หัวข้อ: สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน.... เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 18-09-2006, 08:36 จำกันได้ไหมว่าในสมัยพระนารายณ์มหาราช สยามส่งเจ้าพระยาโกษาปานเป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศส
"เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)" นี่มีบันทึกหลายสถานว่าเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์จักรีด้วย โดยมีเจ้าแม่วัดดุสิตมาเกี่ยวข้อง (ไปหาอ่านได้ในกระทู้เก่าๆ พิมพ์ใหม่ไม่ไหวค่ะ ไม่ได้เซฟที่ทำไว้ด้วย) ความจริงแล้วไม่เฉพาะฝรั่งเศส แต่ยังมีหลายๆชาติที่ต้องการเข้ามาทำการค้ากับสยาม และไม่รวมเฉพาะตะวันตกเท่านั้น ตะวันออกเช่นญี่ปุ่น จีน ก็ด้วย แต่ที่มีอิทธิพลและสร้างความหวั่นไหวให้สยามได้มากที่สุดคือตะวันตก เนื่องจากมีอาวุธสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ ศาสนาคริสต์ และอาวุธที่ล้ำหน้าผู้อื่นใด หากสงสัยว่ากลัวอะไร ต้องบอกว่ากลัวการกลืนชาติ กลัวการเป็นเมืองขึ้น จากลัทธิล่าอาณานิคมที่แรงมากขึ้นๆ จนถึงยุครัชกาลที่ 3 ซึ่งตามประวัติศาสตร์ เขาว่า รัชกาลที่ 3 นิยมจีน ทำการค้าสำเภากับจีนจนมีเงินถุงแดงให้ไทยได้ไถ่ตัวเองในยุคสงครามโลกในภายหลัง คนก็เรียกพระองค์ท่านว่า เจ้าสัว พระองค์ท่านไม่นิยมตะวันตก ที่ไม่นิยมเพราะว่าทรงเล็งเห็นสิ่งแอบแฝงที่มากับการค้าและการทูตล่วงหน้า ตกมาถึงยุค ร.4 สยามเข้าสู่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม สังคม การปกครอง ประเพณีต่างๆมากขึ้น ผ่านการค้ากับประเทศตะวันตกที่มีมากขึ้นๆ พระองค์ท่านรู้เท่าทันสิ่งที่จะเกิดขึ้น จึงได้ส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาในประเทศตะวันตก เพื่อให้ รู้จัก คนตะวันตกจริงๆ แบบว่าเราจะรู้อะไรได้ถึงแก่น ต้องไปคลุกคลีกับเขา ไม่ใช่แค่อ่านจากหนังสือหรือฟังคนเล่าอย่างเดียว มาถึง ร.5 เราก็มีเจ้าฟ้ามหากษัตริย์และพระราชวงศ์หลายพระองค์ที่รู้จักชาวตะวันตก แต่ก็ยังไม่พ้นการถูกรุกรานน้ำใจจนเสียขวานทองไปบางส่วน เนื่องด้วยพ่ายแพ้แก่อาวุธยุทโธปกรณ์ของ ฟารั้ง การรุกรานในสมัยนั้นเรียกว่าหน้าด้านมาก เพราะหาเหตุรังแกกันทุกรูปแบบเท่าที่จะทำได้ หากเขารุกรานด้วยกำลังผ่านทัพเรือไม่ไหวเพราะชนชาตินั้นสามัคคีกันมาก เขาก็ใช้บาทหลวงนำพาความเมตตากรุณาจากพระผู้เป็นเจ้าไปให้ชาวบ้าน ชาวบ้านไม่รู้ก็รับไว้ด้วยใจกตัญญูจนเข้ารีตไปในที่สุด บาทหลวงนี่นับว่ามีส่วนสำคัญในการกลืนชาติเป็นอาณานิคมผ่านศาสนจักรไปได้ในที่สุด ซึ่งประเทศที่ล่าอาณานิคมในสมัยนั้นก็ได้แก่พวกจักรวรรคิเก่า ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ฮอลันดา โปรตุเกส และในยุคหลังสงครามโลกมาก็เพิ่มสหรัฐอเมริกาเข้ามาด้วย โดยกลายเป็นตัวนำไปในที่สุด กล่าวมายืดยาวนี้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราสมัยมนุษยดอทคอม และเหตุการณ์ในปัจจุบันล่ะ ? ก็เพราะแม้กระทั่งเดี่ยวนี้ จักรวรรดินิยม ก็ยังอยู่ครบถ้วน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น โดยปรับไปตามเหตุการณ์สภาพแวดล้อมทางสังคม ทางวัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป พออ่านมาถึงคำว่า จักรวรรดินิยม หลายท่านอาจนึกว่าฉันเสียสติหรือว่าล้าหลังตกรุ่นไปแล้ว เอาละ ฉันจะอธิบายเปรียบเทียบแบบง่ายๆให้ฟัง โดยให้คุณลืมคำๆนั้นไปก่อน สมมติว่าเราทำการค้า บ้านเรามีคนซื้อหาสินค้าเราจนอิ่มตัวแล้ว เอาง่ายๆ สมมติว่าเราขายเบอร์มือถือแล้วกัน เราขายจนคนซื้อเขามีคนละเบอร์แล้ว มันก็ขายได้ยากแล้ว เราก็ต้องหาทางเอาไปขายพื้นที่อื่นที่ยังมีแนวโน้มจะขายได้มากเพราะคนยังไม่มีมือถือใช้เท่าไร เวลาเราไปประเทศอื่น...เอ..ประเทศไรดีนะ เอาเป็นว่าใกล้ๆแบบฮ่องกงที่คนไปกันบ่อยๆแล้วกัน เราก็เอาเกาลัด ลูกพลับจีน เสื้อผ้ามาใช้ มาขายในไทยต่อใช่ไหม คนอื่นมาไทย ไปพม่า ก็เห็นทรัพยากรมีค่าหลายอย่างที่เขาอยากได้ ไปอาหรับก็เจอน้ำมัน สำหรับเมืองไทยนี่มีทั้งทรัพยากรที่เขาอยากได้ เพราะได้ไปก็เอาไปขายให้คนของเขา หรือไปขายที่อื่น ได้กำไรดี และไทยยังมีคนตั้ง 63 ล้านคน เหมาะกับการระบายสินค้าของเขาสู่ไทย ดังนั้นเหตุผลหลักของทุกอย่าง ในทุกยุค ก็คือ ผลประโยชน์ แค่นี้เอง แต่รูปแบบการเป็นจักรวรรดินิยมมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่มาบุกเดี่ยวๆ แต่เป็นการครอบครองผ่านสหรัฐซึ่งเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เป็นแหล่งรวมคนจากประเทศจักรวรรดินิยมเดิมทั้งสิ้น และไม่ได้ใช้อาวุธแบบเดิม แต่ใช้ Soft Weapon คือ ระบบเศรษฐกิจ กับ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเข้ายึดครอง ในด้านครองผ่านระบอบเศรษฐกิจก็ใช้องค์กรที่มีอำนาจครอบคลุมไปทั้งโลกอย่าง IMF World Bank WTO ฯลฯ เป็นต้น ในด้านวัฒนธรรมก็ผ่านมาจากหนัง เพลง หนังสือ ฟาสฟู๊ด การเรียนต่อต่างประเทศ (คนจบนอกมาใหม่ๆ มักจะพูดว่าที่นี่ทำไมคิด/ทำแบบนี้ ที่โน่นไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย --- นี่ขนาดมันแค่ต่อโท 2-3 ปี ต่อเอก 4-6 ปี แค่นี้นะ ทั้งๆที่มันอยู่ไทยมาก่อนไปต่อโทตั้ง 21 ปี) ฯลฯ ในด้านเทคโนโลยีก็ผ่านมาทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเดี๋ยวนี้มาแรงกว่าองค์กรต่างๆที่ว่าข้างต้น เพราะเป็นแหล่งผ่านความรู้ ความคิด การล้างสมองก็ทำได้ง่ายในนี้ละ ก็ดูอย่าง เวบ เสรีไทยนี่ละ สามารถดึงคนมาติดงอมแงมได้ เด็กรุ่นใหม่ๆนี่เราอาจจะหมดหวังไปแล้วนะ ขอบอก เพราะเขาซึมซับได้เต็มที่ทุกเวลาด้วย มาดูรูปแบบกระบวนการเข้าครอบงำที่เป็นระบบกันหน่อย........... เป้าหมายที่เขาจะแทรกตัวเข้ามาครอบครองเราได้จริงๆคือต้องตีฝ่าด่านผู้ปกครองประเทศ และ ประชาชนให้ได้ ด้านผู้ปกครองประเทศก็การให้ประโยชน์นักการเมือง เพื่อกำหนดนโยบายในทิศทางที่เขาต้องการ ตัวอย่างก็คือสิงคโปร์เป็นนอมินีให้สหรัฐเข้าครอบครองไทยไง เดี๋ยวนี้ถึงมีทหารสิงคโปร์ในไทยได้ แถมยังควบคุมดาวเทียมของเราเสียอีก สงสัยจริงๆว่าหากกลาโหมจะประชุมกัน เขาจะทำไง ก็มันเจาะลึกไปถึงห้องประชุมกันได้หมดผ่านเจ้าไทยคมมิใช่หรือ ? ทีนี้ในส่วนประชาชนล่ะ จะเจาะอย่างไร ให้เขาเชื่อในตัวนักการเมืองที่ถูกซื้อไปหมดแล้ว ? ง่ายๆเลย สำหรับรากหญ้าซึ่งมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่งของไทย ให้ในสิ่งที่เขาขาดไง เห็นไหม นานาเอื้ออาทร นักเรียน นักศึกษาล่ะ พวกนี้ก็ให้ทุนสิ ให้ไปเรียนในที่ที่กำหนดไว้แล้วว่าจะล้างสมองได้ นักธุรกิจล่ะ ทำไง ก็ให้ทุนสนับสนุน ให้กู้อัตราดอกเบี้ยต่ำยังไงละ และในหลายๆกรณีก็อาจมีตัวช่วยเผื่อลดการขัดแย้งให้ดูกลมกลืน มีสันติ กรณีนี้ใครจะดีเท่าศาสนา บาทหลวงถึงได้ผุดเป็นดอกเห็ด ขับรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆเคยเห็นไหม มีป้ายแขวนบนต้นยางสูงลิบตามริมทาง เขียนอะไรไม่รู้ทำนองว่า .... ข้าคือพระผู้ไถ่บาป ......ศรัทธาในพระเยซู จะนำท่านไปสรวงสวรรค์ สูตรสำเร็จนี้ถูกใช้มาโดยต่อเนื่อง แต่ทว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคืออะไร ? นั่นก็คือเมืองไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คนไทยทั้งปวงเทจิตใจให้ ไม่ใช่ด้วยรัฐธรรมนูญบังคับหรอก แต่ด้วยความจงรักภักดีที่เกิดจากที่พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมมาโดยตลอด มันจึงจารจำไปในจิตใจพสกนิกรไทยถ้วนหน้า ยกเว้นไอ้พวกยำยำอัปรีย์สัตว์นรกส่งมาเกิดที่ไม่มีใจภักดีกตัญญูแผ่นดินเกิด ทรยศต่อคำสัตย์สาบานที่ทูลถวายต่อพระองค์ท่าน ก็ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงได้เห็นการกระทำที่จ้วงจาบหยาบหยามสถาบันสูงสุดมาโดยตลอด และโดยต่อเนื่อง ก็เพื่อทำลายความเชื่อถือให้ต่ำที่สุด และจะได้ครอบครองประเทศไทยได้ นั่นคือคำตอบของกระทู้นี้ หัวข้อ: Re: สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน.... เริ่มหัวข้อโดย: ชอบแถ ที่ 18-09-2006, 08:49 ต้องอ้างถึง พระเจ้าเสียวเหา หรือพระเจ้าเหาน้อย ไทยเรียก พระเจ้าเหา กษัตริย์องค์ที่ ๒
ในพงศาวดารจีนครองราชย์ระหว่าง ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๘๗๑ ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้น ตระกูลของชนชาวไทย ไทย ซึ่งลูกหลานในภายหลังได้กลายเป็นชาวดอยไปในมณฑล ฮูนาน กวางตุ้ง กวางสี กุยจิว เสฉวน และหยุนนาน ซึ่งชนจีนได้พบชาวดอยนี้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ไปโน่นเลย สมัยพระนารายณ์เก่าไม่พอ สรุปว่า ไม่เชื่อว่ะ หัวข้อ: Re: สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน.... เริ่มหัวข้อโดย: Neoconservative ที่ 18-09-2006, 08:51 ความพยายามในการ บังคับให้เดิน จากต่างชาติมีมานาน จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่อยากจะฝากไว้ คือ คนไทยช่วยกัน คัดสรร เฟ้นหา นำมา เฉพาะแต่สิ่งที่ดีๆ เข้าประเทศ อย่าลืม ความจงรักภักดี ให้มีความภาคภูมิใจ ในเบื้องสูง จากใจจริง ----We protect the Kingdom---- หัวข้อ: Re: สาเหตุที่ต้องทำลายสถาบัน.... เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 18-09-2006, 10:38 ขณะนี้โลกเรากำลังตกอยู่ในภาวะสงคามโลกครั้งที่ 3 เป็นสงครามก่อการร้าย รูปแบบแตกต่างกับการยกกองทัพเข้าฟาดฟันกัน จากสงครามโลกทั้งสองครั้ง
และเรากำลังตกอยู่ในยุคล่าอานานิคม แต่ไม่ใช่ด้วยการยกกองทัพมายึดครอง ขับไล่ผู้ปกครองเก่าไป แต่เป็นการล่าทางเศรษฐกิจและครอบงำทางสังคม ครอบครองทรัพยากรเศรษฐกิจ ครอบงำทางความคิด การครอบงำทางความคิดของคนนั้น ผ่านทางการศึกษาเป็นหลัก ทาสของประเทศทางตะวันตกนั้น เริ่มจากคนที่ไปศึกษายังที่เหล่านั้น และรับเอาความคิดของพวกตะวันตกมา มองเห็นบ้านเมืองตัวเองไม่ศิวิลัยซ์ เมื่อเราส่งคนไปเรียนเมืองนก ก็เริ่มตกเป็นทาสทางความคิดของประเทศเหล่านั้น จนเกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง และจนมาถึงทุกวันนี้ เราเป้นทาสของตะวันตกเกือบจะทุกด้านแล้ว การทำลายสถาบัน เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในการครอบครองอำนาจอย่างหมดจด เพราะนี่เป็นหลักยึดเหนี่ยวสุดท้ายของประเทศไทย หากทำลายได้ นับแต่นี้เมืองไทยจะกลายเป็นทาสอย่างสมบูรณ์ ชนชั้นปกครองกับประชาชน จะห่างกันราวนายทาสและทาสในยุคกลาง รากหญ้าได้กินหญ้าสมใจโง่แน่นอนค่ะ |