนาปกปิดทรัพย์สินที่ศาลรัฐธรรมนูญ หากเขาเป็นฝ่ายแพ้จะต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่สามารถลงเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

นี่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่มีการวางแผนอย่างตั้งใจ หลังจากทักษิณ ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.กต. เนื่องจากปัญหาทรัพย์สินก็มีความฉลาดมากขึ้นได้ค่อย ๆ โอนทรัพย์สินไปเป็นชื่อภริยา และบุตรธิดาที่บรรลุนิติภาวะ เขาได้ถอยห่างจากธุรกิจครอบครัว ใฝ่ใจแต่เรื่องการเมือง ในเดือนกันยายน 2543 ขณะที่ทักษิณ ได้นำพรรคไทยรักไทยลงสมัครเลือกตั้ง สส. มีคนแจ้งคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า ในช่วงที่ทักษิณ ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในปี 2540 ไม่ได้แจ้งทรัพย์สินหุ้นที่โอนให้แก่บุตรและผู้ใกล้ชิดตามที่กฏหมายกำหนดมีความผิดตาม พ.ร.บ. แจ้งทรัพย์สินตามกฏหมายของไทย สมาชิก ครม. รัฐบาลจำต้องแจ้งสภาพทรัพย์สินและหนี้สินก่อนเข้ารับตำแหน่ง ก่อนออกจากตำแหน่ง และภายหลังออกจากตำแหน่งครบ 1 ปี รวม 3 ครั้ง หากมีการละเมิดจะถูกสั่งให้ออกจากวงการเมือง 5 ปี คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตได้นำคดีนี้รายงานต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ประชาชนไม่ต้องการเห็นนายกคนใหม่ที่มีความสามารถและยังไม่มีโอกาสได้แสดงความตั้งใจของตนผู้นี้ถูกขับไล่ออกจากวงการเมือง ประชาชนได้จัดตั้งความเคลื่อนไหวสนับสนุนชนิดต่าง ๆ ด้วยตนเอง จดหมายขอความเห็นใจจำนวนมากได้ถูกส่งไปที่ศาล ขอให้เลื่อนการพิจารณาตัดสินออกไป ให้เวลาแก่นายกผู้นี้บ้าง ขอให้เขาได้บรรลุความตั้งใจของตัวเอง

ผู้พิพากษากล่าวว่า เราได้ให้ความสนใจต่อความเห็นของประชาชน แต่ก็ต้องเคารพในกฏหมาย การพิจารณาคดีได้ดำเนินไปตามที่กำหนด บ่ายโมง 30 นาที ของวันที่ 18 มิถุนายน รถยนต์ที่ทักษิณนั่งมาก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหาฝูงชนอย่างช้า ๆ ประชาชนหลายพันคนโห่ร้องเอาใจเชียร์และโยนช่อดอกไม้ให้เขา เขาพนมมือไหว้พยักหน้าขอบคุณประชาชนแล้วเดินเข้าประตูศาลไป

คดีที่เกี่ยวข้องกับอนาคตทางการเมืองคดีนี้ เขาจะต้องแก้ต่างให้กับตัวเอง บุคคลผู้นี้ในอดีตเคยเพราะเป็นหนี้ธนาคารเป็นเงินจำนวนมาก เข้าออกศาลบ่อยครั้งเพื่อขอความเห็นใจต่อผู้พิพากษาให้ยืดวันเวลาชำระหนี้ออกไป ในครั้งนี้เขาก็ได้ใช้ฝีปากแก้ต่างและความสามารถในการพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง คำให้การโดยสรุปของเขาต่อศาลสะเทือนใจคนยิ่งกว่าคำให้การของทนาย

มารดาอบรมชี้นำผมตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่า ต้องก่อร่างสร้างครอบครัวก่อน ภายหลังจากที่มีกำลังทางเศรษฐกิจพอสมควรแล้วจึงจะเข้าสู่วงการเมือง ผมได้รับทุนการศึกษาของชาติจึงสามารถไปเรียนที่ต่างประเทศได้ ผมจะใช้ความรู้ที่ได้ศึกษามาสนองคุณชาติ ในชีวิตของผมเกลียดการทุจริตอย่างมาก ทรัพย์สินที่ตกหล่นไม่ได้แจ้งเป็นทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบากจากการประกอบธุรกิจ ไม่มีแม้แต่น้อยที่ได้มาจากการทุจริต แม้เงินจำนวนนี้จะเป็นเงินจำนวนมากแต่คิดเป็น 2 เปอร์เซ็น ของทรัพย์สินทั้งหมด การตกหล่นในการแจ้งทรัพย์สินเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่นั่นคือ “ ความผิดพลาดที่ขาวสะอาด “ มิใช่เจตนาอย่างเด็ดขาด ( ใครสามารถที่จะด้านหนึ่งกรอกแบบฟอร์มแจ้งทรัพย์สินที่มีความจุกจิก อีกด้านหนึ่งก็คิดคำนวณตัวเลข ) และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ ต่อประเทศและต่อผู้อื่น ผมจะไม่ขอร้องนอกศาลใช้บุญคุณหวังแต่การตัดสินที่เที่ยงธรรมและมีเหตุผลหวังที่จะรับใช้พระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติต่อไป คำอธิบายที่กินใจนี้คุณพจน์มานภริยาของเขาเป็นผู้เขียน นายกแก้ต่างให้กับตัวเองด้วยขอบตาที่แดงกล่ำ คำอธิบายที่สะเทือนใจของเขาสอดรับกับเสียงขอร้องของประชาชนนอกศาลขอให้ผู้พิพากษาให้ความเมตตา อาจเป็นเพราะเสียงเรียกร้องสนับสนุนของประชาชนเกิดสัมฤทธิ์ผลประกอบกับคำอธิบายที่สะเทือนใจคนของทักษิณ ในที่สุดผู้พิพากษาทั้ง 15 นาย ได้ลงคะแนน 8 ต่อ 7 ตัดสินให้ทักษิณ ชนะคดี

ทักษิณ กล่าวต่อผู้สนับสนุนที่มาแสดงความยินดีกับเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า จริง ๆ แล้วจิตใจของผมก็ทำมาจากเลือดเนื้อไม่มีความแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นเลยมีความรู้สึกเจ็บปวดต่อเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในฐานะผู้นำของประเทศผมจะหวาดกลัวไม่ได้ แม้จะมีสิทธิให้เสียใจ แต่ไม่มีสิทธิที่จะอ่อนแอต้องอดทนขยันทำงานเพราะว่าประชาชนไทยยังไม่อาจปลดเปลื้องจากวิกฤติเศรษฐกิจ เขาขอบคุณศาลที่คืนความยุติธรรมให้เขาโดยกล่าวว่า ยืนยันได้ว่าที่ประเทศไทยผู้ขาวสะอาดจะไม่ถูกปรักปรำ นักการเมืองที่ขาวสะอาดจะไม่ถูกปรักปรำให้ต้องลาออกจากวงการเมือง เขาขอบคุณผู้ที่สนับสนุนเขาว่า ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาชอบทักษิณ แต่เป็นเพราะพวกเขารักประเทศไทย

แม้ว่าชนะคดีแล้ว แต่ชะตาชีวิตของเขาได้ถูกทำนายไว้แล้ว มหาเศรษฐีผู้นี้เริ่มต้นด้วยการโต้เถียงในเรื่องทรัพย์สินเริ่มอาชีพนายกรัฐมนตรี 5 ปีให้หลังก็เจอปัญหาเดียวกันเดินไปสู่จุดจบ


ตอนที่ 4

นายก CEO ได้เริ่มแผนงานปฏิรูป “ ยกระดับประสิทธิภาพ “ เป็นชุด ระบบข้าราชการถูกปฏิรูปเป็นอันดับแรก เขากล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดในระบบราชการของไทยก็คือ ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ ขาดจิตใจผู้รับผิดชอบ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาคนก็ถามกันว่า ใช่เลยทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้อต่อในการทำงานมีมากเมื่อเกิดปัญหาหาตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ สภาวะการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

ระบบข้าราชการของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ใช้มาตั้งแต่ปี 2475 ซึ่งเป็นปีที่มีการบังคับใช้ระบบตรารัฐธรรมนูญโดยพระมหากษัตริย์ โครงสร้างที่บวมโต ประสิทธิภาพต่ำ ข้อบกพร่องมากมาย รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้พยายามที่จะปฏิรูป แต่ต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายชั้นจำต้องยุติการปฏิรูป นิสัยที่มีความพยายามอย่างเด็ดเดี่ยวของทักษิณ ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องปฏิรูปให้ถึงที่สุด รัฐบาลได้ทะยอยออกกฏหมายปฏิรูปการปกครองและกฏหมายจัดหมวดหมู่โครงสร้างระดับกระทรวงฯ ข้าราชการ 240,000 คน ต้องเกษียณก่อนอายุโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินไม่น้อยก้อนหนึ่ง งบประมาณที่ใช้ต่อการนี้คิดเป็นเงิน 36,100 ล้านบาท ยกเลิกระบบซี 11 ของข้าราชการพลเรือน ให้ยึดลักษณะการทำงานเป็นหลักโดยแบ่งเป็น 4 ประเภท ขั้นตอนในการทำงานจากเดิม 6 สายงานลดเหลือ 3 สายงาน รายได้ของข้าราชการของรัฐเปลี่ยนเป็นระบบเงินเดือน ระบบศักดินาในอดีตที่แต่งตั้งตำแหน่งให้ไร่นาแก่ข้าราชการได้ถูกยกเลิก ข้าราชการผู้ใดก็ตามมีที่ดินในชื่อของตนเองถือเป็นกรรมสิทธิของผู้นั้นไม่ถือเป็นเงินเดือน แต่ต้องเสียภาษีให้รัฐทุกปี ไม่ให้ความสำคัญลัทธิแยกกระจายในท้องถิ่นและสิทธิพิเศษในการควบคุมดูแลของท้องถิ่น ข้าราชการระดับจังหวัดขึ้นไปแต่งตั้งโดยส่วนกลาง ควบคุมดูแลจังหวัดต่าง ๆ โดยตรง กรรมาธิการกลางเพิ่มการท่องเที่ยวและกีฬา การพัฒนาสังคมและความปลอดภัยของมนุษน์ ทรัพยากรณ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เทคนิคข่าวสารและสื่อสาร พลังงาน ตลอดจนวัฒนธรรมเป็นต้นรวม 6 กระทรวง ด้านรองนายกเพิ่มเป็น 7 คน ทั่วประเทศแบ่งเป็น 6 เขต แบ่งงานรับผิดชอบให้รองนายกแต่ละท่าน ในส่วนของนายกไม่จำเป็นต้องประชุม เซ็นเอกสาร ทุกวัน ควรหาเวลาพิจารณาไตร่ตรองปัญหายุทธศาสตร์ งานหลักมอบให้รองนายกทำ นายกทักษิณฯ กล่าวว่า คนฉลาดควรวางอำนาจในมือลง มีคนถามหากงานจำนวนมากมอบให้รองนายกทำ เช่นนี้แล้ว ท่านยังมีอำนาจอยู่หรือ นายกตอบว่า เป็นเพราะผมมีจิตใจกว้างขวางรองนายกและ รมว. ต่างก็เคารพผมเพียงแต่มีคนบ่นว่างานมากเหนื่อยเกินไปแล้ว เป็นที่ทราบกันว่าทักษิณ โทรสั่งการเรื่องงาน 7-8 งานทุกวัน วันรุ่งขึ้นก็ถามถึงความคืบหน้าของงานทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหนังศรีษะชาไปตาม ๆ กัน

คำบอกเล่า...ของทักษิณ
ระบอบลัทธิทุนนิยมเป็นระบอบสังคมที่โหดร้ายอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง โลกาภิวัฒน์นำมาซึ่ง การแข่งขันทั่วโลก ความโหดร้ายของระบอบทุนนิยมอยู่ที่เปรียบเสมือนการลากผู้ป่วยไปเข้าร่วมแข่งขันการวิ่งมาราธอนทางไกล เราไม่สามารถใช้ร่างกายของเราเป็นข้ออ้างยืดเวลาหรือปฏิเสธการเข้าร่วมแข่งขัน แน่นอนผู้วิ่งนำหน้าต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ประเทศไทยจำต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน

ทักษิณ เป็นคนแรกที่คิดค้นระบบผู้ว่า CEO และระบบทูต CEO ได้นำรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจมาใช้กับรัฐบาลท้องถิ่นและหน่วยงานการต่างประเทศ ก่อนนี้รัฐบาลท้องถิ่นนอกจากผู้ว่าและนายอำเภอที่ถูกแต่งตั้งโดยกระทรวงมหาดไทยแล้ว หน่วยงานพาณิชย์ เกษตร คมนาคม การศึกษา เป็นต้น โดยกรรมการของแต่ละกระทรวงฯ จะดำเนินการเปิดสำนักงานที่จังหวัด ผู้ว่าเป็นหัวหน้าของจังหวัดแต่กลับไม่มีอำนาจ ระบบผู้ว่า CEO ให้อำนาจผู้ว่ารับผิดชอบเต็มที่ ทำให้พวกเขาสามารถกำหนดยุทศาสตร์การพัฒนาที่ต้องการสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของท้องถิ่น สอท/สกญ ของไทยในต่างประเทศและหน่วยงานที่ประจำ UN เผชิญกับปัญหาเดียวกัน นอกจาก ออท. และเจ้าหน้าที่การทูตที่สำคัญกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณาส่งไปประจำการแล้ว เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม พาณิชย์ วัฒนธรรม เป็นต้น กระทรวงต้นสังกัดจะเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งไป ออท. อยู่ในสภาพที่ไม่มีผู้ร่วมรบอยู่เสมอ ๆ ทักษิณ ได้มอบอำนาจการควบคุมจัดการและบุคลากรแก่ ออท. มากยิ่งขึ้นเพื่อดำเนินระบบรับผิดชอบของ ออท. นำสู่สังคมนานาชาติผลักดันการขายและโฆษณาประเทศไทย นอกจากระบบการบริหารแล้วเป้าหมายปฏิรูปต่อไปของทักษิณ คือ ธุรกิจของรัฐ ประเทศไทยดำเนินระบอบเศรษฐกิจลัทธิประชาธิปไตย ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจโดยเอกชน ยกเว้น ประปา ไฟฟ้า อุตสาหกรรมทางทหาร เป็นต้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวพันถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยังคงเป็นของรัฐบาล ทักษิณตกลงจะดำเนินการปฏิรูปธุรกิจประเภทนี้โดยการขายทรัพย์สินของรัฐส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ประกอบการเอกชนและธุรกิจเงินทุนต่างประเทศ นำเข้าบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ยกประสิทธิภาพทำให้ธุรกิจของรัฐกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อาศัยตลาดหลักทรัพย์เป็นต้น เป็นช่องทางในการระดมทุน ลดการลงทุนของรัฐบาล ( การปฏิรูปนี้ต่อมาได้นำไปสู่การถกเถียงในปี 2549 ได้มีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ซึ่งในขบวนมีพนักงานในธุรกิจของรัฐจำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย)

ผู้สื่อข่าวในขณะนั้นได้ตั้งฉายาให้กับ ครม. ของทักษิณ ว่า เป็นบริษัทจำกัดเพราะมี รมว. จำนวนไม่น้อยในรัฐบาลล้วนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คนทั้งหลายมีความรู้สึกว่าทักษิณ บริหารประเทศเหมือนบริษัทจำกัดบริษัทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลในการบริหารประเทศของนักธุรกิจค่อนข้างโดดเด่น ในปี 2546ประเทศไทยได้ชำระคืนหนี้สินที่เป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทางการเงินเป็นเงิน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนกำหนด 2 ปี กลายเป็นประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศแรกที่ลุกขึ้นมาหลังจากวิกฤติทางการเงินของเอเชีย ในปี 2545 ถึงปี 2548 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยรักษาระดับ 5 ถึง 6 เปอร์เซ็น ติดต่อมา 3 ปี ในปี 2547 ประเทศไทยบรรลุงบประมาณสมดุลย์เป็นครั้งแรกหลังวิกฤติทางการเงิน ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น 151 เปอร์เซ็น รัฐจัดเก็บภาษีเพิ่ม 30 เปอร์เซ็น

นอกจากการปฏิรูปการบริหารและปฏิรูประบบเศรษฐกิจแล้ว งานอีกงานหนึ่งของนายก CEO จุดหนักคือยึด “ นโยบายชามเหล็ก “ ในการโจมตีผู้กระทำผิดในเรื่องยาเสพติด ทักษิณ กล่าวว่า การผลิตและค้ายาเสพติดและกลุ่มอำนาจมืดเปรียบเหมือนมะเร็งของสังคมทำการกัดกินทรัพย์สินของสังคมทุกขณะกระทบความมั่นคงของสังคม ระเบียบส่วนรวมยุ่งเหยิง ประเทศไทยอยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่มีชื่อของโลก หลายปีมานี้ เป็นทั้งศูนย์กลางของสถานที่ถ่ายโอนยาเสพติด ประเทศผู้บริโภคและผู้ถูกทำร้าย สถิติปี 2544 แสดงให้เห็นว่าประชาชนที่ติดยาเสพติดของไทยมีจำนวน 2,650,000 คน คิดเป็น 4.3 เปอร์เซ็นของประชากรทั้งหมอ ยาเสพติดที่เข้าสู่ประเทศไทยที่สำคัญคือ Methamphetamine ระดับผู้ใช้แรงงานของไทยโดยเฉพาะคนขับรถทางไกลจำนวนหนึ่งเห็นว่า Methamphetamine เป็นยากระตุ้นสามารถช่วยพวกเขาขจัดความอ่อนเพลีย มาตรการห้ามยาเสพติดของไทยในช่วงแรกเช่น ตรวจตราชายแดน เพิ่มการศึกษาให้แก่มวลชน เป็นต้น ได้รับการยืนยันว่าได้รับผลไม่มากนักเป็นเพราะยาเสพติดดังกล่าวมีดาษดื่นทุกที่จนลุกลามไปในเขตสังคมกระทั่งภายในโรงเรียนชั้นประถม ภายหลังทักษิณ เข้ารับตำแหน่งได้ประกาศสงครามต่อต้านยาเสพติดใช้มาตรการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดอย่างเข้มงวด ตามที่นักข่าวรายงานมีพ่อค้ายาเสพติดรวม 2,700 คน เสียชีวิตจากมาตรการห้ามยาเสพติดของรัฐบาล ( องค์การสิทธิมนุษย์ชนได้เคยวิจารณ์ทักษิณ ทำการปราบปรามที่เข้มงวดเกินไปมองข้ามสิทธิมนุษย์ชน ) ศาลจัดการในคดียาเสพติดเฉลี่ย 1,500 รายต่อเดือน แต่ปี 2546 ได้มีผู้ค้ายาเสพติดมอบตัวต่อรัฐบาล 43,000 คน ผู้ติดยาจำนวน 330,000 คน เข้ารับการรักษา รัฐบาลได้ยึดเงินจากการซื้อขายยาเสพติดเป็นเงิน 3,000 ล้านบาท แต่ว่ารัฐบาลก็สูญเสียไม่น้อย ข้าราชการที่เสียชีวิตในหน้าที่มี 40 คน 60 กว่าคนบาดเจ็บ ในเดือนกันยายน 2547 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือกำจัดยาเสพติดนานาชาติได้ลบชื่อประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศทางผ่านยาเสพติดแสดงให้เห็นว่าสังคมนานาชาติยอมรับในผลสำเร็จในการกำจัดยาเสพติดของไทย
นอกจากนี้ การโจมตีอำนาจมืดของนายก CEO ก็ได้ดำเนินไปอย่างแข็งขัน แท้ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทักษิณ มีความถนัด ด๊อกเตอร์สาขาวิชาการกระทำผิดผู้นี้เคยทำงานในวงการตำรวจหลายปี เขารู้ดีว่ากลุ่มผู้สนับสนุนสังคมมืดคือใครเป็นตำรวจและนักการเมืองที่เน่าเฟะคอยให้การปกป้องกลุ่มอิทธิพล อย่างไรก็ตาม การถอนรากถอนโคนวงการตำรวจที่เน่าเฟะไม่ใช่เป็นเรื่องชั่วเวลาข้ามคืน เขาตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาอิทธิพลมืดในเวลา 5-6 ปี เขาแต่งตั้งรองนายกดูแลศูนย์ปฏิบัติการเอาชนะอิทธิพลมืดแห่งชาติจัดการกับอิทธิพลมืดเป็น 1,000 คน

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
หลังเกิดรัฐประหารปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมกังวลใจ ยาเสพติดหาซื้อได้ง่ายในประเทศไทย เช่นพวกเฮโรอีนมีขนาดเล็กเก็บซ่อนได้ง่าย ปัจจุบันนี้ กลุ่มผู้ค้ายาได้ผลิตยามากกว่าในอดีตมากกระทั่งขายในที่เปิดเผย สภาพการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด อีกปัญหาที่ผมกังวลคือ กลุ่มอิทธิพลมืดได้ขอค่าคุ้มครองจากคนจน เช่นคนขับรถเช่า ในช่วงที่ผมบริหารประเทศพฤติกรรมของพวกเขาลดน้อยลง แต่ว่า ปัจจุบันพลังของพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นแล้วเพราะมีคนคุ้มครองพวกเขาอย่างลับ ๆ คนพวกนี้มีความสัมพันธ์กับทหารและตำรวจที่เลว ๆ พวกเขาคอยเป็นคนกลางนั่งรับทรัพย์ หวยใต้ดินที่ผิดกฏหมายก็กลับฟื้นคืนมาอีก ในช่วงที่ผมบริหารประเทศเคยพยายามทำให้การค้าที่ผิดกฏหมายให้ถูกกฏหมายเอาเงินที่พวกเขาเสียภาษีมาจัดตั้งทุนการศึกษามอบให้ลูกคนจน แต่ปัจจุบันพวกเขาได้ปิดการค้าที่ถูกกฏหมายหันมาสนับสนุนเศรษฐกิจใต้ดินที่ผิดกฏหมายรวมถึง CD ที่ก๊อปปี้ ยาเสพติด การพนันที่ผิดกฏหมาย เป็นต้น วิธีการกระทำดังกล่าวทำลายประเทศไทยอย่างรุนแรงและมือพิฆาตที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้เป็นพลังอำนาจหนึ่งที่ต้องการจะขับไล่ผมออกนอกประเทศ

ในด้านการจัดการวิกฤติสาธารณะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของรัฐบาลทักษิณก็ได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดี ต้นปี 2003 ประเทศไทยปรากฏโรค SARS รายแรก รัฐบาลดำเนินการในทันทีด้วยหลาย ๆ มาตรการทำให้สามารถควบคุมโรค SARS ได้อย่างรวดเร็ว ในจำนวนคนไข้ 8 ราย ที่ติดโรค SARS นอกจาก 2 คนที่เสียชีวิตที่เหลือได้รับการรักษาจนหายขาด ทักษิณ ยังกระตือลือร้นแสวงหาความร่วมมือกับนานาชาติ ภายใต้การริเริ่มของเขาการประชุม รมว. สาธารณสุข APEC ได้จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ร่วมกันพิจารณาสร้างกลไกรับมือฉุกเฉินระยะยาวเพื่อรับมือกับการคุกคามของโรค SARS เป็นต้น โรคระบาดประเภทเดียวกันนี้



คำบอกเล่า..ของทักษิณ
ในช่วงเกิดโรค SARS ทุกคนต้องสวมแถบผ้าปิดปาก ประชาชนทั่วประเทศต่างมีใจหวาดหวั่น ผมได้ถามหมอคนหนึ่งว่าแถบผ้าปิดปากมีประโยชน์หรือไม่ เขาตอบว่า มีประโยชน์ไม่มากนัก ผมพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า งั้นดีแล้วพวกเราไปสนามบินกันเดี๋ยวนี้โดยไม่ต้องสวมแถบผ้าปิดปากเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนให้ทุกคนได้เห็นไม่จำเป็นต้องหวาดวิตกต่อโรค SARS ผมไม่ได้สวมแถบผ้าปิดปากต่อหน้ามวลชน ต่อมา แถบผ้าปิดปากก็ไม่มีปรากฏให้เห็นในท้องถนนที่กรุงเทพฯ อีกเลย

ต้นปี 2547 ประเทศไทยเกิดโรคไข้หวัดนก ผู้คนไม่กล้ารับประทานเนื้อไก่และไข่ไก่ อุตสาหกรรมฟักเลี้ยง อุตสาหกรรมส่งออกถูกกระทบอย่างหนัก ทักษิณ สั่งการให้แต่ละจังหวัดดำเนินการรวบรวมจำนวนของไก่ที่เลี้ยงไว้ในแต่ละครัวเรือนหากพบโรคไข้หวัดนกระบาดในที่ใดให้ทำลายไก่ทันที เขาเตือนว่า หากการรณรงค์กำจัดโรคไข้หวัดนกล้มเหลว รมว. ที่เกี่ยวข้องจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนประเทศไทยได้ทำลายสัตว์ปีกที่เลี้ยงในบ้านจำนวน 32 ล้านตัว ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้จัดสรรเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรที่ทำลายไก่ เพื่อขจัดความหวาดกลัวของประชาชนที่มีต่อโรคไข้หวัดนก ทักษิณ ได้สั่งให้จัดเตรียมอาหารที่เป็นเนื้อไก่ทั้งหมดเป็นอาหารเมื้อเที่ยงในวันประชุม ครม. เมื่อวันที่ 20 มกราคม หลายสัปดาห์ต่อมา ทักษิณก็ได้นำสมาชิกที่สำคัญของพรรคไทยรักไทยไปรับประทานไก่ทอดที่ร้านเคนตั๊กกี้และให้คำมั่นว่า หากประชาชนรับประทานเนื้อไก่และไข่ไก่ที่สุกแล้วเกิดติดเชื้อไข้หวัดนกถึงแก่ความตายผมจะชดใช้เงิน 3 ล้านบาท วันที่ 7 กุมภาพันธ์ นายกได้จัดกิจกรรมรับประทานไก่ไทยปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นด้วยตนเองที่ท้องสนามหลวงกรุงเทพฯ ถึงกับลงมือปรุงอาหารด้วยเนื้อไก่ด้วยตัวเองให้ประชาชนได้ชิมรส

ปลายปี 2547 เกิดภัยพิบัติสึนามิที่ทั่วโลกตกใจ ประเทศไทยประสบภัยหนักที่สุดประเทศหนึ่ง แต่ได้รับการยอมรับจากสังคมนานาชาติว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่แสดงออกได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งในบรรดาประเทศที่ประสบภัยดังกล่าว ภายหลังเกิดภัยพิบัติทักษิณ ดำเนินการรับมือในทันที จัดการอย่างเร่งด่วนภายหลังเกิดภัยพิบัติลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของส่วนรวมส่วนบุคคลเท่าที่จะทำได้ บรรลุงานฟื้นฟูหลังภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวฟื้นโอกาสอีกครั้ง ความมีประสิทธิภาพสูงของรัฐบาลทักษิณ และความสามารถในการเป็นผู้นำอย่างโดดเด่นทำให้ทั่วโลกจับจ้องด้วยความสนใจ

ในด้านการต่างประเทศ นายก CEO ผู้นี้ก็มีการแสดงออกที่ดียิ่ง ในช่วงดำรงตำแหน่งของทักษิณ ได้ริเริ่มผลักดันการเจรจาความร่วมมือเอเชีย (ACD) ที่มีชื่อ เรียกร้องให้มีการสร้างตลาด ASIA BOND ริเริ่มการประชุมความร่วมมือกันกับผู้นำรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นผู้นำในการก่อตั้งบริษัทสหยางพารา 3 ประเทศคือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เปิดการประชุมระดับ รมว. ประเทศผู้ผลิตข้าวคือ อินเดีย จีน เวียดนาม ปากีสถาน เป็นต้น ปี 2547 เขาประสบความสำเร็จในการเยือนรัสเซียได้ลงนามในความตกลงแลกเปลี่ยนเนื้อไก่ 250,000 ตัน กับเครื่องบินรบของรัสเซียจำนวน 22 ลำ กลายเป็นผลงานในประวัติการทูตของไทย นอกจากนี้ ทักษิณ ยังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลของนายบุชตลอดมา ประเทศไทยถูกอเมริกาจัดเป็นพันธมิตร (มิใช่นาโต้) ที่สำคัญของอเมริกา มีความร่วมมือใกล้ชิดในปัญหาต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ แม้ว่าต่อมา ทักษิณ ถูกโค่นในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ว่า ตามตัวเลขอ้างอิงที่รวบรวมไว้ในปี 2549 ของธนาคารโลกจากปี 2545-2548 ความสามารถในการควบคุมการทุจริตคอร์รัปชั่นและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2539-2545 1 เท่า Transparency International ได้จัดอันดับดรรชนีความรับรู้ของการคอร์รัปชั่นของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สภาพของประเทศไทยก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
ทักษิณ กล่าวว่า วิธีการควบคุมจัดการของผมเป็นแบบตะวันตกอย่างมาก ผมต้องการคือประสิทธิภาพ ผมคำนึงถึงแต่เรื่องจะทำอย่างไรที่จะทำให้การควบคุมจัดการงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหากให้ผมเป็นคนให้คะแนนประสิทธิภาพในการควบคุมจัดการรัฐบาล ผมจะให้คะแนน B บวก แต่ว่า ในช่วงการปฏิรูปให้ความสำคัญประสิทธิภาพมากไปทำให้มองข้ามจิตใจของคน นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมคนส่วนมากคัดค้านผมในเวลาต่อมา ข้อสรุปคือ รูปแบบการทำงานของผมไม่เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริงของไทยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับรูปแบบทางความคิดของบุคคลผู้มีความสามารถส่วนหนึ่งที่มีความคิดอ่านที่ไม่เหมือนกับผม


ตอนที่ 5

จีนมีคำโบราณประโยคหนึ่ง “ เย่อหยิ่งไม่ได้ มุ่งหวังเกินไปไม่ได้ ดีใจเกินไปไม่ได้” ดีใจจะเกิดทุกข์ อยู่ที่สูงมักจะตกลงมาเจ็บ กล่าวสำหรับผู้มีอำนาจทางการเมืองแล้วที่มีโทษอย่างยิ่งก็คือมีแต่ความสำเร็จตามที่ปรารถนา ความสำเร็จของเขายิ่งมากเท่าไหร่เป้าหมายก็ยิ่งสูง ชัยชนะยิ่งมากกำลังใจก็ยิ่งเข้มแข็ง แต่ว่า เขาไม่รู้ซึ้งถึงศิลปที่ยอดเยี่ยมทางการเมืองรู้แต่วางมือ ด้วยเหตุนี้ ความมีประสิทธิภาพสูงของนายก CEO ความสามารถของนายก CEO ความเด็ดขาดของนายก CEO หนีไม่พ้นที่จะต้องเดินเข้าสู่ธุรกิจใหญ่ CEO ลัทธิ Chauvinism ภายหลังทักษิณ บริหารราชการมาได้ 4 ปี อัตราความพอใจในการปฏิบัติงานของประชาชนมี 75 เปอร์เซ็น เขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกสมัย พรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรร้อยละ 76 กลายเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้ง ครม. เพียงพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ทักษิณ ได้ประกาศจุดหนักของงานที่เขาจะทำในการดำรงตำแหน่งครั้งที่ 2 ของเขาอย่างมั่นใจรวมถึงงาน
- ปรับปรุงสภาพการคมนาคมของกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต่าง ๆ
- ปรับปรุงระบบการสนองน้ำทั่วประเทศรวมถึงน้ำดื่มและน้ำชลประทาน
- ยกระดับการปฏิรูปการศึกษา ดำเนินโครงการกองทุนสินเชื่อเพื่อการศึกษา
- ยกระดับธุรกิจการบริการทั่วประเทศ

แต่ว่า ดำรงตำแหน่งไม่ถึงครึ่งปี เขาก็พบว่า เรื่องลำคาญได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พรรคต่าง ๆ ได้โจมตีทักษิณ ว่า ฝ่าฝืนการกระทำที่ได้สืบทอดมาแต่ในอดีต ใช้อำนาจสิทธิขาดโดยพละการ นำประเทศไปสู่เผด็จการที่น่ากลัว นายกไร้เดียงสาผู้นี้โต้ว่า ในโลกนี้มีหรือที่รัฐบาลพรรคเดียวถูกเรียกว่าเป็นระบอบเผด็จการ ในเมื่อประชาชนเชื่อใจผมรัฐบาลพรรคเดียวมีอะไรไม่ดี ยิ่งกว่านั้น รัฐธรรมนูญของไทยไม่ได้กำหนดว่าประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองพรรคเดียวไม่ได้ นี่เป็นการเลือกของประชาชน ปัญหาก็เกิดขึ้นที่นี่

รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับที่ 16 เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพรรคการเมืองพรรคใหญ่ พรรคการเมืองขนาดกลางและเล็กจะถูกควบคุมอย่างเด่นชัด เช่น รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ในการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง พรรคการเมืองพรรคเล็กหากได้รับบัตรเลือกตั้งไม่ถึง 5 เปอร์เซ็น จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมการแบ่งสรรที่นั่งในสภาและต้องถอนตัวออกจากวงการเมืองโดยอัตโนมัติ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีจะกระทำได้ต่อเมื่อมีสมาชิกสภาร่วมรายชื่ออย่างน้อย 40 เปอร์เซ็น ( 200 คน ) แนวคิดเริ่มแรกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงสภาพพรรคการเมืองขนาดกลาง เล็กจำนวนมาก การจัดตั้ง ครม. ที่มีหลายพรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีความมั่นคง แต่ว่า ในกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคไทยรักไทยใหญ่เป็นเอกเทศพรรคเดียว สัดส่วน 76 เปอร์เซ็นของที่นั่งในสภาหมายความถึงพรรคเล็กทั้งหลายถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูสภา และแม้พรรคการเมืองจะได้เข้าสภาก็ไม่มีความสามารถที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณ ได้ นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมพรรคฝ่ายค้านกล่าวหารัฐบาลทักษิณ ใหญ่เป็นเอกเทศพรรคเดียวบริหารประเทศแบบเผด็จการสูญเสียการควบคุม

ภายหลังเกิดคดีขายหุ้นชินวัตร ทักษิณได้ยุบพรรค เลือกตั้งล่วงหน้า เหตุผลที่พรรคฝ่ายค้านร่วมกันคว่ำบาตรการเลือกตั้งก็คือ พรรคฝ่ายค้านขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนจึงเลือกตั้ง แต่ทักษิณ ยืนหยัดหลังเลือกตั้งแล้วค่อยแก้รัฐธรรมนูญ 2 ฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ทักษิณ เคยแสดงอย่างเปิดเผยว่า มีแต่เพิ่มอำนาจทางการเมือง ยกประสิทธิภาพการควบคุมจัดการของรัฐบาลจึงจะสามารถส่งเสริมให้เศรษฐกิจพัฒนาไป เขามักใช้ประสบการณ์ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์อยู่เสมอโดยเห็นว่าขาดพรรคฝ่ายค้านทางการเมืองคือประสบการณ์แห่งความสำเร็จของเขาและเป็นช่องทางที่ควรปฏิบัติตามทางใหม่ แต่ว่า ทรรศนะนี้พรรคฝ่ายค้านคงไม่เห็นด้วย เหตุผลที่พรรคฝ่ายค้านโจมตีทักษิณ ก็คือเนื่องจากอำนาจรัฐบาลจัดสรรอย่างไม่สม่ำเสมอ ผู้ปฏิรูปแต่ไหนแต่ไรมาไม่พบจุดจบที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล่าวสำหรับองค์การและระบบการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะกระทบถึงทั้งหมดแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถแข่งรัศมีกับเขาได้ แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นที่หว่านไว้ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแตกหน่อนโยบายต่าง ๆ ของทักษิณ ทำให้ข้าราชการไม่น้อย พนักงานธุรกิจของรัฐ ตำรวจ แพทย์ นักวิชาการ (ผู้ค้ายาเสพติด ผู้มีอิทธิพลยิ่งไม่ต้องพูดถึง) ... ล้วนมายืนอยู่อยู่ฝั่งตรงข้ามของทักษิณ มีคนเคยวิจารณ์เขาว่า

เป็นคนที่มีนิสัยรีบเร่ง “ทำก่อนคิดทีหลัง” ยังมีคนบอกว่า “ทักษิณใช้วิธีการบริหารธุรกิจมาบริหารประเทศ สิ่งนั้นความจริงแล้วไม่เป็นปัญหา แต่ว่า การที่เขานำเอาประเทศมาบริหารดั่งธุรกิจส่วนตัว นั่นเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง” นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้คนไม่พอใจที่ทักษิณเลือกเพื่อนสมัยเรียน และเพื่อนสนิทมารับตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ฯลฯ คนเหล่านี้ตำหนิเขาว่า “ใช้แต่คนใกล้ชิด” กับข้อวิจารณ์ต่างๆ ทักษิณเคยตอบกับว่า “พวกคุณไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ว่า เมื่อกลุ่มที่ต่อต้านเขารวมตัวกันเป็น snow ball ที่ยิ่งกลิ้งยิ่งโต ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่กล้วหรือไม่กลัว เพราะกลุ่มที่พลังของกลุ่มที่ต่อต้านจะกลืนคนจนไม่เหลือซาก

คำบอกเล่าของทักษิณ
บทเรียนที่ผมได้จากชีวิตทางการเมือง คือ ไม่ว่าทำอะไรห้ามทำอย่างสุดโต่ง แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการทำความดีก็ตาม อย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะเป็นนักเรียนดีเด่น แค่สอบให้ได้ร้อยละ 80 ก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบให้ได้ 100 คะแนนเต็ม เพราะว่า การกระทำเช่นนั้นจะทำให้คุณรู้สึกยากลำบาก คุณจะต้องพยายามอย่างมาก และการที่คุณยิ่งพยายามก็ยิ่งจะมีคนอิจฉาริษยา คุณหวังว่าจะได้รับการเทิดทูนจากประชาชน แต่ว่าไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องไปแสวงหาสิ่งนั้น เพราะเมื่อคุณยิ่งทำงานอย่างขยันขันแข็ง ผลลัพท์ที่คุณได้ คือ คำติฉินนินทา การที่มีคนเทิดทูนคุณมาก คนอื่นก็จะอิจฉาริษยาคุณ ถ้าคุณรวยมาก คนอื่นก็จะอิจฉาคุณ พรรคการเมืองของคุณใหญ่และเข้มแข็งเกินไปก็จะทำให้พรรคอื่นๆ นั้นระวังตัวมากขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว หผมไม่เคยคิดที่จะทำให้เรื่องมันสุดโต่ง แต่ว่า ในที่สุดแล้ว ชีวิตผมมันก็เป็นเช่นนี้ เพราะผมทำงานอย่างจริงจังและผมพยายามมากเกินไป ผมทำงานอย่างไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็จะทุ่มทั้งกายทั้งใจกับสิ่งนั้น




คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 116 วันที่ 30 มิถุนายน 2548 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เดินทางเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ นายกรัฐมนตรีจีน
(2) ภาพหน้า 128 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2547 นายกรัฐมนตรีร่วมงานแสดงสินค้าทันสมัยที่ แปลกใหม่ที่ กทม. รัฐบาลไทยและกล่มนักธุรกิจเอกชนได้ร่วมกันจัดขึ้น
(3) ภาพหน้า 136 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2548 นายกรัฐมนตรีทักษิณได้ลากลับหลังจาก สิ้นสุดการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสุดยอดนักธุรกิจ BOAO Asia Forum ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมอู่โจว เมืองเซินเจิ้น ซึ่งมี CEO จากในประเทศ และนอกประเทศ 700 กว่าคนเข้าร่วม


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:00
ค่ะ คงต้องคั่นจังหวะ ด้วยรูปสวยๆ ของน้องนะคะ สำหรับพี่ๆ ป๋าๆ วัยกล้วยไม้ คิกๆๆๆๆๆ

(http://women.sanook.com/story_picture/m/35371_006.jpg)


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:07
บทที่ 6 บุญคุณและความแค้นต่อสื่อ

ตอนที่ 1

ละอองน้ำลอยผุดขึ้นจากแม่น้ำเจ้าพระยา เรือจอดอยู่เต็มข้างแม่น้ำ ตลาดกลางคืนย่านพัฒน์พงศ์ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำเริ่มดำเนินกิจการ นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มๆ กำลังทยอยมุ่งสู่เส้นทางนั้น ย่านสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ นอกจากมีอาหารการกิน กิจกรรมบันเทิงหลากประเภทแล้ว ก็ยังมีการแสดงสำหรับผู้ใหญ่นานาชนิดและสถานที่ขายบริการที่เย้ายวนใจ เสียงอึกทึก เสียงหยอกล้อ ดนตรี ปนเปกับกลิ่นเครื่องสำอางของสตรี อบอวลอยู่ใต้โคมไฟปรอท ชีวิตกลางคืนของเมืองแห่งนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ความสงบก่อนพายุฝนจะมา เหมือนกับทุกครา

ขณะนี้เป็นเวลา 20.00 น. ตามเวลากรุงเทพฯ ของคืนวันที่ 19 กันยายน ฟ้ามืดลงแล้ว เมฆครึ้มซ้อนเป็นชั้นอยู่บนฟ้า ราวกับฝนจะตก ตำรวจ191นายในกรุงเทพฯ ทุกคนถือปืน M16 คนละกระบอก อาวุธคร่าชีวิตที่มีชื่อเสียงจากสงครามเวียดนามเหล่านี้ ในคืนนี้ จะใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น หรือใช้ทำลายกำลังผู้ต่อต้าน การใช้รัฐประหารล้มล้างนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนกว่าครึ่งประเทศ วิธีที่ดีที่สุด คือเลือกช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ในประเทศ เมื่อใบหน้าของเขาไม่ปรากฏอีก แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน ความหวังต่อตัวเขาก็จะลดน้อยลง แต่ราวกับว่า ในใจของพวกเขายังไม่แน่ใจ ยังคงป้องกันความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น

หัวหน้าของการปฏิบัติการนี้มาจากหน่วยสงครามพิเศษจากจังหวัดลพบุรี ได้เดินทางมากว่าค่อนทาง อีกไม่กี่สิบนาที พวกเขาก็จะมาถึงกรุงเทพฯ สื่อมวลชนบางส่วนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่จะเกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวต่างชาติรายหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายทหาร “คืนนี้ อย่าเพิ่งนอน จะมีเรื่องเกิดขึ้น” อู๋เสี่ยวฮั่น (Hanna Wu) บรรณาธิการนิตยสาร Thai Wind ได้รับการบอกเป็นนัยๆ จาก หวงเจิ้นจง รองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จีน “ตงฮั้ว” ว่า “คืนนี้สถานการณ์บ้านเมืองอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ทว่า อู๋เสี่ยวฮั่นไม่ได้ใส่ใจ ไม่ถึงสามทุ่มก็เข้านอนเสียแล้ว วันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาจึงพบว่า “ฟ้าเปลี่ยนไปแล้ว”

อีกฝากหนึ่งของโลก 19 กันยายน 8.00 น. เวลานิวยอร์ก คณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ยังคงอยู่ในห้องเพรซิเดนเชียลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอท กำลังถกประเด็นเรื่อง “ความสำเร็จหรือล้มเหลว” ของการปฏิวัติอย่างดุเดือด ทักษิณเดินออกจากกลุ่มคนเหล่านั้น นั่งตรงหน้าโต๊ะทำงาน รออีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตั้งแต่รู้ข่าวจนถึงตอนนี้ ผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ในช่วงสองสามชั่วโมงนี้ เขาโทรศัพท์ตลอดเวลา เขาทำได้เพียงติดต่อกับภายในประเทศ สั่งเคลื่อนกำลังพลผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น แต่ว่า สายเกินไปเสียแล้ว ในใจเขาไม่มีความกังวลใดอีกแล้ว เรื่องที่จะเกิดก็ต้องเกิด พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ เขาถามตัวเอง....
 
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องรีบดำเนินการด่วน ต้องรีบ ทักษิณเริ่มร่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง (ว่ากันว่าเขายังร่างการโยกย้ายตำแหน่งนายทหารระดับสูงด้วยตนเอง เพื่อระงับการก่อกบฏ) เขาจะแต่งตั้งให้พล.ต.อ.ชิดชัย รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. คุมอำนาจแก้สถานการณ์ฉุกเฉิน คนแรกเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ และสหรัฐฯ ของเขา ส่วนคนหลังเป็นผู้บัญชาการทหารที่จงรักภักดีเขามากที่สุดคนหนึ่ง

ร่างเสร็จแล้ว เขาก็โทรศัพท์ไปประเทศไทย โทรศัพท์กลับเกิดสายไม่ว่างกะทันหัน ทักษิณประหลาดใจมาก โทรแล้ว โทรอีก ก็ยังคงสายไม่ว่าง โทรศัพท์ไปให้คนหลายคนหลายๆ ครั้ง ก็ไม่มีสายใดว่างเลย เขารีบเปิดคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนตก็ถูกตัด ในขณะนั้น ระบบการสื่อสารของสหรัฐฯ และไทยถูกตัดทั้งหมด ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่โถมถาเข้ามากะทันหัน ความรู้สึกอ่อนล้าอย่างรุนแรง เกิดขึ้นจากแผ่นหลังสู่ทั้งกาย “เศรษฐีธุรกิจการสื่อสาร” ที่ควบคุมตั้งแต่โทรศัพท์จนถึงดาวเทียมของไทยคนนี้ นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทยที่ทำรายการสื่อสารกับประชาชนคนนี้ ในช่วงที่เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดในชีวิตนั้น กลับไม่มีโอกาสใช้การสื่อสารใดๆ ชะตาชีวิตช่างเย้ยหยันเขาเหลือเกิน


ตอนที่ 2

17 ธันวาคม 2536 ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทย ถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรที่เฟรนช์กียานา ทวีปอเมริกาใต้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรดังกล่าวด้วย คนที่ส่งดาวเทียมดวงนี้ก็คือทักษิณ ชินวัตร ประธานบริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด
หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้านกิจการโทรคมนาคม อาทิ คอมพิวเตอร์ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์ไร้สาย โทรทัศน์วงจรปิด ฯลฯ และร่ำรวยมหาศาลจากกิจการดังกล่าว ทักษิณก็เริ่มสนใจกิจการดาวเทียมอันนับเป็นจุดสูงสุดของวงการโทรคมนาคม ในปี 2534 ทักษิณตั้งบริษัทชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด ได้รับสัมปทานธุรกิจดาวเทียมเป็นระยะเวลา 30 ปี จากนั้น เขาได้ลงนามทำสัญญามูลค่า100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับบริษัท Huges Space Aircraft ของสหรัฐฯ เพื่อสร้างดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานชื่อให้ดาวเทียมดวงนี้ว่า “ไทยคม(Thaicom)” เป็นสัญลักษณ์หมายถึงความเชื่อมโยงของไทยกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ทักษิณในฐานะเป็นผู้ส่งดาวเทียม “ไทยคม 1” ขึ้นสู่วงโคจร จึงได้ชื่อว่า “บิดาแห่งดาวเทียมไทย”

ตั้งแต่มีดาวเทียมเป็นของตัวเอง กิจการโทรคมนาคมระยะไกลของไทยได้รับการพัฒนาไปอย่างไม่เคยมีมาก่อน ธุรกิจของเครือชินวัตรขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หนึ่งปีให้หลัง “ไทยคม 2” ที่ลงทุนไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่ากันเข้าสู่วงโคจร สัญญาณครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อายุการใช้งานของดาวเทียมดวงนี้คือ 13.5 ปี

เดือนเมษายน 2540 ดาวเทียม “ไทยคม 3” รุ่นที่สองที่หนัก 2.65 ตัน ถูกส่งขึ้นวงโคจรโดยจรวดอาเรียน่า ดาวเทียมดวงนี้ลงทุนไปกว่า 181 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นดาวเทียมที่ทรงพลังและเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในตอนนั้น การส่งขึ้นสู่วงโคจรของมัน ทำให้ระบบดาวเทียมไทยกลายเป็นระบบดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย สัญญาณครอบคลุมทวีปเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และ แอฟริกา รวม 120 ประเทศ 3,000 ล้านคน สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 5 7 9 หน่วยงานราชการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (กสท.) และกองทัพ ก็ล้วนแต่เป็นลูกค้าของ “ไทยคม 3” นอกจากนี้ บริษัทชินวัตรยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ใช้ระบบถ่ายทอด DTH ดิจิตอลตามมาตรฐานสากล MPEG-2DVB ตั้งแต่ปี 2538

บริษัท IBC ภายใต้เครือธุรกิจของทักษิณ ได้รับสิทธิออกอากาศสถานี CNN ในปี 2533 ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย เกือบทั้งหมดของคนไทยรับรู้สถานการณ์ของอิรักผ่านทาง CNN ที่ทักษิณนำมาออกอากาศ หนึ่งปีให้หลัง บริษัท IBC ได้เพิ่มช่องภาษาไทย ปี 2540 บริษัทชินวัตรแซทเทลไลท์กับกสท. ร่วมกันจัดตั้งบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด ดำเนินกิจการด้านรับส่งสัญญาณดาวเทียมและอินเตอร์เนตระหว่างประเทศ ในปี 2542 เครือชินวัตรจดทะเบียนมูลค่า 200 ล้านบาท จัดตั้งบริษัท Adventure จำกัด ดำเนินกิจการด้านE-commerceและอินเตอร์เนต โดยเปิดเวบไซท์เป็นของตนเอง นอกจากนี้ เครือชินวัตรยังถือหุ้นสถานีโทรทัศน์เสรี ITV เป็นจำนวนร้อยละ 39

ทว่า นายกรัฐมนตรีที่มีพื้นเพจาก “นักธุรกิจโทรคมนาคม” ผู้ที่สร้างประโยชน์ให้กับกิจการโทรคมนาคมระยะไกลของประเทศผู้นี้ ในวันที่เกิดรัฐประหาร เพราะต่อโทรศัพท์ไม่ติดจึงถูกขังอยู่ในโรงแรมที่นิวยอร์กอย่างไร้หนทาง

หลังจากเริ่มรัฐประหาร พล อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สั่งให้กองทัพปิดล้อมสถานีส่งสัญญาณดาวเทียมไทยคมในโอกาสแรก ตัดการติดต่อทั้งหมดของสหรัฐฯ และไทย เรื่องนี้ทักษิณไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึง หากกล่าวว่าชีวิตหนึ่งของแต่ละคนจะมีความผิดพลาดที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ ถ้าเช่นนั้น การที่ไม่ได้ควบคุมสื่อตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในชะตาชีวิตของเขา เพราะความผิดพลาดนี้ ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ต่อสู้ในเวลาที่สายเกินไป และไร้ผล

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมอยากจะรีบประกาศว่าประเทศเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน แต่เมื่อผมกำลังติดต่อกับในประเทศอยู่นั้น พบว่าการสื่อสารจากสหรัฐฯ ไปไทยถูกตัดขาดหมด ไม่เพียงแต่สายโทรศัพท์ อินเตอร์เนตก็ถูกตัด ผมลองอยู่หลายครั้ง ก็ไม่สำเร็จ ก่อนปฏิวัติสองชั่วโมง ทหารก็คุมสื่อได้แล้ว ใครที่คุมกองทัพได้ ก็คุมสื่อได้ กองทัพต้องประกาศการปฏิวัติผ่านการควบคุมสื่อ นี่เป็นวิธีเดียวของพวกเขา พวกเขาคุมโทรทัศน์กับวิทยุได้แล้ว

ถ้าจะพูดว่าผมมีเรื่องอะไรที่เสียใจไหม ก็คงเป็นควบคุมสื่อไม่ทันเวลา แม้ว่าก่อนจะออกไปประชุมต่างประเทศ ได้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ระวังการเคลื่อนไหวของฝ่ายทหาร แต่เราละเลยสื่อไป แต่ว่า จริงๆ ก็ไม่มีอะไรที่เสียใจ ที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป นี่เป็นบทเรียน


ตอนที่ 3

ทักษิณผู้เคยร่ำเรียนที่สหรัฐฯ เป็นเวลา 5 ปี ตอนที่เที่ยววอชิงตันอยู่นั้น ได้สังเกตเห็นรูปปั้นที่ตั้งอยู่ที่รูสเวลท์พลาซ่า ประชาชนธรรมดาที่สวมชุดลำลอง นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เอียงศีรษะ กำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่างอยู่ .....เขากำลังฟังรายการ “คุยกันริมเตาผิง” (Fireside Chats) ของรูสเวลท์อยู่ ประธานาธิบดีผู้ซึ่งร่างกายพิการแต่จิตวิญญาณแข็งแกร่งนี้ ในยามค่ำคืน เขาจะนั่งอยู่ข้างเตาผิง เล่าความยากลำบาก ความต้องการ และความหวังของประเทศชาติให้ประชาชนของเขาฟังผ่านคลื่นวิทยุ

12 มีนาคม 2476 วันที่แปดหลังจากรูสเวลท์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นวันอาทิตย์ เขาอัดเสียงให้สัมภาษณ์American Broadcasting Company (ABC) Columbia Broadcasting System (CBS) และ National Broadcasting Company (NBC) ที่หน้าเตาผิงของห้องรับรองที่ชั้นล่างของทำเนียบ เจ้าหน้าที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียงที่ข้างเตาผิง ประธานาธิบดีกล่าวว่า หวังว่าการสนทนาครั้งนี้จะเป็นกันเองสักหน่อย ไม่ต้องหรูหราฟุ่มเฟือย ให้เหมือนกับล้อมวงนั่งอยู่รอบเตาผิงที่บ้านและพูดคุยเล่นกันกับคนในครอบครัว ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เรียกว่า “คุยกันริมเตาผิง(Fireside Chats)” เถิด
“คุยกันริมเตาผิง” จัดขึ้น 30 ครั้งภายใต้เวลา 12 ปีที่รูสเวลท์ดำรงตำแหน่ง ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จัดเฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง เมื่อประเทศประสบเหตุการณ์สำคัญ เขาก็จะใช้วิธีนี้ติดต่อกับประชาชนสหรัฐฯ โดยตรง การฟัง “คุยกันริมเตาผิง” ของประธานาธิบดี กลายเป็นงานอดิเรกหนึ่งของชาวสหรัฐฯ ประธานาธิบดีรูสเวลท์ใช้การสนทนาที่เป็นกันเอง เข้าไปอยู่ในใจของประชาชนของเขา

ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้หน่วยงานด้านกระจายเสียงแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชน เขาผู้ซึ่งชอบทำอะไรให้ถึงที่สุด แน่นอนว่าไม่พอใจกับ “ปีละ 2 ครั้ง” เขาไม่ยี่หระต่อความลำบาก ทุกอาทิตย์จัดรายการหนึ่งครั้ง ครั้งละ 60 นาที ใช้ชื่อรายการว่า “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” (Prime Minister Thaksin Talks to the People) ทุกวันเสาร์เวลา 8.00-9.00 น. กว่าครึ่งหนึ่งของรายการวิทยุในไทยจะถ่ายทอดรายการ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” เพื่อฟังทอล์กโชว์การเมืองที่แสดงโดยนายกรัฐมนตรีผู้ติดสำเนียงเชียงใหม่เล็กน้อย ทักษิณนำเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในหนึ่งสัปดาห์มาสรุป นำหลักฐาน เนื้อหา และผลลัพท์ ของนโยบายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการหรือวางแผนจะดำเนินการมารายงานประชาชน บางครั้งจะนำปัญหาที่ประชาชนให้ความสนใจมาตอบคลายความสงสัย เช่น ลดภาษีเกษตรกร 30บาทรักษาทุกโรค หนึ่งตำบลหนึ่งทุน ก๊าซราคาถูกสำหรับแท็กซี่ เป็นต้น ทักษิณยังตั้งตู้ไปรษณีย์ถึงนายกฯ ที่หน้าทำเนียบ เพื่อรับคำร้องเรียนและคำแนะนำของประชาชน นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่ “ใกล้ชิดประชาชน” ที่หาได้ยาก

นายกฯ ใช้คำพื้นๆ ที่เกษตรกรฟังเข้าใจ พูดถึงนโยบายที่ปฏิบัติและจับต้องได้จริง ทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาก แต่ว่า ชนชั้นกลางในเมือง ผู้ต่อต้านและปัญญาชนกลับไม่คิดเช่นนั้น มีคนไม่พอใจที่นายกฯ ของประเทศที่ยิ่งใหญ่ใช้คำพูดพื้นๆ ในการสนทนาเสมอๆ และเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังพบว่า ในการสนทนาของทักษิณนั้นนอกจาก “เอาใจ” คนจนอย่างมากแล้ว การดูแลเอาใจใส่ชนชั้นกลางในกรุงผู้เป็นผู้เสียภาษีรายหลักยังน้อยกว่ามาก จนกระทั่งตอนหลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดที่นายกฯ ที่ชาวนาเลือกมาในที่สุดกลับถูก “โค่นล้ม”

5 กุมภาพันธ์ 2549 สองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ “ขายหุ้น” ชินคอร์ป การเดินขบวน “ขับไล่ทักษิณ” ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกมีมากขึ้นทุกวัน ทักษิณพูดในรายการวิทยุช่วงเช้าวันเดียวกันนั้นว่า เขาจะไม่ลาออกเด็ดขาด “คนที่จะให้ผมลาออกมีเพียงในหลวงผู้เดียวเท่านั้น หากท่านบอกผมว่า ทักษิณ ลาออกเถอะ ผมก็จะไป” เขายังอธิบายถึงที่มาที่ไปของคดีขายหุ้นชินคอร์ป และบอกว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังอยากให้ผมทำงานต่อ”

24 กุมภาพันธ์ เขาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เลื่อนการเลือกตั้งใหญ่ให้เร็วขึ้น รายการวิทยุของนายกฯ ก็ต้องปิดตัวลงไปด้วย ปลายเดือนมิถุนายน มีข่าวว่า เขาคิดจะกลับมาจัดรายการนี้อีก กลุ่มต่อต้านก็ต่อต้านรุนแรง มีผู้กล่าวว่า ตอนนี้เขาเป็น “นายกฯ รักษาการ” ใช้เวลาออกอากาศวิทยุรัฐบาลมาจัดรายการของตัวเองนั้น “ไม่เหมาะสม” และยังมีคนโจมตีเขา การเลือกตั้งใหญ่กำลังจะมาถึง ความนิยมในตัวเขาลดลง การกลับมา “จัดรายการ” สู่ประชาชนอีกครั้ง คือการ “หาเสียง” ให้กับพรรคไทยรักไทย ทักษิณไม่ถูกกระทบโดยสิ่งนี้ และยืนยันว่าเขาจะ “พูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชน” ในรายการ ในการสนทนาครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม ทักษิณประกาศว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเริ่มให้ “โน้ตบุ๊กร้อยเหรียญ” ที่สถาบัน MIT ของสหรัฐฯ ค้นคว้าและพัฒนาแก่นักเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ คอมพิวเตอร์ชนิดนี้เครื่องละเพียงประมาณ 135 เหรียญสหรัฐฯ เขาวางแผนว่าจะซื้อมา 500 เครื่องก่อน และส่งให้นักเรียนประถมที่อยู่เขตภูเขาที่ห่างไกล ปีหน้าจะซื้ออีกหนึ่งล้านเครื่อง เป้าหมายคือให้ “นักเรียนประถมทุกคนมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพื่อแทนที่หนังสือเรียนตอนนี้” น่าเสียดายที่โครงการนี้จบลงเพราะจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชะตาชีวิตของเขา


ตอนที่ 4

อีกสิ่งหนึ่งที่ทักษิณใช้สื่อเพื่อเสริมสร้างกระแสสนับสนุนรัฐบาล คือการถ่ายทำรายการทักษิณเรียลลิตี้โชว์ที่ทั้งสมจริงและกินเวลานานอันหาดูได้ยากในเวทีการเมืองโลก 16 มกราคม 2544 ทักษิณไปยังหมู่บ้านยากจนแห่งหนึ่งในด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ และใช้ชีวิตอยู่กับชาวนาเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ผู้ติดตามมีคณะถ่ายทำกว่า 100 คน และกล้องวิดีโอกว่า 40 เครื่อง

ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 วัน คำพูดและการกระทำของนายกฯถูกติดตามถ่ายตลอด 24 ชั่วโมง เนื้อหาทั้งหมดถูกถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ผู้ชมจะเห็นภาพในช่วงสำคัญที่เกิดขึ้นภายในครึ่งชั่วโมงแรกของรายการ เช่น เจ้าหน้าที่กำลังจัดสถานที่ คนเดินผ่านมามุงดู เป็นต้น จนกระทั่งทักษิณออกโรง มุมกล้องจะย้ายไปจับอยู่ที่ตัวเอกนี้คนเดียว วันแรก ผู้คนเห็นนายกฯ คุยเรื่องสัพเพเหระ ทำกับข้าว กินข้าวกับคนท้องถิ่น ตอนเย็น เขาจะนอนในมุ้งที่กางเอง วันที่สอง นายกฯขับรถแทรกเตอร์ไปตามถนนลูกรัง สำรวจสภาพชนบท บางครั้งกระโดดลงจากรถ คุยกับชาวนาที่มาขวางทางรถ ช่วยออกความเห็นให้ชาวบ้าน แนะนำ “ประสบการณ์ทำอย่างไรให้รวย” และมักแจกจ่ายเงิน ควักเงินสด 1,000 หรือ2,000 บาท ยัดใส่มือของชาวนา ตอนเย็น เขานอนที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆ หมู่บ้าน จากมุมกล้องมุมไกลนั้น ผู้คนจะเห็นทักษิณสวมกางเกงขาสั้นเดินออกจากบ้านมา โทรศัพท์ไป เดินไปทางห้องน้ำ สายตาราวกับกำลังมองไปยังอีกโลกหนึ่ง

ในรายการนี้ คุณยายท่านหนึ่งบอกนายกฯ ว่า เธอมีรายได้สัปดาห์ละ 5 เหรียญสหรัฐฯ และยังต้องจ่ายหนี้ที่ลูกชายที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางถนนติดหนี้ไว้อีก 5,000 เหรียญสหรัฐฯ

“ท่านช่วยฉันใช้หนี้ได้ไหม ท่านช่วยให้หลานของฉันเข้าเรียนได้หรือเปล่า” คุณยายถาม

“ได้” ทักษิณตอบอย่างไร้ความกังวลใจ “ผมจะให้วัวนมอีกตัวด้วย”

“ท่านเป็นคนดีมาก ขอให้ท่านเป็นนายกฯตลอดไป” ใบหน้าที่ผ่านมรสุมชีวิตของคุณยายยิ้มออกมาหน้ากล้อง

ในอีกภาพหนึ่ง ทักษิณปราศัยต่อหน้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน อย่างกระตือรือร้น “พ่อแม่พี่น้องรู้หรือไม่ว่าผมเห็นถึงอะไร ผมเห็นพ่อแม่พี่น้องขายกระดาษที่ผลิตเองในอินเตอร์เนต ผมเห็นพ่อแม่พี่น้องกำลังจะรวย ผมเห็นครอบครัวของพ่อแม่พี่น้องมีความสุข มีงานทำ”

ผลกระทบจากการออกอากาศรายการรุนแรงมาก เป็นหัวข้อในการสนทนาไปทั่วทั้งประเทศ คนที่รักทักษิณชื่นชมนายกฯว่าพูดจริงใจตรงไปตรงมา เอาใจใส่ความทุกข์ยากของประชาชน ผู้ที่ต่อต้านเขา กลับกล่าวว่าตลบตะแลง ใช้สื่อมาสร้างภาพ มีคนกล่าวว่า ทักษิณเชื่อโหราศาสตร์ ระยะนี้ดวงไม่ดี ดังนั้นจึงลองใช้วิธีเรียลลิตี้โชว์มาทำให้ตนเองสบายใจ มีคนกล่าวอีกว่า ทักษิณชอบมุ่งไปข้างหน้า พฤติกรรมที่สร้างความประหลาดใจนี้เป็นเพียงแค่การเพิ่มคะแนนสนับสนุนให้ตัวเองเท่านั้น ยังมีคนไม่พอใจที่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้านแต่ไม่สวมหมวกนิรภัย คิดว่าเป็นคนยุยงให้ผิดกฎจราจร

รายการนี้สร้างกระแสในเวทีการเมืองเอเชียตะวันออก หนังสือพิมพ์สเตรท ไทม์ของสิงคโปร์ ”เหน็บแนม” ว่า ผู้คนในสถานที่ที่ทักษิณไปถ่ายทำในรายการเรียลลิตี้โชว์ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย เช่น ถนน อาคารราชการก็ได้ตกแต่งใหม่ พ่อค้าอายุ 50 ปีคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เช้าวันนี้เมื่อตื่นนอน ผมก็จำถนนนอกบ้านตัวเองไม่ได้เสียแล้ว ถนนลูกรังที่ไม่มีคนสนใจมากนานปีจู่ๆ กลับซ่อมจนเรียบเสียแล้ว”

เผชิญกับคำวิจารณ์นานา ทักษิณกลับไม่สนใจเลยสักนิด เขากล่าวว่า จุดประสงค์การถ่ายทำ “เรียลลิตี้โชว์” ครั้งนี้ก็เพื่อที่จะดำเนินการ “การศึกษาทางไกล” ให้ข้าราชการท้องถิ่นสักครั้งหนึ่ง สอนพวกเขาว่าทำอย่างไรจึงจะ “ขจัดความยากจน” ได้ “ผู้ชมของเราไม่ใช่เกษตรกร แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” เขากล่าวว่า “ผมไม่กังวลว่าข้างนอกจะวิจารณ์ ผมทุ่มเททั้งหมดให้กับผลที่จะเกิดจากรายการนี้”

หากไม่ใช่เพราะว่าหลายวันหลังจากนั้นจะเกิดกรณี “คดีขายหุ้นชินคอร์ป” ขึ้น “เรียลลิตี้โชว์” นี้ก็ยังคงให้คนไทยทุกระดับพูดถึงไปได้อีกหลายสัปดาห์ แต่ว่าเมื่อ “คดีขายหุ้นชินคอร์ป” เกิดขึ้น “เรียลลิตี้โชว์นายกฯ” ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ จึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนประเด็น เป็น “แผนการ” ที่สร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนมุมมองข่าวด้านลบเกี่ยวกับเขา


ตอนที่ 5

ตั้งแต่ทักษิณจัดรายการวิทยุเพื่อติดต่อกับประชาชน เพิ่มชื่อเสียงของเขาในใจของมวลชน แต่ทว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่เขาทำเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดจากความรู้สึกที่เขาไม่ไว้ใจสื่อ ที่จริงแล้ว ความขัดแย้งของนายกรัฐมนตรีท่านนี้กับสื่อเกิดขึ้นมานานแล้ว

น่าแปลกมากที่เมื่อเศรษฐีพันล้านท่านนี้ทำธุรกิจอย่างซื่อตรงนั้น สื่อชื่นชมจิตวิญญาณที่กล้าคิดกล้าทำและความสำเร็จมหาศาลด้านธุรกิจโทรคมนาคมของเขา ความน่าเชื่อถือของกิจการโทรคมนาคมเครือชินวัตรและหุ้นที่ถีบตัวขึ้นสูงจนทำให้ทักษิณก้าวเป็นเศรษฐีร้อยล้านในข้ามคืน ก็เกี่ยวข้องกับคำชื่นชมของสื่อ แต่ว่า หลังจากเขาเปลี่ยนมาเล่นการเมือง ท่าทีของสื่อดูเหมือนจะกลับตาลปัตร คำวิจารณ์ด้านลบของเขาปรากฏออกมาไม่ขาดสาย หลังจากประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มีคราวหนึ่ง ทักษิณในขณะนั้นเป็นรองนายกฯสร้างคฤหาสน์ที่ฝั่งธนบุรีริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชิญอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช แห่งสหรัฐฯ และบุคคลสำคัญทางการเมืองไทยและนักธุรกิจใหญ่มาร่วมพิธีขึ้นบ้านใหม่ สื่อในขณะนั้นรายงานว่า คฤหาสน์ของทักษิณมูลค่า500ล้านบาท บอกเป็นนัยว่าตอนที่ประเทศประสบวิกฤตเศรษฐกิจขั้นสาหัสนั้น เขากลับร่ำรวยมหาศาล ทักษิณโกรธมาก เพราะว่าบ้านหลังนี้รวมที่ดินแล้วมีมูลค่าเพียง 100 ล้านบาท และขณะนั้น 500 ล้านบาทสามารถสร้างตึกสูง 20- 25 ชั้นได้หนึ่งหลัง

หลังจากทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในด้านการแก้ไขปัญหา “ความไม่สงบในภาคใต้” ก็ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างมาก เขาทั้งไม่อ่อนข้อ และไม่ยอมแพ้ แต่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการกับผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมที่กล้า “ฆ่ารายวัน” ทำให้ผู้ต่อต้านโจมตีเขาว่า “เหยียบย่ำสิทธิมนุษยชน”
เดือนสิงหาคม 2547 เขากล่าวในการสนทนากับสื่อครั้งหนึ่งว่า “หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ควบคุมและตรวจสอบปัญหาภาคใต้มากว่าหนึ่งปีแล้ว พบว่าพฤติกรรมแปลกๆ ที่เยาวชนภาคใต้มีนั้นฝึกมาจากพวกหัวรุนแรงอินโดนีเซีย เยาวชนหลายคนไปเรียนศาสนาที่อินโดนีเซีย หลายคนมีเพื่อนอินโด ไม่น้อยแต่งงานกับสาวอินโด เราพบว่า คนเหล่านี้ปลุกระดมเยาวชนในท้องถิ่น พาคนส่วนหนึ่งไปรัฐกลันตันของมาเลเซีย บางส่วนฝึกอย่างลับๆ อยู่ในป่าของไทย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามาเลเซียและอินโดนีเซียสนับสนุนพวกเขา พวกเขา(มาเลเซียและอินโดนีเซีย) ก็คงไม่เห็นด้วย เพียงแต่พวกเขาแอบๆ ฝึก ไทยเราก็ไม่สนับสนุน แต่ว่าก็มีการฝึกลับๆ นี้อยู่”

คำพูดดังกล่าวมีสื่อบางส่วน “อ้างอิงเฉพาะส่วน” รายงานออกมาแล้ว กลายเป็นว่าทักษิณประณามมาเลย์เซียและอินโดนีเซียช่วยเหลือภาคใต้ให้ฝึกผู้ก่อการร้าย ทักษิณโกรธมาก ในรายการ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” สัปดาห์นั้น วิจารณ์สื่อว่าไม่รับผิดชอบ เขากล่าวว่า “ที่พวกเขารายงานแบบนี้จะให้ไทยทะเลาะกับเพื่อนบ้านหรือไง”

คำบอกเล่าของทักษิณ
สื่อไทยชอบรายงานเรื่องร้าย ไม่รายงานเรื่องดี ข่าวในแง่ลบบางข่าวไม่เป็นจริง มีแต่เพียงการเดาสุ่ม เวลารัฐบาลออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง พวกเขากลับไม่แก้ข่าว มีบางข่าวไม่ดูข้อเท็จจริง พูดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่รับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป หากมีวันหนึ่งมีหลักฐานบอกว่าพวกเขาพูดผิดแล้ว พวกเขาก็ไม่สน ลืมไปหมดแล้ว นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเมืองไทย เป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ในช่วงสั้นๆ ผมคิดว่าในสังคมสมัยใหม่ สื่อต้องพัฒนาไปด้วย แต่สื่อไทยกลับดูเหมือนไม่สามารถเดินออกจากวังวนการเมืองแบบละครน้ำเน่านี้ได้ตลอดกาล

ดังนั้น แม้รูสเวลท์จะมี “คุยกันริมเตาผิง” และยังชอบพบปะผู้สื่อข่าว ตามสถิติ ในช่วงที่เขารับตำแหน่งจะพบปะผู้สื่อข่าวสัปดาห์ละสองครั้ง แต่ว่า ทักษิณกลับไม่ชอบสื่อ ปรารถนาที่จะอธิบายนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเองในรายการ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง นี่ทำให้สื่อไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่เขาเริ่มรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่แนะนำให้เขาทำตามวิธีเดียวกับ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” จัดงานนายกฯ ทักษิณพบสื่อมวลชนสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อพบปะนักข่าว มิฉะนั้น นายกฯ ก็มักจะถูกนักข่าวที่ติดตามมาถามตอนที่เดินออกไปข้างนอก ทักษิณเห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงเตรียมต้อนรับทันที แต่ว่า งานพบสื่อครั้งแรก การปรากฎตัวของนายกฯ ท่านนี้ กลับทำให้ผู้สื่อข่าวทั้งหมดที่มาร่วมงานตกตะลึงไปตามๆ กัน

งานนายกฯ พบสื่อมวลชนครั้งแรกคนแน่นขนัด ทักษิณนั่งบนเวที สงบสุขุม ข้างมือของเขาวางป้ายไว้สองใบ หลังจากนักข่าวแต่ละคนถามคำถาม ทักษิณจะชูป้ายหนึ่งใบ หากบนป้ายเป็นรูปวงกลม จะหมายถึงนายกฯ เห็นว่าคำถามนี้สร้างสรรค์ ควรค่าแก่การตอบ หากบนป้ายเป็น “กากบาท” ก็หมายถึงนายกฯ คิดว่าคำถามนี้ไม่สร้างสรรค์ นักข่าวไม่พอใจกันมาก “ราชาไร้มงกุฎ” ที่ชินกับการวิจารณ์รัฐบาลและผู้นำเหล่านี้ จิตใจที่อ่อนแอถูกกระทบอย่างรุนแรง หลังงานพบสื่อจบลง สื่อใหญ่ๆ ของไทยก็ลงบทความวิจารณ์ประณามทักษิณว่าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ใช้มาตรฐานของตัวเองมาตัดสินมาตรฐานของนักข่าว เป็นการทำร้ายเสรีภาพสื่อ จินตนาการได้เลยว่า ทักษิณนั่งอยู่ในห้องทำงาน มองเห็นความโกรธของสื่อ รู้สึกปั่นป่วนไม่น้อย การเล่นตลกเล็กๆ น้อยๆ นี้สำเร็จแล้ว แต่ว่า ในงานพบสื่อครั้งที่สอง เขาฉลาดที่จะไม่ใช้ป้ายสองใบนั้นอีก แต่ว่า นายกฯ หน้าตายิ้มแย้ม อดไม่ได้ที่จะแหย่นักข่าวอีกสักหน่อยว่า “พวกคุณทำไมจริงจังกันขนาดนั้น ก็แค่ป้ายใบเล็กๆ เท่านั้นเอง” มีนักข่าวถามว่า ความคิดเรื่องชูป้ายมาจากไหน ทักษิณตอบอย่างมีความสุขว่า ยืมมาจากรายการโทรทัศน์ประเภทประลองปัญญาของญี่ปุ่น

ประเด็นที่มีคนวิจารณ์มากที่สุดประเด็นหนึ่งช่วงที่อยู่ในตำแหน่งคือ เขาลดเสรีภาพสื่อเอะอะก็ฟ้องร้องสื่อ บทบรรณาธิการหนึ่งที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Asia Time กล่าวว่า “ในสายตาของคนกรุงเทพฯ ท่าทีของทักษิณและอดีตนายกรัฐมนตรีลีกวนยูของสิงคโปร์ต่อเสรีภาพสื่อเหมือนออกจากพิมพ์เดียวกัน ในช่วงทศวรรษ 1990 ลีกวนยูเคยฟ้องร้อง Dow Jones ผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ International Herald Tribune และ Far Eastern Economic Review ได้สำเร็จ แต่ว่าทั้งคู่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ผู้ที่ลีกวนยูฟ้องร้องว่ากันว่าเป็นชาวต่างชาติที่ใส่ร้ายเขา แต่ผู้ที่รัฐบาลทักษิณฟ้องร้องกลับเป็นคนชาติเดียวกัน”
เดือนกรกฎาคม 2546 บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน ธุรกิจของครอบครัวทักษิณฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ และสุภิญญา กลางณรงค์ นักข่าวหญิงและเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ด้วยข้อหา “ใส่ร้าย” และเรียกร้องให้ชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนสี่ร้อยล้านบาท เหตุผลคือ ในข่าวของสุภิญญาได้กล่าวว่า ระหว่างปี 2544-2545 หลังจากที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ผลกำไรของเครือชินวัตรเพิ่มขึ้นสามเท่า บทความบอกเป็นนัยว่าอาจเป็นเพราะผลประโยชน์ที่ได้จากรัฐบาล

ในการขึ้นศาลครั้งเดียวของสุภิญญา เธอกำหินนำโชคสีม่วงไว้แน่น ประณามอย่างโกรธเคืองว่านี่คือ “บรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว” ที่แทรกซึมไปทั่วสังคมไทย และรู้สึกว่า “ใจของตนตกลงไปในเหวลึก การฟ้องร้องเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อระงับไม่ให้คนวิจารณ์รัฐบาลทักษิณ” ว่ากันว่าปัญญาชนต่างชาติที่มีชื่อเสียงบางคนรวมถึง Noam Chomsky และ Armand Mattelart เคยลงชื่อในหนังสือเรียกร้องให้เครือชินวัตรถอนฟ้อง แต่ว่าในเดือนมกราคม 2549 หลังจากที่ลูกๆของทักษิณขายหุ้นเครือชินวัตรให้เครือเทมาเส็กของสิงคโปร์แล้ว การฟ้องร้องนี้จึงถูกยกฟ้อง

เดือนพฤศจิกายน 2548 ทักษิณประกาศกะทันหันว่า ก่อนปีใหม่ เขาจะไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว เหตุผลคือโหราจารย์กล่าวว่า ดาวพุธอยู่แนวเดียวกับราศีตน แสดงว่าไม่เหมาะที่จะให้สัมภาษณ์ ดังนั้น “ขอโทษทุกๆ ท่านด้วย ผมจะไม่พูดแล้ว” ท่าทีของเขาเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้สื่อไทยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สื่อใหญ่ๆ ทั่วโลกก็วิจารณ์เรื่องนี้เช่นกัน เพราะว่าข้ออ้างของนายกฯ ท่านนี้ไม่จริงจังเลย สถานการณ์จริงก็คือ ในช่วงที่ผ่านมา เขาไม่พอใจสื่อที่ลงข่าวด้านลบของเขาหลายครั้ง ว่ากันว่า มีครั้งหนึ่งทักษิณเล่นกอล์ฟกับเพื่อน พูดล้อชีวิตการงานต่อไปของตนว่า “ผมอยากจะสมัครงานสื่อสารมวลชน จะได้มีเพื่อน”


ตอนที่ 6

ในวงการสื่อ ทักษิณใช่ว่าจะไม่มีเพื่อนเสียเลย ที่จริงแล้ว เขามีเพื่อนสนิทมากคนหนึ่ง คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ว่า ในช่วงที่เกิดการโค่นล้มทักษิณนั้น ผู้ที่เป็นตัวเอกก็คือสนธิคนนี้ พวกเขาเปลี่ยนจากมิตรภาพเป็นความเกลียดแค้น เปลี่ยนจากพึ่งพาอาศัยกันเป็นศัตรูต่อกัน และศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่พ้นเพื่อนที่กลายเป็นศัตรูกัน

นายสนธิ ลิ้มทองกุล เกิดปี 2490 เชื้อสายจีน ครอบครัวมาจากมณฑลไหหลำ ประเทศจีน เขาเรียนจบมัธยมปลายที่ประเทศไทย และถูกบิดาส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เพราะภาษาจีนไม่ดี จึงเปลี่ยนไปเรียนที่ UCLA ที่นั่นเขาเรียนวิชาเอกประวัติศาสตร์เอเชียปัจจุบัน หลังจากกลับประเทศไทย เขาก็เริ่มทำงานสื่อ ปีที่เขาอายุ 31 ปี สนธิเปิดบริษัทสื่อของตัวเอง ผลิตและจัดพิมพ์นิตยสารสตรีฉบับหนึ่ง จากนั้น อาณาจักรสื่อของเขาก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้เครือของเขามีทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน อาทิ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ Asia Times ฯลฯ อีกทั้ง สำนักพิมพ์ สื่ออินเตอร์เนตอีก 4 แห่ง รายการวิทยุที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในประเทศไทยอีก 1 สถานี ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา เขาผลิตรายการโทรทัศน์และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของประเทศไทย มีสถานีข่าวโทรทัศน์ 24 ชั่วโมง ทักษิณกับสนธิรู้จักกันมาหลายปี สนิมสนมกลมเกลียว ว่ากันว่า ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ทั้งสองฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกัน หลังจากที่ทักษิณรับตำแหน่งนายกฯ สื่อในเครือของสนธิเกือบทั้งหมดกลายเป็นกระบอกเสียง “ส่วนตัว” ให้กับรัฐบาล เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะรัฐมนตรีของทักษิณมักลงบทความในหนังสือพิมพ์ของเขา ทุกครั้งที่รัฐบาลมีนโยบายใหม่ออกมา ก็จะได้รับคำชื่นชมอย่างจริงใจจากเขาทันที

เพื่อนที่ช่วยเหลือกันมาเช่นนี้ สุดท้ายกลับกลายเป็น “ศัตรู” จากรายการของสื่อมวลชน กล่าวว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของบุคคลในธนาคาร ปี 2547 ธนาคารกรุงไทยซึ่งรัฐบาลถือหุ้นอยู่มีข่าวว่ามีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ สี่แสนล้านบาท ผู้จัดการธนาคารกำลังจะถูกปลดจากตำแหน่ง สนธิกลับปกป้องเขา เพราะว่าในจำนวนหนี้เสียนี้เขาได้กู้มา 1,600 ล้านบาท หากผู้จัดการธนาคารถูกปลด เขาก็จะล้มละลาย ท้ายที่สุด ผู้จัดการธนาคารคนนี้ก็ถูกปลด ทักษิณซึ่งเป็นนายกฯ ในตอนนั้นไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือใดๆ ทำให้สนธิไม่พอใจอย่างมาก เดือนกรกฎาคม 2547 สถานีโทรทัศน์ในเครือสนธิก็เกิดปัญหาใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อสารมวลชน ทำให้ต้องหยุดถ่ายทอดสถานี เขาขอร้องให้เพื่อนช่วยอีกครั้ง แต่ก็ถูกทักษิณเมิน ในเวลานี้ ทักษิณไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดตามมาหลังจากละเลยเพื่อนคนนี้แล้ว บุคคลเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาคนนี้ภายหลังจะนำพาความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ บางทีแม้แต่ตัวเขาเองตอนนั้นก็ไม่แน่ใจ เขารู้เพียงว่า ความแค้นเคืองที่มีต่อเพื่อนรักเก่าคนนี้จะพุ่งไปถึงขีดสุด

9 กันยายน 2548 ในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 สนธิ และพิธีกรร่วม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้พูดเรื่องทักษิณเข้าไปก้าวก่ายพุทธศาสนา โดยแต่งตั้งให้พระสงฆ์ระดับสูงเลือกสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ในขณะที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังคงแข็งแรงอยู่ (ในประเทศไทย ปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนสูงนี้เป็นเพราะนี่คือพระราชอำนาจเฉพาะของกษัตริย์) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระชนมายุ 92 พรรษา สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาสุขภาพทำให้ไม่ได้ออกปฏิบัติงานสาธารณกิจเป็นเวลาหลายเดือน ในรายการของสนธิกล่าวว่า ในขณะที่สมเด็จพระสังฆราช “ยังมีชีวิตอยู่ สามารถทำงานได้ และสุขภาพกำลังดีขึ้น” รัฐบาลกลับใช้เหตุผลที่ว่าพระชนมายุพระองค์สูงมากแล้ว อาจมรณภาพเมื่อใดก็ได้มาแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช “ตามกฎหมายไทย สมเด็จพระสังฆราชต้องได้รับเลือกจากมหาเถรสมาคม จากนั้นได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ รัฐบาลทักษิณ “ไม่ได้ดูกฎที่ว่ามีเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่มีสิทธิในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ก้าวก่ายพุทธศาสนา โอบอุ้มรักษาการสมเด็จพระสังฆราชที่สนิทกับตนเอง” นับเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

วันนั้น สนธิได้อ่านข้อเขียนชื่อ “ลูกแกะหลงทาง” ในรายการของเขา เรื่องนี้มีผู้อ่านส่งอีเมล์มาให้ “ผู้จัดการออนไลน์” (สื่อในเครือสนธิ เป็นเวบไซต์และฟอรั่มที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมากที่สุดเวบหนึ่ง) สนธิไม่ได้เปิดเผยว่าใครเป็นผู้ส่งมา และไม่ได้พูดชื่อทักษิณโดยตรง แต่เห็นได้ชัดว่า ข้อเขียนนี้กำลังบอกเป็นนัยว่าทักษิณไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ในประเทศไทย หากต้องการทำลายอนาคตของบุคคลทางการเมืองคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่จะได้ผล และโหดร้ายเท่ากับโจมตีเขาว่า “ไม่จงรักภักดีพระมหากษัตริย์” อีกแล้ว

สองสามวันหลังจากนั้น อสมท. เจ้าของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้ระงับการถ่ายทอดรายการสนธิอย่างกะทันหันในวันที่ 15 กันยายน เหตุผลคือ รายการนี้โจมตีนายกฯ ทักษิณอย่าง “เอนเอียง” และ “ไม่เป็นกลาง” และกล่าวเรื่องความสัมพันธ์ของทักษิณและพระมหากษัตริย์ วันที่ 26 กันยายน สนธิฟ้องร้องผู้บริหารสามคนของอสมท. และเรียกร้องให้พวกเขาจ่ายเงินชดเชยหนึ่งบาท นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายของสนธิกล่าวว่า “สนธิเพียงแค่คิดจะให้ผู้คนรู้ว่าใครผิด ใครถูก เขาไม่ได้ต้องการเงิน” สี่วันหลังจากนั้น ทักษิณยื่นฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล สโรชา พรอุดมศักดิ์ และ Thaiday.com (บริษัทลูกของเครือผู้จัดการ ผู้ผลิตของรายการทอล์กโชว์ดังกล่าว) กับศาลอาญาและศาลปกครอง เรียกร้องให้จ่ายเงินชดเชยจำนวน 5,000 ล้านบาท ทนายความของทักษิณชี้แจงว่า อสมท. และThaiday.com เคยลงนามในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกำหนดว่าในรายการจะมีการวิจารณ์รุนแรงไม่ได้ อสมท. เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของสนธิผิดสัญญา ดังนั้นจึงถอดถอนรายการนี้

หลังจากรายการถูกระงับออกอากาศ สนธิไม่ได้รีบร้อนกังวลใจ เขานำฝีปากที่มีอำนาจสังหาร “เคลื่อนทัพ” ไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเริ่มจัดรายการวิทยุ มีผู้ชมในรายการกว่า 4,000 คน วันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็น “วันประชาธิปไตย” ของไทย มีผู้ชมกว่าหนึ่งหมื่นคน จากนั้น พวกเขาก็ย้ายไปจัดรายการที่สวนลุมพินีอันมีบรรยากาศงดงาม เหตุผลคือที่นั่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น้อยเกินไป ทุกเย็นวันศุกร์ สนธิก็จะจัดรายการคู่กับสโรชา ขึ้นพูดทอล์กโชว์การเมือง เนื้อหาคือวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณและรัฐบาลปัจจุบัน สวนลุมพินีภายหลังเปลี่ยนเป็นที่รวมพลต่อต้านรัฐบาล “ล้มล้างทักษิณ”

27 กันยายน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการในเครือสนธิลงบทความเทศนาของหลวงตามหาบัว (พระผู้ใหญ่อายุ 92 ปี) พระรูปนี้มีชื่อเสียงมากและมีผู้วิจารณ์มากในประเทศไทย คนรุ่นก่อนคิดว่าท่านสวดมนตร์อยู่ในวัดก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าออกมาเกี่ยวข้องกับการเมือง (หลวงตาฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี) ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ท่านเป็นผู้เรียกร้องให้คนไทยทั้งในและนอกประเทศบริจาคทองคำและเงินดอลล่าร์ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เมื่อทักษิณเพิ่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องขึ้นศาลด้วยข้อหา “จงใจปิดบังทรัพย์สิน” ท่านยังออกมาช่วยแก้ปัญหาให้ ตอนนี้ พระอาวุโสท่านนี้กลับใช้น้ำเสียงรุนแรงโจมตีทักษิณและรัฐบาล

“มีคนฟ้องร้องมาว่า นายกฯ ทักษิณ กับนายวิษณุ และกับอีกสองคนเราจำไม่ได้ นี้คือตัวยักษ์ใหญ่ ตัวอำนาจใหญ่ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ จะกินบ้านกินเมืองกัดตับกัดปอด......เขาหลับหูหลับตา ทั้งกายของเขาแสดงออกถึงความโลภและโหดร้าย ตอนนี้เขามุ่งแต่ตำแหน่งนายกฯ........ พระราชอำนาจถูกละเลย ความศรัทธาถูกเหยียบย่ำ ประเทศกำลังตกต่ำ พวกเขาปล่อยให้อำนาจตกอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยในรัฐบาล คนพวกนี้อเปรต คือยักษ์ คือมหาภัย........แม้แต่พระเทวทัต (ศัตรูของพระศากยมุนี เกิดมาต่อกรกับพระองค์หลายภพชาติ) ก็ยังสำนึกผิดได้เอง ในที่สุดก็เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ส่วนเราความผิดพลาดตัวเองทำเป็นมองไม่เห็น เราปกครองกันแบบไหน เมืองไทยจะเป็นอย่างไร......นักการเมืองพวกนี้ เล่นการบ้านการเมืองขี้หมาอะไร...... เราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาชะมาล้างให้รู้เนื้อรู้ตัว รู้ผิดรู้ถูก.....ถ้าพวกเขาไม่รับความจริง ก็เท่ากับเอาไฟเผาตัวเอง ทั้งหมดนี้ เราเสียใจมาก มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”

บทความวิจารณ์นี้เนื่องจากออกมาจากพระสงฆ์ จึงมีผู้ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ สื่อหลายค่ายนำไปเผยแพร่ต่อ ผู้คนมีความเห็นหลากหลาย รัฐธรรมนูญไทยระบุว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล พระมหากษัตริย์สืบทอดราชบัลลังก์ วาระดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา (วาระหนึ่งสี่ปี แต่ก่อนหน้าสมัยทักษิณ ไม่เคยมีนายกฯฯ ที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งครบสี่ปี) ความหมายแฝงของพระสงฆ์รูปนี้ดูเหมือนจะบอกว่าทักษิณเชื่อว่าจะไม่ยอมลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และท้าทายราชวงศ์ พยายามลดพระราชอำนาจ นี่เป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมรับได้ในประเทศไทย หากนักการเมืองคนหนึ่งถูกสวมหมวกใบนี้เข้าแล้ว ก็เหมือนกับถูกศัตรูบีบคอ ไม่มีการโจมตีใดที่จะนำภัยอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่านี้แล้ว

วันที่ 11 ตุลาคม ทักษิณฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในข้อหา “ใส่ความ” เรียกร้องให้ชดเชยค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นเงิน 500 ล้านบาท ในหนังสือฟ้องร้องกล่าวว่า การลงบทความที่ใช้ “ภาษารุนแรง” และ “ไม่เป็นจริง” นั้นมิใช่ “พฤติกรรมที่น่านับถือ” นายธนา เบญจาธิกุล ทนายความของนายกฯ เห็นว่า “แม้เนื้อหาบทความนั้นจะเป็นความจริง แต่หนังสือพิมพ์ก็ต้องระมัดระวัง ไม่ควรลงข้อเขียนผิดๆ ที่อาจทำร้ายผู้อื่นได้......นี่เป็นการที่บุคคลหนึ่งกำลังใช้สิทธิปกป้องชื่อเสียงและความเป็นส่วนตัว ที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการวิจารณ์ไม่ใช่การตรวจสอบบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง แต่เป็นการใช้คำพูดรุนแรงทำร้ายตัวเขา”

การฟ้องร้องครั้งนี้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “ทักษิณกดดันสื่อ” ทนายความของสนธิกล่าวว่า “หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ลงคำเทศนาของหลวงตามหาบัว ทำไมทักษิณจึงไม่ฟ้องหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ที่เขาฟ้องแต่บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ก็เพราะว่าบริษัทนี้เกี่ยวข้องกับสนธิ ลิ้มทองกุล นี่เป็นส่วนหนึ่งของความแค้นเคืองระหว่างคนสองคน” คณะทนายความของนายกฯฯ อธิบายว่า หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นลงเพียงบางส่วนของเนื้อหา มีแต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่เพียงลงเนื้อหาทั้งหมด แต่ยังลงหัวข่าวตัวใหญ่ที่ก่อให้เกิดความสงสัย “หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เพิ่มความเห็นของตนเองลงไปในคำเทศนา” ทนายความของนายกฯ กล่าวว่า “หนังสือพิมพ์ของไทยสามารถวิจารณ์ใครก็ได้ คุณสามารถพูดทุกอย่างที่อยากพูดได้ แต่คุณไม่สามารถโจมตีใครก็ได้โดยไม่มีหลักฐาน หากสื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในข่าวของตน นายกฯ ก็มีสิทธิฟ้องร้องในฐานะประชาชน” มีคนถามว่า เหตุใดทักษิณจึงไม่ฟ้องร้องพระสงฆ์ที่เขียนบทความเทศนานี้ คำอธิบายของทักษิณคือ “ท่านเคยดีต่อผม ฉะนั้นตอนนี้ผมต้องดีต่อท่านด้วย” แต่ว่า พระผู้ใหญ่ท่านนี้กลับเรียกร้องออกมาขึ้นศาลเอง ท่านถามว่า “หากคำเทศนาของอาตมามีคำที่ไม่เหมาะสมจริงๆ เหตุใดนายกฯ ท่านนี้จึงไม่ฟ้องอาตมา” ท่านกล่าวว่าทักษิณก็ควรเป็นจำเลยในคดีนี้เช่นกัน ท่านเองกลับพร้อมที่จะติดคุกเสมอ “อาตมาได้ยินคนไทยหลายคนบ่นว่า รัฐบาลนี้ทะเยอทะยานด้านการเมืองสูงมาก นี่จะทำลายระบอบสำคัญในประเทศในระยะยาว” ดังนั้น เจตนาที่ท่านเทศนานั้น “เป็นเพียงแค่คำวิจารณ์ลูกศิษย์ของอาจารย์เท่านั้น (ท่านยังมองว่าทักษิณเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของท่าน) เพื่อความสงบสุขและเป็นระเบียบของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

การฟ้องร้องสนธิและสื่อในเครือของเขาทั้งสองครั้ง เรียกร้องให้ชดเชยค่าเสียหายรวมมูลค่า 24 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หลายคนเหน็บแนมว่า “คำสัญญาที่ทักษิณจะกำจัดความยากจนให้หมดไปนั้นมาถูกทางแล้วจริงๆ” ทนายความของทักษิณกล่าวว่า ค่าเสียหายสูงสุดที่กำหนดในกฎหมายไทยในอดีตคือ 5 ล้านบาท (ไม่ถึง 125,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ) 24 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้นเป็นเพราะคำนึงถึงเงินเฟ้อ แต่ว่า “ในที่สุดจำเลยจะต้องชดเชยเท่าไรขึ้นอยู่กับคำตัดสินของผู้พิพากษา” เขาอธิบายว่า การฟ้องร้องเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงของนายกฯ คำนึงถึงนายกฯ “ฐานะทางสังคมสูงส่งเช่นนี้” ค่าเสียหาย 24 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จึงไม่มากเกินไป

คดีนี้เป็นเรื่องใหญ่โต และกระทบไปถึงพระมหากษัตริย์ วันที่ 4 ธันวาคม 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสก่อนวันคล้ายวันประสูติ เตือนทักษิณให้ “ยุติเรื่องราว” พระองค์มีพระราชดำรัสว่า แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังมีผู้วิจารณ์ ท่านก็ไม่ควรจะฟ้องคนอื่นแล้ว และยังตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าทราบว่ามีหลายคนไม่ชอบท่านนายกฯ แต่ พวกเราตอนนี้ยังไม่มีผู้ที่เหมาะสมกว่า” ท่าทีของพระมหากษัตริย์ครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถามขึ้น
จากนั้นทักษิณถอนฟ้องคดี

คำบอกเล่าของทักษิณ
ประมาณสาม สี่เดือนหลังจากเลือกตั้งใหญ่เมื่อมีนาคม 2548 ผมก็รู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล หนังสือพิมพ์เริ่มโจมตีผมอย่างไร้เหตุผล แต่ก่อน พวกเขาจะค่อนข้างระวัง เพราะผมสามารถฟ้องว่าพวกเขาใส่ร้าย แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่กลัวแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกับทั้งประเทศเริ่มวางแผนจัดการผม สื่อ ระบบกฎหมาย ระบบการแต่งตั้งคน.....ผมถูกกดดันโดยทุกฝ่าย ทำงานไม่ได้ ลำบากไปหมด



ตอนที่ 7

ทว่า บันทึกความแค้นฟาดฟันของทักษิณกับสนธินี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ในไม่ช้า “คดีขายหุ้น” ชินคอร์ปก็เปิดเผยออกมา “เจ้าแห่งการเปิดเผยข้อมูล” รีบใช้ “โอกาส” ที่สวรรค์ส่งมานี้ รวมพลคนต่อต้าน 27 คนอย่างรวดเร็ว ตั้งเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ชุมนุมกันที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า ถวายหนังสือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและตัวแทนของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสนธิ บุญรัตกลิน โดยเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถอดถอนทักษิณจากตำแหน่ง ให้กองทัพเลิกสนับสนุนทักษิณ จากนั้น สื่อเข้าร่วมขบวนการ “ขับไล่ทักษิณ” มากขึ้นเรื่อยๆ รายงานของสื่อมวลชนทำลายชื่อเสียงของนายกฯ คนนี้อย่างมาก จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ผ่านไป มีผู้ถามว่า ในกระบวนการที่ทักษิณถูกทหารโค่นล้มนั้น สื่อไทยมีส่วนร่วมมากเพียงใด

14 มีนาคม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” รวมคนแสนคนเดินขบวน “ขับไล่ทักษิณ” กลุ่มผู้ประท้วงล้อมทำเนียบรัฐบาล สาบานว่าหากทักษิณไม่ลาออก พวกเขาก็จะไปกลับไปเด็ดขาด ในตอนนั้น ทักษิณกำลังหาเสียงอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ช่วงเช้าวันนั้น ในเมืองมีข่าวลือว่า ทักษิณลาออกแล้ว หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลมากกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกำลังหารือถึงบุคคลผู้เหมาะสม เพื่อมาแทนตำแหน่งของทักษิณ ในจำนวน “ผู้ที่เหมาะสม” นั้นก็คือรองนายกฯ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ข่าวบอกว่า เช้าวันนั้น ทักษิณจู่ๆ ก็อ้างว่า “ไม่ค่อยสบาย” ยกเลิกกิจกรรมพบชาวบ้านท้องถิ่น แต่ว่า เขากลับแอบเปิดประชุมคณะรัฐมนตรีทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ประกาศว่ารองนายกฯ จะตัดสินใจแทนเขา

อายุของข่าวลือนี้มีไม่ถึงครึ่งวัน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทักษิณก็ออกมาปฏิเสธ เขากล่าวว่าตนจะไม่ยอมแพ้ให้กลุ่มผู้ประท้วง ที่บนหน้าหนังสือพิมพ์มีข่าวลือนี้ ก็อาจเป็นเพราะว่าการประชุมสภาวันนั้นเลื่อนให้พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ขึ้นเป็นรองนายกฯ ลำดับที่หนึ่งแทนที่รองนายกฯ ลำดับที่หนึ่งในขณะนั้น คือ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย จุดประสงค์ที่เลื่อนพลตำรวจเอก ชิดชัย ขึ้นนั้นก็เพราะขณะนั้นเขาอยู่ที่กรุงเทพฯ รับผิดชอบความปลอดภัยทั่วประเทศ หากเกิดเหตุใดขึ้น เขาจะต้องรับผิดชอบ จากนั้นไม่นาน ทักษิณยังให้สัมภาษณ์ CNN โต้กลับข่าวลือที่เขาจะลาออกว่า “สื่อ (ไทย) จะล้มล้างรัฐบาล”

วันที่ 21 มีนาคม ศาลท่านท้าวมหาพรหมที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ ถูกชายมุสลิมสติไม่สมประกอบ อายุ 27 ปี ใช้ค้อนเหล็กทุบเสียหาย ผู้ทำลายศาลถูกประชาชนรุมทำร้ายจนเสียชีวิต กลุ่มผู้ต่อต้านรีบชุมนุมกัน สนธิประกาศว่า เหตุการณ์นี้เป็นแผนการของทักษิณ “เหตุใดคนคนนี้จึงถูกตีจนตาย ผมมีข้อมูลภายในว่า บางคนถูกผีเข้า อยากทำลายศาลนี้ พอตอนที่สร้างใหม่ก็จะยัด “ของ” ของตนเอง เพื่อจะ “แก้ไขดวงชะตา” “ ทักษิณกล่าวว่า สนธิ “บ้า” ไปแล้ว พ่อของชายคนดังกล่าวบอกว่าสนธิเป็นผู้ที่ “คนหลอกลวงที่สุดที่เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา”

ช่วงที่การชุมนุม “ขับไล่ทักษิณ” กำลังดุเดือดอยู่นั้น รายการโทรทัศน์หลายรายการฉายเทปในปี 2535 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียกนายกฯ พลเอก สุจินดา คราประยูร และผู้นำประท้วง พลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าพบ (ดูรายละเอียดในบทที่สอง) หลายครั้ง ทักษิณกล่าวว่า “พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ทำให้เราเข้าใจว่าการปะทะไม่ดีต่อประเทศชาติ พวกเราต้องเชื่อฟังโอวาทของท่าน” แต่สนธิกล่าวว่า “ความหมายที่แท้จริง” ที่สื่อฉายเหตุการณ์ปี 2535 ซ้ำนั้น เป็นเพราะต้องการให้ทักษิณทำตามนายกฯ สุจินดาในตอนนั้น คือประกาศลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข

วันที่ 3 เมษายน วันที่สองหลังจากผลการเลือกตั้งใหญ่ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ หนึ่งวันก่อนทักษิณประกาศลาออก นายกฯ ท่านนี้ไม่รู้ว่าได้รับแรงกระตุ้นจากที่ชนะการเลือกตั้งหรืออย่างไร ในช่วงที่ยุ่งเช่นนี้ กลับเตรียมฟ้องสื่ออีกครั้ง เขาให้ทนายเตรียมเอกสารฟ้องหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ฟ้องว่าข่าวหน้าหนึ่งของฉบับวันที่ 30 มีนาคมรายงานว่านายกฯ ถูกคณะองคมนตรีปลดออกจากประธานคณะกรรมการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีไม่เป็นความจริง ทนายความของทักษิณกล่าวว่า “คณะองคมนตรียืนยันว่า ไม่เคยมีการประชุมปลดตำแหน่งประธานคณะกรรมการของนายกฯ อย่างที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงาน รายงานที่ปราศจากความจริงนี้ได้ทำลายชื่อเสียงของนายกรัฐมนตรี เขาต้องการให้หนังสือพิมพ์รับผิดชอบ แต่ไม่เรียกร้องเงินชดเชยใดๆ”

การโจมตีทักษิณที่ร้ายแรงที่สุดของสนธิกับสื่อมวลชน คงต้องนับ “ปฏิญญาฟินแลนด์” ปลายเดือนพฤษภาคม 2549 ก่อนงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช หนังสือพิมพ์ผู้จัดการลงบทความหนึ่งกล่าวว่า ในปี 2542 ทักษิณกับผู้นำนักศึกษาในยุคทศวรรษ 1970 ประชุมลับที่ฟินแลนด์ หารือกันว่าทำอย่างไรจึงจะล้มล้างระบอบกษัตริย์ และก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐ หัวข้อของบทที่ 5 ชื่อว่า “ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ แผนการปฏิวัติประเทศไทย” (Finland Strategy: Thailand’s Revolution Plan?) บทความกล่าวว่า ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมลับนี้ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในพรรคไทยรักไทยและในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลทักษิณ พวกเขามีการไปมาหาสู่อย่างลับๆ กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย บทความอื่นที่ลงประกอบบทความนี้มีบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์การเมืองผู้มีชื่อเสียงของไทยอีกหลายท่าน แต่ว่า บทความทั้งหมดนอกจากกล่าวหาอย่างหนักแล้ว กลับไม่ได้แสดงหลักฐานที่มีอยู่อันเกี่ยวข้องกับ “ปฏิญญาฟินแลนด์” นี้เลย สนธิพูดเพียงว่า เขาเพิ่งได้ยินมาจากปากของสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่ “กลับลำ” คนหนึ่ง

บทความนี้เป็นเสมือนระเบิดนิวเคลียร์ ในเวทีการเมืองไทยที่วุ่นวายอยู่แล้ว กลับมีเมฆทะมึนเต็มไปหมด โค่นล้มระบอบกษัตริย์ นี่เป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ ชาวพรรคไทยรักไทยและคณะรัฐมนตรีทักษิณที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องต่างออกมาปฏิเสธทันที ทักษิณฟ้องสนธิ ผู้เขียนบทความ บรรณาธิการ ผู้จัดพิมพ์ ผู้รับผิดชอบเวบไซต์.........ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ในหนังสือฟ้องร้องกล่าวว่า พวกเขาพยายามใช้ข่าวลือที่น่ากลัวเช่นนี้เพื่อ “ทำลายอนาคตทางการเมืองของทักษิณและพรรคไทยรักไทย” แต่ว่า อิทธิพลที่เลวร้ายไม่อาจคืนกลับ คดีอาจใช้วิธีทางกฎหมายแก้ปัญหา แต่ข่าวลือไม่อาจหายไปในเวลาสั้นๆ แม้ต่อมาทักษิณจะแสดงในหลายโอกาสว่าตน “จงรักภักดี” ต่อราชวงศ์ แต่ก็เป็นเช่นเดียวกับที่บทวิจารณ์เรื่อง “ปฏิญญาฟินแลนด์” ของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น เขียนไว้ว่า แผนการนี้จะมีอยู่จริงหรือไม่ พิสูจน์ได้ยาก แต่ว่า สนธิและคนอื่นๆ รู้ดี การกล่าวหาที่ไร้ความรับผิดชอบนี้ จะเติมเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ที่วุ่นวายอยู่แล้ว ทำให้ความแค้นที่มีต่ออีกฝ่ายรุนแรงมากขึ้น มองย้อนไปในประวัติศาสตร์ไทย การกล่าวหาว่าผู้ใดคิดกระทำการ “ล้มล้างพระราชอำนาจ” มักถูกมองว่าเป็นข้ออ้างที่เหมาะสมของการใช้รัฐประหารโค่นล้มผู้นำสูงสุดหรือผู้ที่มีทัศนะการเมืองที่ไม่ได้รับความนิยม”
สื่อวิเคราะห์ได้ไม่ผิด ความผิดนี้กลายเป็น “เหตุผลข้อหนึ่ง” ที่ทหารใช้ในการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลทักษิณ


คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 149 วันที่ 25 พฤษภาคม 2549 ทักษิณเยี่ยมชมสนามบินสุวรรณภูมิ และ กล่าวกับเจ้าหน้าที่สนามบิน)
(2) ภาพหน้า 154 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ที่กรุงเทพฯ นายกฯ ทักษิณหาเสียงการเลือกตั้ง ใหญ่ในเดือนมิถุนายนที่นั่น)
(3) ภาพหน้า 163 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 ที่กรุงเทพฯ ทักษิณกล่าวกับสื่อมวลชนในงาน แถลงข่าว ทักษิณได้พบกับหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน พรรคฝ่ายค้านประกาศ ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันคว่ำบาตรการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนที่ นายกฯ ทักษิณประกาศ)



หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:13
บทที่ 7 การรัฐประหารที่โรยด้วยกลีบดอกไม้

ตอนที่ 1

ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในช่วงชีวิตหนึ่งของทักษิณ ชินวัตร ได้เริ่มขึ้นแล้ว

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ภายใต้การนำของ พลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบก ได้นำกองกำลังทหารและหน่วยรบพิเศษเข้าเมือง ด้านหลังของพวกเขา ตามมาด้วยขบวนรถถังที่ตาม ๆ กันมาจนยาวเยียด แต่ว่า ขบวนรถเหล่านี้ (กองทัพมดเหล็ก) ยังไม่ได้เดินทางเข้ามาในเมืองทันที พวกเขากำลังรอคำสั่งอยู่ ต้องรออีกเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น บรรดากองกำลังที่เทอะทะเหล่านี้จึงจะปรากฏอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ

บรรดากองกำลังทหารค่อย ๆ คืบคลานเข้ามายังเมืองหลวง มุ่งตรงไปยังกองบัญชาการทหารบกกรุงเทพฯ พวกเขาจะต้องรอคำสั่งก่อน จากนั้นถึงจะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล คืนที่มืดสลัว ทำให้เห็นสีหน้าของบรรดาเหล่าทหารได้ไม่ชัดเจน เห็นแต่เพียงผ้าสีเหลืองที่พันบนลำแขน บนไหล่ และบนปืน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเหล่าทหารต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สีสันเห็นได้อย่างชัดเจน การที่แต่งตัวอย่างนี้ เพื่อให้เห็นเป็นข้อแตกต่างระหว่างกองกำลังทหารรัฐประหารกับกองกำลังทหารทั่วไป พวกเขา เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมปฏิบัติการรัฐประหารในค่ำคืนนี้ เขามีความคิดเห็นอย่างไรกับการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ (การปฏิบัติตามคำสั่งถือเป็นวินัยสูงสุดของทหาร) เป็นอาชีพที่น่าเศร้าสลดอย่างมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องไปถามเลย ผลจากการยึดมั่นในวินัยแลกกับการทำบาปของประวัติศาสตร์ วันต่อมา มีนักข่าวต่างชาติคนหนึ่งถามนายทหารคนหนึ่งว่า “พวกคุณทำไมถึงมาที่กรุงเทพฯ” เขาทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้วตอบนักข่าวว่า “ผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาผมก็มา” หลังจากเกิดเรื่องแล้วมีข่าวออกมาว่า กลุ่มก่อการรัฐประหารได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณลับจำนวน 150 ล้านบาท ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ โดยเป็นเงินรางวัลสำหรับเหล่าทหารที่เข้าร่วมการรัฐประหาร (ข่าวลือว่ามีทหารเข้าร่วมกว่า 1,000 คน) แต่ว่าข่าวนี้ได้รับการปฏิเสธจากทางทหาร พวกเขากล่าวว่า เงินส่วนใหญ่นำไปใช้ในเรื่องอาหารและอาวุธที่จำเป็น

เวลา 3 ทุ่ม 10 นาที บรรดาผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ที่ถูกทหารเข้ายึดพื้นที่นั้น ได้ถูกคุมตัวไปยังกองบัญชาการทหารบกกรุงเทพฯ จากนั้นบรรดาช่างเทคนิคของทหารเข้ารับช่วงต่อ เพื่อเตรียมพร้อมในการประกาศข่าวการก่อรัฐประหาร

เวลา 9 โมง 30 นาที สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ได้หยุดแพร่ภาพรายการปกติ จากนั้น 10 วินาทีต่อมา รูปและเสียงเพลงของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ถ่ายทอดผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ ผู้ที่กำลังดูโทรทัศน์ในขนาดนั้นต้องตกใจเป็นอย่างมาก เพราะตามประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ทำให้รู้ว่าต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน บรรดาเหล่านักข่าวต่าง ๆ ก็ใช้ช่วงเวลานี้ ปรับตัวต่อสถานการณ์ หยิบอาวุธประจำกาย มุ่งตรงไปยังทำเนียบรัฐบาลทันที

บริเวณภายในและภายนอกทำเนียบรัฐบาลนั้นมืดสนิท ซึ่งปกติแล้วจะมีแสงไฟกระทบสายตาผู้ที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้น บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นกำลังมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเอง “การปฏิบัติการของเหล่าทหารค่อนข้างเร็วมาก ครั้งแรกพวกเราได้ยินเสียงดังสนั่น ก็นึกว่าเป็นเสียงของรถบรรทุกเสียอีก พอเปิดประตูออกมาดู ก็พบว่ากองกำลังทหารกำลังปิดถนนอยู่” มีรถถังประมาณ 14 คัน ปิดล้อมตึกทำเนียบรัฐบาลที่มีการก่อสร้างตามสไตล์ยุโรป มีทหาร 50 กว่านายถือปืนเข้าไปในตึกทำเนียบฯ บังคับให้คนข้างในปลดอาวุธ มีข่าวว่า พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และพลเอกธรรมรัตน์ อศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ถูกทหารควบคุมตัวแล้ว เล่ากันว่าขนาดที่พลเอกชิดชัยถูกควบคุมตัวอยู่นั้น หน้าตาสงบและพูดว่า “ผมขอลาออก” เกี่ยวกับคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกับทักษิณผู้นี้ ทำไมหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากทักษิณที่โทรมาจากนิวยอร์กแล้ว ก่อนที่ระบบสื่อสารจะถูกตัด พวกเขาได้มีการติดต่อกันตลอด แต่ทำไมไม่มีปฏิบัติการใดๆ อะไร หรือมีดำเนินการแล้วแต่ไม่ได้ประสบผล ยังคงเป็นความลับอยู่จนถึงขณะนี้

เวลา 3 ทุ่ม 40 นาที บ้านพักทางด้านตะวันตกของทักษิณได้ถูกกองทหารเข้ายึด ตอนที่กำลังทหารถือปืนเปิดประตูบ้านเข้าไปในนั้น ปรากฎว่าเป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่แล้ว หญิงที่สุขุมและกล้าหาญอย่างคุณหญิงพจมาน พอได้รับทราบข่าวการก่อรัฐประหาร ได้พาลูกชายนายพานทองแท้และลูกสาวพิมทองทา หนีออกจากบ้านหลังนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว หลบไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านอดีตนักการเมืองระดับสูงผู้หนึ่งที่สนิทกัน มีข่าวว่า ในตอนนั้น ลูกชายของทักษิณนายพานทองแท้ ได้ออกจากประเทศไทยไปแล้ว บินไปที่ประเทศสิงค์โปร์ ผู้ที่เป็นตัวละครหลักในคดีขายหุ้นชินคอร์ปฯ ผู้นี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังอยู่ในเมืองไทย ช่างน่าอันตรายอย่างมาก

เวลา 4 ทุ่ม สถานีวิทยุในเขตกรุงเทพฯได้ถูกระงับการออกอากาศ อีกทั้งสถานีวิทยุใหญ่ ๆ ได้เริ่มกระจายเสียงเพลงของคณะรัฐประหาร (เนื้อเพลง “กองทัพวีรบุรุษ ทำเพื่อชาติ ทำเพื่อปกป้องประชาชน”) ประชาชนผู้หนึ่งซึ่งกำลังฟังเพลงจากสถานีวิทยุกรุงเทพฯ อยู่นั้น ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงของคณะรัฐประหาร ตกใจอย่างมาก จึงเปลี่ยนเป็นสถานี จส 100 ช่องข่าว ช่องภาษาอังกฤษ ฯลฯ ทุก ๆ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ณ ขณะนั้น เปิดแต่เพลงของคณะรัฐประหาร นอกเหนือจากสถานี FM 87.5 สถานีวิทยุของทำเนียบรัฐบาลที่ได้หยุดการกระจายเสียงแล้ว



ตอนที่ 2

ณ มหานครนิวยอร์ก ทักษิณกำลังถือโทรศัพท์อยู่ เวลาทุกวินาที ผ่านไปอย่างช้า ๆ ความรู้สึกกลัว สับสน ตกใจ วนเวียนอยู่ในหัวใจ ณ เวลานั้น ขณะที่รู้ว่าไม่สามารถติดต่อไปยังประเทศไทยได้ รู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเองล่องลอยเหมือนกับสุราที่ขวดได้ตกแตกไปแล้ว ไร้ทิศทาง ไม่รู้จะไปทางไหน นั่งอยู่ข้างโทรศัพท์ รอคอยปฏิหารย์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดอยู่ ณ ขนาดนี้

หลังจากที่ได้มีการรายงานข่าวจากสำนักข่าว เวลาที่กรุงเทพฯ ประมาณ 3 ทุ่ม ทักษิณประสบชะตากรรมเคราะห์ร้ายอย่างหนัก (ในระหว่างนี้เขาได้รับการช่วยเหลือจากใครยังไม่มีใครรู้) ได้เคย โทรศัพท์ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้เป็นผลสำเร็จ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้ติดต่อไปยังช่อง 5 เรียกร้องให้ช่อง 5 ออกอากาศรายการของช่อง 9 ซึ่งจะเป็นคำแถลงการณ์ที่สำคัญของทักษิณ แต่ช่อง 5 ปฏิเสธการออกอากาศดังกล่าว (ตามข้อปฏิบัติทั่วไป หากนายกฯ ต้องการที่จะออกแถลงการณ์สู่สาธารณชนทั่วประเทศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 นั้น สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ควรให้ความร่วมมือในการออกอากาศ) ขณะที่ทักษิณอยู่ในบ้านพักที่นิวยอร์กได้ตัดต่อเทปบันทึกการแถลงการณ์ที่เตรียมจะออกอากาศประกาศภาวะฉุกเฉินให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบ ก็ได้รับการเตือนว่า (ทางด้านเทคนิคไม่อนุญาตให้ออกอากาศ เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้ถูกกองกำลังรัฐประหารเข้ายึดไว้หมดแล้ว) จากนั้นทักษิณได้ติดต่อไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แต่ว่าช้าไปหนึ่งก้าว กองกำลังรัฐประหารได้เข้ายึดสถานีฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรดาผู้สื่อข่าวได้ถูกกักตัวอยู่บริเวณข้างห้องออกอากาศ ตอนนี้ นายกฯ ท่านนี้ทำได้เพียงแค่ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น ใช้แต่เสียงที่ไม่มีรูปภาพ ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ประกาศคำสั่งเร่งด่วนอย่างยิ่งเพียงคนเดียว

เวลา 4 ทุ่ม 20 นาที สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อยู่ ๆ ก็ได้หยุดแพร่ภาพรายการปกติกลางคัน เปลี่ยนเป็นแพร่ภาพคำแถลงการณ์ของทักษิณ ภาพบนจอทีวีเป็นภาพของทักษิณ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงบันทึกเทปจากทักษิณที่โทรมาจากสหรัฐฯ เสียงของเขาแหบแห้ง เนื่องจากได้โทรศัพท์ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ทักษิณพูดว่า “ผมได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ ห้ามกองกำลังทหารออกมาเคลื่อนไหว ปลดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกของพลเอกสนธิ ให้ผู้นำทุกเหล่าทัพเข้าไปรายงานตัวกับรองนายกฯ ชิดชัย สั่งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกเรืองโรจน์เข้าควบคุมสถานการณ์ ” หลังจากนั้น 2 นาที การแถลงการณ์ยังไม่ทันเสร็จ ภาพผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ก็ได้ดับลงกระทันหัน มีเพียงหน้าจอสีดำ หลังจากนั้น 10 วินาที เริ่มแพร่ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เหมือนกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ความหวังในสื่อสุดท้ายของทักษิณได้จบลงแล้ว อีกทั้งกองกำลังทหารได้เข้ายึดไว้หมดแล้ว เพียงแค่กองกำลังทหารไปถึงช้าเพียงเก้าเดียว ทักษิณถึงมีโอกาสได้ออกอากาศคำแถลงการณ์ ส่วนคนอื่น ๆ ที่รับผิดชอบได้ถูกควบคุมตัวทันที ทักษิณที่น่าสงสาร เสียงที่แหบแห้ง เหมือนกับการเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น คล้ายกับหลุดหายเข้าไปยังขอบฟ้าที่ไร้จุดหมาย หรือดั่งก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในแม่น้ำ ความรู้สึกที่ยากจะรับรู้ได้ อยู่อย่างไร้ทิศทาง

ณ เวลานั้น ทักษิณยังไม่รู้ว่า รองนายกฯชิดชัยที่เขาได้มอบหมายหน้าที่ให้ดูแลนั้น ถูกจับกุมตัวแล้ว เขาได้ฝากความหวังและความไว้ใจไว้กับเพื่อนทหารที่สนิทกันมากอีกคนหนึ่ง พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ จากคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้มากที่สุด ถ้าหากคำแถลงการณ์ของทักษิณตอนนั้นได้แพร่ภาพจนจบ สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ก็ได้

หลังจากที่การรัฐประหารได้ผ่านไปเป็นเวลา 1 เดือน หนังสือพิมพ์ประชาชาติ ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “สงครามที่ไม่เคยเกิด” ย้ำเตือนว่าอดีตนายกฯ ท่านนี้ ในช่วงคับขันนั้น ถูกเพื่อนสนิททอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลากลางคืน แม้แต่คนขายของในตลาดยังได้ยินข่าวการก่อรัฐประหาร บรรดาทหารที่ให้การสนับสนุนทักษิณจะออกมาต่อสู้เพื่อเจ้านายของเขาหรือไม่ แต่แล้วเรื่องจริงก็ได้รับการยืนยัน เพราะว่าเหตุผลบางประการ บรรดานายทหารคนสำคัญที่ทักษิณได้ให้ความไว้วางใจนั้น รวมถึงพล. อ. พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ. พฤณท์ สุวรรณทัตผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 และ พลเอกเรืองศักดิ์ ทองดี ผู้บังคับการกองทหารปืนใหญ่ ทุกคนไม่สามารถที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องทักษิณได้

ในช่วงเช้าของวันรัฐประหาร บรรดาบุคคลที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็ได้มีการพบหน้ากันก่อนแล้ว เพราะว่าไม่ปรากฎภาพของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน บนหน้าจอระหว่างการเรียกประชุมระดับรัฐมนตรีของนายกฯ ช่วงเวลาดื่มกาแฟหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน เพิ่งจะมีคนเริ่มคิดได้ว่า “ทำไมพลเอกสนธิจึงได้มีการเคลื่อนย้าย 3 กองกำลังทหารพิเศษเข้ากรุงเทพ” จากนั้นในช่วงเวลาบ่าย บรรดานายพลได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังกองบังคับการทหาร เพื่อยืนยันว่ากองทัพไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่ผิดปกติ พบว่าไม่มีคนรับโทรศัพท์ พวกเขาทั้งหมดตกใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ข่าวลือเริ่มได้รับการยืนยันว่าตอนนี้ได้มีกองกำลังทหารจำนวนมากได้เคลื่อนพลเข้าสู่กรุงเทพฯ สถานการณ์ยิ่งคับขัน เมื่อได้ยินเสียงตระโกนของนายพลท่านหนึ่งในห้องทำงานว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว บอกกับผม ว่าพวกคุณคิดที่จะทำอย่างไรต่อไป” “ผมจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกคุณ แต่ว่า ผมก็เป็นทหารคนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน” เป็นคำตอบของนายพลท่านหนึ่ง สุดท้ายการสนทนาก็ได้สิ้นสุดลง

การรัฐประหารดำเนินไปอย่างราบรื่นดุจแพรไหม ไม่มีระดับนายพลคนใดยืนยู่ข้างทักษิณ

จนเวลากลางคืนมาถึง ไม่ปรากฎว่ามีเหตุการณ์ใด ๆ ที่ต่อต้านการก่อรัฐประหาร บรรดาพรรคพวกของทักษิณที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล เพราะว่าการดำเนินการล่าช้าเกินไป สุดท้ายก็ต้องยอมรับโชคชะตา เวลาประมาณ 6 โมงเย็น พลเอกชิดชัย เลขาธิการนายกฯ นายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุรเดช รักษาการนายกฯและ พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ไปยังถนนแจ้งวัฒนะ พวกเขาสามารถติดต่อกับทักษิณได้ ทักษิณเตรียมที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และช่อง 11 ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงสถานีวิทยุได้รับคำสั่งจากพลเอกเรืองโรจน์ให้เตรียมออกอากาศคำแถลงการณ์ของทักษิณที่จะส่งมาจากนิวยอร์ก แต่สุดท้าย มีแต่ผู้ชมสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เท่านั้นที่ได้ยินทักษิณประกาศภาวะฉุกเฉิน และสั่งปลดพลเอกสนธิออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่คำแถลงการณ์ของเขายังไม่ทันจบ กองกำลังทหารก็ได้เข้าควบคุมสถานีโทรทัศน์ไว้ได้ ตัดสัญญาณออกอากาศโดยทันที

“ทำไมไม่อยู่ฝ่ายผมละ กองทหารในมือคุณตอนนี้ก็ไม่มาก” เป็นคำเจรจาในสายโทรศัพท์ของคณะรัฐประหารที่ต้องการชักจูงพลเอกเรืองโรจน์ผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้ยอมรับกับข้อเสนอ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ประชาชนทั้งประเทศก็ได้เห็นภาพของเขายืนอยู่ข้าง ๆ พลเอกสนธิและคณะรัฐประหารอีก 3 คน จากการถ่ายทอดคำแถลงการณ์ของคณะรัฐประหาร

ยังมีอีกข่าวลือว่า ทหารอีกฝ่ายที่ภักดีต่อทักษิณ (รวมถึงกองพลทหารม้าที่4) ซึ่งในขณะนั้นกำลังวางกำลังคุมเชิงอยู่กับคณะรัฐประหารบริเวณนอกเขตกรุงเทพฯ หากใครกล้าที่จะเคลื่อนไหวเพียงก้าวเดียวในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ หรือกล้าที่จะขยับนิ้วหัวแม่โป้งเพียงแค่นิดเดียวในเกมที่อันตรายอย่างนี้ ใครคนนั้นก็อาจถูกกฎหมายเอาโทษว่าเป็นพวกก่อการรัฐประหาร การเผชิญหน้าดำเนินต่อไปจนดึก พลเอกสนธิและพรรคพวกได้เข้าไปเจรจาด้วยตัวเอง จนฟ้าใกล้สว่าง กองกำลังทหารจึงยอมจำนน

คำบอกเล่าของทักษิณ
ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะโดนโค่นล้มอำนาจ ผมวางแผนไว้ว่าจะเป็นนายกให้ครบ 2 สมัยแล้วก็จะเกษียนตัวเอง การที่ผมสามารถได้เป็นนายกติดต่อกัน 2 สมัยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ตัวผมเองก็รู้สึกภูมิใจมาก ไม่มีใครคิดว่าผมจะเป็นนายกฯ ได้ตลอดไป ไม่ใช่หรือ และเป็นไปไม่ได้ด้วย กฎหมายมีข้อจำกัดหลาย ๆ ด้าน ไม่ใช่หรือ แต่ว่า การที่มีใจที่รับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนยังอยู่ในใจผมตลอดมา แม้ว่าผมจะไม่เป็นนายกฯ ก็ตาม ผมไม่เคยคิดเลยว่า ก่อนที่ผมจะดำรงตำแหน่งจนครบวาระที่ 2 นี้ จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ผมเป็นผู้ที่สนับสนุนการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยต้องใช้ความเสมอภาคและความสันติเข้าแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะสังคมในยุคศตวรรษที่ 21 อำนาจไม่ใช่ความต้องการแท้จริงของผม ผมเพียงแค่ต้องการทำอะไรเพื่อประชาชนเท่านั้น ถ้าหากพวกเขารับไม่ได้กับวิธีการบริหารงานของผม ถ้าให้ดีคือผมก็แค่วางมือซะ ไปมีชีวิตที่สงบเงียบของตัวเอง แต่ถ้าตั้งใจอย่างแท้จริงที่ต้องการทำอะไรเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน สามารถที่จะทำโดยผ่านวิธีการอื่น ๆ ได้ มีหรือไม่มีอำนาจไม่มีความจำเป็นเลย


ตอนที่ 3

อยู่ ๆ ก็มีฝนฟ้ากระหน่ำลงในกรุงเทพฯ ฝนเม็ดใหญ่ขนาดเมล็ดถั่วตกลงกระทบกับเงาของแสงไฟบนท้องถนน รถยนต์แล่นเบียดเสียดกันบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยน้ำฝน น้ำฝนที่อยู่บนที่ปัดน้ำฝน เหมือนดั่งสายน้ำตาที่กำลังหลั่งริน รถถังจำนวน 2 คัน เข้าปิดเส้นทางที่จะไปพระราชวัง ทหารติดอาวุธแต่งชุดองค์รักษ์เต็มยศเข้าปิดล้อมพระบรมมหาราชวังอย่างแน่นหนา บรรดารถถังและรถหุ้มเกราะติดอาวุธทุกคันประดับไปด้วยผ้าสีเหลือง ตำรวจหลายนายสร้างสิ่งกีดขวางขึ้นบริเวณถนนใกล้ ๆ กับทำเนียบรัฐบาล คอยกำกับจราจรผู้ใช้รถในบริเวณนั้น ขอร้องให้พวกเขาใช้เส้นทางอื่น มีนักข่าวต่างประเทศผู้หนึ่งอยู่ที่บริเวณต้องห้ามเดินไปเดินมา คิดหาโอกาสถ่ายภาพสักเล็กน้อย แต่ก็ถูกทหารสั่งห้ามโดยทันที มีทหารที่หวังดีบอกกับเขาว่า “ถ้าจะให้ดีนั้นอย่าเข้าใกล้ ข้างหน้ากำลังมีคนโยนก้อนหินอยู่” ไม่รู้มีใครหน้าไหนที่ใจกล้าขนาดนี้ ขว้างก้อนหินใส่รถถังและกองกำลังทหาร แต่ว่า การต่อต้านเล็ก ๆ แบบนี้ก็ได้ถูกควบคุมไว้ได้ ทำเนียบรัฐบาล กลับสู่ภาวะเงียบสงบอีกครั้ง

ถนนและทางรถไฟที่ห่างออกไปไม่ถึง 500 เมตร จากทำเนียบรัฐบาลนั้น ตำรวจจำนวนมากกำลังแจ้งให้ประชาชนและรถที่เข้ามานั้นสลายตัวออกไป ทางรถไฟถูกสกัดเอาไว้ ฝ่ายรัฐประหารวางแผนได้อย่างรัดกุม ในค่ำคืนนั้น พวกเขาได้ตัดขาดเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่กรุงเทพฯ คอยสกัดไม่ให้บรรดาพวกชาวนาที่ให้การสนับสนุนทักษิณนั้นเข้ามาในเขตกรุงเทพฯ ได้ บนท้องถนน ตำรวจเรียกให้รถทุกคันหยุด ขอร้องให้บรรดารถทั้งหลายรีบออกจากบริเวณดังกล่าวโดยด่วน บรรดาปั้มน้ำมันต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯ ได้รับการติดต่อให้หยุดการให้บริการตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มเป็นต้นไป กองกำลังทหารได้เข้ายึดสถานที่ราชการและถนนสายหลักในกรุงเทพฯ ได้อย่างรวดเร็ว รถถัง 4 คัน วิ่งวนอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ มีเสียงจากเครื่องกระจายเสียงบอกให้ประชาชนบนท้องถนนรักษาความสงบแล้วรีบกลับเข้าบ้านของตัวเอง

บรรดาสิงห์นักดื่มชาวต่างชาติที่กำลังสนุกสนานเฮฮาอยู่ในสถานเริงรมย์ขนาดนั้น ได้รู้ว่าเมืองหลวงที่อบอุ่น “ยิ้มสยาม” นั้น เพียงแค่ค่ำคืนเดียวก็เปลี่ยนสีสันไปหมดแล้ว บนใบหน้าไม่สามารถที่จะเก็บความรู้สึกตกใจเอาไว้ได้ พวกเขารีบเรียกเช็คบิลและกลับไปยังที่พักของตัวเอง มีเพียงชาวต่างชาติบางคน ที่ได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ในวันถัดไป จึงได้รู้ว่าเพียงค่ำคืนเดียวในกรุงเทพฯ บรรดารถถังได้ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลไว้หมดแล้ว บริเวณใกล้เคียงมีกองถ่ายของอเมริกากำลังถ่ายหนังอยู่ พวกเขาได้ยินเสียงร้องของประชาชน จึงวิ่งออกไปดู พบว่าประเทศที่อยู่ในศตวรรษที่ 21 เกิดเหตุการณ์รัฐประหารที่ใครก็คาดไม่ถึง เสียงประกาศจากตำรวจ ทำให้บรรดากองถ่ายทั้งหมดรีบหนีกลับโรงแรม โชคดีที่พวกเขามีเครื่องบินส่วนตัว เพียงแค่รอให้เกิดสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ สามารถบินกลับได้อย่างทันท่วงที แต่บรรดาคนงานธรรมดาในกองถ่ายทุกคนกลับไม่ได้รับอภิสิทธิ์เช่นดาราดังพวกเขายังคงถูกเรียกร้องให้อยู่บริเวณกองถ่าย แล้วให้ดำเนินการถ่ายทำต่อไป ผู้คนเอะอเโหวกเหวกทันใดก็พบว่าผู้ดูแลอุปกรณ์ประกอบการถ่ายทำหายตัวไป ที่แท้ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชั่น คนที่ดูแลเรื่องปืนกลัวว่าปืนที่ใช้ในการแสดงจะกลายเป็นการแสดงจริง ปืนปลอมจะกลายเป็นปืนจริง กลัวว่าบรรดาผู้ก่อการรัฐประหารที่ถือปืนของจริงอยู่จะเข้าใจผิด สุดท้ายก็ต้องหยุดเพียงแค่นั้น เวลาผ่านไป หลังจากที่ได้ติดต่อไปยังผู้บริหารเพื่อขอให้ยุติการถ่ายเพียงแค่นี้ บรรดากองถ่ายจึงได้ถูกปล่อยคนงานไป
นักข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชนของจีน ประจำกรุงเทพฯ ก็เหมือนกับประชาชนทั่วไป ซึ่งกำลังเทขยะอยู่บริเวณหน้าบ้าน ทันใดนั้นได้ยินเสียงที่มาจากบนท้องถนน เขายืนอยู่บนเกาอี้ในสวนแล้วมองออกไป ได้เห็นรถถังกำลังแล่นผ่านไป คันต่อคันเรียงรายข้ามจากสะพานเล็ก ๆ ไปยังถนนใหญ่ ค่อนข้างรวดเร็วมาก ความเร็วประมาณ 60 ก.ม./ช.ม. บนรถถังมีทหารถือปืนไว้แน่น รถถัง 10 กว่าคันได้แล่นผ่านไปแล้ว ยังมีรถที่ติดอาวุธตามมาอีกประมาณ 4-5 คัน ข้างหลังยังมีรถมอเตอร์ไซด์ทหารขี่ตามมาอีก ท้ายขบวนยังมีรถที่ติดสปอร์ตไลน์อีกคัน ตอนนั้นเขารู้สึกแปลกใจมาก ทำไมรถถังและรถติดอาวุธจึงได้ขับเคลื่อนเข้าไปในเมือง สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้น

การตอบสนองจากประชาชนในเขตกรุงเทพฯ ค่อนข้างจะสงบ หลาย ๆ คนได้ยินประกาศจากทางตำรวจ วิ่งออกมาดูบนท้องถนน ได้เห็นกองกำลังทหารและรถถัง ประชาชนทั้งตบมือและผิวปากแสดงความยินดี (สุดท้ายวันนั้นก็มาถึง วันที่ทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์การเมืองที่เลวร้าย พวกเราทั้งครอบครัวรอจนถึงวันนี้ จะต้องมีคนเข้ามาจัดการกับความวุ่นวายให้หมดไป) ประชาชนชาวกรุงเทพฯ คนหนึ่งออกมาแสดงความยินดี ส่วนอีกคนที่ออกมามุ่งดูเหตุการณ์สีหน้าวิตกกังวล เขาได้พูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ในมุมมองของผม ไม่มีข้อคิดเห็น แต่ว่าทักษิณครั้งนี้คงจะกลับมาอีกไม่ได้แล้ว” เขาพูดพลางชี้ไปยังทำเนียบรัฐบาล ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับทำเนียบรัฐบาล มีข้อคิดเห็นสำหรับเรื่องนี้ว่า “รู้สึกตกใจ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ขอเพียงแค่ให้การเมืองไทยที่วุ่นวายในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาสงบลงก็พอ” เขายังหยิบยกประโยคหนึ่งในเพลงชาติไทยที่ว่า “ไทยนี้รักสงบ” แต่ว่า มีวัยรุ่นผิวสีแทนคนหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวต่างชาติว่า “นี่ไม่ใช่การรัฐประหาร แต่เป็นสงคราม” มีประชาชนบางกลุ่มพยายามที่จะเปิดโทรทัศน์เพื่อติดตามสถานการณ์ แต่พบว่าสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ เปิดเพลงชาติไทย เพลงกองทัพทหาร หรือภาพในราชสำนัก CNN และ BBC ต่างก็ถ่ายทอดภาพของรถถังวิ่งอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ แต่ว่าผ่านไปแค่ไม่กี่นาที ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์ก็เปลี่ยนเป็นสีขาว สถานีโทรทัศน์ต่างประเทศทั้งหมดที่กำลังถ่ายทอดการรัฐประหารในประเทศไทย อาทิ เช่น BBC, CNN, CNBC, Bloomberg Television, หลังจากที่ถ่ายทอดไปได้เพียงแค่ไม่กี่นาที สัญญาณได้ถูกตัดทั้งหมด

เวลา 5 ทุ่ม ภาพการถ่ายทอดของสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ได้เปลี่ยนเป็นออกภาพผู้ประกาศข่าวหน้าตาดีคนหนึ่ง ตาสวย ผมยาวประบ่า ใส่เสื้อสีเหลือง (หลังจากรัฐประหาร บรรดาตัวแทนทางทหารของแต่ละสถานีโทรทัศน์ จะสวมเสื้อเหลือง หรือเน็คไทสีเหลือง ระหว่างออกอากาศ) เวลาพูด น้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้คนไม่รู้สึกว่าการรัฐประหารกับการใช้กำลังรวมเป็นเรื่องเดียวกัน หลังจากที่เกิดเรื่องแล้วจึงได้ทราบว่า ผู้หญิงสวยคนนี้คืออดีตมิสเอเชีย เมื่อปี 2530 ชื่อ ทวินันท์ คงคราญ (Thawinan Khongkran) หล่อนเขาจบการศึกษาระดับปริญญาโท ตอนนี้อายุ 42 ปี ฝ่ายทหารขอเชิญเป็นพิเศษเพื่อมาดูแลเรื่องของการแถลงข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ให้เธอเป็นผู้ประกาศแถลงการณ์ของคณะรัฐประหาร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เธอได้อ่านคำแถลงการณ์โดยมีเนื้อหาดังนี้
“เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ผู้บัญชาการทหารและตำรวจได้เข้ายึดพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีการต่อต้านจากฝ่ายใด พวกเราขอความร่วมมือจากทางประชาชน ในระหว่างเวลานี้อาจสร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชนทุกท่าน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณ และหลับฝันดีคะ”
จากนั้น ผู้ประกาศข่าวท่านนี้ ได้ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลคอยรายงานสถานการณ์ล่าสุดของคณะรัฐประหารให้ประชาชนได้รับทราบทุก ๆ ขณะ

เวลา 5 ทุ่ม 15 นาที ทหารที่สวมหมวกเหล็ก มือถือปืน สวมเสื้อกันฝน ก็ได้เข้ายึดถนนสายสำคัญในกรุงเทพฯ ได้เป็นผลสำเร็จ เช่น ถนนศรีอยุธยา และถนนราชดำเนิน ควบคุมถนนสายสำคัญทั้งสองสายของกรุงเทพฯ ทหารได้ช่วยตำรวจรักษาความเรียบร้อยบนท้องถนน รวมทั้งการวางสิ่งกีดขวางบนถนน (บริเวณที่ด้านหน้ากำลังมีภาระกิจสำคัญอยู่ ซึ่งต้องมีการควบคุมพื้นที่บนท้องถนน) มีรถประจำทางผ่านไปมา มีคนโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง ยื่นหน้ามายิ้มและโบกมือทักทายกับเหล่าทหาร

หน่วยงานที่เรียกว่า คณะกรรมการปฏิรูปและบริหารประเทศ (The Administrative Reform Council) ชื่อย่อว่า ARC ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.Council for Democratic Reform) ประกาศการจัดตั้งคณะดังกล่าว เข้าสืบทอดอำนาจการบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ประธานคปค.และผู้บัญชาการทหารสูงสุดพลเอกสนธิได้มีคำสั่งให้ทหารทุกนาย และทุกหน่วยทั่วประเทศ หากไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ ให้ตั้งมั่นอยู่ประจำหน่วย และหยุดการเคลื่อนไหวทางการทหารใดๆ

เวลา 5 ทุ่ม 50 นาที ผู้แทนคปค.ท่านหนึ่งสวมชุดสูท ผูกเน็คไทสีเหลือง เป็นโฆษกของฝ่ายทหาร บริเวณหน้าอกติดเครื่องราชอิสิริยาภรณ์ ปรากฎตัวบนโทรทัศน์ช่อง 5 ประกาศแถลงการณ์ของฝ่ายทหารฉบับที่ 2 ชี้แจงถึงสาเหตุในการรัฐประหาร (การทำรัฐประหารคือสิ่งที่ต้องกระทำ เพราะว่ารัฐบาลทักษิณได้สร้างความแตกแยกให้กับประเทศ และมีการคอร์รัปชั่นอย่างโจ๋งครึ่ม จึงจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูการเมืองและสังคมไทยให้เป็นระเบียบและกลับสู่สภาวะปกติ คณะปฏิรูปการปกครองฯ ที่รวมกลุ่มโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและตำรวจไทย ได้ตัดสินใจล้มล้างอำนาจทางการเมืองของนายกฯ คนปัจจุบัน ทักษิณ ชินวัตร เพื่อปฏิรูปทางการเมือง) เขาเน้นย้ำว่า กองกำลังทหารไม่ได้มีเจตนาที่จะปกครองประเทศ จะมอบอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนโดยเร็ว

คำบอกเล่าของทักษิณ
การก่อรัฐประหาร 17 ครั้งที่ผ่านมา คอร์รัปชั่นเป็นข้ออ้างที่พวกเขาใช้กันเสมอ จากนั้น พอคณะรัฐประหารที่เข้ามามีอำนาจก็ยิ่งคอร์รัปชั่นมากกว่า อย่างไรก็ดี การคอร์รัปชั่นนั้น เพียงแค่ชั่วเวลาเดียวไม่สามารถที่จะหายไปจากเวทีการเมืองไทย คอร์รัปชั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของลักษณะการเมืองการปกครองไทย
เวลา 0.39 น. ประกาศแถลงการณ์ของฝ่ายทหารฉบับที่ 3 ออกอากาศที่โทรทัศน์ช่อง 5 ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างไว้เมื่อปี 2540 ล้มเลิกศาลรัฐธรรมนูญไทย ล้มเลิกรัฐสภาไทยและคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของทักษิณ กองกำลังทหารประกาศภาวะฉุกเฉิน ห้ามทหารออกนอกที่ตั้ง สุดท้ายผู้แทนฝ่ายทหารเน้นย้ำว่า การก่อรัฐประหารในครั้งนี้นำโดยผู้บัญชาการทหารบกพลเอกสนธิ จุดประสงค์ก็เพื่อ (ฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการเมืองและสังคมไทยให้กลับคืนสภวะปกติ) หวังว่าจะได้รับการเข้าใจและสนับสนุนจากทางราชสำนักและประชาชน กองกำลังทหารเข้ามามีอำนาจเพียงชั่วคราวเท่านั้น จะคืนอำนาจสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด 3 นาทีสำหรับการพูดได้จบลง หน้าจอทีวีก็กลับเป็นสีฟ้าอีกครั้ง และแพร่ภาพแถลงการณ์ของฝ่ายทหาร (เข้ายึดอำนาจการปกครอง) ภาพและดนตรีเป็นเพลงทหาร จากนั้น ฝ่ายทหารก็ได้เผยแพร่ข่าวอีกครั้งว่า ทักษิณที่อยู่ที่นิวยอร์กยอมรับการลาออกจากตำแหน่ง (หลังจากเหตุการณ์แล้ว ยืนยันว่าเป็นเพียงข่าวลือ)

ผู้สื่อข่าวต่างชาติได้ประเมินสถานการณ์การก่อรัฐประหารของไทยในครั้งนี้ว่า (รวดเร็วดุจสายฟ้า) ผู้สื่อข่าวของไทยเห็นว่าเป็น การรัฐประหารที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ราบรื่นเหมือนดั่งแพรไหม


ตอนที่ 4

ทักษิณนั่งอยู่ในห้องพักสำหรับนายกฯ ที่โรงแรม Hyatt ในนครนิวยอร์ก จ้องดูหน้าจอ CNN จ้าวพ่อแห่งวงการสื่อสารผู้ที่ 10กว่าปีที่แล้วได้ซื้อขาดสิทธิในการแพร่ภาพของ CNN ในไทย ซึ่งปัจจุบันนี้กลับนั่งอยู่อย่างเดียวดายในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในต่างแดน ดูภาพเหตุกราณ์การก่อรัฐประหารล้มล้างอำนาจของตัวเองผ่านทางกล้องของ CNN ถ่ายทอดข่าว Breaking News ของ CNN วันที่ 19 กันยายน เวลาในประเทศไทยประมาณ 4 ทุ่ม 10 นาที ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกว่าสถานการณ์ตอนนี้ รถถังได้เคลื่อนเข้าบริเวณเขตเมืองของกรุงเทพฯ แล้ว ตอนแรกนั้น การรายงานข่าวของ CNN ค่อนข้างจะระมัดระวัง หัวข้อข่าวรายงานเพียงแค่ว่าเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในระบอบการเมืองไทย หน้าจอแพร่ภาพรถถังสงคราม M41 และรถติดอาวุธ M113ตามมาด้วยรถจิ๊บของทหารบกไทย ขับออกมาจากกองบัญชาการทหารบกที่ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ เคลื่อนกำลังพลไปยังทำเนียบรัฐบาล กลางดึก ถนนสายหลักในเขตกรงเทพฯได้มีการควบคุมการจราจร รถยนต์ขนาดเล็กบนท้องถนนติดกันเป็นขบวนยาว หน้าตาเคร่งขรึมของทหารและตำรวจที่กำลังควบคุมการจราจรอยู่นั้น คนที่เดินบนถนนไม่มีทีท่ากังวลหรือตกใจแต่อย่างใด มีบางคนทำเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ควักมือถือจากกระเป๋าถ่ายรูปทหารและรถถัง

พิธีกร: ตอนนี้พวกเราสามารถที่จะประเมินสถานการณ์ว่าเป็น (การก่อรัฐประหาร) ได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าว: ผมคิดว่า ทหารอยู่บนท้องถนน และนายกฯ ไม่อยู่ในประเทศ ข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารก็ได้มีข่าวมาแล้วหลายอาทิตย์ สามารถยืนยันได้ว่า นี่คือสถานการณ์การก่อการรัฐประหาร

พิธีกร: มีแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงหรือไม่
ผู้สื่อข่าว: ทุกอย่างสงบนิ่งอย่างมากจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร รถถังจอดอยู่บนท้องถนน บนถนนเต็มไปด้วยเหล่าทหาร แต่สถานการณ์สงบมาก ๆ

จากนั้นไม่นาน รองนายกฯ สุรเกียรติ์ ที่เยือนต่างประเทศพร้อมทักษิณก็ได้พูดกับนักข่าวของ CNN ว่า “กองกำลังทหารเล็ก ๆ ที่คิดจะกระโดดออกมาล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่พวกเขาไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน ท่านทักษิณตอนนี้ยังคงเป็นนายกฯ ของไทย” แต่ว่าจากนั้น 10 นาที CNN ได้รายงานว่า ฝ่ายทหารกรุงเทพฯ ได้เข้ายึดอำนาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คณะผู้แทนจากประเทศไทยบางคน (คนอื่น ๆ ไปเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาติ) เวลานั้นนั่งอยู่ในห้องของนายกฯ ดูข่าว CNN พร้อมกับทักษิณ ในห้องเงียบสงบ นอกจากเสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์ ไม่มีใครออกเสียงใด ๆ ทุก ๆ คนต่างก็นั่งเงียบไม่มีเสียงใด ๆ สมาธิจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ มีคนหันไปมองไปยังทักษิณบ้าง พบว่าเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ การแสดงออกทางสีหน้าค่อนข้างสงบนิ่งอยู่ตลอด สีหน้านั้นดูไม่ออกว่าโกรธแค้น เคร่งเครียด เจ็บปวด ผิดหวัง หรือตกใจ แม้แต่เส้นประสาทเพียงหนึ่งเส้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะสั่นกลัวแต่อย่างใด เขาเพียงแค่นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้เป็นระยะเวลานาน ขยับก็ไม่ขยับ ดูเหมือนกำลังมีเรื่องอะไรที่ต้องครุ่นคิด และดูเหมือนกับกำลังเหนื่อยล้าอย่างที่พูด คล้ายกับการขยับเพียงนิดหรือพูดสักคำ ก็ขมขื่นกล้ำกลืนจนพูดไม่ออก เขาเหมือนกับรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างนี้ การต่อสู้ทั้งหมดเพียงเพื่อจะให้ยืนยันกับตัวเองว่า ในเวลานี้ตนเองไม่อาจล้มครืนลงได้ จะต้องยืนหยัดจนถึงนาทีสุดท้าย

จากนั้น ฉากจบก็ได้มาถึงจริง ๆ เขากลับรู้สึกโล่งอก หลุดพ้น และผ่อนคลาย ใจดวงนี้ที่เคยระส่ำระส่าย เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ณ นาทีนี้กลับสงบนิ่งเหมือนกลับสู่ภาวะปกติ ใจเต้นอย่างช้า ๆ และสงบนิ่ง ความน่าสะพรึงกลัว ความกังวลและความหวาดหวั่นอย่างไม่มีที่สุดที่สิ้น ตอนนี้ค่อย ๆ จาง หายไปคล้ายกับควันไฟในสายลม นักการเมืองผู้ไม่สันทัดในการกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจผู้นี้ แสดงความรู้สึกที่สงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรมากระทบ เขารู้ว่า ตนเองกำลังตกต่ำจนถึงที่สุด และก็ไม่สามารถที่จะลงไปได้ต่ำกว่านี้แล้ว

คำบอกเล่าของทักษิณ
บางครั้งผมก็คิดว่า นี่หรือคือสิ่งที่ผมได้รับตอนจบของการทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนของผม นี่หรือคือสิ่งที่ผมได้รับตอบแทนจากการอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างของผมเพื่อพระมหากษัตริย์ ประเทศชาติ และประชาชน นี่คือสิ่งที่ผมได้รับตอบแทนจากการเป็นนายกฯ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตอนที่ผมถามกับตัวเองแบบนี้นั้น รู้สึกถึงความเสียใจ

คำแถลงการณ์ของประธานาธิบดีบุชแห่งสหรัฐฯ ในการประชุมสหประชาชาติได้เริ่มขึ้นแล้ว CNN ทำการถ่ายทอดสด เป็นไปตามที่คาดไว้ สุนทรพจน์ของบุชมุ่งประเด็นไปยังหัวข้อเรื่องที่ไม่กี่ปีนี้เขาพูดไม่หยุด “ต่อต้านการก่อการร้าย” อิหร่านก็คงเป็นประเด็นสำคัญที่พูดแล้วพูดอีก

“10 ปีที่ผ่านมา ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ตะวันออกกลางอยู่โดยถูกกดขี่และไร้ความหวัง ทำให้คนตะวันออกกลางในรุ่นนี้อยู่โดยหมดความหวังไปแล้ว และทำให้พื้นที่ตะวันออกกลางเปลี่ยนเป็นแปลงเพาะผู้ก่อการร้าย สถานการณ์อย่างนี้จะต้องได้รับการแก้ไข”
“พวกคุณ (ชาวอิหร่าน) มีสิทธิที่จะได้เห็นสังคมที่เปิดโอกาสให้คุณได้แสดงออกถึงความสามารถของพวกคุณอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการไปถึงเป้าหมายที่ห่างไกลอันนี้ก็คือผู้ปกครองของพวกคุณเลือกทางที่ไม่ยอมรับต่ออิสรภาพของพวกคุณ พวกเขานำทรัพยากรของพวกคุณใช้ในการสนับสนุนผู้ก่อการร้ายและพวกลัทธิหัวรุนแรงสุดโต่ง รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาอาวุธนิวเครียร์”
“สหรัฐฯ เรียกร้องสันติภาพ หนึ่งในพวกคุณที่เป็นผู้ที่มีหัวคิดสุดขั้วกำลังสร้างข่าวลือที่ว่า ฝ่ายตะวันตกกำลังก่อสงครามกับศาสนาอิสลาม คำเล่านี้ไม่เป็นความจริงเลย โดยพวกเขามีเป้าหมายที่จะสร้างความสับสนให้กับพวกคุณ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของผู้ก่อการร้ายเป็นการกระทำเพื่อความถูกต้อง พวกเราเคารพศาสนาอิสลาม เคารพในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอิหร่านที่มีมาแต่ช้านาน พวกเราหวังว่าประชาชนของทั้งสองประเทศ จะมีวันหนึ่งที่สามารถเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันและมีสันติภาพร่วมกัน แต่พวกเราจะต้องไม่อนุญาตให้คนที่ใช้ชื่อเสียงของศาสนาอิสลาม ก่อให้เกิดการเสียชีวิตและการทำลายล้าง”

บุชกล่าวว่า ประเทศอัฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ กำลังก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยแล้ว (5 ปีที่แล้ว อัฟกานีสถาน ยังคงเป็นประเทศที่ปกครองโดยตาลีบัน แต่ตอนนี้ อัฟกานีสถานได้จัดตั้งรัฐบาลและลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีของตัวเองโดยผ่านการเลือกตั้งอย่างอิสระ เมื่อ 5 ปีก่อน ซัดดัมยังปกครองอิรักอยู่ แต่ตอนนี้ อิรักภายใต้รัฐบาลและผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีและผู้แทนของเขาเอง)

บุชได้พูดถึงผู้ก่อการร้ายในปากีสถาน และการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ใน Darfur ประเทศซูดาน เขากล่าวว่า “อิสรภาพ โดยเนื้อแท้ของมัน ไม่เคยได้มาด้วยการบังคับ หากแต่จะต้องเลือกมาเท่านั้น” แต่ว่า การพูดที่ยาวถึง 20 กว่านาทีในร่างคำกล่าวครั้งนี้ ไม่มีแม้แต่คำพูดเดียวที่พูดถึงประชาธิปไตยที่กำลังถอยหลังในประเทศไทย และการเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย จนถึงวันถัดไป หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ได้ตีพิมพ์เรื่องการประเมินคำพูดของบุชว่า การที่รัฐบาลบุชให้การสนับสนุนเรื่อง “ประชาธิปไตย” เพียงแค่จำกัดไปยังพื้นที่ตะวันออกกลางที่พวกเขาให้ความสนใจเท่านั้น แต่ประเทศอื่น ๆ ในโลกที่กำลังก่อร่างสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงและประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคามนั้น กลับถูกประธานาธิปดีที่กำลังทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอย่างจดจ่อและเอาเป็นเอาตายผู้นี้ ไม่ได้ให้ความสนใจและลืมนึกไป

ทักษิณตอนนี้ยังมีโอกาสอีกไหม วันนี้ช่วงบ่ายเขาสามารถที่จะใช้ความกล้าในการเดินขึ้นสู่เวทีการประชุมใหญ่สหประชาชาติ แล้วประกาศก้องไปทั่วโลกว่า เขาไม่ยอมรับการก่อรัฐประหารของทหารในขณะที่เขากำลังอยู่ในช่วงการเยือนต่างประเทศอยู่ เขายังคงเป็นนายกฯ ของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง พฤติกรรมของกลุ่มพลเอกสนธิเป็นการโค่นล้ม อำนาจรัฐบาลปัจจุบัน (การก่อการร้าย)

แต่ว่า เขาไม่ทำ เขาไม่มีทางที่จะทำแบบนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ขณะนี้เขาตอนนี้ก็ยังคงรอคอย รอคอยผู้ที่มีบทบาทสำคัญปรากฏตัวออกมา


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:16
อีกนี้ด ค่ะ อีกนี้ดนึง พี่ๆ อย่าเพิ่งเบื่อลิเดียนะคะ ลิเดียขออีกนี้ดดดดดดดดด

(http://img520.imageshack.us/img520/5770/3063496122791uy9.jpg)


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: ********Q******** ที่ 07-08-2007, 02:34
 :slime_cool:

แถมให้ครับ..

http://www.sameskybooks.org/webboard/show.php?Category=sameskybooks&No=20786



(http://www.sameskybooks.org/upload/18Cover18.JPG)

ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 : ก้าวต่อไปของสังคมไทย  http://www.sameskybooks.org/ssmagshow.php?id=18
 
 การศึกษาเรื่องรัฐในสังคมไทย  http://www.sameskybooks.org/upload/file/18-290p24-31.pdf
 
 Subject Siam
 
 คำขบวน -Empire อภิจักรภพ (ภัควดี วีระภาสพงษ์) 
 
 ปีกซ้ายไร้ปีก -ปัญหาประชาธิปไตยและการต่อสู้ทางชนชั้น (สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี)
 
 ก้าวต่อไปของสังคมไทย พิจารณาในด้านนิติธรรม นิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ (วรเจตน์ ภาคีรัตน์)
 
 พุทธศาสนาในสยาม – จากหายนะสู่วัฒนะ (สุลักษณ์ ศิวรักษ์) 
 
 โภคทรัพย์แห่งราชวงศ์ (ผู้สื่อข่าวเอเชียเซนติเนล)
 
 จุดเปลี่ยนแห่งทศวรรษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (สมถวิล ลีลาสุวัฒน์)
 
 คำให้การเรื่องสถาบันกษัตริย์กับวัฒนธรรมเซ็นเซอร์ (ประวิตร โรจนพฤกษ์) 
 
 10 ปีสมัชชาคนจน : ข้อสังเกตบางประการ (อุเชนทร์ เชียงเสน) 
 
 ก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ)
 
 เมรุคราวกบฏบวรเดช (ชาตรี ประกิตนนทการ)
 
 ทำไมควรอ่าน รัฐประหาร 19 กันยา (ใจ อึ๊งภากรณ์)
 
 รัฐ: จากมุมมองของชีวิตประจำวัน (วริศา กิตติคุณเสรี)
 
 การเคลื่อนไหวทางสังคมในอินเดียยุคหลังอาณานิคม (โดม ไกรปกรณ์ ) 
 
 การต่อสู้เพื่อความเป็นตัวของตัวเองทางการเมือง (ปิยะมิตร ลีลาธรรม)
 


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Body&Soul ที่ 07-08-2007, 02:38
พี่คิดว่านะ............................ :slime_doubt:

หนังสือเล่มนี้ คงต้องจ้าง GHOST WRITER มาแสนแพงแน่ๆเลยน้องลิเดียร์
:slime_inlove: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:43
********** คำเตือน บางข้อความในบทนี้ อาจสุ่มเสี่ยงกับการเผยแพร่นะคะ พี่ๆ ผู้คุมเว็บ ช่วยพิ'ณาให้น้องด้วยนะคะ ***********


บทที่ 8 ฟางเส้นสุดท้าย


ตอนที่ 1
กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา มีภาษิตหนึ่งกล่าวว่า ความบกพร่องของมนุษย์พิสูจน์ให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของพระเจ้า

ในสายตาของคนไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พร้อม เป็น “พระเจ้า” ที่ทรงเมตตาและมีพระปรีชาสามารถทุกด้าน และเป็น “พระบิดา” ที่ทรงห่วงใยความเดือนร้อนของราษฎร เป็นศิลาที่ยืนตระหง่านมั่นคงเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบต่าง ๆ พระมหากษัตริย์ภายใต้ รธน. ส่วนใหญ่ของโลก

ในช่วงยุคสมัยที่เปิดเสรีและวางตนเป็นสามัญชนมากขึ้น ต่างรู้สึกเป็นกังวลในเรื่องการกอบกู้เกียรติภูมิของราชวงศ์และรักษาสถานะที่มั่นคง มีเพียงพระมหากษัตริย์ของประเทศตะวันออกเล็ก ๆ พระองค์นี้เท่านั้น ที่เป็นที่รักเทิดทูนและศรัทธาจากราษฎรอย่างไม่เสื่อมคลายเสมอมา

เคล็ดลับในการรักษาอำนาจอย่างน่ามหัศจรรย์ เป็นผลมาจากพระปรีชาสามารถ กุศโลบาย ทักษะทางการเมืองที่แยบยล และวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งในการควบคุมสถานการณ์ของพระองค์ และแน่นอนว่ายังต้องรวมถึงพระชนมมายุที่ยืนยาวด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพ ณ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาซูเซสท์ ประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470 (ขณะนั้นพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงพระราชสมภพใน ตปท.) ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชนัดดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบเชื้อสายในพระราชวงศ์
แต่มิได้ทรงเป็นองค์รัชทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์โดยตรง หากมิใช่ว่าพระราชปิตุลา (อา) ที่ทรงโชคร้าย (รัชกาลที่ 6) ต้องสูญเสียพระราชโอรสแต่ยังทรงพระเยาว์ พระราชปิตุลาที่โชคร้ายอีกพระองค์หนึ่ง (รัชกาลที่ 7) ต้องสละราชสมบัติหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งพระบรมเชษฐา (รัชกาลที่ 8) ที่ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทุกวันนี้พระองค์อาจเป็นนักวิชาการ กวี นักวิทยาศาสตร์ นักดนตรีหรือนักภาษาศาสตร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สวรรค์ได้ประทานพรสวรรค์แห่งพระปรีชาสามารถในด้านต่าง ๆ แด่พระองค์พร้อมด้วยมงกุฎ
 
เมื่อเจริญพระชนมายุ 2 พรรษา พระบรมราชชนกสวรรคตจากอุบัติเหตุเมื่อเจริญพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงติดตามพระบรมราชชนนีย้ายไปประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ ณ ประเทศเล็ก ๆ ในยุโรป ที่มีทิวทัศน์สวยงาม ทรงได้รับการศึกษาแบบตะวันตกทรงศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโลซาน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ขณะทรงมีพระชนมายุ 19 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกระทันหัน พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติ
สืบราชสันตติวงศ์

พระองค์ขณะยังวัยหนุ่มมิได้ทรงเลือกที่จะประทับในประเทศเพื่อปกครองประเทศโดยได้เสด็จกลับไปสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซาน แต่ทรงเลือกศึกษาวิชานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์แทน ขณะเดียวกัน ได้ทรงขับรถยนต์ข้ามประเทศด้วยพระองค์เองไปยังกรุงปารีส เพื่อทรงเยี่ยม ม.ร.ว. สิริกิต์ กิติยากร ธิดาของเอกอัครราชทูต ซึ่งมีอายุน้อยกว่าพระองค์ 6 ปี วันที่ 4 ตุลาคม 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีชนมายุครบ 22 พรรษาในอีก 2 เดือนข้างหน้า ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนนไฮเวย์ระหว่างเมืองเจนีวากับโลซาน พระอาการบาดเจ็บบริเวณพระปฤษฎางค์ (หลัง) และพระพักตร์แม้จะไม่สาหัสนัก แต่พระเนตรด้านขวาต้องสูญเสียการมองเห็น (จากนั้นเป็นต้นมา พระองค์จะต้องฉลองพระเนตรเมื่อเสด็จฯ ในที่สาธารณะ) ม.ร.ว. สิริกิต์ ซึ่งมีอายุ 15 ปี ได้รีบเดินทางเข้าเยี่ยมพระองค์ และเข้าศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองโลซาน เพื่อสะดวกในการถวายงานดูแลเคียงข้างคนรักที่ต้องพักรักษาจากอาการบาดเจ็บ 18 เดือนหลังจากนั้น ทั้งสองได้อภิเษกสมรส พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสห่างจากพระราชพิธีบรมราชภิเษกเป็นรัชกาลที่ 9 เพียง 1 สัปดาห์


ตอนที่ 2

วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะเจริญพระชนมายุ 23 พรรษา ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ (วันดังกล่าวถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศ) การเสด็จประทับอยู่ในยุโรปเป็นเวลายาวนาน ทำให้พระองค์ทรงเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องรูปแบบการเมืองของประเทศทางตะวันตก ขณะเดียวกันก็ทรงตระหนักอย่างถ่องแท้ถึงฐานะ พระราชอำนาจและสภาวะของพระองค์ นั่นคือ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่กษัตริย์ที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์มิใช่จะไม่มีพระราชอำนาจที่แท้จริง กษัตริย์ที่ชาญฉลาดโดยแท้จริงแล้วก็ไม่ประสงค์ในเรื่องเปลือกนอกของอำนาจ พระองค์ประสงค์แต่เพียงอาวุธสิ่งเดียว นั่นคือ “คุณธรรม” การปฏิบัติตนซึ่งพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถ และเป็นผู้ปกครองที่มีความเมตตา ย่อมจะมีพลังอำนาจเหนือกว่าอำนาจทั่วไปทั้งปวงอย่างมาก ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระปฐมบรมราชการโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม (ชื่อเดิมของประเทศไทย)”

ช่วงแรกของการปกครองของพระองค์ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ดูรายละเอียดในบทที่ 2) ซึ่งเป็นเผด็จการทหาร (2493 – 2500) พระองค์นอกจาก จะปรากฏพระองค์ในพระราชพิธีต่าง ๆ ที่จัดถวายโดยรัฐบาลทหารแล้ว ก็จะทรงเก็บพระองค์ประทับอยู่แต่ในพระราชวัง เพื่อทรงศึกษาวาดภาพ ดนตรี ถ่ายรูป อักษรศาสตร์ ทรงดนตรีแจ๊ส ทรงเป่าแซกโซโฟน และทรงเปียโน ปี 2499 ในหลวงซึ่งเจริญพระชนมายุมากขึ้น เมื่อพระอัยกี (ย่า)
เสด็จสวรรคตตามประเพณีโบราณของไทย จึงได้ผนวชที่วัดแห่งหนึ่งเป็นเวลา 15 วัน ทรงปฏิบัติพระองค์เยี่ยงภิกษุทั่วไป ฉลองจีวรสีเหลือง เดินเท้าเปล่า อุ้มบาตร ออกบิณฑบาตทุกวัน ทนได้กับชีวิตที่ลำบากและเรียบง่าย กษัตริย์ที่ทรงเติบโตใน ตปท. พระองค์นี้ การผนวชเป็นการพิสูจน์ให้ราษฎรทั้งหลายได้เห็นว่า กษัตริย์ของพวกเขาเป็นพุทธศาสนิกชนที่ยึดมั่นและเคร่งครัดพระองค์หนึ่ง

เดือนสิงหาคม 2500 ครึ่งปีหลังจากการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสภาครั้งใหม่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ดูรายละเอียดในบทที่ 2) เห็นว่าพฤติกรรมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นรม. ควบตำแหน่ง ผบ. ทบ. ในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 2,500 ปีของพุทธศาสนา ไม่เป็นไปตามประเพณีนิยม หลังจากนั้น 1 เดือน จอมพล ป. เข้าเฝ้าฯ พระองค์ที่พระราชวัง ขอพระราชทานให้ทรงเข้าข้างฝ่ายตน พระองค์รับสั่งว่า คุณลาออกซะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการรัฐประหารทางทหาร จอมพล
แห่งกองทัพบกที่มีอุปนิสัยแข็งกร้าวได้ตอบปฏิเสธในทันที แต่ในช่วงดึกของวันนั้น จอมพล ป. ได้ถูกกองทหารภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจ 2 ชั่วโมงหลังการรัฐประหาร พระองค์ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานประกาศกฎอัยการศึก แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนคร
1 ปีหลังจากนั้น จอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติอีกครั้งหนึ่งและขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ด้วยตนเอง พระองค์ได้เสด็จตามที่สาธารณะทั่วไปมากครั้งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมาเสด็จฯเยือนทุกสารทิศทั่วประเทศ เข้าไปยังหมู่บ้านชนบท ทรงคลุกคลีกับราษฎรผู้ยากไร้ พระราชทานเงินในพระราชวังเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือโครงการเพื่อการพัฒนาสังคมและสวัสดิการต่าง ๆ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่เคยถูกยกเลิกได้รับการฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง รวมทั้งฟื้นฟูประเพณีหมอบกราบขณะเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่เคยถูกยกเลิกโดยพระอัยกา (ปู่) ขบวนเรือพยุหยาตรา
ทางชลมารคได้กลับมาแล่นในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกเป็นครั้งแรกนับแต่หลังการเปลี่ยนการปกครอง
 
เมื่อปี 2475 เป็นต้นมา พระองค์ยังเสด็จฯ เยือน ตปท. บ่อยครั้ง เพื่อส่งเสริมและเจริญสัมพันธไมตรีระหว่าง ปทท. กับนานาประเทศในฐานะประมุขแห่งรัฐ
แต่หลังปี 2510 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแทบจะไม่เสด็จฯ เยือนตปท. อีก ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่เสด็จฯ ไปทรงงานตามชนบท พระองค์มักจะทรงพกพากล้องถ่ายรูปและแผนที่ เสด็จฯ เยือนถิ่นทุรกันดารร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางเกษตร ทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริในการพัฒนาชนบท ทรงจัดตั้งสถานีเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจพันธุ์ดี ทรงริเริ่มโครงการส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือราษฎรยากจน รวมทั้งโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ได้แก่ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม การสร้างอาชีพ สาธารณสุขและอนามัย และการก่อสร้างระบบชลประทาน พระองค์ ทรงแบ่งปันที่นาบางส่วนที่เป็นของพระราชวังพระราชทานให้กับเกษตรกรที่ไร้ที่ทำกิน เมื่อรับสั่ง กับราษฎรยากจน กษัตริย์ที่เป็นเคารพเทิดทูนทั้งประเทศพระองค์นี้ไม่เคยต้องใช้คำราชาศัพท์ที่ดูดีแต่ยุ่งยาก ทรงรับสั่งเป็นคำสามัญและภาษาถิ่นที่เกษตรกรต่างฟังเข้าใจ พระองค์ทรงแบ่งที่ดินขนาดพื้นที่ 300 ตรม. ภายในพระราชวังเป็นที่สำหรับปลูกพืชผักและข้าว ข้าราชบริพารของพระราชวังมักจะเห็นในหลวงทรงพรวนดิน ตัดเก็บวัชพืชและฉีดยาฆ่าแมลงแต่พระองค์เดียวอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมีแขกมาเยือน ก็จะทรงรับสั่งให้คนครัวไปเก็บผักผลไม้จากในนาแปลงดังกล่าวเพื่อนำมาเลี้ยงผู้มาเยือน นอกจากนี้ ยังทรงสร้างฟาร์มเลี้ยงโค บ่อเลี้ยงปลา และทรงให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาดูงาน ฝึกอบรม เพื่อช่วยเหลือพวกเขาเหล่านี้ในการหาหนทางที่จะทำให้มีฐานะดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงจัดตั้งหน่วยฝนเทียมพระราชทานขึ้น ทรงร่วมงานวิจัยและพัฒนาในด้านฝนเทียมด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาความแห้งแล้ง

โครงการของพระองค์ที่ได้รับการชื่นชมจากประชาคมระหว่างประเทศมากที่สุดได้แก่ โครงการ “ปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่น” ในเขตภูเขาทางภาคเหนือของไทย ในอดีต มีการปลูกฝิ่นในที่ดังกล่าวมายาวนาน มีการผลิตเฮโรอีน ฐานะยากจนและล้าหลัง ผู้คนเสพและติดเฮโรอีนเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาสภาพความเป็นอยู่ในเขตภูเขาเหล่านี้ในปี 2512 จึงได้ทรงจัดตั้งสถานีวิจัยทางการเกษตรอ่างขางขึ้นในเขตพื้นที่ดังกล่าว
เพื่อช่วยเหลือชาวเขาในการวิจัยและพัฒนาพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ณ วันนี้ ไร่ฝิ่นที่กระจายทั่วป่าเขาในอดีตได้กลายเป็นฐานการปลูกดอกไม้ ผลไม้และพืชผัก 5 จังหวัดภาคเหนือของไทยรอบ ๆ “สามเหลี่ยมทองคำ” ได้ปลูกต้นชาน้ำมัน แมกคาดาเมีย ของฮาวาย ชา และกาแฟ เป็นต้น ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มีมากกว่า 100,000 คน

หลายปีที่ผ่านมานี้ รอยพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประทับอยู่ที่ทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ สิ่งนี้สอดคล้องกับพระนามของพระองค์อย่างมาก ภูมิพลมีความหมายตามภาษาไทยว่า พลังแผ่นดิน ซึ่งเป็นพลังที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ผู้คนต่างพบว่า หากเปรียบเทียบกับนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แสวงอำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและเห็นแก่ตัว พระองค์ทรงมีแต่ความจริงใจ ทรงไม่เห็นแก่ส่วนพระองค์ ทรงมีแต่ความใสสะอาด และทรงคำนึงถึงแต่เรื่องที่จะสร้างความผาสุขให้แก่ราษฏร ประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในเมืองและชนบทต่างกราบไหว้พระบรมสาทิศลักษณ์ ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จฯ เยือน ชาวบ้านจะแจ้งข่าวบอกต่อไปทั่ว โดยไม่คำนึงว่าอากาศจะร้อนจัดหรือฝนฟ้าคะนองเพียงไร ห่รือจะต้องรอนานสักเพียงไร ต่างเพียงต้องการให้ได้เห็นในหลวงซึ่งเป็นที่รักยิ่ง แม้แต่พระองค์ยังทรงรับสั่งอย่างมีอารมณ์ขันว่า พระองค์คือ “กษัตริย์ที่ประชาชนเลือก” และ “กษัตริย์ของเกษตรกร” ในด้านคุณธรรม ก็เหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงคาดไว้แต่ต้น พระองค์ได้กลายเป็น แบบอย่างที่ยอมรับของราษฎรทั่วไป ไม่เคยได้เห็นมาตลอดว่าพระองค์มีความสนพระทัยเกี่ยวกับความสำราญต่าง ๆ ทรงไม่โปรดความฟุ่มเฟือย และไม่โปรดการโอ้อวด ความประทับใจที่ชาวโลกมีต่อพระองค์มากที่สุด ได้แก่ ดูเสมือนว่าทรงโปรดแต่เพียงกิจกรรมประเทืองสติปัญญาอันสูงส่งที่สุดใน 2 ด้านเท่านั้นคือ ศิลปะและวิทยาศาสตร์ ทรงเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ 7 ภาษา ได้รับประกาศเกียรติคุณดีเด่นจากสถาบันการดนตรีเวียนนา พระราชนิพนธ์เพลงมากกว่า 40 เพลง ซึ่งเป็นที่รู้จักและร้องกันทั่วไป ทรงจัดทำหนังสือภาพ ทรงออกแบบเรือใบ เคยได้รับรางวัลใหญ่
จากสถาบันวิจัยสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์นานาชาติเกี่ยวกับการสร้างเครื่องเพิ่มออกซิเจนเพื่อบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ ทรงมีความสามารถในด้านการแข่งขันเรือใบ ซึ่งเคยทรงร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทองในนามประเทศไทยขณะที่มีพระชนมายุ 40 พรรษา และทรงได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาเรือใบ เมื่อเจริญพระชนมายุ 75 พรรษา ได้พระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับสุนัขของพระองค์ โดยได้สร้างสถิติการจำหน่ายมากถึง 100,000 เล่มภายใน 10 ชั่วโมง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ถือได้ว่าทรงมีความเป็นเลิศเหนือกว่าพระมหากษัตริย์ใด ๆ ในโลก พระปรีชาสามารถไม่จำกัดแต่เพียงด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ พระองค์มิใช่นักการเมืองยิ่งใหญ่ที่อวดตน ทรงประทับอยู่ในพระราชวังและทรงติดตามสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง ทอดพระเนตรเห็นนักการเมืองโต้เถียงกันอย่างไม่หยุดหย่อน ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นสู่อำนาจและตกอำนาจอย่างไม่จีรัง ในโลกนี้เข้าใจว่าจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่จะเหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ ในช่วงการครองราชย์ที่ยาวนานทรงผ่านเหตุการณ์รัฐประหารอำนาจทางทหารบ่อยครั้งเฉลี่ย 3 ปีครั้งเช่นนี้ ไม่มีใครทราบเลยว่าพระองค์ทรงคิดเห็นอย่างไร กล่าวคือจะทรงรู้สึกไม่โปรด เบื่อหน่าย หรืออดกลั้น ปล่อยวาง หรือไม่ นอกเหนือจากพระนลาฎ (หน้าผาก) ที่กว้างใหญ่และท่าทีที่สงบนิ่งแล้ว เราจะมองไม่เห็นลักษณะเด่นพิเศษอื่นใดได้เลย แต่ไหนแต่ไรมาพระองค์จะไม่แสดงความรู้สึกบนพระพักตร์ พระสรวลน้อยมาก ผู้สื่อข่าวตะวันตกผู้หนึ่งได้เขียนหนังสือพรรณนาถึงพระองค์ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “The king never smiles”

หลายปีมานี้ ด้วยพระสติปัญญาและความมีพระทัยเย็นเหนือมนุษย์ทั่วไป ทำให้พระองค์ทรงรักษาสถานะที่สูงส่งไว้ได้เสมอมา เนื่องเพราะทรงเข้าใจดีว่าขอเพียงเหนือกว่าสิ่งทั้งปวง จึงจะชนะสิ่งทั้งปวงได้


ตอนที่ 3

ในประวัติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแทรกแซงทางการเมืองอย่างเปิดเผยเพียง 2 ครั้งด้วยกัน

เดือนมิถุนายน 2519 นศ. รามคำแหง 9 คนได้ยื่นหนังสือต่ออธิการบดี ประณามจอมพลถนอม กิตติขจร (กรณีต่ออายุราชการ) (ซึ่งหมายถึงเขาจะสามารถอยู่ในอำนาจได้ต่อไป) และถูกมหาวิทยาลัยไล่ออก นศ. เกิดความโกรธแค้น นิสิต นศ. 5 หมื่นคนได้ชุมนุมกันที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ เพื่อประท้วงการกดขี่ทางการเมืองของ ม. รามคำแหง ผลปรากฎว่ารัฐบาลและมหาวิทยาลัยต้องยอมแพ้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ฝ่ายต่อต้านไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ พวกเขายังได้โจมตี จนท. ที่ล่าสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์ ต่อต้านกลุ่มผูกขาดที่ทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้น และต่อต้านเผด็จการรัฐบาลทหารที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เกิดการชุมนุมและประท้วงหยุดงานเพื่อต่อต้านรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง วันที่ 13 ต.ค. นิสิต 13 คนถูกจับกุมในข้อหา “วางแผนโค่นล้มรัฐบาล” นิสิตมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มีมติประกาศเลื่อนการสอบ เพื่อสะดวกต่อการเดินขบวน บรรดากรรมกร พ่อค้า ชนชั้นกลางและประชาชนทั่วไปในกรุงเทพฯ ต่างเข้าร่วมการชุมนุมในเวลาอันรวดเร็ว

วันที่ 13 ตุลาคม จำนวนผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลบริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ มีมากกว่า 250,000 คน รัฐบาลถูกบังคับให้จำนน และยอมปล่อยตัว นศ. แต่ขณะที่ นศ. เตรียมจะถอนตัวในวันที่ 14 ตุลาคม ถนนด้านทิศใต้ของลานอนุสาวรีย์ถูกทหารและตำรวจที่มีเจตนาร้ายปิดกั้นกระทันหัน ได้เกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่าย ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่พลทหารขับรถถังเข้าเมืองและเข้ายึด ม. ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐและเป็นที่ชุมนุม
ของขบวนการ นศ. ฝ่าย นศ. ได้ขับรถประจำทางและรถดับเพลิงจอดขวางการรุกคืบหน้าของรถถังจากนั้นได้เกิดความวุ่นวายขึ้น ทหารยิงปืนใส่ นศ. เสียชีวิตจำนวน 75 คน เมื่อถึงช่วงคับขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกคำสั่งให้เปิดประตูพระราชวัง เพื่อให้ นศ. ที่ร่วมเดินขบวนเข้ามาหลบภัย และยังเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมผู้บาดเจ็บด้วยพระองค์เอง ผบ. หน่วยทหารที่ชาญฉลาดเมื่อเห็นพระมหากษัตริย์ผู้สูงส่งทรงปฏิบัติเช่นนั้น จึงไม่คำนึงถึงคำสั่งของจอมพลถนอม ต่างพากันแยกหลบออกจากหน่วยทหารไปตามท้องถนน นับเป็นการเข้าเกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างเปิดเผยครั้งแรกของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว และในประวัติศาสตร์ของการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

พระองค์ทรงประณามรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ และทรงเรียกร้องให้จอมพลถนอม ซึ่งเป็นผู้ก่อความวุ่นวายรีบเดินทางออกนอกประเทศ (นศ. เรียกร้องให้จับเขาเข้าคุก แต่ในหลวงทรงห้ามไว้) 1 ชม. หลังจากที่จอมพลถนอมประกาศลาออกจาก นรม. พระองค์ได้ทรงปรากฎในหน้าจอโทรทัศน์ ทรงรับสั่งว่า “วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย การต่อสู้ได้ลุกลามไปยังที่ต่าง ๆ ในเมือง จนกระทั่งกลายเป็นความวุ่นวาย ประชาชนชาวไทยเสียชีวิตนับหลายร้อยคน ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำใด ๆ ที่จะนำไปสู่การต่อสู้ เพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ภาวะปกติสุขโดยเร็ว” พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในช่วงระยะผ่านโดยตรง จากนั้นได้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวและเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติ เพื่อยกร่างและประกาศใช้ รธน. ฉบับใหม่ที่เป็นมีแนวโน้มเสรีและเป็นประชาธิปไตย

สถานการณ์ของประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยช่วงสั้นและสันติดำเนินไปได้ 3 ปีเศษ ก็เริ่มเกิดการรัฐประหารขึ้น จนถึงปี 2523 พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ผบ.ทบ. ขึ้นสู่อำนาจ นายทหารอาชีพซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตผู้นี้รู้จักเอาใจผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดี อย่างไรก็ดี 1 ปีต่อมา ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้วางแผนโค่นล้มเขา แต่การรัฐประหารมิได้รับพระราชานุญาตจากพระองค์ ผู้ก่อการรัฐประหารเหล่านี้ ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องหนีหัวซุกหัวซุน พล.อ. เปรม ซึ่งมีความจงรักภักดีอยู่ในอำนาจเป็นเวลา 8 ปี หลังพ้นตำแหน่งได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี กลายเป็น 1 ในองคมนตรีที่ใกล้ชิดที่สุดของพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแทรกแซงทางการเมืองอย่างเปิดเผยครั้งที่ 2 ใน “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” (ดูรายละเอียดในบทที่ 2) ครั้งนี้พระองค์ทรงรับสั่งให้ พล.อ. สุจินดา ซึ่งใช้กำลังเข้าปราบปรามมวลชนและนายจำลอง ผู้นำกลุ่มต่อต้านเข้าเฝ้าฯ ในพระราชวัง ทั้งสองหมอบราบใกล้พระบาทของพระองค์ และรับฟังพระราชดำรัสสั่งสอน พล.อ. สุจินดา ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการลาออก หลังจากนั้น ปทท. ได้เข้าสู่
ยุคของการบริหารประเทศโดย ขรก. ประจำและการเมืองในลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพโดยลำดับ ช่วงเวลาแห่งสันติภาพดำเนินไป 15 ปีจนทั่งถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2548 จึงได้เริ่มเกิดวิกฤตทางการเมืองเป็นเวลานาน 1 ปี


ตอนที่ 4

ในช่วงที่ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยมีพระราชดำรัสหลายครั้งชื่มชมความเก่งกาจ ความกล้าตัดสินใจและความสามารถของ นรม. ผู้นี้ การบริหารประเทศในลักษณะ CEO ของเขา นโยบายช่วยเหลือคนยากจนที่โดดเด่น และการเร่งระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ล้วนเป็นความประทับใจที่ดีที่พระองค์ทรงมีต่อนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่ทักษิณดำรงตำแหน่งอีกสมัยหนึ่ง ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตัวและการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเนืองนิจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้ตำแหน่งของทักษิณต้องสั่นคลอน จนกระทั่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้กว้างขวางในวงการสื่อได้ออกโรงเปิดโปงเป็นนัยว่า นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันไม่จงรักภักดีต่อในหลวง ทักษิณซึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่อาจนั่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป รีบเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นเงินมหาศาล (24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์วงการศาลของไทย

นี่มิใช่เรื่องแปลก สำหรับประเทศไทยแล้ว “ความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ซึ่งไม่เพียงจะซึมซับอยู่ในจิตใจของชาวไทย แต่ยังบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนด้วย กฎหมายบัญญัติว่าห้ามผู้ใดกล่าววิจารณ์พระองค์ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจำคุก 3 ถึง 15 ปี ประวัติการเมืองของไทยเคยมีคดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งส่งผลให้ชีวิตทางการเมืองของผู้นั้นต้องยุติลง

เดือนกรกฎาคม 2529 นายวีระ มุสิกพงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวัย 38 ปี ได้ปราศรัยขณะหาเสียงเลือกตั้งพูดจาไม่ดูสถานการณ์ ต้องถูกดำเนินคดีในลักษณะสายเกินแก้ เขากล่าวว่า หากเขาได้เกิดเป็นเจ้าชาย “ก็จะเสวยน้ำจัณฑ์ให้สบายอกสบายใจ ไม่ต้องมายืน (หาเสียง) อยู่ที่นี่ให้เมื่อยแข้ง (พระชงฆ์)” คำกล่าวที่ใจกล้าเกินเหตุได้ถูกโจมตีและด่าทอ รมช. หนุ่มและนิสัยมุทะลุออกอาการตื่นตระหนก และไม่คำนึงว่าจะต้องเมื่อยแข้งอีกหรือไม่ เข้าคุกเข่ากราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษต่อหน้าพระบรมศาทิศลักษณ์ ที่อาคารรัฐสภาท่ามกลางสมาชิกรัฐสภาหลายร้อยคน แม้จะมีกระแสข่าวจากพระราชวังว่าพระองค์ทรงเห็นว่าแม้คำกล่าวจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ก็มิได้เป็นภัยอะไร แต่นายวีระยังคงถูกบังคับให้ต้องลาออก และถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป

นอกจากนี้ ภาพยนตร์ หนังสือและรูปภาพที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพใด ๆ เป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศไทย กรณีตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดก็คือหนังสือ “The King and I” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแอนนา สตรีชาวอังกฤษที่เป็นครูประจำครอบครัวในพระราชวังสมัยรัชกาลที่ 4 ได้พรรณนาเป็นนิยายเกี่ยวกับสิ่งที่ตนได้พบเห็น สร้างความพึงพอใจได้เป็นอย่างดีสำหรับชาวตะวันตกที่อยากรู้อยากเห็นชีวิตในพระราชวังของทางตะวันออก หนังสือดังกล่าวถูกปรับปรุงเป็นบทละครร้อง บทละครรำและภาพยนตร์ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายมาตลอดเป็นเวลายาวนาน แต่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับประเทศไทย ปี 2544 ภาพยนตร์เรื่อง “Anna and the King” ก็ถูกห้ามฉายใน ปทท. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่าภาพยนตร์ดังกล่าวดูหมิ่นกษัตริย์ของสยามในสมัยศตวรรษ 19 ที่ชาวไทยเทิดทูน (ชื่อ ปทท. ขณะนั้นคือ สยาม” ) “พรรณนากษัตริย์ไทยเป็นคาวบอยขี่บนหลังช้าง และมีอยู่ฉากหนึ่ง โจวเหวินฟะวางมงกุฎและรูปถ่ายของกษัตริย์ไว้บนพื้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจยอมรับได้” นอกจากนี้ “บทภาพยนตร์ยังยกย่องแอนนาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จบางส่วนของ ปทท. และทำให้คนทั่วไปเห็นว่านางเป็นชนชั้นสูง ทั้งที่จริงแล้ว ยังมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเชื้อชาติของนาง” และประการสุดท้าย “หากต้องลบฉากกษัตริย์ที่ต้องอับอายเสียหน้าออก ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเหลือไม่ถึง 20 นาที”

เดือนมีนาคม 2545 นิตยสาร Far Eastern Economic Review ตีพิมพ์บทความขนาดความยาว12,000 ตัวอักษร และต้องถูกลงโทษ เนื่องจากมีข้อความ 2 ประโยคพาดพิงถึงพระราชวงศ์ “อย่างไม่เหมาะสม” ดังประโยคหนึ่งกล่าวว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกฎราชกุมาร พระราชโอรสองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ได้รับการเทิดทูนจากประชาชนไม่เท่ากับพระราชบิดาเสียงซุบซิบนินทาในกรุงเทพฯ นิยมที่จะกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ” ประโยคที่สองกล่าวว่า “พระบารมีของพระมหากษัตริย์จะค่อย ๆ ลดลงภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่นั่นก็อาจไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างไร” นาย McBride ผู้เขียนบทความดังกล่าว และนาย Peter Bakker ผู้จัดการส่วนภูมิภาคของนิตยสารดังกล่าวถูกเนรเทศออกนอกประเทศไทย แม้ผู้เขียนจะกล่าวว่าตนมิได้มีเจตนาที่จะโจมตีพระราชวงศ์แต่อย่างใด เพียงแต่ “ต้องการพรรณนาด้านต่าง ๆ ในชีวิตของชาวไทย หากไม่กล่าวถึงพระราชวงศ์ก็คงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด” แต่การพาดพิงพระราชวงศ์ที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ ยังคงเป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ เท่าที่ทราบเนื่องจากพระองค์ทรงเตือนให้รัฐบาลผ่อนปรนบ้าง จนท. ฝ่ายข่าวชาว ตปท. ที่ต้องสงสัยว่าจะกระทำสิ่งผิดกฎหมายจึงไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพียงถูกยกเลิกวีซ่าเข้าประเทศเท่านั้น และผู้รับผิดชอบเรื่องนี้บังเอิญก็คือรัฐบาลทักษิณ

เมื่อนายสนธิ ลิ้มทองกุลได้อ้างเหตุเกี่ยวกับพระองค์ในการโจมตีทักษิณหลายครั้ง ไม่เพียงแต่ทักษิณที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่ายทหารที่ปกป้องพระมหากษัตริย์เสมอมาก็ต้องออกประกาศ เตือนเป็นครั้งสุดท้าย ผบ. สูงสุด เรืองโรจน์ฯ กล่าวเตือนนายสนธิให้ “หยุดการนำพระราชวงศ์มาใช้ เพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง” และกล่าวว่าความอดทนของฝ่ายทหารมีจำกัด ทุกคนค่างมีวิธีการของตนเองในการรักชาติ รักประชาชนและเทิดทูนพระราชวงศ์ ตนก็เคารพวิธีการที่ต่างกันของแต่ละคน แต่ต้องไม่สร้างความเสียหายให้กับพระองค์ และก็ไม่ควรนำพระราชวงศ์เข้าเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท ระหว่างพวกเขา ด้วยเพราะเหตุนี้เองนายสนธิจึงได้หลบภัยไปอยู่ที่ยูนนานของจีนชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อกาลผ่านไป เมื่อฝ่ายทหารอธิบายเหตุผลของการทำรัฐประหาร หนึ่งในความผิดร้ายแรง
ที่ยัดเยียดให้กับทักษิณก็คือ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
 
2 เดือนแรกของการเปิดโปงกรณีการขายหุ้น Shin เมื่อเผชิญกับการกดดันอย่างหนักจากกลุ่มต่อต้าน ทักษิณยืนหยัดที่จะไม่ยอมก้มหัวให้มาตลอด เขากล่าวว่า “ไม่มีใครจะเรียกร้องให้ ผมลาออกได้ ยกเว้นในหลวง ขอเพียงรับสั่งเท่านั้น ผมพร้อมลาออกทันที” แต่พระองค์จะไม่มีทางแสดงท่าทีต่อการขัดแย้งทางการเมืองทำนองนี้อย่างง่าย ๆ จนกระทั่งวันที่ 4 เมษายน ทักษิณได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปล่วงหน้าอีกครั้งหนึ่ง แต่กลับต้องลาออกหลังการประกาศผล
เลือกตั้งแล้ว 2 วัน เขาอธิบายเหตุผลของการลาออกว่า “เหตุผลสำคัญที่ผมลาออกก็คือปีนี้ปีเป็นพิเศษสำหรับในหลวง ผมหวังว่าคนไทยทุกคนจะสามัคคีกัน”

ค่ำวันที่ 25 เมษายน หลังจากที่กลุ่มการเมืองต่าง ๆ โต้เถียงติดต่อกันหลายวันเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน เม.ย. ว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งและมีการ ดำเนินผิดระเบียบขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ พระพักตร์ที่เคร่งขรึมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพลันปรากฎขึ้นบนจอโทรทัศน์ช่องสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยครั้งนัก พระองค์ทรงเรียกร้องให้ศาลฎีกาเข้ามามีส่วนในการแก้ไขปัญหาชะงักงันทางการเมือง พระองค์รับสั่งว่า “มีคนให้ข้าพเจ้ากำหนดตัว นรม. หากข้าพเจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำเกินอำนาจหน้าที่ซึ่งไม่ตรงกับเจตนารมย์ของ รธน. แต่การที่เขตเลือกตั้งจำนวนหลายเขตมีผู้สมัครเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นประชาธิปไตย” พระองค์รับสั่งกับคณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุด โดยทรงเรียกร้องว่า “การเลือกตั้งจะมีผลหรือไม่ จะแก้ไขวิกฤตการณ์การเมืองอย่างไร ขอให้พวกท่านทั้งหลายเป็นผู้ตัดสิน หากพวกท่านตัดสินไม่ได้ ก็ขอให้ลาออก” หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ ศาลได้ตัดสินว่าผลการเลือกตั้งเดือน เม.ย. เป็นโมฆะ


ตอนที่ 5

เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ในบรรยากาศของการเฉลิมฉลองพระราชพิธี 60 ปีครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลุ่มสนับสนุนและกลุ่มต่อต้านหยุดพักรบชั่วคราว กิจกรรมเฉลิมฉลองได้เปิดฉากขึ้น เช่น การแสดงดอกไม้เพลิง คอนเสิร์ต นิทรรศการภาพวาดและการแข่งเรือพาย ฯลฯ ตามท้องถนนทั่วสารทิศในกรุงเทพฯ ประดับและแขวนรูปภาพขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภายในรถยนต์ของแต่ละบ้านจะติดรูปถ่ายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามสถานีรถไฟใต้ดิน แม้ในชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเข้างานและเลิกงาน ผู้คนจำนวนมากเมื่อเดินผ่านพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ก็จะหยุดแสดงความเคารพ การชุมนุมของมวลชนหรือก่อนการฉายภาพยนตร์ตามโรงภาพยนตร์ ผู้คนจะลุกขึ้นยืนทุกคนพร้อมกับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อแสดงความเคารพและถวายพระพร ขอจงทรงพระเจริญ รัฐบาลยังได้จัดทำห่วงข้อมือสีเหลือง “เรารักในหลวง” ซึ่งกลายเป็นของที่ระลึกที่ขายดีมากในกรุงเทพฯ ทุกคนต่างแสดงความจงรักภักดีตั้งแต่ นรม. ลงไปจนถึงประชาชนทั่วไป

ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ทราบว่าทำไมถึงรักในหลวง แต่ฉันรักพระองค์จากส่วนลึกของหัวใจ” ขรก. คนหนึ่งกล่าวว่า “พวกเราทำงานเพื่อถวายต่อในหลวงอันเป็นที่รักยิ่ง” วันที่ 26 พ.ค. นายโคฟี อานัน เลขาธิการสหประชาชาติเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล HumanDevelopment Lifetime Achievment Award ของ UNDP แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการสดุดีต่อการที่พระองค์ได้ทรงสร้างคุณูปการต่อการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยตลอดช่วงการครองราชย์เป็นเวลา 60 ปี

วันที่ 9 มิถุนายน ทางการของไทยกำหนดเป็นวันฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนหน้านี้ 1 วัน พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์ได้ทรงร่วมพระราชพิธีทางศาสนา พระราชพิธีมิได้เปิดสำหรับสาธารณชนทั่วไป แต่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ชาวไทยทุกหมู่เหล่าเฝ้าชมพระราชพิธีโดยตลอดอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ วันที่ 9 มิ.ย. พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ในชุดฉลองพระองค์ตามพระราชพิธี ทรงปรากฎพระองค์บนระเบียงของพระบรมมหาราชวัง ฝูงชนในชุดเสื้อสีเหลืองจำนวน 300,000 คนที่รอคอยบริเวณลานกว้างเป็นเวลานานหลายชั่วโมง พร้อมใจกันเปล่งเสียงกึกก้องว่า “ทรงพระเจริญ” แม้แต่สื่อชาว ตปท. หลายสำนักที่เดินทางมาทำข่าวพระราชพิธีเฉลิมฉลองต่างรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักต่อบรรยากาศของฝูงชนดังกล่าว สถานีโทรทัศน์ CNN ได้เสนอข่าวพร้อมบรรยายว่า มวลชนจำนวนมากเงยหน้าขึ้นมองพระองค์บนระเบียง รู้สึกสะเทือนใจถึงกับน้ำตาไหล ในบรรดาราษฎรที่ร่วมฉลองพระราชพิธี มีทักษิณ ชินวัตรรวมอยู่ด้วย เขากล่าวในฐานะรักษาการ นรม. ของรัฐบาลชั่วคราวว่า “ช่วง 60 ปี ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่บ้านเมืองประสบวิกฤตการณ์ พระมหากษัตริย์ของไทยก็จะปรากฎพระองค์เพื่อแก้ไขความยากลำบากของชาวไทย นับว่าคนไทยโชคดีมากที่เรามีพระมหากษัตริย์เช่นนี้”

วันที่ 12 มิถุนายน พระบรมวงศานุวงศ์และผู้นำจาก 26 ประเทศ เช่น เดนมาร์ก สวีเดน สเปน เนเธอร์แลนด์และอังกฤษ เข้าร่วมพระราชทานพิธีเฉลิมฉลองในวโรกาสทรงครองราชย์ ครบ 60 ปี บุคคลเชื้อพระวงศ์ระดับสูงส่งจากทั่วโลกเหล่านี้มาชุมนุมที่ท้องพระโรงใหญ่ ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ นั่งบนเก้าอี้เป็นวงลักษณะครึ่งวงกลมบนพื้นพรมสีแดง ผู้ที่ประทับตรงกลางสุดก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบรรดาบุคคลเหล่านี้อาจมีบางคนในใจนึกอิจฉากษัตริย์จากประเทศตะวันออกที่มีพระวรกายไม่สูงนัก ในประเทศอื่น ความหมาย ของการดำรงอยู่ของกษัตริย์และพระราชวงศ์บางทีเป็นเพียงแค่พิพิธภัณฑ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิม และพระราชพิธีในพระราชวังที่ยังมีชีวิตเท่าน้น แต่สำหรับ ปทท. พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “พระเจ้าที่มีชีวิต” เป็น “กษัตริย์บนหลังช้าง” สูงส่งกว่ากษัตริย์ทั้งปวงอย่างไมอาจเปรียบได้ เท่าที่ทราบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยในอัตรา ร้อยละ 99 ขึ้นไป จึงไม่ถือว่าเกินจริงที่จะกล่าวว่าทรงได้รับการยกย่องเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ รธน. ที่มีพระราชอำนาจมากที่สุดในโลก เหนือกว่าสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธของอังกฤษ

บ่ายวันที่ 20 กรกฎาคม ประชาชนในชุดเสื้อยืดเหลืองหลายร้อยคนน้ำตารินไหล และคุกเข่าอยู่หน้าประตูทางเข้า รพ. ศิริราชในกรุงเทพฯ เฝ้ารอการเสด็จฯ มาถึงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เจริญพระชนมายุ 79 พรรษา ทรงเริ่มชรา พระวรกายไม่แข็งแรงเหมือนที่ผ่านมา ค่ำวันนั้นจะทรงเข้ารับการผ่าตัดประสาทที่เอว เท่าที่ทราบเริ่มตั้งแต่คืนวันก่อนหน้านี้ ชาวบ้านจากภาคต่าง ๆ ทั่ว ปทท. ก็ได้รวมตัวกันที่วัดเพื่อภาวนาขอให้พระองค์ทรงปลอดภัย
จากการผ่าตัดและทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า “ในหลวงทรงเป็นศูนย์รวมพลังจิตใจของพวกเรา อาศัยพลังจิตใจดังกล่าว พวกเราจึงจะหมดทุกข์หมดโศก” คณะแพทย์ทั้งหมดของ รพ. ศิริราชต่างสวมเสื้อเชิ้ตเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์พระองค์ ตำรวจเดินทางไปถวายการอารักขาความปลอดภัยที่ รพ. จำนวน 3,000 นาย วันที่ 4 สิงหาคม พระองค์ทรงมีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้นและเสด็จฯ ออกจาก รพ. ทักษิณนำ ครม. เฝ้ารับเสด็จที่ รพ. จากรายงาน
ข่าวโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดในขณะนั้น ผู้คนได้เห็น นรม. ผู้นี้คุกเข่าอยู่บริเวณทางเดินใน รพ. พนมมือทั้งสอง ถวายการเคารพด้วยการก้มหัว เก้าอี้ผู้ป่วยที่พระองค์ประทับนั่งค่อย ๆ เคลื่อนผ่านข้างตัวของเขาไป


ตอนที่ 6

รธน. ไทยฉบับเดือนตุลาคม 2540 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการตัดสินพระทัยขั้นสุดท้ายในโอกาสที่เหมาะสมต่อกรณีปัญหาสำคัญของประเทศ ศ. ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า “ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมานี้ ในหลวงทรงพระราชทานพลังแห่งเสถียรภาพและความสมานฉันท์...ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ ประชาชนจะหวังให้พระองค์ทรงช่วยเหลือเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ” นาย Paul Handley ผู้แต่งหนังสือ “The King Never Smiles” กล่าวว่า “ผู้นำระดับสูงในรัฐบาล บางทีอาจรวมถึงกลุ่มต่อต้านทักษิณในพระราชวังตระหนักดีว่า แม้จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ทักษิณก็ยังจะสามารถกลับมาเป็น นรม. ได้อีก แต่ขณะนี้ไม่มีวิธีแก้ไขอื่นใดอีกแล้ว พวกเขาต่างรู้สึกเอือมระอาเต็มทน”

ภายหลังเหตุการณ์ สื่อมวลชน ตปท. วิจารณ์ว่า ในกระบวนการรัฐประหารโค่นล้มทักษิณ......“ฟางเส้นสุดท้าย” ของทักษิณ มิใช่ทั้งพรรคฝ่ายค้านหรือผู้นำระดับสูงในกองทัพที่กุมขุมกำลังแต่คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เพิ่งผ่านพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

เวลาเที่ยงของวันที่ 20 ก.ย. ที่นิวยอร์ก มีกระแสข่าวว่า พลเอกสนธิ ผบ.ทบ. ผู้นำในการรัฐประหารซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ พล.อ. เปรม เข้าเฝ้าฯ ในหลวงตลอดช่วงเที่ยงคืนนั้นการรัฐประหารทรงได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากพระองค์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อย่างเป็นทางการหลังจากนั้น 3 วัน) รัฐบาลชั่วคราว (คปค.) ได้เลือกผู้จะดำรงตำแหน่ง นรม. ใหม่ ในรัฐบาลชั่วคราว 3 คน ได้แก่ พล.อ. สนธิ ผบ. ทบ. และประธาน คปค. นายอักขราทร ประธานศาลฏีกา และ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี

ทักษิณลุกจากเก้าอี้พร้อมขึ้นยืน หันศีรษะมายังลูกน้องว่า “ดีแล้ว ทุกอย่างจบ ตอนนี้เรามาเริ่มคุยกัน เราจะไปที่ไหนกันดี?”

คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 186 วันที่ 20 ก.ย. 2006 ทหารไทยยืนรักษาการณ์ข้างรถถังบริเวณใกล้กับ พระราชวังในกรุงเทพฯ
(2) ภาพหน้า 188 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ ม.ร.ว. สิริกิต์ฯ คู่หมั้นของพระองค์
(3) ภาพหน้า 200 ค่ำวันที่ 7 ธ.ค. 2003 นรม. ทักษิณ (กลาง) และภริยา พร้อมด้วยบรรดาข้าราชการ พลเรือนและทหาร
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (แถวหน้าที่ 2 จากซ้าย) และ
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี (แถวหน้าที่ 1 จากซ้าย) ร่วมงานสันนิบาตสโมสรในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 76 พรรษา ที่ทำเนียบรัฐบาล
(4) ภาพหน้า 202 วันที่ 2 ธ.ค. 2006 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ 3 เหล่าทัพที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยจัดงานพิธีสวนสนามในวันดังกล่าว เพื่อเป็นการฉลอง วันชาติและในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 79 พรรษาในวันที่ 5 ธ.ค.
คำบรรยายวาทะของ นรม. ทักษิณ รวม 3 ช่วง
หน้า 197 “ตลอดชีวิตของผมจะคอยศึกษาว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์อย่างไรดี ผมสำเร็จ การศึกษาจากโรงเรียนนายตำรวจ ได้รับทุนรัฐบาล พ่อตาของผมเป็นนายตำรวจสังกัด กรมราชองครักษ์งานสมรสของผมและภริยาได้รับพระราชทานจากในหลวง ภริยาของผม ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น “คุณหญิง” ซึ่งเป็นตำแหน่งทรงเกียรติของพระราชวงศ์ ผมเองก็ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ เพราะประเทศไทย และแยกไม่ออกจากในหลวง ดังนั้น ผมจึงมีความจงรักภักดีและ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระราชวงศ์ไม่เสื่อมคลาย”
หน้า 199 “ผมเชื่อว่าในหลวงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเห็นการปรองดอง แต่มีบางคนสร้าง
สถานการณ์ความวุ่นวาย พวกเขาทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยหวังให้ความขัดแย้ง
และความไม่ลงรอยระหว่างสองกลุ่มยิ่งยืดเยื้อต่อไปเท่าไหร่ยิ่งดี แต่หากมองจากมุม
ของประเทศชาติ ยิ่งปรองดองเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
หน้า 201 “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในฐานะสูงสุดที่สถิตย์อยู่ในจิตใจของชาวไทยทุกคน
ดังนั้น ทุกคนจึงรักเทิดทูนพระองค์อย่างยิ่ง รวมทั้งผมด้วย ผมได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวงมาก ครั้งกว่านายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่ผมสามารถทำได้ก็เพื่อเสริมฐานะพระองค์ที่ สูงขึ้น ......งานชิ้นสุดท้ายที่ผมทำก็คืองานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ในวโรกาสสิริราชสมบัติ ครบ 60 พรรษา พวกเราดำเนินงานได้ผลสำเร็จอย่างดี ประชาชนที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ มากถึง 60 ล้านคน เมื่อพระองค์ประทับอยู่บนระเบียงของพระราชวัง ผมพร้อมด้วย ประชาชน 300,000 คน ร่วมกันเปล่งเสียงว่า “ทรงพระเจริญ” พวกเรายังจัดงานมหกรรม เอกซ์โปด้านวัฒนธรรมเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการระลึกถึง พระ ราชพิธีเฉลิมฉลองดังกล่าว”


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 02:54
บทที่ 9 กลับสู่จุดเดิม


ตอนที่ 1
 
หลักทฤษฏีการวิวัฒนาการทางด้านชีววิทยาของ Darwin ได้ถูกให้อรรถาธิบายว่าเป็น “วิวัฒนาการสังคม” ทุกคนก็เชื่อว่า สังคมมนุษย์และอารยธรรมย่อมจะพัฒนาก้าวหน้าต่อไป แต่วิวัฒนาการและความก้าวหน้าในทุก ๆ ก้าวของมนุษย์ย่อมจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วย นั่นก็คือ การเสื่อมทรามและการถดถอย ทุกคนยังคงนับถือกำลังอาวุธ นับถืออำนาจป่าเถื่อน แนวทางที่จะใช้แก้ไขปัญหาระหว่างคู่ต่อสู้ยังคงน้อยมาก ไม่ว่าจะใช้กระบอง ไม้พลอง รถถัง ปืนใหญ่หรือว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ล้วนเป็นวิธีการปกครองแต่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเช่นนี้ การรัฐประหารครั้งที่สิบแปดของประเทศไทยก็เป็นเช่นนี้ ประเทศนี้ซึ่งเป็นประเทศที่ถือตัวเองเป็นประเทศประชาธิปไตยกำลังทำลายภาพลักษณ์ตนเองที่ว่ามีประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์มาตลอดสิบห้าปีโดยการใช้รถถังและปืน

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปสู่จุดเดิม

ดึกมากแล้ว กรุงเทพมหานครก็ค่อย ๆ สงบเงียบลง ชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ได้เข้านอนแล้ว ยกเว้นรถถังที่ไร้ความรู้สึกและทหารถือปืนที่ยังตรึงกำลังตามถนนอยู่ พวกเขาส่วนใหญ่ก็ถือท่าทีเฉยเมยอยู่ ประชาชนแรกเริ่มก็ประหลาดใจ เพียงอ้าปากแล้วสูดลมหายใจเข้าไป และก็ปิดปากสนิท แล้วก็ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ บางทีประชาชนที่ “ต่อต้าน พทต. ทักษิณฯ” อาจจะแอบดีใจอยู่ลึก ๆ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปเดินขบวนอีกแล้ว และยังมีคนอีกประเภทหนึ่งในช่วงเวลานั้นกำลังหาที่หลบซ่อนตัวอยู่ รัฐมนตรีของกระทรวงต่าง ๆ ล้วนหายตัวไป ยกเว้นบุคคลผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างการติดตาม พตท. ทักษิณฯ ไปเยือนต่างประเทศ ตอนตีสามเศษ ๆ มีข่าวลือออกมาว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ควบคุมตัว น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มากักตัวไว้ที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด

สาวสวยนั่งแบบนางงามของสถานีวิทยุกองทัพบกช่อง 5 ยังคงตั้งอกตั้งใจอ่านแถลงการณ์ของ คปค.

คำประกาศของ คปค. : ประกาศใช้กฎอัยการศึกตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2549 เป็นต้นไป ขอประกาศห้ามการเคลื่อนย้ายกำลังทหารหากไม่ได้รับอนุญาตจาก คปค. และห้ามไม่ให้ออกจากเคหสถานของตนเองในช่วงการประกาศใช้กฎอัยการศึก
คำประกาศของ คปค. : ในช่วงที่ยังไม่มีนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ ขอประกาศมอบอำนาจบริหารราชการแผ่นดินให้แก่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองฯ และขอประกาศให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รัฐมนตรีสิ้นสุด การดำรงตำแหน่งและมอบหมายให้ปลัดกระทรวงฯ เข้าปฏิบัติหน้าที่แทนต่อไป
คำประกาศของ คปค. : ขอประกาศให้วันที่ 20 กันยายน 2549 เป็นวันหยุดราชการและธนาคาร วันหยุด การเรียนการสอน และขอให้ตลาดหุ้นปิดทำการเป็นเวลา 1 วัน สำหรับข้าราชการจะต้องกลับไปรายงานตั้งยังต้นสังกัด และสมาชิกในคณะรัฐมนตรีชุดที่แล้วจะต้องไปรายงานตัว ณ กองบัญชาการทหารสูงสุดเพื่อรับทราบ “นโยบายใหม่” เพื่อที่จะให้สะดวกแก่การกลับสู่กระบวนการฟื้นฟูทางกฎหมายต่อไป
คำประกาศของ คปค. : แต่งตั้งให้แม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 2 แม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่แต่ละกองทัพภาค รับผิดชอบในการดูแลจัดการหน่วยราชการใน กทม. และในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ผู้ใดที่ฝ่าฝืนคำสั่งของของแม่ทัพภาคในพื้นที่จะถูกลงโทษ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ผู้รับผิดชอบในการบริหารส่วนราชการท้องถิ่น รวมทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องรายงานการทำงานให้แก่แม่ทัพภาคในพื้นที่
คำประกาศของ คปค. : ให้ข้าราชการระดับสูง อธิการบดี ตลอดจนหัวหน้าฝ่ายรัฐวิสาหกิจระดับกรม ที่ตั้งในกทม. และจังหวัดใกล้เคียง มารายงานตัวที่กองบัญชาการกองทัพบกในวันที่ 20 กันยายน เวลา 09.00 น สำหรับในพื้นที่อื่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับเดียวกันให้ไปรายงานตัวยังกองทัพภาคในพื้นที่

ชาวกรุงเทพฯ คนหนึ่งจอดรถอยู่ที่ถนนสายหลักเนื่องจากน้ำมันหมดและปั๊มน้ำมันก็ปิดการให้บริการตลอดคืน เขานั่งอยู่ในรถและสังเกตการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนท้องถนน และได้แอบบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างโดยใช้กล้องถ่ายรูป
 
เขาสังเกตว่า ถนนใหญ่ ๆ บริเวณทำเนียบรัฐบาลเต็มไปด้วยรถส่งสัญญาณโทรทัศน์ นักข่าวต่างประเทศที่ประจำกรุงเทพฯ มากันครบแล้ว (แต่เสียดาย ขณะนี้พลเมืองของประเทศนี้ไม่สามารถดูข่าวจากโทรทัศน์ได้ว่า สื่อมวลชนต่างประเทศกำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศนี้อย่างไรบ้าง) ทำเนียบรัฐบาลไทยไม่เคยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักข่าวต่างประเทศเช่นนี้เป็นประวัติการณ์มาก่อน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ขณะนั้นเป็นเวลาตี 3 แล้ว

เขาสังเกตเห็นว่า ผู้สื่อข่าวที่ใส่เสื้อยืดสีแดงของสำนักข่าว ABC ประเทศออสเตรเลีย กำลังต่อสายไปเชื่อมต่อหน้ากล้อง นาย Dan Rivers ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว CNN ถือกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ และปากก็อ่านตามรายงานข่าวบนนั้น และเขาก็กำลังเตรียมเชื่อมสายอยู่

เขาสังเกตเห็นว่า รถผู้บัญชาการเหล่าทัพวิ่งผ่านไป ทหารที่ประจำการบริเวณดังกล่าวก็ทำความเคารพ รถเหล่านี้กำลังมุ่งหน้าไปพระตำหนักจิตรลดารโหฐานเพื่อนำหัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เขาสังเกตว่า ท้องถนนสงบเงียบลง รถถังที่จอดอยู่ท่ามกลางถนน นิ่งเป็นตาย ผู้สื่อข่าวหลาย ๆ คนต่างรอคอยอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลบริเวณนอกเขตหวงห้ามอย่างใจจดใจจ่อ แต่หาได้มีใครทราบว่า พวกเขากำลังรอคอยอะไรอยู่ และก็ไม่มีใครยอมออกไปจากที่โน่นเลย

เขาสังเกตเห็นว่า เมืองนี้ยิ่งเงียบเชียบลงไปท่ามกลางราตรีอันยาวนาน ทหารที่อยู่เวรก็อดไม่ได้ที่จะหาวนอนออกมา

เขาสังเกตเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเริ่มออกมาทำงานแล้ว ผู้หญิงไว้ผมยาวรูปร่างผอมอยู่ในวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังมองดูรถถังอยู่ ดูเหมือนอยากจะศึกษาว่ารถถังคันนี้ “ทำมาจาก” วัสดุอะไรอยู่


เขาสังเกตเห็นว่า สาวน้อยที่สวมเสื้อสีแดงได้วิ่งเข้าไปหน้าทหารถือปืนคนหนึ่ง และมอบดอกกุหลาบดอกหนึ่งให้กับทหาร สาวน้อยคนนี้น่าจะเป็นชาวกรุงเทพฯ คนแรกที่มอบดอกกุหลาบให้ทหารฝ่ายปฏิรูป

เขาสังเกตเห็นว่า ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้น แสงอรุโณทัยเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว


ตอนที่ 2

ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมในกรุงเทพฯ พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเดิม ทุกอย่างสงบเหมือนเดิม ฝนที่ตกหนักได้ล้างสิ่งสกปรกบนพื้นออกไป การรัฐประหารครั้งนี้เหมือนฟ้าฝนที่โหมกระหน่ำมา แต่ในที่สุดก็ยุติลงอย่างสงบเงียบ

ทหารที่อยู่เวรบนท้องถนน กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสนุกสนาน พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในกรุงเทพฯ ล้วนเกี่ยวกับข่าวรัฐประหาร หนึ่งในสามของเนื้อที่ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ Bangkok Post เป็นพื้นที่ที่มอบให้กับคำว่า “รัฐประหาร และก็มีรูปถ่ายรถถังด้วย” สื่อประเทศไทยยังคง “รักษาความเป็นกลางตามจรรยาบรรณวิชาชีพ” อยู่ พวกเขาอยากจะดูว่าฝ่ายทหารจะทำให้คำมั่นสัญญาที่จะ “คืนอำนาจให้กับประชาชน” ว่าจะกลายเป็นความจริงอย่างไร บทความวิจารณ์ของหนังสือพิมพ์มติชนได้วิพากวิจารณ์ว่า ถึงแม้ว่า พตท. ทักษิณฯ จะเป็น “นักการเมืองที่มีความโลภ” ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่กลับเสียผลประโยชน์ของมวลชนก็ตาม แต่เราก็ต่อต้านรัฐประหาร “ถึงแม้การยึดนำนาจครั้งนี้ไม่มีการเสียเลือดเนื้อก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นรูปแบบที่อาศัยอำนาจป่าเถื่อน ซึ่งผิดกับประชาธิปไตยที่อยู่ในใจของชาวไทยทุกคน ประชาธิปไตยต้องให้กลับคืนมาให้เร็วที่สุด”

พระภิกษุที่กำลังบิณฑบาตอยู่รูปหนึ่ง เดินอยู่บนถนนที่เปียกน้ำฝนด้วยเท้าเปล่า ท่านไม่ได้มองดูอาวุธที่สามารถฆ่าคนได้ที่มีอยู่เต็มไปทั่วท้องถนนแม้แต่สักครั้งเดียว ท่านเปรียบเสมือนเป็นแขกที่มาจากอีกโลกหนึ่ง แต่ด้านหน้าของรถทหารที่จอดอยู่ข้างหน้าทำเนียบรัฐบาล มีพระภิกษุอีก 8 รูปยืนอยู่ ทุกรูปถือของถุงหนึ่ง กำลังรอคำสั่งจากทหาร เพื่อที่จะเข้าไปส่งอาหารให้พระที่อยู่วัดแถวทำเนียบรัฐบาล

ทหารที่อยู่เวรบนรถถังคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปรับดอกกุหลาบจากชาวบ้าน ทหารคนนี้ได้ดอกไม้มาสัมผัสบริเวณริมฝีปาก แล้วก็นำดอกไม้ไปปักไว้ในเครื่องเล็งของปากกระบอกปืน มีริบบิ้นสีเหลืองผูกกระบอกปืนอยู่ ริบบิ้นสีเหลืองกับดอกกุหลาบสีแดงปลิวขึ้นตามลม

ทหารหลายคนเดินลงมาจากรถเกราะ และเดินเข้าไปพักผ่อนในศาลาข้าง ๆ อย่างสบาย ทหารบางคนก็รวมกันไปทานอาหารเช้าภายใต้ร่มไม้ริมคลองสายหนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ ทำเนียบรัฐบาล ทหารบางคนที่แบกปืนกำลังตระเวณสังเกตการณ์ท่ามกลางชาวบ้านที่แห่กันมา ชาวบ้านมองทหาร ทหารก็มองชาวบ้าน ทหารกับชาวบ้านกำลังยิ้มให้กันและทักทายกันอยู่

ประชาชนที่มารวมกันอยู่ที่บริเวณท้องสนามหลวงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ที่นี่ก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์รถถัง พวกเขาต่างยกครัวเรือนมาถ่ายรูปกับรถถังและทหาร ก่อนหน้านี้ ฝ่ายทหารก็ได้มีคำสั่งออกมาว่า ทหารจะต้อง “ยิ้ม” กับประชาชน ดังนั้น ภาพที่ปรากฏออกมาต่อหน้าผู้สื่อข่าวและประชาชนก็คือ ภาพของทหารบางนายที่ไม่ถนัดในการยิ้มแย้ม มือข้างหนึ่งถือปืน และพยายามจะยิ้ม และมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมอบน้ำ อาหารและผลไม้ให้กับทหาร ทหารคนหนึ่งก็หยิบเอาส้มลูกหนึ่งที่ได้รับมาจากชาวบ้านยื่นให้กับนักข่าวต่างชาติ ทำให้นักข่าวคนนั้นตกใจตาโต เพราะว่าฉากที่เกิดขึ้นที่เขาเห็นกับตามาเป็นฉากที่อบอุ่นซึ่งไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่กำลังเกิดรัฐประหารอยู่ จากการทำโพล์สำรวจความเห็นของชาวกรุงเทพฯ ปรากฏว่าร้อยละ 80 ขึ้นไปสนับสนุนการรัฐประหารครั้งนี้

นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ในขณะนั้นก็ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศที่น่าหวาดกลัว ท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางคมนาคมทางอากาศที่หนาแน่นที่สุดในทวีปเอเชียยังคงเปิดให้บริการอย่างปกติ ไม่มีเที่ยวบินใด ๆ ที่ได้ยกเลิกไป ร้านอาหารและร้านขายของบางร้านได้ปิดบริการในช่วงเหตุการณ์รัฐประหารได้สักพักหนึ่งนั้น ก็ได้เปิดให้บริการและทำค้าขายอย่างปกติ มีชาวอิสราเอลคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลแม้แต่น้อย โปรดอย่าลืมว่า เรามาจากอิสลาเอล สงครามเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเรา” ชาวแคนาดาคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกของเราที่เจอเรื่องแบบนี้ จริง ๆ แล้ว ก็รู้สึกหวาดกลัวนิด ๆ แต่เท่าที่ได้สังเกต ตอนนี้กรุงเทพฯ ก็ยังคงสงบปลอดภัยอยู่ แม้ว่าจะมีบางพื้นที่ที่ยังมีทหารประจำการอยู่ หรือมีตำรวจจราจรเฝ้าคุมอยู่ แต่รถก็ยังติดอยู่เหมือนเดิม”

นักธุรกิจคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว Reuter ว่า “ในที่สุด ทหารก็ได้ลุกขึ้นมาปฏิวัติจนได้ เราไม่รู้สึกแปลกใจเลย ทั้งนี้ มีส่วนช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์การเมืองของประเทศไทยได้ แต่อย่างไรก็ตาม พูดในอีกทางหนึ่ง บางทีก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับเศรษฐกิจได้”
ชาวบ้านคนหนึ่งได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวอย่างดีอกดีใจว่า ตั้งแต่เกิดมา วันนี้เป็นวันที่รู้สึกดีใจที่สุด เราคิดว่า หลังจากที่ได้ผ่านเหตุการณ์การรัฐประหารในครั้งนี้ ประเทศไทยจะยิ่งดีขึ้นต่อ ๆ ไป”

พ่อค้าวัย 42 ผู้หนึ่งได้แสดงความวิตกกังวลต่อการรัฐประหารครั้งนี้ว่าอาจจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้น “แต่ถ้ามองการณ์ไกลแล้วยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศ พตท. ทักษิณฯ ควรพ้นจากตำแหน่งให้เร็วกว่านี้ รัฐบาล พตท. ทักษิณฯเน่าเปื่อยถึงรากเหง้าแล้ว ถ้ายังไม่มีการยึดอำนาจ ประเทศไทยก็ถูกเขาเอาไปขายทั้งประเทศแล้ว

คนกรุงเทพฯ คนหนึ่งกล่าวว่า “เรารักในหลวงของเรา เราสนับสนุนกองทัพของเรา ” อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ 3 ปีก่อน เราก็เคยเป็นทหาร กองทัพไทยของเราเป็นกองทัพที่มีกฏระเบียบวินัยค่อนข้างเข้มงวด ผมสนับสนุนการกระทำของพวกเขาอย่างเต็มที่”

คนหนึ่งที่ไม่ใช่สมาชิกสังกัดพรรคการเมืองใด ได้กล่าวว่า “ หวังว่าประเทศของเราจะดีขึ้นโดยการรัฐประหารในครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน เราก็หวังว่ากองทัพจะคืนอำนาจให้ประชาชนให้เร็วที่สุด”

นายแพทย์ที่ต่อต้าน พตท. ทักษิณฯ คนหนึ่งกล่าวว่า “เราก็หวังอย่างแน่นอนว่า เราสามารถโค่นรัฐบาลทักษิณได้โดยวิธีประชาธิปไตย แต่เราเหนื่อยเกินไปที่ไปเดินขบวนท้วงทุกวัน เรารู้สึกดีใจมากที่กองทัพได้ช่วยเราได้มากในแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พตท. ทักษิณฯ ก็ขับไล่ออกไปแล้วจริง ๆ ”
ผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่ทำงานด้านสังคมได้ใช้คำว่า “ ฉับพลัน ” มาพรรณนาการเกิดการปฎิวัติในครั้งนี้ “สิ่งนี้สามารถช่วยทำให้ประเทศไทยกลับมาสู่สภาพปกติ สิ่งเดียวที่เรารู้สึกเสียดายก็คือ หลาย ๆ เรื่องต้องเริ่มต้นกลับไปทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน”

ชาวกรุงเทพฯ คนหนึ่งที่เคยอยู่ข้าง พตท. ทักษิณฯ ได้แสดงความคิดเห็นว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ “แต่สิ่งที่น่าปลื้มใจสิ่งเดียวก็คือ ในที่สุดสถานการณ์การเมืองไทยก็ได้สงบเรียบร้อย แต่เดิมที่จะมีการเดินขบวนเพื่อต่อต้านทักษิณในวันที่ 20 กันยายน ก็ถูกยกเลิกไปแล้ว .......บางทีอีกไม่นานนัก เราก็อาจใช้ชีวิตอย่างเรียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนเดิม”

นาย Li Min Wen นักธุรกิจเชื้อสายจีนกล่าวว่า “ขอให้ธนาคารออกเงินให้เราทำค้าขาย รัฐบาลจะเป็นใครบริหารก็ไม่ใช่ปัญหา”

ผู้อ่านชื่อ Paya ได้เขียนข้อความไว้ทาง website ของหนังสือพิมพ์มติชนว่า

“ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ผ่านเหตุการณ์รัฐประหารหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และอีก 2 วัน คนส่วนใหญ่ก็อาจจะลืมว่า เมื่อไม่นานมานี้ ที่กรุงเทพฯ เคยเกิดรัฐประหารหรือ”

นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวจาก Associated Press ว่า ก็คือ พตท. ทักษิณฯ เองแหละที่บีบบังคับให้กองทัพต้องทำแบบนี้ “เราเป็นนักการเมือง เราก็ไม่เห็นชอบ/ไม่สนับสนุนกับการรัฐประหารไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ แต่ 5 ปีที่ผ่านมา ปัญหาที่รัฐบาล พตท. ทักษิณฯ ได้สร้างขึ้นได้บีบบังคับให้กองทัพต้องก่อรัฐประหารขึ้นมา พตท. ทักษิณฯ ได้สร้างวิกฤตการณ์ให้กับประเทศชาติ”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในวงการสื่อมวลชน และได้แสดงบทบาทอันสำคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต่อต้าน พตท. ทักษิณฯ นายสนธิฯ ได้กล่าวว่า ในหลักการเราก็ไม่เห็นชอบกับรัฐประหาร แต่เราก็รู้สึกพอใจกับผลจากการปฏิวัติในครั้งนี้”


ตอนที่ 3

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 เวลา 9.16 น. ของประเทศไทย พลเอกสนธิ บุณยะรัตกลิน ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นผู้ก่อรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งที่ 18 ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดย 12 ชั่วโมงภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พลเอกสนธิฯ ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนในไทยและทั่วโลกเป็นครั้งแรก โดยพลเอกสนธิฯ ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการก่อรัฐประหารทางโทรทัศน์โดยมีพลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. พล.ร.อ. สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.และพลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ ผบ.ตช. เข้าร่วม โดยบุคคลทั้ง 5 ดังกล่าวข้างต้นได้แต่งกายในเครื่องแบบ ยืนตัวตรงอยู่เบื้องหลังโพเดียม โดยพลเอกสนธิฯ ยืนอยู่ตรงกลางโดยมีไมค์โครโฟนอยู่ข้างหน้า ด้านหลังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ โดยมีธงชาติไทยคั่นระหว่างพระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ นอกจากนี้ พระบรมฉายาลักษณ์ของสองพระองค์ยังมีสัญลักษณ์นารายณ์ทรงสุบรรณ

บุคคลทั้ง 5 ดังกล่าวได้พนมมือก้มลงไหว้ผู้ที่รับชมการถ่ายทอดทางโทรทัศน์อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยพลเอก สนธิฯ ได้เริ่มต้นกล่าว โดยใช้ภาษาและน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่คล่องแคล่ว โดยนแถลงการณ์มีความว่า

“ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และสนับสนุนการปฏิบัติการของพวกเรา.....เนื่องด้วยพวกเราอันประกอบด้วยผบ.สส. และผู้บัญชาการทหาร 3 เหล่าทัพ รวมทั้ง ผบ.ตร. ได้รวมตัวจัดตั้งเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) และได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.....สมาชิก คปค.

ทุกคนต่างตระหนักว่า พตท. ทักษิณ ชินวัตร ทำการปกครองแบบเผด็จการ ความผิดพลาดของ พตท. ทักษิณฯ ได้ทำให้ประเทศเกิดความแตกแยกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...... การปกครองของรัฐบาลเกิดปรากฏการณ์การคอรัปชั่นและการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคพวกของตนเอง.....โดยสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ.....ซึ่งก่อให้เกิดบาดแผลและจำต้องรีบทำให้เกิดความสงบอย่างรวดเร็ว คปค. จึงมีความเห็นว่า จำเป็นต้องยึดอำนาจ การปกครองของประเทศเพื่อการแก้ไขปัญหา..... การก่อรัฐประหารก็เพื่อให้สมานแผลให้กับสังคมที่แตกแยกของไทยและเป็นการหยุดกระบวนการขององค์กรประชาธิปไตยของไทยซึ่งถูกกัดกร่อน...... เพื่อจะได้เริ่มต้นกระบวนการแก้ไขใหม่ต่อไป พวกเราไม่ได้มีความพยายามที่จะเข้ามาปกครองประเทศ คปค. ยืนยันว่าจะทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยและคืนอำนาจการปกครองให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด.....”

โดยแถลงการณ์มีความยาวประมาณ 3 นาทีกว่า ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ พลเอกสนธิฯ ได้ก้มหน้าอ่านต้นฉบับ และก็ได้เงยหน้าขึ้นมองข้างหน้าด้วยสีหน้าที่สงบ ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ และไม่มีการแสดงออกถึงความเป็นผู้ได้รับชัยชนะและทนงตัวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการแถลงให้สาธารณชนได้ทราบ ทั้งนี้ คณะ คปค. ทั้ง 4 คนที่เหลือที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้น ต่างก็มิได้แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใด ๆ และต่างก็จ้องมองตรงไปเบื้องหน้า หลังจากนั้นไม่กี่วัน พลเอกสนธิฯ ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าสัมภาษณ์ โดยได้อธิบายสาเหตุการก่อรัฐประหารว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “หลีกเลี่ยงการนองเลือด” โดยพลเอกสนธิฯ ได้กล่าวว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้วางแผนที่จะรวมตัวชุมนุมกันเดินขบวนต่อต้าน พตท. ทักษิณฯ ในวันที่ 20 ก.ย. 2549 โดย พตท. ทักษิณฯ ได้วางแผน
ที่จะให้ผู้ช่วยของตน 2 คน (ได้แก่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ในการระดมคนฝ่ายสนับสนุนจำนวน 800 คน ทีมปกป้องป่าไม้ทีมอาวุธปืน (อาวุธปืนพร้อมมือ) จากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมายังกรุงเทพฯ เพื่อเดินขบวนให้การสนับสนุน พตท. ทักษิณฯ ซึ่งอาจจะนำไปสู่เหตุการณ์การปะทะและนองเลือดขึ้นระหว่างกลุ่มเดินขบวนสองกลุ่มนี้ หลังจากนั้น เดิมทีพลเอกเรืองโรจน์ฯ ผบ.สส. จะนำกำลังเข้าปราบปราม และจะใช้โอกาสนี้ในการเข้าครอบครองกองกำลังทหารที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (รวมไปถึงพลเอกสนธิฯ) รวมทั้งสนับสนุนกำลังทหารที่ตนได้อบรมบ่มเพาะมาอย่างดี เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพกองกำลังทหารทั้งหมด โดยที่ พตท. ทักษิณฯ จะบินจากนครนิวยอร์กกลับถึงประเทศไทยในช่วงเช้าวันที่ 21 ก.ย. 2549 และได้มีประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินโดยด่วน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โชคดีที่พลเอกสนธิฯ ดำเนินการอย่างฉับไวและเฉียบแหลม โดยให้เหล่าทหารขับรถถังวิ่งไปตามถนนสายสำคัญใน กทม. แผนการของพตท. ทักษิณฯ จึงถูกทำลายลง ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดการปะทะนองเลือดได้

พตท. ทักษิณฯ รู้สึกขบขันกับข่าวลือดังกล่าว

หลายเดือนต่อมา ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารไทม์ของสหรัฐฯ ได้เข้าสัมภาษณ์พลเอกสนธิฯ เพราะเหตุใดผู้นำทางทหารจึงได้ให้คำมั่นสัญญาหลายต่อหลายครั้งว่า จะไม่เข้ามาเล่นการเมือง และภายหลังจากนั้นแค่เพียงคืนเดียวก็จะต้องกลืนคำพูดของตนเอง ทำให้นานาชาติรู้สึกหวั่นใจ ซึ่งพลเอกสนธิฯ ได้กล่าวว่า วันเวลาจะช่วยพิสูจน์การกระทำทั้งหมดของตน
ผู้สื่อข่าว - เพราะเหตุใดที่ทำให้นักการทหารอาชีพคนหนึ่งก้าวเข้ามาสู่การเมือง
พลเอกสนธิฯ - ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ทว่าระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวถูกทำลาย ที่ผ่านมา พรรคการเมืองขนาดกลางหลายพรรคที่ได้ควบคุมการทำงานของรัฐบาล แต่สมัยรัฐบาล พตท. ทักษิณฯ นั้นเป็นรัฐบาลที่เผด็จการ และระหว่างกระบวนการการเลือกตั้งนั้น ก็ปรากฏเหตุการณ์การทุจริต ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนชาวไทยไม่อาจยอมรับได้ แม้ว่าพวกเราจะก่อการรัฐประหารขึ้น แต่ก็เป็นการกระทำเพื่อการพิทักษ์ไว้ซึ่งประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าว - รัฐบาล พตท. ทักษิณฯ ที่จริงแล้วได้กระทำการใด ๆ ที่ส่งผลเสียหายต่อประชาธิปไตยของไทย
พลเอกสนธิฯ - ปัญหาดังกล่าวค่อนข้างจะมีความละเอียดอ่อนมาก จากร่องรอยหลายประการได้แสดงให้เห็นว่า พตท. ทักษิณฯ มิได้มีมารยาทต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ประชาชนชาวไทยไม่อาจทนได้หากมีผู้ใดไม่ให้ความเคารพต่อพระราชวงศ์
ผู้สื่อข่าว - ท่านมีความเห็นอย่างไรกับการที่ประเทศทางตะวันตกกล่าวว่า รัฐประหารเป็นการก้าวถอย
หลังของประชาธิปไตยในไทย
พลเอกสนธิฯ - หากทางเดินข้างหน้าไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทุก ๆ คนก็จะย่อมก้าวไปข้างหน้าต่อไป แต่หากมีอุปสรรคอยู่ข้างหน้า ทางที่ดีที่สุดก็คือหยุดอยู่กับที่ และเดินไปทางอ้อมก่อน พวกเราประชาชนชาวไทยต่างรู้สึกรักชอบคนคนหนึ่งอย่างง่ายดาย และจะรู้สึกเบื่อหน่ายคนคนหนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นกัน การจะตัดสินคนคนหนึ่งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา และเวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์การกระทำของพวกเรา

ช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ย. 2549 หลังจากที่พลเอกสนธิฯ ได้กล่าวแถลงการณ์เสร็จสิ้น รายการทางโทรทัศน์ทุกช่องได้กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ มีเพียงสัญญาณข่าวจาก CNN , BBC ที่ยังถูกควบคุมการออกอากาศอยู่ พตท. ทักษิณฯ นายกรัฐมนตรีที่เพิ่งจะถูกยึดอำนาจได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งประชาชนชาวไทยไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย

ช่วงสาย สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ได้ออกอากาศการแถลงการณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยยืนยันว่า “คปค. ขอให้นักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการปฏิรูป การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการรับประกันว่า การเลือกตั้งในครั้งต่อไปจะบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ทว่า ในช่วงเวลาเฉพาะกลางดังกล่าว “เพื่อที่จะธำรงไว้ซึ่งการปกครองและกฎหมาย จึงไม่อนุญาตให้มีการชุมนุมของพรรคการเมือง รวมถึงการประกอบกิจกรรมทางการเมืองใด ๆ ขึ้น” นอกจากนี้ “การชุมนุมกันตั้งแต่5 คนขึ้นไป” ก็ไม่ได้รับการอนุญาตด้วย ผู้ฝ่าฝืนจะถูกคุมขังเป็นเวลา 6 เดือนและถูกปรับ 1 หมื่นบาท (ประมาณ 265ดอลลาร์สหรัฐ) “เมื่อถึงเวลาที่กลับคืนสู่สภาวะปรกติ กิจกรรมทางการเมืองก็จะได้รับการกลับคืนสู่สภาพปกติ” ขณะเดียวกัน ผู้นำการรัฐประหารได้มอบอำนาจให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ควบคุมข่าวสารที่ “ไม่ตรงตามความจริง” เกี่ยวกับ คปค. ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในขณะนั้น “เพื่อให้ประเทศไทยของพวกเราสามารถกลับคืนสู่สภาวะปรกติ ขอให้มีการรายงานข่าวที่ให้ข้อมูลตรงกับความเป็นจริงและสร้างสรรค์” นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสารได้เชิญสื่อมวลชนด้านโทรทัศน์ สถานี และบ. ด้านสารสนเทศต่าง ๆ รวมทั้งเว็บไซด์ เข้าร่วมการประชุม โดยขอให้สื่อมวลชนทุกแขนงหยุดรายการการส่ง SMS และ call-in ที่เป็นการแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง “เพราะว่าการกระทำต่าง ๆ ดังกล่าว จะนำไปสู่การแตกแยกของประเทศ” กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ยังได้ขอให้สื่อมวลชนทางด้านออนไลน์ควบคุมเว็บไซด์ที่จะต้องมีการอภิปราย แสดงความเห็น หรือการฝากข้อความไว้ที่กระดานข่าวหรือการออนไลน์ด้วยกิจกรรมใด ๆ โดย “ห้ามมิให้ชุมชนทางอินเตอร์เน็ตใช้ภาษาหรือถ้อยคำที่รุนแรงยั่วยุ หรือการแสดงถ้อยคำที่รุนแรงในเว็บไซด์ หากชุมชนทางอินเตอร์เน็ตมีการแสดงถ้อยคำหรือใช้ภาษาที่รุนแรง ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน” (5 วันต่อมา มีสถานีที่ให้การสนับสนุน พตท. ทักษิณฯ ในชนบทถูกปิดทำการไป 300 แห่ง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ พตท. ทักษิณฯ)
เวลา 14.50 น. รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ได้ถูกปลดลงจากเว็บไซด์ของรัฐบาลไทย

ผู้สื่อข่าวทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศได้รุมล้อม ณ กองบัญชาการ ผบ.ทบ. แต่ว่าทางฝ่ายทหารปฏิเสธที่จะให้เข้าสัมภาษณ์ และปฏิเสธที่จะให้นักข่าวเข้าไปในกองบัญชาการ ผบ.ทบ.

ช่วงบ่าย ประชาชนประมาณ 500 คน ได้รวมตัวกันหน้าประตูกองบัญชาการ ผบ.ทบ. เพื่อแสดงการสนับสนุนฝ่ายทหาร ประชาชนต่างตะโกนร้องว่า “ในที่สุด ทักษิณฯ ออกไปแล้ว”

วันที่ 20 ก.ย. 2549 เวลา 15.00 น. พลเอกสนธิฯ ซึ่งใส่เครื่องแบบทหาร ได้เป็นประธานในการกล่าวแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกภายหลังรัฐประหาร โดยได้กล่าวว่า “รัฐธรรมนูญฉบับเฉพาะกาลจะร่างเสร็จภายใน 2 สัปดาห์และในช่วงเวลานี้ จะต้องแต่งตั้งสมาชิกสภาเฉพาะกาลและนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล” “อำนาจการปกครองจะอยู่ในมือของพวกเราเป็นเวลา 2 สัปดาห์ และภายหลังจาก 2 สัปดาห์แล้ว พวกเราจะเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลและจะคืนอำนาจการปกครองทั้งหมด” พลเอกสนธิฯ ยังกล่าวอีกว่า ทางการทหารยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหาผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “พวกเราจะต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความรักในระบอบประชาธิปไตย”และภายหลังจากนั้น 1 ปี คือ ช่วง ต.ค. 2550 โดยประมาณ จะเป็นการกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย

พลเอกสนธิฯ ยังกล่าวด้วยว่า “คปค. ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการก่อรัฐประหารมีจุดประสงค์เพียงเพื่อหยุดยั้งการปะทะกันอย่างรุนแรงที่ต่อเนื่องกันมานาน และแก้ปัญหาการทุจริตของรัฐบาล รวมทั้งแผนการในการทำลายระบอบประชาธิปไตยของ พทต.ทักษิณฯ” และเมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของ พทต. ทักษิณฯ ว่า จะดำเนินการยึดทรัพย์หรือไม่นั้น พลเอกสนธิฯ ได้ตอบว่า “บุคคลกลุ่มผู้กระทำผิดทั้งหลายก็จะต้องถูกดำเนินการตามกม.” หลังจากนั้น มีรายงานจากสถานีที่ดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจว่า คปค. ได้ปลดฝ่ายตรวจสอบในรัฐบาล พทต. ทักษิณฯ ออกจากตำแหน่ง นอกจากนั้น ยังได้ส่งข้าราชการไปตรวจสอบกรณีการทุจริตของรัฐบาลชุดที่แล้ว และในวันเดียวกันนายทหารระดับนายพล 2 รายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พตท. ทักษิณฯ ได้ถูกนำตัวไปยังกองบัญชาการ ผบ.ทบ.เพื่อกักขัง

หลังจากนั้น ผู้นำ คปค. ทั้ง 5 คนได้พบกับคณะทูต ตปท. ประจำประเทสไทย พลเอกสนธิฯ ได้แจ้งว่า “ไทยยังคงยืนยันจะดำเนินนโยบายการต่างประเทศ รวมทั้งการปฏิบัติตามพันธกรณีตามที่ไทยได้เคยลงนามไปแล้วใน สนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ” แต่ทั้งนี้ ในวันรุ่งขึ้น รายงานข่าวใน นสพ. The Nationได้ระบุว่า คณะทหารได้พบกับคณะทูต ตปท. ประจำประเทศไทย “แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ใช้ภาษาในการโต้ตอบไม่ฉับไว”


ตอนที่ 4

การเชื่อฟัง ความอดทน และความไม่สนใจของชาวไทยต่อรัฐประหารครั้งนี้ทำให้คนทั่วไปรู้สึกประหลาดใจ นักวิชาการได้วิจารณ์ว่า

“มองจากมุมมองของงานด้านการบริหาร การทหาร ตำรวจ รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรรัฐบาลอื่น ๆ พวกเขากลับสนับสนุนและยอมรับให้กำลังทหารเข้ามาดำเนินการแทนที่รัฐบาลโดยผ่านวิธีการก่อการรัฐประหารซึ่งไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยไม่มีผู้ใดออกมาประณามหรือไม่เห็นด้วยเนื่องจากขัดจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาต่อสู้เพื่อต่อต้านพฤติกรรมดังกล่าว เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ระบอบการเมืองและวัฒนธรรมของไทยนั้น ประชาธิปไตยยังไม่ได้หยั่งรากลึกเข้าไปในระบบความเชื่อทางการเมือง

ชาวไทยยังไม่มองว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นบรรทัดฐาน/หลักการสูงสุด ประชาธิปไตยยังอยู่ในฐานะ “เป็นเพียงทางเลือกที่สามารถเลือกได้ทางหนึ่ง” ชาวไทยไม่ได้มองว่า ประชาธิปไตยเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่สุดในการเมือง พวกเขามองว่า กองกำลังทหารและรัฐประหารเป็น “เรื่องธรรมดา” มากในเส้นทางการเมืองการปกครอง และเป็นทางเลือกที่ยอมรับได้

นักวิชาการอีกคนหนึ่งได้วิจารณ์ว่าการก่อรัฐประหารครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของระบอบประชาธิปไตยของไทย ก่อนหน้านี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ ได้มองระบอบประชาธิปไตยและเสรีภาพในการเข้าร่วมพรรคการเมืองต่าง ๆ ของไทยเป็นแบบอย่าง ถ้าเรามองสถานการณ์ในประเทศไทยภายหลังการเกิดการรัฐประหารขึ้น เราควรจะหันมาถามตัวเราเองว่า เมื่อก่อนเราเองหรือเปล่าที่มีความคาดหวังและจินตนาการต่อประเทศไทยไทยมากเกินไป

การก่อรัฐประหารในครั้งนี้คือปฏิกิริยา ไม่ใช่ความก้าวหน้า ทำไมประชาธิปไตยของไทยได้ก้าวมายังจุดนี้ได้ คือ ต้องแสวงหาประชาธิปไตยโดยอาศัยพระมหากษัตริย์และกองกำลังทหาร ทำไมต้องแสวงหาประชาธิปไตยโดยวิธีการที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ทำไมเพื่อให้สามารถเป็นประชาธิปไตยได้จึงต้องมีเหตุการณ์นี้ขึ้น

ประเทศตะวันตกมีท่าทีที่ร่วมกันในการประณามเหตุการณ์รัฐประหารของไทย ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน

Kofi Annan เลขาธิการของสหประชาชาติ : สหประชาชาติสนับสนุนระบบการปกครองตามขั้นตอนแบบประชาธิปไตย โดยผ่านการเลือกตั้งที่เป็นธรรม การก่อรัฐประหารเช่นนี้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ
Cathy ผู้แทนโฆษกรัฐบาลสหรัฐฯ : เรารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์รัฐประหารของไทย ประชาธิปไตยของไทยกำลังอยู่ภาวะการถอยหลัง
Margaret Beckett รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ : ประเทศอังกฤษแต่ไรมาไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังทหารก่อรัฐประหารล้มโค่นล้มรัฐบาล......
Matti Vanhanen นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ : เรารู้สึกเสียดายต่อเหตุการณ์การล้มอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยกองกำลังทหารของไทย ประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว.....
Helen Clark นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ : พฤติกรรมทุกประการที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและไม่เป็นประชาธิปไตย ที่นำมาควํ่าระบบการปกครองที่มีอยู่ย่อมต้องถูกประณามทั้งสิ้น.....
Alexander Downer รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย : พฤติกรรมที่กองกำลังทหารไทยควํ่ารัฐบาลเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เรารู้สึกกังวล……
ท่าทีของประเทศสำคัญ ๆ ในกลุ่มอาเซียนและในทวีปเอเชียต่อการเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในไทยยังไม่ค่อยชัดเจน นอกจากความรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว กรณีการเกิดรัฐประหารในไทยก็ยังคงแสดงท่าทียืนยันและยึดมั่น “ในหลักการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศของประเทศอื่นใด” บางที ในสายตาของประเทศเหล่านี้ หลักการประชาธิปไตยนั้นไม่สำคัญเท่ากับหลักการอธิปไตยซึ่งมีความสำคัญยิ่ง
Arroyo ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ซึ่งมีการก่อรัฐประหารอย่างสม่ำเสมอเหมือนไทยกล่าวว่า “เราได้ติดตามเหตุการณ์ด้วยความสนใจ และเรามีความเชื่อมั่นว่ากองกำลังทหารในฟิลิปปินส์จะไม่ปฏิบัติตาม”
Abdullah Ahmad Badawi นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า “รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง โดยที่คาดไม่ถึงว่ารัฐประหารจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศบ้านใกล้เมืองเคียงของประเทศไทย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยจะได้รับความฟื้นฟูเร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้”
Manmohan Singh รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า “รัฐบาล อินโดนีเซียติดตามพัฒนาการของเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด ในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิกของกลุ่มอาเซียน รัฐบาลอินโดนีเซียหวังว่า หลักการประชาธิปไตยจะยังคงอยู่ประเทศไทยต่อไปอย่างเข้มแข็ง”
Taro Aso รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราแสดงความเสียดายต่อเหตุการณ์รัฐประหารของไทย และเชื่อด้วยความจริงใจว่า ประเทศไทยจะต้องรีบฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็ว”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า “พวกเราหวังว่าประเทศไทยจะฟื้นฟูสันติภาพและความสงบอย่างรวดเร็วโดยตามกระบวนการทางกฎหมาย”
Qin Gang โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า “ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของไทยเป็นกิจการภายในของประเทศไทย รัฐบาลจีนยึดมั่นในหลักการแห่งการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการของประเทศอื่นซึ่งเป็นหลักการที่ได้ดำเนินมาโดยสมํ่าเสมอ”

ในบรรดาประเทศเหล่านี้ ท่าทีของประเทศสิงคโปร์สลับซับซ้อนที่สุด เนื่องจากครอบครัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ขายหุ้นของบริษัทในเครือชินวัตรให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์เมื่อต้นปี 2549 ซึ่งส่งผลให้เกิดการชุมนุมเพื่อประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ในช่วงนั้น ก็ส่งผลกระทบต่อสถานเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ภายหลังข่าวการก่อรัฐประหารเล็ดลอดออกมา ปฏิกิริยาของสิงคโปร์ความละเอียดอ่อนและไวมากที่สุด รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศไม่ให้ประชาชนของตนเองเดินทางไปประเทศไทย และหากจำเป็นต้องเดินทางไปประเทศไทย จะต้องลงทะเบียนในเว็บของกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ก่อน เพื่อจะได้เตรียมการให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันที


ตอนที่ 5

สื่อมวลชนของประเทศตะวันตกมีปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าคณะผู้แทนทางการทูตจากกระทรวงการต่างประเทศในประเทศตะวันตกเสียอีก

<<The Times>> ประเทศอังกฤษ : “ทางทหารควรแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาอยากจะฟื้นฟูรัฐบาลแห่งประชาธิปไตยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะกระทำได้......ไม่ว่ารัฐประหารจะ
ไม่มีการนองเลือด ไม่ว่านายกรัฐมนตรียังไม่เข้าดำรงตำแหน่ง รัฐประหารครั้งนี้ยังเป็นวิธีการที่ผิดที่ขับไล่ผู้นำที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา”
<<The Independent>> ประเทศอังกฤษ : “ถึงแม้ว่ารัฐประหารครั้งนี้ทำได้อย่างรวดเร็วและเรียบร้อยดี แต่ในการปฏิวัติโดยรวมนั้นไม่ได้รับยอมรับในความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐประหารครั้งนี้......ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักจะหลอกตัวมาโดยตลอดให้เชื่อว่า ถึงแม้ว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้นจะอ่อนแอก็ตาม แต่ยังสามารถคงอยู่ต่อไป”
<<The Daily Telegraph>> ประเทศอังกฤษ : “เศรษฐีคนนี้ได้กลายเป็นคนที่โอหังอวดดีอย่างอันตรายซึ่งให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลุ่มชาวนาหลังเข้าดำรงตำแหน่งการเมือง แต่ก็มีนักการเมืองหลายคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งจากประชาชนเช่นกัน ถ้าอยากไล่เขาออกจากตำแหน่งต้องโดยวิธีการลงคะแนนเลือกตั้ง ไม่ใช่คำสั่งของทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์”
<<The Grauniad>> ประเทศอังกฤษ : “ถึงแม้ว่าการปกครองของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ไม่ค่อยตอบสนองความต้องการของประเทศ แต่การที่เขาถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งได้ทำลายสมญานามของไทยที่เคยได้รับกล่าวขานว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย.....องค์กรประชาธิปไตย รวมทั้งรัฐสภา ศาล และรัฐธรรมนูญ โดยพื้นฐานล้วนอ่อนแอทั้งสิ้น และถูกมองข้าม โดยถูกทำลายโดยรถถังและกองกำลังทหารซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ.....ไทยมีความจำเป็นต้องสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง เพื่อให้การรับรองว่าการก่อรัฐประหารในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 18 จะเป็นการก่อรัฐประหารเป็นครั้งสุดท้าย ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยซึ่งพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา”
<<Financial Times>> : “รัฐประหารไม่มีที่อะไรดี ๆ เกิดขึ้น เรื่องนี้ถามปากีสถานหรือพม่าได้ ไทยควรถอยกลับไปก้าวหนึ่งและตรวจสอบด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีกษัตริย์ซึ่งสามารถปกป้องดูแลประเทศได้ แต่ก็เช่นเดียวกับสังคมอื่นที่เปี่ยมไปด้วยความสลับซับซ้อนและมีชีวิตชีวา จำเป็นต้องมีความสร้างสรรค์และดูแลระบบแบบใหม่ให้เป็นมั่นคง”
รายงานของสำนักข่าว BBC ต่อการเกิดรัฐประหาร : “ถึงแม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในชนบท รูปแบบการเป็นผู้นำและการที่เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมหาศาลก็ได้นำพาศัตรูมาได้เช่นกัน จนกระทั่งส่งผลให้ประเทศแตกแยก การเคลื่อนไหวต่อต้านในช่วงต้นปีมิได้ส่งกระทบต่อตำแหน่งของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ แต่อย่างใด แต่ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 เขาได้รับชัยชนะอย่างสบาย ๆ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ภายหลังได้ประกาศว่าเป็นโมษะ มีประชาชนจำนวนมากได้กระตุ้นให้กองกำลังทหารไทยเข้าแทรก เนื่องจากทรัพย์สินและความสามารถทางการเมืองของ พ.ต.ท. ทักษิณฯ มีกำลังอย่างมากในการสนับสนุนพรรคไทยรักไทยให้ได้รับคะแนนเสียงอย่างเด็ดขาด จึงไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาในการเลือกตั้งได้ ดังนั้น รัฐประหารจึงกลายเป็นวิธีเดียวที่จะขับให้เขาพ้นจากตำแหน่ง ปัญหาต่อไปก็ คือ การเลือกโอกาสที่เหมาะสม กองกำลังทหารตกลงจะปฏิบัติเร็วในช่วงการตั้งเลือกใหญ่ใกล้จะมาถึงนี้ ซึ่งช่วงนั้น พตท. ทักษิณฯ ได้เดินทางไปประชุมสหประชาชาติ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติการ สำหรับไทย รัฐประหารเป็นการทำให้สังคมไทยก้าวถอยกลับอย่างหนักขึ้น รัฐประหารไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นเวลา 15 ปีแล้ว พวกเขากำลังวางแผนจะสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมั่นคง ตอนนี้ ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยรถถัง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของระบอบการปกครองของประเทศนี้”

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว BBC ได้สัมภาษณ์เกษตรกรบางคนในพื้นที่ชนบทของไทย พวกเขาแตกต่างจากคนในตัวเมืองที่เคยเป็นผู้สนับสนุนที่ซื่อตรงที่สุดของ พตท. ทักษิณฯ เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว “พวกเขาได้เพียงแต่ยอมรับความจริงอย่างสงบ” มีผู้ถูกสัมภาษณ์คนหนึ่งกล่าวว่า เราเป็นชาวนา เราปลูกข้าวในนา เรายังเลี้ยงวัวและไก่สิบกว่าตัวอีกด้วย เราคิดว่าการก่อรัฐประหารโดยกลุ่มทหารใน กทม. นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราจากเหตุการณ์รัฐประหารมีเพียงประการเดียว นั่นก็คือ ไม่สามารถชุมนุมกันทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปได้อีกแล้ว เราไม่ทราบว่าทหารจะอยู่บนเวทีการเมืองนานเพียงใด แต่เราเชื่อว่า ถ้ายังมีการเลือกตั้งครั้งหน้า เราจะยังคงเลือก พตท. ทักษิณฯ อีก พวกเราหวังว่าเขาจะกลับมา

ผู้ถูกสัมภาษณ์อีกคนหนึ่งกล่าวว่า เรารู้สึกเสียใจกับโชคชะตาของนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ผมคิดว่า คดีการรับซื้อขายหุ้นครั้งนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนบางกลุ่ม แต่คนจนอย่างพวกเรานี้ยังคงสนับสนุน พตท. ทักษิณฯ ชีวิตของพวกเราเหน็ดเหนื่อยมาก เราต้องตื่นนอนตีห้าทุกวัน เมื่อรีดนมวัวแล้ว ก็ต้องนำไปขายที่ตลาดยามเช้า ต่อจากนั้นตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงบ่ายสามโมง พวกเราก็กลับไปทำนาต่อ เสร็จแล้วจึงกลับไปรีดนมวัวเพื่อนำไปขายอีกครั้ง กว่าจะทำงานเสร็จ ก็ถึงเวลากลางคืนแล้ว นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่า เดือนหน้าเป็นต้นไป ราคานมวัวจะสูงขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่ง สัญญาที่ให้ไว้จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่

ยังมีเกษตรกรอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เรารู้สึกขอบคุณนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเขาช่วยเหลือเรามาก เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของ พตท. ทักษิณฯ ทำให้เรามีเงินจ่ายค่ารักษาโรคได้ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดเลยที่จะให้หลักประกันการรักษาพยาบาลแก่พวกเรา มีเพียงคนในเมืองที่ทำงานมีเงินเดือน คนที่มีการงานวิสาหกิจและงานเอกสารเท่านั้นที่ได้รับหลักประกันสุขภาพ พตท. ทักษิณฯ ยังมีโครงการกู้ยืมเงินให้แก่พวกเราด้วย พ่อของเราได้กู้ยืมเงินมาเป็นจำนวน 3 หมื่นบาท โดยได้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวพัฒนากิจการนมวัว โครงการตามนโยบายของ พตท. ทักษิณฯ ได้ช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกเราไม่เพียงแต่ยังชีพด้วยการปลูกข้าวเท่านั้น หากยังชีพด้วยกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การปลูกพืชผักผลไม้ การทำฟาร์มปศุสัตว์

ตามท้องถนนในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทักษิณ มีกองทหารประจำการอยู่ทั่วไป แต่จังหวัดเชียงใหม่ก็ยังสงบเช่นเคย การก่อเหตุจลาจลของประชาชนที่รัฐบาลทหารวิตกกังวลไม่ได้เกิดขึ้น ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว BBC กล่าวว่า นอกจากจะมองเห็นเพียงประชาชนมีสีหน้าที่สงบและนิ่งเงียบแล้ว ก็ไม่มีสัญญาณใด ๆ สักอย่างที่แสดงให้เห็นว่า จะมีใครออกมาร้องทุกข์ให้กับ พตท. ทักษิณฯ ประชาชนโดยทั่วไปยอมรับความจริงของรัฐประหารครั้งนี้แล้ว สถาปนิกวัย49 ปี ในเชียงใหม่ผู้หนึ่งกล่าวว่า เราเพียงต้องยอมรับความจริง แต่ผมไม่อาจยอมรับได้ว่า พตท.ทักษิณฯ ได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เรารู้สึกเสียใจมาก เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับ พทต. ทักษิณฯ เลย โครงการที่จะมีประโยชน์ต่อประชาชนของ พตท. ทักษิณฯ เพิ่มเริ่มต้นขึ้น คนที่ขับไล่ พตท. ทักษิณฯ ออกไปนี้ เกรงว่าอาจจะต้องสานต่อนโยบายของ พตท. ทักษิณฯ ต่อไป เราไม่เห็นด้วยว่า พทต. ทักษิณฯ สมควรได้รับการลงโทษเช่นนี้ และเราก็ไม่เชื่อว่า พตท. ทักษิณฯ ได้ทำผิดกฎหมายจริง ๆ เราจะติดตามดูว่า รัฐบาลทหารในที่สุดแล้วจะทำอะไรต่อไป การกระทำทั้งหมดของกลุ่มทหารนี้ เพียงแค่อยากระงับยับยั้งเสียงเรียกร้องของประชาชน


ตอนที่ 6

ที่ผิดกับแรกเริ่มที่ได้ปฎิบัติตามและนิ่งเฉย เสียงประท้วงต่อต้านการก่อรัฐประหารของชาวไทยได้เกิดขึ้นอีกไม่กี่วันต่อมา หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารได้ 3 วัน กลุ่มนักศึกษาเป็นกลุ่มแรกสุดที่ได้ชุมนุมประท้วง มีนักศึกษาประมาณ 20 คนนั่งชุมนุมกันอย่างสงบที่ศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ โดยเขียนที่ป้ายประท้วงมีข้อความว่า “นี่ไม่ใช่การปฎิรูป นี่คือรัฐประหาร”

มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งตีพิมพ์จดหมายจากผู้อ่านที่ประท้วงการก่อรัฐประหารว่าการใช้วิธีการมองข้ามผลการเลือกตั้งที่เป็นไปตามกฎหมายนั้น ทำให้คะแนนเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ไม่มีค่าใด ๆ เลย นี่เป็นประชาธิปไตยหรือ นี่มีความเป็นธรรมหรือ ทักษิณไม่รับการยอมรับจากพรรคฝ่ายค้านก็จริงอยู่ แต่เขาได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก บางคนอาจจะโต้แย้งว่า ที่เรียกว่าคะแนนเสียงส่วนมากนั้นก็เป็นเพียงตัวเลขจำนวนหนึ่ง แต่ประชาธิปไตยมิใช่เป็นการพิจารณาจากตัวเลขส่วนใหญ่หรือ นอกจากนี้ การที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งส่วนมากก็คือประชาชนในชนบทต้องมาเชื่อฟังผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนน้อยที่เป็นชั้นกลางและชนชั้นสูงนั้น เป็นธรรมแล้วหรือ วิธีการผิดหลักการอย่างนี้จะกลายเป็นตัวอย่างของการเมืองในวันหลังหรือไม่ และหากยังมีกรณีนี้เกิดขึ้น แล้วการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีความหมายอะไร

ในขณะเดียวกัน ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเกิดขึ้นในชุมชนอินเตอร์เนต

Gemidise: คนที่วิพากษ์วิจารณ์ฯ พตท. ทักษิณฯ ว่า เป็นคนที่ทุจริต เป็นคนไม่ดี และสมควรไปลงนรกดีกว่า เราขอถามหน่อยว่า ใครเล่าเป็นคนดี ใครเล่าจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีกว่า พตท. ทักษิณฯ ใครเล่าจะช่วยเหลือคนจนเหมือนที่ พตท. ทักษิณฯ ช่วยเหลือ ใครเล่าจะดึงดูดการลงทุนให้กับประเทศมากมายอย่างนี้ ใครเล่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน อย่าเก่งแต่พูด ถ้าคุณทำได้ดีอย่าง พตท. ทักษิณฯ ทำไมคุณไม่ไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีล่ะ
Ckate: เราไม่รักเขาหรอก แต่ก็ไม่ได้เกลียดเขา แต่เราคิดว่า พตท. ทักษิณฯ ได้มีคุณูปการต่อการพัฒนาประเทศนี้ คนที่คัดค้านหรือประท้วง พตท. ทักษิณฯ เหล่านั้น เขาได้ทำคุณูปการใด ๆให้แก่ประเทศนี้บ้าง
Blackmcdonald: เราเคยร้องเชียร์ให้ พตท. ทักษิณฯ มาก่อน แต่เมื่อปีที่แล้ว ทัศนคติของเราก็เปลี่ยนไปแล้ว จริง ๆ แล้ว พตท. ทักษิณฯ ได้ทำงานเพื่อพัฒนาประเทศอย่างมาก แต่รัฐบาลของ พตท. ทักษิณฯ ที่สุดแล้วก็ตกอยู่ในภาวะที่ปราศจากการควบคุมและการบริหารจัดการ พตท. ทักษิณฯ ทำให้ประเทศไม่สามารถสมัครสมานสามัคคีต่อไปได้อีกและยังก่อให้เกิดความขัดแย้งและการถกเถียงอย่างไม่สมควรจะเกิดขึ้น ในที่สุด ก็นำไปสู่การก่อรัฐประหาร
BORNfree: เราเป็นคนไทยเชื้อสายอเมริกัน เราจะกลับไปเมืองไทยทุกปี เราได้เห็นว่า พตท.ทักษิณฯ ได้ทำงานเพื่อคนยากจนเป็นอย่างมาก เช่น การซ่อมแซมถนนของชนบท เพิ่มราคาของข้าวสารให้สูงขึ้น ปล่อยกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกร และดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพ คำกล่าวประณามของพลเอกสนธิฯ เพียงแต่เป็นกลอุบาย ยิ่งไปกว่านั้น บางเรื่องถึงกลับน่าขบขันมาก เช่น พตท. ทักษิณฯ กำลังเป็นภัยคุกคามต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
Joaoofkongton: นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน พตท. ทักษิณฯ ชนะในการเลือกตั้ง แล้วทำไมมีคนบางคนกล่าวว่า มีคนเพียงจำนวนน้อยที่ชื่นชอบเขา เราคิดว่า ทุกคนย่อมต้องรู้ความหมายของการเลือกตั้ง ซึ่งหมายถึงประชาชนส่วนมากในประเทศไทยได้เลือก พตท. ทักษิณฯ เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ
Inner88: พตท. ทักษิณฯ เป็นคนทุจริตหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร ที่สำคัญคือ กลุ่มคนที่ถืออาวุธในมือและไปบังคับให้ผู้คนเชื่อว่า พวกเขาเป็นวีรบุรุษจริง แต่ให้มองว่า พตท. ทักษิณฯ เป็นคนร้าย และที่ยิ่งแย่กว่านั้นก็คือ คนเหล่านั้นไม่เคยให้ความสนใจแก่ความสุขของประชาชน พวกเขาเห็นแก่ตัว นึกเพียงแต่จะแก้แค้น
Korat: ถ้ามีกำลังอาวุธมาบังคับแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีระบอบประชาธิปไตย หากมองเรื่องที่ทหารได้ทำไปแล้วนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกขบขันเหลือเกิน
Rbuncha: ทหารอาจจะถือว่าคนไทยนั้นโง่เหมือนวัวเหมือนควาย รู้จักแต่ไถนาเท่านั้น ถ้าฝ่ายทหารจะแก้ไขความผิดพลาดได้จริง ๆ ทำไมเขายังทำตรวจสอบข่าวสารนะ ประชาชนส่วนมากในประเทศไทยจะไม่สนับสนุนการกระทำของทหารเหล่านี้
Tutunutnut: หลังจากที่ พตท. ทักษิณฯ พ้นจากตำแหน่งแล้ว ประเทศไทยจะมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นหรือเปล่า
Britinbkk: เราไม่ชอบ พตท. ทักษิณฯ แต่เราก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทางทหาร คนโง่เหล่านี้ยังรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมไม่มีคนเข้ามาลงทุนที่เมืองไทย หากจะมีก็มีแต่เพียงคนบ้าที่จะมาลงทุนที่ประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยได้ตายจากไปแล้ว
Wasuvat: มีคนมากมายเชื่ออย่างโง่ว่า รัฐประหารโดยทหารจะนำมาซึ่งความชอบธรรม พตท. ทักษิณฯ เป็นผู้ที่ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งด้วยตนเอง แต่เดี๋ยวนี้ พตท. ทักษิณฯ ถูกขับออกจากตำแหน่งโดยการรัฐประหาร นี่น่ะหรือคือประชาธิปไตย
Kah064: มีรัฐประหารเกิดขึ้นที่ศตวรรษที่ 21 ทำไมผู้คนจึงไม่เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อ 30 ปีก่อนอีกแล้ว ถ้าไม่มีอาวุธ พวกคุณก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
Artportal: เราจะร้องไห้ให้กับประเทศนี้ พวกเขาแย่งชิงอำนาจการปกครองจากประชาชนด้วยอาวุธและรถถัง
Jeadsss: จากประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นเวลา 45 ปี พตท. ทักษิณฯ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย

คำบอกเล่า...ของทักษิณ
ทุกครั้งที่มีการก่อรัฐประหาร ในช่วงเดือนแรก ผู้คนต่างก็รู้สึกประหลาดใจทั้งนั้น หนึ่งเดือนต่อมา พวกเขาจึงเพิ่งรู้เรื่อง สามเดือนต่อมา ผู้คนเริ่มสังเกตว่า คนที่ก่อรัฐประหารในที่สุดแล้วต้องการจะทำอะไรบ้าง ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถทำอะไร ๆ ดี ๆ ขึ้นมาได้ ประชาชนจะเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ฝ่ายรัฐประหารก็จะเร่งรัฐสภาให้ผ่านญัตติการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นทันที มิเช่นนั้น จะรักษาสภาวการณ์ปกติให้คงอยู่ต่อไปไม่ได้ นี่ก็คือคนไทย

คำบรรยายใต้ภาพ
ภาพหน้า 206 รถถังที่จอดอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้ารวมทั้งบริเวณทำเนียบรัฐบาลได้ กลายเป็นสวนสนุกของชาวไทย หลังเลิกงานคนไทยจำนวนมากพากัน ไปเยี่ยมชมพร้อมครอบครัว




ว้า สงสัยคนเขียน ไม่ได้เข้ามาอ่านเว็บเสรีไทยนะคะ เลยไม่ยักมีชื่อของพี่ๆ หรือความเห็นของพี่ๆบ้าง พี่ๆ นี่ก็ช่างกระไร บางคนเล่นเว็บมาตั้งนานจนแก่ ยังไม่ดังซักที คิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 03:06
ตอนที่ 1

ค่ำคืนของนิวยอร์กสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ไม่มีวันดับลง ส่วนบนฟากฟ้า พระจันทร์เสี้ยวยังคงลอยเด่น ประดับด้วยดวงดาวระยิบระยับ ความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วนับแต่ขอบฟ้าจนถึงกลางใจ ก็เปรียบได้กับชะตาชีวิตของคนที่เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ของจักรวาลแล้วช่างน้อยนิดยิ่งนัก
ทักษิณไม่ได้เปิดผ้าม่านมองฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่างเลย ทั้งวันที่ผ่านมา บุคคลผู้ซึ่งอ่อนล้าทั้งกายใจผู้นี้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการต่อสู้กับโชคชะตาที่ถูกท้าทายอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นับตั้งแต่มีข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับในการปฏิรูปทางการเมืองแล้ว เขาก็ได้ยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ นายทอม เครือโสภณที่ปรึกษาของเขาได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า “นรม. ไม่ยอมรับความชอบธรรมของการปฏิรูปครั้งนี้ และไม่ได้ยอมวางอำนาจ ไม่ได้แสวงหาการลี้ภัยแต่อย่างใด” ใช่แล้ว เขาไม่ได้ขอลี้ภัยที่สหรัฐฯ เลย เขาเพียงแต่กำลังใช้ความคิด คิดว่าจะไปทางไหนต่อดี ในอดีต ผู้นำที่แพ้สงครามจะขี่ช้างหรือม้าหลบเข้าไปในป่าลึก ส่วนปัจจุบัน นรม. คนหนึ่งที่ถูกลอยแพจะนั่งเครื่องบินไปหาประเทศที่ปลอดภัยสักประเทศหนึ่ง ควรไปไหนดี ควรเดินทางไปเรื่อยๆ หรือไม่ จากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่ง จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็ไม่สามารถสลัดรอยแผลในใจที่บอบช้ำและความห่วงกังวลในอนาคตของบ้านเมืองไปได้

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
ชาวไทยเป็นคนที่รักอิสรภาพและประชาธิปไตย พวกเขารักราชวงศ์ และก็รักประชาธิปไตย ประชาธิปไตยซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ประเทศไทยต้องการในเวลานี้ ก็คือจะต้องนำอำนาจคืนให้ประชาชน ผมหวังว่าจะสามารถเห็นการกลับคืนมาของประชาธิปไตยโดยเร็ว รัฐบาลที่จำเป็นสำหรับประชาชนในเวลานี้จะต้องเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกของประชาชนเท่านั้น ประชาชนจะต้องอดทนอีกปีครึ่ง รอคอยประชาธิปไตย จากนั้นค่อยเลือกพรรคการเมืองที่ดีเข้ามาบริหารประเทศ ผมคิดว่าประชาธิปไตยจะกลับมาในเร็วๆ นี้

เขารู้ การท่องโลกในวันนี้ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ แต่เกิดจากการถูกบังคับให้ต้องออกมา เป็นบทเรียนที่โหดร้ายนัก แต่เมื่อเป็นบทเรียน ก็ถือเป็นการเรียนรู้เช่นกัน เพราะคน คนหนึ่งหากว่าอยู่แต่ที่สูงแล้วมองลงมาเบื้องล่าง จากเก้าอี้ นรม. มองผ่านชั้นฟ้า จากจุดที่มีอำนาจสูงส่ง มองลงมายังด้านล่าง สิ่งที่จะเห็นอยู่ตลอดก็คือใบหน้าที่ยิ้มแย้มและการเอาใจของคนใต้บังคับบัญชา เสียงปรบมือที่ได้รับตลอดเวลาทำให้รู้สึกชินชา ความสำเร็จที่ได้รับอย่างต่อเนื่องทำให้คนเหลิงได้ นักการเมืองคนหนึ่ง ต้องผ่านความพ่ายแพ้มาแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถมองผ่านความโชคร้ายเพื่อเห็นภาพรวมทั้งหมด จึงจะเข้าถึงและเข้าใจโฉมหน้าที่แท้จริงของคนบนโลกนี้ได้ การถูกบังคับให้หนีนั้น มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี สถานที่แรกจะไปไหนดี เขาอยู่ที่นิวยอร์กนั้นมีเครื่องบินของทางการ ลำหนึ่ง ในมือมีหนังสือเดินทางนักการทูตแบบพิเศษที่มีเพียงผู้นำจึงจะมีได้ แต่อีกไม่นานก็คงใช้ไม่ได้แล้ว คุณหญิงพจมานภรรยาแนะนำเขาว่า “ไปลอนดอนเถอะ ลูกสาวอยู่ที่นั่น อีกไม่กี่วัน พวกเราจะตามไปสมทบที่ลอนดอน” พิณทองทา ลูกสาวคนโตของเขากำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแอลเอสอี และที่ใจกลางกรุงลอนดอนก็มีบ้านหลังหนึ่งซึ่งสามารถใช้เป็นที่พักชั่วคราวได้
ทักษิณเริ่มดำเนินการต่างๆ เขาขอให้บริษัทการบินไทยช่วยเหลือ เครื่องบินพิเศษจะต้องบินผ่านน่านฟ้าหลายประเทศ ล้วนแต่ต้องขออนุญาตก่อน จากนั้น ก็ได้แต่รอคอย รอคอยผ่านวันเวลาที่ยาวนาน เวลาค่อยๆ เดินไปทีละนาที ทีละวินาที แต่ละนาทีช่างผ่านไปอย่างยากลำบากนัก คนที่ต้องหลบหนีได้แต่รอคอยอยู่แต่ในบ้าน จวบจนฟ้ามืดลง

จนยี่สิบสามนาฬิกาจึงได้ข่าว ทุกอย่างถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดี เครื่องบินพิเศษสามารถมุ่งหน้าไปกรุงลอนดอน พรุ่งนี้เช้าก็ออกเดินทางได้ เขาถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง พูดกับคนในบังคับบัญชาว่า “พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจอกันแต่เช้า ใครที่ยินดีจะอยู่ที่ลอนดอน ผมจะจัดการหาที่พักชั่วคราวให้ ส่วนใครที่อยากจะกลับประเทศ หลังจากเครื่องบินแวะพักที่ลอนดอนแล้ว ก็จะพากลับไปที่กรุงเทพฯ” ลูกพี่ลูกน้องของเขามีบ้านอยู่ที่ลอนดอน สามารถใช้เป็นที่พักให้ข้าราชการที่ต้องหลบหนีเหล่านี้ได้


ตอนที่ 2
 
เพื่อนร่วมงานทั้งหลายกลับห้องพักผ่อนแล้ว ทั้งห้องก็เหลือเขาเพียงคนเดียว เส้นประสาทที่ตึงเครียดค่อยผ่อนคลายลงมา หัวสมองที่หมุนติ้วก็หยุดลงได้ เขานั่งอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง ทันใดนั้น ความรู้สึกว่างเปล่าก็จู่โจมโถมถาราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามา ความรู้สึกแบบนี้ ในชีวิต 57 ปีที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่จะเกิดขึ้น เขาจำได้ว่า ตอนยังเด็ก แม่เคยพาเขาไปดูดวง ดวงชี้ว่าเขาเป็น “นักสู้ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”

เป็นจริงดังว่า ตั้งแต่เป็นนักเรียน นักธุรกิจ จนเป็น นรม. เขาผ่านชีวิตที่ทุกวันแสนจะยุ่ง ทั้งชีวิตไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทุกวันพอลืมตาขึ้นมาก็คือการทำงาน ทำงาน ทำงานไม่เคยหยุดหย่อน ทำงานไม่เคยพักผ่อน จนถึงวินาทีก่อนหน้านี้ เขาก็ยังทำงาน ตอนนี้ คนที่เคยชินกับการทำงานอยู่ตลอดเวลาอย่างเขาไม่รู้จะทำอะไรดี เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพรุ่งนี้จะเดินต่อไปอย่างไร อาจจะนอนพักอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ที่ลอนดอน หลับสักตื่นใหญ่ เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน หลายวันมาแล้ว ไม่ได้หลับเต็มตาเลย วันที่สองหรือ จะยอมให้คนคิดว่าเขาหมดแรงแล้วหลบอยู่แต่ในห้องพร่ำเพ้อไม่ได้ อาจจะออกมาเดินเล่นที่ถนน ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาสักคน ไม่มีผู้ติดตาม ไม่ถูกรบกวนด้วยนักข่าว วันที่สาม ไปตีกอล์ฟ หรือไม่ก็อ่านหนังสือ วันที่สี่ อาจจะต้องปรึกษากับภรรยา ซื้อบ้านสักหลังที่ชานเมืองลอนดอน อพาร์ตเม้นต์ของลูกสาวอยู่ใจกลางเมือง ทั้งเล็กทั้งแพง แต่จะซื้อบ้านสักหลังหรือ เราจะอยู่ที่ลอนดอนนานขนาดนั้นหรือ

ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมอง พลันเขาก็คิดถึงช่วงเวลาที่เคยบวชอยู่ในวัดสิบเก้าวันเมื่อครั้งยังเด็ก

ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาแห่งนี้ ชายฉกรรจ์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาสามัญหรือเป็นเชื้อพระวงศ์ ในชีวิตต้องมีสักครั้งที่ควรแบ่งเวลาออกมาอยู่ที่วัด ใช้ช่วงเวลานี้อยู่อย่างสงบ จะทำให้มีชีวิตที่มีสาระและมีจิตวิญญาณ ปีนั้นทักษิณอายุ 21 ปี อยู่ชั้นปีที่ 3 ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เขาใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนออกบวชที่วัดแห่งหนึ่งใกล้กับเชียงใหม่จังหวัดบ้านเกิด วันที่ปลงผมนั้น เขาสวมชุดขาว มารดาถือชุดจีวรเดินอยู่ด้านข้าง บิดาอุ้มบาตร ญาติมิตรคนอื่นถือตาลปัตร กลด พร้อมด้วยเครื่องสังฆภัณฑ์ต่างๆ มุ่งหน้าไปยังวัดอย่างเอิกเริก ตามธรรมเนียมท้องถิ่น ชายคนหนึ่งหากออกบวชก่อนแต่งงาน บุญบารมีที่สะสมได้จะได้แก่มารดา หากแต่งงานไปแล้วค่อยออกบวช คนที่ได้บุญนั้นจะไม่ใช่มารดา แต่เป็นภรรยา ดังนั้น วันนั้นทั้งวัน มารดาของทักษิณจึงยิ้มตลอดเวลา

การออกบวชนั้นมีข้อห้ามมากมาย นอกจากห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามมุสา ห้ามดื่มสุรา และห้ามผิดประเวณี ซึ่งเป็นศีลห้าแล้ว ยังมีกฎห้ามเดินเร็ว ต้องใช้บันได เวลาทานอาหารห้ามมีเสียงดัง ห้ามใส่เสื้อผ้ามากชิ้น (ไม่เกินสามชิ้น) ห้ามร้องรำ ห้ามนอนฟูกสูง เป็นต้น ล้วนเป็นวินัยสงฆ์แบบหินยานที่เป็นแบบเฉพาะของประเทศไทย เขาก็เป็นพระที่ปฏิบัติตามข้อวินัย ทุกวันจะตื่นขึ้นมาทำวัตรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จากนั้น ก็จะทำความสะอาด คอยรับใช้พระสงฆ์ ทานอาหารเพียงวันละมื้อ เลยเที่ยงแล้วไม่รับประทานอาหารอีก ชีวิตที่เรียบง่ายเฉกนี้ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งสำหรับคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่ในสายเลือดเช่นเขา หลังจากผ่าน 19 วันไปแล้ว เขาก็สึกออกมา แม้จะไม่เข้าใจในพระธรรมอันลึกซึ้งมากนัก แต่เขาก็ได้เรียนรู้เรื่องหนึ่ง นั่นคือ การนั่งคิดอย่างมีสมาธิ พระอาจารย์ได้สอนเขาว่า การนั่งสมาธิสามารถช่วยคนให้ฝึกฝน “ญาณ” ได้ ช่วยให้คนไม่ต้องเผชิญกับความคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่คงกระพัน ความเจ็บปวดกับความทุกข์ใจก็เช่นกัน นี่คือวิถีแห่งธรรมชาติ เมื่อคุณเข้าใจจุดนี้แล้ว ก็จะไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานนัก

อำนาจก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นกัน วันนี้เขาจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสัจธรรมนี้ เมื่อก่อนนั้น เมื่ออำนาจในมือเพิ่มมากขึ้น นิสัยความเป็นคนเข้มแข็งของเขาก็ยิ่งแข็งมากขึ้น ส่วนตอนนี้ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็หล่นจากยอดเขาแห่งอำนาจลงมาสู่หุบเขาอันมืดมิด ความจริงแล้ว ฉากสุดท้ายของนักการเมืองสักคนก็เหมือนกับคนทุกคนที่ต้องแก่ตัวลง เป็นวิถีแห่งธรรมชาติ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าฉากอำลาของตัวเองจะกระอักกระอ่วนและถูก ดูแคลนจนต้องหลบลี้เช่นนี้ หกปีที่ผ่านมา เขาทำทุกอย่างเพื่อประเทศนี้ สิ่งที่ได้คืนมากลับกลายเป็นจุดจบที่โหดร้าย ในตอนกลางวัน ต่อหน้าคนอื่นเขาต้องอดทนกับความปวดช้ำ ยามกลางคืน ความเจ็บปวดนั้นยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น ทำเสมือนว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น มองไม่เห็นอะไร ไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งนั้น ราวกับเข้าสู่ความว่างเปล่า เพราะว่าท่ามกลางความว่างเปล่า จะไม่ต้องคิดคะนึงและหวาดระแวงถึงความเจ็บปวด ทุกอย่างจะจบลง จนถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่จะออกจากนิวยอร์ก เขาก็ยังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษไว้ ไม่ได้เอ่ยปากแม้สักประโยคหรือสักคำถึงความทุกข์ในใจ แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียวยามค่ำคืน ก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ที่ซุกตัวอยู่มุมห้องเพื่อหลบรักษาตัว ค่อยๆ เลียบาดแผลในหัวใจ

เขานึกถึงค่ำคืนที่เต็มไปด้วยฝนเมื่อยี่สิบหกปีก่อน เตียงนอนที่ลอยไปตามสายฝน ความหวาดกลัวทั้งวันทั้งคืนจากการถูกตามหนี้ และวันคืนที่จนตรอกจนสิ้นหวัง วันนี้ เขามีอะไรที่จะต้องโอดครวญอีกเล่า ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต ก็ผ่านมาแล้ว ตอนนั้น เขาไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ล่องลอยไม่รู้จะทำอะไร วันนี้ แม้เขาจะสูญเสียเก้าอี้ นรม. แต่เขายังมีเงิน มีเพื่อน อะไรที่ควรมีก็มีหมดแล้ว เขาผ่านชีวิตที่ลำบากและมีความสุข ชัยชนะและการล้มลงมาหมดแล้ว เขาได้ผ่านความรู้สึกเป็นรองคนเพียงหนึ่ง แต่เป็นหนึ่งเหนือคนหมื่นมาแล้ว และก็ผ่านความรู้สึกหมดหวังเหมือนโดนผลักลงนรกเพียงข้ามคืนมาแล้วเช่นกัน เขาเคยยากจนจนไม่มีอะไร วันนี้เขาก็ร่ำรวยระดับแถวหน้า เขาเคยมีคนรัก มีคนเคารพ แต่ก็โดนคนขับไล่ โดนคนรังเกียจ โชคชะตามีขึ้นมีลงไม่หยุดนิ่ง ชีวิตตลอดห้าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาของเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย สิ่งที่โชคชะตามอบให้กับเขาก็ไม่น้อยเลย มีอะไรที่ยังไม่พอใจอีกเล่า ความทรมานจะสำคัญไปกว่าความสุขได้อย่างไร ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการมีครอบครัวแสนอบอุ่นคอยสนับสนุนและปลอบประโลมเขา เขานึกถึงช่วงหลังจากที่เกิดเหตุระเบิดรถเมื่อเดือนสิงหาคม ภรรยา ลูกชายและลูกสาวสี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวปลอบโยนซึ่งกันและกัน พูดคุยกันถึงหัวข้ออันโหดร้ายเกี่ยวกับว่าจะสูญเสียเขาไปหรือไม่ เขาฟังแล้วปวดใจนัก ตอนนี้ เขาจะไม่ทำให้พวกเขาต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกแล้ว เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเคียงข้างภรรยาและลูกๆ เขาค้นพบว่าชีวิตของคนเรา ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความพ่ายแพ้ ไม่ใช่ความยากจน และไม่ใช่การถูกกีดกัน แต่เป็นความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต อาจจะต้องใช้ความรักของคนที่มีผูกพันกันทางสายเลือด ถึงจะสามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นท่ามกลางความว่างเปล่านั้นได้ ทันใดนั้น เขารู้สึกอยากเจอพิณทองทาเหลือเกิน เธอคงกำลังรอคอยเขาอยู่ที่ลอนดอนด้วยความกระวนกระวาย ภรรยาและลูกๆ จะต้องอยู่ข้างๆ เขาเพื่อผ่านคืนวันเหล่านี้ไป ไม่ควรให้พวกเขาต้องถูกทรมานอย่างโหดร้ายแบบนี้แล้ว เขาควรจะดูแลตัวเองให้ดี ว่าแต่เขาจะมัวแต่มานั่งคิดพวกนี้ทำไมกัน

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
หลังจากเกิดเหตุปฏิรูปทางการเมือง ผมก็เหมือนกับตายไปสองครั้ง คนเราปกติแล้วจะตายแค่ครั้งเดียว แต่ผมตายสองครั้ง แต่ว่าความทรมานเหล่านี้ทำให้ผมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกอย่าง ช่วงที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตผมก็ได้ผ่านไปแล้ว ตอนที่ผมทำการค้าแล้วล้มเหลวนั้น แย่ยิ่งกว่าตอนนี้อีก ตอนนี้ ผมมีเงิน มีเพื่อน มีประสบการณ์ ตอนนั้นอะไรก็ไม่มีสักอย่าง ไม่มีใครที่จะช่วยได้ ติดหนี้ธนาคารก้อนโต มักจะถูกบีบให้ต้องขึ้นศาล เพราะติดหนี้ธนาคารแล้วไม่ใช้เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิตผม ผมแทบไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไร มืดแปดด้าน ไม่เห็นแสงอะไรเลย ตอนนี้ แม้จะเจอกับอุปสรรค แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าจะต้องมีชีวิตต่อไปอย่างไร

ถ้าหากจะให้ผมให้คะแนนตัวเอง ด้านการใช้อำนาจ ผมให้ตัวเองไม่ผ่านเกณฑ์ ด้านประสิทธิภาพในการบริหารรัฐบาล ผมให้แปดคะแนน ด้านความนิยมของประชาชน ผมก็ให้แปดคะแนน แต่ว่าถ้าหากถามผม แปดคะแนนดีหรือไม่ ผมจะตอบว่า มากเกินไป หกคะแนนก็พอแล้ว ในฐานะสามี ผมให้ตัวเองหกคะแนน จริงๆ แล้วผมควรจะได้เก้าคะแนน ถ้าหากว่าผมสามารถใช้ชีวิตแบบธรรมดาได้ ถ้าหากว่าผมไม่ได้เข้าสู่วงการการเมือง แต่ว่าตอนนี้ผมทำได้แค่หกคะแนน

ทักษิณเริ่มเก็บของ เดินวนไปมาในห้องหลายรอบ เก็บเอกสารที่กระจัดกระจายบนโต๊ะ เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทาง เขาหยิบเอาสูทที่พรุ่งนี้จะใส่ อย่างน้อยก็เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกหลังเกิดเหตุปฏิรูปทางการเมือง ทำตัวง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน เขารู้ว่านักข่าวรออยู่ข้างล่างนานแล้ว พวกเขาอยากเห็นปฏิกิริยาของเขา จะพูดอะไรกับเขาดีล่ะ ตาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ตีหนึ่งแล้ว เขาไม่อยากคิดต่อไปแล้ว จึงขึ้นนอนบนเตียง กะว่าจะหลับ พอหัวถึงหมอน ความเหนื่อยล้าทางใจก็ถาโถมเข้ามา ไม่ใช่เฉพาะเหนื่อยกาย ซึ่งก็ทำให้เขาหลับไป
เขานอนหลับสนิท ไม่ได้แม้แต่จะฝัน


ตอนที่ 3

ในความสะลึมสะลือนั้น เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น เขารู้สึกตัวตื่น นั่งขึ้นมามองนาฬิกา ตีสี่แล้ว ในชีวิต เขาไม่เคยรู้สึกเหมือนวันนี้มาก่อน มองนาฬิกาอย่างกระวนกระวาย แต่ละนาทีที่ผ่านไปใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะปรากฏเป็นภาพลอยขึ้นมากลางใจเขาในวันข้างหน้า เขาลงจากเตียง เปิดประตู เจอกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเขา “ท่านนายก ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว พวกเราไปได้แล้ว” เพื่อนแท้คนนี้ของเขาขอบตาดำคล้ำ คงไม่ได้นอนทั้งคืนเป็นแน่

ทักษิณอาบน้ำร้อน รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาใส่เสื้อขาว ผูกเนกไทสีแดง ดูเหมือนผ่อนคลาย ใช่แล้ว ไม่มีภาระอยู่บนบ่าแล้ว ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะเกิดการปฏิวัติหรือไม่ ไม่ต้องคอยคิดว่าการเลือกตั้งจะชนะหรือไม่ ไม่ต้องคอยมองดูคนที่มาประท้วง ไม่ต้องเผชิญหน้ากับงานราชการที่ไม่มีวันทำให้เสร็จ ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงทุกวัน เก้าโมงไปทำงาน เที่ยงคืนจึงได้นอน ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่ตามชนบท ไม่ต้องไปงานเลี้ยงเข้าประชุม จะทำอะไรก็ต้องรีบร้อนไปหมด อีกไม่นาน ก็จะเริ่มชีวิตใหม่แล้ว เขาพลันนึกได้ว่าควรบอกลาลิเดีย

“ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงงัวเงียมาตามสาย ลิเดียคงกำลังหลับฝันอยู่ หลายวันก่อน เขาเจอดาราสาววัย 19 ปีที่กำลังโด่งดัง เธอเป็นเพื่อนของพานทองแท้ลูกชายเขา มาทำเรื่องเรียนต่อที่นิวยอร์กพอดี

“ลิเดีย ลุงจะไปแล้ว ลุงตกงานแล้ว” ลิเดียที่อยู่ปลายสายอึ้งไปทันที

“ลุงจะไปลอนดอน เราค่อยเจอกันใหม่นะ”

ตีห้า ทักษิณภายใต้การอารักขาของหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษก็ออกมาทางห้องครัวของโรงแรมไฮแอท รถมารออยู่แล้ว นาทีนั้น เขาคิดถึงช่วงเวลาสามสิบปีที่แล้วที่เขามาเรียนที่สหรัฐฯ และทำงานเป็นนักเรียนจนๆ คนหนึ่ง ก็มักจะต้องออกทางประตูหลังของห้องครัวโรงแรม แต่ว่าตอนนี้ เขาต้องหลบนักข่าว เขาไม่อยากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว พูดอะไรล่ะ ใช่แล้ว เขาแพ้แล้ว แต่เป็นความผิดเขาหรือไร ในการเมืองไม่เคยมีถูกผิด มีแต่แพ้ชนะ
ในช่วงย่ำรุ่ง ทักษิณเดินทางไปสนามบินเคเนดี้ ไปสู่ชีวิตที่ไม่รู้จะเป็นเช่นไร เวลานี้ นักข่าวนับร้อยจากทั่วโลกต่างรออยู่นอกโรงแรมอย่างอดทน แต่ไม่มีใครสมหวังสักคน

คำบอกเล่า..ของทักษิณ
หลังเกิดเหตุปฏิวัติ ในใจผมสับสนมาก ด้านหนึ่ง ผมเป็นห่วงว่าจะทำให้คนอื่นสูญเสียความมั่นใจในประชาธิปไตยของไทย การพัฒนาของประเทศจะถอยหลังไปอีกหลายปีเพราะเหตุนี้ แน่นอนว่าตอนนี้ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะกังวล แม้ว่าผมจะรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องนี้ แต่อีกด้านหนึ่ง ผมก็ดีใจ เพราะในที่สุดผมก็ได้มีเวลาให้ครอบครัว ให้ตัวเอง ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน หลายปีที่ผ่านมา ผมทำงานตลอดเวลา ทำงาน ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ผมเป็นเด็กผู้ชาย ผมก็ทำงานมาตลอด ตั้งแต่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็เข้าสู่การเมือง ทำงานเพื่อประชาชน ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด หกปีในตำแหน่ง นรม. ถือว่านานมาก การเป็น นายกรัฐมนตรีของไทยเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งนัก เป็นภารกิจที่ยากและลำบาก ตอนนี้ เป็นเวลาที่ควรปล่อยมือแล้ว ถ้าหากไม่มีการปฏิวัติ ผมก็คงจะลาออก ภรรยาของผมมักจะเตือนผมเสมอ เธอรู้สึกว่าผมทำงานหนักเกินไป ควรลาออกมาพักผ่อน
 
ผมอยากจะกลับไปตลอดเวลา ขอเพียงแต่ประเทศชาติต้องการผมหรือว่าสถานการณ์เอื้ออำนวย ตอนนี้ที่ผมเป็นห่วงก็คือเรื่องของความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวผมห่วงเรื่องความปลอดภัยของผมมาก พวกเราไม่ค่อยเป็นห่วงข้อกล่าวหาพวกนั้น เพราะพวกเราไม่ได้ทำผิด พวกเรามั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย

ทักษิณเริ่มต้นชีวิตที่ไร้จุดหมาย ผ่านไปหลายชั่วโมง บนเครื่องบินที่มุ่งหน้าสู่ลอนดอน เขาพูดกับนักข่าวที่ตามไปด้วยว่า “ถ้าหากว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ผมก็ยินดีจะลาออก แต่ผมไม่ยอมรับว่าการปฏิวัตินี้ชอบธรรม การปฏิวัติจะไม่มีวันได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่” “ตอนมาผมเป็นนายกฯ ตอนกลับผมเป็นคนตกงาน”

ผ่านไปสองเดือน กรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องใช้กฎอัยการศึกแล้วนั้น ทำเนียบรัฐบาลสไตล์ยุโรปถึงได้สงบลงไปมาก ชาวไทยเริ่มใช้ชีวิตวันหยุดเหมือนเคย นอกทำเนียบฯ มีคนมาตั้งแผงและร้องขายของ ภายในทำเนียบฯ ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร ภาพทักษิณ ชินวัตรและป้าย “นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย” ได้ปรากฏขึ้นบนผนังด้านข้าง.

ราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยเกิดอะไรขึ้นจริงหรือ

ในความเงียบงัน ก็มีเสียงเพลงดังขึ้น เพลงชื่อว่า “ทักษิณ แบบอย่างที่ดี” เป็นมิวสิก วีดีโอที่แพร่หลายในอินเตอร์เน็ตทั่วโลก ภาพวีดีโอยาวเจ็ดนาทีนี้ประกอบขึ้นจากภาพของทักษิณ 140 ภาพ

เขาพนมมือขึ้น เขาแต่งกายในเครื่องแบบทหาร เขาใส่สูท มือถือแจ็กเก็ต เขาขับเครื่องบินรบ เขาขับมอเตอร์ไซค์ เขานั่งรถแทรกเตอร์ เขาเดินไปตามชนบท เขานั่งยองๆ ริมบ่อน้ำ เขาเล่าประสบการณ์ความร่ำรวยให้คนยากจนฟัง เขากินข้าวกับชาวนา สตรีคนหนึ่งกอดเขาร้องไห้จนไม่มีเสียงจะร้อง เขากอดเด็กทารกคนหนึ่งและหัวเราะ เขากำลังตั้งใจฟัง เขากำลังเจรจา เขากำลังเปิดพิธี เขากำลังลงนามความตกลง เขากำลังเลือกตั้ง เขากำลังถือธงชาติ เขาสวมพวงมาลัยดอกดาวเรือง เขากำลังให้สัมภาษณ์ เขาหาเสียงกลางสายฝน เนื้อตัวเปียกโชก เขาคุยกับบุช เขาจับมือกับอันนัน เขาถ่ายรูปกับผู้นำประเทศมากมาย เขาเตะฟุตบอล เขาพายเรือ เขาผัดกับข้าว เขาออกกำลังกาย เขาใส่ที่ปิดปาก เขากินไก่เพื่อแก้ปัญหาไข้หวัดนก เขากับภรรยากอดกัน เขาเล่นกับลูกชายหญิง เขาเต็มไปด้วยพละกำลัง เขาเหนื่อยอ่อน เขายิ้มอย่างเบิกบาน เขามีน้ำตานองหน้า เขาถวายคำนับพระบรมฉายาลักษณ์ เขาคุกเข่าที่เก้าอี้รถเข็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หน้าของเขาแนบกับหน้าของชาวนา มือของเขาถูกมือนับไม่ถ้วนกุมเอาไว้ เขาโบกมืออำลา

เพลงนั้นใช้ทำนองเพลง “กลับบ้าน” ของนักร้องโรแมนติกชาวแคนาดาที่ชื่อ Michael Buble มาใส่เนื้อเพลงไทย เสียงเพลงดังแว่วมาว่า
 
ฤดูร้อนของปารีสและโรมนั้น
ผ่านมาแล้วเลยไป
ฉันเพียงอยากกลับบ้าน
ใช่แล้ว กลับบ้าน
....................
รอบกายมีคนเคียงข้างมากมาย
หากยังรู้สึกว้าเหว่ใจ
ฉันอยากกลับบ้าน
กลับบ้านของฉัน
....................
ฉันคิดถึงเธอ
จดหมายที่ฉันเขียนให้
เริ่มต้นที่ว่า
“ฉันสบายดี แล้วเธอเล่า”
....................
ควรส่งไปให้เธอ
แต่เนื้อถ้อยกระบวนความเยือกเย็นจับใจ
และเธอควรได้รับความห่วงใย
มากกว่านี้
....................
เที่ยวบินมุ่งสู่แดนไกลอีกครั้ง
บินไปสถานที่แสนไกลอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์
ฉันคือคนโชคดี
แต่ฉันยังอยากกลับบ้าน
บ้านของฉัน
....................
ขอให้ฉันกลับบ้านเถิด
ฉันจากบ้านมาไกลเกินไป
....................
ในโลกของคนอื่น
ใช้ชีวิตที่ต่างไป
เมื่อทุกอย่างได้ดังที่ตั้งใจ
เธอกลับไม่ได้อยู่ข้างกายฉัน
นี่หาใช่ความต้องการของเธอ
เธอเชื่อมั่นในตัวฉันถึงเพียงนี้
....................
ฉันอยากกลับบ้าน
ฉันเริ่มออกเดินทาง
ฉันอยู่กลางทาง
ให้ฉันกลับบ้านเถิด
ทุกอย่างผ่านไปแล้ว
บางทีอาจเป็นคืนนี้
ที่ฉันจะกลับบ้าน







ซึ้งไหมคะ พี่ๆขา คุณลุงทักษิณ บอกลาลิเดียด้วยน๊า ~

♬ ♬ เธอทำให้วันที่เหงาใจ เป็นวันที่ใจไม่เหงาเลย

เธอทำได้ดีมากๆเลย ทำได้งัย ลัลล้า.... ♬ ♬ ~

อย่าอิจฉาน้องนะคะ พี่ๆ คิกๆๆๆ





หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: น้องลิเดีย ที่ 07-08-2007, 03:10
บทส่งท้าย

บางที เรื่องราวก็น่าขันนัก

ตอนที่ทักษิณเป็น นรม. นั้น เกือบทุกครั้งที่มาเยือนจีน จะต้องแวะไปที่ Pine Valley เพื่อเยี่ยมสหายเก่า ชาวไทยเชื้อสายจีน..นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง (เหยียน ปิน) นายชาญชัยเดินทางไปสร้างตัวที่ไทยตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ตอนนี้เป็นประธานกรรมการบริหารกลุ่มหัวปิน อินเตอร์เนชั่นแนล และก็เป็นผู้บริหารกระทิงแดงในจีน ส่วน Pine Valley ตั้งอยู่ที่เชิงกำแพงเมืองจีน เป็นสนามกอล์ฟที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของปักกิ่ง มีทั้งภูเขาและสายน้ำกับทุ่งหญ้าเขียวขจี เมื่อมาอยู่ที่นี่ ทักษิณจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เดือนเมษายน 2549 ตอนที่เป็น นรม. ของรัฐบาลรักษาการณ์นั้น ทักษิณก็มาที่ Pine Valley เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดกับนายชาญชัยว่า ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย อาจจะมีสักวันนะที่ผมจะเลิกทำงาน แล้วมาอยู่ที่นี่ มาตีกอล์ฟ พักผ่อนสักหน่อย

นายชาญชัยหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านยุ่งขนาดนี้ ถ้าไม่เป็น นรม. แล้ว คงยิ่งไม่มีเวลามาที่นี่

จากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิรูปทางการเมือง ทักษิณถูกบีบให้อยู่นอกประเทศ

นั่นคือ วันที่ 19 กันยายน 2549

ประมาณ 10 วันหลังจากนั้น ทักษิณที่อยู่ที่ลอนดอนก็ได้รับโทรศัพท์จากนายชาญชัย นายชาญชัยกำลังตามหาตัวเขาไปทั่ว ทำให้ทักษิณรู้ซึ้งว่านี่แหละคือเพื่อน นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมของเพื่อน ซึ่งจะต้องเข้าใจด้วยว่า ทั้งสองคนนี้ไม่ได้รู้จักกันในสนามการค้า แต่เป็นแค่เพื่อนในสนามกอล์ฟเท่านั้น

นายชาญชัยบอกว่า ท่านรีบมาเถอะ ท่านกลับประเทศไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดควรมาจีน ผมจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้ท่านเอง

นายชาญชัยต้อนรับเพื่อนเก่าแก่ด้วยการตรงเข้าไปกอดทักษิณ และพูดคุยกันด้วยภาษาไทย

เดือนเมษายน 2549 สนามกอล์ฟ Pine Valley จัดการแข่งขันกอล์ฟ Beijing Tournament ขึ้น ทักษิณก็ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดในฐานะคนทั่วไป นึกไม่ถึงว่าชาวจีนจำนวนไม่น้อยจำเขาได้ พากันวิ่งเข้ามา จับมือกับเขา ถ่ายรูปร่วมกับเขา มีคนยื่นนามบัตรให้เขา ทักษิณก็รับมาด้วยความนอบน้อม พร้อมกับแบมือออกพูดว่า ขอโทษจริงๆ ตอนนี้ผมไม่สามารถจะมอบนามบัตรแบบนี้ให้คุณได้ อีกฝ่ายพูดว่า ไม่เป็นไร หวังว่าคุณจะอยู่ที่จีนอย่างมีความสุข

นายชาญชัยบอกว่า คนอย่างทักษิณ มีความสามารถและรู้จักการควบคุมตัวเองอย่างดีเยี่ยม แม้ว่าช่วงนี้จะเกิดเรื่องไม่ดีมากๆ กับเขาหลายอย่าง เขาก็ยังสามารถรักษาอาการยิ้มแย้มหัวเราะไว้ได้ เขาสุขุมมาก เผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ อย่างใจเย็น เป็นคนประเภทที่ทำการใหญ่ได้ เวลาที่เขาพูดถึงเรื่องปฏิรูปทางการเมืองนั้น ก็เป็นการพูดแบบปกติ ไม่ได้พูดอย่างใช้อารมณ์แม้แต่น้อย

คำบอกเล่า...ของทักษิณ
ที่ปักกิ่ง ทุกคนเป็นมิตรกับผม หลายคนรู้จักผม ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ชาญชัยเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นในการใช้ชีวิตให้ผม ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน ผมปรับตัวเข้ากับชีวิตที่ปักกิ่งได้เป็นอย่างดี หลังจากไปมาทั่วทั้งเอเชียแล้ว ผมดีใจที่ที่นี่กลายเป็นแหล่งพักพิงให้ผมได้ ผมเชื่อว่า ถ้าหากผมถูกบังคับไม่ให้กลับประเทศไทยนานกว่านี้ จีนจะกลายเป็นสถานที่ที่ผมอยากอยู่มากที่สุด เพราะบรรพบุรุษของผมก็มาจากจีน

ชาญชัยเป็นเพื่อนแท้ ตอนอยู่ที่ประเทศไทย เขาไม่เคยขอความช่วยเหลืออะไรจากผมเลย เราเพียงแค่รู้จักกัน คุยกัน เล่นกอล์ฟ กับทานข้าวกันบ่อยๆ เท่านั้น
ก่อนเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ ผมไม่เคยคิดจะมาอาศัยอยู่ที่จีนเลย ตอนอยู่ที่ลอนดอน ผมคิดจะไปเอเชีย ตอนนั้น คนที่โทรศัพท์มาหาแล้วเชิญผมคนแรกคือชาญชัย ผมคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาจะเตรียมทุกอย่างไว้รอผมดีถึงขนาดนี้ เขาไม่เพียงแต่เตรียมให้ผม ยังเตรียมให้เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมผมด้วย ทุกอย่างได้รับการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี เขาคิดว่าผมควรจะอยู่ที่นี่ “อย่างน้อย 3 ปี” เขาพูดอย่างนั้น เขายังเตรียมจะสร้างบ้านให้ผมหลังหนึ่ง ครอบครัวเราทุกคนรู้สึกขอบคุณเขา ผมคิดว่า สักวันหนึ่งผมจะต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณนี้ของเขา

ชาญชัยรู้ว่านิสัยของผมเป็นคนกระฉับกระเฉง เขาไม่อยากให้ผมอยู่อย่างเบื่อหน่าย ก็เลยจัดกำหนดการต่างๆ ให้ เช่น ไปตีกอล์ฟที่ต่างประเทศกับเขา เพราะว่าหน้าหนาวที่ปักกิ่งหนาวมาก เล่นกอล์ฟไม่ได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมเดินทาง ผมจะเตรียมชุดกอล์ฟไปด้วย เราไปตามที่ต่างๆ ของจีนหรือว่าประเทศอื่นๆ เพื่อตีกอล์ฟกัน ชาญชัยได้จุดประกายความคิดหนึ่งให้ผม หลังจากที่เรามีเงินแล้ว จะต้องรู้จักหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่ควรจะทำเหมือนผมเมื่อก่อนที่ทำงานไม่หยุด ภรรยาผมบอกว่า คุณควรจะเรียนรู้จากชาญชัย ควรแบ่งเวลาให้กับตัวเองเพื่อหาความสุขบ้าง

แต่ผมก็ไม่คิดนะว่าการที่ผมมาอยู่ที่นี่จะทำให้รัฐบาลจีนรู้สึกไม่สบายใจ ผมอยู่ที่นี่ก็อยู่ในฐานะของเพื่อนคนหนึ่ง ของคนที่มีบรรพบุรุษมาจากจีนคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ตอนที่ร่างหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว ก็มีข่าวมาอีกว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ศาลรัฐธรรมนูญของไทยได้ตัดสินให้ยุบพรรคพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทยซึ่งมีพฤติกรรมใช้เงินไปในทางมิชอบระหว่างการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ในเวลาเดียวกัน นักการเมืองของพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นผู้บริหารพรรคจำนวน 110 กว่าคน รวมถึงทักษิณ ก็ถูกศาลตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นายจาตุรนต์รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวว่า เขาจะนำสมาชิกพรรคไทยรักไทยไปจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ แต่จะยังใช้ชื่อเดิม หลังจากที่พรรคใหม่ซึ่งใช้ชื่อเดิมได้รับการจัดตั้งแล้ว ก็จะใช้ “นโยบายรากหญ้า” ของไทยรักไทยเหมือนเดิม เพื่อคงอุดมการณ์ในการช่วยเหลือคนจน จิตวิญญาณของความเป็นไทยรักไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง จะสืบทอดต่อไป

วันที่ 11 มิถุนายน คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ได้มีมติให้อายัดทรัพย์ของทักษิณและพวก โดยให้เหตุผลว่าทักษิณคอร์รัปชันและมีพฤติการณ์ทุจริตประพฤติมิชอบ คำสั่งอายัดทรัพย์ครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมทั้งบัญชีธนาคารที่เปิดในชื่อของทักษิณ ภรรยา และบุตรจำนวน 21 บัญชี คตส. บอกว่า บัญชีธนาคารของทักษิณและภรรยานั้นมีมูลค่า 52,900 ล้านบาท (ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่เวลานั้น ทักษิณกำลังเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอซื้อทีมฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ซิตี้” เขาให้ราคาสูงถึง 197 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นายนพดล ทนายความและโฆษกประจำตัวของเขาแถลงว่า หลังจากทักษิณได้รับทราบข่าวข้างต้นก็รีบประชุมผ่านทางเทเลคอนเฟอร์เรนซ์กับเขา ทักษิณพูดทางโทรศัพท์ว่า เขาจะสู้ให้ถึงที่สุด “คำสั่งแบบนี้ไม่ยุติธรรม ผมจะใช้กระบวนการทางยุติธรรมอุทธรณ์ ทั้งต่อศาลและและศาลแพ่ง”

พลเอกสุรยุทธ์ นรม. ไทยได้กล่าวเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนว่า ถ้าหากทักษิณไม่ยอมรับการที่รัฐบาลอายัดทรัพย์สินจำนวน 1,500 ล้านของเขา เขาสามารถยุติการอยู่นอกประเทศแล้วกลับมาจัดการเรื่องนี้ได้ พร้อมกับยังได้รับประกันความปลอดภัยของทักษิณด้วย เขากล่าวว่า “ด้วยเงื่อนไขเกี่ยวกับกรณีทรัพย์สินของเขา (ทักษิณ) เขาควรจะกลับมาไทยเพื่อจัดการปัญหานี้...เขามีเวลา 60 วันที่จะจัดการ” ตามกฎหมายไทยระบุไว้ว่า ทักษิณและภรรยามีสิทธิจะยื่นคำร้องต่อศาลเกี่ยวกับกรณีการอายัดทรัพย์และบัญชีธนาคารได้ภายใน 60 วัน จึงมีข่าวว่า ทักษิณเตรียมตัวจะกลับเมืองไทย

วันที่ 15 มิถุนายน 2550 หนังสือพิมพ์ “Morning Post (Zaobao)” ของสิงคโปร์ได้ออกบทความเรื่อง “สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังอยู่ตรงปากวิกฤต” โดยบอกว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังคงอยู่ในช่วงวิกฤต น่าเป็นห่วง ข่าวลือว่าทหารจะปฏิวัติอีกครั้งยังมีอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้เพื่อโค่นล้ม นรม. สุรยุทธ์ฯ หัวหน้ารัฐบาลรักษาการ ยังดีที่ข่าวลือเป็นแค่ข่าวลือจริงๆ ไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนที่แล้วที่พรรคไทยรักไทยถูกบังคับให้ยุบพรรค ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดจลาจลได้ แม้จะมีการประท้วงกลุ่มเล็ก แต่ว่า ผู้คนก็รู้สึกว่า นรม. สุรยุทธ์ กับประธาน คมช. ซึ่งเป็นคนโค่นล้มอดีต นรม. ทักษิณ นับวันก็จะยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่า ผบ. ทบ. กับรัฐบาลรักษาการแตกกัน นั่นก็หมายความว่าทั้งการลงประชามติรัฐธรรมนูญใหม่และการเลือกตั้งปลายปีก็จะอันตรธานหายไปหมด

เหตุการณ์นี้ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุนทักษิณที่สนามหลวงในช่วงหลายวันที่ผ่านมามีแต่มากขึ้นกับมากขึ้น มีการวิเคราะห์ว่า ผู้นำฝ่ายทหารสนับสนุนการอายัดทรัพย์ในครั้งนี้ ก็เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร หากว่าการวิเคราะห์เช่นนี้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว ถ้าทักษิณกลับประเทศเพื่อต่อสู้ในคดีอายัดทรัพย์ กระบวนการตรวจสอบและร้องเรียนที่จะรอเขาอยู่ที่ไทยนั้นก็ย่อมจะไม่ได้เป็นไปแบบนุ่มนวลแน่นอน

ปลายเดือนที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญของไทยอาศัยเหตุผลเพียงเล็กน้อยตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยที่ทักษิณก่อตั้งขึ้นมา ทั้งทหารตำรวจทำราวกับว่าจะเผชิญกับศัตรูคนสำคัญ ผู้นำทหารถึงกับขอให้รัฐบาลรักษาการประกาศกฎอัยการศึก แต่ว่า นรม. สุรยุทธ์ ยืนยันที่จะไม่ใช้กฎอัยการศึก พร้อมทั้งยินยอมให้ประท้วงอย่างสันติได้ ในเวลานั้นสถานการณ์อันตรายมาก ผู้คนพากันกลัวว่าผู้นำทหารจะแตกหักกับรัฐบาลรักษาการ โชคดีที่ทักษิณและผู้บริหารพรรคไทยรักไทยตัดสินใจยอมรับคำตัดสินของศาล ทำให้การชุมนุมประท้วงไม่ขยายวงกว้าง และก็ช่วยให้ไม่เกิดการปะทะกันได้ ทุกฝ่ายของไทยควรจะรีบอาศัยโอกาสนี้เร่งประนีประนอม ทำตามคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลเคยให้ไว้ จัดทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ จากนั้น ก็จัดการเลือกตั้งในปลายปี เพื่อฟื้นคืนประชาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตยก็ต้องยอมประนีประนอม ถ้าหากฝ่ายใดอยากจะ “กินกลางตลอดตัว” ก็มีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะกลับไปสู่เส้นทางสายเดิมที่การเมืองพลิกผันตลอดเวลา เป็นการถอยหลังเข้าคลอง และไม่ก่อผลดีให้กับไทยเลย

ฝ่ายทหารของไทยพยายามทำให้ประชาชนชาวไทยและทั่วโลกเชื่อในเหตุผลที่ใช้ในการปฏิวัติ คตส. ก็ใช้เวลานานในการตรวจสอบ ในที่สุดก็ทำให้การปฏิวัติของทหารมี “เหตุผลที่แท้จริง” อย่างที่นักวิเคราะห์การเมืองบอก แต่ว่าสิ่งที่ไทยต้องการที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่เหตุผลของการปฏิวัติแล้ว แต่เป็นการเมืองที่มีประชาธิปไตย เวลาก็น้อยลงทุกที ถ้าหากว่าอนาคตของการการเลือกตั้งมีแนวโน้มมืดมัว สถานการณ์ก็จะเป็นไปในรูปที่ฝ่ายทหารไม่อยากเห็น นั่นคือ องค์กรประชาชนที่รวมตัวกันประท้วงขับไล่ทักษิณเมื่อปีที่แล้ว ค่อยๆ ผนึกกำลังกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร

ประเทศไทยยังอยู่ที่สี่แยกของวิกฤต ผู้นำทหารที่นำการปฏิวัติควรจะเร่งทำงานเพื่อคุ้มครองให้เกิดการฟื้นฟูประชาธิปไตยสู่ประชาชน ไม่ใช่ให้ผู้คนสงสัยคาดเดากันว่าทหารกำลังหาทางรักษาที่นั่งในรัฐบาลให้มั่นคงต่อไปใช่หรือไม่


คำบรรยายใต้ภาพ
(1) ภาพหน้า 236 วันที่ 21 กันยายน 2549 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทักษิณและบุตรสาวออกมาจากอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่ง ทักษิณได้ประกาศกับสื่อมวลชนผ่านทางผู้ช่วยว่า ตอนนี้เขาจะมีช่วงเวลา “การพักผ่อนตามสบาย” ต่อไปอาจจะตั้งใจวิจัยการพัฒนาของไทย หรือไม่ก็ทำงานการกุศล ทักษิณยังได้ให้กำลังใจพรรคการเมืองทั้งหมดของไทยให้ร่วมกันพยายามแสวงหาหนทางที่ทำได้จริงและสันติ เพื่ให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่โดยเร็ว






อ้า ...จบซะทีละค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 07-08-2007, 05:35
เสียดาย ที่ไม่รายงานเรื่อง "สื่อไทย" หลังปฏิวัติ

 :slime_bigsmile:

เดี๋ยวจะไปเชิญคนมาอ่านนะน้องลิเดีย

บทที่เกี่ยวกับสถาบัน ค่อนข้างโฉบเฉี่ยวนะ

อ้อ..ถามนิดนึง...ในเล่มนี้ หน้าเหลี่ยมเรียกตัวเองว่า "ลุง" ตอนโทรหาลิเดียทุกคำ

แต่ ทนายหน้าหอบอกว่า ลิเดียเรียก "พ่อ" ทุกคำ

ตกลง ลิเดียเรียกทักษิณ ว่าอะไรจ๊ะ...


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 07-08-2007, 08:52
น้องลิเดียน่ารักจัง...อุตส่าห์นำเนื้อเรื่อง 24 ชม.มาให้ลุงๆป้าๆในเว๊บนี้คอยจับผิดพยายามโยงให้เป็นเรื่องใต้สะดือให้ได้ ดูซิ...หน้าหม้อลามกจกเปรตกันหลายคนเชียว ท้าวฯรู้สึกขยะแขยงกับพวกที่ชอบแปรความสัมพันธ์ที่ดีฉันท์ญาติผู้ใหญ่เป็นฉันท์ชู้สาวนั่นน๊ะ สงสัยคนที่บ้านของพวกนี้มีพฤติกรรมดังกล่าว...พวกนี้ก็เลยคิดว่าคนอื่นเค้าจะเลวเหมือนคนที่บ้าน


ท้าวฯไม่ได้ด่าใครน๊ะ...ยกเว้นพวกที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 07-08-2007, 09:28
"อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า “ แพทองธาร เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปอีกเหรอ ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก! พอพูดถึงพ่อเธอ ฉันก็รู้สึกขยะแขยง” "

 :slime_bigsmile:

บทสนทนายังกะหนังสือเรื่องย่อละครทีวีเลย


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนร่วมชาติ ที่ 07-08-2007, 09:31
แค่อ่านบทนำ ข้าวเช้าก็เกือบออกแล้วครับ

เรื่องระเบิดเครื่องบินเอย คาร์บ๊องเอย กลุ่มคนไปขอไถ่ชีวิตโคกระบือจากป๋าเอย

ไม่มีโอกาสมาจ้อหลอกคนไทย ก็เลยทำหนังสือหลอกคนจีนต่อ

ตกลงว่าชีวิตนี้จะปลิ้นปล้อนไปเรื่อย ๆ ว่างั้นเหอะ  :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 07-08-2007, 10:08
ระดับ"ความชวนอ้วก"  ไม่น่าจะต่างกะไอ้โฆษณา "กิฟฟารีน" ที่กำลังออกอากาศที่หน้าจอทีวีในขนาดนี้เลย..!!!


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 07-08-2007, 10:16
ระดับ"ความชวนอ้วก"  ไม่น่าจะต่างกะไอ้โฆษณา "กิฟฟารีน" ที่กำลังออกอากาศที่หน้าจอทีวีในขนาดนี้เลย..!!!

 :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Kittinunn ที่ 07-08-2007, 11:30
ระดับ"ความชวนอ้วก"  ไม่น่าจะต่างกะไอ้โฆษณา "กิฟฟารีน" ที่กำลังออกอากาศที่หน้าจอทีวีในขนาดนี้เลย..!!!

ขำชื่อล็อกอินหง่ะ  :slime_bigsmile:

ดีวุ้ย ช่วยแปลให้อ่าน ไม่ต้องซื้อ  :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: คาคาชิ ที่ 07-08-2007, 12:05
ไอ้หัวเหลี่ยมนี่ มันถนัด พูดเองคนเดียว ที่สุดในโลก
กินเนสส์บุคส์ น่าจะให้รางวัล "เห่าคนเดียว ทั้งชาตินี้และชาติหน้า"

คน ฮา(พยายามอ่านออกเสียงไม้เอก) อะไรก็ไม่รู้ พูดเองคนเดียว แล้วคิดว่า คนทั้งโลกต้องเชื่อมัน

ไม่เคยเห็นแม่ง ออกทีวี ตอบคำถาม ฮา (ออกเสียงเอก)  อะไรเลย

มุดอยู่ในรู แล้วบอก "กรูไม่ผิด กรูไม่ผิด" 

คนมีสติ ใครเขาจะเชื่อวะ :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: สี่หามสามแห่ ที่ 07-08-2007, 12:05
ข้องใจ ประโยคนี้ที่สุด


"สถานการณ์ของประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตยช่วงสั้นและสันติดำเนินไปได้ 3 ปีเศษ ก็เริ่มเกิดการรัฐประหารขึ้น จนถึงปี 2523 พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ผบ.ทบ. ขึ้นสู่อำนาจ นายทหารอาชีพซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตผู้นี้รู้จักเอาใจผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดี อย่างไรก็ดี 1 ปีต่อมา ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้วางแผนโค่นล้มเขา แต่การรัฐประหารมิได้รับพระราชานุญาตจากพระองค์ ผู้ก่อการรัฐประหารเหล่านี้ ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องหนีหัวซุกหัวซุน พล.อ. เปรม ซึ่งมีความจงรักภักดีอยู่ในอำนาจเป็นเวลา 8 ปี หลังพ้นตำแหน่งได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี กลายเป็น 1 ในองคมนตรีที่ใกล้ชิดที่สุดของพระองค์"


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: สมปอง ที่ 07-08-2007, 12:22
:slime_smile2:รับจ้างมาโพสต์อีกแล้วสินะ จะพยามอ่านแล้วกันนะ แม้จะทราบดีว่ามันไร้สาระมากๆ :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: z e a z ที่ 07-08-2007, 13:07
"เสกได้ตามสั่ง"จริงๆ  อ่านแล้วเคลิ้มเลย แต่อย่างว่าอ่ะนะ โกงมาจนด้านขนาดนี้แล้ว กะอีแค่เรื่องไปจ้างเค้าเขียน ... มันจิ๊บ ๆ
เงินประชาชน เป็นเรื่องส่วนตัว ของมันจรืง 555 ว่ามั้ยน้องลิ่เดีย  :slime_v:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 07-08-2007, 13:16
ท้าวฯโปรดมั่กๆที่เห็นฝ่ายATไม่สามารถใช้เหตุผลในการหักล้างข้อเท็จจริงจากหนังสือ 24 ชม.ได้เลยแม้แต่รายเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกประโยคที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวคือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น....จบ!!


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Priateľ ที่ 07-08-2007, 13:35
ก็มันไม่ใช่ 24 ชั่วโมงของทักษิณอย่างที่ผมคาดไว้นี่นา

ตอนแรกผมกะว่ามันคือ 24 ชั่วโมงในช่วงรัฐประหาร 19 กันยายา คือจะมีข้อมูลในสิ่งที่ผมไม่รู้ ทักษิณเรียกประชุมทหารชั้นผู้ใหญ่ตอนเช้าวันนั้น พอไม่มีนายทหารเข้าร่วมปฏิกริยาเป็นอย่างไร บรรยากาศการชิงประกาศพรกฉุกเฉินที่ช่องเก้า ทำได้อย่างไร ? ปฏิกริยาตท.10 เป็นอย่างไร

แต่ในนี้มันออกแนว 24 ชั่วโมงแบบอะคาเดมี่ แฟนตาเซียนี่ครับ คนหนึ่งโทรศัพท์มา อีกคนครุ่นคิดถึงอดีต อีกคนนั่งเหม่อมองรถถัง ฯลฯ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 07-08-2007, 13:37
ท้าวฯโปรดมั่กๆที่เห็นฝ่ายATไม่สามารถใช้เหตุผลในการหักล้างข้อเท็จจริงจากหนังสือ 24 ชม.ได้เลยแม้แต่รายเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกประโยคที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวคือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น....จบ!!

เครื่องบิน คาร์บ๊อง เขาก็อธิบายไปหมดแล้ว
ที่เหลือมันก็เป็นนิยายไว้หลอกขี้ข้าแม้ว
มันต้องอธิบายะไรอีกเหรอครับ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: z e a z ที่ 07-08-2007, 13:41
ท้าวฯโปรดมั่กๆที่เห็นฝ่ายATไม่สามารถใช้เหตุผลในการหักล้างข้อเท็จจริงจากหนังสือ 24 ชม.ได้เลยแม้แต่รายเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกประโยคที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวคือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น....จบ!!

เอ่อ บางที่เหตุผลน่ะเค้ามีไว้ใช้กับผู้ที่มีเหตุผลเท่านั้น อ่ะนะ  เท้าฯ   :slime_v:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 07-08-2007, 13:51
เครื่องบิน คาร์บ๊อง เขาก็อธิบายไปหมดแล้ว
ที่เหลือมันก็เป็นนิยายไว้หลอกขี้ข้าแม้ว
มันต้องอธิบายะไรอีกเหรอครับ


'หลอกกิน' นี่ท่าทางดื้อเป็นวัวเป็นควายจริงๆเลยน๊ะเราน๊ะ....ทั้งกรณีการวางระเบิดเครื่องบิน และ คาร์บอมม์นั้นเรื่องอยู่ที่ศาล และมีผลสรุปเบื้องต้นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง  ไปหัดหาความรู้ใส่ตัวบ้างน๊ะเราน๊ะ


หรือว่าไม่มีปัญญา...ต้องให้ท้าวฯป้อนอาหารสมองให้ตะหลอดดดด!?! :slime_whistle:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 07-08-2007, 13:53
ผมยังไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมด แต่ได้เห็นหน้าตา"น้องลิเดีย"ที่นำมาให้ดูแล้วในกระทู้.....

ก่อนจะอ่านเรื่องราวต่อไป ผมอยากจะถาม"น้องลิเดีย"ว่า  
ระหว่าง "น้องลิเดีย" "น้องเจี๊ยบ" ผู้ใช้นามแฝง"ท้าวมหาเทพ" นั้น ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ทั้งสามคนต้องน่าเชื่อถือมากกว่า "เหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก" แน่ ๆ.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า




หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: ::วิญญาณห้อง2:: ที่ 07-08-2007, 14:03
น้องลิเดีย

ระวังนะ จะโดนฟ้อง ข้อหา ละเมิดลิขสิทธิ์

อิอิ 555555


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 07-08-2007, 14:09
ใครจะอยากดูอคาเดมีแฟนเทเชียมีหน้าเหลี่ยมให้ดู 24 ชม.
เหี่ยวเฉา.. เหี่ยวเฉา..






อยากดู "24 ชั่วโมงของน้องลิเดีย" มากกว่าอ่ะ :slime_inlove: :slime_smile2:



หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: สมปอง ที่ 07-08-2007, 14:59
:slime_bigsmile:มันเป็นแค่ข้อเท็จจริงอย่างเท้าว่านั่นแหละ เพราะมันจริงได้ แต่มันก็เท็จได้เช่นกัน จริงมะ :slime_smile2:

เท้าแยกให้ออกละ ระหว่างข้อเท็จจริงกับเหตุผล และความจริง :slime_smile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 07-08-2007, 15:42
:slime_bigsmile:มันเป็นแค่ข้อเท็จจริงอย่างเท้าว่านั่นแหละ เพราะมันจริงได้ แต่มันก็เท็จได้เช่นกัน จริงมะ :slime_smile2:

เท้าแยกให้ออกละ ระหว่างข้อเท็จจริงกับเหตุผล และความจริง :slime_smile:


ปองเอ๋ย....ไปกินอาหารทะเลปลาแห้งเยอะๆน๊ะลูกน๊ะ :slime_surrender:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: นทร์ ที่ 07-08-2007, 15:56
น้องลิเดีย ยังย่อรูปไม่เป็นเหมือนเดิมนะ

* งามๆ

 :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 07-08-2007, 16:02
รูปน้อยไปหน่อย และ รัดกุม ไปหน่อย นะ น้องเลียดิ เอ๊ย ลิเดีย
 :slime_inlove:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: jerasak ที่ 08-08-2007, 01:17
ท้าวฯโปรดมั่กๆที่เห็นฝ่ายATไม่สามารถใช้เหตุผลในการหักล้างข้อเท็จจริงจากหนังสือ 24 ชม.ได้เลยแม้แต่รายเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกประโยคที่ปรากฏในหนังสือดังกล่าวคือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น....จบ!!

ผมว่าไม่มีใครที่นี่สนใจอ่านจนจบเลยมากกว่า ซึ่งคงสะท้อนให้เห็นได้ว่าที่เอามาลงมากมายน่ะคนเขาขี้เกียจอ่าน
เล่นเอาหนังสือทั้งเล่มมาลงแบบนี้ แค่อ่านให้จบก็เสียเวลาเป็นวันๆ แล้ว คนเขาเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
สำหรับผมเองก็เซฟเอาไว้ เผื่อมีเวลาว่างๆ ไม่มีอะไรทำอาจเอามาอ่านเล่นๆ

แต่ถ้าจะให้เขียนโต้แย้งกับเนื้อหาหนังสือทั้งเล่ม ผมคงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทนเหมือนกัน   :slime_smile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 08-08-2007, 02:43
ปกหลัง น่าจะโฆษณา "ยังไงก็ไม่ชิน" ให้พวกเราบ้างนะ

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: truly ที่ 09-08-2007, 00:07
บทที่ 1 ตอนที่ 1 ย่อหน้า 2 ทักษิณนอนไม่หลับ แล้วเสียงหายใจของใครที่กำลังหลับ...
คุณหญิงก็ไม่ใช่ เพราะคุณหญิงเป็นคนโทรศัพท์มานี่หว่า....
 :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 09-08-2007, 01:05
ภาพประกอบ

(http://img517.imageshack.us/img517/55/p417660827vr3.jpg)

 :slime_cool:

...


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 09-08-2007, 01:13
บทที่ 1 ตอนที่ 1 ย่อหน้า 2 ทักษิณนอนไม่หลับ แล้วเสียงหายใจของใครที่กำลังหลับ...
คุณหญิงก็ไม่ใช่ เพราะคุณหญิงเป็นคนโทรศัพท์มานี่หว่า....
 :slime_doubt:

ทอม เครือโสภณ มั้งครับ :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 09-08-2007, 05:54
ออกหนังสือมาสร้างภาพตัวเองตามเคย

ในเมื่อปกติ ก็ขยันโกหกประชาชนอยู่แล้ว

คราวนี้จะมาโกหกอะไรอีก หรือพูดความจริง ก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว

วาจาดั่งเด็กเลี้ยงแกะ ไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งไหน ใครก็ไม่เชื่อถือ


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: -3- ที่ 09-08-2007, 09:37
บทที่ 8-9 นี่คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นใน TKNS เลยอะ  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: tu249cm ที่ 09-08-2007, 10:12
อ่านไปคลื่นไส้ไป คนอะไรยกหางตัวเองซะไม่มี  บิดเบือนหน้าด้านๆซะด้วย
ยิ่งอ่านที่หนังสือเล่มนี้เรียกไอ้หน้าเหลี่ยมว่า  "นายกไร้เดียงสาผู้นี้....."  จะอ้วกกกก!


หัวข้อ: Re: "24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 09-08-2007, 10:30
กระทู้นี้
ทำให้โฆษณา กิฟฟารีน ชุดใหม่ ดูดีขึ้นเยอะเลย

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: