ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

นักวิชาการ"ระบุประชาชนยังติดยึดวัฒนธรรมไพร่ มักจะรอให้ทหารทำการรัฐประหาร แต่ไม่ยอมรับกระบวนการประชาธิปไตยแก้ปัญหา หวั่นสังคมยังมีรอยร้าว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การเสวนาเรื่อง “พัฒนาการสังคมไทยจากวิกฤต 6 ต.ค.2519 จนถึงวิกฤต กุมภาพันธ์ 2549 สังคมไทยก้าวหน้า หรือถอยหลัง” จัดโดยสมาพันธ์ประชาธิปไตย

ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประชาธิปไตยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาทางด้านประชาธิปไตยน้อยมาก โดยกองทัพ หรือทหาร มักจะปิดฉากการแก้ปัญหาด้วยการยึดอำนาจ เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตทางการเมืองอย่างไร แต่ก็ไม่เคยมีทหารเข้ามายึดอำนาจ

“นอกจากนี้ ประชาชนยังติดยึดในวัฒนธรรมไพร่ฟ้า ที่เวลามีปัญหาเกิดขึ้น ก็มักจะรอให้เบื้องบนแก้ปัญหาให้หรือรอให้ทหารปฏิวัติ ไม่ค่อยใช้กระบวนการประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหา” นายสุธาชัย กล่าว

ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รู้สึกเสียใจที่จากการปฏิรูปการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน กลุ่มที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตยมาโดยตลอด กลับไปสนับสนุนการยึดอำนาจ ทำให้มองว่าพลังประชาชนจากคนชั้นกลางที่เรียกร้องประชาธิปไตยมาก่อนหน้านี้ ไม่สมควรที่จะออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอีก จากนี้ไปพลังประชาชนชั้นล่าง จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยกลับมา

ด้านดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตั้งขึ้น เพื่อให้ตรวจสอบโครงการต่าง ๆ ที่อนุมัติโดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมา จะมีความเป็นกลางหรือไม่ เพราะกรรมการหลายคนเคยตรวจสอบเรื่องเหล่านี้มาแล้ว ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีความอคติเกิดขึ้น แม้ว่าบางคนจะมีต้นทุนทางสังคมสูง แต่เมื่อมาทำหน้าที่นี้แล้วก็จะต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความรู้สึกของประชาชน

“นโยบายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะถูกหรือผิด เราก็รู้กัน แต่วันนี้การได้อำนาจมาด้วยการยึดอำนาจเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ดังนั้น การตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ ขอให้อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย มีความเป็นกลาง อย่าอคติ เพราะเวลานี้สังคมเกิดรอยร้าว และลึก จึงยังไม่ทราบว่า 1 ปีต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”ดร.วรเจตน์ กล่าว

ดร.วรเจตน์สรุปว่า  “การทำรัฐประหารเป็นการไม่เคารพเจตจำนงของประชาชน มันควรต้องมาถึงจุดที่เขาไม่ต้องการผู้อนุบาลแล้ว เขาตัดสินใจเองได้ ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด มันอาจผิดได้ ถ้าเขารู้ว่าผิดคราวหน้าก็จะไม่เลือกอีก หากระบบมันยังคงอยู่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่เราก็ไม่เคยมีเวลามากพอที่จะได้เรียนรู้”    :slime_agreed:  :slime_agreed:  :slime_agreed:
http://www.bangkokbiznews.com/2006/10/07/w001_143665.php?news_id=143665

ก็แค่อาจารย์คนเดียว ความคิดคนคนเดียว อย่าอ้างสถาบัน พวกนักวิชาการก็แบบนี้ อยากเด่นอยากดัง ไม่ได้ห่วงชาติบ้านเมืองหรอก


ปล. ผมใช้มาตรฐานเดียวกับลิ่วล้อทักษิณ

ถ้าเป็นทักษิณ มันคงฟ้องไปแล้ว ด่าอย่างนี้

ผมกลับมองว่า อาจารย์พวกนี้ยอมรับ "ยุคกุ๊ยครองเมือง"

ถ้ายุคไพร่ก็คงเป็น ไพร่ฟ้าหน้าใส  :slime_sentimental: ที่ลิ่วล้อเหลี่ยมต้องหลบๆซ่อนๆ ผิดจากเมื่อก่อนที่เป็นยุคลิ่วล้อเหลี่ยมครองเมือง

  เก่งแต่ทางทฤษฏีตะวันตก แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจสภาพสังคมตะวันออก

อาจารย์ ที่สอน บรรดา นักศึกษาที่จะต้องมาเป็นผู้นำประเทศ หรือ นักการเมืองในอนาคต ว่า

เมืองไทย มี เอกลักษณ์ พิเศษ คือ

ไม่ว่า ผู้นำจะมาจากไหน ด้วยวิธีการใดๆ หากเกิดความขัดแย้ง รุนแรงในบ้านเมืองเมื่อไหร่

ประชาชนไทย พร้อม ให้ ทหารมาล้มกระดาน เริ่ม เกมส์ใหม่ได้ทุกเมื่อ

หรือการ สอน นักศึกษาที่จะต้องใช้ สิทธิเลือกตั้งว่า

ไม่ต้องกังวล ว่าคุณ จะเลือกคนดีหรือ คนเลวเข้าสภา เพราะถ้า เลว เดี๋ยว ทหาร ก็ออกมาจัดการเองไม่ต้องห่วง

..................................................................................................................................

เป็นความรู้สึก ที่ เกิดขึ้น หลังจาก อ่าน บทความของ นาย อาจารย์คนนี้ไปแล้ว

 :slime_surrender:

จากการที่ได้พูดคุยกะคนตุลา และ พฤษภาฯ ณ ท้องสนามหลวง อาจารย์เหล่านี้น่าจะเป็นพวกที่หลบอยู่ที่บ้านนอนดูเหตุการณ์ขณะที่ประชาชนและนักศึกษา ออกมาอยู่บ้นท้องถนน รอดูว่าฝ่ายใดชนะ จะได้เข้ามาเลีย อยากแสดงความเห็นแต่กลัวไม่มีใครฟังเลยต้องอาศัยชื่อสถาบัน หรืออาจติดเชื้อทรราชมาเลยหน้าด้านไร้ความรู้สึกครับ

คนพวกนี้ชอบใช้คำเท่ ๆ ...ใช้ระบอบประชาธิปไตยแก้ปัญหา...

แต่แปลกจริง ๆ ตลอดเวลาที่หน้าเหลี่ยมครองเมือง ประชาธิปไตยมีปัญหา

แต่อาจารย์พวกนี้เสนอแนวทางแก้ไขโดยวิถีประชาธิปไตยยังไงบ้าง.....ไล่ไปเข้าคูหา...ให้ประชาชนตัดสินอีกใช่มั๊ย

หวังใช้ ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง "ฟอกตัว" ถ้าคิดได้แค่นั้นก็เลิกเป็นอาจารย์ได้แล้ว

คนจะฆ่ากันตายกลางเมือง ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้...ช่างไร้เดียงสากันจริง ๆ

เป็นไพร่ ดีกว่าเป็นขี้ข้า

หรือเรียกอีกอย่างว่า ทาส ในบริษัทชินแลนด์

พวกอาจารย์หัวสี่เหลี่ยม..น่าด่าที่สุด  ด่าด้วยภาษาไทยไม่สะใจเท่ากับภาษาจีน (แต้จิ๋ว) ด้วย :slime_evil: เอาคำไหนดี..จับเถ่าตุ๊ย ซักไซ่ หรือ ฯลฯ   :slime_smile2:

อาจารย์รู้จักคำว่า "ไพร่ฟ้าประชาชน" ไหมครับ ?

มิน่า น้ำถึงท่วม

ที่แท้พวก พาชาติล่มจม ยังอยู่ในประเทศไทยนี่เอง

กลุุ่ม อ.จุฬา ออกมาต้านระบอบทักษิณ  ลิ่วล้อออกมาบอก อย่าแอบอ้างจุฬาหากิน

อ.จุฬา 1 คน ออกมาต้านรัฐประหาน ลิ่วล้อออกมาบอก อ.จุฬาต่อต้าน

ไม่อายตัวเองบ้างหรือไงว่ะ. .

คนพรรต์นี้ใครนับถือเป็นพี่น้องด้วย ซวยตายห่ะ

กะล่ิอน ปลิ้นปล้อน ได้ตลอด

โธ่เอ๋ย  เวลาบรรดาอาจารย์แกวิพากษ์ระบอบทักสิน ขอโทดโดนพวกทั่นๆลิ่วล้อด่ายับ หาว่าเป็นขาประจำบ้าง เป็นนักวิชาเกินบ้าง อยู่แต่ในโลกวิชาการไม่ดูโลกภายนอกบ้าง.....อนิจจาหลังจากอาจารย์เริ่มวิพากษ์ คปค.บ้าง ก้อเชียร์กันเอิกเกริก เฮ้อ..โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจิงๆ

การจะแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยประชาธิปไตย มีปัจจัยหลายปัจจัยที่ต้องเอื้อไม่ว่า ผู้นำที่ต้องมีหิริโอตัปปะ องค์กรตรวจสอบที่เข้มแข็ง ประชาชนทีเข้าถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่ใช่รู้ครึ่งๆกลางๆ แค่ปัจจัยหลักๆ เรายังมีไม่ครบเลย ยังไม่นับปัจจัยเสริมอีกล่ะ ถ้ายังปล่อยทิ้งไว้ให้ระบบแก้ด้วยตัวมันเอง ผมยังไม่เห็นหนทางเลย อาจารย์เองผมว่าก้อไม่รู้ทางแก้ !!ก้อได้แต่เขียนวิจารณ์ จัดสัมนาด่าระบอบทักสินกันไป(เอาเวลาไปทำวิจัยดีก่า) ถามว่า ทักสินฟังมั้ยล่ะ? อย่างน้อยอย่าให้ประเทศล่มจมเหมือนฟิลิปปินส์ตอนที่ มาร์กอส เรืองอำนาจเลย มันจะเจ็บปวดกว่านี้หลายร้อยเท่า !

ก็มันกลืนน้ำลายจนเคยตัวนี่ อะไรที่เคยด่าๆ เค้าไว้ ก็ลืมซะงั้น

พอเค้าออกมาพูดอะไรที่มันดูเหมือนจะมีโมเมนตัม มาทางตัวเอง

ก็ต้องยกย่องเชิดชูไว้ก่อนล่ะ



บ้าป่าวเพ่  อร่อยมั้ยอ่ะ น้ำลาย

 :slime_smile2:

ไพร่ไหนล่ะ ไพร่หลวงรึ :slime_bigsmile: ตอนนี้เห็นพวกไพร่สมกับทาสออกมาชักดิ้นชักงอแทนนายที่หนีไปอังกฤษกันใหญ่  :slime_evil:

ด้วยความสงสัย...

สงสัยที่ว่า..การที่อ.ด่าคนอื่นเขาว่าเป็นไพร่...

ก็เเสดงว่าอ.เหล่านี้คงจักมิใช้ไพร่...ใช้รึไม่...

 

และถ้าใช้..ผมถามว่าอ.เหล่านี้กำลังเเสดงออกถึงอะไร...

ถึงการเเบ่งเเยกชนชั้้ันวรรณะใช้รึไม่...


และถ้าใช้..

ผมก็จักถามว่่า..คุณอ.เป็นแน่หรือ...


เพราะถ้าเป็นอ.จริง..คุณยังกล้าด่า..กล้าว่าคนอื่นเขาแบบนี้..ยังกล้าเเบ่งชนชั้นวรรณะแบบนี้..ในสังคมขนาดนี้..

งั้นก็เเสดงว่าใครกันแน่ที่มันยังไมมีการทางด้านพัฒนาความคิด...

และแบบนี้มันเเย่ยิ่งกว่าพวกไพร่่รึไม่..
 

สุดท้าย...

ผมก็คิดว่า..การพุดการจา..การสอนคนน่ะ..มันพูดกันดีๆมิได้รึไง...

ต้องพูดต้องจาให้มันมีโอเวอร์รีเเอค..


หรือว่าการทำความดีนี้มันมีเจตณามิบริสุทธิ์..

และผมขอด่าไอ้คนพวกนี้ว่า..ไอ้พวกหวังดีแต่ประสงค์ร้าย..


เพราะการที่มันพููดแบบนี้มันมิได้ช่วยทำอะไรใ้สถานการณ์ืดีขึ้น..นอกจากมันจักแย่ลง...


เพราะผมก็เชื่อว่าการพูดการจาและการเเสดงออกความคิดเห็นนั้นทำกันได้..

เพราะเพื่อเป็นการถ่วงดุลระบบ..ให้ระบบมันสมดุล...


แต่ในการพูดการจานั้นเราควรระลึกเสมอว่า..


  เรากำลังพูดจาเพื่อสร้างความเข้าใจ...ในสังคม...

หรือเรากำลังพูดจาให้่มันเกิดความร้าวฉ้านในสังคม...

 

 :slime_hmm:อ้างประชาธิปไตยแต่กลับแบ่งแยกชนชั้น

นี่คิดว่าคำว่า"ไพร่"เป็นคำด่าจริงหรือ ไปเปิดดูคำแปลเสียก่อนนะ ไพร่=ชาวบ้านธรรมดาๆ ถ้าคุณไม่มียศศักดิ์ คุณ,ก็เหมือนกับผม,ล้วนแต่เป็นไพร่ทั้งนั้น ตอนนี้ทักษิณก็ไม่มีตำแหน่ง มีแต่เงินก็ยังจัดว่าเป็นไพร่เช่นกัน

เป็นไพร่ ก็ยังเป็นไพร่ฟ้า ดีกว่าเป็นขี้ข้านักการเมืองชั้นเลว....

อืม ไม่เรียกอาจารย์ ล่ะ  เรียกว่า ผู้สอน อักษรศาสตร์ แห่งจุฬา

และ ผู้สอนเศรษฐศาสตร์ แห่ง ธรรมศาสตร์ ออกมาวิพากษ์ เรื่องประชาธิปไตย

เดี๋ยวผมจะช่วยตาม จับไก่ให้ท่านๆ ทั้งหลายแล้วกันนะครับ หลุดตรึมเลย

อ่านให้ลึก ๆ ผมมองว่า เค้าให้ตีความกลับ เพราะคำว่า "ไพร่" มักจะควบคู่กับคำว่า "เจ้าฯ"

ผมกำลังจะบอกว่า เค้าไม่ยอมรับใน"ศักดินา" ไงครับ...ตรงนี้แหละคือ "ปม" ที่เราต้องเฝ้ามอง

ในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศยอมรับในพระบรมราชวินิจฉัย...แต่อาจารย์พวกนี้พยายามจะดิ้นหนี

ทั้ง ๆ ที่ไม่มีทางอื่นที่จะบรรเทาความแตกแยกของสังคมได้ เพราะมองว่า ความแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมประชาธิปไตย

แต่เค้าลืมมองไปว่า หากความแตกต่างทางความคิดนั้น หากเป็นไปในทางสันติ อหิงสา หรือยอมรับในความแตกต่างนั่นคือประชาธิปไตย

แต่ในสภาพที่พวกเราเห็น มันกำลังจะนำเอาความแตกต่างทางความคิด นำไปสู่ "ความแตกแยกของชนในชาติ"

ไม่ทราบว่า ทางกลุ่มอาจารย์และกลุ่มผู้คัดค้านมองประเด็น "ความแตกแยก" ยังไง ประเมินผลดีผลเสียยังไง

พวกอาจารย์เชื่อมั่นในระบบเลือกตั้ง ไม่ลองวิจัยดูว่า "การเลือกตั้ง" ในสภาพจริง เราสามารถได้ผู้บริหารหรือตัวแทน ที่ทำหน้าที่สะท้อนความต้องการของประชาชนได้หรือไม่

พวกอาจารย์ มองการถ่วงดุลหรือการตรวจสอบ ในการทำงานของผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งอย่างไร เห็นปัญหาหรือไม่ หรือมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

ใน 3 ประเด็นนี้ น่าจะลอง ๆ แสดงความคิดเห็นกันหน่อย หากมองความแตกแยกที่ไม่ฟังใครเลยของประชาชนทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายอาจารย์มี "ทางออก" ให้สังคมอย่างไร

หากจะว่าไปให้ถึงแก่น ทหารนั้นอยู่ในกรมกอง ถ่อมตัวมาตลอดและพยายามที่จะเป็น"ทหารอาชีพ" มาโดยตลด

แต่ในห้วงเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายการเมืองเข้าไปล้วงลูก แต่งตั้งโดยไม่ใช้หลักคุณธรรมจริงหรือไม่

ฝ่ายการเมืองต้องการสร้าง "กองทัพ" ของฝ่ายบริหารจริงหรือไม่ เรื่องนี้อาจารย์น่าจะลองวิจัยดูนะครับ

นักการเมืองรุกเข้าไปในเรื่องระบบคุณธรรมของกองทัพหรือตำรวจจริงหรือไม่

ที่สำคัญเมื่อประชาธิปไตย นำไปสู่ประเด็นปัญหา ความไม่ไว้วางใจนักการเมืองจนลุกลามเป็นการต่อต้านระดับเดินขบวนขับไล่

ฝ่ายอาจารย์หรือนักประชาธิปไตยทั้งหลาย ได้นำเสนอทางออกให้สังคมอย่างไรบ้าง

หรือจะใหป้ระชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ นำไปสู่ความรุนแรง จนถึงที่สุดความเสียหายจากการใช้ประชาธิปไตยด้วยการใช้ประกาศพรก.ฉุกเฉิน

หากเป็นเช่นนั้น อาจารย์ยอมรับพรก.ฉุกเฉิน 2548 ได้หรือไม่...และหากตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น อาจารย์คิดว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ท่าทางอาจารย์วรเจตน์จะไม่เชื่อ ศาล

เพราะไม่ว่า คตส. จะทำสำนวนหรือทำการสอบสวนแบบใหน ก็เทียบเท่ากับอัยการหรือตำรวจ ที่ทำสำนวนฟ้องร้องต่อศาล

เมื่อขบวนการถึงศาล ก็เป็นหน้าที่ของ โจทก์และจำเลย จะต้องไปดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมอย่างเปิดเผย

จำเลยมีโอกาสแก้ต่างอย่างยุติธรรม อาจารย์วรเจตน์คงไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมกระมัง

การแต่งตั้ง คตส. ให้มีอำนาจพิเศษ แต่อำนาจนั้นก็ต้องทำโดยหลักกฎหมาย อาจจะมีอำนาจในการสืบค้นข้อมูล หรืออำนาจในการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาให้การในสำนวนมากขึ้น

แต่ถึงที่สุด ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเปิดเผย ท่ามกลางสายตาประชาชน สื่อมวลชน จริงหรือไม่

หากระดับอาจารย์ทางนิติศาสตร์ไม่เชื่อในกระบวนการของศาล ประชาชนก็หมดความนับถืออาจารย์ได้เหมือนกัน

รู้กันว่าอะไรครับ  :slime_bigsmile:

ขอเป็นแค่ไพร่รับใช้องค์ราชา ไม่ขอเป็นโมเดอร์นแมนขี้ข้าทุนสามานย์

*  เรื่องบางอย่างควรเก็บคำว่า ...  ทิษฏี  ...  ใส่ลิ้นชักนะ
   
   ไอ้คำพูดสวยๆ นะ ... จะพูดยังไงมันก็พูดได้

    ยุค แม้ว..ครองเมือง...ก็มีพวก นักวิชาการจ๋า เหมือนกันไม่ใช่หรือที่ออกมาค้าน

    ตอนนั้นบอกเองนี่.. ว่าต้องรู้ทันเหลี่ยมของ แม้ว

    ความน่าเบื่อหน่ายของพวกบ้า ทิษฏี คือ .... วิจารณ์อย่างเดียว

    เจออะไรก็ ... เชิงวิชาการหมด
   
    เรื่องบางอย่างมันไม่ได้เป็นการทำข้อสอบ... ที่หวังคะแนนสูงๆ  เพื่อได้เกรด A

    คำว่า.. ประชาธิปไตย .. มันไม่ได้ซึมเข้าหัวกบาล...ของพวกท่าน นักวิชาการอย่างเดียว นะคะ

    มันก็อยู่ในหัวกบาล.. คนอื่นๆ เหมือนกัน

    คนที่คิดตรวจสอบ แม้ว ... คงไม่ใช่คนบ้องตื้น.. จนแยกว่าอะไรเป็นอะไรไม่ออกหรอก

    ไม่มีใครชอบที่มีการปฏิวัติ ....... แต่ ถ้าในสถาณการณ์บางอย่างที่มันต้องยกเว้น..มันก็ต้องทำ

    ให้เวลา  คปค .  ให้เวลา นายก... คนใหม่อีกสักนิด..........ถ้าเขาทำไม่เวิรค์ ก็ มาตรวจสอบกัน

    ให้เวลาแม้ว.. มาได้ 5 ปี  แล้วทำไมจะให้เวลาคนอื่นไม่ได้

    จะ ลงแดง กันหรือยังไง !!!

    เลิกบ้า ทิษฏี .. ทีเหอะค่ะ  ............................  มันน่าเบื่อ

     ไม่งั้นท่านก็เป็น ... ชนชั้นไพร่ทางความคิด....เหมือนที่ท่านว่าคนอื่นนะแหละ

เก่งจริงก็น่าจะเอาทฤษฎี มาร่างกติกากันดีกว่า

เจอนักการเมืองชั่วแอบอ้าง กติกา แล้วจะไล่ลงได้ยังไง

อย่าเก่งแต่ปาก

ยอมรับความจริงเถอะครับ

ว่าวัฒนธรรมการเมืองแบบพึ่งพิงของภาคอีสานทำให้ประชาธิปไตยเป็นแบบนี้
ทำให้พรรคการเมืองจากภาคอีสานเป็นแค่พรรคเฉพาะกิจที่อยู่เพื่อสนองผลประโยชน์คนเฉพาะกลุ่ม
ชั่วครู่ชั่วคราว ไม่มีทางเป็นสถาบันการเมืองได้แบบพรรคการเมืองจากภาคอื่นๆ

สมัยทักษิณสมัยที่สอง คนอีสานด่าคนใต้เสียไม่มีดี หาว่าโง่ที่เลือกประชาธิปัตย์เข้ามาอีกทั้งๆที่ไม่อำนวย
ประโยชน์อะไรให้ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น

พรรคการเมืองเป็นเช่นไร ก็สะท้อนคุณภาพคนที่เลือกเข้ามา ถ้าคุณภาพความคิดของคนอีสานระดับรากหญ้าส่วนใหญ่
ยังเป็นเช่นนั้น แล้วคุณภาพการเมืองจะเป็นเช่นไร ในเมื่อภาคที่มีจำนวนจังหวัดมากที่สุด มีพลเมืองมากที่สุด
มีประชากรส่วนใหญ่ที่คุณภาพความคิดแค่ "รากหญ้าโง่ๆที่ควายก็ยังไม่อยากจะกระเดือกลงท้อง"
และไม่ใช่เป็นเฉพาะในกลุ่มผู้ไร้การศึกษา แม้แต่ผู้มีการศึกษา ผู้มีฐานะเองก็ยังหนีวัฒนธรรมแบบ "พึ่งพิง" ไม่พ้น

และขอความกรุณาอาจารย์และนักวิชาการ เวลาจะวิจารณ์การเมืองไทย ประชาชนไทย กรุณาอย่าเหมารวม
เพราะในหนึ่งเสียงเท่ากันของระบอบประชาธิปไตยนั้น บางครั้ง แต่ละหนึ่งเสียงก็คุณภาพต่างกันอย่างกับ
ฟ้ากับเหว และวัฒนธรรมทางการเมืองในแต่ละภาค คุณภาพไม่เหมือนกันครับผม

มองให้รอบด้านหน่อยโว้ย เรียนมากแล้วยังเจือกโง่อีก ตานิธิ (ว่าจะไม่ด่าแล้วนะ)
 :slime_evil:

อาจารย์หัวสี่เหลี่ยมพวกนี้ เหมือน "ฟาริสี" ในไบเบิ้ล ที่โดนพระเยซูคริสต์ประณาม พวกถือกฎเคร่งครัด ทำตัวเป็นผู้เคร่งศาสนา แล้วก็เที่ยววิพากย์วิจารณ์คนอื่น แต่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไร นอกจากอวดภูมิว่า ข้าประพฤติปฏิบัติตนตามกฎทุกอย่าง คนที่ทำไม่ได้อย่างข้าคือ คนบาป  :slime_smile2:

ตัวอย่างเช่น มีกฎว่า ห้ามทำงานในวันสะบาโต แต่พอพระเยซูคริสต์ได้ทำการช่วยชีวิตคนในวันนั้น พวกฟาริสีพวกนี้ก็มาต่อว่า วิจารณ์พระองค์ ยกกฏว่า วันนี้ห้ามกระทำกิจการงาน  :slime_bigsmile:

ดูมั้น ดูมัน... :slime_evil:

ประชาชนไทย 60 กว่าล้านคน มีสักกี่คนที่ เชื่อมั่น ศรัทธา นักเลือกตั้ง   ที่มาจาก พ่อค้าที่ร่ำรวย ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากธุรกิจสีเทา  หรือไม่ก็เอารัดเอาเปรียบสังคมอย่างที่สุด    นักเลือกตั้ง  ไม่เคยมีคนจนที่เป็นคนดีเข้าสภาได้เลย  แล้วอาจารย์ จะมาเรียกร้องเอานักเลือกตั้งเหล่านั้น  หรือไม่ ก็เรียกร้องเอาวิธีการเลือกตั้งที่ไม่ได้เรื่อง  เหล่านั้น กลับมาทำไม   หลายรัฐบาลที่ผ่านมา  พิสูจน์ได้   ตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย, บรรหาร,ชวลิต,ชวน,ทักษิณ  วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์   มีแต่การซื้อเสียงตลอดเวลา   ถ้าไม่หัวชนฝาเกินไป  คงทราบดี   แล้วอย่างนี้  มันจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอย่างที่อาจารย์เรียกร้องได้อย่างไร   น่าจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยแบบฮั้วประมูล   ระดับอาจารย์พวกนี้น่าจะมีการเสนอวิธีว่าจะทำอย่างไร จึงจะป้องกันการซื้อเสียงขายเสียง   ในระบอบประชาธิปไตยแบบฮั้วประมูลได้   ดีกว่ามาด่าคนอื่นว่าชื่นชมการยึดอำนาจ

ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ศรัทธาของประชาชนไทย อยู่ที่ พ่อหลวงของแผ่นดิน
นักเลือกตั้งคนใดก็ตาม  พยายามจะแยกพ่อหลวงออกจากประชาชน  เพื่ออำนาจเบ็ดเสร็จโดยอ้างประชาธิปไตย มีแต่อยู่ไม่ได้  เพราะประชาชนไม่เคยคาดหวัง เขาเหล่านั้น  จะแก้ปัญหาของชาติได้   ทหารเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว  ไม่ใช่ทหารของนักการเมือง  ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของประชาชนที่เห็นว่า  นักเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแบบฮั้วประมูล  มันพึ่งไม่ได้  มันฮั้วประมูลเข้ามาแล้ว  มันก็ต้องรุมทึ้งชาติ  เพื่อถอนทุนคืน   เราจะทนดูมันได้อย่างไร   เมื่อชักจะมั่ว  ก็ต้องจัดการ

การร่างรัฐธรรมนูญ  ก็ลอกฝรั่งมา  โดยไม่ได้ดูเลยว่า คนไทยกับฝรั่งมันต่างกันแค่ไหน  
การเรียกร้องของอาจารย์เหล่านี้ ก็อีหรอบเดิม  วนเวียนอยู่ในแนวคิดของฝรั่ง    ต่างชาติ   นับถือแนวทางปกครองของฝรั่งว่าเลิศเลอ  โดยไม่ดูคนไทย  ส่วนใหญ่ว่าเขาคิดอย่างไร   อาจารย์นั่นแหละดูคนไทยผิดจากความเป็นจริง

เที่ยวนี้ สงสัยจะต้องเปิดประเด็น...เลือก สส. ตามโควต้าอาชีพซะละกระมัง...

ถ้าใครเห็นด้วยหรือเชียร์เหลี่ยม คือพวกข้าหมดซิท่า

แต่ก่อนเห็นด่าอจ.กันเหลือเกิน

อันนี้เห็นด้วยกับข้อสรุปของคุณแคนยิ่งนักค่ะ
น่าแปลกที่อ.พวกนี้รับไม่ได้กับรัฐประหาร
แต่กลับรับได้กับการโกงกิน และระบบทรราชย์

อ้อ...อ.สุธาชัย แกไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลช่วงปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้นะครับ...ไม่ใช่แกเห็นด้วยไปซะหมด..

อ.วรเจตน์ ท่าทาง อยากดังมากกว่า ออกมาวิจารณ์ศาลแบบข้าง ๆ คู ๆ อันนี้พอรู้จุดยืน

ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตุ เราจะกอดรัฐธรรมนูญที่ตายแล้วกันไปถึงใหน...ในเมื่อรัฐธรรมนูญมันไม่ทำงานมานานแล้ว

กลับถูกทรราชใช้เป็นเครื่องมือ เหยียบปากคนอื่นซะอีก...ทั้ง ๆ ที่ทุกฝ่ายก็เห็น ๆ อยู่แล้ว มันบกพร่อง...ต้องแก้ไข

แต่คนส่วนใหญ่ มองไม่เห็นอนาคตใด ๆ หากปล่อยให้เหตุการณ์สุกงอม จนหน้าเหลี่ยมประกาศภาวะฉุกเฉิน...

ถึงเวลานั้นเราจะมีเลือกตั้งหรือไม่ จะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ อาจารย์พวกนี้ตอบคำถามได้มั๊ย

ผมมองไม่ออกว่า หากไม่รัฐประหารคืนนั้น รุ่งขึ้น ทักษิณเป่านกหวีด แล้วพวกพันธมิตรจะชุมนุมไปได้ซักแค่ใหน

ไม่มีใครชื่นชมหรอก แต่เค้าเข้าใจว่า มันคงถึงเวลาที่ต้องหยุดทักษิณ