หัวข้อ: ล็อกเป้าแล้วรอดยาก เริ่มหัวข้อโดย: taworn09220 ที่ 26-09-2006, 10:54 ล็อกเป้าแล้วรอดยาก
เป็นไปตามสัจธรรมของผู้แพ้ที่ไม่มีเวทีให้แก้ต่างแก้ตัว ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบเลียแผลใจลี้ภัยเฉพาะหน้าอยู่ที่มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับ น้องเอม น.ส.พิณทองทา ลูกสาวคนรอง โดยที่คุณหญิงพจมาน ศรีภริยา เพิ่งเดินทางไปสมทบ ส่วนนายพานทองแท้ ลูกชายคนโต และ อุ๊งอิ๊ง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก ไม่ชัดเจนว่า พำพักอยู่แห่งหนตำบลใด ครอบครัวแยกกันกระจัดกระจาย ท่ามกลางความสับสนในชะตากรรมของคนในบ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ กับลูกเมียต้องระหกระเหินกันคนละทิศคนละทาง ก็เลยเป็นช่องให้แหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม ปล่อยข้อมูลเด็ดๆออกมากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านร้านตลาด จริงมั่ง ยกเมฆมั่ง เคล้ากันไป ล่าสุด สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างว่า เจ้าหน้าที่สายการบินไทยคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ ได้เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขนกระเป๋าสัมภาระ และหีบขนาดใหญ่จำนวน 58 ใบ ขึ้นเครื่องบินไทยคู่ฟ้าของทางการบินไทย เพื่อเดินทางไปยังประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา โดยเครื่องบินไทยคู่ฟ้าได้ลงจอดที่ประเทศฟินแลนด์เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ขณะที่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้เครื่องบินอีกลำหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทางระหว่างเยือนประเทศอื่นๆ ท่ามกลางการคาดเดา พ.ต.ท.ทักษิณอาจขนเงินออกนอกประเทศ ก่อนโดนรัฐประหาร เพราะไม่ชัดเจนว่า เหตุใดอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องบินลำที่ 2 ในเมื่อมีเครื่องบินไทยคู่ฟ้าที่จะใช้บินไปปฏิบัติภารกิจยังประเทศต่างๆอยู่แล้ว สำนักข่าวต่างชาติคาดการณ์เชิงตั้งคำถาม พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตัวก่อนแล้วว่าจะถูกยึดอำนาจใช่หรือไม่ จึงทำการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกนอกประเทศ สอดคล้องกับข่าวในลักษณะเดียวกันที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้าจะเกิดเหตุรัฐประหารประมาณ 1-2 สัปดาห์ว่า มีนักการเมืองใหญ่ได้เหมาตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทขนส่งทางทะเล เพื่อขนสัมภาระไปประเทศอังกฤษ จริงเท็จแค่ไหนไม่มีการยืนยัน ที่แน่ๆยังเป็นข้อมูลในลักษณะกล่าวหา โดย พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่มีเวทีให้แก้ต่างแก้ตัว แต่ในสถานการณ์มั่วๆ ยามหมดอำนาจวาสนา ถูกไล่พ้นจากหอคอยงาช้างหมาดๆ ก็ต้องทำใจรับก้อนอิฐในสภาพผู้แพ้ไปโดยปริยาย อะไรร้ายๆรอรับได้เลย แต่ที่ต้องยกให้กับความเป็นมวย ได้กุนซือดี ล่าสุด คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไต ยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 23 แต่งตั้งให้นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ มีอำนาจในการตรวจสอบการดำเนินงานและโครงการต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติหรือเห็นชอบโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ ในกรณีที่เห็นว่าการดำเนินงานหรือโครงการใดมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ให้คณะกรรมการตรวจสอบมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องของผู้นั้น คู่สมรส และบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้นั้นไว้ก่อนได้ ใช้อดีตผู้พิพากษาเป็นหัวแถวสอบสวน ตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ประกอบกับก่อนหน้านี้ก็มีการคงตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไว้ให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ตามด้วยการประกาศตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดึงกลไกตรวจสอบทุจริตคอรัปชันตามรัฐธรรมนูญให้เดินเครื่องต่อไป เปรียบเทียบกับยุคคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ไล่บี้ยึดทรัพย์จากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในรูปของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ที่มี พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธาน สุดท้ายต้องปล่อยผีเกือบหมด เพราะกระบวนการตรวจสอบมีน้ำหนักไม่พอในชั้นศาล แต่กับคิวนี้ใช้คนระดับอดีตประธานศาลฎีกา เป็นหัวขบวนชงข้อมูลยึดทรัพย์ตั้งแต่ต้น ถ้าล็อกเป้าแล้วส่งต่อศาล โอกาสรอดยาก. ทีมข่าวการเมือง |