ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สโมสรริมน้ำ => ข้อความที่เริ่มโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 20:53



หัวข้อ: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 20:53
----ค่อนข้าง  อนาจารทั้งการแต่งกายและท่าทาง

คิดไงกันบ้าง-----


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: (ก้อนหิน) ละเมอ ที่ 31-10-2006, 20:55
ไม่ต่างจากจ้ำบ๊ะ...
แต่ละนาง ถ้าสวยจะไม่ว่าเลย
แต่นี่... เอากิ้งก่าย่างไฟมาเต้น....  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 31-10-2006, 21:03
อ่านข่าวแล้ว รู้แต่ว่า...............

จากหมอลำซิ่ง เปลี่ยนไปเป็น โคโยตี้แล้วเหรอค่ะ   :slime_o:


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 21:19
อ่านข่าวแล้ว รู้แต่ว่า...............

จากหมอลำซิ่ง เปลี่ยนไปเป็น โคโยตี้แล้วเหรอค่ะ   :slime_o:



   ค่ะน้องใบไม้  นี่คือตัวอย่างโคโยตี้ค่ะน้อง

http://www.siam2.com/funnyvdo/view.php?id=110

http://webboard.mthai.com/viewtopic.php?cate_id=35&post_id=174970


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 21:36
 ใครจะมองอย่างไรก็ว่ากันไป...แต่สำหรับผมถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงแสดงความห่วงใยเรื่องสาวนักเต้นที่เรียกกันว่า “โคโยตี้” นุ่งน้อยห่มน้อยไปเต้นโชว์กันกลางวัด ในงานบุญบั้งไฟ ที่จ.หนองคาย...
       
       และสำนักงานราชเลขาธิการของพระองค์ท่านได้ทำหนังสือความเป็นห่วงดังกล่าวไปยังกระทรวงวัฒนธรรม...
       
        ตอนนี้เลยออกมาเต้นกันหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง ทราบว่า..วันที่ 3 พ.ย.นี้ กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสังคมจะล้อมวงสัมมนากันให้เป็นเรื่องเป็นราว ยกระดับเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว...
       
        ก็ดีครับ คนละไม้คนละมือ ร่วมด้วยช่วยกันอย่างสอดคล้องสัมพันธ์ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน..
       
        แต่ระวังไว้หน่อยว่า ล้อมวงกันทั้งทีอย่าเสียเวลาถกกันแต่เรื่อง “โคโยตี้” เรื่องเดียว ควรที่จะหารือกันถึงปัญหาอื่นๆ ทางสังคมที่เกี่ยวโยงไปด้วยเลย...
       
        เรื่องของสาวเชียร์เบียร์, การห้ามขายเหล้าให้กับผู้มีอายุไม่ถึง 20 ปี, เรื่องของพริตตี้,เรื่องของสถานบันเทิงรอบรั้วสถานศึกษา, เรื่องของการตั้งตู้ขายถุงยางอนามัยในสถานศึกษา ฯลฯ...
       
        โอ๊ย สารพัดปัญหา สงสัยว่าสัมมนากันวันเดียวไม่พอหรอก ต้องนัดกันอีกครั้งว่ากันให้เป็นเรื่องเป็นราว กำหนดประเด็น กำหนดวาระให้ชัดเจน..
       
        ถ้าทำได้จะดีมาก ดีกว่าต่างคนต่างทำ หันหน้าไปคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง อย่างที่ผ่านมาบางกระทรวงทำเท่เร็วจนเกินไปก็ตกม้าขาแพลงไปแล้วแบบเห็นๆ กรณีการห้ามโฆษณาเหล้า...
       
        จำเพาะวันที่ 3 พ.ย.คุยกันให้สะเด็ดน้ำเรื่อง “โคโยตี้” เรื่องเดียวก็พอ ถือเป็นปัญหาเฉพาะหน้า...
       
        อันที่จริงเรื่อง “โคโยตี้” บุกวัด สกัดได้ไม่ยากเลย หากว่า มหาเถรสมาคมหรือ มส.กำชับไปยังวัดทุกวัดว่าห้ามเด็ดขาด เจ้าอาวาสวัดไหนปล่อยให้มีการแสดงในลักษณะวาบหวิวแบบโคโยตี้ โป๊ลามก หรืออนาจาร แบบจ้ำบ๊ะ ฯลฯ ถือเป็นการละเมิดจริยาสังฆาธิการ ต้องถูกลงโทษ ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ยันถอดถอน..
       
        ทุกวันนี้ วัดได้ถูกรุกรานด้วยลัทธิพุทธพาณิชย์ ลัทธิบริโภค ความเห็นแก่ตัวของพ่อค้าแม่ขาย ตลอดจนมัคนายกที่มีวาระแฝงเร้น...
       
        วัดไหนที่มีเจ้าอาวาสหรือพระเณรที่แข็งแรงในหลักธรรม ก็พอจะห้ามปรามหรือหยุดกลุ่มคนดังกล่าวได้ วัดไหนที่เจ้าอาวาสหรือกรรมการวัดพลอยหลงใหลได้ปลื้มกับผลประโยชน์เข้าวัดเล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยให้อบายมุขคุกคามถึงขอบเขตขันธสีมา
       
        พูดก็พูดเถอะ...โคโยตี้บุกวัดนั้นเป็นภาพกว้างที่ดูแล้วพุทธบริษัทย่อมรู้สึกร้าวรานจิตใจอย่างไม่ต้องสงสัย
       
        ในขณะที่อีกด้านหนึ่งโคโยตี้ก็กำลังเบ่งบานเป็นดอกเห็ดกลางฤดูฝนในกรุงเทพฯ เมืองหลวง และเมืองใหญ่เมืองเล็กทั่วไทย...
       
        ผมกวาดสายตามองไปแล้วก็รู้สึกใจหายใจคว่ำในความเป็นไป...อยู่ครามครัน
       
        จาก “โคโยตี้” ที่หมายถึงหญิงสาวนักเต้น ชุดวาบหวิวที่เลียนแบบมาจากหนังเรื่อง โคโยตี้ อักลี บาร์ห้าวสาวฮอต (Coyote Ugly)จากชื่อสถานบันเทิง โคโยตี้อักลี ซาลูน บาร์แห่งหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งให้พนักงานหญิงโชว์เต้นบนเคาน์เตอร์เพื่อความบันเทิงแก่แขก จนมาถึงปรากฏการณ์ครั้งแรกของสาวโคโยตี้เมืองไทยที่ฟอร์เต้ บาร์ชื่อดังในซอยสุขุมวิท 24 เมื่อปี 2545..
       
        วันนี้โคโยตี้ไทย...เดินทางมาไกลเกินกว่าที่คิด ไกลเกินกว่าความบันเทิงธรรมดา...
       
        ยอมรับว่า ผมเองผ่านการชม พูดคุยกับบรรดาโคโยตี้มา 3- 4 ครั้ง
       
        มีทั้งน้องๆ ที่กำลังจะต่อปริญญาโท, กำลังเรียนปริญญาตรี -ปวส.-ปวช.,จบม.6 - ปวช.-ปวส. แต่ยังไม่มีงานทำ...
       
        ในจำนวนเหล่านั้น มีบางคนที่ชอบความสนุกร่าเริง ทำงานหาเงินเรียนหนังสือ, บางคนหาประสบการณ์ให้ชีวิตและอาจจะแอบวาดหวังว่าจะพานพบคู่ชีวิตฐานะดี, บางส่วนไม่ปฏิเสธการขายบริการทางเพศหากการพูดคุยและค่าตอบแทนถูกใจ..
       
        แต่ในภาพรวมชีวิตของพวกเธออยู่ในความเสี่ยงภัย...ถูกแวดล้อมด้วยสังคมที่มีค่านิยมฟุ้งเฟ้อเสียเป็นส่วนใหญ่...
       
        มีบ้างเหมือนกันที่หลุดรอดจากลัทธิบริโภค ค่านิยมฟุ้งเฟ้อมาได้ แต่น้อย...
       
        จะอย่างไรก็ตาม วันนี้สาวโคโยตี้ไทย ซึ่งแม้จะยังบานเป็นดอกเห็ด แต่ก็ยังมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนวัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งประเทศ แต่ประเด็นสำคัญที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งก็คือ ขณะนี้นักเรียน นักศึกษาหญิงจำนวนมากไม่เคอะเขิน หากแต่มาดมั่นในการเดินไปสู่วิถีโคโยตี้...สาวนักเต้นในชุดวาบหวิวและเซ็กซี่สุดๆ
       
        ประทานโท ษ บางครั้งผมดูการแต่งกายของเชียร์ลีดเดอร์บางสถาบัน มันก็น้องๆ หรือแทบไม่ต่างจากสาวโคโยตี้...ผมกำลังบอกว่า สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย ควรจะได้เหลือบแลใส่ใจการแต่งกายของนักศึกษาของตนเองบ้าง...พร้อม ๆ กับการปลูกฝังเรื่องจริยธรรม..เรื่องวิธีคิดและค่านิยม..
       
        กระทรวงวัฒนธรรมไม่ต้องไปกำหนดอายุสาวพริตตี้ สาวโคโยตี้ ว่าต้องอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีหรอก เพราะนั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่าจะอายุ 18 หรือ 28 หรือ 38 หรือกี่ปีก็ตาม หากกระทำอนาจาร เต้นโป๊เปลือยในสถานที่สาธารณะ หรือในวัดย่อมไม่เหมาะสมทั้งสิ้น..
       
        การที่เราปล่อยให้โคโยตี้บุกเข้าไปในวัด หรือแม้กระทั่งไปจัดสวนเบียร์กันในวัด มันแสดงถึงความอ่อนแอ ปวกเปียกของสังคมไทยโดยรวม โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ...
       
        ครับ สำหรับผมนอกจากตัวเองจะรู้สึกว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชีนีนาถ ทรงเป็นห่วงกรณีโคโยตี้แสดงกลางวัดแล้ว ยังทำให้ผมนึกถึงพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตรัสแก่ ครม.รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์วันถวายสัตย์ปฏิญาณ...
       
        พระองค์ทรงรับสั่งถึงปัญหาน้ำท่วมตอนหนึ่งว่า ที่จริงปริมาณฝนก็ไม่ได้มากไปกว่าเมื่อก่อน แต่ปัญหาน้ำท่วมมันรุนแรงหนักหนาสาหัสมาก เพราะว่าเรา “ไม่ได้รักษาบ้านเมืองมานาน”
       
        โคโยตี้บุกวัดก็เหมือนกันล่ะครับ...เราหละหลวม ปล่อยปละละเลยมานาน!
       
        อ่อนแอ และเละตุ้มเป๊ะกันไปหมดแล้ว!!

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000134882


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 31-10-2006, 21:42
มันน่าจะมีพัฒนาการมาจาก สาวรำวง ------> จ้ำบ๊ะ-หางเครื่อง-------> อโกโก้ ----------->โคโยตี้

ควรจำกัดอายุไปเลยดีกว่า ว่าต้อง 40 UP ถึงจะเต้นได้

20 มันยังน้อยเกินไป คนไทยวุฒิภาวะต่ำ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก

เลือกตั้งก็ยังโง่โดนหลอก โดนซื้อได้เลย มันต้อง 40UP ครับ....




หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 21:44
มันน่าจะมีพัฒนาการมาจาก สาวรำวง ------> จ้ำบ๊ะ-หางเครื่อง-------> อโกโก้ ----------->โคโยตี้

ควรจำกัดอายุไปเลยดีกว่า ว่าต้อง 40 UP ถึงจะเต้นได้

20 มันยังน้อยเกินไป คนไทยวุฒิภาวะต่ำ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก

เลือกตั้งก็ยังโง่โดนหลอก โดนซื้อได้เลย มันต้อง 40UP ครับ....





 :slime_o: :slime_o: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

  คุณคิลเลอร์เข้าใจถูกเลยล่ะ  เพราะผู้หญิงสมัยนี้
อายุสี่สิบนี้ยังพริ้ง  สวยไม่สร่างเลยนะจ๊ะ  อย่า
เข้าใจว่าจะแก่นะ  ----


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 31-10-2006, 21:49
31ตค.) นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อดีตประธานคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชปรารภเรื่องความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับการเต้นโคโยตี้ ว่า ก่อนหน้านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เคยตรัสเรื่องทางสังคม คือ เรื่องสถานบริการที่ทำให้เสียงในหูเสีย พอท่านตรัสหน่วยงานต่างๆก็วิ่งวุ่นกันทั้งประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขก็ไปตรวจแต่ทำเพียง 15 วัน แล้วแต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ส่วนราชการและองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องสังคมไม่ทำงานเลย จะมาอ้างว่าไม่มีกฎหมายไม่ได้ มาถึงวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถท่านก็ตรัสในเรื่องโคโยตี้ ซึ่งสะท้อนในเรื่องความไม่พอดีในสังคมไทยทำอะไรประเจิดประเจ้อ เลอะเทอะไปทั้งเมือง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐมีกฎหมายในมือก็ไม่ดำเนินการอะไร

นายวัลลภ กล่าวว่า แต่ในขณะนี้ไม่ว่าตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ขันน็อตกันใหญ่ โดยขันน็อตเฉพาะสิ่งที่พระราชินีตรัสเท่านั้น แต่พระองค์ท่านมองไกลกว่านั้นว่า ต้องพยายามมองสังคมให้สะอาด ให้งดงาม เพราะฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องคิดมากกว่านั้นเพราะเป็นประธานคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด แต่จังหวัดทำน้อยมาก หรือแทบจะไม่ทำเลย ไม่ดูแลเรื่องสังคมเลย เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องพึงสำเหนียกไว้และต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การดูสื่อลามก เวปไซด์ลามก รวมไปถึงการที่วัดจัดให้มีการเต้นจ้ำบ๊ะภายในวัด ซึ่งเรื่องนี้กรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา เคยทำหนังสือไปยังสำนักพุทธศาสนา ให้ดูแลในเรื่องนี้ซึ่งกฎหมายสามารถลงโทษได้ทุกเรื่อง ครั้งนี้ก็พูดเหมือนกันอีกว่าจะส่งจดหมายเวียนไป ยกตัวอย่างเช่น ไปเต้นโคโยตี้ที่หน้ารถถัง ทหารสั่งครั้งเดียวหายเงียบ ถ้าเป็นเด็กไปเต้นกระทรวงศึกษาต้องรับผิดชอบ มีหน่วยงานปฏิบัติที่รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ท่านไม่ทำงาน ขอประณามว่า ไม่ทำงานจริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี หาอาชีพพิเศษจากการแสดงเต้นโคโยตี้ พริตตี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ นายวัลลภ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องการละเมิด เพราะพ.ร.บ.สถานบริการห้ามรับเด็กต่ำกว่า 20 ปีเข้าทำงานอยู่แล้วซึ่งการมีกฎหมายไม่ใช่การละเมิดสิทธิ แต่เป็นเรื่องที่ทำได้หรือทำไม่ได้ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นอยากให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนให้ดี และเรื่องนี้สัมพันธ์โดยตรงกับนโยบายของรัฐบาล ที่มีระยะเวลาเพียง 1 ปี แม้ว่ารัฐบาลจะทำงานยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงแต่เรื่องสังคมก็ละเลยไม่ได้ ต้องมีแนวทางทำงานไปทิศทางเดียวกัน

“ทุกหน่วยงานน่าจะฉวยโอกาสที่พระราชินีทรงมีพระราชปรารถเรื่องนี้ ทำเป็นนโยบายเร่งด่วนปราบอบายมุขให้กับสังคมไทย หากเน้นเรื่องการดูแลเรื่องอบายมุขเป็นหลักของกระทรวงทางสังคมประชาชนก็จะสรรเสริญรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหล้า โคโยตี้ สถานบริการ สื่อลามก รวมทั้งยาเสพติด ประกาศเป็นวาระว่า 1ปีรัฐบาลจะดูแลเรื่องอบายมุขให้มีน้อยลงในสังคมไทย ถ้าทำได้อย่างนี้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลชุดนี้” นายวัลลภ กล่าว

http://news.sanook.com/social/social_43246.php


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 31-10-2006, 22:42
ก็แค่กระแสบ้าตัณหาของผู้ชายและผู้หญิงที่อยากได้เงิน
ผมไม่ได้มองเป็นอาชีพ หรือเป็นความสนุกความสวยงาม
เพราะสำหรับคนไทย กระแสโคโยตี้ไม่เคยผ่านจุดนั้นเลยด้วยซ้ำ


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 05-11-2006, 10:00
มันน่าจะมีพัฒนาการมาจาก สาวรำวง ------> จ้ำบ๊ะ-หางเครื่อง-------> อโกโก้ ----------->โคโยตี้

ควรจำกัดอายุไปเลยดีกว่า ว่าต้อง 40 UP ถึงจะเต้นได้

20 มันยังน้อยเกินไป คนไทยวุฒิภาวะต่ำ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก

เลือกตั้งก็ยังโง่โดนหลอก โดนซื้อได้เลย มันต้อง 40UP ครับ....




โห........พี่คิล.....40 up เลยหรือ


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: สี่หามสามแห่ ที่ 05-11-2006, 18:57
ไม่ชอบเที่ยวแบบ นั้นอะครับ ...


เสียเวลา


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คนในวงการ ที่ 06-11-2006, 20:33
ผมชอบดูที่กล่าวมาทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าดูฟรี


หัวข้อ: Re: คิดอย่างไร-----กับคำว่า โคโยตี้
เริ่มหัวข้อโดย: คำตัดพ้อของใบไม้ ที่ 06-11-2006, 20:45
กระทรวงวัฒนธรรมควรออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการออกกติกา โดยร่วมกันออกอย่างบูรณาการ ไม่ให้เด็กสตรีวัยเรียน วัยรุ่นใช้เวลา Part-time กับสิ่งเหล่านี้

วิถีเรียนกับวิถีอนาจารต้องเป็นเส้นขนาน

ขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาในฐานะผู้ชอบสะท้อนปัญหาเพื่อแก้ปัญหา

1.รณรงค์ในสังคม สถานเริงรมย์ หรือหน่วยงานต่างๆ อย่าจัดจ้างไคโยตี้ไปออกงานในที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร ทั้งราชการ งานเลี้ยง หรือพื้นที่สาธารณะที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่ Win-Win แต่เป็น Lost-Lost


2.ปลูกฝังเด็กสาวไทย ให้รู้จักรักนวลสงวนตัว เชื่อมั่นในตัวเองในทางที่ถูกที่ควร โดยไม่ต้องแลกกับความเซ็กซี่ ชื่นชมเด็กขายไก่ทอด น้ำเต้าหู้ ขายหนังสือ ทำงานห้องสมุด ร้านอาหาร Fast Food อื่นๆ อีกมากมาย แม้ได้เงินไม่มากแต่ก็คือเงินที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องแลกกับความภูมิใจในศักดิ์ศรีของเพศแม่

3.กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องจัดเสวนาโดยด่วน เพื่อหาทางออกกฎระเบียบหรือมีแนวทางจัดระเบียบการเต้นหรือการแสดงที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่ราชการ พื้นที่สาธารณะ หรือสถานที่ทางศาสนาและวัฒนธรรม ต้องปรับค่านิยมใหม่ของการศึกษา ให้สังคมไม่ยอมรับ เช่นเรื่องเด็กสาวแต่งกายนุ่งน้อยห่มน้อยขึ้นมาเต้นด้วยท่าทางยั่วกิเลส อาจเป็นเปรตสาวที่รับไม่ได้

4.สื่อมวลชน ควรตระหนัก รายการ "หลุมดำ" ทำดีมากควรสร้างจิตสำนึกกับเด็กไคโยตี้ เปลี่ยนวิถีใหม่ อาชีพใหม่ พอเพียงต่อตนเอง ศักดิ์ศรีสตรีไทย การเต้นยั่วกิเลสต่อหน้าหนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ ควบคุมไม่ได้ก็กลายเป็นมนุษย์กระหายกิเลสไปข่มขืน ฝืนภาวะครอบครัวเป็นสุข สื่อควรร่วมออกรณรงค์ ไม่ยอมรับปรับค่านิยมอีกทางหนึ่ง

5.สถาบันการศึกษาร่วมกับสถาบันครอบครัว ช่วยกันสอดส่องดูแล ลูกศิษย์บุตรหลานไม่ให้มีทัศนคติชอบโชว์ เน้นอนาจารทั้งวาจาและการแต่งกาย ปลูกฝังให้ตระหนักถึงคุณค่าและรักศักดิ์ศรีของตนเอง ครูอาจารย์ต้องให้กรอบแนวคิด ถึงวันที่เป็นป้านั่งทำบุญเข้าวัด ครอบครัว ดูแลให้เวลาลูกหลานอย่างใกล้ชิด

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01061149&day=2006/11/06

http://forum.serithai.net/index.php?topic=9647.0