ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:16



หัวข้อ: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:16
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย ความพอประมาณ, ความมีเหตุมีผล, การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
และที่ทรงเน้นมากคือ ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมกำกับ

ตรงกับหลักพุทธศาสนาทุกประการ

1. ความพอประมาณ คือ สันโดษ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=122
2. ความมีเหตุมีผล คือ โยนิโสมนสิการ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=2
3. มีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ อัปปมาทะ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=3

ความสับสนในแนวคิด

ก่อนอื่นตอบปัญหาง่ายๆนี้ก่อน

รวยไปทำไม
ประสบความสำเร็จไปทำไม
มั่นคงไปทำไม

ก็เพื่อความสุข ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเศรษฐกิจ จึงเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่ง เท่านั้น และ/หรือ
เป็นระบบ กระบวนการจัดการ เพื่อจุดมุ่งหมายคือความสุข



สรุปว่า
1. เศรษฐกิจดี ไม่ใช่ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต(อย่างน้อยก็ในทางพุทธศาสนา)
2. เศรษฐกิจดี อาจจะ ทำให้มีความสุข เพราะยังมีองค์ประกอบอื่นอีกที่ทำให้มีความสุข


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:18
นิยาม
เศรษฐศาสตร์ คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด
ให้กับมนุษย์ซึ่งมีความต้องการอย่างไม่จำกัด

อ้างถึง
เศรษฐศาสตร์นั้นได้กล่าวกันมาว่า เป็นสังคมศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด และเศรษฐศาสตร์ก็มีความภูมิใจ
ในเรื่องนี้ด้วยว่า ตนเป็นวิทยาการที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด เอาแต่สิ่งที่วัดได้ คำนวณได้
จนกระทั่งมีผู้กล่าวว่า เศรษฐศาสตร์นี้เป็นศาสตร์แห่งตัวเลข มีแต่สมการล้วน ๆ
ในการพยายามที่จะเป็นวิทยาศาสตร์นี้ เศรษฐศาสตร์ก็เลยพยายามตัดเรื่องคุณค่าที่เป็นนามธรรมออกไปให้หมด
เพราะคำนวณไม่ได้ จะทำให้ตนเองเป็น value-free คือเป็นศาสตร์ที่เป็นอิสระ หรือปลอดจากคุณค่า
แต่ก็มีฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นนักวิจารณ์เศรษฐศาสตร์ หรือแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์เองบางคนบอกว่า
ความจริงแล้วเศรษฐศาสตร์นี้เป็นสังคมศาสตร์ที่ขึ้นต่อ value มากที่สุด เรียกว่าเป็น value-dependent มากที่สุด
ในบรรดาสังคมศาสตร์ทั้งหลาย จะเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร

เพราะจุดเริ่มของเศรษฐศาสตร์นั้นอยู่ที่ความต้องการของคน ความต้องการของคนนี้เป็นคุณค่าอยู่ในจิตใจ
แล้วในเวลาเดียวกัน จุดหมายของเศรษฐศาสตร์ก็เพื่อสนองความต้องการให้เกิดความพอใจ

ความพอใจนี้ก็เป็นคุณค่าอยู่ในจิตใจของคน เศรษฐศาสตร์
จึงทั้งขึ้นต้นและลงท้ายด้วยเรื่องคุณค่าในจิตใจ

จากปาฐกถาเรื่องเศรษฐศาสตร์แนวพุทธโดยท่าน พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต)

ข้อเท็จจริงคือ
1 . ทรัพยากรเป็นของนอกกายเป็นสิ่งเสพบำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
2.  ความต้องการอย่างไม่จำกัด เกิดจากมนุษย์ (จิตใจ)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:21
พุทธศาสนาจัดการกับ 2 อย่างนี้อย่างไร
1. ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด สอนให้พิจารณาถึงคุณค่าแท้
2. ความต้องการที่ไม่จำกัด พุทธศาสนาสอนให้สันโดษ

บางส่วนจากบทปัจจเวกขณะ

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปฏิเสวามิ ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสะ ฐิติยา
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต เพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้


พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นมา เช่น
ไม่ฉันอาหารในยามวิกาล (ปาจิตตีย์ โภชนวรรคที่4)
รับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก รับบินฑบาตแต่พอเสมอขอบปาก (เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุตที่2)

หมายความว่าความพอเพียงของคณะสงฆ์คือเสพปัจจัย 4 โดยพิจารณาอย่างแยบคายถึงคุณค่าแท้
พอเพียงเพื่ออนุเคราะห์แก่การถือเพศพรหมจรรย์(ไตรสิกขา)เท่านั้น ตรงนี้บอกอะไร

บวช มาจากคำว่า ปะ วะ ชะ แปลว่าเว้นทั่ว คือเว้นจากกองกิเลส ตัณหา

ตรงนี้บอกว่านี่คือขอบเขตล่างสุด โดยใช้มาตรฐานของผู้ที่ฝึกตนเองแล้ว หรืออริยชนที่พึงกระทำ

แล้วอย่างไหนคือขอบเขตบนสุดของความพอเพียง

มาดูทางฝั่งคฤหัสถ์

เศรษฐกิจพอเพียงตามแบบคฤหัสถ์คือให้เสพปัจจัยโดยพิจารณาคุณค่าแท้
และ เสพคุณค่าเทียมตามฐานะ ให้รู้จักพอเพียงในคุณค่าเทียม 
ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งเสพนั้นๆ เดินทางสายกลาง

พิจารณาอาหาร
คุณค่าแท้ เพื่อยังชีพ
คุณค่าเทียม อร่อย โก้เก๋ ทันสมัย สวยงาม

เพราะลุ่มหลงในคุณค่าเทียม มนุษย์จึงเสียเวลามากมายกับการเสาะแสวงหาสิ่งเสพบำเรอ
ด้วยแรงแห่งกิเลศ ตัณหา มีมอเตอร์ไซต์ ก็อยากได้ Toyota ได้ Toyota อยากได้ Honda
พอเห็นข้างบ้าน ถอยรถใหม่ทีนี้ต้อง Eห้าร้อยแล้ว ไม่งั้นเสียหน้า ติดกันอยู่แค่สิ่งเสพบริโภค
เวลาอันมีค่าก็เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะใช้เวลาไปกับการพัฒนาศักยภาพ
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ก็ลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่กับ คุณค่าเทียม ไม่ไปไหน

การที่มีกลุ่มบุคคลออกมาโจมตีเศรษฐกิจพอเพียงเพราะว่าไม่เข้าใจ คุณค่าแท้และคุณค่าเทียม
ที่สำคัญคือไม่เข้าใจคุณค่าแท้ของมนุษย์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึกตน ไม่ใช่พอกตนด้วยกิเลส ตัณหา
ไม่ประมาณตนในคุณค่าเทียมของสิ่งเสพ ตัวเองไม่ใช้ปัญญาแล้วเที่ยวไปว่ากล่าวคนอื่นอีกอย่างนี้
ก่ออกุศลกรรมไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:23
เศรษฐกิจพอเพียงขวางความเจริญหรือไม่

การพัฒนาประเทศผู้นำแต่ละคนใช้อุบายปลุกเร้าแตกต่างกัน เช่น
- ปลุกเร้าโมหะ เพราะคิดว่า ความเจริญต้องวัดด้วยตัวเลขเท่านั้น
- ปลุกเร้าโทสะ ตัวอย่างเช่นเขมรต่อไทย หรือไทยต่อสิงคโปร์ เยอรมันต่อยิว
- ปลุกเร้าภวตัณหา ฝันว่าอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นศูนย์กลางโน่นนี่

แต่เศรษฐกิจพอเพียงนั้นปลุกเร้าการพึ่งพาตนเอง ทางภาษาพระเรียกว่าฉันทะ
ซ้ำยัง จัดการกับความเสี่ยงด้วย ความมีภูมิคุมกันที่ดีนั่นก็คือความไม่ประมาท
เพราะ การที่สามารถพึ่งตนเองได้มาก และพึ่งผู้อื่นเท่าที่จำเป็น ทำแต่เฉพาะในเรื่องที่ตัวเชี่ยวชาญ
มีความรู้จริง เป็นการพยายามลอยตัวจากปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจ
เช่นหากคุณกู้เงินมาลงทุนมากๆ เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจขาขึ้น
นี่เรียกประมาทแล้ว และยังไม่รู้จักเหตุผล ไม่ดูเหตุปัจจัย ไม่ดูตัวเอง เสี่ยง เช่น
หากดอกเบี้ยขึ้น เศรษฐกิจตกต่ำ แทนที่จะประหยัดได้ กลับต้องเสียค่าดอกเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
นี่คือความเสี่ยงต่อการบริหารด้วย Credit (ความสามารถในการมีหนี้)
เพียงเพื่อกลัวว่าโอกาสทองจะหลุดลอย (วิ่งเข้าหาเพราะโลภ อยากได้มาก)

ผู้ที่ออกมาโจมตีเศรษฐกิจพอเพียงเพราะเข้าใจความหมายผิด
เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียง ตรงกับคำว่า สมถะ หรือวิเวก

วิเวก ความสงัด มี ๓ คือ
       อยู่ในที่สงัดเป็น กายวิเวก
       จิตสงบเป็น จิตวิเวก
       หมดกิเลสเป็น อุปธิวิเวก
สมถะ ธรรมเป็นเครื่องสงบระงับจิต, ธรรมยังจิตให้สงบระงับจากนิวรณูปกิเลส, การฝึกจิตให้สงบเป็นสมาธิ
       (ข้อ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรือภาวนา ๒)

กัมมัฏฐาน ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบายทางใจ,
       วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ
           สมถกัมมัฏฐาน อุบายสงบใจ ๑
           วิปัสสนากัมมัฏฐาน อุบายเรืองปัญญา ๑
       (นิยมเขียน กรรมฐาน)


ที่จริงแล้วถ้าจะแปลให้ตรงความหมายโดยแท้แล้วจะตรงกับคำว่าสันโดษ
มาดูความหมายของคำว่าสันโดษกันก่อน


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:24
สันโดษ ความยินดี, ความพอใจ, ยินดีด้วยปัจจัย ๔ คือ ผ้านุ่งผ้าห่ม อาหารที่นอนที่นั่ง และยา ตามมีตามได้,
ยินดีของของตน, การมีความสุขความพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ ด้วยความเพียรพยายาม
อันชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใคร;

       สันโดษ ๓ คือ
           ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่เดือดร้อนเพราะของที่

ไม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น ไม่ริษยาเขา
           ๒. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง คือพอใจเพียงแค่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและขอบเขตการใช้สอยของตน

ของที่เกินกำลังก็ไม่หวงแหนเสียดาย ไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน
           ๓. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร คือพอใจตามที่สมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่ง

การบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะกับสมณภาวะ หรือได้ของใช้ที่ไม่เหมาะกับตน แต่จะมีประโยชน์

แก่ผู้อื่น ก็นำไปมอบให้แก่เขา เป็นต้น;
       สันโดษ ๓ นี้เป็นไปในปัจจัย ๔ แต่ละอย่าง จึงรวมเรียกว่า สันโดษ ๑๒


http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%D1%B9%E2%B4%C9


จากความหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า ไม่มีอักษร หรือ อรรถใดที่ระบุถึง ความสันโดษในกุศลธรรม
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้สันโดษในสิ่งเสพบริโภค แต่ไม่ได้สอนให้สันโดษในกุศลธรรม(ในที่นี้คือฉันทะ)
ถ้าพระพุทธเจ้าสันโดษในกุศลธรรม พระองค์ไม่สามารถตรัสรู้ได้เลย
พระองค์ทรงบำเพ็ญ บารมี 10 ประการ ด้วยฉันทะ ที่สำคัญคือ พระองค์พิสูจน์ด้วยการลงมือปฎิบัติเป็นแบบอย่าง
ท่านสอนให้เราไม่ประมาท อย่าคิดว่านี่คือสุขที่สุด ยังมีสุขที่ปราณีตจากนี้ขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น การให้(ทาน)
พ่อแม่ทำงานหาเลี้ยงลูกนี่พ่อแม่มีความสุขมั้ย ลูกให้อะไร น้องจากเสียงร้องงอแง ขี้เต็มผ้าอ้อม
แต่พ่อแม่นี่สุขมาก สุขจากการให้ นี่ถ้าคิดแบบนักธุรกิจ ขาดทุนมาก มีแต่เสีย กำไรไม่ได้
แต่สุขมั้ย สุขซิ สุขกว่าตอนกินข้าวเองด้วยซ้ำ ความสุขปราณีตขึ้นเรื่อย ไล่ไปเรื่อยจนถึงพระนิพพาน

นี่พวกนี้ไม่เข้าใจว่าตัณหา กับฉันทะต่างกันอย่างไร ไปกระตุ้นให้ประชาชนอยากได้นั่นนี่
อยากเป็นนั่นนี่ โดยใช้หนี้มาล่อ เรียกว่าใช้เงินต่อเงิน ปลุกเร้า กิเลส ตัณหา
เพราะตัวเองเกลือกกลั้วอยู่แต่สิ่งนั้นจึงมองไม่เห็น จึงได้เที่ยวโจมตีเศรษฐกิจพอเพียง เวรกรรมๆ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:26
พร้อมแล้วหรือไม่การก้าวสู่เศรษฐกิจพอเพียง

มนุษย์เท่าเทียมกัน แต่มนุษย์แตกต่างกัน

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อรวมกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ จึงต้องมีระบบ มีการปกครอง
นี่ตรงนี้เกิดปัญหา ที่เห็นๆอยู่ทุกวันนี้ การที่มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันเกิดจากปัญหาการทุจริต
เศรษฐกิจพอเพียงจึงบอกว่าพวกคุณต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าจะไม่พร้อมก็คงเพราะข้อนี้เป็นสำคัญ
ไม่เอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่า ต้องมีเมตตา ต้องรู้จักละอายต่อบาป และอื่นๆอีกมากรวม 84000 ประการ
ย่อให้ง่ายเข้าก็ อริยมรรคมีองค์ 8 ตรงนี้เราขาดมากเพราะเราไกลพระศาสนาออกไปทุกที
เราควรที่สามัคคีกัน เราควรสมานฉันท์กัน

สมาน แปลว่า เสมอกัน เท่ากัน
ฉันท์ มาจากคำว่าฉันทะ แปลว่า ความอยากจะทำ ต้องการจะทำ
สมานฉันท์ จึงแปลว่า ความต้องการ(ลงมือกระทำ)ที่ตรงกัน ร่วมกัน

ต้องถามตัวเองแล้วหล่ะว่าการออกมาโจมตีผู้อื่นหรือแสดงความคิดเห็นโดยอกุศลจิต
ใครกันแน่ ที่กำลังทำลาย ความต้องการ(ลงมือกระทำ)ที่ตรงกัน ร่วมกัน ของคนในชาติ

ผมไม่หวังจะเปลี่ยนใจคนที่เห็นขัดแย้งกับแนวคิดนี้
ผมหวังแค่ผู้ที่มีศรัทธา ต่อ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระพุทธศาสนา
จะเข้าใจ ถึงของดีที่เรามีอยู่ ใช้ปัญญาควบคู่ไปกับศรัทธานั้นเพื่อประเทศไทยของเรา


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 08-02-2007, 18:26
ขอบคุณมากๆเลยครับสำหรับข้อมูลทางพุทธศาสนาสอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมากครับ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:30
บทส่งท้าย
การบริโภคอย่างพอประมาณนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผลดีต่อชาติ
แต่ยังเป็นผลดี ต่อโลกใบน้อยนี้ของเรา ไม่ใช่เจ้าทุนนิยมนี้หรอกหรือ
โลกเราจึงเกิดสภาวะแปรปรวนอย่างทุกวันนี้

ยิ่งคุณเสพบริโภคมากเท่าไหร่ ไม่รู้จักพอ คุณก็ต้องเบียดเบียน สภาวะแวดล้อมมากขึ้น
เริ่มตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน คนในท้องถิ่น คนในอำเภอ คนในจังหวัด คนในประเทศ
เพื่อนร่วมภูมิภาค ทรัพยากรค่อยๆหมดลงไปทุกที ป่าไม้ น้ำมัน เหล็ก ถ่านหิน
แถมสร้า้งขยะ มลพิษเต็มไปหมด อย่าลืมว่าการผลิต คือการแปรรูปเท่านั้น

แนวคิดความพอเพียง จึงเป็นแนวคิดเพื่อสันติสุขของชาวโลกอย่างแท้จริง


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 08-02-2007, 18:31
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 18:34
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ

ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 08-02-2007, 18:36
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ
ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง

 :slime_sentimental: :slime_fighto: :slime_smile2: :slime_o:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 08-02-2007, 18:40
สาธุ...  :slime_worship:
เป็นกระทู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ดีมาก ขอได้รับการขอบคุณ  :slime_worship: :slime_worship: :slime_worship:

เห็นด้วยว่าทุกวันนี้โลกเราหลงทางไปมาก จนหลงลืมเป้าหมายของชีวิตเบื้องต้นไปแล้ว
สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ เราเคยเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจดีแล้วแปลว่าทุกคนมีความสุข
แต่ถึงวันนี้ทุกคนเริ่มตั้งข้อสงสัยกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายประเทศอย่างเช่นประเทศอเมริกาที่เศรษฐกิจดีหนักหนา
ประชากรกลับมีความสุขน้อยกว่าประชาชนในประเทศเล็กๆ อย่างเช่นภูฏาน หรือประเทศเกาะเล็กๆ บางประเทศเสียอีก

เราจึงควรถามตนเองได้แล้วว่า เศรษฐกิจดีเพียงอย่างเดียวนั้นเพียงพอหรือไม่ หรือมีอะไรขาดหายไป
หรือมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มีอะไรที่สมควรปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมใช่หรือไม่

ปล. ไม่อยากเจอผี ก็อย่าพูดถึงผีครับ อยากให้กระทู้สงบสุข ขี้เกียจตามลบ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 08-02-2007, 19:21
..ชอบกระทู้นี้ค่ะ! :slime_sentimental:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 08-02-2007, 19:28
ขอบคุณครับ
สำหรับพุทธธรรม


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 08-02-2007, 19:44
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ

ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง

เอางั้นเลยหรือครับ.................


เป็นคำอธิบาย ที่ค่อนข้างชัดเจนครับ.........ตอบทุกคำถามของอีกกระทู้ได้เลย


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-02-2007, 20:29
สาธุ :slime_worship:

ขอบคุณมากเลยค่ะ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 08-02-2007, 20:50
เวลาคนเราทำมาหากิน
1. หาและรักษาทรัพย์ด้วย ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 ประการ
   1.1 อุฏฐานสัมปทา
   1.2 อารักขสัมปทา
   1.3 กัลยาณมิตตา
   1.4 สมชีวิตา ให้รายได้เหนือรายจ่ายมีประหยัดเก็บไว้ (ก็ทำไม่ค่อยได้แล้ว)
2. จัดสรรทรัพย์ โภควิภาค 4
   2.1 เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย 1 ส่วน ใช้จ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรเลี้ยง
   2.2 ทฺวีหิ กมฺม ปโยชเย 2 ส่วน ไว้เป็นทุนประกอบการงาน
   2.3 จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย 1 ส่วน เก็บไว้คราวจำเป็น
3. จับจ่ายใช้สอย ตามหลัง โภคาทิยะ 5 ประการ
   3.1 เลี้ยงตัว ครอบครัว คนในปกครอง
   3.2 บำรุงมิตรสหาย ผู้ร่วมกิจการ
   3.3 ใช้ปกป้องสวัสดิภาพ
   3.4 ทำพลี สละเพื่อบำรุงและบูชา 5 อย่าง
   3.5 อุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์
http://www.dhammathai.org/book/dhammanoon05.php?#t10

คือ คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 08-02-2007, 21:51
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ

ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง

คนบางคน.. คงมีวิบากกรรมที่หนาแน่นติดตัวมา จึงทำให้มืดบอดไม่สามารถ  :slime_hmm:
แทรกออกมาพบเห็นแสงสว่างทางปัญญาได้  พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอน
ให้เราวางอุเบกขาค่ะ  สำหรับอเวไนยสัตว์ประเภทบัวใต้ตมนั้น เราคงจำเป็น
ต้องปล่อยให้เป็นอาหารเต่าปูปลาไปตามยถากรรม

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 08-02-2007, 22:15
คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้

ภายในกะลาก็มีอะไรแค่เท่าที่เห็นนั่นแหละครับ
คงไม่มีบุญวาสนาที่จะเห็นอะไรที่มากไปกว่านั้นได้อีกแล้ว

 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-02-2007, 22:30
ทุกวันนี้ยึดหลักสามประการที่ถูกอบรมสั่งสอนมา

1 คิดดี

2 ทำดี

3 พูดสิ่งที่ดีๆ

ก็คงน่าจะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาสังคมได้แล้วค่ะ :slime_p:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 08-02-2007, 22:30
คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้

ภายในกะลาก็มีอะไรแค่เท่าที่เห็นนั่นแหละครับ
คงไม่มีบุญวาสนาที่จะเห็นอะไรที่มากไปกว่านั้นได้อีกแล้ว

 :slime_worship:

มันก็พอดูดีนะกระทู้นี้ แต่ติดตรงที่ว่า 'ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง' เนี่ยมันคำสอนศาสนาไหนกัน


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 08-02-2007, 23:23

มันก็พอดูดีนะกระทู้นี้ แต่ติดตรงที่ว่า 'ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง' เนี่ยมันคำสอนศาสนาไหนกัน

ผมก็ไม่เห็นเจ้าของกระทู้อ้างว่าเป็นคำสอนของศาสนาไหนนะครับ ก็เลยไม่ทราบเหมือนกัน

นอกจากเรื่องวิธีการทำมาหากินแล้ว ยังมีระบุรูปแบบการทำมาหากินด้วย

ข. เป็นชาวบ้านแบบฉบับ คนครองเรือน แยกได้เป็นหลายประเภท จัดเป็นชั้น ๆ ได้ตั้งแต่ร้ายไปถึงดี และที่ดีก็มีหลายระดับ คฤหัสถ์ที่ดี น่าเคารพนับถือแท้จริง คือประเภทที่ ๑๐ ใน ชาวบ้าน ๑๐ ประเภทต่อไปนี้

     กลุ่มที่ ๑ หาทรัพย์โดยทางไม่ชอบธรรม
          ๑. ได้ทรัพย์มาแล้ว ไม่เลี้ยงตนให้เป็นสุข ทั้งไม่เผื่อแผ่แบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี (เสียทั้ง ๓ ส่วน)

          ๒. ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุข แต่ไม่เผื่อแผ่แบ่งปัน และไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี (เสีย ๒ ส่วน ดี ๑ ส่วน)

          ๓. ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุขด้วย เผื่อแผ่แบ่งปัน และใช้ทรัพย์นั้นทำความดีด้วย (เสีย ๑ ส่วน ดี ๒ ส่วน)

     กลุ่มที่ ๒ หาชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง
          ๔. ได้ทรัพย์มาแล้ว ทำอย่างข้อ ๑ (เสีย ๓ ดี ๑)
          ๕. ได้ทรัพย์มาแล้ว ทำอย่างข้อ ๒ (เสีย ๒ ดี ๒)
          ๖. ได้ทรัพย์มาแล้ว ทำอย่างข้อ ๓ (เสีย ๑ ดี ๓)

     กลุ่มที่ ๓ หาได้ชอบธรรม
          ๗. ได้ทรัพย์มาแล้วทำอย่างข้อ ๑ (เสีย ๒ ดี ๑)
          ๘. ได้ทรัพย์มาแล้ว ทำอย่างข้อง ๒ (เสีย ๑ ดี ๒)
          ๙. ได้ทรัพย์มาแล้ว ทำอย่างข้อง ๓ แต่ยังติด ยังมัวเมา หมกมุ่น กินใช้ทรัพย์สมบัติ โดยไม่รู้เท่าทันเห็นโทษ ไม่มีปัญญาที่จะทำตนให้เป็นอิสระ เป็นนายเหนือโภคทรัพย์ได้ (เสีย ๑ ดี ๓)

     พวกพิเศษ ผู้ที่แวงหาชอบธรรม และใช้อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีจิตใจ เป็นอิสระมีลักษณะดังนี้

          ๑๐. แสวงหาทรัพย์โดยทางชอบธรรม ได้มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุขเผื่อแผ่แบ่งปัน และใช้ทรัพย์นั้นทำความดี ไม่ลุ่มหลงไม่หมกมุ่นมัวเมา กินใช้ทรัพย์สมบัติโดยรู้เท่าทัน เห็นคุณโทษ ทางดีทางเสียของมัน มีปัญญา ทำตนให้เป็นอิสระหลุดพ้น เป็นนายเหนือโภคทรัพย์




หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 08-02-2007, 23:27
มันก็พอดูดีนะกระทู้นี้ แต่ติดตรงที่ว่า 'ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง' เนี่ยมันคำสอนศาสนาไหนกัน

ศาสนาพุทธนี่แหล่ะครับ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

เกสีสูตร
             [๑๑๑] ครั้งนั้นแล สารถีผู้ฝึกม้าชื่อเกสี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า ดูกรเกสี ท่านอันใครๆ ก็รู้กันดีแล้วว่าเป็นสารถี
ผู้ฝึกม้า ก็ท่านฝึกหัดม้าที่ควรฝึกอย่างไร สารถีผู้ฝึกม้าชื่อเกสีกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ฝึกหัดม้าที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง
ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง ฯ
             พ. ดูกรเกสี ถ้าม้าที่ควรฝึกของท่านไม่เข้าถึงการฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ท่านจะทำอย่างไรกะมัน ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าม้าที่ควรฝึกของข้าพระองค์ ไม่เข้าถึงการ
ฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ก็ฆ่ามันเสียเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคิดว่าโทษมิใช่คุณอย่าได้มีแก่สกุลอาจารย์ของเราเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเป็นสารถีฝึกบุรุษชั้นเยี่ยม ก็พระผู้มีพระภาค
ทรงฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างไร ฯ
             พ. ดูกรเกสี เราแล ย่อมฝึกบุรุษที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง
ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง ดูกรเกสี ในวิธีทั้ง ๓ นั้น การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธี
ละม่อม คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้
วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนสุจริตเป็นดังนี้
เทวดาเป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ การฝึกดังต่อไปนี้เป็นวิธีรุนแรง คือกายทุจริต
เป็นดังนี้ วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริต
เป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์
ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัยเป็นดังนี้ การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีทั้งละม่อมทั้ง
รุนแรง คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ กายทุจริตเป็นดังนี้
วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้
วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่ง
มโนสุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ เทวดา
เป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัย
เป็นดังนี้ ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของพระองค์ไม่เข้าถึงการฝึก
ด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง พระผู้มีพระภาค
จะทำอย่างไรกะเขา ฯ
             พ. ดูกรเกสี ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของเราไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลย ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเลย
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงตรัสอย่างนี้ว่า ฆ่าเขาเสีย ฯ
             พ. จริง เกสี ปาณาติบาตไม่สมควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษที่ควร
ฝึกใด ย่อมไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อม
ทั้งรุนแรง ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้
พรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนก็ย่อมไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน ดูกรเกสี
ข้อที่ตถาคต ไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารี
ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลายก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี
ในวินัยของพระอริยะ ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควร
ว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีผู้วิญญูชนก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว
ควรสั่งสอน นั้นเป็นการฆ่าอย่างดีแน่นอน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า
คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค
กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ไทมุง ที่ 08-02-2007, 23:33
VOTE  

โหวตต้อนรับ "คุณอุบาสก" สมาชิกใหม่ ผู้มาพร้อมปัญญา

โหวตให้คุณแถออก ข้อหาไม่รู้จักใช้ปัญญา


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 08-02-2007, 23:43
มันก็พอดูดีนะกระทู้นี้ แต่ติดตรงที่ว่า 'ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง' เนี่ยมันคำสอนศาสนาไหนกัน

ศาสนาพุทธนี่แหล่ะครับ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

เกสีสูตร
             [๑๑๑] ครั้งนั้นแล สารถีผู้ฝึกม้าชื่อเกสี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า ดูกรเกสี ท่านอันใครๆ ก็รู้กันดีแล้วว่าเป็นสารถี
ผู้ฝึกม้า ก็ท่านฝึกหัดม้าที่ควรฝึกอย่างไร สารถีผู้ฝึกม้าชื่อเกสีกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ฝึกหัดม้าที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง
ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง ฯ
             พ. ดูกรเกสี ถ้าม้าที่ควรฝึกของท่านไม่เข้าถึงการฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ท่านจะทำอย่างไรกะมัน ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าม้าที่ควรฝึกของข้าพระองค์ ไม่เข้าถึงการ
ฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง ก็ฆ่ามันเสียเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคิดว่าโทษมิใช่คุณอย่าได้มีแก่สกุลอาจารย์ของเราเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเป็นสารถีฝึกบุรุษชั้นเยี่ยม ก็พระผู้มีพระภาค
ทรงฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างไร ฯ
             พ. ดูกรเกสี เราแล ย่อมฝึกบุรุษที่ควรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง
ทั้งละม่อมทั้งรุนแรงบ้าง ดูกรเกสี ในวิธีทั้ง ๓ นั้น การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธี
ละม่อม คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้
วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนสุจริตเป็นดังนี้
เทวดาเป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ การฝึกดังต่อไปนี้เป็นวิธีรุนแรง คือกายทุจริต
เป็นดังนี้ วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริต
เป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์
ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัยเป็นดังนี้ การฝึกดังต่อไปนี้ เป็นวิธีทั้งละม่อมทั้ง
รุนแรง คือ กายสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งกายสุจริตเป็นดังนี้ กายทุจริตเป็นดังนี้
วิบากแห่งกายทุจริตเป็นดังนี้ วจีสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีสุจริตเป็นดังนี้
วจีทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งวจีทุจริตเป็นดังนี้ มโนสุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่ง
มโนสุจริตเป็นดังนี้ มโนทุจริตเป็นดังนี้ วิบากแห่งมโนทุจริตเป็นดังนี้ เทวดา
เป็นดังนี้ มนุษย์เป็นดังนี้ นรกเป็นดังนี้ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเป็นดังนี้ ปิตติวิสัย
เป็นดังนี้ ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของพระองค์ไม่เข้าถึงการฝึก
ด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง พระผู้มีพระภาค
จะทำอย่างไรกะเขา ฯ
             พ. ดูกรเกสี ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของเราไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลย ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเลย
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงตรัสอย่างนี้ว่า ฆ่าเขาเสีย ฯ
             พ. จริง เกสี ปาณาติบาตไม่สมควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษที่ควร
ฝึกใด ย่อมไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อม
ทั้งรุนแรง ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้
พรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนก็ย่อมไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน ดูกรเกสี
ข้อที่ตถาคต ไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารี
ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลายก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี
ในวินัยของพระอริยะ ฯ
             เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่พระตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควร
ว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารีผู้วิญญูชนก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว
ควรสั่งสอน นั้นเป็นการฆ่าอย่างดีแน่นอน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
พระผู้มีพระภาค ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า
คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค
กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

อ๋อ...ฆ่าทางธรรม ฆ่าแบบนี้ยิ่งฆ่าได้มากยิ่งเจริญ
ส่วนคนที่ใจอ่อน เกียจคร้าน ประมาท หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ ฆ่าไม่ลงยิ่งตกต่ำ
ว่าแต่.........แถ จะเข้าใจหรือเปล่านะ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: เก็ดถวา ที่ 08-02-2007, 23:48
VOTE  

โหวตต้อนรับ "คุณอุบาสก" สมาชิกใหม่ ผู้มาพร้อมปัญญา

โหวตให้คุณแถออก ข้อหาไม่รู้จักใช้ปัญญา



คุณไทมุง ทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะเสียงดังมากๆ ตอนดึกอ่ะ  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:



อ๋อ...ฆ่าทางธรรม ฆ่าแบบนี้ยิ่งฆ่าได้มากยิ่งเจริญ
ส่วนคนที่ใจอ่อน เกียจคร้าน ประมาท หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ ฆ่าไม่ลงยิ่งตกต่ำ
ว่าแต่.........แถ จะเข้าใจหรือเปล่านะ



เห็นท่าจะไม่



ปล. กระทู้ดี๊ดีค่ะ ขอบพระคุณมากๆ 


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 09-02-2007, 00:07
ชอบจริงๆ กระทู้ประเทืองปัญญา
เอียนจะแย่แล้วมีแต่กระทู้เศรษฐกิจเน่า :slime_fighto:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ลับ ลวง พราง ที่ 09-02-2007, 00:11
 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


กระทู้นี้  เหนือคำบรรยาย


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: 1ktip ที่ 09-02-2007, 00:37
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ ที่สรรสร้างมาเตือนสติเพื่อนผู้หลงผิดครับ :slime_worship:

แต่ดูท่าบัวใต้โคลนโดนหินทันอย่างคุณแถกับน้าจ๊ะต้องใช้เวลาอีกหลายกัลป์กว่าจะโผล่พ้นน้ำ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 09-02-2007, 00:54
เข้ามาอ่าน...
และขอบคุณกระทู้ที่มีเนื้อหา สาระดีครับ.....




ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ

ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง

คนบางคน.. คงมีวิบากกรรมที่หนาแน่นติดตัวมา จึงทำให้มืดบอดไม่สามารถ  :slime_hmm:
แทรกออกมาพบเห็นแสงสว่างทางปัญญาได้  พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอน
ให้เราวางอุเบกขาค่ะ  สำหรับอเวไนยสัตว์ประเภทบัวใต้ตมนั้น เราคงจำเป็น
ต้องปล่อยให้เป็นอาหารเต่าปูปลาไปตามยถากรรม

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)




คนบางคน.. คงมีวิบากกรรมที่หนาแน่นติดตัวมา จึงทำให้มืดบอดไม่สามารถ.... 
 
ถึงจะมีกัลยาณมิตรเป็น'เทวดา' ชี้แนะ ยังใผ่ต่ำ เลือกเป็น'หนอนในโถส้วม' ....




หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 09-02-2007, 01:01
บทส่งท้าย
การบริโภคอย่างพอประมาณนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผลดีต่อชาติ
แต่ยังเป็นผลดี ต่อโลกใบน้อยนี้ของเรา ไม่ใช่เจ้าทุนนิยมนี้หรอกหรือ
โลกเราจึงเกิดสภาวะแปรปรวนอย่างทุกวันนี้
 

ยิ่งคุณเสพบริโภคมากเท่าไหร่ ไม่รู้จักพอ คุณก็ต้องเบียดเบียน สภาวะแวดล้อมมากขึ้น
เริ่มตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน คนในท้องถิ่น คนในอำเภอ คนในจังหวัด คนในประเทศ
เพื่อนร่วมภูมิภาค ทรัพยากรค่อยๆหมดลงไปทุกที ป่าไม้ น้ำมัน เหล็ก ถ่านหิน
แถมสร้า้งขยะ มลพิษเต็มไปหมด อย่าลืมว่าการผลิต คือการแปรรูปเท่านั้น

แนวคิดความพอเพียง จึงเป็นแนวคิดเพื่อสันติสุขของชาวโลกอย่างแท้จริง


ครับ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 09-02-2007, 02:10
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีครับ


 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: สาวชาวบ้าน ที่ 09-02-2007, 11:48
Great!! Upasaka I love you


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 09-02-2007, 11:56
 "แผน 9 กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ( แผน 10 ด้วย )

http://forum.serithai.net/index.php?topic=11436.0

พรรคการเมืองใหนจะเอาไปประกอบการเขียนแนวนโยบาย ไม่ต้องลอง ใช้ได้เลย


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 09-02-2007, 12:12
มันก็พอดูดีนะกระทู้นี้ แต่ติดตรงที่ว่า 'ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง' เนี่ยมันคำสอนศาสนาไหนกัน

ศาสนาพุทธนี่แหล่ะครับ

พ. ดูกรเกสี ถ้าบุรุษที่ควรฝึกของเราไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม
ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อมทั้งรุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลย ฯ
เก. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเลย
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงตรัสอย่างนี้ว่า ฆ่าเขาเสีย ฯ
พ. จริง เกสี ปาณาติบาตไม่สมควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษที่ควร
ฝึกใด ย่อมไม่เข้าถึงการฝึกด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีทั้งละม่อม
ทั้งรุนแรง ตถาคตไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกนั้นว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้
พรหมจารีผู้เป็นวิญญูชนก็ย่อมไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน ดูกรเกสี
ข้อที่ตถาคต ไม่สำคัญบุรุษที่ควรฝึกว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน แม้สพรหมจารี
ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลายก็ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี
ในวินัยของพระอริยะ ฯ

นับว่าเป็นบุญของพวกเราที่ท่าน Upasaka แวะเข้ามาในบอร์ดนี้


 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Suraphan07 ที่ 09-02-2007, 12:47
  :slime_worship:  :slime_worship:  :slime_worship:

เอาเข้ามาเพิ่มบ่อยๆ น่ะครับ...


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: All for one ที่ 09-02-2007, 17:31
ขอบคุณนะค่ะ ที่ นำสิ่งดีๆ มา post ให้อ่าน อย่างน้อยที่สุด  ก็ทำให้ บัวใต้น้ำอย่างดิฉันมีโอกาสอ่านและ
พิจารณาตาม  ทั้งๆที่รู้ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม   กลับไม่มีอิทธิบาท ๔ ในเรื่องใกล้ตัวเช่นนี้

ในฐานะ พ่อแม่ตอนนี้หากเราไม่มีสันโดษและ โยนิโสมนสิการ วันข้างหน้า ลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร
ดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ค่ะที่จะต้องรักษา ปกป้อง ทรัพยากร และต่อต้าน ความเห็นแก่ตัวของ พวกไม่รู้จักพอ
ในวันข้างหน้าจะได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่ลูกหลานได้ยึดเป็นแบบอย่างต่อไป เหมือนกับที่เราที่บรรพบุรุษของเราได้ทำมาแล้วค่ะ

คุณอุบาสก ดิฉันอยากอ่าน เรื่อง หิริโอตัปปะ  [/b] อีกครั้งค่ะ ถือเป็นธรรมทานให้กับบัวใต้น้ำนะค่ะ


ขอบพระคุณมากค่ะ[/color] :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 09-02-2007, 19:56
สาธุ  :slime_worship:

ซาบซึ้งมากค่ะในรสพระธรรม และเป็นการตอบคำถามชัดเจนว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางจากพระพุทธศาสนาอย่างไร

แต่ก็ออกจะสมเพชนะคะ  ม้าแถ ถูกฆ่าเสียแล้ว  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 09-02-2007, 23:49
สาธุ  :slime_worship:
แต่ก็ออกจะสมเพชนะคะ  ม้าแถ ถูกฆ่าเสียแล้ว      :slime_bigsmile:

ไม่เอานาคุณพรรณชมพู
เดี๋ยวจะทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเปล่าๆครับ


 :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 10-02-2007, 10:38
คือ คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้

ผมไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แต่เข้ามาช่วย confirm ความมั่วของ "แถ" ว่ามั่วได้ทุกศาสนา
ในคริสต์ศาสนาไม่มีบทลงโทษทางศาสนาครับ

1 There is therefore now no condemnation to them which are in Christ Jesus, who walk not after the flesh, but after the Spirit.
2 For the law of the Spirit of life in Christ Jesus hath made me free from the law of sin and death.
... Romans 8:1-2


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 10-02-2007, 14:57
กระทู้นี้พุทธคุณแรงแฮะ.........ไม่ค่อยเห็นผีแวะมาต่อกร


 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: caveman ที่ 10-02-2007, 15:35
สาธุ ครับ ขออนุญาติเจ้าของกระทู้ ตัดข้อความที่เป็นประโยชน์ ส่งต่อให้เพื่อนๆด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 10-02-2007, 21:21
คือ คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้

ผมไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แต่เข้ามาช่วย confirm ความมั่วของ "แถ" ว่ามั่วได้ทุกศาสนา
ในคริสต์ศาสนาไม่มีบทลงโทษทางศาสนาครับ

1 There is therefore now no condemnation to them which are in Christ Jesus, who walk not after the flesh, but after the Spirit.
2 For the law of the Spirit of life in Christ Jesus hath made me free from the law of sin and death.
... Romans 8:1-2


For the wages of sin is death; but the free gift of God is eternal life


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 11-02-2007, 16:25
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริยะ ฯ

โดยปกติการฆ่าย่อมผิดศีลปาณาติบาตอย่างชัดแจ้ง การชำระพระไตรปิฎกแล้วยังเหลือข้อความดังกล่าว
เพื่อมาสอนชนรุ่นหลัง โดยเปรียบว่าการสั่งสอนเป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะฯ คงจะเป็นการแถ
โดยวิถีชาวพุทธ คงไม่มีใครเกิดทันสมัยนั้นที่จะสามารถพิสูจน์ข้อความนี้ได้ว่ามีจริง การชำระพระไตรปิฎก
ในยุคต่อๆ มาอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์อันใด สร้างความ
เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า 'ฆ่า' โดยเปล่าประโยชน์


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 11-02-2007, 20:04
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริยะ ฯ

โดยปกติการฆ่าย่อมผิดศีลปาณาติบาตอย่างชัดแจ้ง การชำระพระไตรปิฎกแล้วยังเหลือข้อความดังกล่าว
เพื่อมาสอนชนรุ่นหลัง โดยเปรียบว่าการสั่งสอนเป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะฯ คงจะเป็นการแถ
โดยวิถีชาวพุทธ คงไม่มีใครเกิดทันสมัยนั้นที่จะสามารถพิสูจน์ข้อความนี้ได้ว่ามีจริง การชำระพระไตรปิฎก
ในยุคต่อๆ มาอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์อันใด สร้างความ
เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า 'ฆ่า' โดยเปล่าประโยชน์

ลองกลับไปอ่านใหม่นะครับ เผื่อจะเข้าใจ ตัดมาแหว่งๆ แบบนั้นความหมายก็ผิดหมดสิครับ  :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 11-02-2007, 20:04
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริยะ ฯ

โดยปกติการฆ่าย่อมผิดศีลปาณาติบาตอย่างชัดแจ้ง การชำระพระไตรปิฎกแล้วยังเหลือข้อความดังกล่าว
เพื่อมาสอนชนรุ่นหลัง  โดยเปรียบว่าการสั่งสอนเป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะฯ คงจะเป็นการแถ
โดยวิถีชาวพุทธ คงไม่มีใครเกิดทันสมัยนั้นที่จะสามารถพิสูจน์ข้อความนี้ได้ว่ามีจริง  การชำระพระไตรปิฎก
ในยุคต่อๆ มาอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์อันใด สร้างความ
เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า 'ฆ่า' โดยเปล่าประโยชน์

เชื่อในพระไตรปิฎก ก็ต้องเชื่อทั้งหมด การเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในข้อที่ตนไม่อยากเชื่อหรือเชื่อ  เขาเรียกมั่วนะแถ  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 11-02-2007, 20:06
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริยะ ฯ

โดยปกติการฆ่าย่อมผิดศีลปาณาติบาตอย่างชัดแจ้ง การชำระพระไตรปิฎกแล้วยังเหลือข้อความดังกล่าว
เพื่อมาสอนชนรุ่นหลัง โดยเปรียบว่าการสั่งสอนเป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะฯ คงจะเป็นการแถ
โดยวิถีชาวพุทธ คงไม่มีใครเกิดทันสมัยนั้นที่จะสามารถพิสูจน์ข้อความนี้ได้ว่ามีจริง การชำระพระไตรปิฎก
ในยุคต่อๆ มาอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์อันใด สร้างความ
เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า 'ฆ่า' โดยเปล่าประโยชน์

ลองกลับไปอ่านใหม่นะครับ เผื่อจะเข้าใจ ตัดมาแหว่งๆ แบบนั้นความหมายก็ผิดหมดสิครับ  :slime_hmm:

ตัดแปะจนเคยตัว  :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 11-02-2007, 21:08
ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน นี้เป็นการฆ่าอย่างดี ในวินัยของพระอริยะ ฯ

โดยปกติการฆ่าย่อมผิดศีลปาณาติบาตอย่างชัดแจ้ง การชำระพระไตรปิฎกแล้วยังเหลือข้อความดังกล่าว
เพื่อมาสอนชนรุ่นหลัง โดยเปรียบว่าการสั่งสอนเป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะฯ คงจะเป็นการแถ
โดยวิถีชาวพุทธ คงไม่มีใครเกิดทันสมัยนั้นที่จะสามารถพิสูจน์ข้อความนี้ได้ว่ามีจริง การชำระพระไตรปิฎก
ในยุคต่อๆ มาอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์อันใด สร้างความ
เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า 'ฆ่า' โดยเปล่าประโยชน์

ลองกลับไปอ่านใหม่นะครับ เผื่อจะเข้าใจ ตัดมาแหว่งๆ แบบนั้นความหมายก็ผิดหมดสิครับ  :slime_hmm:

มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องตัดแปะให้รกเพราะว่าก็แค่เลื่อนหน้าขึ้นไปข้างบนก็เห็น
ความหมายของคำว่า 'สั่งสอน' และคำว่า 'ฆ่า' ย่อมไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเฉพาะกิจ
เพื่อให้คำว่า 'ฆ่า' ไม่ได้มีความหมายตรงตัว แต่มีความหมายเลี่ยงไป ตามที่ยกขึ้นมา
ถ้าทุกคนอ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า 'ฆ่า' หมายความว่า 'สั่งสอน' เหมือนที่ยกตัวอย่างว่า ฆ่าม้า
ทิ้ง คือ สั่งสอนม้า ภาษามันจะไม่เละไปหมดหรือ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 11-02-2007, 21:33
มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องตัดแปะให้รกเพราะว่าก็แค่เลื่อนหน้าขึ้นไปข้างบนก็เห็น
ความหมายของคำว่า 'สั่งสอน' และคำว่า 'ฆ่า' ย่อมไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเฉพาะกิจ
เพื่อให้คำว่า 'ฆ่า' ไม่ได้มีความหมายตรงตัว แต่มีความหมายเลี่ยงไป ตามที่ยกขึ้นมา
ถ้าทุกคนอ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า 'ฆ่า' หมายความว่า 'สั่งสอน' เหมือนที่ยกตัวอย่างว่า ฆ่าม้า
ทิ้ง คือ สั่งสอนม้า ภาษามันจะไม่เละไปหมดหรือ

..เอาที่ไหนมาว่าคะว่าการฆ่าคือการสั่งสอน  :slime_doubt:
..ถ้าสั่งสอนทั้งวิธีละม่อมก็แล้ว และวิธีรุนแรงก็แล้วยังขุนไม่ขึ้น  :slime_fighto:
ก็เห็นจะต้อง 'ไม่สำคัญว่า ควรว่ากล่าว ควรสั่งสอน
นี้เป็นการฆ่าอย่างดีในวินัยของพระอริยะ ฯ'
ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นการวางเฉยต่างหาก ปล่อยให้โง่ตายไปเอง
เหมือนกับปล่อยพวกปทปรมะเป็นอาหารเต่าปลานั่นแหละ  

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 11-02-2007, 22:36
จะสั่งสอน สอนจนเบื่อแล้วปล่อยเฉยเลิกสอน มันก็ไม่ใช่ความหมายตรงตัวของคำว่า 'ฆ่า' อยู่ดี


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 11-02-2007, 22:41
ฆ่ากิเลส
ฆ่าความชั่ว
ฆ่าความเห็นแก่ตัว
ฆ่าความคิดอันเป็นอกุศลจิต
ฯลฯ

"ฆ่า" เหล่านี้คงไม่ต้องเอามีดไปเชือดคอ


แต่ฆ่าชอบแถนี่ไม่แน่


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 11-02-2007, 22:45
ฆ่ากิเลส
ฆ่าความชั่ว
ฆ่าความเห็นแก่ตัว
ฆ่าความคิดอันเป็นอกุศลจิต
ฯลฯ

"ฆ่า" เหล่านี้คงไม่ต้องเอามีดไปเชือดคอ


แต่ฆ่าชอบแถนี่ไม่แน่


เอาม้าไปฆ่าทิ้ง คงไม่มีใครคิดว่า ฆ่ากิเลส หรอกนะ
คำว่า 'ฆ่า' ถ้าใช้โดดๆ คงไม่มีใครหมายถึง ฆ่าสามสี่อย่างที่ยกขึ้นมาหรอก


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 11-02-2007, 22:51
สาธุ คุณอังศนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเลิกสั่งสอนว่ากล่าว ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ
ก็ย่อมหมดโอกาสเจริญเติบโตในทางธรรม มิอาจล่วงทุกข์ได้
ต้องโดนของร้อน 3 สิ่ง ราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาจิตจนตายไปเอง
เวลาอยากได้อะไร โกรธใคร ลุ่มหลงใคร ลองตรวจสภาวะรูปแลนามดู
เป็นเช่นดังว่าหรือไม่

หลายอาจสงสัยว่าทำไมจึงต้องแปลไทยออกมาด้วยสำนวนลักษณะนี้
อยากให้พิจารณาตรงนี้ก่อน

พุทธคุณ 3 (virtues, qualities or attributes of the Buddha)
       1. ปัญญาคุณ (พระคุณคือพระปัญญา — wisdom)
       2. วิสุทธิคุณ (พระคุณคือความบริสุทธิ์ — purity)
       3. กรุณาคุณ (พระคุณคือพระมหากรุณา — compassion)

ก็ที่เราจุดธูปกัน 3 ดอกนั้นแลคือการบูชาพุทธคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง
การคงไว้ซึ่งสำนวนเดิมในการแปลถือเป็นเรื่องเคร่งครัดที่ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทควรปฎิบัติ
เพื่อคงไว้ซึ่งพุทธวจนะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ธรรมทายาทรุ่นหลัง
ได้ทราบซึ้งถึงพุทธคุณดังสมัยพุทธกาล


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 12-02-2007, 08:29
"ฆ่า" เหล่านี้คงไม่ต้องเอามีดไปเชือดคอ
แต่ฆ่าชอบแถนี่ไม่แน่

ไม่เอานาท่าน cameronDZ
ไม่เช่นนั้นศีลข้อ 1 ขาดแน่ครับ

 :slime_surrender:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 12-02-2007, 08:48
สาธุ คุณอังศนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเลิกสั่งสอนว่ากล่าว ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ
ก็ย่อมหมดโอกาสเจริญเติบโตในทางธรรม มิอาจล่วงทุกข์ได้
ต้องโดนของร้อน 3 สิ่ง ราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาจิตจนตายไปเอง

สาธุ !
หวังว่าท่าน Upasaka คงแวะมาโปรดพวกเราอีกนะครับ
ขอนม้สการครับ

:slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 12-02-2007, 10:39
คือ คำสอนจากศาสนาพุทธเป็นได้แค่ข้อแนะนำ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง ไม่มีบทลงโทษทางศาสนาหรือทางสังคม
เหมือนศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลาม ใครปฏิบัติได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขนาดศีลห้ายังรักษากันไม่ค่อยจะ
ได้ เพราะคำสอนผ่านมาหลายปีจึงคลุมเครือถูกตีความต่างไปในแต่ละท้องถิ่น แม้การพูดเสียดสียังผิดศีลได้

ผมไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แต่เข้ามาช่วย confirm ความมั่วของ "แถ" ว่ามั่วได้ทุกศาสนา
ในคริสต์ศาสนาไม่มีบทลงโทษทางศาสนาครับ

1 There is therefore now no condemnation to them which are in Christ Jesus, who walk not after the flesh, but after the Spirit.
2 For the law of the Spirit of life in Christ Jesus hath made me free from the law of sin and death.
... Romans 8:1-2


For the wages of sin is death; but the free gift of God is eternal life

1 What shall we say then? Shall we continue in sin, that grace may abound?

2 God forbid. How shall we, that are dead to sin, live any longer therein?

3 Know ye not, that so many of us as were baptized into Jesus Christ were baptized into his death?

4 Therefore we are buried with him by baptism into death: that like as Christ was raised up from the dead by the glory of the Father, even so we also should walk in newness of life.

5 For if we have been planted together in the likeness of his death, we shall be also in the likeness of his resurrection:

6 Knowing this, that our old man is crucified with him, that the body of sin might be destroyed, that henceforth we should not serve sin.

7 For he that is dead is freed from sin.

8 Now if we be dead with Christ, we believe that we shall also live with him:

9 Knowing that Christ being raised from the dead dieth no more; death hath no more dominion over him.

10 For in that he died, he died unto sin once: but in that he liveth, he liveth unto God.

11 Likewise reckon ye also yourselves to be dead indeed unto sin, but alive unto God through Jesus Christ our Lord.

12 Let not sin therefore reign in your mortal body, that ye should obey it in the lusts thereof.

13 Neither yield ye your members as instruments of unrighteousness unto sin: but yield yourselves unto God, as those that are alive from the dead, and your members as instruments of righteousness unto God.

14 For sin shall not have dominion over you: for ye are not under the law, but under grace.

15 What then? shall we sin, because we are not under the law, but under grace? God forbid.

16 Know ye not, that to whom ye yield yourselves servants to obey, his servants ye are to whom ye obey; whether of sin unto death, or of obedience unto righteousness?

17 But God be thanked, that ye were the servants of sin, but ye have obeyed from the heart that form of doctrine which was delivered you.

18 Being then made free from sin, ye became the servants of righteousness.

19 I speak after the manner of men because of the infirmity of your flesh: for as ye have yielded your members servants to uncleanness and to iniquity unto iniquity; even so now yield your members servants to righteousness unto holiness.

20 For when ye were the servants of sin, ye were free from righteousness.

21 What fruit had ye then in those things whereof ye are now ashamed? for the end of those things is death.

22 But now being made free from sin, and become servants to God, ye have your fruit unto holiness, and the end everlasting life.

23 For the wages of sin is death; but the gift of God is eternal life through Jesus Christ our Lord.

... Roman 6:1-23 (KJV)

ตกลงคำว่า "บทลงโทษทางศาสนา" ที่คุณพูดถึงนี่เป็นการลงโทษแบบไหนครับ คำว่า "ค่าจ้างของความบาปคือความตาย" นั่นเป็นความหมายเชิงจิตวิญญาณ หมายถึงการ "ตาย" จากพระเจ้า

For all have sinned, and come short of the glory of God;
... Roman 3:23 (KJV)

ไม่ได้หมายความว่าให้เอาคนบาปไปฆ่า ศานาพุทธก็มีคำสอนเรื่อง นรก สวรรค์ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้เรียกว่า "บทลงโทษทางศาสนา" หรือเปล่าครับ




หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 12-02-2007, 10:48
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: buntoshi ที่ 12-02-2007, 12:13
ขอบคุณจริงๆ ครับ สำหรับ กระทู้นี้  :slime_sentimental:

จะเห็นได้ว่าผู้ที่ไม่มีผู้มีมิจฉาทิฏฐิ จะเข้าใจ ว่าคุณ Upasaka สื่อความหมายให้ประโยชน์ให้แง่คิดแค่ใหน

ผมได้เห็น สมาชิกใหม่ ที่สมัครมาเพื่อขอบคุณ คุณ Upasaka โดยเฉพาะ ผมรู้สึกดีใจแทนจริงๆครับ

กระทู้ดีๆ ขนาดนี้ ยังมีสิ่งที่ให้แถได้ จะนับถือหรือจะฆ่าดี  :slime_worship:

ทุกวันพุทธบริษัท ทั้งหลาย ยิ่งห่างไกลพระธรรมคำสั่งสอน ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องถูกเรื่องควร

แต่กลับไปเข้าใกล้ตัณหาที่พระธรรมให้หลีกเลี่ยงเข้าทุกวัน

นี่แหล่ะครับ มนุษย์ ที่ไม่อาจหลุดพ้น


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 12-02-2007, 13:03
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก

แล้วเรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กับ "กฏแห่งกรรม" ล่ะครับคุณ "ม้าแถ"


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 12-02-2007, 14:08
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก

แล้วเรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กับ "กฏแห่งกรรม" ล่ะครับคุณ "ม้าแถ"

กฎแห่งกรรม คือ ผลที่ได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่า ทำเลวต้องได้ผลกรรมตกนรก
หรือว่า ทำเลวในชาตินี้ก็จะมีอะไรมาบันดาลให้ประสบความวิบัติในชาตินี้
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นเหตุเป็นผล เหมือนคนคิดชั่วมายึดอำนาจการปกครองประเทศ แล้วให้
ข่าวชั่วๆ บอกว่าสนามบินจะพังพินาศ ผลกรรมก็คือ คนไม่เชื่อถือ ไม่มาเที่ยว ประเทศก็ขาดรายได้
ความเดือนร้อนสุดท้ายก็จะสะท้อนกลับไปยังคนก่อกรรม คือ พวกมายึดครองประเทศนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 12-02-2007, 14:20
พอเถอะ แถเอ๋ย
จะเอา "ความรู้สึก" มาเถียงกับ "ความรู้" ก็เอาแต่พองาม
มากไปน่ารำคาญ

จริง ๆ อยากยก ปฏิจจสมุปบาท  เหตุปัจจัยอันว่าด้วยการเกิดและการดับ 12 ประการ มาขยายสมองให้
แต่คิดว่าอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า
ในเมื่อ "ความรู้สึก" ของแถ มันรู้อยู่แค่ว่า
การเกิด คือ การหลุดออกจากช่องคลอดแม่มาร้องอุแว้ ๆ
และ การดับ ก็คือการหมดลมหายใจ ตายแหงแก๋ เท่านั้น

ก็จงเป็นบัวใต้น้ำ เป็นม้าที่สอนไม่ได้ เป็นบ่าวที่ดีของพญามาร(หน้าเหลี่ยม) ต่อไป เทอญ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Coolly_Jade ที่ 12-02-2007, 14:23
แถไปตรวจสุขภาพจิตบ้างเสียเถิด หนักมากแล้วนะ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 12-02-2007, 14:30
พอเถอะ แถเอ๋ย
จะเอา "ความรู้สึก" มาเถียงกับ "ความรู้" ก็เอาแต่พองาม
มากไปน่ารำคาญ

จริง ๆ อยากยก ปฏิจจสมุปบาท  เหตุปัจจัยอันว่าด้วยการเกิดและการดับ 12 ประการ มาขยายสมองให้
แต่คิดว่าอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า
ในเมื่อ "ความรู้สึก" ของแถ มันรู้อยู่แค่ว่า
การเกิด คือ การหลุดออกจากช่องคลอดแม่มาร้องอุแว้ ๆ
และ การดับ ก็คือการหมดลมหายใจ ตายแหงแก๋ เท่านั้น

ก็จงเป็นบัวใต้น้ำ เป็นม้าที่สอนไม่ได้ เป็นบ่าวที่ดีของพญามาร(หน้าเหลี่ยม) ต่อไป เทอญ

ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรในศาสนาพุทธเลย ก็อย่าได้ยกอะไรขึ้นมาอ้างส่งเดช ไม่ได้เกี่ยวเรื่องซักนิด


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 12-02-2007, 15:32
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก

แล้วเรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กับ "กฏแห่งกรรม" ล่ะครับคุณ "ม้าแถ"

กฎแห่งกรรม คือ ผลที่ได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่า ทำเลวต้องได้ผลกรรมตกนรก
หรือว่า ทำเลวในชาตินี้ก็จะมีอะไรมาบันดาลให้ประสบความวิบัติในชาตินี้
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นเหตุเป็นผล เหมือนคนคิดชั่วมายึดอำนาจการปกครองประเทศ แล้วให้
ข่าวชั่วๆ บอกว่าสนามบินจะพังพินาศ ผลกรรมก็คือ คนไม่เชื่อถือ ไม่มาเที่ยว ประเทศก็ขาดรายได้
ความเดือนร้อนสุดท้ายก็จะสะท้อนกลับไปยังคนก่อกรรม คือ พวกมายึดครองประเทศนั่นเอง

แล้วคนพเนจรไม่มีแผ่นดินจะอยู่ต้องระหกระเหินไปประเทศโน้นทีประเทศนี้ทีเพราะทรยศต่อชาติบ้านเมือง อย่างนี้พอจะเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมหรือว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 12-02-2007, 16:00
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก

แล้วเรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กับ "กฏแห่งกรรม" ล่ะครับคุณ "ม้าแถ"

กฎแห่งกรรม คือ ผลที่ได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่า ทำเลวต้องได้ผลกรรมตกนรก
หรือว่า ทำเลวในชาตินี้ก็จะมีอะไรมาบันดาลให้ประสบความวิบัติในชาตินี้
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นเหตุเป็นผล เหมือนคนคิดชั่วมายึดอำนาจการปกครองประเทศ แล้วให้
ข่าวชั่วๆ บอกว่าสนามบินจะพังพินาศ ผลกรรมก็คือ คนไม่เชื่อถือ ไม่มาเที่ยว ประเทศก็ขาดรายได้
ความเดือนร้อนสุดท้ายก็จะสะท้อนกลับไปยังคนก่อกรรม คือ พวกมายึดครองประเทศนั่นเอง

แล้วคนพเนจรไม่มีแผ่นดินจะอยู่ต้องระหกระเหินไปประเทศโน้นทีประเทศนี้ทีเพราะทรยศต่อชาติบ้านเมือง อย่างนี้พอจะเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมหรือว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือเปล่าครับ

การไม่ได้อยู่ในประเทศย่อมเป็นผลกรรมที่ทำไว้ แต่เรื่องแบบนี้ต้องดูกันยาว
เพราะว่าถ้าตอนจบท่านไม่ลำบากอะไรแสดงว่าไม่ใช่ผลกรรมแห่งความชั่ว
เพียงแต่เป็นกรรมที่ไปก่อไว้กับผู้มีบารมีอะไรซักอย่าง มันก็เป็นเหตุผลไม่ใช่
เรื่องมหัศจรรย์มีเทพมาดลบันดาลให้เกิดผลกรรมเหมือนอย่างที่คนเข้าใจ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Scorpio6 ที่ 13-02-2007, 00:37
ดูท่า คุณอุบาสก ยังไม่เคยเผชิญกับ "นักรับจ้างตะแบง ผู้อายไม่เป็น" นะครับ

ไม่เป็นไรครับ ม้าฝึกไม่ได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง

ต้องอย่างนี้ครับ...ประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง

นับถือ  :slime_worship: :slime_worship: :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 13-02-2007, 06:59
ศาสนาพุทธมีแก่นที่เรื่องความทุกข์ การพ้นทุกข์ ถ้าตั้งใจกล่าวถึงศาสนา
ควรยกเรื่อง ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา อริยสัจสี่ ก็พอ ไม่รู้แก่นเอากระพี้มา
แปะ ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 13-02-2007, 07:20
เชื่อแล้วล่ะ ว่าชอบแถ

กระทู้นี้ มีใครเขากล่าวถึง "แก่น" ศาสนาพุทธเล่า พ่อคุณ

เขาพูดเรื่องธรรมะที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต

พ่อก็เล่นมาแถ จับวลีฆ่าม้าฆ่าแม้ว (อุ๊บ แม้วไม่มี ไม่น่าเติมสร้อย เด๋วมันก็จับวลีไปแถต่อ) ไปเถียงเป็นวรรคเป็นเวร
จับคำหนึ่ง มาเถียงลากไปอีกสามคำ ไม่จบไม่สิ้น

พอยกเรื่องปฏิจจสมุปบาท มาเป็นตัวอย่างเปรียบให้เห็นว่า การเกิด การดับ ไม่ได้มีความหมายแค่การปฏิสนธิ กับการตาย เพื่อจะให้เห็นว่า "การฆ่า" ก็ไม่ได้มีความหมายแค่การเอามีดมาเชือดคอ

มันก็ยังหาเรื่อง "แถก" ไปได้น้ำขุ่น ๆ

ไม่ยุ่งด้วยแระ
จะปั๊ม จะปั่นกระทู้ ยังไงก็ตามใจเถอะ
ขอเชิญ "ทำมาหากิน"   ไปตามสะดวกนะ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 13-02-2007, 07:32
..ก็คงต้องปลงอนิจจังละค่ะ ชาวเราทั้งหลาย :slime_sleeping:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 13-02-2007, 08:57

เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้
มีมารตามมาผจญอยู่เรื่อยเลย
ขอเทวดาฟ้าดินช่วยปัดเป่าให้สิ่งร้ายทั้งหลายกลายเป็นดีด้วยเถิด


 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 13-02-2007, 09:32
ศาสนาพุทธมีแก่นที่เรื่องความทุกข์ การพ้นทุกข์ ถ้าตั้งใจกล่าวถึงศาสนา
ควรยกเรื่อง ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา อริยสัจสี่ ก็พอ ไม่รู้แก่นเอากระพี้มา
แปะ ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด

เป็นหวัดจะผ่าตัดทำไมหนอ
หมอแนะนำให้ออกกำลังกายหนอ

แข็งแรงไม่ต้องกลัวโลกหนอ

ยังวิ่งตากฝนอยู่ ไม่รู้จะเป็นหวัดหนอ
เรื่องง่าย แนะนำแล้วไม่ปฎิบัติหนอ
จะมาขอยาอายุยืนทำไมหนอ


ไตรสิกขาขึ้นต้นด้วยศีลหนอ
วิ่งตากฝนผิดศีลหนอ เพราะไม่มีปัญญาหนอ
สมาธิอยู่ที่ไหนหนอ

ขึ้นต้นทุกข์หนอ แจกแจงเหตุแห่งทุกข์หนอ ตั้งเป้าหมายพ้นทุกข์หนอ
เขียนแผนที่ให้ชีวิตหนอ

ทุกข์นี้มีไว้รู้หนอ เหตุแห่งทุกข์นี้มีไว้ละหนอ
เส้นชัยนามนิโรธหนอ เส้นทางนามอริยมรรคหนอ

รู้จักทุกข์แล้วหนอ แต่ไม่ละทุกข์หนอ
เป้าหมายนี้ไม่แจ้งหนอ ยังละมิจฉาทิฏฐิไม่ได้หนอ

ปริยัติไม่สิกขา ปฎิบัติไม่ถูกหนอ ปฎิเวธไม่แจ้งหนอ

ปฎิจจสมุปบาทนี้ครอบคลุมทั้งหมดหนอ
อธิบายเกิดดับแห่งทุกข์หนอ
กระบวนการในปฎิจจสมุปบาทนามว่ากรรมหนอ
ปฎิจจสมุปบาทแสดงถึงปัจจัย กิเลส กรรม วิบากหนอ
์อริยสัจคืออีกรูปหนอ

ละสมุทัย ไม่ก่อกรรมหนอ ไม่เกิดหนอ ไม่ต้องเสวยวิบากหนอ

ธรรมนี้ไม่มีแก่นหนอ ไม่มีกระพี้หนอ
ธรรมนี้เนื่องด้วยสิ่งเดียวกันหนอ
ธรรมนี้คือกฎสภาวะหนอ ชื่อใดหนอ สำคัญเพียงใดหนอ
แสดงชื่อใดหนอ แสดงเพื่อใครหนอ แสดงคนละรูปหนอ

จุดธูปเรียกแล้วหนอ
ตายแล้วยังกรวดน้ำไปให้หนอ
อย่าก่อกรรมอีกเลยหนอ ชดใช้ไม่หมดหนอ
เมตตาจึงกรุณาหนอ รอมุทิตาอยู่หนอ

 :slime_worship:



หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 13-02-2007, 10:32
อ้างแก่นธรรม พระสูตรบทนี้เคยอ่านหรือ?
แค่อ้างมาก็ผิดแล้ว



ไม่ว่าร้ายใคร
ไม่กระทบกระทั่งใคร
ระมัดระวังในปาติโมกข์
บริโภคพอประมาณ
อยู่ในสถานสงัด
ฝึกหัดจิตให้สงบ
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 13-02-2007, 11:09
ถ้าคุณคิดว่านรก สวรรค์ เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แสดงว่าคุณเข้าใจผิด เพราะพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยืนยันเรื่องนี้
ส่วนบทลงโทษทางศาสนาคริสต์เนื่องจาก บาป ก็ชัดในคำอยู่แล้วไง คงไม่ต้องแปลอะไรอีก

แล้วเรื่อง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กับ "กฏแห่งกรรม" ล่ะครับคุณ "ม้าแถ"

 กฎแห่งกรรม คือ ผลที่ได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่า ทำเลวต้องได้ผลกรรมตกนรก
หรือว่า ทำเลวในชาตินี้ก็จะมีอะไรมาบันดาลให้ประสบความวิบัติในชาตินี้
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นเหตุเป็นผล เหมือนคนคิดชั่วมายึดอำนาจการปกครองประเทศ แล้วให้
ข่าวชั่วๆ บอกว่าสนามบินจะพังพินาศ ผลกรรมก็คือ คนไม่เชื่อถือ ไม่มาเที่ยว ประเทศก็ขาดรายได้
ความเดือนร้อนสุดท้ายก็จะสะท้อนกลับไปยังคนก่อกรรม คือ พวกมายึดครองประเทศนั่นเอง



 กฎแห่งกรรม คือ ผลที่ได้จากการกระทำของตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่า ทำเลวต้องได้ผลกรรมตกนรก
หรือว่า  ทำเลวในชาตินี้ก็จะมีอะไรมาบันดาลให้ประสบความวิบัติในชาตินี้


คุณชอบแถ2 ยังไม่รู้ซึ้ง ยังไม่เห็นอีกเหรอ...........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: engg ที่ 13-02-2007, 13:49
พระเจ้ามหานาม "พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงไร บุคคลจึงจะชื่อว่าเป็นอุบาสก"

พระพุทธเจ้า "เพราะการที่บุคคลเป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสารณะ ถึงพระธรรมเป็นสารณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสารณะ ด้วยเหตุเพียงนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นอุบาสก"/b]


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 13-02-2007, 14:02
พุทธบริษัท หมู่ชนที่นับถือพระพุทธศาสนามี ๔ จำพวกคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา 

แถเข้าไป


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: engg ที่ 13-02-2007, 16:29
พรหมจรรย์(คือพระศาสนา)จะชื่อว่าสำเร็จผลแพร่หลายกว้างขวาง เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เป็นปึกแผ่น ถึงขั้นที่ว่า เทวดาและมนุษย์ประกาศไว้ดีแล้ว ต่อเมื่อมีองค์ประกอบต่อไปนี้ครบถ้วนคือ

1.องค์พระศาสดา

2.มีภิกษุ

3.มีภิกษุณี

4.มีอุบาสก

5.มีอุบาสิกา


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 13-02-2007, 17:28
อ้าว ไหง"แถ"บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ แล้วไหง engg บอกว่ามีล่ะ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: engg ที่ 13-02-2007, 18:12
เทวดาอาจมีหรือไม่ก็ได้ ชาติหน้าอาจมีหรือไม่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรู้ ต้องสนใจ เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ พบสุขที่พระพุทธเจ้าค้นพบ


สิ่งที่พระพุทธรู้มีมากมาย เทียบกับใบไม้ในป่า แต่ความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์ พบสุข มีเท่าใบไม้ในกำมือ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 08:46
อ้าว ไหง"แถ"บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ แล้วไหง engg บอกว่ามีล่ะ

คุณ engg ตอบได้ชัดเจนมาก หวังว่าคุณ watson คงเข้าใจ
ศาสนาพุทธถ้าไม่เข้าใจแก่น พระพุทธรูปก็คงเป็นแค่อุปกรณ์ให้หวย หรืออุปกรณ์สร้างความหวังทางปาฏิหาริย์ให้
มนุษย์ การต่อเติมเรื่องราวเชิงอภินิหารเข้าไปในศาสนาคงเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเชื่อมากเกินไปศรัทธาก็
เปลี่ยนเป็นงมงายได้ไม่ยาก การสอนศาสนาพุทธในเมืองไทยระบบยังสู้ศาสนาคริสต์ไม่ได้ เรื่องง่ายที่สุดคือการ
สื่อสารแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย การแปลด้วยภาษาโบราณสั้นกระชับ เช่น การวางเฉย ความเห็นชอบ
เด็กสมัยใหม่คงเข้าใจยาก ภาษาไทยปัจจุบันในบอร์ดยังใช้กันไม่ถูกแทบทุกคน ก็อาจเป็นจุดหนึ่งซึ่งทำให้เกิด
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยใช้ความคิดตัวเองผสมลงไปด้วย ซึ่งต่างจากระบบของศาสนาคริสต์ซึ่งมีการแปล
เป็นภาษาไทยไว้ชัดเจนแม้กระทั่งบทสวด ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพลง แม้กระทั่งวัดคริสต์ในชนบทผู้คนก็เข้าใจและ
ศรัทธาไม่งมงาย สมัยก่อนวงดนตรีของพวกมอร์มอนหรือสิทธิชนยุคสุดท้ายมีบทเพลงที่ทันสมัย(ในยุคนั้น)เกี่ยว
กับศาสนาในภาษาไทยแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความเข้าใจว่าต้องสื่อสารให้ได้ ส่วนศาสนาพุทธส่วนที่
ไม่ยากก็แปลเป็นไทยให้ยาก พอยากไปก็เน้นเรื่องอภินิหาร จึงมีบางพวกสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ตนเอง
ด้วยการยกภาษาบาลีมาอ้างเพื่อสร้างจุดสนใจให้ดูดีทั้งที่ควรเป็นเรื่องธรรมดามากถ้าเป็นระบบของศาสนาคริสต์


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 09:49
ชอบแถตีความพุทธศาสนาตามจริตตน วินิจฉัยโดยใช้ความรู้สึกจับล้วนๆ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 14-02-2007, 09:56
ชอบแถตีความพุทธศาสนาตามจริตตน วินิจฉัยโดยใช้ความรู้สึกจับล้วนๆ

ครับ ...
สาธุ !


 :slime_worship:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 10:09
ชอบแถตีความพุทธศาสนาตามจริตตน วินิจฉัยโดยใช้ความรู้สึกจับล้วนๆ
ที่ว่า หลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐาน นั้น หมายความว่ามันเป็นหลักที่มีจุด มุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ มีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองที่ทุกคนอาจเห็นได้ โดยไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่น นี้อย่างหนึ่ง นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งที่เป็นหลักมูลฐาน

ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย ไม่ยอมพยากรณ์ อย่างปัญหาที่ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่ อะไรไปเกิด เกิดอย่างไร ได้รับผลอย่างไร อย่างนี้มันไม่ใช่เป็นปัญหาที่มุ่งตรงไปยังเรื่องความดับทุกข์ และยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เป็นพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ไม่อยู่ในขอบวงของพุทธศาสนา เพราะไม่ได้มุ่งหมายที่จะดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งผู้ถามนั้นก็ได้แต่เชื่อตามผู้พูดดายไปเพราะว่าผู้ตอบ ก็ไม่อาจจะเอาอะไรมาแฉให้เห็นได้ ได้แต่พูดไปตามความจำและความรู้สึก ผู้ฟัง ก็ไม่อาจจะเห็นสิ่งนั้นได้ ก็ต้องเชื่อตามผู้พูดดายไป มันก็เลยเตลิดออกไปนอกเรื่องทีละนิด ๆ จนเป็นเรื่องอื่นไป ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ และอยู่ในลักษณะที่ผู้ฟังต้องเชื่อตามผู้พูดอย่างหลับหูหลับตาเรื่อยไป แล้วเดินออกไปนอกขอบวงของความดับทุกข์ยิ่งขึ้นทุกที

ใครจะไปคิดเองได้ เอามาจากค่ายนี้ อ่านแล้วน่าจะรู้นะค่ายไหน


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 10:14

ที่ว่า หลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐาน นั้น หมายความว่ามันเป็นหลักที่มีจุด มุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ มีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองที่ทุกคนอาจเห็นได้ โดยไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่น นี้อย่างหนึ่ง นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งที่เป็นหลักมูลฐาน

ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย ไม่ยอมพยากรณ์ อย่างปัญหาที่ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่ อะไรไปเกิด เกิดอย่างไร ได้รับผลอย่างไร อย่างนี้มันไม่ใช่เป็นปัญหาที่มุ่งตรงไปยังเรื่องความดับทุกข์ และยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เป็นพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ไม่อยู่ในขอบวงของพุทธศาสนา เพราะไม่ได้มุ่งหมายที่จะดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งผู้ถามนั้นก็ได้แต่เชื่อตามผู้พูดดายไปเพราะว่าผู้ตอบ ก็ไม่อาจจะเอาอะไรมาแฉให้เห็นได้ ได้แต่พูดไปตามความจำและความรู้สึก ผู้ฟัง ก็ไม่อาจจะเห็นสิ่งนั้นได้ ก็ต้องเชื่อตามผู้พูดดายไป มันก็เลยเตลิดออกไปนอกเรื่องทีละนิด ๆ จนเป็นเรื่องอื่นไป ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ และอยู่ในลักษณะที่ผู้ฟังต้องเชื่อตามผู้พูดอย่างหลับหูหลับตาเรื่อยไป แล้วเดินออกไปนอกขอบวงของความดับทุกข์ยิ่งขึ้นทุกที

ใครจะไปคิดเองได้ เอามาจากค่ายนี้ อ่านแล้วน่าจะรู้นะค่ายไหน

สันโดษดับทุกข์ได้หรือไม่
โยนิโสมนสิการดับทุกข์ได้หรือไม่
อัปปมาทะดับทุกข์ได้หรือไม่


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 10:19
ไม่บอกว่าคิดเองแล้วเหรอ ส่วนที่ถามมาคงตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่พระ(ปลอม)อ่ะ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 10:24


คุณ engg ตอบได้ชัดเจนมาก หวังว่าคุณ watson คงเข้าใจ
ศาสนาพุทธถ้าไม่เข้าใจแก่น พระพุทธรูปก็คงเป็นแค่อุปกรณ์ให้หวย หรืออุปกรณ์สร้างความหวังทางปาฏิหาริย์ให้
มนุษย์ การต่อเติมเรื่องราวเชิงอภินิหารเข้าไปในศาสนาคงเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเชื่อมากเกินไปศรัทธาก็
เปลี่ยนเป็นงมงายได้ไม่ยาก การสอนศาสนาพุทธในเมืองไทยระบบยังสู้ศาสนาคริสต์ไม่ได้ เรื่องง่ายที่สุดคือการ
สื่อสารแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย การแปลด้วยภาษาโบราณสั้นกระชับ เช่น การวางเฉย ความเห็นชอบ
เด็กสมัยใหม่คงเข้าใจยาก ภาษาไทยปัจจุบันในบอร์ดยังใช้กันไม่ถูกแทบทุกคน ก็อาจเป็นจุดหนึ่งซึ่งทำให้เกิด
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยใช้ความคิดตัวเองผสมลงไปด้วย ซึ่งต่างจากระบบของศาสนาคริสต์ซึ่งมีการแปล
เป็นภาษาไทยไว้ชัดเจนแม้กระทั่งบทสวด ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพลง แม้กระทั่งวัดคริสต์ในชนบทผู้คนก็เข้าใจและ
ศรัทธาไม่งมงาย สมัยก่อนวงดนตรีของพวกมอร์มอนหรือสิทธิชนยุคสุดท้ายมีบทเพลงที่ทันสมัย(ในยุคนั้น)เกี่ยว
กับศาสนาในภาษาไทยแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความเข้าใจว่าต้องสื่อสารให้ได้ ส่วนศาสนาพุทธส่วนที่
ไม่ยากก็แปลเป็นไทยให้ยาก พอยากไปก็เน้นเรื่องอภินิหาร จึงมีบางพวกสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ตนเอง
ด้วยการยกภาษาบาลีมาอ้างเพื่อสร้างจุดสนใจให้ดูดีทั้งที่ควรเป็นเรื่องธรรมดามากถ้าเป็นระบบของศาสนาคริสต์


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: watson ที่ 14-02-2007, 10:32
ทั้งคุณแถและคุณ engg ตอบไม่ตรงคำถามครับ ผมไม่ได้ถามว่าเทวดาหรือนรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่ได้ถามว่า "สำคัญ" หรือไม่ ผมถามว่าเรื่องนี้มีในศาสนาพุทธหรือไม่

ที่จริงประเด็นที่คุณแถกล่าวแต่แรกถึงเรื่อง "บทลงโทษ" ทางศาสนา คุณก็ตอบไม่ชัดเจน และผมก็ขอยืนยันตรงนี้อีกครั้งว่า คริสต์ศานาไม่มีบทลงโทษทางศาสนา แล้วผมซึ่งเป็นคริสต์ศาสนิกก็ยังไม่เคยถูกลงโทษเลยทั้ง ๆ ที่ยังทำบาปอยู่

ส่วนที่คุณพูดถึงพวกมอร์มอน ตรงนี้ต้องขอทำความเข้าใจนิดนึงว่า คริศตจักรโปรเตสแตนท์ไม่ยอมรับว่ามอร์มอนเป็นคริสต์ศาสนิก แต่อาจมีบางส่วนของศาสนจักรโรมันคาธอลิคที่ยอมรับ (อันนี้ผมไม่แน่ใจ) ส่วนพวกที่ริเริ่มใช้เพลงแบบทันสมัยนั้นเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Charismatic หรือว่า Pentecostal ไม่ใช่มอร์มอน ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้รูปแบบการนมัสการพระเจ้าแบบนี้อยู่


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 10:40


คุณ engg ตอบได้ชัดเจนมาก หวังว่าคุณ watson คงเข้าใจ
ศาสนาพุทธถ้าไม่เข้าใจแก่น พระพุทธรูปก็คงเป็นแค่อุปกรณ์ให้หวย หรืออุปกรณ์สร้างความหวังทางปาฏิหาริย์ให้
มนุษย์ การต่อเติมเรื่องราวเชิงอภินิหารเข้าไปในศาสนาคงเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเชื่อมากเกินไปศรัทธาก็
เปลี่ยนเป็นงมงายได้ไม่ยาก การสอนศาสนาพุทธในเมืองไทยระบบยังสู้ศาสนาคริสต์ไม่ได้ เรื่องง่ายที่สุดคือการ
สื่อสารแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย การแปลด้วยภาษาโบราณสั้นกระชับ เช่น การวางเฉย ความเห็นชอบ
เด็กสมัยใหม่คงเข้าใจยาก ภาษาไทยปัจจุบันในบอร์ดยังใช้กันไม่ถูกแทบทุกคน ก็อาจเป็นจุดหนึ่งซึ่งทำให้เกิด
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยใช้ความคิดตัวเองผสมลงไปด้วย ซึ่งต่างจากระบบของศาสนาคริสต์ซึ่งมีการแปล
เป็นภาษาไทยไว้ชัดเจนแม้กระทั่งบทสวด ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพลง แม้กระทั่งวัดคริสต์ในชนบทผู้คนก็เข้าใจและ
ศรัทธาไม่งมงาย สมัยก่อนวงดนตรีของพวกมอร์มอนหรือสิทธิชนยุคสุดท้ายมีบทเพลงที่ทันสมัย(ในยุคนั้น)เกี่ยว
กับศาสนาในภาษาไทยแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความเข้าใจว่าต้องสื่อสารให้ได้ ส่วนศาสนาพุทธส่วนที่
ไม่ยากก็แปลเป็นไทยให้ยาก พอยากไปก็เน้นเรื่องอภินิหาร จึงมีบางพวกสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ตนเอง
ด้วยการยกภาษาบาลีมาอ้างเพื่อสร้างจุดสนใจให้ดูดีทั้งที่ควรเป็นเรื่องธรรมดามากถ้าเป็นระบบของศาสนาคริสต์

นั่นไม่ใช่เรื่องการตีความพุทธศาสนา แต่เป็นเรื่องการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 10:46
ทั้งคุณแถและคุณ engg ตอบไม่ตรงคำถามครับ ผมไม่ได้ถามว่าเทวดาหรือนรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่ได้ถามว่า "สำคัญ" หรือไม่ ผมถามว่าเรื่องนี้มีในศาสนาพุทธหรือไม่

ที่จริงประเด็นที่คุณแถกล่าวแต่แรกถึงเรื่อง "บทลงโทษ" ทางศาสนา คุณก็ตอบไม่ชัดเจน และผมก็ขอยืนยันตรงนี้อีกครั้งว่า คริสต์ศานาไม่มีบทลงโทษทางศาสนา แล้วผมซึ่งเป็นคริสต์ศาสนิกก็ยังไม่เคยถูกลงโทษเลยทั้ง ๆ ที่ยังทำบาปอยู่

ส่วนที่คุณพูดถึงพวกมอร์มอน ตรงนี้ต้องขอทำความเข้าใจนิดนึงว่า คริศตจักรโปรเตสแตนท์ไม่ยอมรับว่ามอร์มอนเป็นคริสต์ศาสนิก แต่อาจมีบางส่วนของศาสนจักรโรมันคาธอลิคที่ยอมรับ (อันนี้ผมไม่แน่ใจ) ส่วนพวกที่ริเริ่มใช้เพลงแบบทันสมัยนั้นเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Charismatic หรือว่า Pentecostal ไม่ใช่มอร์มอน ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้รูปแบบการนมัสการพระเจ้าแบบนี้อยู่

ศาสนาคริสต์มีหลายนิกาย พุทธก็เหมือนกัน แต่ละนิกายก็ยังแยกย่อยอีก สรุปได้ว่า 'ไม่ยืนยัน' ขึ้นอยู่กับแต่ละความเชื่อ

คำว่าบทลงโทษ 'ลงนรก' หรือ 'ไม่ได้รับความสุขจากการได้พบพระเจ้า' จะคิดว่าไม่เป็นบทลงโทษก็แล้วแต่ ถ้าชีวิตมัน
เป็นนิรันดร การโดนลงโทษหลังความตายจะพิจารณาว่าเป็นบทลงโทษหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคลแล้วมั้ง แต่อย่างน้อยก็เป็น
สิ่งที่ทำให้ผู้มีชีวิตอยู่ เกรงกลัว

เรื่องมอร์มอนเข้าใจไม่ยาก มันก็เป็นเสียงข้างน้อยข้างมากชนิดหนึ่ง เหมือนพวกมหาจำลอง แต่เป็นระดับ inter


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 10:51
นั่นไม่ใช่เรื่องการตีความพุทธศาสนา แต่เป็นเรื่องการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทย

ตัวอย่างใกล้ตัว ตัณหาก็อยาก ฉันทะก็อยาก หากแปลด้วยสำนวนไทยล้วน
ความคลาดเคลื่อนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ





หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 11:02
นั่นไม่ใช่เรื่องการตีความพุทธศาสนา แต่เป็นเรื่องการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทย

ตัวอย่างใกล้ตัว ตัณหาก็อยาก ฉันทะก็อยาก หากแปลด้วยสำนวนไทยล้วน
ความคลาดเคลื่อนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อธิบายให้ยาวๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแปลให้สั้นขนาดนั้น ทำไมศาสนาคริสต์ทำได้


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 11:04
อธิบายให้ยาวๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแปลให้สั้นขนาดนั้น ทำไมศาสนาคริสต์ทำได้

ไปถามคริสต์


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 11:09
อธิบายให้ยาวๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแปลให้สั้นขนาดนั้น ทำไมศาสนาคริสต์ทำได้

ไปถามคริสต์

แถวนี้เห็นว่ามีอยู่คนนึง เห็นแวบแวบ


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 14-02-2007, 11:11
สร้างความร้าวฉาน เป็นงานของคนรักเหลี่ยม
ขนาดศาสนายังเอามาตีกันได้ นับถือๆ
 :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 11:13
สร้างความร้าวฉาน เป็นงานของคนรักเหลี่ยม
ขนาดศาสนายังเอามาตีกันได้ นับถือๆ
 :slime_hmm:

สุภาพและมีเหตุผล อย่าเรียกว่า 'ตีกัน'


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 14-02-2007, 11:20
สร้างความร้าวฉาน เป็นงานของคนรักเหลี่ยม
ขนาดศาสนายังเอามาตีกันได้ นับถือๆ
 :slime_hmm:

สุภาพและมีเหตุผล อย่าเรียกว่า 'ตีกัน'

การด่าคนอื่นว่าเป็นพระปลอม ผมไม่เห็นว่าสุภาพตรงไหน ขนาดลบไปแล้วยังพูดขึ้นมาใหม่อีก
และเรื่องศาสนาต่างจากเรื่องการเมือง คือเชื่อของใครของมัน กรุณาอย่าเอาศาสนาไปเปรียบเทียบกัน
ไม่เรียกว่า "ตีกัน" ก็ได้ แต่เรียกว่า "เสี้ยม" คงจะเหมาะสมกว่ากระมัง


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 14-02-2007, 11:23
แปลกจัง.. ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกราวกับกำลังนั่งมอง  :slime_hmm:
นายนพดล ทนายเสี่ยแม้วปลอมตัวมาเล่นเน็ทยังไงยังงั้นแหละ

ปล. เป็นความรู้สึกส่วนตัว ไม่ต้องการคำตอบจากใคร  :slime_whistle:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 14-02-2007, 11:25
สร้างความร้าวฉาน เป็นงานของคนรักเหลี่ยม
ขนาดศาสนายังเอามาตีกันได้ นับถือๆ
 :slime_hmm:

สุภาพและมีเหตุผล อย่าเรียกว่า 'ตีกัน'

การด่าคนอื่นว่าเป็นพระปลอม ผมไม่เห็นว่าสุภาพตรงไหน ขนาดลบไปแล้วยังพูดขึ้นมาใหม่อีก
และเรื่องศาสนาต่างจากเรื่องการเมือง คือเชื่อของใครของมัน กรุณาอย่าเอาศาสนาไปเปรียบเทียบกัน
ไม่เรียกว่า "ตีกัน" ก็ได้ แต่เรียกว่า "เสี้ยม" คงจะเหมาะสมกว่ากระมัง

อุบาสก ไม่ใช่ พระ ยกขึ้นมาใหม่ก็ไม่ได้ว่าใครเลยซักนิด และไม่เคยว่าศาสนาอื่นไม่ดี
เป็นแค่วิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพต่างหาก ศาสนาเดียวกันยังเถียงกันจะเป็นจะตายกว่า


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 11:44
การด่าคนอื่นว่าเป็นพระปลอม ผมไม่เห็นว่าสุภาพตรงไหน ขนาดลบไปแล้วยังพูดขึ้นมาใหม่อีก
และเรื่องศาสนาต่างจากเรื่องการเมือง คือเชื่อของใครของมัน กรุณาอย่าเอาศาสนาไปเปรียบเทียบกัน
ไม่เรียกว่า "ตีกัน" ก็ได้ แต่เรียกว่า "เสี้ยม" คงจะเหมาะสมกว่ากระมัง

สาธุคุณ RiDKuN

http://84000.org/tipitaka/read/?13/91-96

บางส่วน จาก เรื่องอภัยราชกุมาร

ดูกรราชกุมาร ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมรู้
วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่งตถาคตย่อมรู้
วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้
วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้
วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้
วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้
วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น
ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย.


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ~เด็กบอร์ด~ ที่ 14-02-2007, 11:58
นู๋เชื่อในพระพุทธศาสนา และในเรื่องกฎแห่งกรรม

ว่าใครทำอะไรไว้ย่อมได้ผลไปตามนั้น

ใครทำชั่วอะไรไว้ กรรมต้องตามสนองเข้าสักวัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แผ่นดินประเทศไทยมีความศักดิ์สิทธิ์มากคะ

ไม่มีใครอันตรายได้หรอกคะ.....คนที่ทำต้องได้รับกรรมอย่างแน่นอน


หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 14-02-2007, 12:12


ผมอ่านกระทู้นี้ มาหลายวัน นับแต่วันแรก จนถึงวันนี้ ก็น่าจะซัก 7 วัน..........

ผมว่าคุณUpasaka กำลังถูกพาให้เดินหลงทางออกจากแก่นของเนื้อหาในหัวกระทู้ .........ผมเห็นกระทู้ลักษณะอย่างนี้บ่อย ๆ เวลาที่คุณชอบแถ เค้ามาโต้เถียง
...........เลยยกมาให้อีกครั้งเผื่อจะได้ลองทบทวนหัวข้อที่จะถกเถียงกันใหม่

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย ความพอประมาณ, ความมีเหตุมีผล, การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
และที่ทรงเน้นมากคือ ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมกำกับ

ตรงกับหลักพุทธศาสนาทุกประการ

1. ความพอประมาณ คือ สันโดษ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=122
2. ความมีเหตุมีผล คือ โยนิโสมนสิการ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=2
3. มีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ อัปปมาทะ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=3

ความสับสนในแนวคิด

ก่อนอื่นตอบปัญหาง่ายๆนี้ก่อน

รวยไปทำไม
ประสบความสำเร็จไปทำไม
มั่นคงไปทำไม

ก็เพื่อความสุข ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเศรษฐกิจ จึงเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่ง เท่านั้น และ/หรือ
เป็นระบบ กระบวนการจัดการ เพื่อจุดมุ่งหมายคือความสุข



สรุปว่า
1. เศรษฐกิจดี ไม่ใช่ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต(อย่างน้อยก็ในทางพุทธศาสนา)
2. เศรษฐกิจดี อาจจะ ทำให้มีความสุข เพราะยังมีองค์ประกอบอื่นอีกที่ทำให้มีความสุข



หัวข้อ: Re: ตกหล่นจะเพิ่มให้ภายหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: Upasaka ที่ 14-02-2007, 13:59
ผมอ่านกระทู้นี้ มาหลายวัน นับแต่วันแรก จนถึงวันนี้ ก็น่าจะซัก 7 วัน..........
ผมว่าคุณUpasaka กำลังถูกพาให้เดินหลงทางออกจากแก่นของเนื้อหาในหัวกระทู้ .........ผมเห็นกระทู้ลักษณะอย่างนี้บ่อย ๆ เวลาที่คุณชอบแถ เค้ามาโต้เถียง
...........เลยยกมาให้อีกครั้งเผื่อจะได้ลองทบทวนหัวข้อที่จะถกเถียงกันใหม่

สาธุคุณ 55555
ประเด็นของกระทู้ชอบแถตายไปแล้ว เป็นผีมาหลอก ก็ตายซ้ำอีกรอบ
แต่การเปิดประเด็นเพื่อบิดเบือนพุทธธรรม พิจารณาดูแล้วสมควรชี้แจง
เพราะเนื่องด้วยประโยชน์ส่วนรวม จึงร่วมสนทนาพอหอมปากหอมคอ

น้อมรับคำแนะนำ :slime_worship: