ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: taworn09220 ที่ 23-04-2007, 09:15



หัวข้อ: โยมไม่ดีพระก็เลยไม่ดี
เริ่มหัวข้อโดย: taworn09220 ที่ 23-04-2007, 09:15
โยมไม่ดีพระก็เลยไม่ดี
โดย รศ.ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ จาก หนังสือธรรมานุรักษ์ ฉบับที่ ๑๗ , ธันวาคม ๒๕๔๓

เรื่องพระภิกษุประพฤติผิดธรรมวินัยจนต้องถูกจับสึกแล้วต้องไปติดคุกติดตะราง โดยความจริงนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ทุกยุคทุกสมัย ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีการสึกพระอลัชชีเป็นจำนวนมาก

สำหรับในประเทศไทยแต่ไหนแต่ไรมาแล้วพระมหากษัตริย์ทรงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และหน้าที่อันสำคัญยิ่งคือ
การกำจัดศัตรูของพระพุทธศาสนา ซึ่งหากเปรียบพระพุทธศาสนาเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว ศัตรูของพืชคือหญ้าและแมลงร้ายนานาชนิด

เดิมทีเดียวทางราชการมีกรมสังฆการีอันเป็นกรมที่คอยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ซึ่งหน้าที่สำคัญประการหนึ่งคือต้องเป็นตำรวจพระ คอยดูแลความประพฤติของพระภิกษุไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าพบหรือทราบว่าพระภิกษุรูปใดทำตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นพระ ก็จะมีการตักเตือนหรือ
ลงโทษตามควรแก่กรณี การลงโทษก็มีตั้งแต่สถานเบาคือ "หยิก" จนถึงจับสึกไปทำงานโยธาเลยที่เดียว กล่าวกันว่าบรรดาพระภิกษุทั้งหลายสมัยก่อนกลัวเจ้าหน้าที่
ของกรมสังฆการี เหมือนกับพวกทหารเกณฑ์กลัวสารวัตรทหารฉันนั้น ราชทินนามของเจ้าหน้าที่กรมสังฆการีเท่าที่จำได้ก็คือ "พระอธิกรณ์ประกาศ" ชัดเลยไหมละครับ
(ตอนนี้ขอออกนอกเรื่องสักหน่อยนะครับเรื่องราชทินนามของตำรวจสมัยก่อนที่น่าสนใจมีคล้องจองกันดังน ี้ "หลวงอภิบาลพศกมิตร หลวงพิชิตทุรการ หลวงพิจารณ์พลกิจ หลวงพินิจชนคดี" โปรดสังเกตชื่อที่สองคือหลวงพิชิตทุรการ นั้นใช้ตัวท.ทหารนะครับ ถ้าหากใช้ตัว ธ.ธง ความหมายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องทีเดียว ในประวัติศาสตร์ไทยก็มีคนเซ็นชื่อเปลี่ยน ท.ทหารเป็น ธ.ธงมาแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาอีกเรื่องหนึ่ง) คราวนี้มาพูดถึงเรื่องการปกครองของพระสงฆ์ (สงฆ์แปลว่า
พวก หมู่ เหล่า ดังนั้นพระสงฆ์ก็คือพวกพระนั่นเอง ถ้าพระรูปเดียวเรียกว่าภิกษุ แปลว่าผู้ขอ คือบุคคลที่ยังชีพด้วยการขอนั่นเอง)

ซึ่งแต่เดิมมาการจัดการปกครองของพระสงฆ์นั้นก็มักจะจัดเลียนแบบทางราชอาณาจักร ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ พวก คือพวกอยู่ในเมือง
(คามวาสี) กับพวกที่อยู่ในป่า (อรัญญาวาสี) แบ่งการปกครองไปเหมือนกับทางบ้านเมืองแบ่งการปกครองออกไป เหมือนกับทางบ้านเมืองแบ่งการปกครองให้ สมุหกลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และสมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือนนั่นเอง นอกจากนี้ ก็ยังมีการแต่งตั้ง "ขุนนางพระ" ขึ้นมาเหมือนพวกขุนนางทั่วไป ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีการตั้งและการวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบเหมือนกัน ความจริงระบบอาวุโสของพระท่านก็มีอยู่แล้ว โดยถือว่าพระรูปที่บวชก่อนมีอาวุโสสูงกว่าพระรูปที่บวชทีหลัง พอมีตำแหน่ง "ขุนนางพระ" ขึ้นมาเวลาทำสังฆกรรมก็วุ่นดีพิลึก

ต่อไปก็ต้องพูดถึง "วัด" ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และเจ้าอาวาสก็ปกครองเหมือนขุนนางสมัยก่อนบรรดาหญ้า และแมลงศัตรูพืชก็ใช้ช่องตรงนี้แหละครับ ซื้อตำแหน่งเจ้าอาวาส แล้วก็เข้าไปปู้ยี่ปู้ยำวัดได้ตามสบายความผิดอยู่ที่ระบบครับ เพราะว่าทางบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีการเลือกตั้ง มีการตรวจสอบ มีเทอมในการดำรงตำแหน่ง ส่วนทางพระสงฆ์ก็ยังมีขุนนางพระปกครองกันแบบอยู่ในตำแหน่งจนชั่วชีวิต แถมยังจัดการปกครองเหมือนรังแกพระภิกษุผู้ใหญ่ให้ท่านมาปกครองพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรทั้ง ๆ ที่อายุของพระผู้ใหญ่ก็มากแล้ว สังขารก็อ่อนแอ ต้องประคองกันมาประชุมมหาเถรสมาคม ถามจริง ๆ เถอะครับ กรณีของสมเด็จพระพุฒจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ที่ท่านสูงอายุ สังขารอ่อนแอจึงถูกสมีเจี๊ยบกับพรรคพวกซึ่งก็มีสมีวันชัย (เสธ.โล้น) รวมไปทำสิ่งอุบาทลามกมากมายเนื่องจากสมเด็จฯ ท่านมีสังขารทรุดโทรม คือ แก่มากแล้ว จะมาตามพวกศัตรูของพระพุทธศาสนาได้ทันได้อย่างไร ความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์คงต้องเขียนขึ้นใหม่แล้วละครับ เอาวิธีการแบบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแบบมีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาก็ไม่เลวนะครับ ให้มีทั้งพระภิกษุและฆราวาสร่วมกัน แล้วก็ตำแหน่งขุนนางพระก็สมควรที่จะยกเลิกได้แล้ว ไม่น่าจะต้องมีตำแหน่งแห่งที่ยั่วกิเลสพระอีก เพราะในสมัยปัจจุบันก็มีสิ่งยั่วกิเลสพระมากจนเกินพอแล้ว

............................................................................................................................................