หัวข้อ: การเมืองไทยเครื่องมือในการพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา เริ่มหัวข้อโดย: narong ที่ 23-04-2006, 14:26 บทความนี้ขออนุญาติจากผู้เขียนแล้วครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน หลังจากที่กระผมได้ เว้นวรรคการเขียนบทความไปตั้งแต่การเลือกสมาชิกสภาสูงไปก็ได้มาเขียนบทความอีกทีหนึ่งก็วันนี้ เอาล่ะ มาถึงตอนนี้กระผมคงจะไม่ต้องเขียนสาธยายหน้าตาและความเหลวแหลกหลังการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแล้วกระมัง เพราะทุกอย่างชัดเจนทั้งในด้านรูปธรรม และนามธรรม ว่าไปแล้วก็อดเสียไม่ได้ ก็ขอว่ากันหน่อยสักนิดนึงครับ คือ หน้าตาและรากเหง้าของแต่ละท่านที่ถูกเลือกมาเป็นส่วนใหญ่แทบจะกินทั้งสภาก็ว่าได้ เหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อนึ่ง ผลการเลือกตั้งทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมารวมถึงสภาสูงคราล่าสุด ได้ชี้ชัดถึงระบบที่ฝรั่งของเรียกว่า Power Politics คือ การกระทำของนักการเมืองที่ใฝ่หาอำนาจทางการเมืองเป็นสำคัญแต่อย่างเดียว มองเป้าหมายเพ่งไปที่อำนาจและเกียรติคุณเป็นจุดปลายทาง โดยมิใช่การกระทำเพื่อคุณประโยชน์ของชาติเป็นหลักใหญ่สำคัญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การตรวจสอบ และหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ได้วางกลไกกันเอาไว้ก็ทำไม่ได้ เพราะนักการเมืองเหล่าจำพวกนั้น(ทราบกันดีนี่ว่ากลุ่มใดหน้ากลมหน้าเหลี่ยมก็ไม่รู้ล่ะ) ก็จะทำทุกอย่างที่จะทำให้ตนและพรรคพวกได้มาซึ่งอำนาจและการผูกขาดอำนาจก็จะติดตาม เพราะหากกุมสภานิติบัญญัติได้เสียแล้ว ฝ่ายบริหารจะเต้นแร้งเต้นกา หรือจะทำบัดสีเลวยำยำอย่างไรก็คงจะไม่มีใครมาปราม และตนก็ไม่ต้องเกรงอันใด ฝ่ายค้านตอนนี้ก็มีเพียงคนเดียวนี่ จะยกมือหรือยืนขึ้นแนะนำตัวยังประหม่าใจเลย ถ้าคุมสภาสูงได้อีก แหม อะไรก็ของข้า ข้าใหญ่ที่สุด ดังนั้น การเมืองที่บุคคลจะมาสวมหัวโขนนั้นก็คงจะวนเวียนเร่ร่อนในสภาอีกนานชั่วกัลป์ ดั่งสัมภเวสีที่ละวางอันใดไม่ได้ก็คงวนเวียนอยู่ที่นั้น ๆ และสภาก็จะกลายไปเป็นสภาสืบทอดอำนาจ ใครสกุลเดียวกับข้า เอ็งได้เกิด เป็นงั้นไป ดังนั้น ท่านผู้อ่านครับ การเมืองที่นักการเมืองในยุคนี้และอดีตเขาก็เล่นการเมืองแบบ Power Politics ที่ว่ามานี้ล่ะครับ เพราะอะไร สิ่งที่กระผมจะนำมาสะท้อนคือ การที่สมาชิกสภาสูงชุดเลือกตั้ง ชุดที่สองนี้ ภาพออกมาอย่างชัดเจนเสียเหลือเกินครับว่าล้วนแต่มาจากอำนาจจากฝ่ายใด ผู้สมัครสว.อาศัยฐานอำนาจ ฐานเสียงจากแหล่งใด อันนี้คงจะทราบกัน นี่ชี้ชัดครับว่าสภาล่างห่วงอำนาจในอุ้งเท้าของตนจนเสียขาสั่นจนต้องส่งโคตรวงศ์ของตนลงมาตีปี๊บ ซื้อเสียงเชียร์กันจ้าละหวั่น ตามียายมาเขาก็เลือกตามคำบอกของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เกณฑ์กันไปเสียกระนั้น ดังนั้นจึ่งไม่น่าแปลกใจเลยครับ สำหรับหน้าตาของ สว.ชุดนี้ สภาพการณ์ต่อไปก็คงจะมีเพียงภาพเดิม ๆ ก็คือ การเอื้อเฟื้อผลประโยชน์กันภายใต้ร่มผ้า แทนที่จะเดินกันตามกลไกที่กระทำการด้วยความบริสุทธิ์ การใช้อำนาจรัฐก็มั่วซั่วลามปามไปถึงสภาสูงในที่สุดก็คงจะต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ คือจากเดิมสภาผู้แทน กับ สภาวุฒิ รวมกันเดิมเรียกรัฐสภา มาคราวนี้ยุคนี้น่าจะปรับให้เข้ากับกระบวนการและพฤติการณ์ ก็คือน่าจะเรียกไปเป็น สภาฮั้วกันเสียเลย เป็นคำที่ตรงดี เมื่อสอนลูกสอนหลานรุ่นสืบไป จะได้ไม่ต้องอธิบายความให้มากนักว่า สว. รวม สส.เป็นรัฐสภา ปรับเป็นสูตรใหม่จำเอาง่าย ๆ คือ ส.ว.กับ ส.ส.สองสภาเรียกรวมเป็น ส.ฮ. และคงต้องนิยามหน้าที่ของ สว. กันเสียใหม่ จากเดิมสมาชิกวุฒิสภา ควรจะปรับไปเป็น สมาชิกวังจันทร์ส่องหล้า และสส.ก็คงจะต้องปรับคำแปลเช่นกัน เพื่อให้ทัดเทียมเหมือนกันคือจาก สส. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปรับไปเป็น สมาชิกสภาสรรหาผลประโยชน์จากราษฎร นี่ล่ะครับ เราคงจะต้องยกเครื่องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษากันเสียใหม่ บัญญัติคำให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เด็กนักเรียนเกิดสับสนในพฤติกรรมของพวกตระไรในสภาเหล่านั้น ว่าเอ? ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนสงสัยจะสอนวิปลาสไปเสียแล้วกระมัง ทั้ง ๆ ที่สอนเราว่า สว. ทำหน้าที่อิสระ กลั่นกรองกฎหมายจากสภาล่างและคอยตรวจสอบตรวจตราสภาล่าง และยืดหยัดอยู่ด้วยความเป็นธรรม ส่วน สส. มีหน้าที่คอยดูแลรักษาผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน และใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อผลประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน แต่สิ่งที่หนู ๆ(เด็กนร.)เห็น ก็คงจะมีแต่การจัดสรรปันส่วนเงินงบประมาณแผ่นดินกันใช้จ่ายกันภายในก๊กในวัง ในมุ้ง ของ สว. ก็เห็นว่าคอยรับเงินเดือนจากพรรคการเมือง นั่นก็คืออ้ายพวกสภาล่างนั่นล่ะ หนู ๆ เด็ก ๆ ทั้งหลายคงจะงงไปกันจ้าล่ะหวั่น เพราะไหงอาจารย์ที่โรงเรียนเสี้ยมสอนว่า สว.เป็นสภาอิสระไง แล้วเหตุไฉนจึ่งยังรับเงินเดือนจากฝ่ายที่ตนจะต้องเข้าไปตรวจสอบเสียซะล่ะ ทีนี้ก็งงสิครับ ดังนั้น กระผมเห็นว่าในเมื่อภาพจริงเป็นเสียเช่นนี้ ก็ปรับหลักสูตรกับไปให้ชัดเจนเสียเลย เพื่อหนู ๆ ทั้งหลายจะได้ไม่สับสนในเนื้อหาจากตำราและของจิงที่เห็น ๆ อยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เฮ้อ เหนื่อยแทน จากที่กระผมได้ว่ามานั้นก็มาจากการที่บรรดาญาติสนิทมิตรสหาย อดีตผู้ว่าฯ อดีตนักการเมือง อดีตขี้ข้า มารุมสุมกันเข้าสภากันเสียมลภาวะกากเดนเต็มสภาหึ่งไปเสียหมด หัวข้อ: Re: การเมืองไทยเครื่องมือในการพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา เริ่มหัวข้อโดย: narong ที่ 23-04-2006, 14:33 แล้วทีนี้ก็คงเหนื่อยล่ะครับกับการจะต้องนั่งนับเวลาให้รีบ ๆ ผ่านไปอีกหกปี
ให้อ้ายพวกกากเดนในสภา(ที่ดีก็มีแต่น้อยนัก)เหล่านั้นออกมาเสียให้ไปไกล ๆ มาจาก รูไหนก็กลับไปที่รูนั้น ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะทำเสียอย่างไร เพราะการเมืองจะเลวทรามอย่างไรก็อยู่ที่ประชาชนนั่นล่ะครับ ว่าสภาพเป็นอย่างไร ดั่งที่ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้กล่าวไว้ว่า ตามปกติคุณภาพของการปกครองนั้น ย่อมขึ้นต่อคุณภาพของผู้ปกครองเป็นสำคัญ ในเมื่อประชาชนมาเป็นผู้ปกครอง ประชาธิปไตยจะมีคุณภาพแค่ไหนก็อยู่ที่คุณภาพของประชาชน...ประชาชนมีคุณภาพดี ประชาธิปไตยก็มีคุณภาพดีด้วย ถ้าประชาธิปไตยมีคุณภาพต่ำ ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยอย่างเลวด้วย เพราะว่าคุณภาพของประชาธิปไตยขึ้นต่อคุณภาพของประชาชน การกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่า ประเทศที่มีประชาชนที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ควรปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ และคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะรู้เรื่องการเมืองมาตั้งแต่เกิด แต่มนุษย์ต้องเรียนรู้เอาภายหลังทั้งสิ้น ประเทศที่จะปกครองด้วยประชาธิปไตยให้ได้ผลดี จึงจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ประชาชนเรียนรู้เรื่องการเมืองให้ได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น หากพิจารณาเพียงผิวเผิน คนไทยทั่วไปก็จะเกิดความหวังอย่างมากกว่า เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วการเมืองไทยคงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน... แต่หากได้พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าลำพังแต่มาตรการต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญคงไม่เพียงพอที่จะปฏิรูปการเมืองได้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง...?...ที่เราจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของประชาชนอย่างจริงจัง . ..โดยที่พวกเราจะต้องพัฒนาตัวเราเองด้วย กล่าวคือพวกเราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพื่อเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), การศึกษาเครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา, ๒๕๓๙) จากบทความของท่านพระธรรมปิฎกก็กินใจและถี่ถ้วนทุกกระบวนความเสียแล้วครับ ว่าอะไรเป็นอะไร คงจะไม่ต้องว่าเสริมขยายความให้ยืดต่อไปอีก กระนั้นเราจะเห็นได้ครับว่า ประชาธิปไตยจวบจนมาเจ็ดสิบสี่ขวบ ประชาชนก็ยังไม่พร้อมอยู่อีกเช่นเดิม ซึ่งพัฒนาการของประชาชนต้องยอมรับครับว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้าเอามากนัก เพราะกลุ่มความรู้เมื่อเจ็ดสิบสี่ปีที่แล้ว กระจุกตัวอยู่ที่บรรดาคนชั้นสูง กลุ่มราชนิกุล และระยะเวลาผ่านมาเกือบแปดสิบปี กลุ่มความรู้ได้ขยายมาลามมาถึงกลุ่มคนชั้นกลางเป็นบางส่วน ซึ่งความเป็นจริงตามหลักการแล้ว ประชาชน สมควรที่จะมีพัฒนาการความรู้ ควรจะต้องลามไปสู่รากหญ้าเสียได้แล้ว ที่การเจริญเติบโตทางความรู้การศึกษาของประชาชนเป็นไปอย่างต้วมเตี้ยมก็เป็นเพราะการมุ่งแสวงหาอำนาจของกลุ่มอาชีพ ที่เรียกกันว่านักการเมือง ซึ่งตอนนี้ถูกกลุ่มของนักการตลาดสวมร่างอยู่ ทำให้การแสวงหาอามิส และ ตัวเลขเป็นไปอย่างอิ่มหมีพลีมันส์ จนกระทั่งขาดการเอาใจใส่ในด้านของการพัฒนาการศึกษา การพัฒนาคนเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก จะว่าไปแล้วหากพลเมืองไทยหมั่นศึกษาหาความรู้กันอย่างถ้วนหน้า เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิไตย มิใช่จะอยู่รอนับถอยหลังวันที่จะต้องนอนลงให้เขาเอาดินกลบหน้า เกิดเป็นมนุษย์เสียทีจะให้คุณประโยชน์ทั้งทีก็ตอนตาย คือ ปล่อยให้ตนเป็นเพียงอาหารของวัชพืชไปเสียเท่านั้น การเป็นประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยนั้น จะละเลยอยู่ดั่งเช่นปัจจุบันนี้มิได้เลยครับ น่าห่วงเสียเอามากเชียวล่ะ เพราะประชาชนคอยหวังพึ่งนักการเมือง ทั้ง ๆ ที่พึ่งเอาเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะจะกลายไปเป็นอำนาจที่กระจุกตัว ดั่งที่เรียกกันว่า การเมืองเป็นเรื่องของกลุ่มอาชีพหนึ่ง ๆ เท่านั้น และหากเราปล่อยปละให้เป็นเช่นนั้น อย่าว่าแต่พัฒนาการทางการเมืองเลย แม้แต่ประชาชนเองก็จะเอาตัวไม่รอด เพราะหากรอให้หยั่งรากลึกลงไปมากกว่านี้ ประชาชนก็จะอยู่ในสภาที่เรียกได้ว่าทุพพลภาพ คือพึ่งตัวเองไม่ได้เสียแล้ว ที่พึ่งข้ามีเพียงผู้เดียวคือผู้นำ ซึ่งความจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตย และหากท่านอยากให้เป็นเช่นนั้นก็คงจะต้องไปอยู่ในรูปแบบของเผด็จการ ซึ่งมีให้ท่านอยู่สองแบบคือ แบบอำนาจนิยมทางการทหาร และแบบคอมมิวนิสต์ ฟาสต์ซิสต์อะไรก็ว่าเอา เลือกเอาเถิด เพราะท้ายสุด หากเรายังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานก็คงต้องหันไปพึ่งลัทธิเหล่านั้น แต่เดชะบุญด้วยพระบารมีแห่งองค์พระกษัตรา ยังค้ำจุนให้ปวงชนผองไทยยังยืนหยัดอยู่ในระบอบแบบประชาธิปไตยนี้ยังคงอยู่ได้ ตราบใดที่เรายังยึดมั่นในสถาบัน อย่างไรก็ดี กระผมขอฝากโคลงสี่สุภาพบทหนึ่งของท่านอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ท่านประพันธ์เอาไว้เพื่อเอาไว้ระลึกเสมอว่าเกิดมาทั้งทีอย่าให้สูญเปล่า กระผมเองขอลาไปด้วยโคลงบทนี้ครับ กูชายชาญชาติเชื้อ ชาตรี กูเกิดมาก็ที หนึ่งเฮ้ย กูคาดก่อนสิ้นชีพ วายอาตม์ กูจักไว้ลายโลกเว้ย โลกให้แลเห็น โดย พุฒิพงศ์ [ วันอาทิตย์ ที่ 23 เดือนเมษายน พศ.2549 ] phuttipong_top@hotmail.com |