ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สโมสรริมน้ำ => ข้อความที่เริ่มโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-12-2006, 22:37



หัวข้อ: เกร็ดความรู้ ***ประวัติคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา.. ที่ทำเพื่อแผ่นดิน *
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-12-2006, 22:37
ทอดเบคอนยังไง ไม่หงิกงอ


การทอดเบคอนไม่ให้หงิกงอเป็นตะขอ อย่างที่เห็นๆกัน

เป็นประจำ เคล็ดลับง่ายๆที่บางคนอาจไม่ทราบ

คือนำเบคอนไปจุ่มในนมสด ที่เทใส่จานแบนๆ พลิกกลับทั้งสองด้าน

ผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปทอดไฟกลางๆจะได้เบคอนที่มีเส้นตรงดูสวยงาม

น่าทานเหมือนอาหารเช้าที่ตามโรงแรมขายเลยเชียวค่ะ :slime_smile:


ใครมีเคล็ดลับอะไรดีๆ กรุณามาแลกเปลี่ยนได้นะคะ :slime_bigsmile:G


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ooo ที่ 08-12-2006, 22:51
    ได้เคล็ดลับทันเวลาพอดี เพราะกำลังจะเป็นเมนูพรุ่งนี้เช้าอยู่เชียว


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-12-2006, 22:52
    ได้เคล็ดลับทันเวลาพอดี เพราะกำลังจะเป็นเมนูพรุ่งนี้เช้าอยู่เชียว


 :slime_smile: :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-12-2006, 22:57
ปอกหัวหอมโดยไม่แสบตา


วิธีง่ายๆที่ทำให้ไม่ต้องร้องไห้เวลาปอกหัวหอมคือ

ต้มน้ำให้เดือดแล้วจุ่มหัวหอมลงไป รีบตักขึ้นในทันทีแช่ในน้ำเย็นจัด

แล้วจึงปอก ก็จะปอกได้ง่ายและจะไม่ต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ขนมปังที่เหลือ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-12-2006, 23:17
ขนมปังที่เหลือ


ขนมปังที่เหลือใหล้หมดอายุอย่าโยนทิ้ง หากทานไม่หมด

นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำเข้าเตาอบในอุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส

อบจนเหลืองกรอบ เก็บใส่โหลไว้ ใช้โรยหน้าสลัดจานโปรด หรือใส่ในซุป

รับประทานได้อีกยาวนาน


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ต้มผักให้กรอบและมีสีสวยน่าทาน
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-12-2006, 14:09
ต้มผักให้มีสีสวยน่ารับประทาน


การต้มผักให้มีสีสวยน่ารับประทาน อาทิเช่น บล็อคโคลี่

คะน้าหรือแครอท ฯลฯ ควรต้มด้วยน้ำเดือดปานกลาง

ควรใส่เกลือเล็กน้อยและน้ำมันพืชลงไปในน้ำที่ต้มด้วย

พอผักสุกได้ที่ ควรราดด้วยน้ำเย็นจัดอีกครั้ง แล้วพักให้สะเด็ดน้ำ

นำไปเป็นเครื่องตกแต่งจานอาหารต่างๆ ผักที่ได้จะกรอบมีสีสวยน่าทาน


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 09-12-2006, 14:23
 :slime_v: :slime_v: :slime_v:

ขอบคุณคับ เด๋วอนาเอาไปทำมั่ง  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-12-2006, 14:43
ขอบคุณคับ เด๋วอนาเอาไปทำมั่ง


ด้วยความยินดีค่ะ

เดี๋ยวจะหาเคล็ดลับวิธีรักษาหัวใจให้แข็งแรงมาฝากด้วย อิ อิ :slime_inlove: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 09-12-2006, 15:01
ขอบคุณคับ เด๋วอนาเอาไปทำมั่ง


ด้วยความยินดีค่ะ

เดี๋ยวจะหาเคล็ดลับวิธีรักษาหัวใจให้แข็งแรงมาฝากด้วย อิ อิ :slime_inlove: :slime_bigsmile:

โอ พี่ดอกฟ้า ถูกใจวัยรุ่นมากค่ะ

ช่วยนี้หนูอนาไม่รู้เป็นอะไร ส่งสัยโรคหัวใจกำเริบ ต่อมยับยั้งความหล่อถูกทำร้าย ส่งสัยอาจจะต้องเชคอินหัวใจ เข้าห้อง ไอเลิฟยู เร็วๆๆนี้แน่เลยพี่สาว  :slime_inlove: :slime_bigsmile:


ปล. ใครที่ทานข้าวเที่ยงแล้ว กรุณาอย่าอ่านหลายรอบ ฮี่ๆๆๆ :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-12-2006, 15:35
ปล. ใครที่ทานข้าวเที่ยงแล้ว กรุณาอย่าอ่านหลายรอบ ฮี่ๆๆๆ


รอดตัวไป...พี่ทานข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้ว


ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างผักที่ต้านทานโรคหัวใจมาฝาก อิ อิ :slime_smile2: :slime_bigsmile:


ขึ้นช่าย  Celerry

สรรพคุณ  มีกลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหาร มีวิตามินเอ บีและซี

บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด


หอมหัวใหญ่   Onion

สรรคุณ มีสารฟลาโวนอยด์ ลดอาการของโรคหัวใจ

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด


กระเทียม   Garlic

สรรพคุณ  ลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจขาดรัก เอ๊ยย...ขาดเลือด

ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 10-12-2006, 17:03
ปอกหัวหอมโดยไม่แสบตา


วิธีง่ายๆที่ทำให้ไม่ต้องร้องไห้เวลาปอกหัวหอมคือ

ต้มน้ำให้เดือดแล้วจุ่มหัวหอมลงไป รีบตักขึ้นในทันทีแช่ในน้ำเย็นจัด

แล้วจึงปอก ก็จะปอกได้ง่ายและจะไม่ต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป :slime_hmm:

ดีจังค่ะ เด๋วใครไม่รู้ว่า นึกว่ากะลังเฮิร์ท  :slime_bigsmile:

ขอบคุณมากหลายค่ะ สำหรับเคล็ดลับที่นำไปปฏิบัติได้จริง  :slime_v:

มีอีกเยอะมั้ยคะ  :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** ความรู้เรื่องเพชร
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 13-12-2006, 18:24
ความรู้เรื่อง เพชร


 
 
 คำว่าเพชร Diamond มาจากคำว่า Adamas ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงชัยชนะ และมีความหมายถึง ความรักที่นิรันดร เพชร จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เราใช้พิธี

หมั้น เป็นการแสดงออกถึงความรักของชายหญิงที่มีต่อกัน คนอินเดียสมัยโบราณ เชื่อว่าเพชรมีพลังอำนาจทำให้ได้รับชัยชนะ และยังใช้เพชรประดับเทวรูป

เพื่อสักการะบูชา กษัตริย์ของอินเดีย มีความเชื่อว่าเพชรสามารถป้องกันภยันตรายจากปีศาจ และชัยชนะแห่งสงครามอีกด้วย เพชร ถือเป็นสารที่แข็งที่สุด มี

ความแข็งเท่ากับ 10 ในโมห์สเกล หรือมีความแข็งมากกว่าทับทิม 140 เท่า เพชร เกิดจากการตกผลึกภายใต้ความร้อนและความกดดันใต้เปลือกโลกนับเป็น

เวลาหลายล้านปี ผลึกเพชรที่พบบ่อยเป็นรปทรงปิรามิดสองชิ้นมีฐานติดกันและแยกจากกันไม่ได้ จึงหมายถึงความรักที่เป็นนิรันดร์ เพชร เป็นผลึกบริสุทธิ์

ของ คาร์บอน ซึ่งเป็นสสารตามธรรมชาติที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด เพชรเท่านั้นที่จะขีดข่วนหรือตัดเพชรอีกเม็ดหนึ่งได้ เมื่อเป็นดังนี้ ใครที่มีเครื่องประดับเพชรก็

ไม่ควรวางใกล้ชิดกันมากเกินไป เพราะหากเกิดการเสียดสีก็จะเป็นรอยได้ เพชรก่อตัวจากส่วนลึกในผิวโลก เมื่อคาร์บอนตกผลึกภายใต้แรงดันมหาศาลก็เคลื่อน

ตัวขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดของภูเขาไฟ และเมื่อภูเขาไฟสงบลง ผลึกเพชรจะถูกฝังอย่ในแมกม่าที่แข็งตัวแล้ว ซึ่งทางธรณีวิทยาเรียกว่า คิมเบอร์ไลท์

Kimberlite



เราจะหาเพชรได้จากที่ไหน?เราหาได้จากในน้ำ ตามชายฝั่งทะเล ตามลำธารน้ำ หรือต้องไปขุดที่เหมืองเพชร แล้วเหมืองเพชรล่ะอยู่ที่ไหน? แหล่งที่ค้นพบ

เพชรและเป็นที่รู้จักกันดี คือที่อินเดีย จากนั้นก็พบที่บราซิล ออสเตรเลีย รัสเซีย บอสวานา และที่อัฟริกาใต้ เราจะขุดหาเพชร จะต้องไปหาสายแร่กันก่อน ทำ

วิจัย ติดต่อสัมปทานที่ดิน อีกทั้งลงทุนนำเครื่องขุด เครื่องร่อน เครื่องมือต่าง ๆ อีกร้อยแปดอย่าง เดอร์เบียส์จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมข้างต้น มีนักวิชาการหัว

กระทิเดินทางไปทั่วเพื่อหาสายแร่ ทำวิจัยว่าถ้าลงทุนเครื่องมือเครื่องจัก คนงาน ไปแล้วจะสามารถขุดเพชรได้ปริมาณเพียงพอคุ้มค่าใช้จ่ายหรือไม่ เมื่อขุดพบ

แล้วจะเก็บรักษาและขายก้อนเพชรดิบไปให้แก่โรงงานต่อไปได้อย่างไร รวมถึงการควบคุมราคาเพชรดิบไม่ให้เกิดภาวะเฟ้อในตลาด




คุณค่าของเพชร ดูตรงไหน?4 c's ได้แก่1. Carat Weight น้ำหนักกะรัต เพชร 1 กะรัต เท่ากับ 100 สตางค์ หรือเท่ากับ 0.2 กรัม คุณค่าของเพชรจะเพิ่มขึ้น

ตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 2. Clarity ความสะอาดในเนื้อเพชร เราดูเกรดความสะอาดจากกล้องที่มีกำลังขยาย 10 เท่า โดยจะแบ่งเป็นหลายเกรด คือ FL

Flawless ปราศจากตำหนิใด ๆ โดยสิ้นเชิง IF Internal Flawless ปราศจากตำหนิภายใน VVS Very Very Slightly Included ตำหนิที่เห็นได้ยากมาก แบ่ง

เป็น VVS1 และ VVS2 VS Very Slightly Included ตำหนิเล็กน้อย แบ่งเป็น VS1 VS2 SI Slightly Included ตำหนิที่เห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า แบ่งเป็น

SI1 SI2 I Included เห็นตำหนิด้วยตาเปล่า และตำหนินั้นมีผลต่อความคงทน โดยแบ่งเป็น I1, I2, I33. Color ตามมาตรฐานของ GIA D-H ใส ไม่มีสี I-J

เกือบใส ไม่มีสี K-M มีสีเหลืองแทรกน้อยมาก N-R มีสีเหลืองอ่อนมาก S-Z มีสีเหลืองอ่อน ส่วนสี FANCY หมายถึงสีที่ต่ำกว่า Z 4. Cut จากเพชรดิบเหมือน

ก้อนดินไร้ค่า มาเป็นเพชรที่มีแสงวาวระยิบ จากการเจียระไนที่ดี การเจียระไนจึงมีผลอย่างมากต่อคุณค่าของเพชร เพราะเป็นองค์สำคัญต่อการสะท้อนแสง

ความวาว และความเป็นประกาย การเจียระไนมักเจียเป็นรูปกลม เหลี่ยมเกสร ซึ่งจะทำให้การสะท้อน การหักเห และเป็นประกายได้มากที่สุด เหลี่ยมเกสร จะ

มี 57 เหลี่ยม ในตลาดเมืองไทย แบ่งเกรดการเจียระไนได้กว้าง ๆ เป็น 3 เกรดด้วยกัน คือ อินเดียน เป็นเกรดการเจียระไนที่ร้านค้าทั่วไปมักใช้ เป็นเหลี่ยม

เจียคุณภาพต่ำ ถึงปานกลาง ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความงามมากนัก เป็นการเจียระไนที่เลี้ยงน้ำหนักเพชรมากกว่า เบลเยี่ยม เป็นเกรดการเจียระไนที่ดี xxxส่วนดี

การขัดเงาดี ทำให้การหักเหของแสงดี รัสเชียน เป็นเกรดการเจียระไนที่ดีเลิศ เสียน้ำหนักมากกว่า หน้ากระดานจะแคบกว่าแบบเบลเยี่ยม



ทริก ในการซื้อเพชร1. หากเลือกได้ ให้เลือกเพชรเม็ดที่มีน้ำหนักเผื่อไว้ เช่น ถ้ามีเม็ด น้ำหนัก 0.50 กะรัตกับเม็ด 0.53 กะรัต แนะนำให้ซื้อเม็ดหลัง เพราะ

หากเกิดการผิดพลาด หน้าเพชรเป็นรอย ถึงขั้นต้องนำมาเจียระไนใหม่น้ำหนักจะได้ไม่ตกต่ำกว่า 0.50 กะรัต2. สำหรับเพชรขนาด 0.20 กะรัตขึ้นไป หากเลือก

ได้ พยายามซื้อเพชรที่มีเหลี่ยมดี คือเกรดรัสเชียน หรืออย่างต่ำก็เป็นเบลเยี่ยม ต้องให้แน่ใจว่าเป็นเบลเยี่ยมแท้ ๆ เพราะจะเล่นไฟ ดูสวยกว่าอินเดียนเป็น

ไหน ๆ3. สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพชรขนาด 1 กะรัตขึ้นไป โปรดเรียกขอใบรับประกัน หรือภาษาพ่อค้าเพชร คือขอใบรับประกันคุณภาพ (Certificate) จาก

ห้องแลบที่เชื่อถือได้จากผู้ขาย ห้องแลบที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ ได้แก่ ของ GIA, HRD, IGI ของในประเทศก็ไปขอได้ที่ AIGS 4. ตัวเรือนสำหรับเพชร

เม็ดเล็กคงไม่มีต้องมีข้อระวังมากมาย แต่ถ้าเป็นเม็ดใหญ่ เพชรหล่นหายเพราะตัวเรือนไม่ดี ก็คงเสียใจแย่ ฉะนั้น หากเป็นเพชรเม็ดใหญ่ ควรจะใช้ตัวเรือนจับ

เพชรที่มีความแข็งแรง สำหรับลักษณะการจับเพชรที่แข็งแรงที่สุด เห็นจะเป็นแบบหนามเตย 6 เตย รองลงมาก็ หนาม 4 เตย และตัวเรือนที่เหมาะจะทำ

แหวนหมั้นเพชรที่มากที่สุด เห็นจะเป็นตัวเรือนแพลตินั่ม (เลือกใช้ได้ หากมีงบประมาณมากพอ) เพราะแพลตินั่ม ถึงแม้ความแข็งจะน้อยกว่าทอง แต่มีความ

เหนียวมากกว่า รองลงมาน่าจะเป็นตัวเรือนทองคำหรือทองคำขาวที่มีความแข็งมากสักหน่อย สัก 18K น่าจะดี ตัวเรือนทองคำขาวจะช่วยให้เพชรเล่นไฟได้ดี

กว่า แต่ทั้งนี้ ต้องดูที่สีผิวผู้สวมใส่ด้วย หากผิวขาวใส่ทองคำขาวจะดูดี แต่หากผิวสีแทน สีน้ำผึ้ง หากเลือกใช้แหวนสีทองจะเหมาะกว่า 
 



เอาเกร็ดความรู้เรื่องเพชรมาฝากบางท่านที่สนใจ หรืออาจกำลังหาซื้อแหวนหมั้น

ไปหมั้นสาว หรือซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงค่ะ :slime_smile: :slime_bigsmile:


อ้างอิงจาก เฟรนด์ไทยดอทคอม




หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกเข็มขาว ที่ 16-12-2006, 13:11
มีเคล็ดลับมาฝากด้วยคนคะ

เรื่องของไข่ขาว

นอกจากที่เรารู้มาว่า "ไข่ขาว" สามารถที่จะช่วยขจัดสิ้วเสี้ยนได้แล้ว
ไข่ขาวยังสามารถที่จะรักษาแผลที่โดนน้ำร้อนลวกได้ด้วย
ใช้ไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวก หลังจากนั้น ก็ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง
ทิ้งไว้ครู่ใหญ่ (แกล้งลืมไปนาน ๆ เลยก้ได้นะคะ แต่อย่านานเกินล่ะ เดี๋ยวจะเน่า)
แล้วจึงล้างออก ผิวหนังบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกนั้น จะไม่มีรอยแดง หรือพองอีกเลย
แต่มีข้อห้ามนิดนึงนะคะ คือ ก่อนที่จะทาไข่ขาวนั้นอย่าเพิ่งให้แผลถูกน้ำเย็น
หรือยาอื่น ๆ เลย แล้วก็อย่าซนไปแกะตอนที่แผลใกล้จะแห้งเด็ดขาด
มิฉะนั้น เป็นแผลเป็นด้วยล่ะ แล้วจะหาว่าไม่เตือนกัน


วิธีรักษาถุงน่องไม่ให้ขาดง่าย

สาว ๆ หลายคนคงจะประสบพบเจอกับปัญหา ถุงน่องสีโปรดขาดง่าย
เวลาซัก ทำให้หงุดหงิดใจ แถมยังเสียเวลาต้องไปหาซื้อคู่ใหม่ด้วย
แต่วันนี้เรามีเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ในการคงสภาพถุงน่องให้อยู่ทนนานมาฝากกันค่ะ
วิธีง่าย ๆ เพียงนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน
แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น
ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง
เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน ...


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ทายนิสัยจากการกิน
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-12-2006, 14:18
ขอบคุณคุณเข็มขาวมากค่ะ ที่เอาเกร็ดมาความรู้มาให้

หากมีอีกอย่าลืมเอามาฝากบ้างนะคะ
:slime_smile:



ทายนิสัยจากการกิน
 
ทายนิสัยจากท่าทางการกินอาหาร
นิสัยในการทานอาหารของคนเรานั้น แตกต่างกันอย่างแน่นอนเพราะอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก...แต่ความแตกต่างนี้เอง ที่ทำให้นำมาทายใจกันได้ จะแม่นยำอย่างไรแค่ไหนก็ต้องลองดูซินะ


ทานอาหารด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง
สำหรับคนที่รับประทานอาหารอย่างอ้อยอิ่ง ค่อยๆละเลียดทานทีละนิดๆนั้น แสดงว่าเป็นคนที่เรียกร้องความสนใจเก่ง ต้องการให้คนอื่นสนใจตัวเองเสมอ และยังเป็นคนที่ต้องการความรักและความเอาใจใส่อยู่เสมอ
เมื่อผูกพันกับใครมักจะยึดถือจริงจัง และเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวมากกับเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ จะทนไม่ได้เลยหากถูกเฉยชาหรือไม่ได้รับความไยดีจากคนที่รัก

ทานอาหารรวดเร็วแต่ไม่เลอะเทอะ
ส่วนคนที่ทานอาหารอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้มูมมามเลอะเทอะ แสดงว่าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนแอ็คทีฟ มีพลัง ชอบคิดชอบทำอะไรทีละหลายๆอย่างพร้อมกัน แต่ทำอะไรก็จะมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นคนใจร้อน คิดอะไรได้ก็ทำเลยจนบางทีขาดความรอบคอบในการตัดสินใจ
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องรายละเอียดอะไรนัก มักให้ความสำคัญแต่กับเรื่องใหญ่ๆเท่านั้น มีแนวโน้มว่ามักได้ทำงานระดับบริหารอยู่เสมอ

ทานอาหารอย่างตั้งใจ
คนที่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างตั้งใจมากๆ จนกว่าจะอิ่มแล้วค่อยทำอย่างอื่นนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีความตั้งใจสูงที่จะพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งในด้านฐานะความเป็นอยู่หรือด้านอื่นๆเป็นคนที่มีความอดทน อดกลั้น เมื่อมีสิ่งไม่พอใจก็จะเงียบมากกว่าที่จะเอะอะโวยวายแสดงอารมณ์ออกมาให้คนอื่นเห็น

ทานอาหารมูมมาม
ส่วนคนที่ทานอาหาด้วยลักษณะนี้ มักจะเป็นคนที่มีความปรารถนาต้องการสูงในทุกๆเรื่อง เป็นคนที่ต้องการความเป็นหนึ่ง มีความฝักใฝ่เรื่องเกียรติยศมาก และยังเป็นคนที่ดื้อรั้น แต่มักจะสับสนเกี่ยวกับความต้องการของตัวเอง

ทานอาหารอย่างมีชีวิตชีวา
สำหรับคนที่มักจะทานอาหารอย่างมีชีวิตชีวาประมาณว่าไม่ว่าทานอะไรก็จะดูอร่อยไปเสียหมดนนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน มีความอบอุ่น เป็นคนใจกว้าง เปิดเผย
มีความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งของตัวเองและคนอื่น เป็นที่ปรึกษาที่ดี มีคำแนะนำที่น่าทึ่งมาให้อยู่เสมอ แต่จะไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จกับการทำงานที่ต้องลงมือเอง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่รักอิสระ และชอบการผจญภัยอีกด้วย

ทานอาหารอย่างเบื่อๆ
คนที่เมื่อทานอาหารมักจะทานด้วยท่าทางเบื่อๆหน่ายๆนั้น มีท่าทีเนือยๆแสดงว่าเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง มักมีความต้องการเร้นลับอยู่ในใจ แต่ไม่ค่อยยอมปริปากพูด
นอกจากนี้ยังเป็นคนช่างคิดช่างฝัน มีจินตนาการสูงและชอบการอยู่ตามลำพัง เพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจ และยังเป็นคนที่มีโลกส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของตัวเอง ไม่ว่าจะมีความสนิทสนมกันสักเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อรักใครก็จะฝังใจในรักนั้นจนเนิ่นนาน

ทานอาหารอย่างไม่พอใจ
ส่วนคนที่มักทานอาหารแบบไม่พอใจเสมอ ไม่ติดที่รสชาติอาหาร ก็ติดที่บรรยากาศรอบๆ หรือคนที่ร่วมโต๊กันอยู่ด้วยแสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์แปรปรวน หรือเจ้าอารมณ์ก็ว่าได้ เป็นคนหงุดหงิดง่าย ปรับตัวไม่ค่อยเก่ง เป็นคนที่มีมาตรฐานของตัวเอง แต่ไม่เชื่อในมาตรฐานของคนอื่น แต่ก็ต้องการความรักความเข้าใจจากคนอื่นเสมอ

ทานอาหารอย่างเรียบร้อย
คนที่ทานอาหารเรียบร้อยนั้น มักจะเป็นคนที่ใจอ่อน แต่มีความระวังตัว เป็นคนที่อยู่ในระเบียบวินัย ให้ความเคารพต่อกฎเกณฑ์ทางสังคม รู้จักกาละเทศะ และเป็นผู้ที่คนอื่นเดาใจยาก ให้ความเค้ารพผู้ใหญ่ และมีแนวคิดในเรื่องความกตัญญู และยังให้คึวามสำคัญกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยและมารยาทสังคม




เอามาจาก...mahamodo.com


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 16-12-2006, 17:00
แต่ก่อนอนาทานอาหารช้ามา

แต่มาอยู่นี้ ยังกะจะรีบไปไหนไม่รู้ ติดนิสัยกับคนที่นี้ไปแล้ว บางคนนั่งทานสิบห้านาทีก็ลุกไปทำงานต่อ ไม่มีเบรคไม่มีอ้อยอิ่งแบบเราๆๆเลยค่ะ หลังๆๆมาเลยตามๆๆเขาไปเลย เพราะนั่งทานไป มองคนข้างๆๆไปก็อดสปิดตามไม่ได้  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-12-2006, 20:28
แต่ก่อนอนาทานอาหารช้ามา

แต่มาอยู่นี้ ยังกะจะรีบไปไหนไม่รู้ ติดนิสัยกับคนที่นี้ไปแล้ว บางคนนั่งทานสิบห้านาทีก็ลุกไปทำงานต่อ ไม่มีเบรคไม่มีอ้อยอิ่งแบบเราๆๆเลยค่ะ หลังๆๆมาเลยตามๆๆเขาไปเลย เพราะนั่งทานไป มองคนข้างๆๆไปก็อดสปิดตามไม่ได้  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


อิ อิ สงสารหนูอนาจังเลยค่ะ ของพีนะคะส่วนใหญ่แล้วทานไปทำงานไป

บางครั้งทำงานเพลินจนลืมไป ต้องยกอาหารไปอุ่นใหม่เพราะว่าเย็นชืดแล้ว :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ประโยชน์ของขิง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-12-2006, 22:29
ขิง

ขิงเป็นเครื่องเทศที่ใช้ในครัวจีนมากที่สุด

โดยเฉพาะการต้ม ผัด อาหารที่มีเนื้อสัตว์ และยังใช้ในการอาหารสดแบบจีนด้วย

เช่นยำกุ้งแห้ง ยำไก่ จะใส่ขิงเป็นเส้นยาวๆหรือขิงสับแทนหัวหอม

ชาวจีนเชื่อว่า ขิง เป็นเครื่องเทศที่ช่วยขับความเย็น ช่วยให้เหงื่อออก

และช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ฉะนั้นเวลาอากาศเย็นเขาจะใช้ขิง

หั่นบางๆต้มกับน้ำตาลอ้อยแล้วดื่ม ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น หรือขณะไม่สบายมีไข้

ก็จะต้มมันเทศกับขิงเหยาะเกลือนิดหน่อย รับประทานร้อนๆ แล้วช่วยให้เหงื่อออก ไข้ลดเป็นต้น


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 16-12-2006, 22:35
บัวลอยน้ำขิงนี้ ของโปรดหนูอนาเลยค่ะ

ไปเอ็มเคทีไร ต้องตบท้าย ของโปรดชนิดนี้เลย  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-12-2006, 22:46
เอาของชอบนู๋อนามาฝากค่ะ :slime_smile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****สีที่ถูกโฉลกตามวันเกิด
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-12-2006, 00:06
สีที่ถูกโฉลกตามวันเกิด และสีของเครื่องแต่งกายหรือเสื้อผ้าที่ถูกโฉลกตามวันเกิด


๑. คนเกิดวันอาทิตย์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ สีเขียวสด สีเขียวแก่ สีขาว สีชมพู

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ สีฟ้า สีน้ำเงิน


๒. คนเกิดวันจันทร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีเขียวสด สีม่วงอ่อน สีม่วง

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีแดง


๓. คนเกิดวันอังคาร
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ได้แก่ สีม่วง สีแดง สีแสด

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ได้แก่ สีเหลือง สีขาว


๔. คนเกิดวันพุธ
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ ได้แก่ สีเขียว สีเหลืองอ่อน สีเหลืองแก่

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ สีชมพู


๕. คนเกิดวันพฤหัสบดี
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ สีน้ำเงิน สีฟ้า สีเขียวสด สีแดง

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ สีม่วงอ่อน สีม่วงแก่


๖. คนเกิดวันศุกร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีเหลือง สีชมพูอ่อน สีแสด

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีเขียวแก่


๗. คนเกิดวันเสาร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีเขียวจัด สีเขียวเข้ม สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีฟ้า สีชมพู สีน้ำตาล

               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีเขียวอ่อน สีเขียวสด 
 


เอามาฝากไว้ให้อ่านกันเล่นๆค่ะ....

จาก mahamodo.com


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ไทมุง ที่ 17-12-2006, 00:30
ปอกหัวหอมโดยไม่แสบตา



ให้คนอื่นปอกให้  :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-12-2006, 00:32
ปอกหัวหอมโดยไม่แสบตา



ให้คนอื่นปอกให้  :slime_v:


แล้วให้คนอื่น...เคี้ยวให้ด้วยป่าวคะ อิ อิ



 
:slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:




หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ยาหม่องกับหมากฝรั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-12-2006, 00:48
ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนเสื้อผ้าได้

โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา

ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกมาหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****หมากฝรั่งก็มีประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-12-2006, 01:02
หมากฝรั่งก็มีประโยชน์




เคยได้ยินมาว่า เวลาเครื่องบินจะขึ้น ให้เคี้ยว หมากฝรั่ง หรืออมลูกอมเอาไว้

ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่า เวลาเครื่องบินขึ้นไป บนอากาศ ซึ่งจะมีความสูง ในระดับหนึ่ง

ความดันอากาศ ภายนอกจะลดลง ความดันอากาศ ภายในหูส่วนกลาง จะสูงกว่าข้างนอก ทำให้แก้วหูปูดออก

 แล้วภายในช่องหู ก็จะมีความรู้สึก ไม่สบาย จากอาการนี้ และมีส่วนทำให้สมรรถภาพ ในการฟังของเราลดลงด้วย

ถ้าหากว่า เราเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมไว้ ปากของเรา ก็จะต้องขบเคี้ยวไม่หยุด

และกลืนน้ำลายไปด้วย ทำให้หลอดลมกับปาก และโพรงจมูก เปิดถึงกันได้

อากาศก็สามารถ ไหลออกจากแก้วหู ได้อย่างอิสระ

ดังนั้นการเคี้ยวหมากฝรั่ง จึงช่วยปรับความดัน ของแก้วหู กับอากาศภายนอกได้

แล้วยังช่วยรักษา ภาวะปกติให้แก่ แก้วหูของเราได้อีก ...เวลาขึ้นเครื่อง ก็อย่าลืม พกหมากฝรั่ง ติดไปด้วยหล่ะ



 :slime_smile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****คริสต์มาส คืออะไร
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-12-2006, 14:11
คริสต์มาสคืออะไร


วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก

 เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซูมิใช่เป็น แต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ

 ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็น พระเจ้า

และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์ พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย


ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า
 
ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคน ในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโน ประชากร

โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ

 พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ใน รางหญ้า

 เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย คืนนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก

 แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ ดาวิด

มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็น หลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมารมีผ้าพันกาย

นอนอยู่ในรางหญ้า"

ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลง สรรเสริญ พระเจ้าว่า " Gloria in Excelsis Deo

 ขอเทิด พระเกียรติพระเจ้าผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพจงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย


ทำไมจึงฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม

ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่าพระเยซูเจ้าบังเกิด ในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ออกัสตัส

ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัสเป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เป็นวัน หรือเดือนอะไร

 แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชน เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม

เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน

ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลอง วันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า

และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือน ดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์

คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิ โรมันรู้สึกอึดอัดใจที่จะฉลอง วันเกิดของสุริยเทพตามประเพณีของ ชาวโรมัน

จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ

และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย


ความสำคัญของวันคริสต์มาส

คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกายจัดงาน รื่นเริงภายนอกเท่านั้น

ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอกของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรัก ของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์

 นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียว ของพระองค์ ให้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า "เยซู"

การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส ของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง

ดังนั้นความสำคัญของวันคริสต์มาสจึงอยู่ที่การฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริง เป็นจัง

และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น


ประวัติวันคริสต์มาส

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรา เฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม

คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษ

โบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์

 ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส
คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรก ในเอกสารโบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038

และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas

คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุข และความสงบทางใจ

เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบ ทางใจ

เนื่องใน โอกาสเทศกาลคริสต์มาส ส่วนภาษาไทยใช้อวยพรด้วยประโยคว่า "สุขสันต์วันคริสต์มาส

Merry Christmas "


การร้องเพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่

เพลงที่มีเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า "ราตรีสวัสดิ์ คืนอันศักดิสิทธ์ "

ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวัน คริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr

 เจ้าอากาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้

 คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruber

ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดใกล้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก

 โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


เทียนและพวงมาลัย
 
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม

วางไว้บนพวงมาลัยนั้นในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ
 
ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน

เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา

 ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ

แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า


การทำมิสซาเที่ยงคืน
 
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเอง

พระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ

พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก

 เป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ

 แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น

ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส

 เหมือนกับการปฏิบัติ ของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส

 และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน
 

ซานตาครอส
 
ตัวจริงของซานตาครอส คือ นักบุญนิโคลัสซึ่งเป็นบาทหลวงในตุรกี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่สี่ ผู้ขึ้นชื่อในเรื่องความใจดี

โดยเฉพาะกับเด็กๆ ต่อมาท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วฮอลแลนด์ในชื่อ "ซินเตอร์คลาส" ราวค.ศ.1870 ชาวอเมริกันเรียกชื่อเพี้ยนไป

เป็น"ซานตาคลอส" ตั้งแต่แรกจนถึงค.ศ. 1890

ภาพของซานตาคลอสเป็นชายร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลสลับแดง เจนนี ไนสตรอม ศิลปินชาวสวีเดน

เป็นผู้คิดค้นรูปลักษณ์ของซานตาครอสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยวาดภาพลงในบัตรอวยพรคริสต์มาส

ภาพเหล่านี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อชาวสวีเดนอีกคนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม นำภาพวาดของไนสตรอมสวมชุดขาว


อ้างอิงจาก campus.sanook.com




หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกเข็มขาว ที่ 19-12-2006, 14:24
นำเคล็ดลับมาฝากต่อคะ...

ดับคาวในลูกชิ้นปลา

ใครที่ชอบรับประทานลูกชิ้นปลา ควรรีบหันมาฟังทางนี้โดยด่วน
เพราะว่าคุณอาจจะเคยเจอกับปัญหาแบบนี้ นั่นคือ เวลาที่ซื้อลูกชิ้นปลามาแล้ว
ลูกชิ้นปลากลับมีกลิ่นคาวแรงจนไม่น่ารับประทาน ทำให้ต้องทิ้งไปบ้าง
แต่วันนี้เรามีวิธีในการกำจัดกลิ่นคาวอันรุนแรงในลูกชิ้นปลามาฝากกันค่ะ
วิธีที่ว่านี้ก็คือ ผสมน้ำกับน้ำส้มสายชูในปริมาณที่พอเหมาะ
แล้วนำลูกชิ้นปลาลงแช่ไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แล้วนำขึ้นมาล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
เพียงเท่านี้ กลิ่นคาวที่มากับลูกชิ้นปลาก็จะหมดไป
นำไปประกอบอาหารก็ไม่มีกลิ่นมากวนใจ และไม่ทำให้อาหารเสียรสชาติอีกด้วย


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-12-2006, 15:26
นำเคล็ดลับมาฝากต่อคะ...

ดับคาวในลูกชิ้นปลา




ขอบคุณ คุณเข็มขาวมากเลยค่ะ

เพิ่งทราบเคล็ดลับนี้จริงๆนะ เพราะดอกฟ้าฯก็ชอบทานลูกชิ้นปลา
:slime_inlove: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ***การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 22-12-2006, 00:07
การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น

ทั้งระหว่างและหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด

ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง
 
ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า

เพราะฉะนั้นเราไม่ควรทะเลาะกันและพูดจาส่งภาษาดอกไม้กันทุกวัน


fw.mail



 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ***ขจัดคราบเปื้อน ที่เตาไมโครเวฟ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 22-12-2006, 01:57
ขจัดคราบเปื้อน ที่เตาไมโครเวฟ


เตาไมโครเวฟ กลายเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน

อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กับความเป็นอยู่ที่เร่งด่วนของคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ

หลังจากการใช้ไมโครเวฟ ปรุงอาหารหรืออุ่นอาหาร มักจะมีคราบอาหาร

ต่างๆ ของอาหารติดอยู่

วิธีทำความสะอาดง่ายๆ ก็คือ ใช้ฟองน้ำชุบน้ำบิดหมาดๆ โรยผง เบคกิ้ง โชดา

ที่เราใช้ทำขนมเค็ก หาซื้อได้ตามซุปเปอร์ฯทั่วไป เช็ดออกให้ทั่ว

แล้วเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง ไมโครเวฟของท่าน

ก็จะสะอาด ปราศจากคราบอาหารอีกต่อไป


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วิธีทำไข่เค็มไว้รับประทานเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 28-12-2006, 14:26
ไข่เค็ม


ไข่เป็ด     24    ฟอง

เกลือเม็ด    3    ถ้วยตวง

สารส้ม       1    ชต.

น้ำเปล่า     12   ถ้วยตวง


วิธีทำ

ผสมน้ำ กับน้ำเกลือใส่หม้อตั้งไฟจนเดือดและเกลือละลาย

ยกลงตั้งทิ้งให้เย็น กรองด้วยผ้าขาวบาง เทใส่ขวดโหล

ที่เตรียมใว้

ใส่ไข่เป็ดที่เตรียมใว้เรียงลงในโหลน้ำเกลือ ใช้ถุงพลาสิกใส่น้ำเปล่า

รัดปากถุงให้แน่นวางใว้ข้างบน เพื่อถ่วงให้ไข่จม ใส่สารส้มลงในขวดโหล

ที่ดองไข่ลงไป สารส้มจะทำให้ผิวไข่เค็มออกสีขาวนวลแบบที่เขาขายกัน

ดองทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน ก็นำมารับประทานได้ หรือนำไปเป็นของฝาก

ใส่กระเช้าน่ารักๆ เป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่นี้


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วิธีทำไข่เค็มไว้รับประทานเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 28-12-2006, 16:47
แสดงว่า ไม่มีสารส้มก็ทำได้ใช่ป่าวค่ะ

ไว้ว่างๆๆ อนาทำทานดีกว่า ไม่ได้ทานยำไข่เค็มนานแล้ว


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วิธีทำไข่เค็มไว้รับประทานเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 28-12-2006, 17:29
แสดงว่า ไม่มีสารส้มก็ทำได้ใช่ป่าวค่ะ

ไว้ว่างๆๆ อนาทำทานดีกว่า ไม่ได้ทานยำไข่เค็มนานแล้ว


ไม่มีสารส้ม ก็ไม่ต้องใส่ค่ะ แต่ต้องใช้เวลา

ในการดองนานกว่าจากสิบวัน เป็น 15 วันถึงจะทานได้

หลังจากนั้นจึงนำมาต้ม 10 นาทีแล้วทิ้งไว้ให้เย็น

หากทำแล้วอร่อยเปิดร้านขายไข่เค็มที่นู่นเลยนะคะ อิ อิ


 :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ขจัดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 28-12-2006, 22:17
ขจัดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า

1. คราบเลือด....ในกรณีที่เพิ่งเปื้อนมาใหม่ ๆ ให้รีบนำเสื้อผ้าไปแช่น้ำผสมผงซักฟอก แล้วซักตามปกติ

แต่ถ้าเป็นคราบเลือดฝังแน่นให้ใช้น้ำมะนาวผสมเกลือ ถูบริเวณที่เปื้อนก่อน แล้วนำไปซักในน้ำเย็น

2. โคลน.....ถ้าเปื้อนโคลนต้องปล่อยให้โคลนแห้งก่อนแล้วใช้แปรงปัดออก จากนั้นซักด้วยน้ำเย็นหลาย ๆ ครั้ง จนไม่มีน้ำโคลนออกมา จึงซักด้วยผงซักฟอก

3. รอยลิปสติก.....ใช้น้ำมันหมูทาตรงรอยเปื้อนแล้วจึงซักในน้ำสบู่ร้อน ๆ จากนั้นซักตามปกติ อีก

วิธีคือใช้วาสลินถูตรงรอยเปื้อนก่อนที่จะนำมาซัก

คำเตือน : ถ้ามีหลายรอย ก็จงจัดการซักฟอกพ่อตัวดีคนใส่ หรือไม่ก็เผาทิ้งซะเลยแฮ่ ๆ

4. ยางกล้วย.....นำมะนาวมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาถูตรงรอยเปื้อนที่เป็นคราบดำ แล้วรีบนำมาซักต่อทันที

5. ยาทาเล็บ.....วิธีง่าย ๆ คือให้ใช้น้ำยาล้างเล็บมาซับที่รอยเปื้อน และเช็ดด้วยผ้าสะอาดกระทั่งรอยเปื้อนจางลง แต่ควรลองหยดน้ำยาล้างเล็บลงบนผ้าใน

ส่วนที่ไม่สำคัญก่อน เพราะเนื้อผ้าบางประเภทอาจมีปฏิกิริยากับน้ำยาล้างเล็บ

6. รอยสนิม.....ให้นำผ้าที่เปื้อนมาชุบน้ำให้เปียกก่อน บีบน้ำมะนาวลงไปบนรอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

7. หมากฝรั่ง.....อันดับแรกให้ขูดยางหมากฝรั่งออกด้วยสันมีด แล้วใช้น้ำแข็งถูเพื่อให้หมากฝรั่งที่ยังติดอยู่แข็งตัว เพื่อจะได้แกะออกง่าย แล้วใช้สำลีชุบ

แอลกอฮอล์เช็ดอีกที ก่อนนำไปซักในน้ำสบู่อ่อน แต่บางคนแนะนำให้เอาเสื้อผ้าที่มีหมากฝรั่งติดไปแช่ในช่องทำน้ำแข็งเลย เพื่อให้หมากฝรั่งแข็งตัว ดึงออก

ง่าย

8. คราบกาแฟ.....เติมบอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะในน้ำอุ่น 2 ถ้วย นำมาซับที่รอยเปื้อน ล้างออกให้หมด

จึงซักตามวิธีปกติ ถ้าเป็นคราบเก่าที่ทิ้งไว้นานแล้ว ให้ใช้ลีเซอรีนทาทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง จึงล้าง

ออกด้วยน้ำอุ่น แล้วซักตามวิธีปกติ

9. หมึกปากกา.....ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดจนรอยเลอะจางลง ถ้ารอยเปื้อนยังไม่ออกให้หยดน้ำมะนาวลงไปที่รอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่แล้วนำไปซักในน้ำ

ผสมโซดาไบคาร์บอเนต รอยเปื้อนจะจาง

10. ไวน์.....ในกรณีที่ไวน์หกใส่ ให้หาน้ำโซดามาราดลงไปบริเวณที่เปื้อน หรือใช้วิธีโรยเกลือทิ้งเอาไว้ แล้วค่อยซักออกด้วยน้ำสบู่

*** หวังว่าคงพอจะช่วยได้บ้างนะคะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ หรือวิธีง่ายที่สุดก็คือนำเสื้อผ้าที่มีรอยคราบเหล่านั้นไปบริจาคต่อ แล้วก็ซื้อใหม่



ลอกเค้ามาจาก www.mthai.com

เอามาฝากน้องไทมุงและทุกๆท่านค่ะ

 :slime_smile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****แกะป้ายราคาที่ติดมากับภาชนะไม่ออก
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 30-12-2006, 21:14
แกะป้ายราคาที่ติดมากับภาชนะที่ซื้อมาใหม่ไม่ออก....


 อุตส่าห์ซื้อจาน ชาม ฯลฯ มาใหม่  แต่แกะป้ายออกไม่หมด แถมยังเหลือกาวติดอยู่อีกแบบเหนียวแน่น

 แค่ใช้น้ำมันพืชทาบนรอยเปื้อน แล้วทิ้งไว้อีกสักพักนึง แล้วจึงลองทำความสะอาดอีกที คราบกาวทั้งหลาย

ก็หลุดลอกออกจนหายรำคาญตา


(http://www.freephotopost.com/uploads/b78cd9799d.gif) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ลับ ลวง พราง ที่ 30-12-2006, 21:27
แล้วใช้น้ำมันพืชแบบไหนทาฮับ แบบสำหรับทอด หรือแบบสำหรับนึ่ง :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 30-12-2006, 22:07
แล้วใช้น้ำมันพืชแบบไหนทาฮับ แบบสำหรับทอด หรือแบบสำหรับนึ่ง :slime_smile2:


อันที่จริง...น่าจะใช้ได้ทั้งสองชนิดค่ะ

แต่ถ้าเกิดน้ำมันพืชทั้งสองชนิดดันหมด อาจใช้น้ำมันมวยลองดู

อาจได้ผลใกล้เคียงกันมังคะ
:slime_cool:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ขจัดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า
เริ่มหัวข้อโดย: ไทมุง ที่ 02-01-2007, 07:48
ขจัดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า


9. หมึกปากกา.....ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดจนรอยเลอะจางลง ถ้ารอยเปื้อนยังไม่ออกให้หยดน้ำมะนาวลงไปที่รอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่แล้วนำไปซักในน้ำ

ผสมโซดาไบคาร์บอเนต รอยเปื้อนจะจาง





ลอกเค้ามาจาก www.mthai.com

เอามาฝากน้องไทมุงและทุกๆท่านค่ะ

 :slime_smile: :slime_bigsmile:

ขอบคุณพี่ดอกฟ้าฯ หลายๆ และสวัสดีปีใหม่เด้อ...ขอให้สมาชิกทุกท่านแคล้วคลาดจากระเบิดเมืองกรุง :slime_worship:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 02-01-2007, 09:16
มีขจัดรอยเปื้อนหัวใจไหมค่ะ  :slime_inlove: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ไทมุง ที่ 02-01-2007, 10:43
มีขจัดรอยเปื้อนหัวใจไหมค่ะ  :slime_inlove: :slime_bigsmile:

ยังซ่าเหมือนเดิม น้องใบไม้ฯ สวัสดีปีใหม่ สำหรับรอยเปื้อนที่หัวใจไม่ต้องซัก ปล่อยให้ตำตาอยู่หยั่งงั้นแหละดีแล้ว  :slime_fighto:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 02-01-2007, 11:00
มีขจัดรอยเปื้อนหัวใจไหมค่ะ  :slime_inlove: :slime_bigsmile:

ยังซ่าเหมือนเดิม น้องใบไม้ฯ สวัสดีปีใหม่ สำหรับรอยเปื้อนที่หัวใจไม่ต้องซัก ปล่อยให้ตำตาอยู่หยั่งงั้นแหละดีแล้ว  :slime_fighto:

โห........พี่ไทมุงใจร้าย  :mozilla_cry: :mozilla_cry: :mozilla_cry:



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ดื่มอะไรแก้อาการเมาค้าง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 02-01-2007, 21:17
แก้อาการเมาค้าง

แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง
 
เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง
 
ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป
 
ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
 
ทำให้อาการเมาหายไปได้

เอามาฝากเพราะมีบางคนอาจฉลองปีใหม่มากไปหน่อยค่ะ
:slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 05-01-2007, 13:33
สารพันความงาม : ขิงแก่แก้ผมร่วง

สวัสดีปีกุนค่ะคุณสาวๆ...ปีใหม่นี้ก็ยังมีเสียงค่อนขอดเรื่องขิงๆ ทั้งขิงสด ขิงแก่กันอยู่ได้ อุ้ยต๊าย...ตาย...วกมาเข้าเรื่องความงามของเราดีกว่าค่ะ

 คุณขา เชื่อว่าคุณสาวๆ หลายคนคงทราบกันดีว่า "ขิง" ถือเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์สารพัดประโยชน์ และหนึ่งในนั้นก็คือการแก้ผมร่วงนี่ล่ะจ้า

 เคล็ดลับนี้ก็ไม่ยาก เพียงนำเหง้าขิงขนาดเท่าหัวแม่มือมาอังไฟให้อุ่นจัด แล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นก็ทาให้ทั่วหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้น

การงอกของเส้นผม ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงด้วยล่ะค่ะ

http://www.komchadluek.net/


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 05-01-2007, 13:48
ขอบคุณมากค่ะ  :D

และรบกวนขอสูตรแก้ผมหงอกเพิ่มด้วยสิคะ แบบธรรมชาติค่ะแบบธรรมชาติ ไม่ใช่น้ำยาย้อมผมเพราะอาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองเป็นผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ แทนที่ผมจะดำเงางาม อาจจะผมร่วงกราวววแทน  :slime_bigsmile:

พูดจริงนะคะ  :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 06-01-2007, 01:22
จุ๊...จุ๊  อย่าเอ็ดไปสิเม่ย เดี๋ยวใครเค้าจะรู้ฟามลับเราหมดว่ารุ่นคุณยาย

 วิธีชะลอไม่ให้ผมหงอกก่อนวัยอันควร จงทานสาหร่ายทะเลทุกชนิด

โดยเฉพาะสาหร่ายเส้นผม สาหร่ายทะเลอบแห้ง ยำสาหร่าย แกงจืดสาหร่ายฯ

 อันนี้ม่าม๊าบอกมาค่ะ
:slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: ลับ ลวง พราง ที่ 06-01-2007, 01:28
เห็นด้วยครับ เพราะเพื่อนผมก็ชอบทานสาหร่าย

เสียอย่างเดียว ตรงที่เพื่อนผมหัวโล้น


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกเข็มขาว ที่ 06-01-2007, 09:25
ทำไข่เค็มทานเองน่าจะอร่อยกว่าที่ซื้อมานะคะ

เพราะเราต้องการให้เค็มน้อยหรือมากก็ทำได้ขึ้นอยู่กับเรา

ขอบคุณดอกฟ้ามากคะที่ให้สูตรวิธีทำคะ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **** : ขิงแก่แก้ผมร่วง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 06-01-2007, 21:55
เห็นด้วยครับ เพราะเพื่อนผมก็ชอบทานสาหร่าย

เสียอย่างเดียว ตรงที่เพื่อนผมหัวโล้น


เอ้อ...น่าจะเป็นเพราะเพื่อนคุณอำพรางเพิ่งลาสิขาบท มารึป่าวคะ :slime_bigsmile:



ทำไข่เค็มทานเองน่าจะอร่อยกว่าที่ซื้อมานะคะ

เพราะเราต้องการให้เค็มน้อยหรือมากก็ทำได้ขึ้นอยู่กับเรา

ขอบคุณดอกฟ้ามากคะที่ให้สูตรวิธีทำคะ


ด้วยความยินดีค่ะ คุณเข็มขาว ดอกฟ้าฯมีกำลังใจขึ้นอักโขเลย :slime_smile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ทายนิสัย คนใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-01-2007, 01:08
ทำนายนิสัย

ลองมาสังเกตนิสัยการกินของคนรอบข้างกันเถอะ

ว่าแต่ละคนนั้นมีพฤติกรรมการกิน เป็นแบบไหนบ้าง เพราะแต่ละอย่างแต่ละความชอบน่ะ บอกได้ถึงนิสัยใจคอ ที่แท้จริงของเขาเชียวนะ

- ชอบดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้วหรือดื่ม 2-3 อึกใหญ่ๆ ก็หมดแก้วแล้ว คือไม่ชอบมานั่งจิบๆทีละนิดที ละน้อย อาการประมาณนี้แสดงว่าเขาเป็นคนที่มี ความตรงไปตรงมาสูงมาก ถ้าไม่ชอบก็จะออกอาการ ทางสีหน้าเลย จะไม่มาฝืนยิ้มเป็นอันขาด รักใครก็บอกว่ารัก
เมื่อรักแล้วก็รักมั่นคงซะด้วยซี แต่บางทีก็ดุ และใจร้อนไปหน่อยนะ

- ชอบกัดหลอดดูดน้ำเวลาดูดน้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลมจากแก้ว ถ้าใครมักจะชอบเผลอกัดหลอดเล่นๆ ทุกทีเลย แสดงว่าเป็นคนขี้เหงาไม่น้อยเลยแหละ บางทีไม่อยากจะไปไหนแต่ถ้าเพื่อนเฮไปก็ขอไปด้วย จิตใจน่ะอ่อนไหวสุดๆ ประมาณว่าเห็นฝนตกเบาๆ ก็รู้สึกเหงาได้เป็นวันๆ แล้วล่ะ แต่จะขี้แย ยังไงก็มี จิตใจดีนะ เอื้ออารีและแคร์คนรอบข้างเสมอ

- ชอบกัดผลไม้เวลาจะกินแอปเปิ้ล หรือฝรั่ง บางคนอาจต้องไปหามีดปอกมาเฉาะให้เป็นชิ้นๆ จะได้กินง่าย แต่บางคนอาจจะชอบกัดลงไปทั้งลูกเลยด้วยความเคยชินจนเป็นนิสัย
คนๆนี้น่ะอ่านใจได้เลย ว่าเป็นคนที่มักจะลงความเห็นโดยไม่ไตร่ตรองให้ลุ่มลึกเสียก่อน เป็นคนตัดสินใจเร็วๆ ง่ายๆ ไม่ค่อย รอบคอบ ความอดทนก็มีน้อยมาก แต่ก็เป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ติดดินได้รอมชอมเป็น ไม่ค่อยอยากชิงดีชิงเด่นกับใครเขาหรอกนะ

- ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าวคนๆ นี้น่ะมีความสดใสน่ารักอยู่ในตัวเสมอ แต่หลายๆ ครั้งที่ทำให้ เพื่อนๆ สุดเซ็งได้กับความสุดจะดื้อ และแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง แม้จะเป็นคนที่เน้นความสวย ความหล่อ มาก่อนเป็นอันดับ 1 แต่ถ้ารู้จักประนีประนอมให้มากขึ้น ดื้อให้น้อยลง ก็จะมีเสน่ห์กว่านี้เป็นแน่แท้

- ชอบใส่เครื่องปรุงสารพัดไม่ว่าจะไปกินอะไรที่ไหน คงยากที่จะตักของกินใส่ปากทันทีเหมือนชาวบ้าน เพราะคนแบบนี้จะต้องวุ่นวายกับพนักงานเสิร์ฟอยู่นานสองนาน ประมาณว่า ขอน้ำปลาพริกหน่อย ขอซอสมะเขือเทศ ขอซอสพริก ขอแม็กกี้หน่อย ขอมะนาวอีกนิด พริกป่นอีกหน่อย อะไรทำนองนี้ ทาย ใจได้เลยว่าคนๆ นี้น่ะไม่ธรรมดา เวลาจะยิงมุขตลกก็จะตลกกว่าใครๆ แบบว่าตลกโหดซะด้วยซี หัวเราะไปต้องขนลุกไปด้วย แต่เขาเป็นคนมีไอเดียเก๋ไก๋สุดฤทธิ์เลยนะ ใครอยู่ใกล้ๆ รับรองไม่เบื่อ เพราะมีแต่เรื่องเร้าใจเสมอเลยเชียว

- ชอบใช้สองมือกุมถ้วยกาแฟท่าทีประมาณนี้เป็นทีท่าของคนที่มีหัวใจสุดแสนจะโรแมนติกแบบว่าถ้า ชวนแฟนมาบ้านก็คงต้องจุดเทียนบนโต๊ะกินข้าวด้วยนั่นแหละ คนอารมณ์ นี้น่ะรักง่ายหลงง่าย ขี้น้อยใจแต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจมากเลยนะ

- ชอบดูดตะเกียบเวลากินก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวต้มกุ๊ยถ้าใครมีอาการแบบว่าเผลอดูดปลายตะเกียบอยู่ เรื่อยๆ เชียว แสดงว่าคนๆ นั้นน่ะเป็นคนขี้ระแวงระวังมาก น้อยใจเก่ง แถมขี้หึงเป็นที่ 1 อีกต่าง หาก ถ้ารักใครแล้วจะทุ่มเทมากจนถึงมากที่สุด

- ชอบกินไข่แดงของไข่ดาวก่อนพวกชอบเจาะไข่แดงก่อนเนี่ยนะ เป็นคนรักอิสระมาก หัวนอกคอกอีก ต่างหาก แบบว่ามีความคิดขบถๆ ไม่ค่อยจะคล้อยตามกระแสโลก ชอบต่อต้าน ไม่ชอบให้ใครมาบงการ แต่บางทีตัวเองก็เผด็จการเหมือนกัน ลึกๆ ในใจน่ะอ่อนไหวนะ ชอบสัตว์เลี้ยง ชอบบันเทิงเริงรมย์ แล้วก็ช่างติช่างวิเคราะห์น่าดู

- ชอบกินไข่ขาวของไข่ดาวก่อนคนที่เหลือไข่แดงไว้กินทีหลัง ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักพูดจาดีมีหลักการ เสมอ ใช้สมองมากกว่าอารมณ์ ในจิตใจน่ะดีเสมอ แต่บางทีก็ชอบแสดงออกแบบนิ่งๆ หรือหยิ่งๆ ไปบ้างจนคนรอบข้างคิดว่าขาดความอ่อนโยนไปหลายขีดเหมือนกัน
นะไม่ชอบปรุงบางคนกินข้าวกะเพราแบบไม่ง้อน้ำปลา กินก๋วยเตี๋ยวราดหน้า-ผัดซีอิ๊ว ก็ไม่ใส่พริกน้ำส้มพริกป่นน้ำตาล คนประมาณนี้มักมีอารมณ์ศิลปินจัด อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักอิสระสูงมาก ดูเหมือนเป็น คนง่ายๆ สบายๆ แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างเข้มงวด และเจ้าระเบียบสุดเดชทีเดียวเชียว เป็นคนสุดโต่ง แบบว่าเวลาหวานก็หวานจัด
เวลาโมโหก็น่ากลัวจัดเหมือน


http://www.narak.com/webboard/show.php?No=45652


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ทายนิสัย คนใกล้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: THE THIRD WAY ที่ 10-01-2007, 18:06
แบบว่า..............
ทำอย่างไรจึงจะถูกใจสาวๆมั่งอะ

เขินพิลึกกึกกือ :slime_v: :slime_v: :slime_v:

(http://img440.imageshack.us/img440/4153/launtitled5lr6.png) (http://imageshack.us)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เคล็ดลับ จีบสาวให้ติด****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 10-01-2007, 19:41
แบบว่า..............
ทำอย่างไรจึงจะถูกใจสาวๆมั่งอะ

เขินพิลึกกึกกือ :slime_v: :slime_v: :slime_v:

(http://img440.imageshack.us/img440/4153/launtitled5lr6.png) (http://imageshack.us)


เอามาฝากลุงป๋าสาม ตามคำขอค่ะ ผิดถูกอย่างไรไม่ขอรับผิดชอบนะคะ อิ อิ

.....................................................................
  :slime_smile2::slime_bigsmile: :slime_v:


เคล็ดลับจีบสาวให้ติด


1. อย่าคบเธอเหมือนเพื่อน
เดี๋ยวเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นแค่เพื่อน หรือไม่ก็เป็นกิ๊กคนหนึ่งของเธอเท่านั้น ถ้าคุณพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอก่อนความรักจะก่อตัวขึ้น เธอก็จะคิดว่าคุณเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งทันที ยิ่งนานวันไป ความสัมพันธ์ควรจะเบ่งบาน แต่มันก็บานได้แค่ความเป็นเพื่อน ไม่ก้าวถึงความเป็นแฟนสักที ดีไม่ดีโดนคนอื่นคว้าไปอีก ฉะนั้น ถ้าคิดจะคบเธอเป็นแฟน ก็จงคบแบบแฟนตั้งแต่เริ่มแรกเลย

2. ทำเซอร์ไพรส์เธอบ้าง
ผู้หญิงน่ะชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ ต่อให้เธอปากแข็งแค่ไหน เชื่อเถอะว่าเธอชอบความตื่นเต้นเร้าใจ และลึกลับ มากกว่าที่จะรู้จักคุณหมดไส้หมดพุง เพราะอย่างนั้น มันก็เหมือนหมดความน่าตื่นเต้นในตัวเองน่ะซิ ให้ข้อมูลตัวคุณกับเธอบ้างบางครั้ง กระตุ้นให้เธออยากรู้อยากเห็น อย่าให้เธอรู้เชียวว่าคุณกำลังเดินหมากอย่างไร สร้างความประทับใจและยวนใจเธอเข้าไว้ แล้วเธอจะเดินเข้ามาหาคุณเอง

3. เป็นฝ่ายอยู่นิ่งๆ ไม่ใช่ฝ่ายไล่ตาม
อย่าเคลื่อนไหวก่อน ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว การที่คุณจะรุกหญิงสาวสักคนหนึ่งก่อน พึงตระหนักไว้ว่า มันอาจทำให้เธอรำคาญได้ง่ายๆ อยู่นิ่งๆ แล้วหยั่งเชิงก่อนว่าเธอสนใจคุณหรือเปล่า หรือคุณสนใจเธอจริงหรือเปล่า ถ้าใช่ ค่อยๆ เผยให้เธอรู้ทีละน้อย แต่อย่าอ่อยนานนักล่ะ เดี๋ยวเธอจะหลุดหายไปจากวงโคจรเสียก่อน

4. หันมาสนใจตัวเองบ้าง
เพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง ด้วยกลิ่นกายที่หอมกรุ่น ผิวพรรณที่ชวนมอง อ้าว! ว่าไม่ได้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาดูผู้ชายที่ผิวพรรณด้วยนะ ประเภทผิวหยาบกร้าน ยอมรับว่ามีบางกลุ่มที่ชอบ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนุ่มผิวดี มักเข้าตากรรมการสาวมากกว่า ที่สำคัญคือลมหายใจและกลิ่นปากต้องสดชื่น แต่งตัวสะอาดชวนมอง ประเภทเฮฟวี่น่าจะหมดยุคไปแล้ว แต่งให้ดูแล้วน่าคบหาสมาคมและดูสุภาพไว้ก่อน น่าจะเรียกคะแนนความนิยมได้ง่ายกว่า

5. มีอารมณ์ขัน
ผู้หญิงน้อยคนจะชอบผู้ชายที่เต็มไปด้วยความเครียด ยิ่งเครียดเธอก็ยิ่งเบื่อหน่าย พวกเธอชอบผู้ชายที่มีอารมณ์ขัน เพราะจะทำให้ชีวิตเธอสนุกสนาน ไม่ซีเรียส ยิ้มเข้าไว้ ยิ่งถ้าคุณเป็นหนุ่มยิ้มเก่ง มารยาทสุภาพ รู้จักกาลเทศะ อย่าว่าแต่จะชนะใจเธอเลย ชนะใจไปถึงครอบครัวเธอได้ง่ายๆ ด้วย เรื่องนี้เขาสำรวจกันอย่างจริงจังมาแล้วพบว่า ผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะคำนึงถึงความสำคัญของอารมณ์ขันของชายหนุ่มเป็นเรื่องแรก ฉะนั้นทิ้งมาดเก๊กหล่อไว้ แล้วเอาอารมณ์ขันมาสร้างสีสันให้กับคนที่คุณอยากได้เป็นแฟนแทนได้แล้ว

6. คิดให้ดีและถี่ถ้วนก่อน
อย่าเพิ่งคิดว่าเธอคือคนที่ใช่แน่ๆ จากที่ออกเดทด้วยกันเพียงไม่กี่ครั้ง อาจเป็นได้ว่าคุณแค่เพ้อไปช่วงหนึ่งเท่านั้น ช่วงเพ้อนี่แหละที่จะทำให้คุณตามัวหมอง อะไรก็ดีไปหมด นึกว่าเธอใช่แน่นอน ขอย้ำเตือนว่า ใช้เวลาสักนิด ตอบคำถามกับตัวเองให้แน่ใจก่อนว่า เธอคนนี้...ใช่คนที่คุณรักมากที่สุดแล้วหรือเปล่า, เธอคนนี้...ใช่คนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณหรือเปล่า และเธอคนนี้...ใช่คนที่จะมาเป็นแม่ของลูกคุณหรือเปล่า ใช้เวลาในการตัดสินใจสักพัก อย่าด่วนได้ใจเร็ว


http://board.narak.com/topic.php?No=159658



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เคล็ดลับ จีบสาวให้ติด****
เริ่มหัวข้อโดย: THE THIRD WAY ที่ 10-01-2007, 21:23
เขินนะเนี่ย........

(http://img299.imageshack.us/img299/4348/rfr123sfm1.jpg) (http://imageshack.us)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ประโยชน์ น้ำมันมะกอก****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-01-2007, 20:38
• น้ำมันมะกอก
ประโยชน์

 
น้ำมันมะกอกเอามาทำอะไรได้บ้าง/อยากรู้

ตอบต้องบอกก่อนว่า มะกอกที่นำมาสกัดน้ำมัน กับมะกอกจิ้มพริกกะเกลือที่เรากินเป็นคนละพันธุ์กัน

มะกอกที่ว่านี้เป็นมะกอกฝรั่ง หรือ Olive ปลูกหนาแน่นแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันตกของอเมริกา อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย

ส่วนในไทยยังให้ผลได้ไม่ดีนัก เป็นไม้ยืนต้น มีกว่า 70 พันธุ์ ผลกลมหรือรูปไข่ บางชนิดมีผิวที่ผลเรียบ บางชนิดขรุขระ สามารถบริโภคผลได้เวลาสุก

สรรพคุณของมะกอกเป็นที่รู้กันตั้งแต่สมัยโบราณ ฮิปโปเครติส บิดาแห่งวิชาแพทย์ ใช้น้ำมันมะกอกรักษาโรคทางเดินอาหาร ชาวฮิบบรูใช้น้ำมันมะกอกนวดตัวและทาตัวในพิธีทางศาสนา ชาวอียิปต์ถือว่ากลิ่นของน้ำมันมะกอกเป็นกลิ่นที่คู่ควรองค์ฟาโรห์ คัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนากล่าวถึงการทำความสะอาดบาดแผลจากการสู้รบด้วยน้ำมันมะกอก

ปัจจุบันเรารู้จักน้ำมันมะกอกในแง่ของการปรุงอาหาร และคุณประโยชน์ด้านความงาม และมีการวิจัยพบว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในเชิงป้องกันโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ตอนต้น มีผลในการช่วยรักษาอาการอักเสบที่กระเพาะอาหาร

ในการประชุม International Olive Oil Council มีรายงานวิจัยนำเสนอว่า พบสารประกอบ tocopherols carotene polyphenols และ triglycericles ในน้ำมันมะกอก ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็งและช่วยย่อยอาหาร รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย




คุณภาพของน้ำมันมะกอกแบ่งได้เป็น

1. ชนิดบริสุทธิ์พิเศษ "Extra Virgin" เป็นชนิดที่ดีที่สุด รสและกลิ่นมะกอกแรง สกัดด้วยวิธีการหีบเย็น ไม่ผ่านกระบวนการเคมีเลย สีอมเขียวบ้าง อมทองบ้าง


2. ชนิดบริสุทธิ์ดีมาก Virgin หรือ Superfine Virgin Olive Oil มีคุณภาพและราคารองลงมา เพราะสารเคมีที่เป็นประโยชน์หลายชนิด ถูกทำลายด้วยความร้อน กลิ่นรสก็ด้อยกว่ากันด้วย

3. ชนิดบริสุทธิ์ดี หรือ Fine Olive Oil หรือ Refined Olive Oil ราคาถูกลงค่อนข้างมาก สกัดจากเนื้อมะกอกด้วยกระบวนการทางอุตสาหกรรม ใช้ความร้อน ใช้สารเคมี แล้วยังมีการผ่านกรรมวิธีต่างๆ เช่น ฟอกสี ฟอกกลิ่น ส่วนใหญ่มักเติม Virgin Olive Oil ลงไปส่วนหนึ่ง เพื่อให้ได้กลิ่น สี และคุณสมบัติของสารต้านออกซิเดชั่นของน้ำมันมะกอกบ้าง

4. ชนิดบริสุทธิ์ หรือ Virgin or Pure Olive Oil โดยทั่วไปกลิ่นมะกอกจะมีเพียงอ่อนๆ มีความเป็นกรดไม่เกิน 4% หากเกินกว่านี้จะกินไม่ได้ แต่ใช้เป็นน้ำมันจุดตะเกียงหรือน้ำมันใส่ผม

น้ำมันมะกอกคุณภาพดี ราคาแพง ควรเอามาปรุงเป็นน้ำสลัด หรือเครื่องปรุงรสของอาหารอื่น ไม่เหมาะจะนำมาทอดหรือผัด ซึ่งอาจใช้น้ำมันมะกอกเกรดต่ำลงมาได้ และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษจะเสียรสหากถูกความร้อนทำให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส 


นอกจากนี้ ในวงการแพทย์ปัจจุบันกำลังให้ความสนใจในคุณสมบัติของน้ำมันมะกอกมาก เพราะได้มีการสำรวจพบว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมักไม่ค่อยเป็นโรคหัวใจ ถึงแม้จะชอบบริโภคอาหารที่มีไขมันมากก็ตาม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาเหล่านั้นบริโภคน้ำมันมะกอกควบคู่ไปด้วยนั่นเอง


สารหลักในน้ำมันมะกอกคือกรดโอเลอิก มีคุณสมบัติเด่นคือเป็นสารที่คงตัวมาก ถูกออกซิไดซ์ได้ยาก คุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานโรคภัยต่างๆ

คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น




 


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ประโยชน์ น้ำมันมะกอก****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกเข็มขาว ที่ 18-01-2007, 11:16
มีเคล็ดในการต้มมะระไม่ให้ขมมาฝากคะ

หลาย ๆ คนไม่ชอบกินมะระ เพราะความที่มะระมีรสขมนั่นเอง แต่มีวิธีแก้ไข โดยให้หั่นมะระเป็นชิ้น ๆ แล้วให้เอาเกลือป่นใส่ลงไปคลุกกับมะระให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างเอาเกลือออก ความขมของมะระก็จะหมดไปคะ  

ดอกฟ้าขาถ้าทำไข่เค็มโดยใช้ไข่ไก่แทนได้ไหมคะ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ประโยชน์ น้ำมันมะกอก****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-01-2007, 19:28
มีเคล็ดในการต้มมะระไม่ให้ขมมาฝากคะ

หลาย ๆ คนไม่ชอบกินมะระ เพราะความที่มะระมีรสขมนั่นเอง แต่มีวิธีแก้ไข โดยให้หั่นมะระเป็นชิ้น ๆ แล้วให้เอาเกลือป่นใส่ลงไปคลุกกับมะระให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างเอาเกลือออก ความขมของมะระก็จะหมดไปคะ  

ดอกฟ้าขาถ้าทำไข่เค็มโดยใช้ไข่ไก่แทนได้ไหมคะ

ขอบคุณ คุณเข็มขาวที่เอาเคล็ดในการต้มมะระมาฝากค่ะ :slime_v:

ส่วนการทำไข่เค็มโดยใช้ไข่ไก่แทนไข่เป็ดนั้นยังไม่เคยลองเลยค่ะ แต่ก็น่าจะทำได้

เหมือนกันนะคะ ไว้เดี๋ยวจะลองทำดูแล้วจะมารายงานผลค่ะ :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****สรรพคุณ...ของเกลือ****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 31-01-2007, 18:51
สรรพคุณ...ของเกลือ
 
ในทุกครัวเรือนหรือร้านอาหารจะต้องมีเกลือเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารทุกชนิด แต่หลายคนมักจะรู้จักสรรพคุณของเกลือ เฉพาะความเค็มเท่านั้น จริงแล้วเกลือมีสรรพคุณหลายด้าน ดังนี้

๑. แก้ตะคริว ใช้เกลือละลายน้ำดื่มแก้ตะคริวได้บางท่านก่อนจะลงว่ายน้ำถ้าได้ดื่มน้ำเกลือก่อนจะช่วยให้ไม่เป็นตะคริว

๒. แก้คลื่นไส้ เมาสุรา ใช้เกลือ ๑/๒ ช้อนกาแฟต่อน้ำ ๑ แก้ว ผสมกันแล้วดื่ม อาการคลื่นไส้จะหายไป

๓. แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ใช้เกลือละลายน้ำสะอาด ๑ แก้ว ดื่มก่อนเข้านอนหรือตื่นนอนตอนเช้าแก้อาการร้อนในกระหายน้ำได้ผลดี

๔. รักษาโรคกระเพาะ ใช้เกลือ ๑ ช้อนชา ละลาย น้ำ ๑ แก้ว กินทุกเช้าหลังจากตื่นนอน ช่วยรักษาโรคกระเพาะได้

๕. แก้เป็นลม เอาเกลือทะเลละลายกับน้ำร้อน หรือน้ำเย็นดื่มแก้อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน ตาลาย เพราะร่างกายอ่อนเพลียได้ผลดี

๖. แก้ถูกยาเบื่อ ใช้เกลือ ๑ ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำอุ่น ๑/๒ แก้ว กินครั้งเดียวกันอาเจียนออกมา

๗. แก้แผลปากเปื่อย ใส่เกลือบริเวณแผลแล้วอมไว้ ครั้งแรกจะรู้สึกแสบ ครั้งต่อไปแผลจะหาย

๘. แก้เผ็ด ถ้ากินอาหารรสจัด ๆ รู้สึกแสบที่ปากอมเกลือแล้วทิ้งไว้สักครู่ก็จะหาย
 

http://intranet.prd.go.th/journal/content.php?No=1989


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 07-02-2007, 18:20
วาเลนไทน์ ทำไม ? วันวาเลนไทน์

วันแห่งความรัก ต้องเป็น วันที่ 14 กุมภาพันธ์

วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?


วาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทำไมต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นคำถามที่น่าสงสัยใช่ไหม วันวาเลนไทน์ วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine)ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต ่เขาต้อง จบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ในจักรวรรดิโรมัน
ประวัติความเป็นมาของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 3 มีผู้นำคริสเตียนคนหนึ่งชื่อ "วาเลนตินัส" เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มาก โดยทุก ๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็น ไปวางไว้ประตูหน้าบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ซึ่งในสมัยนั้นนะคะ ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิโรมัน และถือว่าใครที่
นับถือศาสนาคริสต์ จะมีความผิดร้ายแรงมาก พวกคริสเตียนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อบังคับให้เลิกเป็นคริสเตียน ใครที่ไม่ยอมเลิกนับถือคริสต์จะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง วาเลนตินัส ก็รวมอยู่ในกลุ่มขบวนการถูกขู่เข็ญและทรมานบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาไม่ยอมจึงถูกจับเข้าคุก ในข้อหาเป็นคริสเตียน ในขณะที่เขาถูกจับขังคุกนั้น ก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในนั้น และด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของคนรักของเขาซึ่งเธอตาบอด หายเป็นปกติ จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ผู้คุมและครอบครัวของเขาหันมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อความนี้นี้เองรู้ถึงจักพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก สั่งให้ลงโทษวาเลนตินัส อย่างหนักด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ
ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น เขาได้เขียนจดหมายสั้น ๆ เป็นการอำลาส่งไปให้หญิงคนรัก ของเขาและลงท้ายในจดหมายว่า "จากวาเลนไทน์ของเธอ" รุ่งขึ้นของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็น อนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา คนทั่วไปประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น "วันวาเลนไทน์" ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentine's Day หรือ Valentine's
Day หรือวันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชียด้วย



www.dara.ac.th/Christain/images/k075.gif


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 08-02-2007, 23:03
^
^ มีคลิปวิดีโอเพลงเพราะๆ พร้อมกุหลาบงามหลากหลายสีมาฝากค่ะ  :slime_inlove:

*** My Valentine **** (http://youtube.com/watch?v=-iXas6Svnkk&mode=related&search=)

by Martina McBride

ดูเหมือนว่า การฉลองวันวาเลนไทน์จะมีแบบแปลกๆ ขึ้นทุกที แถมกุหลาบก็มีราคาแพงเกินเหตุ  :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 09-02-2007, 00:20
*** My Valentine Lyrics ***

If there were no words
No way to speak
I would still hear you

If there were no tears
No way to feel inside
I'd still feel for you

And even if the sun refuse to shine
Even if romance ran out of rhyme
You would still have my heart
Until the end of time
You're all i need
My love, my valentine

All of my life
I have been waiting for
All you give to me
You've opened my eyes
And showed me how to love unselfishly

I've dreamed of this a thousand times before
In my dreams i couldnt love you more
I will give you my heart
Until the end of time
You're all i need
My love, my valentine

La da da
Da da da da

And even if the sun refuse to shine
Even if romance ran out of rhyme
You would still have my heart
Until the end of time
Cuz all i need
Is you, my valentine

You're all i need
My love, my valentine  

(http://www.freephotopost.com/uploads/7dd813bddb.jpg) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ลับ ลวง พราง ที่ 09-02-2007, 00:28
วันวาเลนไทน์ ปีนี้ไม่รู้จะได้อั่งเปาเท่าไหร่ :slime_fighto:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-02-2007, 02:34
วันวาเลนไทน์ ปีนี้ไม่รู้จะได้อั่งเปาเท่าไหร่ :slime_fighto:

รอแป๊ะนึงนะคร้า...........คือเริ่มจะสับสน

ขอเวลาสักครู่ ขอไปถามผู้รู้ก่อนนะคะ ฮี่ ฮี่ เอิ๊ก :slime_bigsmile: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-02-2007, 02:56
^
^ มีคลิปวิดีโอเพลงเพราะๆ พร้อมกุหลาบงามหลากหลายสีมาฝากค่ะ  :slime_inlove:

*** My Valentine **** (http://youtube.com/watch?v=-iXas6Svnkk&mode=related&search=)

by Martina McBride

ดูเหมือนว่า การฉลองวันวาเลนไทน์จะมีแบบแปลกๆ ขึ้นทุกที แถมกุหลาบก็มีราคาแพงเกินเหตุ  :mrgreen:



ขอบคุณเม่ยมากค่ะ เพลงก็เพราะดอกไม้ก็สวย

เราไม่จำเป็นต้องซื้อหาดอกไม้ราคาแพงๆ แค่คิดถึงกันด้วยความรู้สึกที่ดีๆ

ปรารถนาดีต่อกันก็มีค่าเพียงพอแล้วค่ะ
:slime_smile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: THE THIRD WAY ที่ 09-02-2007, 14:58
ขอให้ทุกท่านมีความรักที่สวยงาม
ในวันแห่งความรักครับ
(ความรักไม่ต้องรอ14กุมภานะจ๊ะ)

(http://img71.imageshack.us/img71/8210/r101redrosebouquetinfozg4.gif) (http://imageshack.us)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 09-02-2007, 20:41
มีข่าวน่าประทับใจ เหมาะกับเดือนกุมภาพันธ์  ที่ว่ากันว่า เป็นเดือนแห่งความรัก...แต่ซอยข้างๆ ยังรบกันไม่เลิกเพราะมีพวกมาหาเรื่องประจำ  :mrgreen:

ขุดพบซากโบราณ 'อ้อมกอดอมตะ' คู่หนุ่มสาวกอด กันมานาน 6,000 ปี [9 ก.พ. 50 - 00:07]
(http://www.freephotopost.com/uploads/8748a1b4c4.jpg) (http://www.freephotopost.com)

คณะนักโบราณคดี ต่างพากันยกย่องว่าซากโบราณของคู่หนุ่มสาว ที่อยู่ในท่ากอดกัน เพิ่งขุดค้นพบทางเหนือของเมืองมันโทวา ในอิตาลี เป็น “อ้อมกอดอมตะ”เพราะโอบกอดกันอยู่มานานตั้ง 5,000-6,000 ปีแล้ว

หัวหน้าคณะผู้ขุดค้น นางเอเลนา เมนอตติ ออกปากว่า “เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เราไม่เคยขุดพบซากโบราณของมนุษย์สมัยยุคหินใหม่ นอนคู่กันมาก่อนเลย อย่าว่าแต่จะกอดกัน แต่คู่นี้กำลังกอดกันอยู่จริงๆ” นางบอกต่อไปว่า “เชื่อว่าซากคนทั้ง 2 จะต้องเป็นหญิงกับชายแน่ แม้จะต้องยืนยันให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง และคงตายลงตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เพราะฟันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แทบไม่มีสึกหรอเลย”

นักมานุษยวิทยาหญิงบอกยอมรับว่า “พวกเราต่างรู้สึกตื่นเต้นเมื่อตอนพบจริงๆ ฉันเองเคยขุดค้นมานมนานตั้ง 25 ปีแล้วนับแต่ซากนครปอมเปอี รวมทั้งสถานที่มีชื่อเสียงมาเกือบทุกแห่ง แต่ไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจเหมือนหนนี้ เพราะมันเป็นเรื่องพิเศษจริงๆ”.

http://thairath.co.th/news.php?section=technology&content=36290


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-02-2007, 21:10
 :slime_bigsmile: :slime_v:

ขอบคุณลุงป๋าสาม ขอบคุณเม่ยค่ะ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 09-02-2007, 21:47
เข้ามาอ่านประวัติวันวาเลนไทน์ด้วยความขอบคุณครับ    :slime_v:

สมัยเรียนหนังสือไม่เคยอ่านจบซักที รู้แค่ว่าเป็นตำนานของบาทหลวงคนนึงเท่านั้นเอง   :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****วันวาเลนไทน์คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-02-2007, 22:55
เข้ามาอ่านประวัติวันวาเลนไทน์ด้วยความขอบคุณครับ    :slime_v:

สมัยเรียนหนังสือไม่เคยอ่านจบซักที รู้แค่ว่าเป็นตำนานของบาทหลวงคนนึงเท่านั้นเอง   :mrgreen:


ด้วยความยินดีค่ะ นิยามของความรักไม่ได้จำกัดแค่ความรักของเพศตรงข้าม

ความรักมีไว้ให้กับมวลมนุษย์ แจกจ่ายยังไงก็ไม่มีวันหมดเพราะปราศจากต้นทุนไงคะ

ขอบคุณที่แวะมาแจมกระทู้ค่ะ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-02-2007, 19:53
ตรุษจีน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

งานตรุษจีนในลอนดอนตรุษจีน หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

(อักษรจีนตัวเต็ม: 春節, อักษรจีนตัวย่อ: 春节, พินอิน: Chūnjíe ชุนเจี๋ย)

 หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (อักษรจีนตัวเต็ม: 農曆新年, อักษรจีนตัวย่อ: 农历新年, พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ซินเหนียน)

 และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก

ตรุษจีน กินเวลาเฉลิมฉลองหลายวัน ซึ่งปัจจุบัน สำหรับชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป

 ตรุษจีนในประเทศไทย

ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ

ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้ายหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ถี่จู่เอี๊ย

ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว

วันไหว้ คือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ

ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง

(ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า

วันปีใหม่ หรือ วันซิวอิก ถือเป็นวันมงคล จะงดการทำบาป และงดเว้นกิจกรรมเช่น ไม่ทวงหนี้กัน ไม่กวาดบ้าน

 และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพร

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ทุกๆท่านค่ะ

(http://www.freephotopost.com/uploads/b9a58b55ab.gif) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 16-02-2007, 22:43
ขออวยพรให้สมาชิกทุกท่าน มังมีศรีสุข ทำสิ่งใดขอให้สำเร็จสมประสงค์ดังปรารถนา

(http://www.jackiechankids.com/images/ChuRuPingAn_small.jpg)  (http://www.jackiechankids.com/images_3/Chinese_NY_Contest_Petra_pig_250.jpg)  (http://www.jackiechankids.com/images/SiJiPingAn_small.jpg)

http://www.jackiechankids.com/files/Chinese_New_Year_Main.htm

 :slime_v: :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 16-02-2007, 22:49
ขอให้เจริญรุ่งเรือง โชคดีมีชัย เงินทองไหลมาเทมา ลูกหลานเต็มบ้าน



(http://www.apples4theteacher.com/images/chinese-new-year-literature/happy-happy-chinese-new-year.jpg)




(http://www.freephotopost.com/uploads/d186ec4f88.jpg)

http://www.jackiechankids.com/files/Chinese_New_Year_Contest-Entries-1.html





 :slime_v:  :slime_v:  :slime_v:





หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 16-02-2007, 22:59
เฮงไล้ เฮงไล้  อั่งเปา ตั่วตั่วไก๊


(http://www.jackiechankids.com/images/red_envelope.jpg)


 :slime_v:  :slime_v:  :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 16-02-2007, 23:02
ขอบคุณ คุณสมชายฯมากค่ะที่เอาอั่งเปามาแจกแถวนี้

ตั่วถั่ง ตั่วถั่ง :slime_bigsmile: :slime_v: :slime_bigsmile: :slime_v:

(http://www.freephotopost.com/uploads/f96646cc61.gif) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: นทร์ ที่ 16-02-2007, 23:15
มารับอั่งเปา   :mozilla_cool:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 16-02-2007, 23:18
(http://www.freephotopost.com/uploads/71d8862515.jpg) (http://www.123greetings.com/events/chinese_new_year/zodiac_cards/zodiac1.html?pos=recent_card)

มารับอั่งเปาด้วยคนนะคะ  :slime_v: และมีคำทำนายอวยพรมาให้คลิกเลือกจากปีนักษัตรของตัวเองด้วย :slime_smile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 16-02-2007, 23:39
(http://www.freephotopost.com/uploads/a2fa85b2ab.jpg) (http://www.123greetings.com/events/chinese_new_year/zodiac_cards/zodiac3.html)

และคำทำนายของแต่ละปีนักษัตรค่ะ
  • ชวด rat
  • ฉลู ox
  • ขาล tiger
  • เถาะ rabbit
  • มะโรง dragon
  • มะเส็ง snake
  • มะเมีย horse
  • มะแม sheep
  • วอกmonkey
  • ระกา rooster
  • จอ dog
  • กุน boar



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 16-02-2007, 23:53
มารับอั่งเปา   :mozilla_cool:

ไล้เหลี่ยว ๆ :slime_v:

(http://www.freephotopost.com/uploads/e31ef55cff.jpg) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 09:12
มารับอั่งเปา จากพี่ สมชายฯ พี่นทร์ พี่เม่ย พี่ดอกฟ้าฯ ให้มาซะดีๆๆ ของจริงน๊า   :slime_sentimental: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 16:43
盖世英雄 Unparalleled Hero (2006) เพลงนี้พูดถึงคนจีนโดยเฉพาะ เอางิ้วมาผสม hip-hop
ศิลปิน: Wang Li Hong 王力宏
http://www.bestsharing.com/files/b4UKPbw223241/03%20-%20gai4%20shi4%20ying1%20xiong2.mp3.html

有你就够了 (2006) โหยว หนี่ จิ้ว โก้ว เลอ บัลหลาด
ศิลปิน: Coco Li 李玟 หลี่ หมิน
http://www.bestsharing.com/files/kGyT8zc223222/004%20-%20you3%20ni3%20jiu4%20gou4%20le.mp3.html

烟丝万缕 (2005) ยีอัน ซือ วั่น หลื่อว์ เป็นภาษากวางตุ้ง จังหวะ thug
ศิลปิน: Coco Li 李玟 หลี่ หมิน & Jacky Cheung 張學友 จาง เฉสวีย โหย่ว
http://www.bestsharing.com/files/bihoAL225400/018%20-%20yan1%20si1%20wan4%20lv3.mp3.html

能不能 (2003) เหนิง ปู้ เหนิง
ศิลปิน: Landy Wen (溫嵐 เวิน หลัน) & 鐵竹堂
http://www.bestsharing.com/files/Z7Slf4t224872/006%20-%20neng2%20bu4%20neng2.mp3.html

夜的第七章 (2006) ยี่เอ้ เตอะ ตี้ ชี จัง
ศิลปิน: Jay Chou 周杰倫
http://www.bestsharing.com/files/lifVs227286/01%20-%20ye4%20de%20di4%20qi1%20zhang1.mp3.html


รีบดาวน์โหลดภายใน 3 วันก่อนจะลบ


หัวข้อ: Re: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 17:03
盖世英雄 Unparalleled Hero (2006) เพลงนี้พูดถึงคนจีนโดยเฉพาะ เอางิ้วมาผสม hip-hop
ศิลปิน: Wang Li Hong 王力宏
http://www.bestsharing.com/files/b4UKPbw223241/03%20-%20gai4%20shi4%20ying1%20xiong2.mp3.html



...


ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ โหลดฟังเพลงแรกของหวังลี่หงไปแล้วค่ะ โอ่ยยย  :mrgreen:  เลยตามไปหาใน youtube ดูต่อ

http://youtube.com/watch?v=cf0GM6P0qpg

คุณ ㄊㄞ มีเพลง 新年好 ป่าวคะ ถ้ามี ขอด้วยค่ะ  :D



หัวข้อ: Re: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 17:08
ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ โหลดฟังเพลงแรกของหวังลี่หงไปแล้วค่ะ โอ่ยยย  :mrgreen:  เลยตามไปหาใน youtube ดูต่อ

http://youtube.com/watch?v=cf0GM6P0qpg

คุณ ㄊㄞ มีเพลง 新年好 ป่าวคะ ถ้ามี ขอด้วยค่ะ  :D

新年好 ไม่มีอะครับ เคยฟังเวอร์ชั่นของ 张小英 (เสียดายเป็นนักร้องโปร์โตก  :slime_hmm:) นานมากแล้วตั้งแต่เด็กๆ คงต้องไป http://mp3.baidu.com หาดู แต่ไวรัสโทรจันอื้อซ่าเลย :shock:

เยาวราช ตรอกเท็กซัส มีเพียบเลยครับ

จริงๆเดี๋ยวนี้ สวนลุม สวนร.9 มีคนจีนขน vcd ตรุษจีนถูกๆ มาเทขายเพียบ แต่ไม่ค่อยเพราะ สู้ของไต้หวันไม่ได้


หัวข้อ: Re: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 17:10


...

有你就够了 (2006) โหยว หนี่ จิ้ว โก้ว เลอ บัลหลาด
ศิลปิน: Coco Li 李玟 หลี่ หมิน
http://www.bestsharing.com/files/kGyT8zc223222/004%20-%20you3%20ni3%20jiu4%20gou4%20le.mp3.html


...

เพลงนี้คงถูกใจพี่ดอกฟ้า ฯ จากนักร้องคนงาม โก๊ะโก๊ะลี  โคโค่ลี)  :slime_v:  :slime_inlove:

http://youtube.com/watch?v=H_zlu1EwM6g


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 17:22
Landy Wen ก็เพราะนะครับ เคยเขียนเมล์ไปหา Alfa Music Taiwan ถามว่าเมื่อไรจะออกอัลบั้มใหม่ หายไปเลย ค่ายนี้แต่งเพลงเท่ๆ มันส์ๆ ทั้งนั้น

ส่วน mv ของ WLH อันนั้นมาจาก MTV Taiwan เพิ่งรู้ว่ามีช่วง "เฉี่ยงทิงฮุ่ย" เหมือนของทางแผ่นดินใหญ่เลย พูดจริงๆไม่เคยดู mv นี้เลย

ไม่ทราบว่า คุณ Aiwen รู้จัก 今天不回家 หรือเปล่า ของใครร้องเหรอครับ วันนั้น "แป๊ะลิ้ม" แกเอามาเปิดทาง 97.75 ก่อนปิดรายการ เหมือนกับเลียนแบบ Craig David มา แต่เพราะดี


หัวข้อ: Re: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 17:26
ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ โหลดฟังเพลงแรกของหวังลี่หงไปแล้วค่ะ โอ่ยยย  :mrgreen:  เลยตามไปหาใน youtube ดูต่อ

http://youtube.com/watch?v=cf0GM6P0qpg

คุณ ㄊㄞ มีเพลง 新年好 ป่าวคะ ถ้ามี ขอด้วยค่ะ  :D

新年好 ไม่มีอะครับ เคยฟังเวอร์ชั่นของ 张小英 (เสียดายเป็นนักร้องโปร์โตก  :slime_hmm:) นานมากแล้วตั้งแต่เด็กๆ คงต้องไป http://mp3.baidu.com หาดู แต่ไวรัสโทรจันอื้อซ่าเลย :shock:

เยาวราช ตรอกเท็กซัส มีเพียบเลยครับ

จริงๆเดี๋ยวนี้ สวนลุม สวนร.9 มีคนจีนขน vcd ตรุษจีนถูกๆ มาเทขายเพียบ แต่ไม่ค่อยเพราะ สู้ของไต้หวันไม่ได้


พอดีเมื่อวานได้ฟอร์เวิร์ดเมล์มีเพลงนี้ประกอบมั้งคะ  :?: :mrgreen: แต่เก็บไว้ที่ทำงาน เดี๋ยววันจันทร์ค่อยกลับไปฟังใหม่ก็แล้วกัน  :mrgreen:

อ้าววว นึกว่า 张小英 เป็นสาวมาเลเซียซะอีกค่ะ สมัยเด็ก ได้ฟังเพลงเธอบ๊อย บ่อย จากวิทยุ  :D



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 17-02-2007, 17:29
เข้ามาซินเจียยู่อี่กับฟังเพลงด้วยคนครับ       :slime_v:


หัวข้อ: Re: ปีใหม่จีน ฟังเพลงจีนเพราะๆ มันส์ ๆ ดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 17:31
烟丝万缕 (2005) ยีอัน ซือ วั่น หลื่อว์ เป็นภาษากวางตุ้ง จังหวะ thug
ศิลปิน: Coco Li 李玟 หลี่ หมิน & Jacky Cheung 張學友 จาง เฉสวีย โหย่ว
http://www.bestsharing.com/files/bihoAL225400/018%20-%20yan1%20si1%20wan4%20lv3.mp3.html

>>> ใน--YouTube ยังไม่มีคนโพสต์เลยค่ะ

能不能 (2003) เหนิง ปู้ เหนิง
ศิลปิน: Landy Wen (溫嵐 เวิน หลัน) & 鐵竹堂
http://www.bestsharing.com/files/Z7Slf4t224872/006%20-%20neng2%20bu4%20neng2.mp3.html

>>> http://youtube.com/watch?v=Icpr82KwEI0

夜的第七章 (2006) ยี่เอ้ เตอะ ตี้ ชี จัง
ศิลปิน: Jay Chou 周杰倫
http://www.bestsharing.com/files/lifVs227286/01%20-%20ye4%20de%20di4%20qi1%20zhang1.mp3.html

>>> http://youtube.com/watch?v=jiW9otQ7I2U





หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 17:37
Landy Wen ก็เพราะนะครับ เคยเขียนเมล์ไปหา Alfa Music Taiwan ถามว่าเมื่อไรจะออกอัลบั้มใหม่ หายไปเลย ค่ายนี้แต่งเพลงเท่ๆ มันส์ๆ ทั้งนั้น

ส่วน mv ของ WLH อันนั้นมาจาก MTV Taiwan เพิ่งรู้ว่ามีช่วง "เฉี่ยงทิงฮุ่ย" เหมือนของทางแผ่นดินใหญ่เลย พูดจริงๆไม่เคยดู mv นี้เลย

ไม่ทราบว่า คุณ Aiwen รู้จัก 今天不回家 หรือเปล่า ของใครร้องเหรอครับ วันนั้น "แป๊ะลิ้ม" แกเอามาเปิดทาง 97.75 ก่อนปิดรายการ เหมือนกับเลียนแบบ Craig David มา แต่เพราะดี


ไม่ค่อยได้ฟังเพลงรุ่นใหม่หรอกค่ะ สงสัยเลยวัย  :mrgreen: ส่วนเพลง 今天不回家 นั้น ตอนเด็กได้ฟังประจำจากวิทยุ จิน...เที้ยนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ปุ หุยยยยยยยยย เจียยยยย ของใครน้า ชอบค่ะชอบ...จำได้ว่า แซ่หวง เดี๋ยวนึกชื่อออก จะมาบอกค่ะ  :D



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 17:37
เพลงจีนอนาร้องได้เพลงเด๋วค่ะ

คือเพลง เทียนมีมี่ เขียนงี้ป่าวอนาไม่แน่ใจ   :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

ที่ร้องได้เพราะคุณย่า เขาเคยร้องให้ฟังตอนเด็กๆๆ นะค่ะ

แต่พี่ไททรูทกับพี่เม่ยนี้สงสัยจะฟังประจำแน่เลย  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:  


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 17:44
新正如意 新年發財 ซิง เจีย หยู่ อี่ ซิง นี้ ฮวัก ไช้ ครับ


แนะนำอีกเพลงจาก Landy Wen ครับ เพราะจริงๆ ลองไปค้นดูจาก YouTube

愛回溫 (爱回温)
離不開他 (离不开他) Can't leave
北斗星 The Plough
冰河 Ice River
满月 Full Moon

เสียดาย คนไทยไม่ค่อยรู้จักเธอครับ เซ็กซี่ เสียงดี และหลายเพลง Jay Chou กับ Michael Lin เป็นคนจีนจากปารีส แต่งเพราะๆทั้งนั้น

ส่วน เถียนมี่มี่ 甜蜜蜜 อยากโหลด ก็ไปนี่เลย
http://mp3.baidu.com/m?f=ms&rn=&tn=baidump3&ct=134217728&word=%CC%F0%C3%DB%C3%DB&lm=0

หนี เจิ่น เมอ ซัว 你怎么说
http://mp3.baidu.com/m?f=ms&tn=baidump3&ct=134217728&lf=&rn=&word=%C4%E3%D4%F5%C3%B4%CB%B5&lm=0 เลือกอันที่มีชื่อ 邓丽君

แต่ไม่รับผิดชอบถ้าติดไวรัสนะครับ  :twisted:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 17:47
กำลังจะคลิก แต่เห็นประโยคสุดท้ายของพี่ไททรูท แทบเบรคไม่ทัน  :slime_hmm:

มีเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะป่าวพี่ไททรูท อันนี้อยากฟังอ่ะ   :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 17:55
ถ้าอัพเดทข้อมูลไวรัสบ่อยๆ โอกาสติดมาน่าจะน้อยครับ

ส่วนผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ต้องรู้ชื่อจีนของหนังเรื่องนี้ก่อนครับ จะค้นง่ายกว่า น่าจะมีคนอัพลงเน็ตแน่นอนครับ

ก่อนจะไป แนะนำสถานีวิทยุของไต้หวัน "ฮิตโตะ" จากเมือง Taizhong เพลงจีน 80% ญี่ปุ่น 10% เกาหลี 10%
เสียงใส stereo ดีมาก
http://radio.hinet.net/radio/player/player.jsp?radio_id=88

อันนี้ Fairchild Radio จาก Vancouver แต่เสียงพร่า
http://www.fm961.com/fm961/english/


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 18:07
พี่ไททรูทรุ่นไหน อ่าค่ะ อนาไม่แน่ใจลองบอกอายุหนูหน่อยจิค่ะ  จ๊าก ไม่รู้จักหนังเรื่องนี้จริงๆๆเหรอ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

เรื่องนี้ออกจะดังนะค่ะพี่ พี่หลิวเต๋วหัวขับมอไซต์ เท่ห์มากๆๆๆ

(http://i9.photobucket.com/albums/a93/arateed/Lim/181201_d.jpg)

ไปค้นมาแย้ว นี่เลย ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ / A Moment of Romance / 天若有情

อีกเพลงนะค่ะ ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้ / Savior of The Soul / 九一神雕侠侣


ภาคแรกนะค่ะ ที่ประทับใจ เรียกน่ำตาหนูได้กาลามังเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2007, 18:19
เข้ามาฟังเพลงจีนเพราะๆในวันตรุษจีน

ที่มีคนใจดีมาเปิดให้ฟัง มีความสุขจังเลย :slime_inlove:

เซี้ยะ เซี้ยะ หนี่ :slime_bigsmile:

(http://www.freephotopost.com/uploads/869ec8ca7a.gif) (http://www.freephotopost.com)



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 18:23
เข้ามาฟังเพลงจีนเพราะๆในวันตรุษจีน

ที่มีคนใจดีมาเปิดให้ฟัง มีความสุขจังเลย :slime_inlove:

เซี้ยะ เซี้ยะ หนี่ :slime_bigsmile:

(http://www.freephotopost.com/uploads/869ec8ca7a.gif) (http://www.freephotopost.com)



พี่ดอกฟ้า รู้จักดาราคนนี้ป่าวค่ะ หลิวเต๋อหัวนะค่ะ  :slime_inlove: :slime_bigsmile:

ทดสอบกับพี่ดอกฟ้านี่แระ อิอิ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2007, 18:32
พี่ดอกฟ้า รู้จักดาราคนนี้ป่าวค่ะ หลิวเต๋อหัวนะค่ะ   

ทดสอบกับพี่ดอกฟ้านี่แระ อิอิ


รู้จักซี่คร้าอนา คนนี้น่ะ....เพื่อนพี่เองแหละ อิ อิ :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 17-02-2007, 19:59
คาดว่า ตอนนี้ ทักษิณคงจะกำลังร้องเพลงนี้อยู่ 今天不回家 (วันนี้ ไม่กลับบ้าน) :slime_bigsmile: 


ถ้าเฮียสนธิว่าง น่าจะเขียนเนื้อเพลงเวอร์ชั่นใหม่เป็น 今年不回家 (ปีนี้ไม่กลับบ้าน)

และอีกเวอร์ชั่น 新年不回家 (ปีใหม่ไม่กลับบ้าน)  เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ทักษิณ

 :slime_smile2:   :slime_bigsmile:   :slime_v:

...


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 20:07
คาดว่า ตอนนี้ ทักษิณคงจะกำลังร้องเพลงนี้อยู่ 今天不回家 (วันนี้ ไม่กลับบ้าน) :slime_bigsmile: 


ถ้าเฮียสนธิว่าง น่าจะเขียนเนื้อเพลงเวอร์ชั่นใหม่เป็น 今年不回家 (ปีนี้ไม่กลับบ้าน)

และอีกเวอร์ชั่น 新年不回家 (ปีใหม่ไม่กลับ้าน)

 :slime_smile2:   :slime_bigsmile:   :slime_v:

...


 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: เดี๋ยวอาทักสิงค์อีบอกว่า ไม่ใช่อั้วไม่กลับ แต่กลับไม่ล่ายอ่า ลื๊อมั้ยต่า ๆ อั้วเทียเลี้ยวเก๊กซิมซี่ :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 20:09
คาดว่า ตอนนี้ ทักษิณคงจะกำลังร้องเพลงนี้อยู่ 今天不回家 (วันนี้ ไม่กลับบ้าน) :slime_bigsmile: 

ถ้าเฮียสนธิว่าง น่าจะเขียนเนื้อเพลงเวอร์ชั่นใหม่เป็น 今年不回家 (ปีนี้ไม่กลับบ้าน)
และอีกเวอร์ชั่น 新年不回家 (ปีใหม่ไม่กลับ้าน)

 :slime_smile2:   :slime_bigsmile:   :slime_v:

สำหรับไอ้เหลี่ยม ต้องนี่ครับ 永远不回家 WILL NOT GO HOME FOREVER ไม่ได้กลับบ้านตลอดไป  :slime_v: :slime_v: :slime_smile2:


พี่ไททรูทรุ่นไหน อ่าค่ะ อนาไม่แน่ใจลองบอกอายุหนูหน่อยจิค่ะ  จ๊าก ไม่รู้จักหนังเรื่องนี้จริงๆๆเหรอ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:
ยุคเฮียหลิว ผมเกิดไม่ทันครับ  :mrgreen: :mrgreen:



กลับมาว่าเรื่องเพลงต่อ เพลง 5 เพลงนั่นส่วนใหญ่เป็นสไตล์อเมริกัน อย่าง Wang Lee Hom & Coco Lee พวกนี้เป็นชาวอเมริกัน

แต่ถ้าอยากฟังอะไรจีนๆ เอาซอจีน กู่เจิง ขลุ่ยจีน ต้อง Jay Chou  อัจฉริยะจริงๆ แต่งเพลงได้ทุกประเภท คือดึงเอาเมโลดี้จีนมาใส่แล้ว ไม่เห่ย ลองฟังดู

菊花台 ju2 hua1 tai2 จวื๋อ ฮวา ไถ (แต้จิ๋ว = เก็ก ฮวย ไต่) ลานดอกเบญจมาศ
ประกอบหนังอิงประวัติศาสตร์ Curse of the Golden Flower (อย่าแปลเป็นไทยล่ะ  :slime_hmm:  จริงชื่อเดิมมัน City of Golden Armour ก็ดีอยู่แล้ว) ฮว๋าง-จิน-จี่อ่า มีดาราหน้าใหม่ ขาวๆอวบๆ :slime_inlove:
http://www.youtube.com/watch?v=b3Gb69rVZ9Y

東風破 dong1 feng1 po4 ตง เฟิง โพ่อ์
http://www.youtube.com/watch?v=xMIpHEDp3XQ

霍元甲 huo4 yuan2 jia3 หู้อ้อ หยวน จี่อ่า Fearless  ประกอบหนังแอ๊กชั่นของ Jet Li
http://www.youtube.com/watch?v=ZF7iZwweFGs

亂舞春秋 luan4 wu3 chun1 qiu1 ล่วน หวู่ ฌุน ชิว เพลงเกี่ยวกับวรรณคดี 3 ก๊ก
http://www.youtube.com/watch?v=KVr-r3tH_Lc

千里之外 qian1 li3 zhi wai4 เชียน หลี่ ฌือ ไว่ บรรยากาศแบบเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
http://www.youtube.com/watch?v=3F_e4BandqM


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 17-02-2007, 20:26



พี่ไททรูทรุ่นไหน อ่าค่ะ อนาไม่แน่ใจลองบอกอายุหนูหน่อยจิค่ะ  จ๊าก ไม่รู้จักหนังเรื่องนี้จริงๆๆเหรอ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:
ยุคเฮียหลิว ผมเกิดไม่ทันครับ  :mrgreen: :mrgreen:




โอ้วววววววววววว น้องไททรูทททททททททท  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:






หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2007, 20:35
เดี๋ยวอาทักสิงค์อีบอกว่า ไม่ใช่อั้วไม่กลับ แต่กลับไม่ล่ายอ่า ลื๊อมั้ยต่า ๆ อั้วเทียเลี้ยวเก๊กซิมซี่



วันนี้เราวิจารณ์ และผรุสวาทกันให้พอนะคะเม่ย พรุ่งนี้วันถือ...หยุด 1 วัน ดีป่าว :slime_bigsmile:

พี่ชอบเพลง ใครๆก็ไม่รัก ของน้องพลับ :slime_v:

"ใครๆก็ไม่รักโพ้ม แม้แต่พัดลมยังส่ายหน้าเลย" :slime_smile2:

อยากฟังจัง ถ้ามีพลีสสสส
:slime_smile2: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2007, 20:53
ขอบคุณ คุณㄊㄞ และน้องเม่ยมากที่มาทำให้วันตรุษจีนปีนี้

สนุกสนานครื้นเครงด้วยเพลงเพราะๆ มากมายมาฝาก :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 21:04
เดี๋ยวอาทักสิงค์อีบอกว่า ไม่ใช่อั้วไม่กลับ แต่กลับไม่ล่ายอ่า ลื๊อมั้ยต่า ๆ อั้วเทียเลี้ยวเก๊กซิมซี่



วันนี้เราวิจารณ์ และผรุสวาทกันให้พอนะคะเม่ย พรุ่งนี้วันถือ...หยุด 1 วัน ดีป่าว :slime_bigsmile:

พี่ชอบเพลง ใครๆก็ไม่รัก ของน้องพลับ :slime_v:

"ใครๆก็ไม่รักโพ้ม แม้แต่พัดลมยังส่ายหน้าเลย" :slime_smile2:

อยากฟังจัง ถ้ามีพลีสสสส
:slime_smile2: :slime_v:

ใช่แล้วค่ะ หลังจากเที่ยงคืนคืนนี้แล้ว ต้องพูดจาไพเราะเสนาะหู แต่เอ..สงสัย.ต้องงดเข้าห้องสภากาแฟค่ะ  :slime_v:

ยังหาเพลง "ใคร ๆ ก็ไม่รัก" ของน้องพลับไม่เจอค่ะ ขอเปิดเพลง "อยากกลับบ้าน" (http://imusic.teenee.com/2/frame/3733.php)ของพี่เสือ ธนพล แทนแล้วกันนะคะ  :mrgreen:



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 17-02-2007, 21:08
ผมชอบเพลง เซียว บ๊ะ จ่าง

คุณ ㄊㄞ มีลิ้งค์ไม๊ครับ

...


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 21:13
ได้ฟังเพลงวัยรุ่นร่วมสมัยจากคุณ ㄊㄞ (เพราะเกิดไม่ทันยุคเฮียหลิว)  มากมายหลายเพลงแล้ว :slime_smile:

ลองมาฟังเพลงสไตล์อนุรักษ์ของนักร้องหนุ่มไต้หวัน 费玉清 คนนี้บ้างค่ะ

http://youtube.com/watch?v=jDJbBcskBsY


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 21:25
ผมชอบเพลง เซียว บ๊ะ จ่าง

คุณ ㄊㄞ มีลิ้งค์ไม๊ครับ

燒肉粽 (烧肉粽) มันมีอยู่ 3 ลิ้งก์ในนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ เติ้งลี่จวิน ร้องเองหรือเปล่าอะครับ แล้วเป็นภาษาฮกเกี้ยนด้วย ต้องลองโหลดดู
http://mp3.baidu.com/m?f=ms&tn=baidump3&ct=134217728&lf=&rn=&word=%9F%FD%C8%E2%F4%D5&lm=0

แต่ยังไม่ถึงเทศกาลบะจ่างเลยนะครับ  :slime_doubt:

แต่คิดถึงเติ้งลี่จวิน (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/1/10/Teresa_Teng.gif)


ได้ฟังเพลงวัยรุ่นร่วมสมัยจากคุณ ㄊㄞ (เพราะเกิดไม่ทันยุคเฮียหลิว)  มากมายหลายเพลงแล้ว :slime_smile:
ลองมาฟังเพลงสไตล์อนุรักษ์ของนักร้องหนุ่มไต้หวัน 费玉清 คนนี้บ้างค่ะ
http://youtube.com/watch?v=jDJbBcskBsY
เสียงแกโบราณเหมือนกับพวกนักร้องแผ่นครั่ง ยุคก่อนคอมมิวนิสต์บุกจีน สมัยก่อนอากงอาม่าชอบเปิดแล้วมีเสียงผู้ชายประมาณนี้ เสียงผู้หญิงประมาณจิวซ้วง


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 21:33

....

ได้ฟังเพลงวัยรุ่นร่วมสมัยจากคุณ ㄊㄞ (เพราะเกิดไม่ทันยุคเฮียหลิว)  มากมายหลายเพลงแล้ว :slime_smile:
ลองมาฟังเพลงสไตล์อนุรักษ์ของนักร้องหนุ่มไต้หวัน 费玉清 คนนี้บ้างค่ะ
http://youtube.com/watch?v=jDJbBcskBsY
เสียงแกโบราณเหมือนกับพวกนักร้องแผ่นครั่ง ยุคก่อนคอมมิวนิสต์บุกจีน สมัยก่อนอากงอาม่าชอบเปิดแล้วมีเสียงผู้ชายประมาณนี้ เสียงผู้หญิงประมาณจิวซ้วง

 :slime_bigsmile: เมื่อประมาณซ้ากสิบปีก่อน มีญาติผู้ใหญ่ที่ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ให้เทปของอากอคนนี้มาค่ะ และคลิปวิดีโอนี้ได้ดูจากทาง CCTV 4 ไม่นานนี้เอง  :slime_v:

ขอเปิดเพลงของ เติ้งลี่จวิน...เหมยฮวา...อีกสักเพลงค่ะ  :D

http://youtube.com/watch?v=sE4NC_pCWiI


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 21:50
费玉清 เพราะกว่าที่คิด เดี๋ยวต้องหาเวลาไปเยาวราชอีกแล้ว  :mrgreen: :mrgreen: คราวก่อนไปซื้อ 徐若萱 กับ 周杰伦 เห็นคนขายก็เชียร์บอกว่า ลอง 费玉清 ดูสิ แต่ผมไม่เอานึกว่ามันโบราณ


ผมลองโหลด เซียวบะจ่าง 燒肉粽 มาแล้ว ปรากฎว่าไม่ใช่เวอร์ชั่นของ เติ้งลี่จวิน แต่ก็เพราะดีครับ เป็นเวอร์ชั่น Orchestra เดี๋ยวจะเอาไปให้ญาิตฟัง

ฟังเพลงฝั่งไต้หวันเยอะแล้ว ลองหาโหลดเพลงทางแผ่นดินใหญ่บ้างสิครับ รู้จักแต่ น่าญิง 那英 ชอบ 爱要有你才完美 กับ 征服  เธอมีเชื้อสายแมนจูเหมือน Coco Lee


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 22:12
เซียวบ้ะจั่ง 燒肉粽 เวอร์ชั่นนี้เพราะจริงๆ เดี๋ยวต้องไปตามหาแล้ว ออกแนวๆคล้ายๆตอนนั่งเครื่อง China Airlines มันชอบเปิดเพลงแนวๆ orchestra เอาเพลงพื้นเมืองของทั้งแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันมาบรรเลง

โหลดตรงๆได้ที่นี่ครับ แต่มันมีเสียงคนบรรยายคั่นกลาง ภาษาผมก็ยังกะท่อนกะแท่น เหมือนกับว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐจีนยุคที่ตั้งหลักบนเกาะไต้หวัน
http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3



ไปค้นประวัติเพลงนี้มาเพิ่ม เพิ่งจะรู้ว่า เซียวบ้ะจั่ง คืออะไร มีให้ดาวโหลด mp3 เซียวบ้ะจั่งอีกเวอร์ชั่นหนึ่งด้วย
http://media.ilc.edu.tw/music/MS/ms_lesson22.htm

ใครเก่งภาษาช่วยด้วย

เดาว่าเหมือนกับว่า หลังสงคราม ราคาข้าวของก็แพงเป็น 10 เท่า เศรษฐกิจถดถอย คนจำนวนมากหางานทำไม่ได้ ประชาชนหาข้าวกินแบบมื้อต่อมื้อ กินมื้อนี้ยังไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะมีอะไรกินหรือเปล่า

市井小民的生活,最足以反映時代的變局。

終戰之後,百廢待舉。物價飛漲為戰時的十倍(就是你原來只需花五、六十元,就可吃到的炸雞,現在必須要花五、六百元才吃得到)。經濟蕭條、許多民眾找不到工作,人民常是吃了這一餐,卻不知下一餐在哪裡?

而一般百姓也是艱難度日,連三餐都成了問題,雖然「燒肉粽」的聲音今人垂涎,但是一般人哪裡有錢可以買肉粽呢?(นี่แปลไม่ออก) เหมือนกับว่าแม้แต่ เสียงการย่างบ้ะจั่ง รวมๆเหมือนกับอดอยากมากๆ ใครเล่าจะมีสตางค์ไปซื้อบ้ะจ่างมากิน

所以,從早上到夜深,只聽到「燒肉粽」的叫賣聲在清冷的街道上呼喊,這首歌反映著小市民辛酸、悲苦的生活。ดังนั้น ตั้งแต่เช้ายันมืด แค่ได้ยินเสียงตะโกนขายบะจั่งคนขายบ้ะจั่งบนถนน



ก็คือสรุปว่า เพลงนี้บรรยายสภาพสังคมของเกาะไต้หวันหลังสงครามว่าขมขื่นยากลำบาก (這首歌反映著小市民辛酸、悲苦的生活 zhe4 shou3 ge1 fan3 ying4 zhe xiao3 shi4 min2 xin1 suan1, bei1 ku3 de sheng1 huo2)


ถ้าคุณสมชายฯ ไม่พูดถึงเพลงนี้ แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยคิดจะสนใจความเป็นมาของเพลงนี้เลยนะครับ  ขอบคุณ :slime_cool:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 22:45
เซียวบ้ะจั่ง 燒肉粽 เวอร์ชั่นนี้เพราะจริงๆ เดี๋ยวต้องไปตามหาแล้ว ออกแนวๆคล้ายๆตอนนั่งเครื่อง China Airlines มันชอบเปิดเพลงแนวๆ orchestra เอาเพลงพื้นเมืองของทั้งแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันมาบรรเลง

โหลดตรงๆได้ที่นี่ครับ แต่มันมีเสียงคนบรรยายคั่นกลาง ภาษาผมก็ยังกะท่อนกะแท่น เหมือนกับว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐจีนยุคที่ตั้งหลักบนเกาะไต้หวัน
http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3


เสียดายจัง ทำไมโหลดไม่ได้หนา  :slime_dizzy:

ขอฟังเพลง 碎心恋 ที่เติ้งลี่จวินร้องแทนก่อน คงภาษาเดียวกับที่ร้องเซียวบ๊ะจ่างมั้งคะ  :D

http://youtube.com/watch?v=VRKY0DjPeXA&mode=related&search=



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 22:51
ถ้าเราคล่องเสียงอ่าน แต้จิ๋ว ก็สามารถร้องเพลงฮกเกี้ยนได้ไม่ยากเลยนะครับ อาแจ้ลองฟังดูดิ

歌 詞 》

一、    自悲自嘆歹命人,父母本來真痛,乎我讀冊幾落冬,出業頭路無半項,暫時來賣燒肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。

จุ้ปี จุ้หั่ง xxxx เหมี่ย หนั่ง, แป่ บ้อ ปึ่งไล้ จิง ทัง, xxx อั้ว ถักจือ xxx เหลาะตัง, ชุก เงี้ยบ เท้า โหล่ว บ่อ ปั่ว ถั่ง, เจียงสี่ ไหล่ โบ่ย เซียว บ้ะ จั่ง, เซียว บ้ะ จั่ง เซียว บ้ะ จั่ง, โบ่ย เซียว บ้ะ จั่ง

二、    欲做生理真困難,若無本錢做昧動,不正行為是不通,所以暫時做這款,今著認真賣肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。

xxx จ๊อเซ็งลี่ xxxxx xxxxxxxxxxxxx, อึ่ม เจีย xxxxx เซียว บ้ะ จั่ง, เซียว บ้ะ จั่ง เซียว บ้ะ จั่ง, โบ่ย เซียว บ้ะ จั่ง

三、    物件一日一日貴,厝內頭嘴一大堆,雙腳行到欲撐腿,遇著無銷上克虧,今著認真賣肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。

โหม่ยะ เกี๋ย เจ็กยิก เจ็กยิก กุ่ย, xxxxxxxxxxxxx ซังคา เกี๊ย เก่า xxxxx

四、    欲做大來不敢望,欲做小來又無空,更深風冷腳手凍,啥人知阮的痛苦,環境迫阮賣肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。




หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 17-02-2007, 22:57
เพลง เซียวบ้ะจั่ง 燒肉粽 ที่คุณ ThaiTruth ㄊㄞ ทำลิ้งค์ให้ เพราะมาก

โหลดเพลงที่ 4. 卖肉粽  3.3 เม็ก ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ได้แค่ 93%  เว็บดันแฮงค์ ต้องเริ่มใหม่

ส่วนลิ้งค์ที่คุณ aiwen^mei นำมาแปะ ยังไม่ถึงคิวโหลด เน็ตของผมช้ามาก


ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 17-02-2007, 23:07


而一般百姓也是艱難度日,連三餐都成了問題,雖然「燒肉粽」的聲音今人垂涎,但是一般人哪裡有錢可以買肉粽呢?(นี่แปลไม่ออก) เหมือนกับว่าแม้แต่ เสียงการย่างบ้ะจั่ง รวมๆเหมือนกับอดอยากมากๆ ใครเล่าจะมีสตางค์ไปซื้อบ้ะจ่างมากิน


ก็คือสรุปว่า เพลงนี้บรรยายสภาพสังคมของเกาะไต้หวันหลังสงครามว่าขมขื่นยากลำบาก (這首歌反映著小市民辛酸、悲苦的生活 zhe4 shou3 ge1 fan3 ying4 zhe xiao3 shi4 min2 xin1 suan1, bei1 ku3 de sheng1 huo2)


ถ้าคุณสมชายฯ ไม่พูดถึงเพลงนี้ก็ไม่เคยคิดจะสนใจความเป็นมาของเพลงนี้เลยนะครับ  ขอบคุณ :slime_cool:


เรียนมาน้อยนิด  ก็เลยขอมาเปิดดิกช่วยนะคะ 而一般百姓也是艱難度日,連三餐都成了問題 雖然「燒肉粽」的聲音今人垂涎,但是一般人哪裡有錢可以買肉粽呢

น่าจะมีความหมายประมาณว่า ."ประชาชนหรือราษฎรผ่านวันเวลาอย่างยากลำบาก แม้แต่อาหารสามมื้อก็กลับกลายเป็นปัญหา แม้ว่าเสียงบ๊ะจ่างทำให้รู้สึกอยากทานถึงที่สุด แต่คนเหล่านั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ๊ะจ่างเล่า ?"

...ที่แท้ บ๊ะจ่าง ที่เราชอบทาน กลับมีประวัติขมขื่นที่ซ่อนอยู่...



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 17-02-2007, 23:20
...ที่แท้ บ๊ะจ่าง ที่เราชอบทาน กลับมีประวัติขมขื่นที่ซ่อนอยู่...


อันที่จริงพี่ชอบทานบะะจ่างมาก ตอนนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 25 บาท

ที่เลือกทานก็แบบมีใส้หมูแล้วเผือกหวานๆด้วย แล้วตอนนี้คนจนจะมีสิทธิบริโภคเหรอ

เพราะว่าไม่ใช่อาหารหลัก เพลง เซียวบะจ่าง ได้ยินมาพอสมควร

ไว้ว่างๆจะลองทำบะจ่างทานเอง

เพราะมีตำราอยู่แต่ก็ไม่ค่อยถนัดค่ะ
:slime_smile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: narong ที่ 17-02-2007, 23:31
นานๆเข้ามาทีเอาเพลงมาฝากวันตรุษจีน
ขอให้สมาชิกเวปทุกท่านโชคดีและร่ำรวยๆครับ


(http://www.china2learn.com/image/denglijun3.jpg) (http://www.china2learn.com/song/denglijun/tianmimi.shtml)
เนื้อร้องเพลง เถียนมีมี่ ขับร้องโดย เติ้งลีจวิน

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/01 - เถี่ยนมี่มี่.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/01 - เถี่ยนมี่มี่.red)

เถียนมี่มี่ หนี่เสี่ยวเตอเถียนมี่มี่ ฮว่าวเซียงฮัวเออร์ไคไจ้ชุนฟงหลี
ไคไจ้..ชุนฟงหลี ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี เถียนมี่เสียวเตอะตัวเถียนมี่
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี เถียนมี่เสียวเตอะตัวเถียนมี่
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่


คำแปล.............โดย ครู...ชิต
เถียนมี่มี่.......หวานปานน้ำผึ้ง
หนี่เสี่ยวเตอเถียนมี่มี่....... รอยยิ้มเธอช่างหวานประดุจดังน้ำผึ้ง
ฮว่าวเซียงฮัวเออร์ไคไจ้ชุนฟงหลี....สวยประดุจดอกไม้บานฤดูใบไม้ผลิ
ไคไจ้..ชุนฟงหลี....งามดุจยามฤดูใบไม้ผลิ
ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี .........อยู่ที่ไหนๆมีแต่เธอเสมอ
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี.....รอยยิ้มของเธอช่างคุ้นเคยอย่างนี้
หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.....ฉันเฝ้ารำพึงนึกถึงเธอเสมอมิเสื่อมคลาย
ไจ้ม่งหลี่ ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี.. ในความฝันมีแต่เธอ
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่....ปรารถนาในฝันเห็นแต่เธอเพียงคนเดียว


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: narong ที่ 17-02-2007, 23:33
รวมฮิตเพลงจีนเชิญฟังตามอัธยาศัยครับ

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/01 - เหมยฮัว.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/01 - เหมยฮัว.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/02 - เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/02 - เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/02 - เทพธิดาดอย.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/02 - เทพธิดาดอย.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/02 - หนี่จั่มเมอซัว.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/02 - หนี่จั่มเมอซัว.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/03 - ฝันสลาย.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/03 - ฝันสลาย.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/04 - ฤทธิ์มีดสั้น.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/04 - ฤทธิ์มีดสั้น.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/05 - ชอลิ้วเฮียง (จอมโจรจอมใจ).red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/05 - ชอลิ้วเฮียง (จอมโจรจอมใจ).red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/06 - กระบี่เย้ยยุทธจักร.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/06 - กระบี่เย้ยยุทธจักร.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/08 - ศึกสายเลือด.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/08 - ศึกสายเลือด.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/09 - ทำไมทำกับฉันได้.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 3/09 - ทำไมทำกับฉันได้.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/01 - เปาบุ้นจิ้น.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/01 - เปาบุ้นจิ้น.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/12 - ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ 1.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/12 - ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ 1.red)

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/13 - ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ 2.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 1/13 - ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ 2.red)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 17-02-2007, 23:48
สุดยอด !!! ขอบคุณครับ โหลดได้เร็วทันใจด้วย

ผมจำได้ว่า เพลง เหมย์ ฮวา 梅花 (ดอกบ๊วย) ก็มีประวัติที่น่าสนใจ แล้วก็เพลงอะไรน้า ของไต้หวัน ที่มาจากนักโทษที่ถูกเจียงไคเช็คไล่เช็คบิล แล้วเอาไปปล่อยเกาะ (เพลงนี้ นายซือหมิงเต๋อ เลยชอบเอามาร้องปลอบประโลมตอนประท้วงอาเปี่ยนที่ไต้หวัน) เดี๋ยวมีเวลาจะค้นข้อมูลดูแล้วเอามาเล่า

แต่เพลงหนี เจิ่น เมอ ซัว อันนี้ไม่ใช่ต้นฉบับอะครับ และไม่ใช่เสียงของเติ้งลี่จวิน การเรียบเรียงคอร์ดเพี้ยนไปนิด


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-02-2007, 00:32
นานๆเข้ามาทีเอาเพลงมาฝากวันตรุษจีน
ขอให้สมาชิกเวปทุกท่านโชคดีและร่ำรวยๆครับ


(http://www.china2learn.com/image/denglijun3.jpg) (http://www.china2learn.com/song/denglijun/tianmimi.shtml)
เนื้อร้องเพลง เถียนมีมี่ ขับร้องโดย เติ้งลีจวิน

http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/01 - เถี่ยนมี่มี่.red (http://www.mzaa.com/music/mp3s/16. Chinese - เพลงจีน/Top Hit 2/01 - เถี่ยนมี่มี่.red)

เถียนมี่มี่ หนี่เสี่ยวเตอเถียนมี่มี่ ฮว่าวเซียงฮัวเออร์ไคไจ้ชุนฟงหลี
ไคไจ้..ชุนฟงหลี ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี เถียนมี่เสียวเตอะตัวเถียนมี่
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่

ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี เถียนมี่เสียวเตอะตัวเถียนมี่
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่

ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.........
ไจ้ม่งหลี่


คำแปล.............โดย ครู...ชิต
เถียนมี่มี่.......หวานปานน้ำผึ้ง
หนี่เสี่ยวเตอเถียนมี่มี่....... รอยยิ้มเธอช่างหวานประดุจดังน้ำผึ้ง
ฮว่าวเซียงฮัวเออร์ไคไจ้ชุนฟงหลี....สวยประดุจดอกไม้บานฤดูใบไม้ผลิ
ไคไจ้..ชุนฟงหลี....งามดุจยามฤดูใบไม้ผลิ
ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี .........อยู่ที่ไหนๆมีแต่เธอเสมอ
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี.....รอยยิ้มของเธอช่างคุ้นเคยอย่างนี้
หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.....ฉันเฝ้ารำพึงนึกถึงเธอเสมอมิเสื่อมคลาย
ไจ้ม่งหลี่ ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี.. ในความฝันมีแต่เธอ
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่....ปรารถนาในฝันเห็นแต่เธอเพียงคนเดียว



เพลงโปรดหนูอนาเลยนะคะ "เถียนมี่มี่ หวานปานน้ำผึ้ง''

ขอบคุณสำหรับเพลงที่เอามาฝากค่ะ คุณnarong :slime_smile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 18-02-2007, 00:47
ถ้าเราคล่องเสียงอ่าน แต้จิ๋ว ก็สามารถร้องเพลงฮกเกี้ยนได้ไม่ยากเลยนะครับ อาแจ้ลองฟังดูดิ

歌 詞 》

一、    自悲自嘆歹命人,父母本來真痛,乎我讀冊幾落冬,出業頭路無半項,暫時來賣燒肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。

จุ้ปี จุ้หั่ง xxxx เหมี่ย หนั่ง, แป่ บ้อ ปึ่งไล้ จิง ทัง, ...................................... เจียงสี่ ไหล่ โบ่ย เซียว บ้ะ จั่ง

...

ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ เดี๋ยวอาแจ้ต้องไปถามอาหม่าม้าต่อ ประเภทพูดพอได้นิดหน่อย แต่อ่านไม่ออก  :?: :mrgreen:
และโหลดเพลงเซียวบ๊ะจ่าง http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3 เวอร์ชั่นนี้ได้แล้วค่ะ ชอบค่ะชอบ  :slime_agreed:

แต่ในเว็บ baidump3 กลับโหลดไม่ได้  :mozilla_surprised:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 18-02-2007, 00:57
ที่ชัวร์ๆคือ

命人 = เหมี่ย หนั่ง (แต่ฮกเกี้ยน อ่านเป็น หลัง)
父母 = แป่ บ้อ (จีนกลาง เป็น ฟู่ หมู่)
本來 = ปึ๋ง ไล้ (เปิ่น ไหล)
真痛 = (อันนี้มั่วเอาครับ)
乎 ไม่รู้
我 = อั๊ว
讀冊 = ถัก จือ (อันนี้ภาษาถิ่นของหมิ่นหนาน อันได้แก่ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน)
幾 ไม่รู้
落冬 = เหลาะ ตัง
出業 = ชุก เงี๊ยบ (เทียบเสียงคำว่า 業 จาก 畢業 เป็ก เงี๊ยบ)
頭路 = เถ่า โหล่ว (ไม่แน่ใจเรื่องการผันวรรณยุกต์)
無半項 = บ่อ ปั่ว ถั่ง (ใช่หรือเปล่าครับ??)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 18-02-2007, 01:12
ถ้าเราคล่องเสียงอ่าน แต้จิ๋ว ก็สามารถร้องเพลงฮกเกี้ยนได้ไม่ยากเลยนะครับ อาแจ้ลองฟังดูดิ

歌 詞 》

一、    自悲自嘆歹命人,父母本來真痛,乎我讀冊幾落冬,出業頭路無半項,暫時來賣燒肉粽,燒肉粽,燒肉粽,賣燒肉粽。

จุ้ปี จุ้หั่ง xxxx เหมี่ย หนั่ง, แป่ บ้อ ปึ่งไล้ จิง ทัง, ...................................... เจียงสี่ ไหล่ โบ่ย เซียว บ้ะ จั่ง

...

ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ เดี๋ยวอาแจ้ต้องไปถามอาหม่าม้าต่อ ประเภทพูดพอได้นิดหน่อย แต่อ่านไม่ออก  :?: :mrgreen:
และโหลดเพลงเซียวบ๊ะจ่าง http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3 เวอร์ชั่นนี้ได้แล้วค่ะ ชอบค่ะชอบ  :slime_agreed:

แต่ในเว็บ baidump3 กลับโหลดไม่ได้  :mozilla_surprised:


คุณ aiwen^mei ลองโหลดเพลงนี้ 卖肉粽 MP3 หรือยังครับ

http://202.108.23.172/m?ct=134217728&tn=baidusg,卖肉粽%20%20&word=mp3,http://m2.perfectmusic.cn/mudown0q1/ls1/VnVlWXtqXHtpV3hmWnxrXXVnMw$$.mp3,,[%C9%D5%C8%E2%F4%D5]&lm=16777216

ผมโหลดได้แล้ว โดยกด Save Target As

(ขออภัย ลิ้งค์ข้างบนขัดข้องตรงที่ขีดเส้นใต้ไม่ครบ ต้องพิมพ์ ต่อให้ครบ)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 18-02-2007, 01:19

นึกว่าหลงมาเยาวราชครับ    :slime_smile2:



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-02-2007, 01:36

นึกว่าหลงมาเยาวราชครับ    :slime_smile2:



เยาวราชของอร่อยมากมายเลยค่ะ ก๋วยเตี๋ยวหลอด หมูตุ๋น แกงเคอรี่นายโย่ง

ขาห่านอบบะหมี่ และอื่นๆ หย่อยๆท้างน้าน
:slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 18-02-2007, 09:41
ขอบคุณคุณณรงค์มากเลยค่ะ น้องไททรูท น้องเม่ย เขาไม่ยอมหาเพลงให้หนูนะ เขาหาว่าไม่ใช่วัยเขานะค่ะ  :slime_shy: อิอิ ฟังเมื่อไรก็เพราะ เพลงผู้หญิงข้าฯ


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 18-02-2007, 10:25
คำแปล.............โดย ครู...ชิต
เถียนมี่มี่.......หวานปานน้ำผึ้ง
หนี่เสี่ยวเตอเถียนมี่มี่....... รอยยิ้มเธอช่างหวานประดุจดังน้ำผึ้ง
ฮว่าวเซียงฮัวเออร์ไคไจ้ชุนฟงหลี....สวยประดุจดอกไม้บานฤดูใบไม้ผลิ
ไคไจ้..ชุนฟงหลี....งามดุจยามฤดูใบไม้ผลิ
ไจ้หนา..หลี่ ไจ้หนาหลี่เจียนกว๋าหนี .........อยู่ที่ไหนๆมีแต่เธอเสมอ
หนี่เตอเสี่ยวหยงเจ้อหยั่งโส่วสี.....รอยยิ้มของเธอช่างคุ้นเคยอย่างนี้
หว่ออีซือเสียงปู้ฉีอ่า.....ฉันเฝ้ารำพึงนึกถึงเธอเสมอมิเสื่อมคลาย
ไจ้ม่งหลี่ ม่งหลี่ม่งหลีเจียนกว๋าหนี.. ในความฝันมีแต่เธอ
ซรื่อหนี่ซรื่อหนี่ ม่งเจียนเตอจิ่วซรื่อหนี่....ปรารถนาในฝันเห็นแต่เธอเพียงคนเดียว

:slime_bigsmile: :slime_bigsmile: เข้าใจใช่ไหมค่ะ ว่าทำไมอนาถึงชอบเพลงนี้ อิอิ  :slime_v: :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 18-02-2007, 11:50
ถามอาหม่าม้ามาแล้วค่ะ  :mozilla_surprised:

命人 = เหมี่ยนั้ง ....มีแถม  苦命人 โควเหมี่ยนั้ง  :mrgreen:,  人命 = หนั่งเหมี่ย, 名人 = เหมี่ยยิ้ง
父母 = แป่ บ้อ
本來 = ปุ๋งไล้ (สำเนียงเตี่ยอัง), ปึ๋งไล้ (สำเนียงเตี้ยเอี๊ย โผวเล้ง)
真痛 = จิงท่ง
乎 = ฮู
我 = อั้ว
讀冊 = ถักแฉะ (讀书 = ถักจือ)
幾 = กี
落冬 = เหลาะตั่ง
出業 = ชุกเงี๊ยบ (畢業 = ปิกเงี๊ยบ)
頭路 = เถ่าโหล่ว
無半項 = บ่อปั๊วเต้ง


สับสนเรื่องผันเสียงเหมือนกันค่ะ เพราะคำโดดก็เสียงนึง พอรวมกับอีกคำมักจะต้องปรับเสียง ซึ่งต่างจากจีนกลางที่ผันง่ายกว่าเยอะ บางคำก็ออกเสียงมากกว่าหนึ่งขึ้นอยู่กับบริบท เจอภาษาเตี่ยจิวที่มีหลายสำเนียงแล้วเป็นงง พอดีที่บ้านพูดสำเนียงเตี่ยอัง (潮安) ด้วยค่ะ

ส่วนที่เหลือเดี๋ยวค่อยไปไล่เลียงอีกที ซาหนุกแน่  :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 18-02-2007, 12:14

...
คุณ aiwen^mei ลองโหลดเพลงนี้ 卖肉粽 MP3 หรือยังครับ

http://202.108.23.172/m?ct=134217728&tn=baidusg,卖肉粽%20%20&word=mp3,http://m2.perfectmusic.cn/mudown0q1/ls1/VnVlWXtqXHtpV3hmWnxrXXVnMw$$.mp3,,[%C9%D5%C8%E2%F4%D5]&lm=16777216

ผมโหลดได้แล้ว โดยกด Save Target As

(ขออภัย ลิ้งค์ข้างบนขัดข้องตรงที่ขีดเส้นใต้ไม่ครบ ต้องพิมพ์ ต่อให้ครบ)

ยังงง ๆ ก่งก๊งค่ะ คุณสมชายฯ เดี๋ยวต้องลองใหม่อาจจะอีกหลายรอบ  :mozilla_surprised:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 18-02-2007, 12:57
ถามอาหม่าม้ามาแล้วค่ะ  :mozilla_surprised:

命人 = เหมี่ยนั้ง ....มีแถม  苦命人 โควเหมี่ยนั้ง ไม่ใช่ โขวเหมี่ยนั้ง เหรอ?  :mrgreen:,  人命 = หนั่งเหมี่ย, 名人 = เหมี่ยยิ้ง
父母 = แป่ บ้อ คำนี้เพิ่งรู้ตอนไปไหว้เจ้าว่า ฟู่หมู่ เป็น แป่บ้อ ในแต้จิ๋ว  :mrgreen:
本來 = ปุ๋งไล้ (สำเนียงเตี่ยอัง), ปึ๋งไล้ (สำเนียงเตี้ยเอี๊ย โผวเล้ง)  เดาถูกอีกแฮะ ทางอา ghua ma (คุณยาย) สืบเชื้อสายจาก เตี่ยเอี๊ย  อาไหล่มามาจาก กิ๊กเอี๊ย แต่พูดซัวเท้าเพราะย้ายบ้าน .... อ้าวแล้วงี้ 落本 ไม่อ่านว่า เหลาะปุ้ง เหรอครับ แบบนี้คำว่า 去 ผมอ่าน "ขื่อ" แล้วอาแจ้อ่านว่า "ขู่" เหรอ
真痛 = จิงท่ง เพิ่งรู้
乎 = ฮู
我 = อั้ว
讀冊 = ถักแฉะ (讀书 = ถักจือ) เออใช่ โจ่ยเสี่ย ถ้างี้ 書冊 ก็คือ จือแฉะ อะดิครับ
อ้อ แถมหน่อย ทราบมาว่า คำว่า "โจ่ย" พิมพ์ไม่ได้ เพราะเป็นตัวหนังสือที่ไม่มีในระบบฟอนต์คอมพิวเตอร์ ทางมหาวิทยาลัยซัวเท้า (ซัว เถ้า ไต่ ฮัก 汕頭大學) บัญญัติให้เขียนแบบนี้ครับ
(http://img91.imageshack.us/img91/3549/joidg5.gif) ต้องใช้ photoshop สร้างรูปภาพคำว่า โจ่ย ขึ้นมา

幾 = กี ตอนแรกก็คิดว่า กี แต่ไม่แน่ใจ
落冬 = เหลาะตั่ง
出業 = ชุกเงี๊ยบ (畢業 = ปิกเงี๊ยบ)
頭路 = เถ่าโหล่ว
無半項 = บ่อปั๊วเต้ง โจ่ยเสี่ย


สับสนเรื่องผันเสียงเหมือนกันค่ะ เพราะคำโดดก็เสียงนึง พอรวมกับอีกคำมักจะต้องปรับเสียง ซึ่งต่างจากจีนกลางที่ผันง่ายกว่าเยอะ บางคำก็ออกเสียงมากกว่าหนึ่งขึ้นอยู่กับบริบท เจอภาษาเตี่ยจิวที่มีหลายสำเนียงแล้วเป็นงง พอดีที่บ้านพูดสำเนียงเตี่ยอัง (潮安) ด้วยค่ะ

ส่วนที่เหลือเดี๋ยวค่อยไปไล่เลียงอีกที ซาหนุกแน่  :mrgreen:


มันมีดิกชันนารีเทียบเสียงแต้จิ๋ว ซึ่งผมมีแต่ขี้เกียจเปิดทุกที เพราะเขามีทั้งหมด 8 เสียง ไม่มีคนมาออกเสียงเป็นตัวอย่างให้ฟังซะที เลยไม่รู้ว่าตัวเลขแต่ละตัวแทนเสียงไหนบ้าง ต้องขึ้นจมูกหรือเปล่า หรือแค่เสียงสั้น งงมาก เล่มละ 150 บาท ซึ้อจากร้านหนังสือแถวๆแยกแปลงนาม

(http://www.gaginang.org/content/wp-content/dico2.gif)
新编
潮州音字典 (เพื่อเทียบเสียงอ่านโดยเฉพาะ คู่กับเสียงในจีนกลาง)
普通话对照
( 修订版 )

林伦伦 主编 (คนแต่ง)

汕頭大學出版社 (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยซัวเท้า)


http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3
เพลง เซียวบ้ะจั่ง ผมลองอีกทีก็ยังโหลดได้นะครับ อาแจ้ลองอีกทีดู ตามลิ้งก์ข้างบน ได้แน่นอนครับ ตอนมัน save as ก็ตั้งชื่อไฟล์ว่า siao-ba-zang.mp3


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 18-02-2007, 13:07
:slime_bigsmile: :slime_bigsmile: เข้าใจใช่ไหมค่ะ ว่าทำไมอนาถึงชอบเพลงนี้ อิอิ  :slime_v: :slime_v: :slime_v:
ถ้าอยากรู้ว่า ตัวหนังสือของเพลงนี้เขียนไง ก็ไปหน้านี้ได้นะครับ
http://mp3.baidu.com/m?f=ms&rn=10&tn=baidump3lyric&ct=150994944&word=%CC%F0%C3%DB%C3%DB&lm=-1


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 18-02-2007, 15:25
ขออนุญาตพี่ดอกฟ้าฯ ดิสคัสภาษาจีนกับท่านน้อง ㄊㄞ หน่อยนะคะ  :slime_smile:

苦命人 โควเหมี่ยนั้ง ไม่ใช่ โขวเหมี่ยนั้ง เหรอ?
ไม่ค่ะ อ่าน โควเหมี่ยนั้ง ค่ะ มีเรื่องขำ ๆ เล่าประกอบด้วย เค้าว่า คนแซ่กัง 江 กับคนแซ่โค่ว 許 อย่าแต่งงานกัน เพราะ จะกลายเป็น กังโค่ว ที่พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า ลำบาก  :mrgreen::mozilla_surprised::shock::mrgreen:

本來 = ปุ๋งไล้ (สำเนียงเตี่ยอัง), ปึ๋งไล้ (สำเนียงเตี้ยเอี๊ย โผวเล้ง)  เดาถูกอีกแฮะ ทางอา ghua ma (คุณยาย) สืบเชื้อสายจาก เตี่ยเอี๊ย  อาไหล่มามาจาก กิ๊กเอี๊ย แต่พูดซัวเท้าเพราะย้ายบ้าน .... อ้าวแล้วงี้ 落本 ไม่อ่านว่า เหลาะปุ้ง เหรอครับ ค่ะ ใช่ค่ะ แบบนี้คำว่า 去 ผมอ่าน "ขื่อ" แล้วอาแจ้อ่านว่า "ขู่" เหรอ อ่านว่า "ขื่อ" เหมือนกันค่ะ :D

ถ้างี้ 書冊 ก็คือ จือแฉะ อะดิครับ ใช่ก๊าบบบ :D

อ้อ แถมหน่อย ทราบมาว่า คำว่า "โจ่ย" พิมพ์ไม่ได้ เพราะเป็นตัวหนังสือที่ไม่มีในระบบฟอนต์คอมพิวเตอร์ ทางมหาวิทยาลัยซัวเท้า (ซัว เถ้า ไต่ ฮัก 汕頭大學) บัญญัติให้เขียนแบบนี้ครับ อาแจ้ออกเสียงว่า
(http://img91.imageshack.us/img91/3549/joidg5.gif) ต้องใช้ photoshop สร้างรูปภาพคำว่า โจ่ย ขึ้นมา


เจ่ยเสี่ย ๆ ค่ะ เป็นความรู้ใหม่ด้วยค่ะ เตี่ยอังออกเสียงว่า เจ่ย ค่ะ
:mrgreen:

มันมีดิกชันนารีเทียบเสียงแต้จิ๋ว ซึ่งผมมีแต่ขี้เกียจเปิดทุกที เพราะเขามีทั้งหมด 8 เสียง ไม่มีคนมาออกเสียงเป็นตัวอย่างให้ฟังซะที เลยไม่รู้ว่าตัวเลขแต่ละตัวแทนเสียงไหนบ้าง ต้องขึ้นจมูกหรือเปล่า หรือแค่เสียงสั้น งงมาก เล่มละ 150 บาท ซึ้อจากร้านหนังสือแถวๆแยกแปลงนาม

(http://www.gaginang.org/content/wp-content/dico2.gif)
新编
潮州音字典 (เพื่อเทียบเสียงอ่านโดยเฉพาะ คู่กับเสียงในจีนกลาง)
普通话对照
( 修订版 )

林伦伦 主编 (คนแต่ง)

汕頭大學出版社 (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยซัวเท้า)

จิงฮ่อ ๆ เจ่ยเสี่ย ๆ ต้องไปซื้อมาเพิ่มเสียแล้ว ....ตัวอย่าง คำว่า 兄 (เฮีย) ออกเสียงขึ้นจมูกค่ะ :D สงสัยท่านน้องคงต้อง 拜师 ไป๊ซือ แล้วล่ะค่ะ  :slime_worship:


http://content.edu.tw/primary/music/tn_dg/songs/folk/%BFN%A6%D7%BA%EA.mp3
เพลง เซียวบ้ะจั่ง ผมลองอีกทีก็ยังโหลดได้นะครับ อาแจ้ลองอีกทีดู ตามลิ้งก์ข้างบน ได้แน่นอนครับ ตอนมัน save as ก็ตั้งชื่อไฟล์ว่า siao-ba-zang.mp3

โหลดลิงก์นี้ได้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ แต่ต้องหรี่เสียง  :mrgreen: เพิ่งเปิดเต็มวอลุ่มเมื่อบ่ายนี้เอง ฟังแล้วซาบซึ้งจริง ๆ เพราะบรรเลงแบบดนตรีคลาสสิก ขอบคุณหลาย ๆ อีกครั้งค่ะ  


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 19-02-2007, 22:46
...ที่แท้ บ๊ะจ่าง ที่เราชอบทาน กลับมีประวัติขมขื่นที่ซ่อนอยู่...


อันที่จริงพี่ชอบทานบะะจ่างมาก ตอนนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 25 บาท

ที่เลือกทานก็แบบมีใส้หมูแล้วเผือกหวานๆด้วย แล้วตอนนี้คนจนจะมีสิทธิบริโภคเหรอ

เพราะว่าไม่ใช่อาหารหลัก เพลง เซียวบะจ่าง ได้ยินมาพอสมควร

ไว้ว่างๆจะลองทำบะจ่างทานเอง

เพราะมีตำราอยู่แต่ก็ไม่ค่อยถนัดค่ะ
:slime_smile: :slime_v:


ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ  :D กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ก่งก๊ง ๆ ค่ะ  :mozilla_surprised:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 19-02-2007, 23:35

...
คุณ aiwen^mei ลองโหลดเพลงนี้ 卖肉粽 MP3 หรือยังครับ

http://202.108.23.172/m?ct=134217728&tn=baidusg,卖肉粽%20%20&word=mp3,http://m2.perfectmusic.cn/mudown0q1/ls1/VnVlWXtqXHtpV3hmWnxrXXVnMw$$.mp3,,[%C9%D5%C8%E2%F4%D5]&lm=16777216

ผมโหลดได้แล้ว โดยกด Save Target As

(ขออภัย ลิ้งค์ข้างบนขัดข้องตรงที่ขีดเส้นใต้ไม่ครบ ต้องพิมพ์ ต่อให้ครบ)

ยังงง ๆ ก่งก๊งค่ะ คุณสมชายฯ เดี๋ยวต้องลองใหม่อาจจะอีกหลายรอบ  :mozilla_surprised:


ได้แล้วค่ะ น่าจะลิงก์นี้นะคะ เวอร์ชันนี้น่ารักดีค่ะ  :slime_smile:

http://m2.perfectmusic.cn/mudown0q1/ls1/%C2%F4%C8%E2%F4%D5.mp3
ขอบคุณสำหรับคำว่า "เฮงไล้ ๆ " ด้วยค่ะ เป็นคำใหม่ที่รู้จัก ไปถามอาหม่าม้า ท่านว่า "อึ่มปั๊กเทียกี่" :mozilla_surprised::slime_smile:

ปล. สำหรับลิงก์ youtube โหลดรอบแรกจะติด ๆ ขัด ๆ ต้องอดทนรอจนจบ และคลิก watch again ใหม่ จึงจะฟังสบายนะคะ  :D แต่ถ้าไปเปิดที่ร้านเน็ตความเร็วสูงล่ะก็ ดูและฟังสบายตั้งแต่รอบแรกเลยค่ะ  :mrgreen:



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 19-02-2007, 23:57
คำว่า เฮงไล้ เป็นคำแต้จิ๋ว .. เฮง แปลว่า "โชคดี" .. ไล้ แปลว่า "มา" ครับ   :slime_v:

อ้างถึง
ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ   กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ขอเดาว่า คนเร่ขายบะจ่างที่ผ่านการนึ่งจนสุกมาแล้ว โดยอุ่นด้วยการปิ้งแบบข้าวเหนียวปิ้งของคนไทย

รอให้ผู้รู้จริงมาช่วยตอบอีกที


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-02-2007, 00:01
...ที่แท้ บ๊ะจ่าง ที่เราชอบทาน กลับมีประวัติขมขื่นที่ซ่อนอยู่...


อันที่จริงพี่ชอบทานบะะจ่างมาก ตอนนี้ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 25 บาท

ที่เลือกทานก็แบบมีใส้หมูแล้วเผือกหวานๆด้วย แล้วตอนนี้คนจนจะมีสิทธิบริโภคเหรอ

เพราะว่าไม่ใช่อาหารหลัก เพลง เซียวบะจ่าง ได้ยินมาพอสมควร

ไว้ว่างๆจะลองทำบะจ่างทานเอง

เพราะมีตำราอยู่แต่ก็ไม่ค่อยถนัดค่ะ
:slime_smile: :slime_v:


เทศการไหว้ขนมจ้าง

ไหว้เจ้าวันที่ 5 เดือน 5 ของจีน ตามตําราเรียกว่า " โหงวเหว่ยโจ่ว" เป็นเทศกาลไหว้เจ้าด้วยขนมจ้าง ขนมจ้างนี้คนจีนจะเรียกว่า "จั่ง" แม่บ้านที่มือฝีมือจะลงมือทําขนมจ้างเอง เเรียกว่า "ปักจั่ง"

ตํานานเทศกาลไหว้ขนมจ้าง เป็นเรื่องราวที่จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจีน ชื่อคุกง้วน เมื่อ 275 ปีก่อนศริสต์ศักราช ในสมัยของกษัตริย์ก๊กฉู่

ขุนนางคุกง้วนรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นที่ตั้ง ขุนนางคุกง้วนจึงเป็นที่รักใคร่ของประชาชน แต่ก็ถูกขุนนางกังฉินคอยใส่ร้ายป้ายสีต่อฮ่องเต้เสมอ

ฮ่องเต้หูเบาก็สั่งเนรเทศขุนนางคุกง้วนให้ออกจากเมืองไป ว่ากันว่าช่วงที่ขุนนางคุกง้วนต้องร่อนเร่พเนจร ได้แต่งลํานําบทกลอนเอาไว้มากมาย ได้เล่าถึงความอาภัพ ชีวิตที่รันทด และความไม่อยู่ในทศพิธราชธรรมของฮ่องเต้

จนความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ยี่งพิโรธ แต่ขุนนางคุกง้วนก็ยังมีแก่ใจกราบทูลเสนอแนะข้อราชการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน แต่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัย ขุนนางคุกง้วนก็เลยน้อยใจ จึงไปกระโดดนํ้าตายที่แม่นํ้าไหม่โหลย ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 นั่นเอง

ชาวบ้านรู้ข่าวต่างก็ช่วยกันไปงมหาศพ หวังจะนํามาทําพิธีให้สมเกียรติ แต่ก็หาไม่เจอ จึงเอาข้าวไปโปรยไว้แล้วบนบานศาลกล่าว ให้กุ้งหอยปูปลามากินแต่ข้าว อย่าได้กัดกินศพของขุนนางคุกง้วน

ปรากฎว่า แม่นํ้าไหม่โหลยที่ขุนนางคุกง้วนไปกระโดดนํ้าตายนี้อยู่ในมณฑลยูนานพอถึงแต่ละปีจะมีการระลึกถึงขุนนางคุกง้วนโดยชาวเสฉวนซึ่งเป็นมณฑลติดกัน ก็ได้มีการคิดว่า แทนที่จะโปรยแต่ข้าวสารลงไป ก็ให้นําใบจ่างมาห่อข้าวแล้วใส่กับลงไปด้วย ห่อเรียบร้อยแล้วจึงโยนลงนํ้าไป

ซึ่งต่อมาธรรมเนียมก็กลายไปเป็นการไหว้เทศกาลขนมจ้างเดือน 5 นี่เอง ฟังมาว่า การไหว้เจ้าที่จีนแผ่นดินใหญ่สําหรับเทศกาลนี้ผู้คนจะเอาของไปไหว้ที่ริมแม่นํ้า แล้วโยนขนมจ้างลงนํ้าไปด้วย ในบางท้องที่จัดเป็นงานใหญ่และได้มีการแข่งเรือกันเป็นที่สนุกสนาน

แต่ไหว้ที่เมืองไทย จะเป็นการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษในช่วงเช้าตามปกติ จะมีพิเศษก็ตรงที่มี "ขนมจ้าง" เป้นของไหว้เพิ่มเข้ามา และบ้านไหนมีแม่บ้านมีผีมือก็มักจะ "ปักจั่ง" เองและแจกญาติมิตรให้ไปชิมกัน



ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ  :D กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ก่งก๊ง ๆ ค่ะ  :mozilla_surprised:


บะจ่างน่าจะเป็นการนึ่งมากกว่าค่ะ เท่าที่ในเห็นในเมืองไทย


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 20-02-2007, 00:04
^
^ โอ่ยยยยยยยยยย ทรมานก่อนนอนเจง ๆ :slime_fighto: :slime_surrender:

และขอบคุณหลาย ๆ สำหรับเรื่องน่ารู้ของ "เทศกาลไหว้ขนมจ้าง" ด้วยค่ะ  :D


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 20-02-2007, 00:20
คำว่า เฮงไล้ เป็นคำแต้จิ๋ว .. เฮง แปลว่า "โชคดี" .. ไล้ แปลว่า "มา" ครับ   :slime_v:

อ้างถึง
ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ   กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ขอเดาว่า คนเร่ขายบะจ่างที่ผ่านการนึ่งจนสุกมาแล้ว โดยอุ่นด้วยการปิ้งแบบข้าวเหนียวปิ้งของคนไทย

รอให้ผู้รู้จริงมาช่วยตอบอีกที

เซี่ยเซีย เซี่ยเซีย ค่ะ   :D

ไปเปิดดิกใหม่อีกรอบ สำหรับรายละเอียดของทอดน้ำมัน :mozilla_surprised: = วิธีการปรุงอาหารโดยใช้น้ำมันทอดแล้วใส่น้ำ เพื่อผัดหรือตุ๋นหรือบางทีใช้ต้มให้สุกและใช้ทอดด้วยน้ำมัน: 紅燒鯉魚 ผัดปลาลี่ฮื้อน้ำแดง, 燒羊肉 ตุ๋นเนื้อแพะ  :mozilla_surprised:  :?:
    


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 21-02-2007, 19:48
ขอส่งท้ายเทศกาลตรุษจีนด้วยเพลง 扮皇帝 ของหนูน้อย 卓依婷 ที่นำเพลงอมตะมาร้องใหม่เพียบ --- เพลงนี้สุดยอดฮิตสมัยอากงอาม่ายังวัยรุ่น จากภาพยนตร์เพลง "จอมใจจักรพรรดิ"  :slime_v:

มีคนใจดีโพสต์ไว้ในยูทิวบ์ด้วย  :mrgreen: :D

http://youtube.com/watch?v=LdkHkJoNUHo

 :slime_smile:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 21-02-2007, 20:16
โอ้ เพลงอมตะ .. ขอบคุณมากครับ


(http://www.iobit.com/images/CNY.jpg)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 21-02-2007, 20:23
โอ้ เพลงอมตะ .. ขอบคุณมากครับ

ต้องฟังอีกเพลงด้วยค่ะ เพิ่งจะหาเจอ  :mrgreen: :D

戲鳳  http://www.youtube.com/watch?v=fPgTDgDL3xY&mode=related&search=

แต่เรื่องนี้จบลงด้วยความเศร้า  :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 21-02-2007, 23:04
ขอส่งท้ายเทศกาลตรุษจีนด้วยเพลง 扮皇帝 ของหนูน้อย 卓依婷 ที่นำเพลงอมตะมาร้องใหม่เพียบ --- เพลงนี้สุดยอดฮิตสมัยอากงอาม่ายังวัยรุ่น จากภาพยนตร์เพลง "จอมใจจักรพรรดิ"  :slime_v:

มีคนใจดีโพสต์ไว้ในยูทิวบ์ด้วย  :mrgreen: :D

http://youtube.com/watch?v=LdkHkJoNUHo

 :slime_smile:


ฮ้อ....ฮ้อ อาซือม่วยอาม่าชอบมากเลย อิ อิ

เพลงนี้ทำให้อาม่า คิดดดดถึงอาเหล่ากงจังเลย
:slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 21-02-2007, 23:31

....

ฮ้อ....ฮ้อ อาซือม่วยอาม่าชอบมากเลย อิ อิ  :slime_v:

เพลงนี้ทำให้อาม่า คิดดดดถึงอาเหล่ากงจังเลย
:slime_smile2:

ฮ่อ ๆ ขอเชิญอาม่าไปทานอาหารอร่อย ๆ หอเจี๊ยะ ๆ ที่ภัตตาคารดีกว่าน่อ  :mrgreen:

(http://www.freephotopost.com/uploads/8fcbd6e8ec.jpg) (http://www.freephotopost.com)
(http://www.freephotopost.com/uploads/219f89d8c5.jpg) (http://www.freephotopost.com)
(http://www.freephotopost.com/uploads/00630cd4d7.jpg) (http://www.freephotopost.com)

อาซือม่วยไม่กล้าบอกชื่อเมนูอาหารอ่า กลัวเอ็นจีโอแถวซอยข้าง ๆ อีจะมายกปายยยนา   :mrgreen: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 25-02-2007, 11:06
คำว่า เฮงไล้ เป็นคำแต้จิ๋ว .. เฮง แปลว่า "โชคดี" .. ไล้ แปลว่า "มา" ครับ   :slime_v:

อ้างถึง
ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ   กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ขอเดาว่า คนเร่ขายบะจ่างที่ผ่านการนึ่งจนสุกมาแล้ว โดยอุ่นด้วยการปิ้งแบบข้าวเหนียวปิ้งของคนไทย

รอให้ผู้รู้จริงมาช่วยตอบอีกที

เซี่ยเซีย เซี่ยเซีย ค่ะ   :D

ไปเปิดดิกใหม่อีกรอบ สำหรับรายละเอียดของทอดน้ำมัน :mozilla_surprised: = วิธีการปรุงอาหารโดยใช้น้ำมันทอดแล้วใส่น้ำ เพื่อผัดหรือตุ๋นหรือบางทีใช้ต้มให้สุกและใช้ทอดด้วยน้ำมัน: 紅燒鯉魚 ผัดปลาลี่ฮื้อน้ำแดง, 燒羊肉 ตุ๋นเนื้อแพะ  :mozilla_surprised:  :?:
    

ในที่สุดก็หายข้องใจค่ะ เช้านี้ได้ฟังเพลงนี้พอดีเพราะท่านแม่เปิดแผ่นของเติ้งลี่จวิน เพิ่งจะสะดุดหูกับคำว่า "โบ่ยเซียวบ๊ะจั่ง"  :mrgreen:

ฟังมาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งจะเก็ทค่ะว่า เป็นการเร่ขาย " บ๊ะจั่งร้อน ๆ " นี่เอง เนื่องจากฐานะความเป็นอยู่ลำบากมาก จึงต้องกัดฟันสู้ขายบ๊ะจั่งร้อน ๆ ต่อไป  :mozilla_cry:
แต่ตอนนี้กำลังทานหมั่นโถวอยู่ :mrgreen:

และอาม้าท่านว่า อากงบอกว่า ที่เมืองไทยใช้คำว่ายัวะ แต่ที่อื่นเค้าใช้คำว่า เซียว  :D

ท่านสมชาย ฯ เดาถูกเสียแปดเก้าส่วน ข้าน้อยขอคารวะ  :slime_worship:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 25-02-2007, 11:28
มีเว็บสอนการเขียนภาษาจีนตัวเต็ม ของ University of Hong Kong ดีจริงๆนะ

คนที่ไม่รู้ภาษาจีนก็เขียนได้
คนที่เขียนภาษาจีนมาบ้าง แต่เขียนผิดๆ จะได้เขียนได้สวยขึ้น
คนฝึกภาษาจีนใหม่ๆก็ไม่กลัว

ถ้าลากเส้นผิด มันก็จะไม่ขึ้นให้ แค่คลิกเม้าส์จากจุดเริ่มต้นของขีดเท่านั้น เริ่มใหม่ก็กดปุ่มเหลือง ขีดจนจบแล้วมีรางวัลให้ด้วย

http://www.dragonwise.hku.hk/dragon2/schools/archives/stroke.php


(http://img138.imageshack.us/img138/9512/chinesecallirc1.gif)



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 25-02-2007, 11:40
อาจารย์สอนคันจิอนานะค่ะ แกจะชอบบอกให้อนาเขียนสะโตรกให้ถูกต้อง เพราะอนาเขียนคันจิไม่เป็นไปตามสะโตรกนั้นเลย อาจารย์จะพยายามบอกว่า สะโตรกมันจะต่อเนื่อง คุณจะไปแหวกมันทำไม เอิ๊กกกกกกก  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

จนเด๋วนนีนี้นะค่ะ คันจิทำเอาอนาปวดหัวมากๆๆ เพราะมันต้องจำถึงบางส่วนจะมาจากธรรมชาติแบบ แม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา แต่พวกที่มันต้องอาศัยความจะจริงๆๆ แล้วเขียนเหมือนกกันไกล้เคียงกันอ่ะ ไม่ใช้บ่อยก็จำยากค่ะ  :slime_surrender: :slime_surrender:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 25-02-2007, 11:42
มีเว็บสอนการเขียนภาษาจีนตัวเต็ม ของ University of Hong Kong ดีจริงๆนะ

คนที่ไม่รู้ภาษาจีนก็เขียนได้
คนที่เขียนภาษาจีนมาบ้าง แต่เขียนผิดๆ จะได้เขียนได้สวยขึ้น
คนฝึกภาษาจีนใหม่ๆก็ไม่กลัว

ถ้าลากเส้นผิด มันก็จะไม่ขึ้นให้ แค่คลิกเม้าส์จากจุดเริ่มต้นของขีดเท่านั้น เริ่มใหม่ก็กดปุ่มเหลือง ขีดจนจบแล้วมีรางวัลให้ด้วย

http://www.dragonwise.hku.hk/dragon2/schools/archives/stroke.php


...


ขอบคุณหลาย ๆ ค่ะ  เดี๋ยวตามไปดูค่ะ   :D

ช่วงอาทิตย์ทีผ่านมา เจอเว็บน่าสนใจสำหรับผู้เรียนภาษาจีนหลายเว็บเริ่มจาก china2learn

http://www.xuezhongwen.net/chindict/chindict.php?page=main

http://www.mymandarin.com/pinyin/pinyin_main.htm

http://www.mymandarin.com/pinyin/syllables.htm

http://www.mandarintools.com/chardict.html

http://www.mymandarin.com/bishun/bishun.htm

แจ้ไปอยู่หลังเขามาซะนาน  :mrgreen: หลายเว็บนี้จะช่วยให้การเรียนภาษาจีนสะดวกสบายขึ้นเหลือคณา  :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 25-02-2007, 11:48
อาจารย์สอนคันจิอนานะค่ะ แกจะชอบบอกให้อนาเขียนสะโตรกให้ถูกต้อง เพราะอนาเขียนคันจิไม่เป็นไปตามสะโตรกนั้นเลย อาจารย์จะพยายามบอกว่า สะโตรกมันจะต่อเนื่อง คุณจะไปแหวกมันทำไม เอิ๊กกกกกกก  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

จนเด๋วนนีนี้นะค่ะ คันจิทำเอาอนาปวดหัวมากๆๆ เพราะมันต้องจำถึงบางส่วนจะมาจากธรรมชาติแบบ แม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา แต่พวกที่มันต้องอาศัยความจะจริงๆๆ แล้วเขียนเหมือนกกันไกล้เคียงกันอ่ะ ไม่ใช้บ่อยก็จำยากค่ะ  :slime_surrender: :slime_surrender:

ก็เหมือนใครเริ่มหัดเทนนิสใหม่ๆ เอาท่าโฟร์แฮนด์ แบ๊คแฮนด์ สวยไว้ก่อน ไม่ต้องหวดแรง ตีวืดช่างมัน เบสิกดีไว้ก่อน พอท่าสวยแล้วค่อยมาฝึกความเร็ว การบังคับทิศทาง แบบพวกนักเทนนิสขี้ยา แต่เสิร์ฟลูก ace ตลอด  สนุกเกอร์ก็เหมือนกัน


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 25-02-2007, 11:56
http://www.dragonwise.hku.hk/dragon2/schools/archives/stroke.php

ไปลองมาแล้วค่ะ หนุกหนานมั่ก ๆ  :slime_v:

ช่วยทบทวนความจำดีแท้ ทำให้รู้ว่า ลากขีดสลับอยู่เรื่อย จะยิ่งดีถ้าซื้อพู่กันพร้อมหมึกมาเขียนต่อ :mrgreen:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 25-02-2007, 14:14
Link ที่คุณ Pakxe และคุณ aiwen^mei นำมาแปะ มีประโยขน์ทั้งนั้นเลยครับ

ขอขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจศึกษาครับ

...


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **สาระสำคัญของวัน"มาฆบูชา"ที่คุณอาจจะยังไม่เคยทราบมา**
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 02-03-2007, 18:57
สาระสำคัญของวัน"มาฆบูชา"ที่คุณอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน
 
๑.วันมาฆบูชาเพิ่งจะถูกจัดให้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้เอง

๒.วัน ๆ นี้ที่ว่ากันว่าพระอรหันต์จำนวน ๑๒๕๐ มาประชุมโดยมิได้นัดหมายกันมา ก่อน

หาใช่เหตุการณ์มหัศจรรย์แต่อย่างใด เนื่องจากวันเพ็ญเดือน ๓ (มาฆะ)

นี้เป็น วันสำคัญที่เรียกว่า "ศีวราตรี" ที่คนอินเดียในสมัยโบราณเขารู้สึกว่าน่าจะมาพบปะกันอยู่แล้ว

๓. การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่มีชื่อเรียกว่า "มหาสันนิบาต"

จัดประชุมที่ วัดเวฬุวัน (ป่าไผ่) อันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
 
๓. วันมาฆบูชานี้เป็นวันพระพุทธองค์ทรงประกาศจุดยืนของพุทธศาสนา

ว่าแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ อย่างไร ได้แก่

ก. พระพุทธองค์ทรงประกาศว่าการบำเพ็ญตบะนั้นหมายถึงเผากิเลส

ไม่ใช่การทำตัวเองให้ทุกข์กาย ลำบากลำบน( เช่น ลัทธิเชน เป็นต้น)
 
ข. ทรงประกาศว่าเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ คือ นิพพาน หาใช่การเข้าถึงพระพรหม

แบบของศาสนาพราหมณ์ และ

ค. สองข้อสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงย้ำว่าผู้ที่เป็นนักบวชจะต้องไม่เป็นผู้เบียดเบียนใครทั้งสิ้น

(สมัยนั้นนักบวชพราหมณ์ถือตัวเองว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า มีการให้คุณให้โทษต่อเพื่อนมนุษย์

และ มีการประกอบพิธีบูชายันต์ฆ่าสัตว์ตายมากมาย อย่างสมัยนี้ พระภิกษุที่ประพฤติมิชอบ

ออกเที่ยวเรี่ยไรขอบริจาคเงินทอง ก็ถือว่าเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นเช่นเดียวกัน )

๔. วาระต่อไปพระพุทธองค์จึงทรงประกาศหลักปฏิบัติอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่

๑. การไม่ทำชั่ว ๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม และ ๓. การชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส

๕. ในตอนท้ายของการประชุมพระพุทธองค์จึงทรงวางหลักปฏิบัติตัวสำหรับพระภิกษุสงฆ์

ให้ถือเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติสืบต่อไป ได้แก่
     
             1. ไม่กล่าวร้ายใคร 2. ไม่ทำร้ายใคร 3. ดำรงตนอยู่ในวินัยให้ดี

              4.บริโภคใช้สอยปัจจัยสี่อย่างพอดี 5. ยินดีพอใจในที่อันสงัด

              6. บำเพ็ญเพียรทางจิตให้พัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

๖. สรุปวันสำคัญทางพุทธศาสนาในเมืองไทยทั้งสามวัน มีความหมายที่จำกันได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

วันวิสาขบูชา
 
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถือได้ว่า เป็น วันพระพุทธ
 
วันอาสาฬหบูชา
 
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก ถือได้ว่า เป็น วันพระธรรม

วันมาฆบูชา

เป็นวันที่พระสงฆ์มาประชุมพร้อมเพรียงกัน รับฟังหลักการสำคัญ เพื่อแยกย้ายกันไปเผยแผ่พระศาสนา จึงถือว่าเป็นวันพระสงฆ์

http://www.budpage.com/maka.html

(http://www.freephotopost.com/uploads/9825659be2.jpg) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **สาระสำคัญของวัน"มาฆบูชา"ที่คุณอาจจะยังไม่เคยทราบมา**
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 02-03-2007, 23:39
(http://www.freephotopost.com/uploads/ecb4a263c5.jpg) (http://www.freephotopost.com)


 :slime_worship: :slime_worship: :slime_worship:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ **สาระสำคัญของวัน"มาฆบูชา"ที่คุณอาจจะยังไม่เคยทราบมา**
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 03-03-2007, 19:32
(http://www.freephotopost.com/uploads/ecb4a263c5.jpg) (http://www.freephotopost.com)


 :slime_worship: :slime_worship: :slime_worship:

ขอบคุณสำหรับสาระสำคัญวันมาฆบูชาค่ะ

 :slime_worship: :slime_worship: :slime_worship:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-03-2007, 17:22
วิธีทำให้ถั่วงอกสดและกรอบนาน

นำถั่วงอกล้างให้สะอาด หลังจากนั้นเอาน้ำส้มสายชู

เล็กน้อยผสมน้ำ นำถั่วงอกไปแช่ไว้สักพัก ถั่วงอกจะสดและกรอบนาน


....................................................

น้ำซาวข้าวมีประโยชน์

น้ำซาวข้าวที่ได้จากการจะหุงข้าวอย่าทิ้ง

ใช้นำมาแช่ผักเพื่อล้างสารพิษที่ตกค้างในผักผลไม้ได้

โดยแช่ผักหรือผลไม้ทิ้งไว้ 10-15 นาที สารพิษที่ตกค้างอยู่

จะหมดไปโดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาล้างผักอื่นๆให้เสียสตางค์

 :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-03-2007, 17:23
น้ำมันที่ทอดอาหารกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

เวลาทอดอาหารแล้วมีน้ำมันกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

ตัวโรดเป็นดวงๆ วิธีแก้ไขให้ซักออกได้ง่ายๆ โดยรีบเอาแป้งฝุ่นทาตัว

หรือแป้งมันมาทาหลายๆครั้งตรงรอยเปื้อน แป้งจะซับน้ำมันที่ติดเสื้อผ้า

เมื่อนำไปซักน้ำมันที่ติดเสื้อผ้าอยู่จะหลุดออกไปโดยไม่ทิ้งคราบน้ำมันไว้เลย


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 09-03-2007, 17:30
วิธีทำให้ถั่วงอกสดและกรอบนาน

นำถั่วงอกล้างให้สะอาด หลังจากนั้นเอาน้ำส้มสายชู

เล็กน้อยผสมน้ำ นำถั่วงอกไปแช่ไว้สักพัก ถั่วงอกจะสดและกรอบนาน


....................................................

น้ำซาวข้าวมีประโยชน์

น้ำซาวข้าวที่ได้จากการจะหุงข้าวอย่าทิ้ง

ใช้นำมาแช่ผักเพื่อล้างสารพิษที่ตกค้างในผักผลไม้ได้

โดยแช่ผักหรือผลไม้ทิ้งไว้ 10-15 นาที สารพิษที่ตกค้างอยู่

จะหมดไปโดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาล้างผักอื่นๆให้เสียสตางค์

 :slime_v: :slime_v:


ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ค่ะ  :slime_v:

และก็รบกวนขอยืมของใช้ในครัวสัก 2-3 อย่าง at the moment, please จะได้ไหมคะ ? อยากได้ไม้หน้าสาม เอ๊ยย ม่ายช่าย ไม้ตีพริก กับมีดอรัญญิกไม่เกี่ยงขนาดคบกริบมันวาวซักเล่มด้วยค่ะ  :slime_p: :slime_bigsmile:



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: ลับ ลวง พราง ที่ 09-03-2007, 17:42
น้ำมันที่ทอดอาหารกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

เวลาทอดอาหารแล้วมีน้ำมันกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

ตัวโรดเป็นดวงๆ วิธีแก้ไขให้ซักออกได้ง่ายๆ โดยรีบเอาแป้งฝุ่นทาตัว

หรือแป้งมันมาทาหลายๆครั้งตรงรอยเปื้อน แป้งจะซับน้ำมันที่ติดเสื้อผ้า

เมื่อนำไปซักน้ำมันที่ติดเสื้อผ้าอยู่จะหลุดออกไปโดยไม่ทิ้งคราบน้ำมันไว้เลย

 ใส่ผ้ากันเปื้อนไม่ง่ายกว่าเหรอครับ :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-03-2007, 17:48
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ค่ะ 

และก็รบกวนขอยืมของใช้ในครัวสัก 2-3 อย่าง at the moment, please จะได้ไหมคะ ? อยากได้ไม้หน้าสาม เอ๊ยย ม่ายช่าย ไม้ตีพริก กับมีดอรัญญิกไม่เกี่ยงขนาดคบกริบมันวาวซักเล่มด้วยค่ะ


มิต้องห่วงค่ะเม่ย พี่ดอกฟ้าฯใจดีอยู่แล้ว จัดให้ตามนี้เลยค่ะ

เลือกที่เหมาะๆมือนะ :slime_v:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****เรื่องในครัว****
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-03-2007, 18:07
น้ำมันที่ทอดอาหารกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

เวลาทอดอาหารแล้วมีน้ำมันกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

ตัวโรดเป็นดวงๆ วิธีแก้ไขให้ซักออกได้ง่ายๆ โดยรีบเอาแป้งฝุ่นทาตัว

หรือแป้งมันมาทาหลายๆครั้งตรงรอยเปื้อน แป้งจะซับน้ำมันที่ติดเสื้อผ้า

เมื่อนำไปซักน้ำมันที่ติดเสื้อผ้าอยู่จะหลุดออกไปโดยไม่ทิ้งคราบน้ำมันไว้เลย




 ใส่ผ้ากันเปื้อนไม่ง่ายกว่าเหรอครับ :slime_smile2:


อ้าว.....ก็เผื่อว่าวันนั้นฝนตกแล้วผ้ากันเปื้อนที่ซักไว้ไม่แห้งไงคะ

เลยไม่มีใช้ อิ อิ

 :slime_smile2: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ***หน้างอ คอหัก กับวิธีการเลือกซื้อปลาทู***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 15-03-2007, 19:59
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู

วิธีเลือกปลาทูนึ่ง
 
ปลาทูที่นึ่งใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่นและไม่เละยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก

ถ้าขอบตาแดง ผิวเหลือง แสดงว่าเป็นปลาที่มีคุณภาพไม่ดี เป็นปลาที่ได้จากอวนลาก

จึงต้องมีการใช้น้ำยาเคมีรักษาสภาพของปลา ความอร่อยของปลาทูนึ่งยังขึ้นอยู่กับปลาทูที่สดที่นำมาต้มด้วย

ถ้าใช้ปลาทูไม่สด ไม่ใช่ปลาทูโป๊ะ จะไม่อร่อยเท่าปลาทูแม่กลองที่เวลานึ่ง คนทำจะหักคอก่อนใส่เข่ง

เพื่อให้พอดีกับขนาดของเข่ง เรียกกันว่า “ปลาหน้างอคอหัก”

วิธีเลือกปลาทูสด
 
ปลาทูสดลูกตาจะนูน ตาดำมีสีสดใส ส่วนหลังของลำตัวจะมีสีเขียวเป็นพื้น ส่วนท้องจะมีสีขาว หรือสีเงิน

หางปลายังมีสีเหลือง ตามลำตัวมีเมือกลื่นๆ เหงือกมีสีแดงออกชมพู ปลาไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น

เมื่อใช้นิ้วกดที่กลางลำตัวแล้วปล่อยนิ้วออก รอยยุบจะกลับคืนสภาพเดิมได้หมดหรือเกือบหมด
 
ส่วนปลาทูที่ไม่สดลูกตาจะยุบ ตาดำจะขุ่น บริเวณลูกตาอาจมีเลือดคั่ง สีพื้นของลำตัวซีด เหงือกมีสีแดงซีด

ปลามีกลิ่นคาวหรือคาวจัด ลำตัวอ่อนเหลวและไม่มีเมือกจับ

ซื้อปลาแบบไหนถึงจะอร่อย
 
หลังจากที่ชาวประมงจับปลาทูขึ้นมาได้ราว 5 – 10 นาที ปลาก็จะตาย ปลาทูที่ตายใหม่ๆ

นี้ถ้ารีบนำไปประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เนื้อจะนุ่มหวานอร่อย กลิ่นหอม

ถ้านำไปต้ม มันปลาทูสีเหลืองจะลอยฟ่องขึ้นหม้อ แค่เห็นก็อร่อยแล้ว
 
แต่ปลาทูสดที่เห็นขายกันอยู่ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นไม่ใช่ปลาทูสด 100%

เป็นปลาทูที่ต้องผ่านหลายกระบวนการกว่าจะมาวางขายตามท้องตลาด ความสดของปลาก็ลดลงเหลือ 60 – 80%

อนึ่งปลาทูจะมีความสดมากหรือน้อยนั้นจะทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการดมกลิ่นชิมรสเนื้อปลา

ซึ่งถือว่าปลาที่มีความสดมากนั้น จะมีกลิ่นหอมของเนื้อปลาชวนรับประทาน

รสชาติอร่อย เนื้อนุ่มไม่กระด้างไม่เปื่อยยุ่ย โดยเฉพาะปลาทูที่จับได้ที่ก้นอ่าวไทยตามทะเลที่พื้นดินเป็นเลน

เนื้อจะอร่อยกว่าปลาทูที่จับได้ตามทะเลที่เป็นพื้นทราย

สารพัดความอร่อย หลากหลายเมนูจากปลาทู
 
ถ้าหากจะเอ่ยถึงอาหารไทยที่ถือว่าเป็นหนึ่งเมนูเด็ดที่คนไทยลืมไม่ได้ น่าจะเป็น “น้ำพริกกะปิกับปลาทูทอด”

ที่เป็นเมนูที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของไทยเลยก็ว่าได้
 
สำหรับปลาทูที่จะนำมากินคู่กับน้ำพริกกะปิให้มีความอร่อยเด็กดวง ก็คงจะหนีไม่พ้น “ปลาทูโป๊ะ” หรือ “ปลาทูนึ่ง” เมืองแม่กลอง
 

นอกจากนี้อาหารที่ทำจากปลาทู ก็มีหลากหลายเมนูให้เลือก ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูสำหรับคนที่ชองกินปลาเป็นอย่างยิ่ง

 ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาทู ปลาทูทอด ปลาทูต้มยำ ปลาทูต้มส้ม ปลาทูฉู่ฉี่ ปลาทูผัดฉ่า ปลาทูนึ่ง ปลาทูต้มมะดัน

ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู ปลาทูแดดเดียว ปลาทูราดพริกแกง ฯลฯ ซึ่งปลาทูถือเป็นอาหารไทยราคาเยาที่รสชาติยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร

ที่มาจาก Fisho.com

(http://www.freephotopost.com/uploads/c6c10b4f98.jpg) (http://www.freephotopost.com)


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 30-03-2007, 23:32
Kanikaphol Temple
วัดคณิกาผล


วัดคณิกาผล สร้างเมื่อ : พ.ศ.2376

นับตั้งแต่ที่เมืองไทยของเรา รับเอาศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเข้ามาเป็นประหนึ่งศาสนาประจำชาติของไทยนั้น

มีวัดเป็นจำนวนมาก ที่สร้างจากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ และ เชื้อพระวงศ์

รองลงมาก็มักจะเป็นวัดในอุปถัมภ์ของขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูง และ ท้ายที่สุดก็คือสร้างจากแรงศรัทธาของชาวบ้าน

แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีวัดไทยบางวัดที่ผู้สร้างมีที่มาที่ออกจะขัดแย้งกันกับการนับถือพุทธศาสนาตามความเชื่อของชาวพุทธ

และ หนึ่งในวัดที่เป็นข้อยกเว้นนั้นเห็นจะได้แก่ “วัดคณิกาผล” คำว่าคณิกานั้น

เป็นคำโบราณที่เราใช้เรียกหญิงผู้ให้บริการทางเพศ และ เมื่อคำเรียกหญิงงามเมือง\

นี้กลายมาเป็นชื่อวัดที่มาของการสร้างวัดจึงมีความน่าสนใจอยู่พอสมควร

วัดคณิกาผลนี้ เป็นวัดที่ตั้งอยู่ท้ายตลาดแห่งหนึ่งในเยาวราช ตั้งอยู่บนหัวมุม ถนนยมราชสุขุม

และ อยู่ตรงข้ามกับโรงพักพลับพลาไชย วัดนี้เป็นวัดสายมหานิกาย ที่เดิมนั้นสร้างขึ้นจากกลุ่มหญิงบริการกลุ่มหนึ่ง

ที่มีหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ “ยายแฟง” เป็นผู้รวบรวม และ ออกทุนให้สร้างวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทขึ้นที่บริเวณตรอกโคก

(ปัจจุบันคือ ถนนพลับพลาไชย) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าจีน และ โรงเจตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้วมากมาย

และ เมื่อสร้างวัดของหญิงงามเมืองนี้เสร็จ ชาวบ้านจึงเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อตรอกว่า “วัดโคก”

วัดนี้เปิดให้ชาวบ้าน และ สงฆ์ทำพิธีกรรมมานานจนกระทั่งเข้าสู่สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

บรรดาลูกหลานของย่าแฟงจึงขอพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 4 ให้พระราชทานนามของวัดโคกเสียใหม่

พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “วัดคณิกาผล” ตามประวัติที่มาเดิมนั่นเอง ปัจจุบันนี้

หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาในบริเวณนี้ ก็จะสังเกตเห็นว่าทางเข้าหน้าวัดนั้น

 มีพระพุทธรูปสมเด็จพระอาจารย์โตแห่งวัดระฆังตั้งให้ผู้มีจิตศรัทธาได้แวะเข้ามากราบไหว้กัน

และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในก็จะเห็นรูปปั้นครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่โดยมีคำจารึกที่ว่า

“วัดคณิกาผลนี้ สร้างขึ้นโดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโลหิตในปีพุทธศักราช 2346”


......................................................................

http://www.bmasmartschool.com


เอาอีกแง่มุมของประวัติศาสตร์มาฝากค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: gomadare ที่ 30-03-2007, 23:45
อดีตที่ล้มเหลว พังทลาย ไร้ประโยชน์ และไม่สามารถเชื่อมต่อกับปัจจุบันสู่อนาคตได้ จะมีความหมายหรือ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 30-03-2007, 23:55
บทความ เขียนโดย อาจารย์เทาชมพู http://www.vcharkarn.com

----

ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า

ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร

รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย

ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา

เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง

ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว

แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า
 
" วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง

เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี )

ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง

โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง

เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น

เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น

ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้อง

ไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐาน

ในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี

แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้

คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น

เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง

จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท

แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่

แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง

โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน

ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า

ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว

ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น

ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย

ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่

เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย

 คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง

 คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว

ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้

แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น

เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน

ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ

สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง

ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร

ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ

เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้น

มีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น

ระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์

น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง

และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น

ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว

ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย

คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน

จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม

ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว

ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น

จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด

ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี

เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า

จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี

จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย

อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร

เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง

ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว

ที่มา : หนังสือ " เรื่องเขา เล่ากันมา "


 :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 01-04-2007, 00:15
ขอบคุณพี่ดอกฟ้าฯ สำหรับเกร็ดเรื่อง "วัดคณิกาผล" ค่ะ รู้จักวัดนี้จากชั่วโมงภาษาไทยตอนชั้นมัธยม คุณครูที่สอนน่ารักค่ะ ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกว่า คุณยายแฟงเป็นคนน่าศรัทธา เพราะแม้ว่าจะต้องทำมาหาเลี้ยงตนเองด้วยอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ก็ยังมีจิตกุศลทำความดีสร้างวัดเพื่อบำรุงพระศาสนา

ไม่ว่าสังคมจะวิพากย์วิจารณ์อย่างไร เช่นเดียวกับการถ่ายภาพนู้ดของบรรดาดารานักร้องและสาวสังคมชั้นสูงเพื่อช่วยเหลือวัดพระบาทน้ำพุที่เป็นข่าวฮือฮาตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะว่ามองได้หลายแง่หลายมุมตามมาตรวัดทางศีลธรรมที่มีกำกับอยู่ แต่ที่สุดแล้ว คนทำคงรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองทำไปด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ด้วยเจตนาบริสุทธิ์หรือมีเจตนาเคลือบแฝง แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ แต่ตัวเองย่อมรู้ เหมือนฟ้ารู้ดินรู้ มั้งคะ :slime_worship:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 04-04-2007, 20:38
ที่พี่เอาเรื่องนี้มานำเสนอเพราะคิดว่าตอนนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เกี่ยวกับเรื่องควรหรือไม่ควรที่นำภาพนู๊ดมาประมูลเพื่อบริจาคให้วัดแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้ไม่ขออกความเห็นเพราะคิดว่าวิธีนำเสนอมันค่อนข้างวิจิตรพิศดารกว่าในอดีต

คงต้องสอบถามความคิดเห็นจากเจ้าของโปรเจกค์ว่าวิธีคิดของเค้าต้องการให้มันเกิดผลในทางไหน

และสังคมจะได้อะไร จะได้มากกว่าเสียหรือไม่คงคาดเดาใจใครได้ยากค่ะ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 04-04-2007, 21:35
ที่พี่เอาเรื่องนี้มานำเสนอเพราะคิดว่าตอนนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เกี่ยวกับเรื่องควรหรือไม่ควรที่นำภาพนู๊ดมาประมูลเพื่อบริจาคให้วัดแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้ไม่ขออกความเห็นเพราะคิดว่าวิธีนำเสนอมันค่อนข้างวิจิตรพิศดารกว่าในอดีต

คงต้องสอบถามความคิดเห็นจากเจ้าของโปรเจกค์ว่าวิธีคิดของเค้าต้องการให้มันเกิดผลในทางไหน

และสังคมจะได้อะไร จะได้มากกว่าเสียหรือไม่คงคาดเดาใจใครได้ยากค่ะ :slime_smile:


อินเทรนด์ดีครับ  :slime_fighto:

ผมจำได้คลับคล้ายคลับคาว่ามีครูวิชาภาษาไทยท่านนึงเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับวัดนี้ แต่ลืมไปเกือบหมดแล้ว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  :mrgreen:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 04-04-2007, 21:58
ผมจำได้คลับคล้ายคลับคาว่ามีครูวิชาภาษาไทยท่านนึงเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับวัดนี้ แต่ลืมไปเกือบหมดแล้ว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ด้วยความยินดีค่ะ คุณso what :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***วัดคณิกาผล***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 04-04-2007, 22:16
พึงสร้างกุศลด้วยวิธีที่เป็นกุศล

 การมีความคิดมีจิตที่เป็นกุศลเป็นสิ่งประเสริฐ  เพราะกุศลมีความหมายถึง บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี,

กรรมดี ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เคยอธิบายเป็นความละเอียด ของความต่างระหว่าง บุญ กับกุศล

ว่าบุญมีความหมายว่าทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น ส่วน กุศล  แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป

 คนที่ทำบุญจะรู้สึกฟูใจ มีจิตใจที่อิ่มเอิบ ส่วนกุศลเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
 
ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจแต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่งสิ่งต่าง ๆ

อันเป็นเหตุให้พัวพันอยู่ในกิเลสตัณหา อันเป็นเครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก

และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ซึ่งโดยนัย แห่งคำอธิบายทำให้เห็นว่า

กุศลเป็นการทำความดี โดยไม่มุ่งหวังสิ่งใด แม้กระทั่งความพอใจ
 
นัยดังกล่าวการสร้างกุศล จึงประกอบด้วยการกระทำที่มาจากฐานคิดอันเป็นกุศล

การกระทำด้วยวิธีการอันเป็นกุศล เป็นการทำบุญ หรือทำความดี ด้วยความฉลาด ให้เกิดสิ่งที่ดี

และการจะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นมาได้ ต้องเป็นการกระทำที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับว่าได้การกระทำนั้นดี

หากเป็นการกระทำที่เป็นมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด หรือความเห็นที่ผิดจากครรลองคลองธรรม

เช่น เห็นว่าทำดีได้ชั่วทำชั่วได้ดี นอกจากนี้ การกระทำในลักษณะเป็นการกุศล

น่าจะเป็นกิจที่ไม่ต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าได้ทำ เพราะไม่ได้หวังคำสรรเสริญ

หรือมุ่งจะให้เกิดการรับรู้ในสังคมวงกว้าง
 
การที่มีกลุ่มนายแบบ นางแบบ รวมถึงผู้มีชื่อ   เสียง 32 คน ร่วมเปลื้องผ้าถ่ายแบบเปลือย

ในกิจกรรมที่เรียกกันเองว่า “นู้ดการกุศล” และจะนำภาพมาขยายใหญ่ ขนาด 1x1 เมตร จำนวน 26 ภาพ

จัดประมูลในนิทรรศการที่จัดขึ้นในศูนย์การค้า ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ 10,000 บาท เพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์

ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และสถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี โดยที่ผู้ถ่ายแบบทุกรายไม่คิดค่าตัว

เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับในความมุ่งหมายที่ดี ที่บุคคลเหล่านี้มีจิตใจดีงาม พยายามหาทางช่วยผู้อื่น

ใช้เรือนร่างเป็นแบบ โดยไม่รับค่าตอบแทน ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มีค่าตัวระดับสูง

อย่างไรก็ตาม หลังจากภาพและข่าวปรากฏออกไป กลับมีแต่เสียงตำหนิ บริภาษ จากบุคคลทุกวงการ

ตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จนถึงการแสดงความคิดเห็นบนกระดานข่าวเว็บบอร์ดแทบทุกแห่ง

แทบจะหาคำชื่นชมไม่ได้เลย

 การกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งอ้างว่าเป็นการสร้างกุศลนั้น ไม่ว่าจะมีผลประโยชน์ใดแฝงอยู่หรือไม่

มากน้อยเพียงใด ก็เป็นสิ่งควรได้รับการยกย่องยอมรับตามแต่กรณี กระนั้นสิ่งที่กระทำ

 ควรได้ผ่านกระบวนการทางความคิดว่าสิ่งนั้น ดีและมีความเหมาะสม การถ่ายภาพเปลือยเพื่อประมูลขายต่อที่สาธารณะ

ด้านหนึ่ง ย่อมเป็นการแสดงภาพที่สุ่มเสี่ยง เนื่องจากผู้เข้าชมมีหลากหลาย หากเห็นบางภาพ ที่บางท่าทาง บางมุม

ที่อ้างว่าเป็นงานศิลป อาจกลายเป็นการยั่วยุทางกามารมณ์ ซึ่งนำไปสู่ผลเสียทางอื่นได้

เช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่า งานการกุศลครั้งนี้ ทำด้วยวิธีที่เป็นกุศล เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนที่รู้เห็นก่นด่า

และไม่เชื่อว่ากำลังทำดี แต่ก็หวังว่าหากผู้กระทำมีจิตมุ่งหวังเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้จริง

ก็น่าจะได้ทบทวนหากิจกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดกุศลอันไม่เป็นที่ติฉินเช่นนี้.
 



ข้อคิดที่น่าสนใจจาก บทความของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 05-04-2007, 19:16
ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์

          ตำนานของสงกรานต์นี้มีปรากฎในศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพน โดยย่อว่า มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ ธรรมบาลกุมาร

เป็นผู้ที่รู้ภาษานกแล้ว เรียนไตรเพทจบ เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง

ซึ่งในขณะนั้น โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง

เมื่อกบิลพรหมทราบ จึงลงมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา

ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย   ปัญหานั้นว่า
 
          ข้อ ๑.เช้าราศีอยู่แห่งใด
 
          ข้อ ๒.เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
 
          ข้อ ๓. ค่ำราศีอยู่แห่งใด

          ธรรมบาลขอผลัด ๗ วัน ครั้นล่วงไปได้ ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ได้ จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น 

มีนกอินทรี ๒ ตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ครั้งเวลาค่ำนางนกอินทรีจึงถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใด

สามีบอกว่า จะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก

นางนกถามว่า ปัญหานั้นอย่างไรสามีจึงบอกว่า ปัญหาว่าเช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด

นางนกถามว่า จะแก้อย่างไร สามีบอกว่า เช้าราศีอยู่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่อก

มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า

          ครั้งรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา

ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาล

ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง

จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนั้นเอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดาผู้ใหญ่ นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้แล้ว

แห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วก็เชิญประดิษฐานไว้ในมณฆปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาศ

บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระเวสสุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วย แก้วเจ็ดประการชื่อ ภควดีให้เป็นที่ประชุมเทวดา

เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมุลาด ลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้งแล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์ครั้งถึงครบกำหนด ๓๖๕ วัน

โลกสมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาเจ็ดองค์ จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม

ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น

เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่างๆ ดังนี้ ทุงษ, โคราค, รากษส, มัณฑา, กิริณี, กิมิทา และ มโหทร
 
          คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่

คือพระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนทุกปี

แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศก 


อ้างอิง :

สมชัย ใจดี,ยรรยง ศรีวิริยาภรณ์. ประเพณีและวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2531.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2534.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สงกรานต์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ, 2533.


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 05-04-2007, 19:20
สิ่งที่ได้จากการทำบุญสงกรานต์
 
๑. เป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งที่ตนเคารพ ต่อบิดามารดา และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ

๒. เป็นการชำระจิตใจ และร่างกายให้สะอาด

๓. เป็นการรักษาประเพณีมาแต่เดิม

๔. เป็นการสนุกสนานรื่นเริงในรอบปี และพักจากงานประจำชั่วคราว เพื่อจะไปพักผ่อนหย่อนใจ

๕. เป็นการเตือนสติว่ามนุษย์นั้นผ่านไป ๑ ปีแล้วและในรอบปีที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรบ้างและควรจะทำอะไรต่อไปในปีที่กำลังจะมาถึง

ู๖. เป็นการเตรียมตัวบวช ถ้าเป็นผู้ชายโดยเอาระยะเวลานี้บวชกัน เพราะหลังสงกรานต์ต้องเตรียมตัวทำนาแล้ว

๗. เป็นการทำความสะอาดพระ โต๊ะบูชา บ้านเรือน ทั้งในและนอกบ้าน


 


--------------------------------------------------------------------------------

 
 
อ้างอิง :

สมชัย ใจดี,ยรรยง ศรีวิริยาภรณ์. ประเพณีและวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2531.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2534.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สงกรานต์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ, 2533. 


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 05-04-2007, 19:45
ปีนี้ วันมหาสงกรานต์ตรงวันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ ปีกุน

มนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ ทรงจันทรคติ เป็น อธิกมาส

ปกติวาร ทางสุริยคติ เป็นปกติสุรทิน



นางสงกรานต์นามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว (ผักตบ) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ภักษาหารเนื้อทราย

พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง เป็นพาหนะ

มหาวันสงกรานต์ วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๖ นาที ๓๗ วินาที ตรงกับเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ

เดือน ๕ ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ (เปลี่ยนจุลศักราช ๑๓๖๘ ในวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที)

ปีนี้ วันอาทิตย์ เป็นวันธงชัย วันจันทร์ เป็นอธิบดี วันเสาร์ เป็นอุบาทว์ วันพุธ เป็นโลกาวินาศ วันเสาร์

เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่า

หิมพานต์ ๑๒๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๖ ตัว  เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๗ ชื่อ ปาปะ

ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

จากประกาศสงกรานต์ข้างต้น หากเราเทียบกับคำพยากรณ์ของโบราณ จะเห็นว่าวันมหาสงกรานต์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์

เขาบอกว่าจะเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม มีการเจ็บไข้ร้ายแรง ส่วนวันเนาตรงกับวันอาทิตย์ ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก

ท้าวพระยาจะร้อนใจ ส่วนตำราล้านนาก็ว่า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันเสาร์ ปีนี้ฝนจะแล้ง แมลงต่างๆจักทำร้ายพืชไร่มากนัก

ไฟจักไหม้บ้านไหม้เมือง เกิดอัคคีภัยใหญ่ ข้าวยากหมากแพง ดูแล้วจะเป็นเรื่องร้ายๆ พอๆกับคำทำนายในปัจจุบันทั้งสิ้น

ครั้นมาดูนางสงกรานต์ ที่มีนามว่า นางมโหธรเทวี ดูท่าแล้ว ก็ดุไม่เบา เนื่องจากพระนางนอกจากจะพกจักรและตรีศูรย์เป็นอาวุธแล้ว

ยังกินเนื้อทรายเป็นอาหาร แถมทัดดอกสามหาวและใส่นิล(พลอยสีดำ) เป็นเครื่องประดับอีกด้วย อ่านแล้ว หลายคนอาจรู้สึกหดหู่

ไม่สบายใจ แต่ถ้าจะมองให้ลึกลงไปว่า วันมหาสงกรานต์ที่ตรงกับวันเสาร์ แม้จะเป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่

ที่ทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นวันเจ้าทุกข์ แต่ก็เป็นวันแข็ง และมีพระนาคปรกเป็นพระประจำวันนี้

ซึ่งเปรียบเหมือนเรามีพญานาคราชได้แผ่พังพานปกป้องคุ้มครองให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ

และยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา เพราะตามตำนานแม้แต่พญานาคยังขึ้นจากน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้า

ทั้งนี้ก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์

ดังนั้น จึงเป็นการบอกทางอ้อมให้เราใช้รู้จักใช้หลักเมตตาธรรมในการดำเนินชีวิตทุกระดับไม่ว่าจะกับครอบครัว

สังคม และประเทศชาติ ส่วนอาวุธของนางสงกรานต์ที่เป็นจักรนั้น

ก็คืออาวุธของพระนารายณ์ที่ทรงใช้ในการปราบทุกข์เข็ญให้แก่โลก

และตรีศูรย์ก็คือ อาวุธของพระศิวะมหาเทพที่ทรงโปรดให้พรวิเศษแก่ผู้กระทำคุณความดีต่างๆ

และนิลนั้นก็เป็นอัญมณีที่ทำให้ผู้สวมใส่ เกิดความใจเย็น สามารถป้องกันอันตรายจากภูตผีวิญญาณ

นำมาซึ่งความเข้มแข็ง โชคลาภ หรือความมั่งมีต่าง ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้วันเวลาที่นางสงกรานต์เสด็จมาไม่ดีนัก

แต่อาวุธและเครื่องประดับก็มีนัยที่ดี เพราะใช้ปราบอริราชศัตรูและเป็นมงคล

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำพยากรณ์ในอดีตหรือคำทำนายในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร เราก็มิควรจะท้อแท้หรือหมดกำลังใจ

แต่ควรใช้คำทายทักล่วงหน้าเหล่านี้เตือน “ สติ ” ตัวเราเองให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง

ไม่ประมาท เพียงแค่นี้ เราก็จะรับ “ สงกรานต์ปีใหม่ ” ได้อย่างมีความสุข และเชื่อมั่นในอนาคตข้างหน้าได้


http://www.songkran.net/th/announce.php

ขอส่งความสุขล่วงหน้าในวันปีใหม่ไทยมายังเพื่อนสมาชิกเสรีไทยฯทุกๆท่านค่ะ :slime_v: :slime_worship:



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 05-04-2007, 21:54

เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์

          กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในเทศกาลนี้ก็มี การทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญทำทาน

สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว
 
ประเพณีสงกรานต์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง สำหรับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์มีดังนี้
 
๑.ก่อนที่เราจะถือวันสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทยนั้น สมัยโบราณ เราถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่

เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการเริ่มต้นปี ซึ่งจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดูการผลิต

เป็น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน ครั้นในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕

ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ เมษายน และต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันที่ ๑ มกราคม

เป็นวันขึ้นปีใหม่จนปัจจุบัน อันเป็นการนับแบบสากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์

เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมแม้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ก็ไม่ได้ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ดังเช่นปัจจุบัน

จนเมื่อพ.ศ.๒๔๔๔ เป็นต้นมา จึงได้กำหนดเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ตามปฏิทินเกรกอรี่
 
๒.นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย

ก็ถือว่าสงกรานต์เป็นเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเขาด้วยเช่นกัน

๓.ภาคกลางเรียกวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”

วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก “วันเนา” และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ประกาศให้เป็น “วันครอบครัว”

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียก “วันเถลิงศก” คือวันเริ่มจุลศักราชใหม่

๔.ทางล้านนาเรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี

วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก“วันเน่า” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่าและไม่เจริญ

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายนเรียก “วันพญาวัน” คือวันเปลี่ยนศกใหม่

๕.ภาคใต้ เรียกวันที่๑๓ เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า”หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า”

เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า “วันว่าง”

คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปทำบุญที่วัด

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมือง

แทนองค์เดิมที่ย้ายไปประจำเมืองอื่นแล้ว

๖.ตำนานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงกรานต์และนางสงกรานต์ที่เรารู้จักกันดีเป็นตำนานที่ รัชกาลที่ ๓

โปรดให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดไว้ที่ศาลารอบพระมณฑปทิศเหนือ ในวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์

๗.นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้องกัน

และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบำเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น “เมียน้อย”ของพระอินทร์

จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในตำนาน

๘.นางสงกรานต์ มีชื่อตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ

วันอังคาร ชื่อ นางรากษส วันพุธ ชื่อ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทร

๙.นางสงกรานต์แต่ละองค์จะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามลำดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขี่เสือ

นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง

ซึ่งสัตว์ที่เป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด

๑๐.คำว่า “ดำหัว”ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไปแสดงความเคารพ

ขออโหสิกรรมที่อาจได้ล่วงเกินในเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงญาติผู้ใหญ่

ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยไปไหว้ท่าน

และท่านก็จะจุ่มแล้วเอาน้ำแปะบนศีรษะเป็นเสร็จพิธี

๑๑.ในสมัยก่อนเมื่อใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนแต่ก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์”

เป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ นิ้ว มีสีเลื่อมพราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง

เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อกระดิกตัวว่ายน้ำจะทำให้เกิดประกายสีต่างๆสวยงามแปลกตา

ถ้าจับพ้นน้ำ สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

๑๓.มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร
 
ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา

เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า

การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ

 ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง

หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าว

จึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้...


http://www.zabzaa.com/event/songkran.htm


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์***
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 05-04-2007, 22:48
ขอบคุณพี่ดอกฟ้า ฯ สำหรับเกร็ดความรู้ทบทวนความจำค่ะ  :slime_smile:

มาดูแอนนิเมชั่น "ปล่อยนกปล่อยปลา" ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ  :slime_v:

http://songkran.net/th/online_6.php#


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 28-05-2007, 17:38
วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ

 "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )



ภูมิหลัง

 
๑. ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลัมโบ

ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม

อาทิ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฐาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย

 ได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติประกาศวัน วิสาขบูชาให้เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ


๒. ในการเยือนของประเทศต่างๆ ในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา ในปี ๒๕๔๒

ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ได้ด้วยดี


๓. คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่างข้อมติ

และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชา

เป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔


๔. โดยที่สหประชาชาติประกาศวันหยุดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

และจะเป็นปัญหาในเรื่องงบประมาณและการบริหารแก่ สหประชาชาติ หากประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุด

ศรีลังกาจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่างข้อมติ ขอให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลที่สหประชาชาติ

ทั้งที่สำนักงานใหญ่ และสำนักงานต่าง ๆ แทนการเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท.

ผู้แทนถาวรประเทศต่าง ๆ รวม ๑๖ ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฐาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์

มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน

ได้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานสมัชชาฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสาขบูชาเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมของสมัชชาฯ


๕. ต่อมาเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ General Committee ของสมัชชาฯ

ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย ออท.ผู้แทน ถาวรศรีลังกาได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือ

ร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวาระดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาเต็มคณะ

ออท.ผู้แทนถาวรไทย อินเดีย สเปน บังคลาเทศ ปากีสถาน ไซปรัส ลาว และภูฐาน

ได้กล่าวถ้อย แถลงสนับสนุน ซึ่งที่ประชุม General Committee

ได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาเต็มคณะ


ปัจจุบัน
 
๑. เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔

ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ ๑๗๔ International recognition of the Day of Visak โดยการเสนอของศรีลังกา
 

๒. ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ

และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง

สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้

ี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ

 โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชา

จะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม
 

๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ

ถ้อยแถลงของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
 
ถ้อยแถลงของนายวรวีร์ วีรสัมพันธ์ อุปทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก

เหตุผลที่ องค์การสหประชาชาติหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก
 
เนื่องจากคณะกรรมมาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา

ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก

จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์

ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา

เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนา พุทธ

และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน




http://www.dhammathai.



หัวข้อ: Re: สารพัด เคล็ดลับน่ารู้ ****ตรุษจีน วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน****
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 18-06-2007, 16:23
เทศการไหว้ขนมจ้าง

ไหว้เจ้าวันที่ 5 เดือน 5 ของจีน ตามตําราเรียกว่า " โหงวเหว่ยโจ่ว" เป็นเทศกาลไหว้เจ้าด้วยขนมจ้าง ขนมจ้างนี้คนจีนจะเรียกว่า "จั่ง" แม่บ้านที่มือฝีมือจะลงมือทําขนมจ้างเอง เเรียกว่า "ปักจั่ง"

ตํานานเทศกาลไหว้ขนมจ้าง เป็นเรื่องราวที่จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจีน ชื่อคุกง้วน เมื่อ 275 ปีก่อนศริสต์ศักราช ในสมัยของกษัตริย์ก๊กฉู่

ขุนนางคุกง้วนรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นที่ตั้ง ขุนนางคุกง้วนจึงเป็นที่รักใคร่ของประชาชน แต่ก็ถูกขุนนางกังฉินคอยใส่ร้ายป้ายสีต่อฮ่องเต้เสมอ

ฮ่องเต้หูเบาก็สั่งเนรเทศขุนนางคุกง้วนให้ออกจากเมืองไป ว่ากันว่าช่วงที่ขุนนางคุกง้วนต้องร่อนเร่พเนจร ได้แต่งลํานําบทกลอนเอาไว้มากมาย ได้เล่าถึงความอาภัพ ชีวิตที่รันทด และความไม่อยู่ในทศพิธราชธรรมของฮ่องเต้

จนความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ยี่งพิโรธ แต่ขุนนางคุกง้วนก็ยังมีแก่ใจกราบทูลเสนอแนะข้อราชการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน แต่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัย ขุนนางคุกง้วนก็เลยน้อยใจ จึงไปกระโดดนํ้าตายที่แม่นํ้าไหม่โหลย ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 นั่นเอง

ชาวบ้านรู้ข่าวต่างก็ช่วยกันไปงมหาศพ หวังจะนํามาทําพิธีให้สมเกียรติ แต่ก็หาไม่เจอ จึงเอาข้าวไปโปรยไว้แล้วบนบานศาลกล่าว ให้กุ้งหอยปูปลามากินแต่ข้าว อย่าได้กัดกินศพของขุนนางคุกง้วน

ปรากฎว่า แม่นํ้าไหม่โหลยที่ขุนนางคุกง้วนไปกระโดดนํ้าตายนี้อยู่ในมณฑลยูนานพอถึงแต่ละปีจะมีการระลึกถึงขุนนางคุกง้วนโดยชาวเสฉวนซึ่งเป็นมณฑลติดกัน ก็ได้มีการคิดว่า แทนที่จะโปรยแต่ข้าวสารลงไป ก็ให้นําใบจ่างมาห่อข้าวแล้วใส่กับลงไปด้วย ห่อเรียบร้อยแล้วจึงโยนลงนํ้าไป

ซึ่งต่อมาธรรมเนียมก็กลายไปเป็นการไหว้เทศกาลขนมจ้างเดือน 5 นี่เอง ฟังมาว่า การไหว้เจ้าที่จีนแผ่นดินใหญ่สําหรับเทศกาลนี้ผู้คนจะเอาของไปไหว้ที่ริมแม่นํ้า แล้วโยนขนมจ้างลงนํ้าไปด้วย ในบางท้องที่จัดเป็นงานใหญ่และได้มีการแข่งเรือกันเป็นที่สนุกสนาน

แต่ไหว้ที่เมืองไทย จะเป็นการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษในช่วงเช้าตามปกติ จะมีพิเศษก็ตรงที่มี "ขนมจ้าง" เป้นของไหว้เพิ่มเข้ามา และบ้านไหนมีแม่บ้านมีผีมือก็มักจะ "ปักจั่ง" เองและแจกญาติมิตรให้ไปชิมกัน



ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ  :D กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ก่งก๊ง ๆ ค่ะ  :mozilla_surprised:



บะจ่างน่าจะเป็นการนึ่งมากกว่าค่ะ เท่าที่ในเห็นในเมืองไทย


พรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ .. ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ของชาวจีน

เป็นวันไหว้ด้วยเจ้าด้วยข้าวเหนียวมัด "บ๊ะจ่าง"   :slime_worship:

ขออนุญาตลิ้งค์เพลง "เซียวบ๊ะจ่าง" ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน 
http://www.ijigg.com/songs/V2BCE4FPA0

...


หัวข้อ: เซียวบ๊ะจ่าง...บ๊ะจ่างร้อน ๆ มาแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 18-06-2007, 18:16

พรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ .. ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ของชาวจีน

เป็นวันไหว้ด้วยเจ้าด้วยข้าวเหนียวมัด "บ๊ะจ่าง"   :slime_worship:

ขออนุญาตลิ้งค์เพลง "เซียวบ๊ะจ่าง" ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน 
http://www.ijigg.com/songs/V2BCE4FPA0

...


เจ่ยเสี่ย ๆ ค่ะ เปิดเพลงฟังไป แต่เสียดายไม่ได้หม่ำบ๊ะจ่างไปด้วย  :slime_bigsmile:

ขอยืมรูปบ๊ะจ่างของพี่ดอกฟ้าฯ มาแปะให้น้ำลายสออีกครั้ง  :mrgreen: :D :mrgreen:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-06-2007, 01:09
ขอบคุณ คุณสมชายฯ ที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้เรียนรู้ถึงอดีตและความเป็นมา

ของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับสมาชิกที่สนใจ

ประดับความรู้ถึงความเป็นมา ทั้งๆที่ดอกฟ้าฯลืมไปแล้วด้วย

ว่าขนมทีห่อด้วยใบจาก และนิยมทานกัน มีที่มาที่ไป อย่างไร

ขอบคุณเม่ย ขอบคุณ คุณสมชายมากค่ะ :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เทศกาลขนมจ้าง เซียวบะจ่าง ตำนานของอาหารอร่อย***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-06-2007, 01:16
วันนี้มีคนเอามาฝาก รอเป็นอาหารมื้อดึกด้วยค่ะ :slime_smile2: :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เทศกาลขนมจ้าง เซียวบะจ่าง ตำนานของอาหารอร่อย***
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 21-06-2007, 21:46
วันนี้มีคนเอามาฝาก รอเป็นอาหารมื้อดึกด้วยค่ะ :slime_smile2: :slime_v:

เหมือนกันเลยค่ะ มีเพื่อนบ้านฝากให้ทานเป็นประจำทั้งทำเอง ทั้งซื้อมาฝาก  :slime_smile:

ดูเหมือนบ๊ะจ่างจะมีความเกี่ยวเนื่องกับเทศกาลแข่งเรือมังกร - Dragon Boat Festival ด้วยค่ะ

เรื่องนี้ก็เป็นตำนานอีกแล้ว  :slime_worship:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )***
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 22-06-2007, 18:45
บะจั่ง จริงๆไม่ได้เกิดในไต้หวัน เพียงแค่ว่า ไต้หวันยุคหลังสงครามมีแต่ความอดอยาก ไม่มีอะไรจะกิน  แรกเริ่มเดิมทีมันมาจากเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนที่ชื่อว่า 屈原 (ชวี หยวน)

(http://baike.baidu.com/pic/1/11719399463261480.jpg)

屈原 คนนี้เป็นข้าราชการการเมือง เกิดในยุคสมัยสงครามกลางเมืองหรือจั้นกั๋ว (战国) เป็นขุนนางแห่งแคว้นฉู่ (楚国) ยุคสมัยนั้นแคว้นฉิน (秦国) เป็นมหาอำนาจกำลังคิดการณ์รวบรวม 7 แคว้นเป็นหนึ่งเดียว  แต่แคว้นฉู่เต็มไปด้วยคอรับชั่น มีนาย 屈原 นี่ก็ซื่อสัตย์อยู่คนเดียว พยายามกล่อมให้ฮ่องเต้ไปเป็นพันธมิตรกับแคว้นอื่นต่อต้านแคว้นฉิน แต่โดนเตะออกมาเพราะคนอื่นเขาโกงกันหมด ตัวเองขอบายดีกว่า ตอนหลังเมืองหลวงแคว้นฉู่ถูกยึดครอง นายนี่เลยไปเอาก้อนหินถ่วงน้ำตัวเอง ฆ่าตัวตายประท้วงคอรับชั่น  ตำนานกล่าวต่อว่า ตายไปแล้ว 屈原 ก็กลายเป็นวิญญาณขึ้นมาจากแม่น้ำบอกว่าตัวเองตายเพราะมังกร แล้วบอกให้ห่อข้าวเป็นบะจั่งแล้วโยนลงไปในแม่น้ำ ส่วนการแข่งกันพายเรือหาร่างของ 屈原 ก็กลายเป็นการแข่งเรือมังกร


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เทศกาลขนมจ้าง เซียวบะจ่าง ตำนานของอาหารอร่อย***
เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 23-06-2007, 07:40
ขอบคุณน้องท่านผ่าทางตันที่นำเรื่องราวของเทศกาลขนมจ้าง 端午節 ที่เป็นจุดกำเนิดให้เกิดเทศกาลแข่งเรือมังกรมาฝากค่ะ  :slime_smile:

สำหรับเทศกาลแข่งเรือมังกร ยังเห็นข่าวจัดให้มีแข่งทุกปีทั้งที่จีนผู้พี่ ไต้หวันผู้น้อง ที่ทะเลาะกันเป็นประจำ และฮ่องกงน้องเล็กที่(จำ)ยอมกลับมาอยู่กับพี่ใหญ่ รวมถึงไชนาทาวน์ที่แคนาดาด้วยมั้งคะ

มีแอนนิเมชันน่ารัก ๆ มาฝากค่ะ

http://cards.163.com/mshowcard/card1,159,1.shtml

ปล. ชอบภาพแรกของคอลัมน์ที่สามที่สุด  :D



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เทศกาลขนมจ้าง เซียวบะจ่าง ตำนานของอาหารอร่อย***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 29-06-2007, 00:30
ขอบคุณทุกๆท่านที่เอาเกร็ดความรู้ มาฝากและเผยแพร่

ถึงอย่างไร คนไทยก็รู้จักอาหารชนิดนี้ ที่เรียกว่าบะจ่าง เป็นอาหารค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย

ได้สืบสานตำนานที่ยาวนานมาจากผืนแผ่นดินจีน

ซึ่งแสดงว่า จีนกับไทย มิใช่อื่นไกล เป็นพีน้องกัน นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** วันเข้าพรรษา ทำไม อย่างไร... ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 26-07-2007, 19:15
วันเข้าพรรษา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    สำหรับ เข้าพรรษา ที่เป็นชื่อพรรณไม้ ดูที่ เข้าพรรษา (พรรณไม้)

วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น

หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า อยู่)

พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นศาสนพิธีสำหรับพระภิกษุโดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม

เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา



ประวัติวันเข้าพรรษา


ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา

เหล่าภิกษุสงฆ์จึงต่างพากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน

ต่อมาชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกสมณะไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน

ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน

อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย

เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน

พระสงฆ์ที่เข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้

แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา"

แต่หากมีกรณีจำเป็นบางอย่าง พระภิกษุผู้จำพรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้

โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก็คือ

   1. การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย

   2. การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้

   3. การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด

   4. หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้




เครื่องอัฏฐบริขารของภิกษุระหว่างการจำพรรษา


โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น

มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน

แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น กว่าพระสงฆ์จะหาที่พักแรมได้

 บางครั้งก็ถูกฝนเปียกปอน ชาวบ้านผู้ใจบุญจึงถวาย "ผ้าจำนำพรรษา" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน

เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยน และยังถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันเป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา

จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/bday2.jpg)




หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** ประวัติความเป็นมา ของ"วันแม่" ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 06-08-2007, 19:13
ความเป็นมาของ"วันแม่"

          ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น

และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย

แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน

ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น

ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู

แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว


          สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร

โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย

หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก

แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม

และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี

ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน

ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

          ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก

และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป

จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที

จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ

และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

          เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์

ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...

          นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก

โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้

โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น


ภาษาไทย แม่

ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า

ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)

ภาษาอังกฤษ mom , mam

ภาษาโซ่ ม๋เปะ

ภาษามุสลิม มะ

ภาษาไทใต้คง เม

เป็นต้น



http://www.mthai.com/scoop/mother_day/history.php


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** ประวัติความเป็นมา ของ"วันแม่" ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 06-08-2007, 19:46
กลั่นเม็ดเลือดเม็ดน้อยนับร้อยหยด
จนปรากฎเป็นหยดนมรสกลมกล่อม
เพื่อหล่อเลี้ยงทารกน้อยค่อยอดออม
เฝ้าถนอมฟูมฟักรักเมตตา

วันเปลี่ยนวันเดือนเปลี่ยนเดือนหมุนเคลื่อนคล้อย
จากเด็กน้อยเริ่มมีแรงเริ่มแข็งกล้า
ค่อยสอนเดินสอนทำสอนคำจา
สอนปัญญาสอนวิชาสารพัน

ทารกน้อยวันนี้เห็นเป็นผู้ใหญ่
แม่ภูมิใจในผลงานการสร้างสรรค์
ความเหน็ดเหนื่อยกายใจหายไปพลัน
เมื่อถึงวันลูกได้รับปริญญา

วันนี้ลูกของแม่สุขถ้วนทั่ว
มีครอบครัวอยู่เย็นเป็นฝั่งฝา
แม่คนนี้ย่างเข้าสู่วัยชรา
รอเวลาสู่กองฟอนตอนสิ้นใจ

วันเอยวันแม่
สองตาแลหม่นหมองอยากร้องไห้
บ้านแม่อยู่วันนี้ไม่มีใคร
มีแต่ไก่กับหมาที่สีมอซอ

อยากฝากดาวถามฟ้าหาลูกรัก
ใครรู้จักบอกให้ได้ไหมหนอ
แม่ชราผู้อยู่หลังยังเฝ้ารอ
บอกอยากขอเห็นหน้าอีกคราเอย


http://www.zabzaa.com


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/7op8.jpg)


หัวข้อ: Re: *** มือใดโอบเอื้อเกื้อกูล ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 06-08-2007, 21:23
มือใดโอบเอื้อเกื้อกูล
ค้ำคูณปกเกล้าเราผอง
สองมือคอยแนบประคอง
ปกป้องคุ้มครองลูกยา

วันแม่เวียนมาบรรจบ
ขอกราบนอบนบมารดา
พระคุณยิ่งใหญ่ล้ำค่า
รักแม่..ซาบซึ้งตรึงใจ


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/p4381431n1.jpg)


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 11-09-2007, 21:11
เคล็ดลับในการลวกเนื้อปลา

เวลาเราจะลวกเนื้อปลาเพื่อจะนำไปยำหรือทำอาหารต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า ปลากระพง หรืออื่นๆที่เอาก้างออกเรียบร้อยแล้ว

เวลาจะนำไปทำให้สุกด้วยการลวก มักจะเจอปัญหาคือเนื้อปลาไม่เป็นชิ้นสวยงาม

แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่น่าทาน

วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมากคือ

นำปลาไปลวกในน้ำร้อนที่ไม่เดือดจัด เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ลวกเล็กน้อย

พอเนื้อปลาเริ่มสุกให้รีบตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จะได้ชิ้นเนื้อปลาที่สวยงามไม่แตกเละ

เพื่อนำไปทำอาหารอื่นๆได้แบบสบายใจเลยค่ะ


 :slime_inlove:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 11-09-2007, 21:54
เคล็ดลับในการลวกเนื้อปลา

เวลาเราจะลวกเนื้อปลาเพื่อจะนำไปยำหรือทำอาหารต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า ปลากระพง หรืออื่นๆที่เอาก้างออกเรียบร้อยแล้ว

เวลาจะนำไปทำให้สุกด้วยการลวก มักจะเจอปัญหาคือเนื้อปลาไม่เป็นชิ้นสวยงาม

แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่น่าทาน

วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมากคือ

นำปลาไปลวกในน้ำร้อนที่ไม่เดือดจัด เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ลวกเล็กน้อย

พอเนื้อปลาเริ่มสุกให้รีบตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จะได้ชิ้นเนื้อปลาที่สวยงามไม่แตกเละ

เพื่อนำไปทำอาหารอื่นๆได้แบบสบายใจเลยค่ะ


 :slime_inlove:


ขอเคล็ดลับการทอดปลาหน่อยจิคับผมทอดแล้วติดกระทะอะคับเนื้อหลุดติดกระทะเต็มเลยเสียดาย :slime_surrender:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-09-2007, 00:52

ขอเคล็ดลับการทอดปลาหน่อยจิคับผมทอดแล้วติดกระทะอะคับเนื้อหลุดติดกระทะเต็มเลยเสียดาย :slime_surrender:



ง่ายนิดเดียวค่ะ...ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน อิ อิ

คือต้องไปซื้อกะทะ นอนสติ๊ค ประเภทซิลเวอร์สโตน หรือเทฟล่อนมาใช้ตอนทอดปลาหรือทำอาหาร

ปัญหานี้คงหมดไป

แต่ถ้ายังไม่ได้ซื้อหรือไม่มีเวลาไปซื้อ



วิธีทอดปลาไม่ให้ติดกะทะ


คือล้างปลาให้สะอาดด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ ผึ่งให้แห้งให้สะเด็ดน้ำก่อนทอด

ตั้งน้ำมันพอท่วมตัวปลา ใส่เกลือแกงหรือเกลือป่นลงไปสักหน่อยหนึ่ง

รอจนน้ำมันร้อนจัด ใส่ปลาลงไปทอด อย่าเพิ่งรีบกลับตัวปลา

รอจนด้านที่ติดกะทะเริ่มเหลืองและสุกและลอยขึ้น ค่อยๆแซะปลาและกลับด้านมาอีกด้านนึง

หรี่ไฟกลาง ทอดจนเหลืองกรอบน่าทาน

การที่ใส่เกลือลงในน้ำมันจะทำให้ปลาไม่ติดก้นกะทะ และจะไม่ทำให้น้ำมันกระเด็น

ที่จะไม่ฝากรอยแผลเป็นไว้ที่แขนของคุณเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 12-09-2007, 06:55
ขอบคุณมากคับ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: THE THIRD WAY ที่ 17-09-2007, 13:57
จริงเท็จไม่ยืนยัน
ไม่ได้ลองสักที
เพื่อนอยู่ร้านอาหารบอกว่างี้ครับ
ทอดปลาให้ใช้ช้อนหรือส้อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

วิธีปรุงรส
พอทอดปลาเสร็จให้ใช้น้ำปลาราด
ในขณะที่ยังร้อนอยู่ น้ำปลาจะซึมวับเข้าไปในเนื้อปลาดีกว่า

เสียดายไม่มีรูปน้ำลายหก... :slime_p:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-09-2007, 21:37
จริงเท็จไม่ยืนยัน
ไม่ได้ลองสักที
เพื่อนอยู่ร้านอาหารบอกว่างี้ครับ
ทอดปลาให้ใช้ช้อนหรือส้อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

วิธีปรุงรส
พอทอดปลาเสร็จให้ใช้น้ำปลาราด
ในขณะที่ยังร้อนอยู่ น้ำปลาจะซึมวับเข้าไปในเนื้อปลาดีกว่า

เสียดายไม่มีรูปน้ำลายหก... :slime_p:


ขอบคุณลุงป๋าสามค่ะ ที่เอาเคล็ดลับมาเผื่อแผ่กัน

เรื่องนี้เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน ที่เวลาทอดปลาใช้ช้อนหรือซ่อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

ไว้ดอกฟ้าฯจะทดลองดูค่ะ แต่คงไม่ใช้ช้อนพลาสติกแน่นอน อิ อิ :slime_v:


ส่วนเรื่องปลาทอดน้ำปลาแถวแม่กลอง มีร้านอร่อยๆหลายร้านเลยค่ะ

น้ำปลาที่ใช้ต้องเป็นน้ำปลาดี เวลายกมาเนี่ย....หอมน่าทานมาก

มีอยู่ร้านนึงนะคะแถวคลองโคน เค้าทำน้ำปลาพริกด้วยน้ำปลายี่ห้อชวนชื่น

แหม...ชื่อเหมือนน้ำหอมมากกว่า ซอยตระไคร้อ่อนๆบางๆ ใส่หอมซอยบางๆ

พริกขี้หนูสวน มะนาวน้ำปลา จนต้องแอบซื้อน้ำปลาชวนชื่นมาทำเองที่บ้าน

เพราะหลังจากไปซักไซ้ไล่เรียงแล้ว คนขายบอกว่ามีขายที่แม่กลองที่เดียว

นอกนั้น นำส่งออกอย่างเดียว เป็นน้ำปลาที่ได้รางวัลที่ 1 ในงานวันประมงแห่งชาติ

ปี พศ. 2530
:slime_inlove: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 22-09-2007, 00:22
อะแห่มม....กระแอมกระไอเล็กน้อยเนื่องจากเป็นหวัด

เพราะตอนนี้ฝนตกลงมาทุกวันเลย


วันนี้มีเคล็ดลับก้นครัว...มาฝากบางท่านที่อาจยังไม่ทราบแบบเส้นผมบังภูเขา

ส่วนหลายท่านที่อาจจะทราบแล้ว ก็จอดป้ายที่ บางอ้อก็แล้วกันนะคะ

วิธีปอกหัวหอม ไม่ให้แสบตา

ในบางคนอาจจะแพ้กลิ่นหรือน้ำมันระเหยของหัวหอม ไม่ว่าจะเป็นหอมแดงหรือหอมใหญ่

ดังเช่น น้องแจ๋วคนใหม่ที่เพิ่งมาฝึกงานที่บ้านได้ไม่ถึงเดือน เพราะวันนี้ดอกฟ้าจะทำพล่ากุ้ง

เลยบอกให้เธอปอกหอมแดงให้ หลังจากที่บอกเธอและเดินกลับมาที่ครัว

เห็นเธอยืนปอกอยู่ด้วยน้ำตาไหลพรากๆ จนตกใจ นึกว่าเธอคิดถึงบ้านหรือใคร

หลังจากถามไถ่ได้ความว่า เธอแพ้หัวหอมค่ะ ไม่ว่าจะหอมมากหอมน้อย ต้องเกิดอาการแบบนี้ทุกที

พอตั้งสติได้ ก็เลยบอกไปว่า เวลาก่อนปอกหอมแดงหรือจะประกอบอาหารอะไร

ที่ต้องผ่านกิจกรรมเกี่ยวกับการปอกหอมหรือกระเทียม วิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนแพ้กลิ่น

ควรเอาหัวหอมหรือกระเทียมทั้งเปลือกมาแช่น้ำที่ใส่น้ำแข็ง ตั้งทิ้งไว้สัก 5 นาที

แล้วค่อยนำมาปอก จะหั่น สับ ซอย ยังไง ก็จะไม่เสียน้ำตาให้ใครอีกเลย

ด้วยประการฉะนี้ค่ะ แถมกลิ่นของหอม กระเทียมที่จะติดมือก็มีน้อยมาก

แต่ถ้ากลิ่นไม่พึงต้องการยังติดมือ แนะนำให้ใช้ยาสีฟัน ยี่ห้ออะไรก็ได้

นำมาล้างมือที่ยังเหลือกลิ่นติดอยู่ รับรองรองว่าสบายใจหายห่วงได้เลยค่ะ
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** ทำไข่ดาวโดยไม่ต้องพึ่งกะทะ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2007, 00:18
วันนี้นึกอยากทานไข่ดาวแต่เนื่องจากน้องแจ๋วลาป่วย

เลยต้องลุกขึ้นมาทำเอง นึกไปนึกมา เราก็มีไมโครเวฟคู่ใจ แถมตอนนี้ไม่ค่อยอยากบริโภคไขมัน

จากน้ำมันที่ทอดเท่าไหร่ ก็เลยคิดวิธีที่เคยจำๆเค้ามาลองทำค่ะ


ทำไข่ดาวโดยใช้ไมโครเวฟ เพียงหนึ่งนาทีกว่าๆ......


หาชามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นิ้ว ตอกไข่ใส่ลงไปในชามที่เตรียม

ใช้ปลายไม้จิ้มฟันแหลมๆ จิ้มลงที่ไข่แดงสักสองครั้งแบบเร็วๆ

นำไปใส่ในไมโครเวฟ ใช้ไฟแรงสูงสุดประมาณ 800 W เพียง 1 นาที ก็จะได้ไข่ดาว ที่มีไข่ขาวที่นุ่มลิ้น

และไข่แดงที่ไม่แข็งจนเกินไป มีลักษณะเป็นยางมะตูม เหยาะซอสแมกกี้นิด พริกไทหน่อย

รวดเร็วทันใจ สะดวกง่ายดายมากๆเลยค่ะ
:slime_inlove:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 24-09-2007, 00:52
ขอส฿ตรอาหารลดความอ้วนหน่อยจิคร้าบบ  ไม่ไหวแล้วต้องลดซะหน่อย ขอขอบคุณล่วงหน้านะคร้าบ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2007, 01:30
ขอส฿ตรอาหารลดความอ้วนหน่อยจิคร้าบบ  ไม่ไหวแล้วต้องลดซะหน่อย ขอขอบคุณล่วงหน้านะคร้าบ :slime_smile:


ปัญหาโลกแตกเลยนะคะนั่น..

แต่ไม่เป็นไร เพราะเพิ่งได้สูตรจากญาติสนิทมากๆมาโดยบังเอิญ

สูตรลดความอ้วนภายในสามวัน ลดได้ 2.5 กก. แต่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

และเธอบอกว่าได้ผลแน่นอน เพราะว่าโดนบังคับให้เทคคอร์สทั้งแผนกที่บริษัทฯของเธอ

แล้วทุกคนลดน้ำหนักได้อย่างจริงจัง

รอแป๊ะนึงนะคะ เดี๋ยวไปถามให้เพราะเพิ่งได้คุยกันกับเธอวันนี้เองค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 24-09-2007, 11:13
ไข่ดาวแบบนี้ผมว่าเอาไปทำไข่กระทะเลยดีกว่า
ใส่หมูยอ กุนเชียง หมูสับ(รวนสุกแล้ว) ลงไปพร้อมกับไข่
พอครบ 1นาทีเอาออกมาใส่หมูหยอง โรยต้นหอมนิดนึง
ถ้าชอบมะเขือเทศก็ฝานเป็นชิ้นบางๆใส่ซัก 2-3ชิ้น
โรยพริกไท ใส่ซอสแม็กกี้ อาหย่อย  :slime_inlove:


แต่สูตรลดน้ำหนักทรมานแบบคุณดอกฟ้า
ผมกลัวโยโย่เอฟเฟค ลดได้สอง ขึ้นกลับมาสี่น่ะสิ :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 24-09-2007, 11:27
ไข่ดาวแบบนี้ผมว่าเอาไปทำไข่กระทะเลยดีกว่า
ใส่หมูยอ กุนเชียง หมูสับ(รวนสุกแล้ว) ลงไปพร้อมกับไข่
พอครบ 1นาทีเอาออกมาใส่หมูหยอง โรยต้นหอมนิดนึง
ถ้าชอบมะเขือเทศก็ฝานเป็นชิ้นบางๆใส่ซัก 2-3ชิ้น
โรยพริกไท ใส่ซอสแม็กกี้ อาหย่อย  :slime_inlove:


แต่สูตรลดน้ำหนักทรมานแบบคุณดอกฟ้า
ผมกลัวโยโย่เอฟเฟค ลดได้สอง ขึ้นกลับมาสี่น่ะสิ :slime_hmm:

มันเป็นผลข้างเคียงจากความอดทนหิวช่ายม้า :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-09-2007, 22:35

ยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องทำอย่างไร

ต้องทานอะไรบ้าง ทำไมถอดใจกันซะแหล๊วคะ :slime_surrender:


เค้าบอกคร่าวๆว่าไม่ได้ให้อดอาหารเลยค่ะ ในสูตร มีชีส มีไอกรีม มีผัก ไข่ต้ม

ขนมปังปิ้ง ชาหรือกาแฟ ไม่ได้ให้อดอาหารซักหน่อย รับรองได้ทานครบสามมื้อ

ส่วนเรื่องโยโย่ เธอบอกว่าไม่มีค่ะ

นอกจากหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว จะกลับมาทานมากจนผิดปรกติ
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 24-09-2007, 23:20
ยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องทำอย่างไร

ต้องทานอะไรบ้าง ทำไมถอดใจกันซะแหล๊วคะ :slime_surrender:


เค้าบอกคร่าวๆว่าไม่ได้ให้อดอาหารเลยค่ะ ในสูตร มีชีส มีไอกรีม มีผัก ไข่ต้ม

ขนมปังปิ้ง ชาหรือกาแฟ ไม่ได้ให้อดอาหารซักหน่อย รับรองได้ทานครบสามมื้อ

ส่วนเรื่องโยโย่ เธอบอกว่าไม่มีค่ะ

นอกจากหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว จะกลับมาทานมากจนผิดปรกติ
:slime_bigsmile:


ยังมะได้ถอดใจคับใจยังสู้อยู่เสมอ วันๆนั่งทำงานแต่หน้าคอมไม่มีเวลาไปออกกำลังกายด้วยจิ :slime_shy:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 25-09-2007, 01:03
ยังมะได้ถอดใจคับใจยังสู้อยู่เสมอ วันๆนั่งทำงานแต่หน้าคอมไม่มีเวลาไปออกกำลังกายด้วยจิ :slime_shy:


ดีค่ะ....งั้นตอนนี้ดอกฟ้าฯจะให้สูตรลดความอวบให้ก่อนไปพลางๆนะคะ

สูตรนี้คนใกล้ชิดนำไปใช้แล้วเห็นผล เลยเอามาบอกต่อ แต่บังเอิญดอกฟ้าฯ ยังไม่ต้องใช้ค่ะ


ชามะละกอ

ส่วนประกอบ

มะละกอดิบ    1  ลูก

ชาเขียวหรือชาใบหม่อน ถ้าไม่มีชาจีนยี่ห้ออะไรก็ได้ ครึ่งกำมือ

ดอกเก็กฮวยแห้ง  50 กรัม



วิธีทำ


ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาดนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แบบทำแกงส้มมะละกอ

ใส่น้ำ 4 ลิตร ตั้งไฟจนเดือด

ใส่มะละกอและดอกเก็กฮวยลงไป ต้มประมาณ 15 นาที

นำไปกรองผ่านผ้าขาวบางหรือตระแกรงที่ตาถี่ๆ นำชาที่เตรียมไว้ใส่ในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่

แช่ชาไว้ 5 นาที แล้วกรองกากชาทิ้งอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุขวดเก็บในตู้เย็นทานได้ 3 วัน

ช่วงแรกที่ทานจะทำให้ถ่ายท้องบ้างไม่ต้องตกใจ ควรเริ่มทำในวันหยุด ควรดื่มเป็นประจำ

คุณสมบัติช่วยล้างลำใส้ ทำให้การดูดซึมอาหารวิตามินที่มีประโยชน์

เข้าสู่ร่างกายได้ดี ลดไขมันในร่างกายตามที่เค้าบอกมาว่าลดได้ 4 กก.ภายในเดือนครึ่ง

ข้อห้าม:  อย่าใส่น้ำตาลในชานี้เด็ดขาด


เค้าบอกมาว่าได้ผลดี และดูจากส่วนประกอบไม่มีอะไรน่าจะเป็นอันตรายใดๆค่ะ


คาดว่าจะเอามาจากหนังสือ กินเป็นลืมป่วยนะคะ  :slime_v:




หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 09-10-2007, 23:53
เรื่องของพริกที่ไม่พลิกแพลงค่ะ

ตอนนี้พริกขี้หนูสวนขีดละ 15 บาท ขาดตัว แถมครัวไทยขาดพริกได้ซะที่ไหน

แต่บางครั้งอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อประกอบอาหาร ในวันที่ต้องการแต่อาจเป็นในเวลาที่ว่างจริงๆ

มาดูอีกที เน่าขั้วดำจนใช้ไม่ได้ เสียดายจริงๆ


วิธีการเก็บพริก เอาไว้ใช้ได้นานๆ เพราะบางเวลาเราไม่ได้ประกอบอาหารทุกมื้อจากพริก

คือ ล้างพริกให้สะอาดเด็ดขั้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ลงในกล่องพลาสติกที่รองด้วยกระดาษทิชชู่นุ่มๆ

ปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถยืดอายุพริกของเราๆท่านๆได้นานกว่าที่ซื้อแล้วสามสี่วันมาพบอีกที

เน่าซะแล้ว
:slime_dizzy:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 09-10-2007, 23:57

ดีค่ะ....งั้นตอนนี้ดอกฟ้าฯจะให้สูตรลดความอวบให้ก่อนไปพลางๆนะคะ

สูตรนี้คนใกล้ชิดนำไปใช้แล้วเห็นผล เลยเอามาบอกต่อ แต่บังเอิญดอกฟ้าฯ ยังไม่ต้องใช้ค่ะ


ชามะละกอ

ส่วนประกอบ

มะละกอดิบ    1  ลูก

ชาเขียวหรือชาใบหม่อน ถ้าไม่มีชาจีนยี่ห้ออะไรก็ได้ ครึ่งกำมือ

ดอกเก็กฮวยแห้ง  50 กรัม



วิธีทำ


ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาดนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แบบทำแกงส้มมะละกอ

ใส่น้ำ 4 ลิตร ตั้งไฟจนเดือด

ใส่มะละกอและดอกเก็กฮวยลงไป ต้มประมาณ 15 นาที

นำไปกรองผ่านผ้าขาวบางหรือตระแกรงที่ตาถี่ๆ นำชาที่เตรียมไว้ใส่ในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่

แช่ชาไว้ 5 นาที แล้วกรองกากชาทิ้งอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุขวดเก็บในตู้เย็นทานได้ 3 วัน

ช่วงแรกที่ทานจะทำให้ถ่ายท้องบ้างไม่ต้องตกใจ ควรเริ่มทำในวันหยุด ควรดื่มเป็นประจำ

คุณสมบัติช่วยล้างลำใส้ ทำให้การดูดซึมอาหารวิตามินที่มีประโยชน์

เข้าสู่ร่างกายได้ดี ลดไขมันในร่างกายตามที่เค้าบอกมาว่าลดได้ 4 กก.ภายในเดือนครึ่ง

ข้อห้าม:  อย่าใส่น้ำตาลในชานี้เด็ดขาด


เค้าบอกมาว่าได้ผลดี และดูจากส่วนประกอบไม่มีอะไรน่าจะเป็นอันตรายใดๆค่ะ


คาดว่าจะเอามาจากหนังสือ กินเป็นลืมป่วยนะคะ  :slime_v:




ไม่ได้เข้ามาดูเลย  ขอบคุณ  คุณดอกฟ้ามากนะครับ จะเอาไปปฏิบัติดู ได้ผลยังไงเด๋วจามาบอกนะครับ :slime_smile:

สู้เพื่อ...........


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 10-10-2007, 00:06
ไม่ได้เข้ามาดูเลย  ขอบคุณ  คุณดอกฟ้ามากนะครับ จะเอาไปปฏิบัติดู ได้ผลยังไงเด๋วจามาบอกนะครับ :slime_smile:

สู้เพื่อ...........


ถ้าหุ่นหล่อเพรียวเปรี้ยวใจ ส่งหลักฐานมาให้ดูกันบ้างเด้ออ...อิ อิ :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 10-10-2007, 00:09

ถ้าหุ่นหล่อเพรียวเปรี้ยวใจ ส่งหลักฐานมาให้ดูกันบ้างเด้ออ...อิ อิ :slime_v:

ดูรูปผมด้านซ้ายมือไปพลางๆก่อนละกันครับ :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 10-10-2007, 00:13
ดูรูปผมด้านซ้ายมือไปพลางๆก่อนละกันครับ :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_agreed:

ก๊าบบบ....โพ้มมมม....


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 10-10-2007, 09:15
เรื่องของพริกที่ไม่พลิกแพลงค่ะ

ตอนนี้พริกขี้หนูสวนขีดละ 15 บาท ขาดตัว แถมครัวไทยขาดพริกได้ซะที่ไหน

แต่บางครั้งอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อประกอบอาหาร ในวันที่ต้องการแต่อาจเป็นในเวลาที่ว่างจริงๆ

มาดูอีกที เน่าขั้วดำจนใช้ไม่ได้ เสียดายจริงๆ


วิธีการเก็บพริก เอาไว้ใช้ได้นานๆ เพราะบางเวลาเราไม่ได้ประกอบอาหารทุกมื้อจากพริก

คือ ล้างพริกให้สะอาดเด็ดขั้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ลงในกล่องพลาสติกที่รองด้วยกระดาษทิชชู่นุ่มๆ

ปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถยืดอายุพริกของเราๆท่านๆได้นานกว่าที่ซื้อแล้วสามสี่วันมาพบอีกที

เน่าซะแล้ว
:slime_dizzy:

ใส่กระจาด ใส่ถุงพลาสติกซะจนเคย
จริงๆใส่กล่องก็ดี จะได้วางเก็บได้เป็นระเบียบ
เพียงแต่ว่า.....ที่บ้านปลูกพริกไว้ใช้เอง
มีใช้แค่วันต่อวัน ไม่มีเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นนานๆซักทีน่ะสิครับ :slime_bigsmile:

ส่วนชามะละกอ...ผมว่ามันจะกลายเป็นส้มตำก่อนจะเป็นชา
แซ่บอีหลีเด้อ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 10-10-2007, 20:40
ใส่กระจาด ใส่ถุงพลาสติกซะจนเคย
จริงๆใส่กล่องก็ดี จะได้วางเก็บได้เป็นระเบียบ
เพียงแต่ว่า.....ที่บ้านปลูกพริกไว้ใช้เอง
มีใช้แค่วันต่อวัน ไม่มีเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นนานๆซักทีน่ะสิครับ :slime_bigsmile:

ส่วนชามะละกอ...ผมว่ามันจะกลายเป็นส้มตำก่อนจะเป็นชา
แซ่บอีหลีเด้อ




เคยปลูกพริกไว้ใช้แล้วค่ะ มีสองต้นเป็นพริกขี้หนูพันธุ์กระเหรี่ยง

เผ็ดมาก แต่ตอนนี้เค้าตายไปหมดแล้วค่ะ เลยต้องซื้อเอา

ส่วนชามะละกอ ดอกฟ้าฯใช้วิธีแบ่งครึ่งค่ะ ซื้อมะละกอมาหนึ่งลูก

ตำบักหุ่งครึ่งลูก แล้วเอามาทำชามะละกอครึ่งลูก เพราะชามะละกอเก็บไว้ไม่ได้นาน ห้ามเกิน 3 วัน

แค่นี้ก็สบายใจหายห่วง
:slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: SEFAH ที่ 11-10-2007, 19:16
เรื่องเบคอนที่ไม่เคยรู้เลยอาะครับขอบคุรจริงครับ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** เคล็ดลับข้างครัว ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 29-10-2007, 20:39
เรื่องเบคอนที่ไม่เคยรู้เลยอาะครับขอบคุรจริงครับ


ด้วยความยินดีค่ะ

การแบ่งปันสิ่งที่รู้ คือการให้

เล็กๆน้อยๆก็ยังดีค่ะ
 :slime_smile:

...............................................................................



วันนี้เคล็ดลับข้างครัว..... ที่จะอยากจะเอามาฝาก :slime_v:

คือการเจียวหอมหรือกระเทียมที่จะนำไปประกอบอาหาร ใครหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ

คือเตรียมหอมหรือกระเทียมไว้ รอน้ำมันที่ร้อนปานกลาง ใส่หอมหรือกระเทียมที่จะเจียวให้กรุบกรอบ

เก็บไว้ได้นานๆ คือ ใส่เกลือป่นลงไปเวลาเจียวเล็กน้อย

เสร็จแล้วกรองผ่านกระชอนตาถี่ๆ ทิ้งใว้จนเย็น จะได้ หอมเจียว กระเทียมเจียวที่กรอบนาน

เก็บไว้ในภาชนะสูญญากาศ เพื่อถนอมอาหาร อยากนำมาใช้เมื่อไหร่ ได้ทุกครั้งที่ต้องการ


 :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็นด้วยวิธีธรรมชาติ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 01-11-2007, 22:51
วิธีดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในตู้เย็นด้วยวิธีธรรมชาติและปลอดภัย

คือ หาแตงโม จะพันธุ์ จินตหรา พูนลาภ หรือจินตหรา สุขพัฒน์ หรืออื่นๆก็ได้ค่ะ

แต่ห้ามใช้แตงไทย หรือแตงกวาเป็นอันขาดเพราะผิดสูตร

นำแตงโมลูกขนาดย่อมๆ มาผ่าครึ่งลูก แล้วนำไปแช่ตู้เย็นที่อาจมีกลิ่นของอาหาร

ของเราที่หลงลืมแช่ไว้จนส่งกลิ่นที่ไม่ชวนดม แม้กระทั่งทำความสะอาดแล้วแต่กลิ่นก็ยังไม่ยอมหายไป


วางแตงโมผ่าครึ่งลูกแช่ใว้สัก 1 วัน กลิ่นต่างๆที่รบกวนก็จะหมดไปค่ะ
:slime_inlove:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 19:35
"เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง....หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า"

ได้ยินเพลงนี้ลอยมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ บังเอิญช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง

มีอาการเจ็บคอคล้ายจะเป็นหวัด เลยเอาน้ำผึ้งเดือนห้าแท้ๆที่ได้มาจากคนที่น่ารัก

ผสมน้ำอุ่น มะนาว 1 ซีก เกลือนิดหน่อย ตามสูตรที่คุณแม่สอนไว้มาจิบ

ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีขึ้นมากเลยค่ะ

เพราะที่จริงเมื่อก่อนเวลาเริ่มเจ็บคอ จะทานยาละลายเสมหะ Flumucil 100 mg

เป็นประจำ แต่พอได้ยินเพลงที่ได้ยินมา เลยนึกถึงว่า ของธรรมชาติย่อมดีกว่ายาสังเคราะห์

ด้วยคำที่ว่า "ธรรมชาติย่อมรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ"

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรดูแลสุขภาพให้มากกว่าเดิมนะคะ

เดี๋ยวจะเอาสาระประโยชน์เกี่ยวกับน้ำผึ้งมาฝากใครที่สนใจค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: อธิฏฐาน ที่ 08-11-2007, 19:51

ที่บ้านมีน้ำผึ้งป่าเป็นยาสามัญประจำบ้านค่ะคุณดอกฟ้าฯ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 20:34
ที่บ้านมีน้ำผึ้งป่าเป็นยาสามัญประจำบ้านค่ะคุณดอกฟ้าฯ


น่าอิจฉาจัง ตอนนี้น้ำผึ้งป่าจากธรรมชาติหายากขึ้นทุกวัน

เพราะระบบนิเวศน์ของเราเริ่มถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์

หากคุณอธิฏฐาน มีเกร็ดความรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำผึ้ง

เอามาบอกเล่าแลกเปลี่ยนกันก็จะขอบคุณมากค่ะ
:slime_smile: :slime_inlove:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 21:09
น้ำผึ้ง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 
น้ำผึ้งน้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar)

โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง

จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้น

จนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง

เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์




ทดสอบน้ำผึ้งแท้

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก

นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก

วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้

มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
 
มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ
 
มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
 
ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
 
ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
 
ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
 
การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน
 
ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: อธิฏฐาน ที่ 08-11-2007, 21:29

บางอำเภอของจังหวัดสงขลา ยังมีป่าไม้และภูเขาอยู่ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น้ำผึ้งป่าจะมีรสหวานแปลก ๆ มีรสเปรี้ยวเจือนิดหน่อย เพราะมาจากเกสรดอกไม้หลากชนิด ราคาต่ำสุดขวดแบน 200 บาท ขวดกลมราคา 400 บาท หากถูกกว่านี้คงไม่ใช่น้ำผึ้งรวงแท้

บางครั้งชงกาแฟก็ใส่น้ำผึ้งรวงแทนน้ำตาลทราย หรือราดขนมปังก็อร่อยไม่แพ้แยม น้ำผึ้งใหม่ช่วยให้ท้องไม่ผูก และเผาผลาญพลังงานได้ด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 22:16
บางอำเภอของจังหวัดสงขลา ยังมีป่าไม้และภูเขาอยู่ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น้ำผึ้งป่าจะมีรสหวานแปลก ๆ มีรสเปรี้ยวเจือนิดหน่อย เพราะมาจากเกสรดอกไม้หลากชนิด ราคาต่ำสุดขวดแบน 200 บาท ขวดกลมราคา 400 บาท หากถูกกว่านี้คงไม่ใช่น้ำผึ้งรวงแท้

บางครั้งชงกาแฟก็ใส่น้ำผึ้งรวงแทนน้ำตาลทราย หรือราดขนมปังก็อร่อยไม่แพ้แยม น้ำผึ้งใหม่ช่วยให้ท้องไม่ผูก และเผาผลาญพลังงานได้ด้วยค่ะ



ขอบคุณค่ะ....พูดถึงเรื่องน้ำผึ้งแก้ท้องผูก

ดอกฟ้าฯ มีสูตรได้มาจากรุ่นน้องที่บอกมา

ใช้น้ำผึ้งผสมโยเกิรต์ใส่มะนาวสดเล็กน้อย เพื่อแก้ท้องผูกได้ดีทีเดียว

ข้อควรระวังคือ...ต้องทานในวันหยุดค่ะ เพราะได้ผลชงัดดีนักแล
:slime_smile2: :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 08-11-2007, 22:27


  โธ่ถัง  นึกว่าใคร  เป็นคุณ ดอกฟ้ากับหมาฟัด เอ้ยขอโทษ

 คุณดอกฟ้ากับหมาวัดเอง   มาเปลี่ยนชื่อซะให้งง
   :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 22:28
เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา


 ลดการอักเสบ

หากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรืออบเชย ชาเสจ ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว)

ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด

จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว



 รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา

ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง


 ต้านข้ออักเสบ

ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง


 แก้อาการท้องผูก

กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน


 แก้นอนไม่หลับ

น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น


 บำรุงเลือด

เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด


 บรรเทาอาการไอ

 ส่วนผสม

น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)


 วิธีทำ

คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง


 วิธีกิน

กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง


 บำบัดเบาหวาน

 ส่วนผสม

สาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม


 วิธีทำ

ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด


 วิธีกิน

ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้


 ลดความดันโลหิตสูง

 ส่วนผสม

น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม


วิธีทำ

ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง


 วิธีกิน

ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง


 ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก


ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน

สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป

โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา

 และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา

ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น


 สำหรับผิวหน้าสดใส

ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้

หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก

นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก

น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น


 เพื่อผมเงางาม

หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ

นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ



ที่มา...จากที่เดิมค่ะ



 :slime_inlove: :slime_inlove: :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ********Q******** ที่ 08-11-2007, 22:33


ชื่อใหม่ถูกใจมากครับ ?  :slime_inlove: :slime_cool: :slime_sentimental:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 22:37

  โธ่ถัง  นึกว่าใคร  เป็นคุณ ดอกฟ้ากับหมาฟัด เอ้ยขอโทษ

 คุณดอกฟ้ากับหมาวัดเอง   มาเปลี่ยนชื่อซะให้งง
   :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:




ทำงี้...ผิดเร๊อะ

แค่อยากอินเทรนด์บ้าง ชาวบ้านร้านตลาดเค้าเปลี่ยนชื่อกันออกเยอะไป

ก็เลยอยากเปลี่ยนบ้างไง แต่อยากจะเปลี่ยนรูป แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ค่ะ

 :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 22:46

ชื่อใหม่ถูกใจมากครับ ?  :slime_inlove: :slime_cool: :slime_sentimental:


อุ๊ย....มีคนชอบชื่อนี้ด้วย

อะห๊า...มีกำลังใจมาอักโขเลยค่ะ

พอดีหมาวัดไม่รักดีโดนรถทับแบบแต๊ดแต๋เลย

สงสารก็สงสาร แต่ต้องทำใจ



 :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ********Q******** ที่ 08-11-2007, 22:52

อุ๊ย....มีคนชอบชื่อนี้ด้วย

อะห๊า...มีกำลังใจมาอักโขเลยค่ะ

พอดีหมาวัดไม่รักดีโดนรถทับแบบแต๊ดแต๋เลย

สงสารก็สงสาร แต่ต้องทำใจ



 :slime_hmm:

ก้าวต่อไปครับ..ชื่อสุดท้ายขอให้เป็นนางฟ้า กับ ขนมหวาน ไว้แจกเด็กๆ ครับ  :slime_inlove: :slime_sentimental: :slime_cool:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 08-11-2007, 23:02
ก้าวต่อไปครับ..ชื่อสุดท้ายขอให้เป็นนางฟ้า กับ ขนมหวาน ไว้แจกเด็กๆ ครับ  :slime_inlove: :slime_sentimental: :slime_cool:


ของหวาน...ทานมากเกรงจะฟันผุค่ะ

"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

"หวานๆขมๆ เป็นทั้งลมเป็นทั้งยา"

ขอบคุณที่กรุณามาร่วมแจมกระทู้
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ********Q******** ที่ 08-11-2007, 23:10

ของหวาน...ทานมากเกรงจะฟันผุค่ะ

"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"

"หวานๆขมๆ เป็นทั้งลมเป็นทั้งยา"

ขอบคุณที่กรุณามาร่วมแจมกระทู้
:slime_bigsmile:


   :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 11-11-2007, 00:24
สารสำคัญในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ

เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย

ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์

ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์

และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์

โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า

 องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง

ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต

รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น

นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย

ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ

และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี



อ้างอิง...จากที่เดิมค่ะ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-11-2007, 20:36
ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง


ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย

แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ

คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก

 สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ



น้ำผึ้งในตำรายาจีน

ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้

ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย

และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว

และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี

ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย

แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว

ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา

 ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

..............................................

เอามาฝากต่อค่ะ....


จากแหล่งอ้างอิงเดิม




หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 12-11-2007, 21:16
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ

วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง
ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า   น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ 
แม่ค้าตอบ  แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง
ผมถาม    เท่าไหร่เหรอครับ
แม่ค้าตอบ   ขวดละ 150 จ้า 
ผมถาม  ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย   
แม่ค้าตอบ  ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง :slime_dizzy:

 :slime_smile2: :slime_smile2: ขำขำ


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-11-2007, 21:41
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ

วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง
ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า   น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ 
แม่ค้าตอบ  แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง
ผมถาม    เท่าไหร่เหรอครับ
แม่ค้าตอบ   ขวดละ 150 จ้า 
ผมถาม  ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย   
แม่ค้าตอบ  ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง :slime_dizzy:

 :slime_smile2: :slime_smile2: ขำขำ



แบบนี้ต้องให้เครดิตแม่ค้านะคะ

แปลว่าเธอไม่เอาเปรียบผู้บริโภค...อิ อิ :slime_smile2: ฮา..ซะไม่มี
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 12-11-2007, 22:07
เรื่องการหาน้ำผึ้งป่าจากแหล่งธรรมชาติ

เคยได้ไปคุยกับคนหาของป่านะคะ เป็นคนกะเหรี่ยงเค้าบอกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า เป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุด

คือไม่มีน้ำฝนเจือปน คือจะไปตีผึ้งตอนเดือนปลายเดือนมีนาคมหรืออย่างช้า ไม่เกินกลางเมษา

เพราะช่วงนั้นฝนจะไม่ตก ทำให้น้ำผึ้งที่ได้จะไม่มีน้ำฝนเจือปนเก็บไว้ได้นานนับสิบปี

ยิ่งเก็บนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคุณสมบัติเป็นกระสายยาได้ดี บางคนเล่าว่าน้ำผึ้งสามารถ

รักษาโรคต้อทางสายตาต่างๆได้ ตรงนี้ไม่ยืนยันค่ะ หากใครมีข้อมูลดีๆ อยากให้เอามาแลกเปลี่ยนกัน

บางครั้งธรรมชาติก็มีอะไรที่น่ากลับไปอยู่แบบธรรมชาติ

โดยเราไม่ต้องขวนขวายพึ่งเทคโนโลยี่จากต่างประเทศให้เสียงบประมาณไปมากมาย

หากประชากรเราแข็งแรง งบประมาณที่ต้องเสียไปกับยาสังเคราะห์ ที่มีผลข้างเคียงแบบยาปฎิชีวนะ

รักษาโรคได้แต่ก็ไปกดภูมิคุ้มกันบางอย่างให้เสียไป

แบบว่าได้อย่างเสียหลายอย่าง....ก็น่าคิดนะ

โดยส่วนตัวไม่เคยทานยาแผนปัจจุบันมาหลายปีแล้วค่ะ



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: อธิฏฐาน ที่ 12-11-2007, 23:33
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ

วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง
ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า   น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ 
แม่ค้าตอบ  แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง
ผมถาม    เท่าไหร่เหรอครับ
แม่ค้าตอบ   ขวดละ 150 จ้า 
ผมถาม  ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย   
แม่ค้าตอบ  ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง :slime_dizzy:

 :slime_smile2: :slime_smile2: ขำขำ


น้ำเชื่อมแท้ค่ะ ไม่มีปลอมปน

 :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: พัน.ตระ.กะ.โท.ด็อกเตอร์ ทากสิน กินดินวัด ที่ 13-11-2007, 00:40
ขอบคุณ  :slime_worship:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 18-11-2007, 20:41


นํ้าผึ้ง

เรียบเรียงโดย นว.5 สุกัลยา พลเดช


นํ้าผึ้ง เป็นสารให้ความหวานตามธรรมชาติที่ได้จากผึ้ง ลักษณะเป็นของเหลวค่อนข้างข้น

สีเหลืองจนถึงนํ้าตาล ผึ้งผลิตโดยใช้นํ้าหวานจากดอกไม้ผ่านกระบวนการในตัวผึ้ง ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนํ้าหวาน

และทำ ให้เข้มข้นขึ้นโดยดึงนํ้าออกบางส่วนนํ้าผึ้งจะเหลือนํ้าไม่เกิน 20%

นํ้าผึ้งประกอบด้วยนํ้าตาลเชิงเดี่ยว 2 ชนิดคือ นํ้าตาลกลูโคส และนํ้าตาลฟรุกโทส

จัดเป็นแหล่งพลังงานได้เป็นอย่างดีสำ หรับทุกเพศทุกวัย ร่างกายสามารถดูดซึมและนำ ไปใช้ได้ทันที

นํ้าผึ้งเหมาะสำหรับเด็กๆที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี เนื่องจากอยู่ในวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต

ต้องการพลังงานมาก นอกจากนี้นํ้าผึ้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิดจากธรรมชาติ เช่น ฟอสฟอรัส

ช่วยเสริมร่างกายให้แข็งแรง เหล็กจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกติ ทองแดง แมงกานีส แคลเซียม

โพแทสเซียม โซเดียม และเกลือแร่อีกหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและทำ ให้ระบบไหลเวียน

เลือดและระบบนํ้าย่อยทำ งานได้ดีขึ้น ที่สำ คัญคือในนํ้าผึ้งยังมีวิตามินต่างๆซึ่งได้แก่ วิตามินบี1 บี2

บี3 บี5 บี6 ซี อี เค และแคโรทีน รวมทั้งโปรตีน กรดอมิโนที่จำ เป็นต่อร่างกาย ส่วนเอนไซม์และ

ฮอร์โมน ถึงแม้จะมีปริมาณน้อยแต่ช่วยเสริมให้นํ้าผึ้งมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น

สรรพคุณของน้ำผึ้ง มนุษยไ์ด้รู้จักและนำ น้ำผึ้งมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยนำ น้ำผึ้งมา

ใช้เป็นอาหาร เป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรต่างๆ และยังใช้เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค

นํ้าผึ้งนอกจากจะให้รสหวานแล้วยังมีกลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้แต่ละชนิด

จึงนำ มาใช้เป็นสารประกอบของอาหารหลายๆอย่าง เช่น ทาบนขนมปัง เติมลงในนม นมเปรี้ยว เพื่อช่วยเสริมรสชาติและกลิ่น

หรือเติมในเครื่องดื่มผลไม้ต่างๆ เช่น นํ้ามะนาว ทำ ให้ชุ่มคอและแก้กระหายนํ้าได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังสามารถนำ มาประกอบอาหารได้หลายชนิดแทนนํ้าตาลทราย เช่น ขนมคุกกี้ ขนมเค้ก ลูกกวาด ผลไม้แช่อิ่ม

นอกจากนี้นํ้าผึ้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้

เนื่องจากการที่นํ้าผึ้งมีความชื้นน้อย มีแรงดูดซึม(osmosis pressure)สูง สามารถดึงนํ้าจากเซลล์จุลินทรีย์

ออกมาจนทำ ให้จุลินทรีย์ตายได้

สรรพคุณของนํ้าผึ้งอีกประการหนึ่งที่เรารู้จักกันมานาน คือถ้าใช้นํ้าผึ้งบริสุทธิ์ทาผิวหน้าทิ้งไว้ราว 3-4 นาที

แล้วจึงใช้ผ้าขนหนูชุบนํ้าอุ่นๆเช็ดออก จะช่วยให้ผิวหน้าสดใส

เนื่องจากนํ้าผึ้งมีสารแอนติออกซิแดนท์ วิตามิน และกรดอมิโนซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหนัง

และช่วยชะลอการเสื่อม ของเซลล์ ปัจจุบันมีการใช้นํ้าผึ้งเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ สำหรับดูแลผิวหน้า

ตั้งแต่การทำ ความสะอาดผิว กระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุมชื้น

ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เช่น สบู่ครีมล้างหน้า ครีมขัดหน้า ครีมพอกหน้า


...........................................................

ดอกฟ้าเพิ่งทำกล้วยตากอบน้ำผึ้งเดือนห้าเก็บใส่กล่องไว้ทานเมื่อเร็วๆนี้เอง

โชคดีที่ฝนไม่ตก มีแดดแรงทุกวัน

อร่อยจริงๆค่ะ ตอนนี้ยังทานไม่หมด

เลยทำแจกเพื่อนฝูงดีกว่าค่ะ  มีความสุขดีจัง :slime_bigsmile:



หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-11-2007, 00:38
มาต่อค่ะ...

กล้วยตากอบน้ำผึ้ง


กล้วยน้ำว้าสุกลูกสีเหลืองๆ กี่ลูกก็ได้

ตั้งน้ำบนเตาใส่เกลือทะเลประมาณนึง จนเดือดเล็กน้อย

ใส่กล้วยน้ำว้าที่ปอกเปลือกลงไปลวก เพื่อให้ยางและเศษใยกล้วยหลุดออกเกือบหมด

นำมาผึ่งบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ นำไปตากแดด สักสามสี่วัน พอกล้วยเริ่มมีสีคล้ำ

นำกล้วยใส่ถุงพลาสติค เอาไม้คลึงแป้งหรือขวดอะไรก็ได้ ถ้าไม่มี ไม้เบสบอลก็ไม่เกี่ยง

คลึงกล้วยเบาๆจนแบน นำไปตากต่ออีก 2 วัน จนหน้าตา สีสันเหมือนกล้วยตากที่เค้าขายกัน

ใช้แปรงทำขนม ชุบน้ำผึ้งทาให้ทั่วกล้วยตากทั้งสองด้าน นำไปตากต่ออีกสักสองวัน

หลังจากนั้นเก็บใส่กล่องไว้ทานได้ทุกเมื่อเวลาต้องการ

จบแล้วค่ะ...
:slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 19-11-2007, 00:54


 คุณดอกฟ้าครับ  ขอถามนิดนะว่า  กล้วยน้ำว้าเอาแบบไหนใช้ครับ

คือๆๆๆๆๆๆๆว่าๆๆๆๆๆๆ เท่าที่ผมทราบมันมีสองพันธุ์ครับ

คือแบบ กล้วยน้ำว้าใส้ขาว  กับ กล้วยน้ำว้าใส้(ใน)สีเหลืองครับ

กล้วยแบบแรกผมว่ารสชาติ  อร่อยที่สุดตอนทานกล้วยสุกครับ   :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-11-2007, 01:04

 คุณดอกฟ้าครับ  ขอถามนิดนะว่า  กล้วยน้ำว้าเอาแบบไหนใช้ครับ

คือๆๆๆๆๆๆๆว่าๆๆๆๆๆๆ เท่าที่ผมทราบมันมีสองพันธุ์ครับ

คือแบบ กล้วยน้ำว้าใส้ขาว  กับ กล้วยน้ำว้าใส้(ใน)สีเหลืองครับ

กล้วยแบบแรกผมว่ารสชาติ  อร่อยที่สุดตอนทานกล้วยสุกครับ   :slime_smile2:



อืมมม......ตอนทำก็ลืมดูนะคะ

แต่ว่ากล้วยน้ำว้าจะแบบไหนใส้สีอะไรก็น่าจะอร่อยได้ทุกแบบ

เพราะว่าเป็นผลไม้ที่ซื้อหาได้ไม่ยาก และราคาก็ไม่แพง

ที่ดอกฟ้าฯได้มาพอดีได้ของฟรี เพื่อนเอามาฝากตั้งเครือนึง

หลังจากบวชชีก็แล้ว เชื่อมก็แล้ว ยังทานไม่หมด เลยมานั่งนึกถึงวิธีถนอมอาหารให้ทานได้นานๆ

เลยเอามาทำกล้วยตากไงคะ

อยากได้สูตรกล้วยบวชชีป่าว ถ้าอยากได้จะบอกให้
:slime_smile2:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 19-11-2007, 01:16

อืมมม......ตอนทำก็ลืมดูนะคะ

แต่ว่ากล้วยน้ำว้าจะแบบไหนใส้สีอะไรก็น่าจะอร่อยได้ทุกแบบ

เพราะว่าเป็นผลไม้ที่ซื้อหาได้ไม่ยาก และราคาก็ไม่แพง

ที่ดอกฟ้าฯได้มาพอดีได้ของฟรี เพื่อนเอามาฝากตั้งเครือนึง

หลังจากบวชชีก็แล้ว เชื่อมก็แล้ว ยังทานไม่หมด เลยมานั่งนึกถึงวิธีถนอมอาหารให้ทานได้นานๆ

เลยเอามาทำกล้วยตากไงคะ

อยากได้สูตรกล้วยบวชชีป่าว ถ้าอยากได้จะบอกให้
:slime_smile2:


   เรียนคุณดอกฟ้าฯครับ  ที่ผมเรียนบอกกับคุณเรื่องจริงนะครับ

แม้จะเอาทำกล้วย(สาวอกหัก) บวชชี หรืออีกหลายๆขนมนะ

ผมถึงได้เรียนถามไงครับ  อยากทราบสูตรกล้วยสาวอกหักเหมือนกันครับ

อิอิ ผมพูดล้อเล่นนะครับ  เรื่องสาวอกหัก(กล้วยบวชชีอ่ะ)
    :slime_smile:




หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 19-11-2007, 01:30
"อกหักดีกว่ารักไม่เป็น"

แต่ไปเกี่ยวกับกล้วยบวชชียังไงไม่ทราบ ประมาณว่าอกหักแล้วต้องหนีไปบวชเหรอคะ

ว่าแล้วก็จะบอกให้ กล้วยน้ำว้าของเราทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง

ทำกล้วยฉาบเป็นของทานเล่นก็ได้

ขนมกล้วยห่อใบตองผสมมะพร้าวขูดเยอะๆก็ได้

เอาไปต้มใส่มะพร้าวน้ำตาลทานเป็นของหวานก็ได้

ให้เด็กอ่อนทานแทนอาหารเสริมก็ได้

กล้วยน้ำว้าห่ามๆ ทานแก้ท้องเสียก็ยังได้


ฯลฯ สารพัดประโยชน์ :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** กล้วยบวชชี(หนีรัก)***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 20-11-2007, 23:07

   เรียนคุณดอกฟ้าฯครับ  ที่ผมเรียนบอกกับคุณเรื่องจริงนะครับ

แม้จะเอาทำกล้วย(สาวอกหัก) บวชชี หรืออีกหลายๆขนมนะ

ผมถึงได้เรียนถามไงครับ  อยากทราบสูตรกล้วยสาวอกหักเหมือนกันครับ

อิอิ ผมพูดล้อเล่นนะครับ  เรื่องสาวอกหัก(กล้วยบวชชีอ่ะ)
    :slime_smile:






เอาสูตร กล้วยบวชชี(หนีรัก) มาฝากค่ะ



กล้วยน้ำว้าสุกกำลังดี   2   หวี

มะพร้าวขูด   1   กก. ไปคั้นน้ำให้ได้  1.5  กก.

น้ำตาลปี๊ป    400   กรัม

น้ำตาลทราย  200   กรัม

เกลือ เล็กน้อยตามความชอบ


วิธีทำ

นำกล้วยน้ำว้า ปอกเปลือก ผ่ากลางตามความยาวแล้วหั่นครึ่งลูก จะได้ 4 ซีก

นำไปแช่ในน้ำปูนใส  ประมาณ 20 นาที เพื่อให้ยางกล้วยออกหมด

ตั้งกระทิที่เตรียมใว้บนเตาใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง อย่าให้เดือด

พอน้ำกระทิร้อน เติมน้ำตาล เกลือที่เตรียมใว้ลงไป คนให้ทั่ว จะมีลักษณะคล้ายนมสด

นำกล้วยที่แช่ไว้ใส่กระชอน ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ลงไปในหม้อ คนเบาๆแต่อย่าให้เดือด

จนกล้วยสุก ชิมรส ตามความชอบ

จะได้กล้วยบวชชีที่มีสีขาวสดใส น่ารับทาน หอมกระทิ

ให้คุณค่าทางอาหารได้เป็นอย่างดีค่ะ



 :slime_bigsmile: :slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 07-12-2007, 22:06
เอาภาพกล้วยบวชชี มีแต่คนรักมาฝากค่ะ....

ที่มีแต่คนรัก..เพราะทำให้คนอื่นทานไงคะ อิ อิ


ปล. กล้วยบวชชีหม้อนี้ ไม่ต้องใส่น้ำผึ้งนะคะ

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง....
:slime_bigsmile:


(http://i175.photobucket.com/albums/w121/tussy19/DSC02093jpg.jpg)







 


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 07-12-2007, 23:14
น้ำผึ้ง :: ที่มีมากกว่าคำว่าความหวาน


เป็นที่รู้กันว่า น้ำผึ้งมีประโยชน์ต่างๆ ซึ่งมากกว่าความหวานโดยทั่วไปมากมาย

เพราะในน้ำผึ้งนั้นอุดมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวนุ่มเนียน วิตามินบี

และกรมอะมิโนที่จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซล์ผิว ให้ผิวคงความสดใส เปล่งปลั่งอยู่เสมอ



สูตรแรก 

เป็นการบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสำหรับสาวผิวแห้ง เพียงแค่ใช้ไข่แดง 1 ฟอง กับน้ำผึ้ง 1 ช้อน

นำมาผสมให้เข้ากัน และพอกหน้าเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

จะช่วยให้ผิวนุ่มเนียน และไม่แห้งกร้านอีกต่อไป


สูตรที่สอง

ผสมน้ำผึ้งกับนมสดคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้า และลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งอีกเช่นเดียวกัน



สูตรที่สาม

เป็นการใช้น้ำผึ้งผสมกับแอปเปิ้ลที่นำมาปั่นรวมกันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า

พร้อมกับนวดใบหน้าเบาๆ ซึ่งจะเหมือนกับ SCRUB ที่ใช้ในการขัดหน้า

เพื่อเป็นการขจัดเซลล์ผิวเก่าออกให้หมด รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิดเปล่งปลังอีกทางหนึ่งด้วย



สูตรที่สี่

นำกล้วยหอมมาบดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำผึ้งลงไปสักเล็กน้อย นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักพัก

แล้วล้างออกให้สะอาด ก็จะเพิ่มความนุ่มเนียนให้กับผิวหน้า

แต่สูตรนี้สามารถนำไปใช้ในการพอกเส้นผมได้เช่นเดียวกัน

ก็จะเป็นการเพิ่มความนุ่มสลวยให้กับผมเส้นสวยของคุณอีกด้วย



สูตรที่ห้า

นำแครอทสัก 1 หัวเล็กๆ มาปอกเปลือก และปั่นให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาพอกหน้า

สูตรนี้จะเป็นการลดริ้วรอย และรอยหมองคล้ำบนใบหน้าได้
 




คุณผู้ชายท่านใดที่ระมัดระวังดูแลผิวพรรณ

จะนำไปปฎิบัติ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดนะคะ

ดอกฟ้าฯ ได้ทดลองทำบางสูตรแล้ว ปรากฎว่าได้ผลดีเหลือเชื่อค่ะ

อีกทั้งประหยัดเงินตราได้ดีอีกด้วย
:slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ***
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 19-12-2007, 07:12


 แอบมาอ่านเรื่อง "น้ำผึ้ง" ของคุณดอกฟ้าฯแล้ว

ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง  ที่มีสูตรน้ำผึ้งของผู้ชาย ใช้ได้ด้วยครับบบบบ
:slime_v:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** โองการแช่งน้ำ..วิกิพีเดีย ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 29-01-2008, 23:41
โองการแช่งน้ำ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางมาจาก ลิลิตโองการแช่งน้ำ)

 
โองการแช่งน้ำ
กวี : ?
ประเภท : พิธีกรรม
คำประพันธ์ : ร่ายดั้น และ โคลงห้า
ความยาว : 35 บท?
สมัย : ต้นสมัยอยุธยา
ปีที่แต่ง : ?
ชื่ออื่น : ลิลิตโองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า, โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา
ลิขสิทธิ์ : -
 
โองการแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีเก่าแก่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย มีความสำคัญทั้งด้านวรรณคดี

นิรุกติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และสังคมของไทย เป็นวรรณคดีที่มีความยาวเพียงไม่กี่หน้า

แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นโองการสำหรับใช้อ่านเมื่อมีพิธีถือน้ำกระทำสัตย์สาบานต่อพระมหากษัตริย์



 ชื่อ

โองการแช่งน้ำนั้น เรียกด้วยชื่อต่างๆ กัน กล่าวคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ใช้ในตำราหรือแบบเรียน),

โองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า หรือ โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่หมายถึงวรรณคดีเล่มเดียวกันนี้




ประวัติ


โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ของไทย นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกัน ว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น

แต่นักวิชาการบางท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าวรรณคดีเรื่องนี้น่าจะแต่งขึ้นอย่างน้อยก็ในสมัย พระเจ้าอู่ทอง

ผู้ทรงสถาปนาเมืองอโยธยา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอยุธยา) ขึ้น



 คำศัพท์และสำนวนภาษา

โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ใช้คำเก่า แต่เป็นคำไทยแม้เป็นส่วนมาก ทำให้อ่านเข้าใจยาก ทำให้นักวิจารณ์สับสน

ซึ่งแตกต่างจากวรรณคดีที่ใช้ภาษาบาลีหรือสันสกฤต ที่สามารถสืบหาความหมายได้ง่ายกว่า

 เช่น ลิลิตยวนพ่าย ซึ่งใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตปะปนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำริ ว่า "โองการแช่งน้ำนี้เรียกว่า โคลง เขียนเป็นหนังสือพราหมณ์

แต่เมื่อตรวจดูจะกำหนดเค่าว่าเป็นโคลงอย่างไรก็ไม่ได้สนัด ได้เค้าๆ บ้างแล้วก็เลือนไป แต่เนื้อความนั้นเป็นภาษาไทย ถอยคำที่ใช้ลึกซึ้งที่ไม่เข้าใจบ้างก็มี..."

 ("พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล", พระราชพิธีสิบสองเดือน)

คำศัพท์ในโองการแช่งน้ำมีการผสมผสาน เริ่มตั้งแต่คำศัพท์บาลีและสันสกฤต

โดยเฉพาะในช่วงต้นที่เป็นการบูชาเทพเจ้าทั้งสาม เช่น โอม สิทธิ มฤตยู จันทร์ ธรณี เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ไทยโบราณ มีลักษณะของคำโดดพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่ หลายคำปรากฏอยู่ในเอกสารภาษาไทย

และจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัย และอยุธยา นอกจากนี้ยังปรากฏคำในภาษาถิ่นของไทยด้วย เช่น สรวง แผ้ว แกล้ว แล้งไข้ แอ่น แกว่น ฯลฯ

สำหรับคำเขมรนั้นปรากฏไม่มากนัก เช่น ถวัด แสนง ขนาย ขจาย ฯลฯ

ในส่วนของสำนวนภาษานั้นมีลักษณะการแช่งที่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทย เช่น


"ขอให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี"





ยังมีต่อค่ะ :slime_smile:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** โองการแช่งน้ำ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 29-01-2008, 23:54
เนื้อหา

เนื้อหาในลิลิตโองการแช่งน้ำอาจแบ่งได้เป็น 5 ส่วนด้วยกัน ดังนี้


สดุดีเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ตามความเชื่อของฮินดู ได้แก่ พระผู้ประทับเหนือหลังครุฑ "สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี"(พระนารายณ์)

พระผู้ประทับบนวัวเผือก "เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนปิ่น" (พระศิวะ) และผู้ประทับ "เหนือขุนห่าน" (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้นๆ
 
กล่าวถึงกำเนิดโลก และสังคมมนุษย์ อัญเชิญเทพยดา พระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีต่างๆ มาเป็นพยาน ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า 

คำสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภยันตรายนานา ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า

เป็นเนื้อหาที่ยาวที่สุดในบรรดา 5 ส่วน
 
คำอวยพรแก่ผู้จงรักภักดีแก่ผู้ที่มีความจงรักภักดี มีเนื้อหาสั้นๆ
 
ถวายพระพรเจ้าแผ่นดิน เป็นร่ายสั้นๆ เพียง 6 วรรค



อ้างอิงจากที่เดิม


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** โองการแช่งน้ำ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 30-01-2008, 00:53

โองการแช่งน้ำ : คำสั่งศักดิ์สิทธิ์หรือวรรณคดี?


โองการแช่งน้ำที่แต่งขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาโดยเฉพาะ

มิได้มุ่งหมายเหมือนวรรณคดีทั่วไป ที่มุ่งหมายให้ประชาชนอ่านกันมาก ๆ แต่ใช้ในพระราชพิธี

ด้วยมีความไพเราะ จึงจัดว่าเป็นวรรณคดีอีกชิ้นหนึ่ง



โองการแช่งน้ำ คือ คำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงไปในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

เพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป

ตามคำสาปแช่งนั้น การแช่งน้ำนี้ พราหมณ์เป็นผู้อ่าน

เมื่ออ่านจบแต่ละตอนจะนำพระแสงราชศัสตรา "แทง" ลงในน้ำนั้น

เป็นพิธีที่ใช้สร้างความจงรักภักดีและสถาปนาความมั่นคงของแผ่นดิน

 สำหรับบทอ่าน "โองการ" นั้น เป็นคำร้อยกรองแบบโคลงห้า

 มีมาแต่สมัยตั้งกรุงศรีอยุธยา เนื้อความเป็นภาษาไทย ถ้อยคำที่ใช้ลึกซึ้งกินใจ

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่า

น่าจะแต่งขึ้นในสมัยก่อนแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช

แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อใด อาจจะสมัยพระเจ้าอู่ทองก็ได้

แต่ที่แน่ ๆ น่าจะแต่งขึ้นก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์อย่างแน่นอน

เพราะถ้อยคำในโองการแช่งน้ำนี้ไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับถ้อยคำ ในพระราชนิพนธ์ในสมัยนั้น
 


ด้วยเหตุนี้พระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสันนิษฐานว่า

 ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้น่าจะเป็นวรรณคดีเก่าแก่มาก

และของเราเอามาโดยที่ไม่มีการปรับปรุงเลย เราเอามาทั้งหมดเลย และคนที่แต่งนั้นน่าจะเป็นพราหมณ์


ตัวพระมหากษัตริย์โปรดให้แต่งขึ้น หรือไม่ก็พราหมณ์เอามาจากอินเดียก็อาจจะเป็นไปได้

มีสองทางคือพราหมณ์ที่ประกอบพิธีในมัยกรุงเก่าเอามาจากอินเดียทั้งหมด

 เอาคำเหล่านี้มาหรือเอาต้นฉบับมาเลย

 หรือมิฉะนั้นก็พระรามาธิบดีองค์ใดองค์หนึ่ง (ถ้าไม่หนึ่งก็สอง)

โปรดให้พราหมณ์ที่ประกอบพิธีนั้นแต่งขึ้น ก็จะมีอยู่สองประเด็นนี้
 


เนื้อความที่ว่านั้นเริ่มด้วยการสรรเสริญพระนารายณ์ก่อน แล้วสรรเสริญพระอิศวร

แล้วสรรเสริญพระพรหม ความต่อไปจึงเดินเรื่องสร้างโลก

แล้วสรรเสริญพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน แช่งผู้ซึ่งทรยศคิดร้าย

ให้พรผู้ซึ่งตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตจงรักภักดีเป็นจบความกัน

 

พิเคราะห์ดูในคำโคลงแช่งน้ำนี้ ไม่มีเจือปนพระพุทธศาสนาเลยเป็นของไสยศาสตร์โดยแท้

จึงคาดว่าโองการแช่งน้ำนี้จะมิใช่เกิดขึ้นในครั้ง พระรามาธิบดีที่หนึ่ง

แต่น่ากลัวจะแปลคัดลอกต่อๆ กันมาจากเมืองที่ถือไสยศาสตร์ไม่ได้ถือพุทธศาสนาแต่โบราณ

แต่สำหรับการจะชุบพระแสงศรศัสตราสามองค์นี้

เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


หลักจริยธรรมที่ปรากฏในลิลิตโองการแช่งน้ำ ไม่ได้มีหลักจริยธรรมเป็นข้อ ๆ แต่สรุปประเด็นก็คือ

เป็นการปรามผู้ที่คิดคดทรยศต่อพระมหากษัตริย์

โดยขอให้ตายด้วยภัยพิบัตินานาประการ ด้วยคมหอกคมดาบ ภายในสามวันเจ็ดวัน

อย่าให้เกิดสามเดือน อย่าให้เคลื่อนสามปี

และนอกจากนี้เตือนข้าราชการให้ปฏิบัติงานด้วยความมีศีลธรรม จริยธรรม ให้ปฏิบัติงานด้วยหลักจริยธรรม

แล้วใครที่ทำดีก็จะมีการปูนบำเน็จรางวัลให้

 มีการอวยพรโดยเทพยดาให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองทั้งเกียรติยศบารมีด้วยทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ
 


คำถวายสัตย์สาบานตน : ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

สำหรับการอ่านคำสาบานก่อนที่จะดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ข้าราชการจะต้องมีการอ่านคำสาบานกันถ้วนหน้าไม่มียกเว้น

และคำสาบานนี้ก็ได้ใช้กันต่อ ๆ มาโดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ

คำปฏิญาณสาบานตนในสมัยโบราณจะเป็นอย่างไร ยังค้นไม่พบ

 คำสาบานที่เก่าที่สุดปรากฏครั้งรัชกาลที่ ๕



ในรัชกาลที ๖ และที่ ๗ ก็ใช้คำสาบานทำนองเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิต

 ทรงครองแผ่นดินในระบบราชาธิปไตย

ก็จำเป็นอยู่เองที่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทจะต้องปฏิญาณว่าจะไม่คิดกบฏประทุษร้ายต่อองค์ผู้ทรงอำนาจอธิปไตย

 เป็นคำสาบานที่เป็นไปและเหมาะสมตามกาลเวลา ครั้นมาในปัจจุบันนี้กาลสมัยได้เปลี่ยนไป

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกร่างคำสาบานขึ้นใหม่

ให้ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์ปฏิญาณว่า จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง

จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของชาติเท่านั้น

ไม่โปรดให้ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย


ดังนั้น คำปฏิญาณของผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในสมัยปัจจุบันจึงมีความดังนี้



" ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
 
ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์สาบาน) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณตัวต่อประเทศชาติ

และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า


ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี

จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่

จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ

เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย

จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม


 
หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด

ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที

อย่าให้มีความสุขความสวัสดีด้วยประการใดๆ

หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป

ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ พระสยามเทวาธิราช เป็นต้น

จงบันดาลความสุขสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ

ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ

เป็นกำลังทะนุบำรุงประเทศชาติสืบไป

ได้สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"

 

 

ในปัจจุบันนี้คำสาบานต่างๆ เลือนความขลังไป จึงใช้แต่เพียงกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำการด้วยความสุจริต

โดยตัดตอนที่กล่าวสาปแช่งออกเสียทั้งหมดเหลือเพียง "การให้สัญญา" ต่อกันอย่างที่นิยมกันทั่วโลก

ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

ที่ทุกคนต้องมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน พระมหากษัตริย์มิได้มีอำนาจสูงสุดอย่างเช่นเดิม แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

แต่ในทางปฏิบัติแล้วพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ในฐานะสมมติเทพอยู่

จะเห็นได้ชัดเจนจากพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้



การผสมผสานหรือการทับซ้อนกันอยู่ระหว่างความเชื่อผี พรหมณ์และพุทธนี้

ยังคงดำเนินมาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ด้วยดี ตามคำกล่าวของเบลล่าห์

จะเห็นได้ว่าพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาซึ่งเป็นพิธีมีมาแต่โบราณ

ก็ยังได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกละทิ้งไป

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปก็ตาม

ด้วยความสัมพันธ์ของความเชื่อระหว่างพรหมณ์ พุทธ และผี สังคมผสมผสาน

ไม่ใช่คนไทยแท้ มีการติดต่อ ยกย่องกษัตริย์ หรือผู้นำ ....

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย



เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันเป็นเวลา 700 ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

 โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว

เรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว"

สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่

การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือ อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย

การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้คือ


1. พระมหากษัตริย์

2. สภาผู้แทนราษฎร

3. คณะกรรมการราษฏร
 
4. ศาล

 


ลักษณะการปกครอง มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ

เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์

การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎร

ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร


จึงใช้ได้ สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร มีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ



 อาทิ ได้เปลี่ยนระบบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475

ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง

เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรีให้บริหารราชการแผ่นดิน

แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน



 แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้

หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัย

 หรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ

ผู้ใดจะละเมิดมิได้เมื่อการปกครองเปลี่ยนแปลงไป

ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจทางการเมืองได้อย่างจำกัด

ต้องเป็นระเบียบพิธีมากขึ้น ทำให้มีการยกเลิกพิธีถือน้ำในปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง

อาจเพื่อเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นได้

 หลักการของระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน เน้นความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
 

 

ดังนั้นการจะทำให้ข้าราชการมีความรู้สึกจงรักภักดี ไม่ก่อการปฏิวัติ

หรือทำรัฐประหารตามอำเภอใจ คงจะอาศัยกฎหมายไม่เพียงพอ

จึงได้เกิดการรื้อฟื้นพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

แต่ได้ปรับเปลี่ยนพิธีการบางอย่าง

และตัดทอนคำกล่าวสาปแช่งให้น้อยลง กลายเป็นเพียงการกล่าวคำปฏิญาณทั่วไป

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะต้องการสื่อให้เห็นว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

และเป็นการยืนยันการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วย

ที่ให้ข้าราชการกล่าวคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา

และบ้านเมืองแทนองค์พระมหากษัตริย์

อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันว่า พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้น

เป็นพิธีที่แสดงให้เห็นถึงการสวามิภักดิ์ และความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว

 และยังสอดคล้องกับบัญญัติในกฏรัฐธรรมนูญว่า

พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

ก็มันัยในความหมายที่ยกย่ององค์พระมหากษัตรย์ให้อยู่สูงสุดตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย


 

อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าประเทศไทยของเราจะมีการพัฒนาไปสักเพียงใด

ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเก่าๆ เดิมๆ จะต้องสูญหายไปตามกาลเวลาเสมอไป

แต่ยังคงสืบเนื่องต่อมาได้อีกยาวนาน

หากพิจารณาตามแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ก็คงจะเห็นได้ชัดเจนว่า

 พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเมืองการปกครองกับสถาบันศาสนา

 และมีหน้าที่ในการปลุกจิตสำนึกให้ผู้เข้าร่วมพิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุจริต

และเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการควบคุมข้าราชบริพารทั้งหลายมิให้กล้ากระทำผิดคำสัตย์สาบาน

และตั้งใจกระทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความสวัสดิมงคลของชีวิตตน


 

เพราะฉะนั้น แม้ปัจจุบันจะเป็นโลกแห่งโลกาภิวัฒน์

แต่เรื่องสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะนั้นมีอยู่เกือบทุกประเทศ

แม้ประเทศที่กำลังเจริญทางวิทยาศาสตร์อย่างสุดขีด

เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งคนไปถึงดวงจันทร์แล้ว

แต่ก็ยังถือเอาคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความจำเป็นที่จะต้องพึงปฏิบัติอยู่

เช่น ในพิธีที่สำคัญที่สุดของเขา

คือพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็ยังมีการสาบานตนต่อพระคัมภีร์

หรือในอังกฤษเองก็ยังมีการสาบานตนในพิธีการต่างๆ อยู่หลายพิธี

อาจเนื่องมาจากคำสาบานนั้นมีประโยชน์

เพราะจะคอยเตือนใจของผู้สาบานให้ระลึกถึงคำสาบานอยู่เสมอ

จึงอาจทำให้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดียิ่งขึ้นกว่าผู้ที่มิได้สาบานตน

และยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำสาบานร่วมกันกับพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว

ก็จะยิ่งเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจมิให้เราสลัดคำสานนั้นยิ่งขึ้น

 ดังนั้นคงไม่ต้องแปลกใจหากเรายังพบสัญลักษณ์หรือร่องรอยความเก่าแก่ของอดีต

ปรากฏอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ในทุกวันนี้





บรรณานุกรม

คณะกรรมการการวัฒนธรรมแห่งชาติ, สำนักงาน.กระทรวงศึกษาธิการ.

วันสำคัญโครงการปีรณรงค์วัฒนธรรมไทย และแนวทางในการจัดกิจกรรม. 2537


เรียบเรียงโดย
ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดีไทย สมปราชญ์ อัมมะพันธ์

ศิริวรรณ คุ้มโห้.วันและประเพณีสำคัญ.


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** โองการแช่งน้ำ ฉบับถอดความ ของ ไมเคิล ไรท์ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 04-02-2008, 19:16


ใครซื่อแท้ อำนาจเปี่ยมฟ้าสำเร็จไม่สิ้น ใครใจคดขบถโกง
 

ไฟนรกเผาให้ดิ้น(โองการแช่งน้ำ) (คอลัมน์ร่มรื่นในเงาคิด)

 



 
 ที่มา : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร คอลัมน์ ร่มรื่นในเงาคิด

นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๐๖๘ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔



นั่งอ่านหนังสือโองการแช่งน้ำ ของ ไมเคิล ไรท์ ก็ได้แต่ทึ่ง

ทึ่งกับอุตสาหะของฝรั่งคนหนึ่งที่รักและเทิดความเป็นไทยเหนือเจ้าของชาติหลายๆ คน

โดยค่อยๆ บรรจงถอดเอกสารไทยโบราณที่เก่าที่สุดออกมาเป็นภาษาปัจจุบันที่อ่านง่ายและงดงาม

ทำให้ "โองการแช่งน้ำ" มีชีวิตชีวายิ่ง ไมเคิล ไรท์ เขียนไว้ในคำนำว่า

 

"โองการแช่งน้ำ เป็นเอกสารไทยที่เก่าที่สุดและสำคัญที่สุดในภาษา

แต่ยังเป็นเอกสารที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะความคร่ำครึของภาษา

และเพราะเรื่องการแช่งน้ำดูจะไม่มีความสำคัญ สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาให้เทียมนานาอารยประเทศ"

แต่ความพยายามพัฒนาให้เทียมนานาอารยประเทศ จะมีความหมายอะไร เพราะยิ่งเราพัฒนาเท่าใด

เรายิ่งกลายสภาพเป็นทาสในเรือนเบี้ย ของคนอื่นยิ่งขึ้นทุกที

 

คงมีแต่การต้องหวนคืนสู่ความเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้นแหละ

ที่จะทำให้เราลุกขึ้นยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ นานาอารยประเทศได้--อันนี้ ไมเคิล ไรท์ ไม่ได้ว่า

แต่คนเขียนว่าเอง


และอยากบอกไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่

ว่าถ้าอยากทำให้ (คน) ไทยรัก (คน) ไทยที่กำลังจะมาเป็น "เจ้านาย" ปกครองประเทศในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

 ลองกลับไปให้ความสำคัญเรื่องโบราณคร่ำครึอย่าง "เรื่องการแช่งน้ำ" ดูบ้างก็ได้

ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก แค่ ว่าที่นายกรัฐมนตรีควักเงินไม่กี่บาท ซื้อหนังสือ "โองการแช่งน้ำ"

ของ ไมเคิล ไรท์ นี่แหละไปแจก ส.ส. ทั้ง 500 คน

แล้วให้นโยบายกำกับไปด้วยว่า ส.ส. ทุกคนควรอ่าน



 อ่านแล้ว ให้ยึดถือเป็นคำสัตย์ปฏิญาณแบบไทย-ไทย สำหรับการดำรงตนเป็น "นักการเมือง" ที่ดีของประเทศต่อไป

 ใครทำดี ซื่อสัตย์ ก็ขอให้ได้รับ "คำพร" อันน่าชื่นอกชื่นใจจาก โองการแช่งน้ำ
 


"ใครทำดีซื่อแท้ / พระเจ้าป่าวอวยพร / อำนาจเปี่ยมฟ้าสำเร็จไม่สิ้น

 ท่านมีศรีมีบุญเป็นปิ่นตระกูล / ยศท่านเทียมอิศวรนารายณ์ ใครซื่อเจ้าเพิ่มนาง

  แผ่บุญศักดิ์ขวัญเมือง ใครซื่อได้รางควายทอง / เพิ่มช้างม้าแผ่วัวควาย ใครซื่อส่องเรือนเร่งรู้ก่อน

  ยื่นแก้วพรรณพราวให้ ใครซื่อได้สินเภตรา / เพิ่มพูนหมื่นมหาชัย ใครซื่อใครรักเจ้าให้ยศ 

ครองไพร่ให้ยั่งยืน / มียศเท่าเทพล้ำฟ้า / อย่ารู้จักอันตราย / ให้ได้ใจกล้าดังเพชร 

บุญอเนกขจรขจาย / สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชครองโลกเป็นนิตย์

 ให้สุขเกินฟ้าใส / สมบูรณ์ ท่าน สมบูรณ์"



 ในทางตรงกันข้ามสำหรับนักการเมืองโกง ไม่ซื่อ ก็จะต้องได้รับการ "ลงโทษ"

ตามพระอาชญาสิทธิ์ ขององค์พระมหากษัตริย์ ที่คนไทยทุกคนเทิดทูน

ดังที่ปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำ ว่า
 

"เขาผู้ไม่ซื่อ / ซื่อใครใจคด / ขบถตัวโกง / ไม้ตีฟาดฟัด

 มัดศอกแขวะให้ปวดร้าว ถอกเท้ากระเด้าหอก / ลอกเท้าให้ไปมิทันตาย / นอนหงายระทมระทม

 จนยมบาลลากไป / ไฟนรกเผาให้ดิ้นต่อ / เหนือขุมอเวจี ผู้ไม่ดีไม่ซื่อ / ซื่อใครใจคด / ขบถต่อเจ้าท่าน

 ผู้ครองอยุธยา / สมเด็จพระพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชาธิราช /ท่านมีอำนาจมีบุญ / มีคุณอเนก

  ใครอาศัยร่มท่าน / บังอาจข่มชัก / หักกิ่งค่า / ต้องถอนด้วยฤทธิ์อานุภาพ 

ทั้งต้นคิดบาป / พันธุ์พวกพ้อง / ทั้งญาติมิตร / ที่ไขว้เขวหรือผูกใจรัก

 ชักเกลอสหาย / ทุกคนที่ร่วมการขบถคิดร้ายต่อเจ้าของตน"



 นอกจากนี้ นักการเมืองโกง ไม่ซื่อ จะต้องเผชิญกับ "คำสาปแช่ง" อันหนักหนาสากรรจ์ ซ้ำลงไปอีกว่า
 

"จงเทพยดาฝูงนี้ / ให้ตายในสามวัน / อย่าให้เห็นสามเดือน / อย่าให้รอดสามปี

 อย่าให้มีสุขสวัสดีเมื่อไร อย่าให้กินข้าวเพราะไฟจนตาย / จงไปเป็นเปลวปล่อง 

อย่าอาศัยน้ำจนตาย / น้ำคลองกลายเป็นพิษ นอนเรือนคาคำรนจนตาย / ฟ้าถล่มลงทับ

 ก้มหน้าลงดินจนตาย / แผ่นดินแยกอาชีพ / ไปสี่ขุมกินไฟแทนหวาน จระเข้งับเสือฟัด 

หมีแรดฉีกด้วยเล็บนอ / ปลายหอกลูกศรปักรอบ / ใครเจอะจอบจงตาย / งูพิษทั้งหลายใต้ฟ้า

 ให้ตายหน้าทิ่มดิน" "ไม่ซื่อน้ำตัดคอ ตัดคอเร็วให้ขาด ไม่ซื่อให้ขังมันไว้

ไม่ซื่อให้น้ำหยดท้องเป็นแผล ไม่ซื่อแร้งกาจิกตา เจาะพุงแย่งไส้

ไม่ซื่อหมาหมีเสือเข่นเขี้ยว ใช้เขี้ยวฉีกย่ำยี"



 สำหรับนักการเมืองกะล่อนทั้งหลาย ถ้าคิดจะเลี่ยงบาลีว่าอ่านภาษาโบราณอันแสลงใจนี้แล้ว ไม่เข้าใจ

 เพราะเป็นภาษาโบราณคร่ำครึนั้น อย่าแอะออกมาทีเดียว เพราะ ไมเคิล ไรท์

ได้อรรถาธิบายเอาไว้อย่างละเอียดในหนังสือเลยทีเดียวว่า อะไรเป็นอะไร

อย่างที่ โองการแช่งน้ำ บอกว่า
 

"อย่าให้กินข้าวเพราะไฟจนตาย / จงไปเป็นเปลวปล่อง /

 อย่าอาศัยน้ำจนตาย / น้ำคลองกลายเป็นพิษ นอนเรือนคาคำรนจนตาย / ฟ้าถล่มลงทับ /

 ก้มหน้าลงดินจนตาย / แผ่นดินแยกอาชีพ / ไปสี่ขุมกินไฟแทนหวาน" นั้น




ไมเคิล ไรท์ บอกว่านี่แหละคือการแช่ง ที่เรียกว่า "เป็นการแช่งด้วยสิ่งที่ดีที่ทุกคนต้องอาศัย (ข้าว  น้ำ  เรือน  ฟ้าดิน)

ให้กลายเป็นสิ่งร้ายสำหรับผู้ไม่ซื่อ หนักนะ ขนาดกลืนข้าว เหมือนกลืนไฟนี่

นักการเมืองที่ประกาศอาสามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง กล้าไหมที่ให้คำสัตย์ตาม "โองการแช่งน้ำ" นั้น

 


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-04-2008, 22:19
***เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้***



1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.

2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับบลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

3.พระนาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี

มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449

7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”

8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง

ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้”

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ

 เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที

 ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว

14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ โดยระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้”โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคนจน”

หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10%

ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน

สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง




http://www.watthummuangna.com


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-04-2008, 22:34
พระอัจฉริยภาพ


19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์

เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง

ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย

โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์

21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ บเพลง (แอกคอร์เดียน)

22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น

โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสงเทียน”

 จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย

ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง”เราสู้”

26.รู้ไหม…? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5

27. - - - -

28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉาย

แล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง”นายอินทร์”และ”ติโต” ทรงเขียนด้วยพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ

ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬาซีเกมส์”)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510

31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า

ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536

33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน

เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว

34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์

แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย

โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง




หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-04-2008, 22:58
เรื่องส่วนพระองค์


35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36.ร ักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์

แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ

เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง

37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท

38.หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน

39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม

 ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล

เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

44.หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด

ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม

45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า

วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว

ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่

ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 23-04-2008, 23:36
งานของในหลวง


46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ

แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน

49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก

ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง

เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท

ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้

52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่


ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้

เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"


54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง

(20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้

เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-04-2008, 01:33
ของทรงโปรด


55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตั้งช่าย

57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย

โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ

และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ

ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว

64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร

ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล

ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ *** 80 เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้ ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 24-04-2008, 22:42

รู้หรือไม่?



 66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลัง
 
จึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
 
67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
 
68. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ
 
ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"
 
69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์
 
สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี
 
อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข
 
ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
 
70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็น
 
แซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนัก
 
มาก ยกไม่ไหวหรอก"
 
71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
 
72. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อ
 
ไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
 
73. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์
 
จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
 
74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ
 
60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
 
75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า
 
เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000
 
ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
 
76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
 
77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
 
78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่ง
 
รวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
 
79 - - - -
 
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน




เอามาฝากให้อ่านกัน เพื่อให้ซึมซับถึงพระราชกรณีกิจ

พระอัจฉริภาพ ความเสียสละ ความรักและเมตตาที่มีต่อปวงชนชาวไทยเสมอ


ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ  :slime_worship:

เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปนานแสนนาน
:slime_worship:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ประวัติคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา.. ที่ทำเพื่อแผ่นดิน ***
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 07-08-2008, 22:21
จารุวรรณ เมณฑกา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

   
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา (5 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 — ) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

 เกิดที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนโต ในจำนวน 8 คนของ นายเต็ม-นางยรรยง สมรสกับ นายทรงเกียรติ เมณฑกา นักธุรกิจด้านสิ่งพิมพ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 3 คน คือ

นายกิตติวัฒน์ เมณฑกา วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันเป็นเลขานุการ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
 
น.ส.ขจาริน เมณฑกา บัญชีบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (เกียรตินิยม) เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต

ปัจจุบันได้รับทุน มหาวิทยาลัย IUJ International University ประเทศญี่ปุ่น ศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท สาขา Finance Innovation
 
น.ส.ศุภางค์ เมณฑกา วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันทำงานที่บริษัทวิทยุการบิน

 
คุณหญิงจารุวรรณ จบการศึกษาจากโรงเรียนศึกษาวัฒนา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และได้รับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน (ปัจจุบัน คือ ทุนเอเอฟเอส)

ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงเข้าเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง เมื่อ พ.ศ. 2510


จากนั้นจึงเริ่มทำงานที่สำนักงานบัญชีไชยยศ สมบัติ เป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ที่บริษัท NCR และ ได้เข้าทำงานด้านบัญชี

ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานของรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ

หลังจากนั้นสอบชิง ทุน ก.พ. ในโควต้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้อันดับ 1 ในจำนวน 4 คนที่สอบผ่าน ได้ไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านการบัญชีและการตรวจสอบ

 ที่ มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต สหรัฐอเมริกา และได้มีโอกาสทำงานด้านการตรวจเงินแผ่นดินที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สหรัฐอเมริกา



ปี พ.ศ. 2516 กลับมาเริ่มงานที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เติบโตในหน้าที่จนกระทั่งได้เป็นผู้อำนวยการ สตง.ภูมิภาค,

 ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน สตง. และ เป็นข้าราชการซี 10 ในตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ สตง. ตามลำดับ



เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีผลบังคับใช้ และกำหนดให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นองค์กรอิสระ โดยมีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 10 คน

และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 1 คน ทำหน้าที่คานอำนาจกัน คุณหญิงจารุวรรณจึงสมัครเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน


ในขณะนั้น การสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินประสบปัญหาล่าช้า เนื่องจากผู้สมัครขาดคุณสมบัติ จึงมีผู้เสนอชื่อให้คุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ว่าการฯ

และได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนแรก


ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุตถจุลจอมเกล้า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 จึงใช้คำนำหน้านามว่า "คุณหญิง"

หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.

เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประวัติการศึกษา
2 ประวัติการทำงาน
3 การดำรงตำแหน่งอื่นๆ
4 รางวัลเกียรติยศ
5 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
6 อ้างอิง
 


[แก้] ประวัติการศึกษา

ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ Vista High School USA
 
บัญชีบัณฑิต(เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
 
MBA (Accounting & Auditing) มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต นักเรียนทุนของรัฐบาล

ประกาศนียบัตรจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จากสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น
 
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้ตรวจสอบภายในวิชาชีพ

หลักสูตรการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จากสถาบันพระปกเกล้า

 ประวัติการทำงาน
เลขานุการกรม สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ผู้ช่วยผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
รองผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

 การดำรงตำแหน่งอื่นๆ
เลขาธิการและอุปนายกสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาตรฐานมหาวิทยาลัยเอกชนของทบวงมหาวิทยาลัย
กรรมการผู้ทรงวุฒิ สาขาการเงินและการบัญชีสำนักงาน ก.พ.
กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตรวจสอบภายในภาคราชการ กระทรวงการคลัง
กรรมการกลุมปรับปรุงชุดวิชาประสพการณ์วิชาชีพการสอบบัญชี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อนุกรรมการมรรยาทผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
อนุกรรมการทดสอบการปฏิบัติงานเพื่อเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ผู้สอบบัญชีกิตติมศักดิ์ มูลนิธิเพื่อการกุศลต่าง ๆ
ที่ปรึกษาในการวางระบบตรวจสอบรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ประเทศจีน
ที่ปรึกษาโครงการตรวจสอบเงินกู้ธนาคารโลก

 รางวัลเกียรติยศ
นิสิตเก่าดีเด่น จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์
จตุตถจุลจอมเกล้า วันที่ 5 พฤษภาคม 2546
ตติยจุลจอมเกล้า วันที่ 5 พฤษภาคม 2548




คดีหวยบนดิน และคดีกล้ายาง ที่ต่อสู้อยู่บนความโดดเดี่ยว


ศาลได้ประทับรับฟ้องแล้ว


ขอกราบขอบพระคุณ...คนดี...ศรีแผ่นดินทุกๆท่านค่ะ
:slime_worship:


หัวข้อ: Re: เกร็ดความรู้ ***ประวัติคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา.. ที่ทำเพื่อแผ่นดิน *
เริ่มหัวข้อโดย: paper punch ที่ 08-08-2008, 14:56
ขอชื่นชมในความในความแกร่งกล้าของคุณหญิงครับ
ทองแท้ แม้จะถูกไฟลน ก็ยังเป็นทองแท้เสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง

ปล.วันนั้น(พยายาม)นั่งดูลูกสุนัข 3 ตัวเห่าหน้าจอทีวีเรื่องบ้านคุณหญิง
     อยากกระโดดถีบซะเหลือเกิน..