ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: soco ที่ 16-10-2006, 15:25



หัวข้อ: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: soco ที่ 16-10-2006, 15:25
โดยทีมข่าว INN News 16 ตุลาคม 2549 12:47:15 น.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจพบหนี้สินของครัวเรือนประมาณ 6.9 เท่าของรายได้ หรือ คิดเป็นหนี้สินเฉลี่ย 118,434 บาทต่อครัวเรือน




สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจรายได้ของครัวเรือนในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,122 บาท โดยเพิ่มจาก ปี 2547 ร้อยละ 7 ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการทำงาน หรือคิดเป็นร้อยละ 70.7 ได้แก่ ค่าจ้างเงินเดือน ร้อยละ 37.1 กำไรสุทธิจากการทำธุรกิจ ร้อยละ 20.6 และจากการทำการเกษตร ร้อยละ 13 เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า กรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดรอบ ๆ คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยสูงกว่าภาคอื่น ๆ คือ 32,284 บาท รองลงมาได้แก่ ภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งมีรายได้ใกล้เคียงกัน คือ 18,665 และ 17,303 บาท ภาคเหนือ 12,432 บาท และต่ำสุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยเพียง 11,528 บาท และพบว่า ภาคใต้มีอัตราการเพิ่มของรายได้สูงกว่าภาคอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

ด้านรายจ่ายของครัวเรือนทั่วประเทศมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 14,640 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 85.5 ของรายได้ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 9.1 ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่ารายได้ โดยร้อยละ 28.7 เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รองลงมาได้แก่ ค่าที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ภายในบ้าน ร้อยละ 22.2 ค่าเดินทางและการสื่อสาร ร้อยละ 21.5 และเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค เช่น ค่าภาษี ของขวัญ เบี้ยประกันภัย ซื้อสลากกินแบ่ง/หวย ดอกเบี้ยเงินกู้ อีกร้อยละ 10.9 เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคหรืออาชีพจะพบว่า ครัวเรือนในภาคหรืออาชีพใดที่มีรายได้สูงจะมีค่าใช้จ่ายสูงเช่นเดียวกัน

ส่วนหนี้สินของครัวเรือนเกินครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 64.7 มีหนี้สิน คิดเป็นหนี้สินเฉลี่ย 118,434 บาทต่อครัวเรือนหรือประมาณ 6.9 เท่าของรายได้ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 6.4 ต่อปี และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2547 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 ต่อปี โดยส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.2 เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและที่ดิน รองลงมาเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค ร้อยละ 24.6 ใช้ทำธุรกิจ ร้อยละ 19.9 และใช้ทำการเกษตร ร้อยละ 13.8 สำหรับหนี้เพื่อใช้ในการศึกษามีเพียงร้อยละ 3.4 เท่านั้นและพบว่าครัวเรือนในภาคหรืออาชีพใดที่มีรายได้สูง จะมีจำนวนเงินที่เป็นหนี้สูงเช่นเดียวกับค่าใช้จ่าย
http://www.innnews.co.th/social.php?nid=6761


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: boonterm ที่ 16-10-2006, 15:30
ยึดเงินเดือนลูกหนี้3หมื่นคน

ศก.ซบเจ้าหนี้แห่ฟ้อง1.7หมื่นล. บังคับคดีชี้พนง.รัฐวิสาหกิจเพียบ

โพสต์ทูเดย์ — เศรษฐกิจซบ เจ้าหนี้แห่ฟ้องอายัดเงินเดือนจากประชาชนเพียบ 3.3 หมื่นราย มูลหนี้ 1.7 หมื่นล้านบาท

 
สิรวัต
นายสิรวัต จันทรัฐ อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2548 หรือระหว่างเดือนตุลาคม 2548-กันยายน 2549 เจ้าหนี้ทั่วไปฟ้องร้องให้ทำการอายัดเงินเดือนของลูกหนี้รวม 33,018 เรื่อง คิดเป็นทุนทรัพย์ 17,598 ล้านบาท ซึ่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 24.43% และ 17.55% ตามลำดับ และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546


ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2547 มีการอายัดเงินเดือน 26,535 เรื่อง คิดเป็นทุนทรัพย์ 14,970 ล้านบาท โดยที่จำนวนเรื่องเพิ่มขึ้น 44.32% จากปีงบประมาณ 2546 ที่มีจำนวน 18,385 เรื่อง และทุนทรัพย์เพิ่มขึ้น 20.49% จาก 12,424 ล้านบาท


“ส่วนใหญ่เจ้าหนี้ที่มายื่นเรื่องอายัดเงินเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ที่ปล่อยกู้ให้กับกลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยก่อนที่ลูกหนี้จะกู้เงินจะบังคับให้เซ็นยินยอมให้ฟ้องร้องต่อศาลเพื่ออายัดเงินได้ จากนั้นก็นำเป็นหลักฐานยื่นให้กรมบังคับคดีอายัดเงินเดือนได้” นายสิรวัต กล่าว


อย่างไรก็ตาม กรมบังคับคดีกำหนดให้เจ้าหนี้ทุกรายสามารถอายัดเงินเดือนของประชาชนรวมกันได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ เพื่อให้ลูกหนี้มีเงินเหลือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จากเดิมที่เจ้าหนี้แต่ละรายสามารถอายัดเงินเดือนได้ไม่เกิน 10% แต่ลูกหนี้ส่วนใหญ่มีเจ้าหนี้นับ 10 ราย หากถูกอายัดเงินเดือนทุกราย ลูกหนี้จะไม่มีเงินเหลือใช้จ่ายประจำวัน


ทั้งนี้ การแห่ฟ้องอายัดบัญชีเงินเดือนนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2548 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2548 กำหนดการอายัดเงินเดือนลูกหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 1 หมื่นบาทต่อเดือน ดังนั้น เจ้าหนี้จึงฟ้องอายัดเงินเดือนลูกหนี้เฉพาะส่วนที่เกิน 1 หมื่นบาท เพราะปัจจุบันนั้นบรรดาลูกจ้างทั่วไปจะมีเงินเดือนเกินหมื่นบาทจำนวนมาก แต่กระนั้นก็ป้องกันไว้โดยกำหนดให้เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดเครื่องใช้ในครัวเรือน สินทรัพย์ที่ใช้ดำรงชีพ เครื่องนุ่งห่ม ของใช้ในชีวิตประจำวันได้ เพราะ มีการกำหนดให้มีการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินที่เพียงพอต่อการยังชีพเป็น 5 หมื่นบาท จากเดิมกำหนดไว้เพียง 5 พันบาท ขณะที่ทรัพย์ที่ใช้ประกอบอาชีพเพิ่ม เป็น 1 แสนบาท จากเดิมที่กำหนดไว้ 1 หมื่นบาท
------------------------------------------------
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=126292



แต่ละข่าว   :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 16-10-2006, 15:40

อ้างถึง
ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้

ไม่ต้องตะลึงหรอกครับ
อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ในเมื่อฝนตกขี้หมูไหล
คนจั***บริหารประเทศตั้ง 4-5 ปี

 :mozilla_yell:


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบแถ ที่ 16-10-2006, 15:50
ร้อยละ 35.2 เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและที่ดิน
- กู้มาซื้อบ้านก็มีสินทรัพย์ค้ำไว้ ไม่เห็นแปลก จะมาตะลึงอะไรไร้สาระ
 


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: irq5 ที่ 16-10-2006, 16:21
ร้อยละ 35.2 เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและที่ดิน
- กู้มาซื้อบ้านก็มีสินทรัพย์ค้ำไว้ ไม่เห็นแปลก จะมาตะลึงอะไรไร้สาระ
 

นั่นแหละที่น่าตะลึง

นอกจากซื้อบ้าน  มันมีอะไรทำให้ต้อกู้สูงกว่ารายได้เยอะขนาดนั้น


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: Solidus ที่ 16-10-2006, 18:18
เอารายจ่ายมาด้วยก็ดีว่าเพิ่มขึ้นกี่เท่า เห็นอ้างแต่รายได้เพิ่ม


หัวข้อ: Re: ตะลึง..คนไทยเป็นหนี้ท่วมหัวเกือบ7เท่าของรายได้
เริ่มหัวข้อโดย: LunaticBomberman ที่ 16-10-2006, 18:47
เป็นเพราะชินวัตรนำโดยไอ่เหลี่ยม และคณะ มันอยู่มาตั้ง 4-5 ปี เจ็บใจแทน เวรเอ้ย! :slime_worship: หวังว่าหลังจากนี้คงดีขึ้นนะ :slime_worship: