ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ริวเซย์ ที่ 29-09-2006, 15:06



หัวข้อ: เรื่องขายหุ้นชินให้แอมเพิลริชกำลังกระจ่างน้ำลดตอผุดเรื่อยๆแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 29-09-2006, 15:06
11 มิถุนายน 2542   ทักษิณจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช (รวยเหลือเฟือ) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ที่เกาะบริติช เวอร์จิน (ที่พึ่งยามมีของนักฟอกหุ้นและฟอกเงิน) ขณะนั้นยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยนำหุ้นชิน 32.9 ล้านหุ้นๆ ละ 10 บาท (ก่อนที่จะแตกเป็น 329.6 ล้านหุ้นๆ ละ 1 บาท) ไปขายให้บริษัทแอมเพิล ริช (ไม่ทราบว่าเป็นวันที่เท่าไร)

ทักษิณยังถือหุ้นชินที่เหลืออยู่จำนวน 32.9 ล้านหุ้น (จำนวนเท่ากับที่บริษัทแอมเพิล ริช ถืออยู่)

กันยายน 2543    ทักษิณ  และพจมารภรรยา ถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้นไว้กับคนในบ้าน แต่ได้รับคำตัดสินว่า “บกพร่องโดยสุจริต”   และหลังจากนั้นทักษิณและภริยาได้โอนหุ้นชินให้พานทองแท้ ยิ่งลักษณ์ และบรรณพจน์  ในลักษณะของการขายในตลาดบ้าง ขายตรงบ้าง ให้โดยเสน่หาและโดยธรรมจริยาบ้าง ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (หรือไม่คิดมูลค่า) โดยที่ผู้ขาย ผู้ซื้อ ผู้โอน และผู้รับโอนไม่ต้องจ่ายภาษีตามคำยืนยันของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล (ปลัดกระทรวงการคลัง) นายศิโรจน์ สวัสดิพาณิชย์ (อธิบดีกรมสรรพากร) นายทนง พิทยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอื่นๆ

1 ธันวาคม 2543   ทักษิณได้นำหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช (US$ 1) ไปขายให้พานทองแท้บุตรชายที่บรรลุนิติภาวะ (จึงไม่ต้องนำทรัพย์สินของตัวเองมาแสดงร่วมกับทักษิณ)

มกราคม 2544    ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายก ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544  ทักษิณ พจมาร และลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งสองคือ แพทองธารและพิณทองทา ได้แสดงทรัพย์สินต่อ ปปช. โดยไม่ได้รวมหุ้นของบริษัทชินคอร์ปหรือบริษัทแอมเพิล ริช ไว้ในบัญชี

ถือเป็นอันสิ้นสุดธุรกรรมการถือหุ้นชินของทักษิณก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายก ของประเทศไทย  และถือว่าเป็นความโปร่งใส ไร้มลทิน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกประการ

ประเด็นที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ ทักษิณและครอบครัวได้แสดงทรัพย์สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หรือไม่?

ถ้าอยากทราบก็ต้องลองเดินบัญชีตามธุรกรรมที่เกิดขึ้น
รายการที่ 1   วันที่ 11 มิถุนายน 2542 ทักษิณจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 1 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 40 บาทในขณะนั้น)  
ธุรกรรมนี้ทำให้ “เงินสด” ในบัญชีทักษิณ ลดลงจำนวน 40 บาท และ “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” เพิ่มขึ้นจำนวน 40 บาท นั่นหมายความว่า บัญชีทรัพย์สินของทักษิณย่อมที่จะต้องแสดง “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” จำนวน 40 บาท
รายการที่ 2   ในวันที่เท่าไรไม่ปรากฏ ทักษิณได้ขายหุ้นชินให้แก่บริษัทแอมเพิล ริช ด้วยราคาพาร์เป็นเงินจำนวน 329.6 ล้านบาท แต่บริษัทแอมเพิล ริช มีเงินสดในมือจำนวน 40 บาท ปัญหาคือ บริษัทแอมเพิล ริช นำเงินจากไหนมาซื้อหุ้นจากทักษิณ

สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้มี 4 กรณีคือ

1. บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากบุคคลที่สามมาซื้อหุ้น
2. บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากทักษิณ มาซื้อหุ้น
3. บริษัทแอมเพิล ริช ติดหนี้ค่าหุ้นกับทักษิณ
4. ทักษิณ โอนหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริชไปฟรีๆ (ข้อนี้ตัดออกเพราะคุณสุวรรณได้แถลงว่า ทักษิณ ขายหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริช ด้วยราคาพาร์)

สำหรับกรณีต่างๆ นี้ เราสามารถเดินบัญชีทรัพย์สินของทักษิณ ได้ 3 กรณี ดังนี้
1. ทักษิณต้องแสดง “เงินสด” เพิ่มขึ้นจำนวน 329.6 ล้านบาท (ต้องมีหลักฐานในการได้รับเงินสดจากบริษัทแอมเพิล ริช ณ วันที่ขาย) และต้องแสดงให้ได้ว่า บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากใครมาซื้อหุ้น ถ้ายืมจากพานทองแท้ พานทองแท้ต้องแสดงหลักฐานการโอนเงินสดให้บริษัทแอมเพิล ริช และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพานทองแท้นำเงินสดจากที่ใดมาให้บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืม (ภาระในการพิสูจน์ความจริงนี้ควรตกอยู่ที่ทักษิณและพานทองแท้)
ถ้าพานทองแท้ยืมเงินจากทักษิณมาให้บริษัทแอมเพิล ริช ยืมต่อ   ทักษิณต้องแสดง ทรัพย์สินว่า “พานทองแท้-ลูกหนี้” ควบคู่ไปกับ “เงินสด” ที่ลดลงจำนวน 329.6 ล้าน บาท พูดอีกนัยหนึ่งก็คือทักษิณต้องแสดงบัญชี “พานทองแท้-ลูกหนี้” แทนบัญชี “เงิน สด”
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ทักษิณจะไม่แสดง “เงินลงทุนในหุ้นชิน” ในบัญชี แต่จะแสดง “เงิน สด” หรือ “พานทองแท้-ลูกหนี้” จำนวน 329.6 ล้านบาทแทนก็ได้  (แต่ถ้าไม่แสดงเลย  ก็แสดงว่าทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ)
2. เมื่อทักษิณ ให้บริษัทแอมเพิล ริช ยืมเงินทักษิณ ต้องแสดง “เงินสด” ลดลงจำนวน 329.6 ล้านบาทเพราะว่าเอาเงินให้แอมเพิลริชยืม (ต้องมีหลักฐานในการโอนเงินสดไปให้บริษัทแอมเพิล ริช) ในขณะเดียวกัน ทักษิณจะบันทึกบริษัทแอมเพิล ริช เป็น “บริษัทแอมเพิล ริช-ลูกหนี้” จำนวน 329.6 ล้านบาท และเมื่อทักษิณขายหุ้นชินให้บริษัทแอมเพิล ริชทักษิณต้องบันทึกตัด “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป” ออก ในขณะเดียวกับที่บันทึก “เงินสด” เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 329.6 ล้านบาทในบัญชีจากการรับเงินค่าขายหุ้นชินให้แอมเพิลริช (ต้องมีหลักฐานการรับเงินจากบริษัทแอมเพิล ริช ณ วันที่ขายหุ้น)
สรุปว่า บัญชีทรัพย์สินของทักษิณจะไม่แสดง “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป” แต่ จะแสดง “บริษัทแอมเพิล ริช-ลูกหนี้” แทน  เนื่องจากให้แอมเพิลริชยืมเงินไปซื้อหุ้นชินจากตนเองไปแล้ว
3.ทักษิณต้องแสดงบริษัทแอมเพิล ริช เป็น “บริษัทแอมเพิล ริช-ลูกหนี้” จำนวน 329.6 ล้านบาท เมื่อทักษิณตัด “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป” ออกจากบัญชี (ผลลัพธ์จะคล้ายกับกรณีที่สอง)

แต่ในทั้ง 3 กรณี ทักษิณยังคงเป็นเจ้าของ “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีมูลค่าเพียง 1 เหรียญสหรัฐ เพราะบริษัทแอมเพิล ริช มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นคือ “เงินลงทุนเผื่อขาย-หุ้นชิน” เงินลงทุนนี้ต้องแสดงในบัญชีด้วยราคาตลาด ส่วนต่างระหว่างราคาตลาดและราคาทุนในหุ้นชินคอร์ปถือเป็น “กำไรที่ยังไม่เกิดจริงจากเงินลงทุนเผื่อขาย” ซึ่งจะบันทึกในส่วนทุนของบริษัทแอมเพิล ริช (ควรเป็นจำนวนเดียวกับ “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” ในบัญชีทรัพย์สินของทักษิณ)
ดังนั้น ถ้าทักษิณแสดง “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” ด้วยราคา 1 เหรียญสหรัฐ บัญชีทรัพย์สินของทักษิณก็จะไม่สะท้อนจำนวนทรัพย์สินที่แท้จริงที่มีอยู่ในบริษัทแอมเพิล ริช (ทั้งนี้ต้องไปดูมาตรฐานการบัญชีที่เกาะฟอกเงินนั้น ถ้าบัญชีไม่มีมาตรฐาน รายการบัญชีนี้อาจไม่เกิดขึ้น)

รายการที่ 3   วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทักษิณขายหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช ให้กับพานทองแท้ โดยไม่ได้ระบุว่าขายไปด้วยจำนวนเงินเท่าไร
ธุรกรรมนี้จะทำให้ทักษิณต้องบันทึกตัด “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิลริช” ออกจากบัญชี และบันทึก “เงินสด” ที่ได้รับจากพานทองแท้ขึ้นมาแทน (ในเมื่อไม่ทราบจำนวนเงินที่ซื้อขาย จึงไม่สามารถระบุจำนวนที่ต้องนำมาบันทึกบัญชี) หากการซื้อขายระหว่างทักษิณและพานทองแท้ไม่มีการโอนเงินสดเกิดขึ้น การซื้อขายนี้น่าจะถือว่านายพานทองแท้ยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นให้แก่ทักษิณ และทักษิณก็ควรบันทึก “นายพานทองแท้-ลูกหนี้” แทนการบันทึกว่าได้รับเงินสดจากการขายหุ้นแอมเพิลริชให้ลูกชาย
นั่นหมายความว่า การตัด “เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช” ออกจากบัญชีจะทำให้ทักษิณต้องบันทึก “เงินสด” หรือบันทึกนายพานทองแท้เป็น “ลูกหนี้” อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าทักษิณไม่บันทึก บัญชีทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. ก็จะเป็นเท็จ

อย่าลืมว่า “สสารย่อมไม่สูญสลายไปจากโลกนี้” โดยเฉพาะในสมการบัญชีนั้นถ้าไม่ปรากฏอยู่ในรูปหนึ่ง ก็ต้องปรากฏอยู่ในอีกรูปหนึ่ง
ถ้าทักษิณไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ต่อ ป.ป.ช. หรือนำบัญชีทรัพย์สินของบริษัทแอมเพิล ริช และของพานทองแท้มาแสดงร่วมกับทรัพย์สินของตัวเอง (โดยลืมไปว่า บุคคลทั้งสามเป็นอิสระจากกัน) นั่นอาจชี้ให้เห็นว่า ทักษิณได้จัดฉากให้เกิดการทำนิติกรรมอำพรางขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เป็นเท็จได้เช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เสธ. หนั่นเคยถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจาก “หนี้สิน” ที่แจ้งในบัญชีไม่ปรากฏตัวตนที่แท้จริง
ครั้งนี้ หากทักษิณไม่ระมัดระวังในการเดินบัญชีและเตรียมหลักฐานสนับสนุนการทำธุรกรรมทางบัญชี (เช่น สัญญาและหลักฐานการโอนเงินสด) การแสดงบัญชีทรัพย์สินของทักษิณจะฟ้องให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสและความไม่ชอบด้วยจริยธรรม รวมถึงการกระทำอันผิดกฎหมายที่จะทำให้ทักษิณขาดคุณสมบัติในฐานะผู้นำประเทศ
ใครที่เป็นกุนซือทางด้านบัญชีของทักษิณน่าจะออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนบ้าง ไม่น่าจะปล่อยให้กุนซือทางด้านภาษีออกมาแถลงข่าวแต่เพียงผู้เดียว
"ถ้าทักษิณไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ต่อ ป.ป.ช. หรือนำบัญชีทรัพย์สินของบริษัทแอมเพิล ริช และของพานทองแท้มาแสดงร่วมกับทรัพย์สินของตัวเอง (โดยลืมไปว่า บุคคลทั้งสามเป็นอิสระจากกัน) นั่นอาจชี้ให้เห็นว่า ทักษิณได้จัดฉากให้เกิดการทำนิติกรรมอำพรางขึ้น"

ตอนนี้เรื่องทั้งหมดอยู่ในมือ สตง. ปปช.
รอดูคนโดนฟันได้เลย ติดคุกกี่ปีว่ากันไปตามกระทงความผิด เพราะเรื่องซุกหุ้นภาค2นี้เป็นแค่1กระทงในจำนวนหลายๆกระทงความผิดที่จะตามมา

บาปกรรมกำลังตามทันคนโกงชาติบ้านเมืองแล้ว  :slime_worship:


หัวข้อ: Re: เรื่องขายหุ้นชินให้แอมเพิลริชกำลังกระจ่างน้ำลดตอผุดเรื่อยๆแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: -3- ที่ 29-09-2006, 15:14
กลายเป็นขว้างงูไม่พ้นคอไปซะแล้ว  :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: เรื่องขายหุ้นชินให้แอมเพิลริชกำลังกระจ่างน้ำลดตอผุดเรื่อยๆแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ชามู ที่ 29-09-2006, 15:41
ถามคุณริวเซย์เป็นความรู้นิดนึงครับ

เอกสารต่างๆ หรือตัวเลขในบัญชีนี่ สามารถทำย้อนหลังได้ไหมครับ

เพราะผมกลัวการแก้ไขหรือทำเอกสารย้อนหลัง เพื่อให้หาความผิดไม่ได้


หัวข้อ: Re: เรื่องขายหุ้นชินให้แอมเพิลริชกำลังกระจ่างน้ำลดตอผุดเรื่อยๆแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 29-09-2006, 21:28
ถามคุณริวเซย์เป็นความรู้นิดนึงครับ

เอกสารต่างๆ หรือตัวเลขในบัญชีนี่ สามารถทำย้อนหลังได้ไหมครับ

เพราะผมกลัวการแก้ไขหรือทำเอกสารย้อนหลัง เพื่อให้หาความผิดไม่ได้
มีความเป็นไปได้ครับ ถ้าโกงกันเป็นกระบวนการแต่จะไม่แนบเนียนเพราะยังไงซะ หลักฐานมันมีหลายจุดที่แสดงออกไปเช่นธุรกรรมการเงิน การโอนเช็ค การจ่ายเงิน หลักฐานนอกจากจะอยู่ที่ธนาคารต้นขั้วแล้ว อาจไปอยู่ที่ธปท.ที่เก็บหลักฐานเอาไว้ จะโกงเอกสารตอนนี้ยากพอดูครับ แต่พยานบุคคลอาจซื้อได้


หัวข้อ: Re: เรื่องขายหุ้นชินให้แอมเพิลริชกำลังกระจ่างน้ำลดตอผุดเรื่อยๆแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: สมชายสายชม ที่ 29-09-2006, 22:20
การทำเอกสารปลอม หรือการทำเอกสารย้อนหลัง หรือลบแก้ไขข้อความ

ย่อมจะมีจุดพิรุธ .. เช่น รอยแก้ไขเอกสารใบขนสินค้าขาเข้าอุปกรณ์ดาวเทียมเพื่อสวมสิทธิ์ บีโอไอ

หรือ การแก้ไขตัดต่อพันธุกรรมรายสมาชิกพรรคการเมืองของ กกต. ที่ลืมแก้จาก นางสาว เป็น นาย

 :slime_smile2: