หัวข้อ: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:10 ใจคอมันจะขายกันให้ได้ซะทุกอย่างจริงๆหรือ :shock:
เวรกรรมประเทศไทย :oops: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000113727 ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องวรรณกรรม ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับรางวัลซีไรต์ปีล่าสุด แต่ เหมือนทะเลมีเจ้าของ เป็นชื่อที่มีความหมายตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับเรื่องราวต่อไปนี้ ทะเลจะมีเจ้าของได้อย่างไร? ใครจะมาเป็นเจ้าของทะเล? เป็นไปไม่ได้หรอก!! ก็นั่นน่ะสิ ทะเลจะมีเจ้าของได้ยังไง แต่ว่า...ทะเลกำลังจะมีเจ้าของจริงๆ และคนแรกที่กำลังจะฮุบทะเลเหมือนกับที่เคยฮุบทรัพยากรทุกอย่างในประเทศ ตั้งแต่ที่ดิน ป่าไม้ แม่น้ำ จากชาวบ้านที่อยู่กินกับธรรมชาติมานานนับนานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้เล่นตัวโตตัวเดิมที่ไม่เคยมีใครทำอะไรได้ เขาคือ รัฐ ทะเลกำลังจะมีเจ้าของ -1- หลายคนคงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุนกันเป็นอย่างดี ซึ่งเรียกว่าเป็นนโยบายอันโดดเด่นของรัฐบาลชุดนี้ และเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวบวกกับเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้เสนอโครงการซีฟูดแบงก์ (Sea Food Bank) เข้าสู่คณะรัฐมนตรี และแน่นอนโครงการนี้ได้รับมติเห็นชอบในหลักการอย่างไม่ยากเย็น อย่างรวบรัดที่สุด หลักการของโครงการที่ว่าคือการนำท้องทะเลสีครามเข้ามาเป็นของรัฐ จากนั้นรัฐจะเป็นผู้แจกจ่ายพื้นที่ทางทะเลให้แก่เกษตรกรที่ต้องการที่ทำกินด้านการประมงที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ หรือเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าการออก โฉนดทะเล ก็คงจะไม่ผิด ทีนี้ขั้นต่อไปก็คือเกษตรกรผู้ที่ได้โฉนดทะเลไป สามารถนำเอกสารสิทธิไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับแหล่งทุนได้ แล้วนำทุนที่ได้มาจัดหาและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจ (อีกเช่นกัน รัฐผู้ชาญฉลาดก็คิดไว้ให้หมดแล้วว่าต้องเลี้ยงอะไรบ้าง) ทั้งหมด 5 ชนิดได้แก่ หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม ปลากะรังหรือปลาเก๋า และปลากะพงขาว หอย 3 ชนิดแรกหาอาหารได้เองตามธรรมชาติ ส่วนปลา 2 ชนิดหลังจะต้องใช้อาหารที่ผลิตจากฟาร์มเพาะเลี้ยงในพื้นที่โครงการ นอกจากชาวบ้านจะหายยากจนเป็นปลิดทิ้งแล้ว ตัวโครงการยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้กลับคืนมา เนื่องจากผลผลิตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจะช่วยทดแทนการจับจากธรรมชาติได้ มองโลกในแง่ดีได้ว่า เมื่อชาวบ้านซึ่งเป็นชาวประมงขนาดเล็กหันมาเลี้ยงแทนการจับ บรรดาเรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ก็จะจับสัตว์น้ำน้อยลง โครงการดีๆ ขนาดนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คิดจะต้องมีมุมมองต่อโลกในแง่ดีอย่างที่สุด อาทิ จะมีตลาดใหญ่โตรองรับผลผลิต ผู้เลี้ยงได้กำไรจุนเจือครอบครัว ไม่มีคำว่าขาดทุน จะไม่มีผู้มั่งมีรายได้มาฮุบเอกสารสิทธิทางทะเลเหมือนที่เคยเกิดกับส.ป.ก.4-01 และนายทุนเรือประมงขนาดใหญ่จับสัตว์น้ำน้อยลงเพื่อเห็นแก่สิ่งแวดล้อม..... -2- แต่ขอทำตัวเป็นคนมองโลกแง่ร้ายเล็กน้อย มาไล่เรียงกันทีละจุดว่ามีตรงไหนบ้างของโครงการดีๆ โครงการนี้ที่น่าหวั่นวิตก พูดถึงความยากจนของชาวบ้านริมฝั่งทะเล สาวกันให้ถึงต้นตอ ความจนของชาวบ้านไม่ได้เกิดจากการมีเงินน้อย แต่ข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของ ชาวประมงพื้นบ้าน พวกเขาพึ่งพิงทะเลอย่างมีความสุขและพออยู่พอกินมาช้านาน ตราบจนกระทั่งเกิดอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ เรืออวนลาน อวนรุนที่สามารถกวาดต้อนสิ่งมีชีวิตใหญ่น้อยใต้ท้องทะเลขึ้นสู่ความตายบนเรือได้ โดยที่รัฐไม่ได้ใส่ใจกำหนดกฎเกณฑ์อย่างแน่นหนาเพียงพอแต่อย่างใด การปล่อยปละละเลยนำมาซึ่งความเสียหายของทรัพยากรทางทะเลจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ย่อยยับ อ่าวไทย พ.ศ.2504 สามารถจับสัตว์น้ำได้ชั่วโมงละ 298 กิโลกรัม แต่พ.ศ.2542 ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัม (นี่ไม่ใช่การพิมพ์ผิด เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัมจริงๆ) ตรรกะพื้นๆ ของคำตอบง่ายๆ ที่ได้ก็คือเมื่อปลาสาบสูญไปจากทะเล แล้วชาวประมงพื้นบ้านที่มีเรือลำเล็กๆ เครื่องไม้เครื่องมือธรรมดา กับภูมิปัญญาในการฟังเสียงปลา เสียงลม จะเอาปลาที่ไหนมาเลี้ยงชีพ เมื่อไม่มีปลาจึงเป็นการง่ายนิดเดียวที่พวกเขาจะถูกต้อนเข้าสู่สารบบคนจนของรัฐ สมัยก่อนเป็นวิถีชีวิตที่น่าอยู่มาก ทั้งด้านอาชีพและวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม เลสาบตอนผมยังเล็กๆ เราหากินกันแบบธรรมดา ไม่ใช้เครื่องมือทันสมัยแบบเดี๋ยวนี้ เราทอดแห วางอวน ใช้ไม้พายพายเรือ ใช้เรือใบ ชาวประมงเราจะรู้ว่าปลาอยู่ตรงไหน ไม่ต้องใช้เรดาร์ ดาวเทียม ดูลมเอา ว่าถ้าลมนี้มา สัตว์น้ำชนิดไหนจะขึ้นมา คำบอกเล่าอดีตของ น้อย แก่นแท่น ลูก เลสาบสงขลา แต่อดีตก็คืออดีต ทุกวันนี้น้อยและชาวประมงคนอื่นๆ จับปลาได้น้อยลง ปลาที่จับได้ก็ตัวเล็กลงเหมือนเป็นโรคขาดสารอาหาร ส่วนประเด็นที่ว่าโครงการซีฟูดแบงก์จะช่วยให้สิ่งแวดล้อมทางทะเลกลับฟื้นฟูขึ้น ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ เครือข่ายความร่วมมือฟื้นฟูชายฝั่งอันดามัน และสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กลับเห็นว่าเป็นการตั้งสมมติฐานที่ผิดของภาครัฐ สมมติฐานที่ส่งเสริมการเลี้ยงปลานี่มันผิด คือกรมประมงตั้งสมมติฐานว่าทะเลเสื่อมโทรม ปลาน้อยลง มีชาวประมงมากขึ้น ก็เลยต้องเปลี่ยนชาวประมงมาเป็นผู้เพาะเลี้ยง เพื่อผลผลิตทางทะเลด้วยการเพาะเลี้ยง แต่ถ้าเราดูจริงๆ จะพบว่าชาวประมงที่ออกหาปลาไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ชาวประมงที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เพาะเลี้ยงซึ่งคนเหล่านี้เดิมไม่ได้มีอาชีพประมง แต่เป็นพ่อค้า ข้าราชการ ทำสวนยาง พอมีการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงคนเหล่านี้จึงสร้างฐานเศรษฐกิจอีกขาหนึ่งขึ้นมา ดังนั้น เรื่องโฉนดทะเลเอาเข้าจริงๆ มันจะไม่ได้เปลี่ยนจากชาวประมงมาเพาะเลี้ยง แต่จะเป็นการเพิ่มผู้เพาะเลี้ยงรายใหม่เข้าไป ซึ่งก็จะทำให้ทะเลมีปัญหาการเสื่อมโทรมมากขึ้น ประการต่อมาคืออาหารหลักของปลาที่เพาะเลี้ยงมันเป็นปลาเป็ด ปลาไก่ ทั้งนั้น หรือแม้แต่อาหารสำเร็จรูปที่เราซื้อมาเลี้ยงปลา โปรตีนสำคัญก็เอามาจากปลาเป็ด ปลาไก่ ซึ่งทุกวันนี้เราหาได้ไม่พอ ยังต้องมีกองเรือไปล่าปลาเล็กปลาน้อยอยู่ที่อินเดีย และศรีลังกา ฉะนั้น การเพาะเลี้ยงถ้าไม่ดูให้ดีมันจะยิ่งกลับไปทำลายทะเล ทะเลอ่อนล้า ฝูงปลาร้องไห้... -3- เมื่อรู้ต้นเหตุของความยากจนแล้วก็กลับมาดูตัวโครงการของรัฐ ซึ่งไม่ได้เข้าไปคลายเงื่อนปมของสาเหตุแต่อย่างใด ยังคงปล่อยให้มีการจับปลาของเรือประมงขนาดใหญ่ต่อไป ขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านก็ทำได้แค่ทิ้งเรือไว้บนหาดและทิ้งบ้านไว้ข้างหลัง อพยพไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง แล้วโฉนดทะเลจะเยียวยาความบอบช้ำนี้ได้จริงหรือ? ภาคภูมิอธิบายว่า เรื่องโครงการอาหารทะเลมีการถกเถียงเป็น 2 ประเด็นคือ เรื่องการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกับการออกโฉนดทะเล ในประเด็นแรกนั้นไม่มีใครคัดค้าน เว้นแต่ตั้งข้อสังเกตว่าจะต้องคำนึงถึงระบบนิเวศของพื้นที่ด้วย เพราะถ้าเลี้ยงมากเกินไปจนเกินขีดที่ระบบนิเวศจะซึมซับของเสียได้ก็อาจจะเกิดผลกระทบ แต่ที่มีปัญหามากคือการออกโฉนดทะเล เพราะทั้งชาวประมง ทั้งนักท่องเที่ยวต่างเห็นว่าทะเลเป็นทรัพย์สาธารณะไม่ควรยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล มันเคยมีตัวอย่างมาก่อนแล้วที่อ่าวบ้านดอนและอ่าวปัตตานีที่มีการอนุญาตให้เลี้ยงหอยในทะเล มีใบอนุญาตเป็นปีๆ แรกๆ ก็เป็นเกษตรกรรายย่อย แต่พอเลี้ยงไปสักพักหนึ่งผู้เลี้ยงรายย่อยก็ประสบภาวะขาดทุน จึงเริ่มมีการขายสิทธิ์ของตัวเอง ตอนนี้ที่อ่าวบ้านดอนและอ่าวปัตตานีแม้ชื่อจะยังเป็นของรายย่อย แต่เจ้าของตัวจริงเป็นของนายทุนใหญ่ซึ่งบางคนครองพื้นที่ทะเลถึง 5 พันไร่ วสันต์ พานิช หนึ่งในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด กล่าวเพิ่มเติมในกรณีการออกโฉนดทะเลว่า การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนนี้มันยังโยงไปถึงเรื่องอาหารปลอดภัย ก็คือถ้าสัตว์น้ำที่ได้ไม่กรรมวิธีการเลี้ยงในกระชัง ชาวบ้านจะไม่มีสิทธิส่งออกสัตว์น้ำไปยังต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังอีกแนวความคิดหนึ่งกำกับเข้ามาด้วยก็คือ Contact Farming มันเป็นสัญญาในการทำเกษตร ผลปรากฏว่าต่อไปนี้จะมีบริษัทด้านเกษตรเอาพันธุ์สัตว์น้ำมาขาย ซึ่งจะโยงถึงอาหารของสัตว์น้ำและยา แปลว่าชาวประมงผู้เลี้ยงจะต้องซื้อทุกอย่างจากบริษัทเหล่านี้ รวมตลอดถึงกลไกการตลาดคือจะมีห้องเย็นมารับซื้อเอง มันก็เหมือนกับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำหรือไก่ที่ชาวบ้านเป็นคนลงทุนเอง แต่กลไกทั้งหมดถูกควบคุมโดยระบบทุน ดังนั้น จะเห็นว่าคนที่รับเคราะห์จริงๆ ก็คือชาวบ้าน เพราะเมื่อยึดทรัพย์สินของชุมชนมาเป็นของปัจเจก ถ้าเกิดปัญหาขึ้นชาวบ้านก็จะถูกยึดที่ในทะเลไปอยู่ในมือของทุน แทนที่จะเป็นแหล่งน้ำสาธารณะที่ใครก็สามารถจับปลาได้ -4- กล่าวในเชิงสิทธิ ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 46 ระบุว่าชุมชนมีสิทธิในการจัดการทรัพยากรของตน การออกโฉนดทะเลกลับเป็นความพยายามฉีกขาดสิทธิชุมชนให้เหลือเพียงสิทธิเชิงปัจเจก โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าโครงการนี้ได้มีการพูดคุยกับชาวบ้านหรือเปล่า และชาวบ้านเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะความอันตรายร้ายแรงประการสำคัญของการออกโฉนดทะเล คือการกัดกร่อนความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน ทำไม? ปกติสิทธิของชาวประมงในการเลี้ยงปลาหรือการทำประมงทะเล ถ้าเป็นชาวมุสลิม ทุกคนจะยืนยันร่วมกันว่าทะเลเป็นของพระผู้เป็นเจ้า แปลง่ายๆ คือทะเลเป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ควรจะเอามาเป็นสมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้น สิทธิในการเป็นเจ้าของทะเลของเขาโดยวัฒนธรรมจะไม่มี มันจะมีสิทธิเฉพาะตอนที่เลี้ยง เมื่อคุณเลิกเลี้ยงทะเลก็จะกลับเป็นของสาธารณะ แต่ทีนี้โฉนดทะเลจะทำให้สิทธินี้ยังคงอยู่แม้จะไม่เลี้ยงปลา ภาคภูมิอธิบาย ด้านวสันต์มองว่าโฉนดทะเลจะทำให้วิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านถูกทำลาย เมื่อทะเลซึ่งเป็นที่สาธารณะกลายเป็นของบุคคล ทะเลหน้าบ้านที่เคยใช้หากินร่วมกัน พอเอามาแปลงเป็นของปัจเจก ออกโฉนดให้แต่ละรายๆ ต่อไปนี้ทะเลหน้าบ้านจะไม่มีแล้ว ชาวประมงก็ต้องออกไปหากินที่อื่นที่ไกลออกไป กลายเป็นว่าความสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้นมันไปทำลายวิถีชีวิตของชุมชนที่เคยอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียง ในสายตาของน้อย ลูกเลสาบสงขลา โฉนดทะเลมีแต่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับชุมชน และระหว่างชาวบ้านในชุมชนด้วยกันเองอย่างรุนแรง ถ้าไอ้โครงการซีฟูดแบงก์ลงไปจะเกิดผลกระทบระหว่างชุมชนกับชุมชนอย่างแรง เพราะจะเกิดการแย่งพื้นที่จับจองกัน เพราะโดยปกติชาวประมงเราสามารถหากินได้ไม่จำกัดพื้นที่ จะไปหากินตรงไหนก็ได้ แต่โครงการนี้จะทำให้เราทะเลาะกัน หน้าบ้านใครคนนั้นก็จับจอง คนอื่นจะเข้าไปหาปลาไม่ได้ เหตุนี้ข้อเรียกร้องของชาวประมงพื้นบ้านในการฟื้นฟูความแข็งแรงให้ทะเลและฟื้นฟูความอยู่ดีกินดี จึงไม่ใช่การทำให้ทะเลมีเจ้าของ แต่จะต้องมีการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างยั่งยืน มีการควบคุมเครื่องมือประมง ไม่ให้มีเครื่องมือประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ ร่วมกันอนุรักษ์ป่าชายเลน หญ้าทะเล และปะการัง หากทำได้ทะเลก็จะเพียงพอสำหรับทุกคน อันที่จริงนับจากแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เป็นต้นมาจนถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้พูดไว้ชัดเจนถึงการกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ท้องถิ่น ปัญหาก็คือภาครัฐให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหนกับการกระจายอำนาจที่ว่า เพราะการยินยอมกระทำตามรัฐธรรมนูญอาจก่อให้เกิดการกระแทกอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างอำนาจรัฐ บทบาทการนิยามและการกำหนดทิศทางการพัฒนาที่รัฐเคยกุมมาตลอดจะถูกเปลี่ยนมือ แล้วใครที่ไหนจะยอม ความต้องการของทุกคนคืออยากจะมีสิทธิในทุกๆ เรื่อง น้อยกล่าวทิ้งท้าย -5- โดยไม่ต้องอาศัยระดับสติปัญญาที่สลับซับซ้อนมากมาย ความรู้สึกสามัญที่สุดของทุกคนน่าจะมีคำตอบคล้ายคลึงกันอยู่ในใจ คงเป็นเรื่องแปลกพิลึก เมื่อวันหนึ่งก่อนที่เราจะกางแขนรับสายลมเย็นๆ เรากลับต้องถามใครต่อใครก่อนว่าอากาศตรงนี้เป็นของใคร? หรือเมื่อวันหนึ่งก่อนที่เราจะกระโดดลงทะเลเขียวคราม กลับมีคนตะโกนบอกว่าทะเลตรงนี้มีคนซื้อไปแล้ว ...เหมือนทะเลมีเจ้าของ *.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.* หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:13 นึกถึงญาติๆที่เกาะขึ้นมาทันที สงสัยคืนนี้ต้องโทรไปจ้อซะหน่อยแล้ว
เฮ้อออออออออออ แล้วมันจะอยู่กันยังไงวะเนี่ย ถ้าต่อไปจะจับปลาที ต้องขอสัมปทานเขตน่านน้ำเนี่ย http://www.pantown.com/board.php?id=1915&area=1&name=board4&topic=59&action=view หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 11-09-2006, 15:21 นี่ ยังไม่เลิกบ้าบริโภค สื่อฯก๊กนี้อีกหรือ :?:
เรื่องโฉนดทะเลเนี่ยต้องไปถาม นายพญาไฟสีเทา เขารู้เรื่องดี เพราะเค้าตามเรื่องนี้อยู่ ไม่ต้องไปอ่านไอ้สื่อบ้าบอนี่หรอก หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:31 ยังจำได้..........สมัยเด็กๆแม่เคยบอกว่าที่บนเกาะไม่มีเอกสารสิทธิ์
ไม่มีการออกโฉนด เพราะถือว่าน่านน้ำเป็นที่ของทหารเรือ :roll: ใครจับจองตรงใหน ก็ทำกินตรงนั้น ลูกหลานก็สืบทอดกันเอา ซึ่งชาวเกาะจะไม่ได้ต้องการที่ดินมากมายนัก เนื่องจากชีวิตทำมาหากินอยู่กับน้ำ จะมีก็ทำสวนมะพร้าวสวนยางบ้างเท่านั้น แต่มาวันนี้เปลี่ยนไป ครั้งหลังสุดที่กลับไปเยี่ยมญาติ ได้รู้ข่าวว่า ที่บนเกาะมีโฉนดแล้ว :shock: คำแรกที่ตัวเองอุทานคือ ฉิบหายหล่ะสิท่างั้น ถ้าที่บนเกาะออกโฉนดได้ก็บรรลัยแล้ว :cry: ตอนนั้นญาติก็ทำหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจเรา ใอ้เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ได้แต่บอกว่า รักษาไว้สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้บ้างนะ อย่าปล่อยให้เปลี่ยนมือไปจนหมดหล่ะ ยังจำได้ว่าก่อนกลับ ปีนขึ้นไปบนกระโจมไฟเก่าแก่ประจำเกาะที่คุ้นเคย มองไปด้านนึงของเกาะ เห็นเขาหัวโล้นไปซีกนึงเลย ถามญาติว่าทำใม เขาบอกว่านายทุนมาซื้อที่จะทำอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ ตัดต้นไม้ไปซะโล้นเป็นลูกเขาเลย อึ้งปนใจหาย :cry: โลกมันต้องเปลี่ยนไปตามวัฐจักรก็จริง แต่มันไม่ควรจะพินาศเร็วแบบนี้ด้วยน้ำมือนายทุน :cry: สาธุ..........สัมปทานทะเล อย่าให้ร่างฯนี้ผ่านเลย เจ้าป่าเจ้าเขาที่ใหนก็ได้ช่วยด้วยยยยยยยยย :oops: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: z e a z ที่ 11-09-2006, 15:39 นี่ ยังไม่เลิกบ้าบริโภค สื่อฯก๊กนี้อีกหรือ :?: เรื่องโฉนดทะเลเนี่ยต้องไปถาม นายพญาไฟสีเทา เขารู้เรื่องดี เพราะเค้าตามเรื่องนี้อยู่ ไม่ต้องไปอ่านไอ้สื่อบ้าบอนี่หรอก แล้วพวก สื่ออีแอบ สื่อเทียม ทั้งหลายมันรายงานมั้ยล่ะ ? คุณ ควายเสร่อ อ่อนี่ก็ ยังไม่เลิกบ้าบริโภค สื่อเส็งเคร็ง ราดดำนา อีกหรือ ? คุณ ควายเสร่อ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 11-09-2006, 15:48 ยัง...ยังไม่เข้าใจ
เป้าหมายทีเขาต้องออกโฉนดทะเล ก็เพื่อให้ชาวประมงชายฝั่ง ได้นำเอาโฉนด ไปกู้เงินมาลงทุนเลี้ยงกุ้งหอยปูปลาในกระชัง แล้วมันก็ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นสิทธิทำกิน เหมือน สปก. ก็เท่านั้นแหละ คิดบ้าคิดบออะไรไปกันใหญ่โต.... หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:50 แล้วอิชั้นจะไปถามคุณพญาไฟสีเทาได้จากที่ใหนหล่ะคุณคิลเลอร์เจ้าขา
ที่แกโพสครั้งสุดท้ายที่พันทิพย์หน่ะ(เท่าที่เสริทเจอ)เดือนมค.ปี46โน่น 3ปีมาแล้วนะ http://www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G1987476/G1987476.html หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:53 แล้วที่สำคัญกว่านั้น..............เขาโดนยึดอมยิ้มไปแล้วเจ้าค่า
ลองส่งหลังไมค์ไป ระบบตอบกลับมาว่าไม่มีชื่อนี้แล้ว :cry: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 11-09-2006, 15:56 โครงการดีๆ ขนาดนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คิดจะต้องมีมุมมองต่อโลกในแง่ดีอย่างที่สุด อาทิ จะมีตลาดใหญ่โตรองรับผลผลิต ผู้เลี้ยงได้กำไรจุนเจือครอบครัว ไม่มีคำว่าขาดทุน จะไม่มีผู้มั่งมีรายได้มาฮุบเอกสารสิทธิทางทะเลเหมือนที่เคยเกิดกับส.ป.ก.4-01 และนายทุนเรือประมงขนาดใหญ่จับสัตว์น้ำน้อยลงเพื่อเห็นแก่สิ่งแวดล้อม..... โครงการดี ๆ ... บ้านพวกเอ็งอะดิ ไอ้ ..........!! ขอโทษเหอะ.. อ่านแล้วมันฉุนจริงๆ อยากรู้ว่า..ใครมันเป็นคนคิด ไอเดีย.. นี้ อยากเห็นหน้ามันจริงๆ เอ้ .. คนหนึ่งหล่ะที่จะขอค้านโครงการบ้าๆ อันนี้ ... อยากจะเป็นเจ้าของ ทะเล งั้นหรือ ... มากไปหน่อยมั้งพี่ !!! จะออกโฉนดทะเลงั้นหรือ ... ใครได้ใครเสียกะงานนี้ แล้วมีมาตราตรงไหนเป็นส่วนวัดว่า .. พื้นที่ตรงไหนคือ เขตุที่ถูกจำกัดว่ามีเจ้าของแล้ว ทะเล ...มันกว้างนะ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 15:58 ปกติสิทธิของชาวประมงในการเลี้ยงปลาหรือการทำประมงทะเล ถ้าเป็นชาวมุสลิม ทุกคนจะยืนยันร่วมกันว่าทะเลเป็นของพระผู้เป็นเจ้า แปลง่ายๆ คือทะเลเป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ควรจะเอามาเป็นสมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้น สิทธิในการเป็นเจ้าของทะเลของเขาโดยวัฒนธรรมจะไม่มี มันจะมีสิทธิเฉพาะตอนที่เลี้ยง เมื่อคุณเลิกเลี้ยงทะเลก็จะกลับเป็นของสาธารณะ แต่ทีนี้โฉนดทะเลจะทำให้สิทธินี้ยังคงอยู่แม้จะไม่เลี้ยงปลา
อ่านตรงนี้สิ สิทธิมันจะยังอยู่แม้จะไม่ได้เลี้ยงปลาแล้ว และที่สำคัญคือมันขายต่อนายทุนได้เว๊ยยยยยยยยยยย :evil: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 11-09-2006, 16:06 เชื่อว่าบทความถ้าลองมาจากสื่อเจ้านี้หล่ะก็คงต้องมีใส่ใข่มั่งหล่ะ
แต่ถ้ากรองเอาเนื้อๆแล้ว หลักประเดนสำคัญๆคือ ขายทะเล ไม่ว่าจะใส่ใข่หรือไม่ใส่ใข่ มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี ที่รู้ว่าใส่ใข่ เอาง่ายๆก็ท่อนนี้ อ่าวไทย พ.ศ.2504 สามารถจับสัตว์น้ำได้ชั่วโมงละ 298 กิโลกรัม แต่พ.ศ.2542 ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัม (นี่ไม่ใช่การพิมพ์ผิด เหลือแค่ชั่วโมงละ 3 กิโลกรัมจริงๆ) คือญาติข้าพเจ้าไดหมึกคืนนึงๆ3-500โล(เรือได8วา) เพราะงั้นคำนวนคร่าวๆ ก็ตก25-40โลต่อชั่วโมง ไม่ใช่ชั่วโมงละ3กิโลอย่างที่บทความนี้บอกแน่ ขืนได้แค่นั้น อย่าว่าแต่ค่าน้ำมันจะไม่พอเลย แค่ค่าน้ำแข็งก็ไม่มีจ่ายแล้ว :oops: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 11-09-2006, 16:10 ยัง...ยังไม่เข้าใจ เป้าหมายทีเขาต้องออกโฉนดทะเล ก็เพื่อให้ชาวประมงชายฝั่ง ได้นำเอาโฉนด ไปกู้เงินมาลงทุนเลี้ยงกุ้งหอยปูปลาในกระชัง แล้วมันก็ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นสิทธิทำกิน เหมือน สปก. ก็เท่านั้นแหละ คิดบ้าคิดบออะไรไปกันใหญ่โต.... คุณคิล..เห็นด้วยกะโครงการนี้ งั้นรึ !! งั้นลองอธิบายเหตุผล.. และข้อดี ข้อเสีย..ในสายตาคุณมาให้ฟังหน่อยสิ เพราะ .. เอ้ เป็นคนหนึ่งละที่คิดบ้าคิดบอ และไม่ต้องการให้มีการ.... จำกัดพื้นที่.. หรือ ให้ใคมีอภิสิทธิ์ ในท้องทะเล !!! หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 11-09-2006, 16:11 นายพญาไฟสีเทา เคยมาแนะนำเวบเค้าที่ ห้องสาธารณะ
เรื่องการออกโฉนดทะเล หรือว่า หนังสือรับรองสิทธิทำกินในทะเลอะไรเนี่ย หลักการก็อย่างที่บอกเอาไว้นั่นแหละ นายพญาไฟสีเทา เคยเล่าให้ฟัง ตามสไตล์ NGOs ก็ออกอาการแบบเดียวกับที่กังวลเนี่ยแหละ ปัญหาคือ ชาวบ้านที่ไม่มีปัญญามีเรื่อประมงขนาดใหญ่ หรือว่า ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งแบบไม่มีทุนในการสรา้งกระชังเลี้ยงปลา ก็จะได้มีทุน มันไม่ดีหรืออย่างไร.? ทุกวันนี้เขาก็มีการเลี้ยงกันอยู่ทั่วไป แต่มันจำกัดวงเฉพาะคนที่มีทุนเท่านั้น ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ ได้แต่วางลอบปู ลอบปลาไปตามมีตามเกิด ถ้าจะช่วยให้เขาได้มีทุนก็ต้องทำอย่างนี้แหละ แล้วพื้นที่มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่โตมโหราฬอะไร เคยเห็นหรือเปล่า ก่อนจะพูดน่ะ เค้ากังวลว่า นายทุนจะมาขายหัวอาหารเครดิตให้ ในที่สุดแล้วก็จะฮุบเอาเป็นของตน ผมก็บอกเขาไปว่า มันจะทำอย่างนั้นไปทำไม ก็ในเมื่อมันมีทุน มันก็ทำเองเสียเลยก็จบ... จะมานั่งรอฮุบไปทำไม ใครจะทำก็ได้อยู่แล้ว อีกอย่างปล่อยให้มันโตตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อาหารก็ได้ ไม่เห็นต้องไปพึ่งใคร ปัจจัยเสียงมีอย่างเดียวคือ พายุ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 11-09-2006, 16:19 พวก NGOs ก็รู้ๆกันอยู่
คิดและมองพวกนายทุนเป็นยักษ์เป็นมารอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้าหมายคือ CP ระดับนั้นไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว เขาทำประมงชายฝั่งกันมานานแล้ว มีนักวิชาการ มีทีมงานวิจัย ครบวงจร และก็ไม่จำเป็นด้วยว่าจะต้อง มะรุมมะตุ้มอะไรในทะเลไทย มีทะเลอีกหลายแห่งทั่วโลก ที่มีสภาพน้ำดีกว่า ทะเลไทย เขาเป็นบรรษัทข้ามชาติมีศักยภาพที่จะลงทุนได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเค้าจ้องจะมายึดอะไรกันหรอก.... หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 11-09-2006, 16:44 งั้นถามหน่อย..
การออกโฉนด เขาใช้เกณฑ์อะไรไปตัวกำหนดว่า จะเป็นพื้นที่จากตรงไหนไปตรงไหน และมีผล กะ ทะเลทุกที่หรือไม่ ... !!! ยกตัวอย่างเช่น... ถ้าเขาจะออกโฉนดทะเลที่สงขลา.. จากไหนถึงไหนหล่ะ ??? เพราะ..ขอบเขตุของพื้นน้ำมันกว้าง และ มีผืนดินหลายส่วนที่ติดกะน้ำ มีทั้งบางส่วนที่เป็นป่าโกงกาง และ เป็นชายหาดจริงๆ จังหวัดที่ติดทะเล .. ไม่ได้หมายความว่า... ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นชาวประมงนะ ชาวประมง..เป็นเพียงส่วนหนึ่ง..( และเขาจะอาศัยเป็นกลุ่มเป็นก้อนของเขา ) และเวลาเขาหาปลา..เขาจะออกทะเลไปในบริเวณน้ำลึก ไอ้ที่จะมาเหวี่ยงแห เอาสุ่มมาจับนะ...ไม่เคยเห็น ส่วน CP .. เขาจะมีนักวิชาการ มีทีมงานวิจัย ครบวงจร นั่นมันคือ..ศักยภาพในการทำงานของเขา แต่.. มันไม่ได้เกี่ยว กะ การที่จะมีการออกโฉนดทะเลนี่ และก็ยังไม่ได้มีใครว่า CP เป็นผู้หนับหนุนโครงการนี้เลยนะคะ เพียงแต่.. ถ้าจะมีการทำโครงการนี้ขึ้นมาจริงๆ ต้องแจงรายละเอียดออกมาให้หมด..ไม่ใช่ มุบมิบ ทำ แล้วอีกอย่าง..เอ้ สงสัยว่า... ทะเลสงขลา มีความจำเป็นขนาดไหนที่จะต้องออกโฉนด..เพื่อใช้ในการกู้เป็นเงินทุน อัตราส่วนของคนทำประมง กะ ชาวบ้านที่อาศัยและทำอาชีพอื่น .. แตกต่างกันมากแค่ไหน ??? เราไม่มีวิธี..หรือ ไปเดีย อื่นที่จะช่วยเหลือชาวประมงอีกแล้วหรือไง !!! และ ............... มีอะไรอีกบ้างที่ รัฐ .. ไม่ต้องการเป็นเจ้าของ ต่อไป .. เราจะต้องเสียค่าเหยีบบผืนดิน ค่าสูดอากาศหายใจหรือเปล่า ??? หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 11-09-2006, 17:13 รัฐบาลเค้ายังไม่ทันออกกฎหมายอะไรสักนิด...สื่อผู้จัดการก็มายำสร้างกระแสให้พวกขี้ตื่นเต้นออกอาการเกินเหตุซะแล้ว ไหนว่าวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกันไงครับ?
หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: คนในวงการ ที่ 11-09-2006, 17:15 รัฐบาลเค้ายังไม่ทันออกกฎหมายอะไรสักนิด...สื่อผู้จัดการก็มายำสร้างกระแสให้พวกขี้ตื่นเต้นออกอาการเกินเหตุซะแล้ว ไหนว่าวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกันไงครับ? วันนี้ อะไรจ๊ะ ทำ OT เหรอ 55555 กลับบ้านได้แล้ว หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: ฟักแม้ว ที่ 11-09-2006, 17:18 นี่ ยังไม่เลิกบ้าบริโภค สื่อฯก๊กนี้อีกหรือ :?: เรื่องโฉนดทะเลเนี่ยต้องไปถาม นายพญาไฟสีเทา เขารู้เรื่องดี เพราะเค้าตามเรื่องนี้อยู่ ไม่ต้องไปอ่านไอ้สื่อบ้าบอนี่หรอก ควาย งี่เง่า หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: ฟักแม้ว ที่ 11-09-2006, 17:19 รัฐบาลเค้ายังไม่ทันออกกฎหมายอะไรสักนิด...สื่อผู้จัดการก็มายำสร้างกระแสให้พวกขี้ตื่นเต้นออกอาการเกินเหตุซะแล้ว ไหนว่าวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกันไงครับ? นี่ก็พอๆ กัน หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 11-09-2006, 17:47 ทะเล ภูเขา แม่น้ำเป็นสาธารณะสมบัติที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์ได้ครับ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ใจคอมันจะขายทุกอย่างเลยเหรอ อีกหน่อยต่างชาติมากวาดซื้อทะเลไปจะทำยังไง?
หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: z e a z ที่ 11-09-2006, 18:38 ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลทุน จะจริงใจแค่ไหน? เป้าหมายที่แท้จริงเพื่อผลประโยชน์ของพวกกู ตามกฎกติกู อีกหรือไม่?
เป็นโครงการเฉพาะกิจเคลือบคาราเมล แนว spoil รากหญ้า หาเสียงอีกใช่มั้ย? นี่หากเป็นโครงการเนื่องในพระราชดำรินี่จะไม่สงสัยเลย..... สุดท้ายก็คงต้องมาลงที่ความล้มเหลวทางความเชื่อถือของคณะรัฐบาลเหลี่ยมนี่เอง... อีกแง่ โครงการนี้อาจจะเหมาะหรือดีในอีกอย่างน้อย 50ปีข้างหน้าก็ได้ เมื่อทุกคนมีความเท่าเทียมทางการศึกษา เป็นสังคมแห่งความรู้ในทุกระดับชั้น .. เมื่อชาวประมงพื้นบ้าน ปรับตัวได้กับวิถีชีวิตประมงร่วมสมัย สามารถสร้าง มีส่วนร่วม ในระบบกลไกทางการตลาด และ เรียนรู้เทคนิคใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนขาของตนเองอย่างแท้จริง... หวังว่าจะไม่กลายพันธ์เป็น โครงการอีแอบ โครงการเทียม โครงการน้ำคาวปลา ขาประจำในภายหลัง...นะขอรับ :mozilla_laughing: :mozilla_laughing: :mozilla_laughing: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 11-09-2006, 19:00 ยัง...ยังไม่เข้าใจ เป้าหมายทีเขาต้องออกโฉนดทะเล ก็เพื่อให้ชาวประมงชายฝั่ง ได้นำเอาโฉนด ไปกู้เงินมาลงทุนเลี้ยงกุ้งหอยปูปลาในกระชัง แล้วมันก็ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นสิทธิทำกิน เหมือน สปก. ก็เท่านั้นแหละ คิดบ้าคิดบออะไรไปกันใหญ่โต.... สปก. ก็มีกรรมสิทธิ์ เมื่อเอาไปจำนองจำนำ หลุดแล้วใครได้ไป ก็ครอบครองได้ ทะเลเมื่อมีสิทธิ์ทำกิน จำนองไปแล้วหลุดจำนอง ก็เข้าไปทำกินไม่ได้ อีกหน่อยก็มีรั้วกั้นในทะเล หากมีสิทธิ์แล้วใครก็เข้าไปทำกินได้ ก็เหมือนไม่มีสิทธิ์ ใครจะรับจำนอง โง่งั่ง ไม่ต้องออกความเห็นก็ได้ คิลเลอร์ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: mini ที่ 11-09-2006, 21:16 ผมสนับสนุนทั้งเศรษฐกิจเสรี แปรรูปวิสาหกิจ
การยอมรับในสิทธิของปัจเจก และอื่นๆที่เกี่ยวพันกับทุนนิยมมากมาย แต่เรื่องการให้สิทธิในลักษณะนี้ ผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน มันผิดปกตินะครับ ในการเอาทรัพยากรธรรมชาติ มายกให้กับปัจเจกในลักษณะนี้ แทนที่จะช่วยชาวประมงโดยการให้สิทธิ ถ้าอยากให้กู้เงิน รัฐบาลนี้ก็ควรให้กู้ได้อยู่แล้ว กองทุนหมู่บ้านก็มีไม่ใช่เหรอ แต่ที่สำคัญ ปัญหาความยากจน ต้องแก้ที่ระบบการศึกษาเป็นหลักครับ ไม่ใช่แค่ที่ดินทำกิน ไม่งั้นตราบใดที่จำนวนประชากรขยายตัว เราก็ต้องมีปัญหากันต่อไป เพราะที่ดินไม่ได้ขยายตัวตามไปด้วยนะครับ PS ผมว่าแพน่าไปเที่ยวแล้วนะ นี่มีทะเล ได้ไดหมึกอีก น่าอิจฉาแกสบี้อ่ะ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 12-09-2006, 09:35 ตามรอยลายแทงที่คิลเลอร์บอกใบ้ไปจนเจอเวปนี่ http://www.seub.or.th/~pt/website.htm
เวปบอร์ดเค้าเปิดไม่ได้(เข้าใจว่าคงสงวนไว้ให้เฉพาะสมาชิก)เลยลองเมลไปถาม ก็ไม่รู้นะว่าเวปแอดมินที่นั่นกับคุณพญาไฟสีเทาเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า แต่เขาตอบมาอย่างนี้ **************************************************** สวัสดีครับคุณ Varada เรื่องโฉนดทะเลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร....แต่อย่างไรก็ตามผมอยากแนะให้ลองทำความเข้าใจปัญหาเรื่องที่ดินเสียก่อน ว่าทำไมคนจนถึงไม่มีที่ดิน และทำไมที่ดินส่วนใหญ่ 80% ถึงตกอยู่ในมือของคนเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่คนอีก 40 กว่าล้านคน ไม่มีที่ดิน ในจำนวนนี้เป็นคนจนเสียอย่างน้อย 35 ล้านคน คำตอบของปัญหานี้คือ ผลพวงจากระบบทุนและการพัฒนาของระบบกรรมสิทธิ์แบบปัจเจก ที่สามารถถ่ายโอนภายใต้กลไกของระบบทุน ดังนั้นใครมีทุนมาก มีโอกาสฉกฉวยมาก ก็ย่อมครอบครองที่ดินจำนวนมากด้วยเช่นกัน ครอบครองที่ดินแล้วปล่อยทิ้งร้าง...อย่างที่เราเห็นทั่วๆ ไป เราเคยเคลื่อนไหว เพื่อให้จัดระเบียบเรื่องการถือครองที่ดินเสียใหม่ เพื่อกระจายที่ดินออกมาจากคน 2 ล้านคน ด้วยระบบภาษีก้าวหน้า กล่าวคือใครที่ถือครองที่ดินมาก และไม่ได้ทำประโยชน์เราก็ควรเก็บภาษีที่ดินของคนเหล่านี้ในระดับที่สูงกว่าปกติ แต่ก็ไม่เป็นผล....เพราะในข้อเท็จจริงคนในรัฐบาล เป็นคนที่ควบคุมกลไกการออกกฎหมายเหล่านี้ และคนในรัฐบาล นักการเมืองเองก็เป็น 1 ในคน 2 ล้านคน ที่มีที่ดินจำนวนมากนั่นเอง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดแขนตัดขาตัวเอง....... ฉันใดก็ฉันนั้น....ประเด็นเรื่องโฉนดทะเลก็มีลักษณะคล้ายกัน และรัฐบาลเองก็ไม่เคยสร้างหลักประกันหรือการันตีว่าความห่วงใย หรือความกังวลใจที่เรามี..จะป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของทะเลในฐานะ สมบัติสาธารณะ เสียก่อน ไม่เคยมีใครจับจองทะเล และไม่เคยมีใครผูกขาดจับจองพื้นที่ทะเล ดังนั้นชาวประมงพื้นบ้านทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน ต่างมีสิทธิเข้าถึงการใช้ทรัพยากรจากท้องทะเลได้ทุกคน ตามกำลังและแรงงานที่ตนมีตราบใดที่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดการทำลาย ซึ่งควบคุมอยู่ภายใต้กรอบของวิถีชีวิต กฎกติกาชุมชน รวมไปถึงกฎหมาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทะเลมีเจ้าของ...และจะเป็นไปได้หรือที่จะมีเจ้าของทะเล เป็นไปได้ครับ...เพราะกลไกสำคัญ คือการออกเอกสารสิทธิ์ (ซึ่งเปลี่ยนจากระบบกรรมสิทธิส่วนร่วมไปเป็นระบบกรรมสิทธิ์แบบปัจเจก) ให้แก่ผู้ที่จับจองพื้นที่ทะเลเพื่อเพาะเลี้ยง หลังจากนั้นจึงไปขึ้นทะเบียนกับองค์การสะพานปลา (ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเกียวกับ กฟผ. ปตท.) หลังจากใบรับรองจากสะพานปลาแล้วจึงนำไปกู้เงินจากสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ ปัญหาในเบื้องต้นเกิดขึ้นแน่ครับ... 1.การแย่งชิงพื้นที่ทะเลเพื่อนำไปออกโฉนดทะเล เพราะพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีไม่มากนักสำหรับชาวประมงทุกคน และใครๆ ก็อย่างได้ เพราะมันเหมือนของฟรี ไม่ต้องออกแรงถางป่าแบบกรณีที่ดิน 2. พื้นที่เพาะเลี้ยงที่เหมาะสมมักจะอยู่ในคลอง หรืออ่าวที่หลบคลื่นลมได้ เป็นการกีดขวางการสัญจรทางเรือ 3. หลังจากจับจองแล้ว เกิดการแสดงกรรมสิทธิ์ชาวบ้านคนอื่นๆ จะเข้าไปวางอวนหาปลา ตกเบ็ด วางลอบจะทำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของกระชังเลี้ยงปลา และจะนำสู่ความขัดแย้งในชุมชนในที่สุด 4. จะเอาปลาเหยื่อจากที่ไหนมาเลี้ยงปลาในกระชัง บทเรียนตอนช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่เกิดสึนามิและองค์กรต่างๆ เข้าไปแจกกระชังเกิดขึ้นจำนวนมาก ในขณะที่ปลาเหยื่อที่ได้จากเรืออวนลากก็ราคาแพง วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือ การทำเรืออวนรุน ซึ่งเป็นเครื่องมือทำลายล้างที่รุนแรงในแนวชายฝั่งทะเล และจะเป็นการซ้ำเติมความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศชายฝั่งที่อยู่ในภาวะวิกฤตให้รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม 5. จะเอาลูกปลาที่ไหนมาเลี้ยง การจับลูกปลามาเลี้ยงมากๆ เท่ากับเป็นการตัดวงจรชีวิตของปลา หอย ทำให้ไม่มีโอกาสสืบทอดเผ่าพันธุ์ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะใช้ลูกปลาเลี้ยง ซึ่งสุดท้ายก็จะมีบริษัทที่จะรับในการผลิตลูกปลาขายให้กับชาวประมง และนั่นเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงของผู้เพาะเลี้ยงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ กองฉลากฯ ได้มอบกระชั่งเลี้ยงปลาให้กับชาวบ้านที่ผมทำงานด้วย และมอบลูกปลาซึ่งไปซื้อมาจากบริษัทแห่งนึ่ง จำนวน 10,000 ตัว ปรากฏว่า เหลือลูกปลารอดมาเพียง 3,000 ตัว เพราะปลามันผิดน้ำ นอกจากนั้นบรรษัทผลิตอาหารปลาก็จะติดตามมา โดยใช้จุดอ่อนของปลาเลี้ยงที่ต้องใช้อาหารเม็ด ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าของกระชังเลี้ยงปลาซึ่งไปกู้เงินธนาคารมาลงทุน เกิดประสบความล้มเหลวขาดทุน (การเลี้ยงปลาในกระชังไม่ใช่เลี้ยงง่ายๆ นะครับ) จะเกิดอะไรขึ้น พื้นที่ทะเลตรงนี้จะไปอยู่ที่ใคร???.....เบื้องต้นจะไปอยู่กับองค์การสะพานปลา และสะพานปลาก็จะเปิดให้รายอื่นๆ สัมปทานต่อไป โดยจะต้องชดใช้หนี้ของผู้สัมปทานคนแรกแต่เจ๊งให้หมดเสียก่อน...และมีโอกาสที่จะเจ๊งเพราะถือว่า ทะเลได้มาฟรีๆ ไม่ต้องถาง ไม่ต้องออกแรงแบบที่ดิน ขนาดที่ดินออกแรงแทบตายยังขายได้สนุกสนาน ช่องทางนี้เองที่จะเปิดให้บรรษัทใหญ่ เข้ามาควบคุมการผลิตสัตว์น้ำ เมื่อพวกเขาสามารถเข้ามาแทรกแซงการประมง แบบเพาะเลี้ยงแบบเต็มรูปแบบ....ซึ่งก็มีหลายช่องทาง เช่น ใช้ชาวบ้าน หรือ กลุ่มชาวบ้านเป็นเงา ให้กับบริษัท และดำเนินการเพาะเลี้ยง เป็นต้น แน่นอนเบื้องต้นภายหลังเสียสิทธิ์ไป...เจ้าของสิทธิใหม่ (ซึ่งอาจจะเป็นคนในหมู่บ้านหรือนายทุนก็ได้)จะทำอะไรก็ได้ เช่น ห้ามไม่ให้เรือชาวบ้านผ่าน เพราะจะทำให้ลูกปลากระทบกระเทือน ห้ามไม่ให้วางอวน เพราะจะทำให้น้ำขุน... เป็นต้น นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ทะเลของชาวประมงพื้นบ้านถูกลดทอนให้เหลือน้อยลงมากเรื่อยๆ ทั้งที่ปัจจุบันก็แทบแย่งกันจับปลาอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อวิถีประมงพื้นบ้านทั้งสิ้น.... ยิ่งไปกว่านั้นหากองค์การสะพานปลา ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เข้าตลาดหุ้น แบบ ปตท. กฟผ. ฯลฯ จะเกิดอะไรขึ้น หากต่างชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจในการควบคุมระบบการผลิตของภาคการประมงแบบเพาะเลี้ยงจะถูกควบคุมโดยต่างชาติหรือไม่ และหากผนวกกับการเปิดเสรีทางการค้า FTA และ พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างเสรีด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะโอกาสและช่องทางในการเข้าถึงทรัพยากร การเข้าไปต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ทะเลของชาวประมงพื้นบ้านสู้ไม่ได้อยู่แล้ว มีเพื่อนๆ บางคนบอกผมว่า ปัญหาที่ผมบ่นให้ฟังนี้ เกิดขึ้นแล้วในประเทศชิลี และภาพที่เรากำลังเจออยู่ในขณะนี้ และเกิดขึ้นแล้ว คือ ธุรกิจค้าปลีกของบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น เทสโก้ โลตัส คาร์ฟู ซึ่งนอกจากจะเปิดห้างขนาดใหญ่แล้ว ยังไปเปิดเฟรนไชต์กินแบบรวบหัวรวบห้าง จนโชว์หายทยอยค่อยๆ ตายที่ละร้าน.... หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 12-09-2006, 09:55 โทรไปคุยกับญาติที่เกาะ(ตอนนี้มันเอาเรือมาไดแถวระยอง มันบอกบ้านเราพายุเข้าน้ำขุ่นตัวหมึกไม่ขึ้น)
พวกเขายังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโฉนดทะเล แต่เรื่องที่เขาเล่าให้ฟังคือ กำลังมีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการกับพวกทำโพงพาง :shock: ทางการขอให้ชาวบ้านเลิกทำโพงพาง(แต่ไม่ยักกะบอกหรือแนะแนวอาชีพใหม่ให้) เราก็ถามว่า ทำใมหล่ะ มันไปขวางเส้นทางเดินเรือเหรอ ใอ้บ้า(ญาติมันสวนกลับมา)โพงพางกรุงเทพฯบ้านเอ็งหน่ะสิ ไปตั้งกลางร่องน้ำขวางเส้นทางเรือ ขืนทำแบบนั้นหลักเสาก็หักบรรลัยหมดสิ อ้าว..........เราอ้าปากค้าง :shock: อึ้งไปสองวิ หนอยแน่ ใอ้เด็กเกาะมันย้อน(ที่จริงก็ไม่เด็กหรอก30กว่าแล้ว) ก็ตรูไม่รู้นี่ เอ็งก็บอกเหตุผลที่ทางการเค้าจะให้เลิกทำมาสิ มันว่าทางราชการบอกว่า โพงพางเป็นแหล่งทำลายสัตว์น้ำโดยเฉพาะพวกลูกปลา,กุ้ง,หอยตัวเล็ก :shock: อึ้งรอบสองครับพี่น้อง :shock: :shock: ย้อนถามมันกลับไปว่าเฮ้ยเหตุผลนี้เลยเหรอ มันก็ว่าเออ.......ตูก็งงๆเหมือนกัน โพงพางทำกันมาตั้งกะปู่ย่าตาทวด มาถึงตอนนี้กลายเป็นทำลายสัตว์น้ำไปซะแล้ว เฮ้อออออออออออ ยุคทักษินนี่ มีอะไรแปลกวุ๊ย :roll: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 12-09-2006, 10:42 ผมขอพุดง่ายๆสั้นในฐานคนที่รู้เรื่องประมงดีคนหนึ่ง...
ว่าไอ้คนคิดโครงการ..มันไม่ดีมีความรู้ทางด้านวิชาชีพทางด้านการประมงเลย... แต่มันรู้ดีแต่ทางวิชาการ..แล้วจักมาจัดระเบียบคนที่เขารุ้วิชาชีพ.. ผมว่ามันตลกสิ้นดี.... และัถ้าคุณคิดจักช่วยชาวประมงจริงๆ... ผมว่ามันมีอีก๑๐๘... เช่นเอาจริงๆกะพวกอวนรุน เรือลากคุ่ที่ี่ขนาดใหญ่...ที่มาทำการประมงชายฝั่ง...น่ะช่วยจับมันสิ...มิใช้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่.. และทางอีกด้านก็ทิ้งประการังเทียม... และ...ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า..โดยมีการรับประกันราคา..มิให้พ่อค้าคนกลางกดราคาจนมากเกินไป... ผมว่าแค่นี้มันก็ช่วยชาวประมงได้มากโขแล้ว... มิต้องมาทำบ้าอะไรขนาดนี้หรอก... อ้อและผมสงสัยจริงๆ... การที่จักทำโครงการอะไรขึ้นมาน่ะ..เคยไปสอบถามไปประชาวิจารณ์กะ์ชาวประมงเขารึยัง... เพราะผมบอกตรงๆ...ในฐานที่ค่อนข้างจักใกล้ชิด...ชาวประมงเเถวเเม่กลอง... โดยเฉพาะเรือประมงอวนติดที่ทำการจับปลาทู....แบบที่เคยออกรายการกบนอกกะลานั้นเเล... ผมยังมิเคยได้ข่าวบ้าอะไรนี้เลย....จักว่าญาติคุณvaradaที่ระยองเลย... หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 12-09-2006, 13:14 คุณmkii
ขอแก้ใขความเข้าใจนิดนึง ญาติดิฉันอยู่จันทรบุรีค่ะ(ถ้าตามลิ้งค์คคห.ที่2ไปจะเห็นที่อยู่) เพียงแต่ตอนนี้เขามาไดหมึกแถวระยอง เรื่องที่ว่าทางการให้เลิกทำโพงพางคือที่จันทรค่ะ ไม่รู้ว่าจังหวัดอื่นโดนเรื่องนี้ด้วยใหม ส่วนเรื่องการออกโฉนดทะเล ตอนนี้กำลังเป็นประเดนที่ทะเลสาปสงขลา(ลิ้งค์ที่คคห.แรก) แต่ดิฉันห่วงว่าถ้ามีการผลักดันให้กม.นี้ผ่านออกมามันจะกระทบไปทั่ว แน่นอนอันดับแรก ตัวเองมีญาติพี่น้องที่หากินทางทะเล ก็ย่อมห่วงพวกเขาเป็นธรรมดา จึงทำให้ไม่สบายใจกับเรื่อง ที่รับรู้มา และได้พยามหาข่าวความคืบหน้าเพิ่มเติม หากคุณทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็รบกวนขอข้อมูลด้วย หากไม่ทราบ ไม่เคยได้ยินก็แล้วไป หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 12-09-2006, 14:54 ไปเจอที่นี่
http://www.cffp.th.com/seafoodbank/index1.html ติดใจกับประโยคนี้ มีขั้นตอนในการดำเนินงานดังนี้ · ศึกษาการจัดทำแผนที่ทางทะเล เพื่อจัดทำเอกสารสิทธิในการใช้พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ · การจัดทำการสำรวจ-รังวัด พื้นที่อนุญาตเดิม พื้นที่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำปัจจุบัน และพื้นที่ที่มีศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำ จำนวน 284,492 ไร่ · จัดทำแผนที่ Digital mapping โดยใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมตามความเหมาะสม · การสอบสวนสิทธิที่ดินทำกิน และการจัดสรรพื้นที่ทำกิน · ดำเนินการนำพื้นที่น้ำที่มีศักยภาพการเพาะเลี้ยงชายฝั่งประมาณ 284,492 ไร่ มาออกใบอนุญาตเลี้ยงสัตว์น้ำตามกระบวนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง · การรับรองสิทธิ กรมประมงเป็นผู้รับรองสิทธิการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ โดยการจดทะเบียนและออกใบรับรองสิทธิ ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ตามหลักเกณฑ์ที่กรมประมงกำหนด ******************************************************** แล้วมันวัดยังไง กว้างยาวเท่าไร ความยาวจากชายฝั่งกินลึกไปสู่ผืนน้ำแค่ใหนนะ :roll: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 12-09-2006, 15:05 แล้วมันวัดยังไง กว้างยาวเท่าไร ความยาวจากชายฝั่งกินลึกไปสู่ผืนน้ำแค่ใหนนะ :roll: วัดกันด้วยวิธีนี้ครับ หน้าติดเกาะ หลังติดเส้นขอบฟ้า :mrgreen: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: *bonny ที่ 12-09-2006, 17:19 สิทธิการครอบครองอาณาเขตของทะเลเป็นของประเทศไทย
คำว่าออกโฉนดทะเลคงเป็นไปไม่ได้ แต่น่าจะเป็นการออกสิทธิในการทำมาหากินในท้องทะเลที่ถูกแบ่งสรรให้เฉพาะบุคคลมากกว่าครับ ถ้าจะออกโฉนดทะเลจริงก็ต้องแก้กฎหมายหลายข้อที่เกี่ยวข้อง และกรมประมง กท.เกษตรก็มิได้มีอำนาจในการจัดสรรตรงนี้ด้วย น่าจะเป็นแค่แนวคิด คงอีกนานครับ รัฐบาลนี้คงล่องจุ๊นไปก่อน แต่เปิดประเด็นนี้ออกมาน่าจะเป็นเป็นการหาเสียงจากชาวทะเลมากกว่า (เรียกรากหญ้าไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นดิน) หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 12-09-2006, 17:41 เค้าทำคล้าย ๆ "สทก." ให้ประชาชนใช้สิทธิ์ทำกินครับ ( การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เช่นพวกเลี้ยงหอยแมงภู่ หรือ หอยนางรม กระชังปลาเป็นต้น)
ไม่ได้ออกโฉนดทะเลทั้งหมดแบบเหมารวม แบบที่เราคิดกัน คือออกโฉนดจนไม่มีทางออกทะเล คิดมากไปกระมังครับ เพราะตรงใหนจะออกกรรมสิทธิ์ให้ คงมีการสอบสวนสิทธิ์คล้าย ๆ การออกโฉนดหรือ "สปก." เรื่องนี้ผมยังไม่ได้ศึกษาจริงจัง แต่พอมองออกว่า เข้าข่ายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุนมากกว่า คุณ varada...ประมวลกฎหมายที่ดิน ให้เกาะ เป็น "ที่ดิน" ด้วยครับเดี๋ยวขอค้นนิดนึง มาตรา 1 เลยมั๊ง หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 12-09-2006, 17:54 ประมวลกฎหมายที่ดิน หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้ "ที่ดิน" หมายความว่า พื้นที่ดินทั่วไป และให้หมายความรวมถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ ชายทะเลด้วย "สิทธิในที่ดิน" หมายความว่า กรรมสิทธิ์ และให้หมายความรวมถึง สิทธิครอบครองด้วย ................................... เมื่อกฎหมายให้เป็น "ที่ดิน" ย่อมมีสิทธิ์ในที่ดินได้ ( แต่ต้องไม่ขัดกฎหมายอื่น ) เช่น "ที่สาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน" เป็นต้น หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 12-09-2006, 18:11 :D :D... ขอบคุณพี่ดาที่ไปหาข้อมูลมาให้จ้า !!
และ ขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาให้ความรู้เพิ่มเติมด้วยค่ะ :D :D หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 12-09-2006, 18:30 เข้าใจว่างานนี้กรมประมงจะเป็นเจ้าภาพเพราะต้องดูแลการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง
การรังวัดในปัจจุบัน สามารถใช้ "พิกัดดาวเทียม" รังวัดไม่ยากแล้วครับ นำเครื่องมือวางลงบนหัวเสาในทะเลก็ทราบพิกัดแล้ว ที่สำคัญเป็นแค่การจัดสรรให้ทำประโยชน์ มิได้ให้สิทธิ์ขาดขนาดเป็น "โฉนดที่ดิน" อย่างมากคงให้แค่ "สทก." หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์" อย่าลืมว่าการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง ต้องลงทุนสูงมากอย่างพวกเลี้ยงหอยหรือปลากระชัง ต้องลงทุนทำเสาตอกลงไปในทะเล เมื่อวันสองวันนี้ ก็มีข่าว หอยแมงภู่ ตายเป็นเบือ เพราะฝนตกหนักพัดเอาสารปนเปื้อนในดินไปลงทะเล...รอฟังก่อนละกันครับ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 12-09-2006, 19:08 เข้าใจครับคุณ varada..
ส่วนเรื่องโพงพางนี้มิเห็นได้ข่าวอะไรน่ะครับ.. ทั้งทางริมชายฝั้งทะเล.. หรือเเม้นกระทั้งตามเเม่น้ำลำคลอง.. เพราะถ้ามี...ข่าวนี้เเถวบ้านผมคงโวยเเตก.. เพราะส่วนมากเเถวบ้านผม...นั้นกางโพงพางกันเป็นส่วนมากซะด้วย..โพงพางตามในคลองน่ะครับ อ้อ... และข้อเสริมลุงเเคนแกนิด... เรื่องข่าวน้ำเสียหอยเเมงภู่ตายน่ะ... แถวๆเเม่กลองนี้มันเป็นทุกปีและคงจักทุกๆทีด้วย..ที่ตามชายฝั่งที่มีการเลี้ยง... แต่มันจักมากรึจักน้อยก็แค่นั้นเอง... และบางทีปีไหนี่น้ำเสียมากๆทำเอาล้มทั้งยืนได้ได้ง่ายๆน่ะครับ..สำหรับคนเลี้ยง... เพราะอาชีพทะเลน่ะ..เราต้องพึ่งธรรมชาติน่ะครับอย่างลืม..เราต้องอย่าลืมข้อนี้... และผมถามว่าเรานั้นกำหนดธรรมชาติได้งั้นหรือ.. ดังนั้นผมจึงบอกไปในข้างต้นไงล่ะว่า... ไอ้คนพวกนี้มันเก่งแต่วิชาการ.. แต่ไม่เก่งวิชาชีพ.. ดีแต่นั่งโต๊ะเขียนรายงานเขียนโครงการ.. แต่เสนออะไรมาแต่ล่ะที่ชาวบ้านชาวช่องเขาได้แต่ร้องยี้.. หรือว่าอยากให้คนไทยเป็นหนี้... จักได้เอาไปอ้างว่ายิ่งเป็นหนี้เยอะเเสดงว่าไทยเศรษฐกิจเจริญ..555 หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Coolly_Jade ที่ 12-09-2006, 19:12 ทำไม่ได้แน่ๆ และถ้าทำขึ้นมาจริงๆ งานนี้มีผิดพลาดทางเทคนิคมโหฬารแน่นอน
แล้วแมวที่มันหน้าด้านตัวไหนจะออกมารับผิดชอบเมื่อถึงเวลานั้น และถ้ามีการทำหรือจำกัดสิทธิหรือให้สิทธิแก่บุคคลใด หรือกลุ่มบุคคลใด ก่อนที่จะกฏหมายจะออกมารับรอง หรือกฏหมายจะให้อำนาจหน้าที่ที่จะสามารถทำได้ งานนี้ถ้าผ่านรับรองได้ไอคุกๆๆๆ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Ires ที่ 12-09-2006, 19:46 สิทธิการครอบครองอาณาเขตของทะเลเป็นของประเทศไทย คำว่าออกโฉนดทะเลคงเป็นไปไม่ได้ แต่น่าจะเป็นการออกสิทธิในการทำมาหากินในท้องทะเลที่ถูกแบ่งสรรให้เฉพาะบุคคลมากกว่าครับ ถ้าจะออกโฉนดทะเลจริงก็ต้องแก้กฎหมายหลายข้อที่เกี่ยวข้อง และกรมประมง กท.เกษตรก็มิได้มีอำนาจในการจัดสรรตรงนี้ด้วย น่าจะเป็นแค่แนวคิด คงอีกนานครับ รัฐบาลนี้คงล่องจุ๊นไปก่อน แต่เปิดประเด็นนี้ออกมาน่าจะเป็นเป็นการหาเสียงจากชาวทะเลมากกว่า (เรียกรากหญ้าไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บนพื้นดิน) เขาเรียก รากสาหร่าย ครับคุณบอน หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Scorpio6 ที่ 12-09-2006, 20:14 SS...Sad movie........สำหรับเมืองไทยที่มีคนในระบอบทักษิณ ที่ชอบ.........ปู้ยี่ปู้ยำ.......รัฐธรรมนูญ..แล้วเตะหมูเข้าปาก*** หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 13-09-2006, 00:04 ถ้ามองถึง "เป้าหมาย" ผมเข้าใจว่า พวกนี้แค่ต้องการเอกสารของทางการ เพื่อยืนยันกับ "ธนาคาร" แค่นั้นเอง
คล้าย ๆ เอาแผงค้าขายที่เซ้งกันมา ไปค้ำประกันเงินกู้ นั่นแหละครับ มันเป็นการปั้นสินทรัพย์เพื่อแปลงเป็นทุนเท่านั้นเอง พอเวลาเจ็บตัวผมว่าทั้งธนาคารนั่นแหละจะล้มทั้งยืน เหมือนการตัดหนี้เสีย ที่ออมสินนั่นไงครับ ้อ้อ...ข้อมูลเรื่องการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เป็นเว็บที่ได้รับความนิยมมากของกรมประมง ลอง ๆ เสิร์ชคำว่า "การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง" ไม่ผิดหวังครับ หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: varada ที่ 13-09-2006, 13:41 ขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยกันหาข้อมูลมาเสริมค่ะ
ที่กังวลอยู่ก็คือเรื่องการโอนขายสิทธินี่แหล่ะ เผอิญดิฉันก็เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายซะด้วยสิ เห็นตัวอย่างชาวนาในภาคอีสานที่เจอพิษระบบทุนเข้าไปซะจน ที่ทางไม่เหลือ ต้องกลายเป็นลูกจ้างทำนาบนที่ดินที่(เคย)เป็นของตัวเอง บางส่วนก็ต้องเร่ร่อนมาขายแรงงานในเมืองใหญ่ เลยหวั่นใจว่าชาวน้ำจะโดนแบบนั้น ถ้าปล่อยให้มีเอกสารสิทธิ์แล้วสามารถ ซื้อขายได้ เรื่องโดนนายทุนกว้านซื้อแล้วใช้วิธีสกปรกๆทำให้เจ้าของเดิม ต้องกลายสภาพเป็นลูกจ้างไปนี่ไม่ยากเลย :cry: ญาติดิฉัน........ใช่ว่ามีแต่เรือ8วา12วากันซะทุกคน บางคนก็มีแค่เรืออวนลอยเล็กๆ หากินลอยกุ้งลอยปลา วางลอบเลาะตามชายฝั่งไปวันๆ ถ้าวันนึง.........ตรงโน้นก็เข้าไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่ให้ผ่าน เพราะสิทธิ์อาณาเขตจากเรื่องนี้ วิถีชีวิตของชาวประมงค์พื้นบ้าน คงถูกทำลายไป.......ไม่น้อยเลยทีเดียว :oops: หัวข้อ: Re: อ่านบทความนี้แล้ว...........ไม่สบายใจเลย เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 13-09-2006, 18:32 เข้าใจว่าจะทำเฉพาะส่วนที่ทำการ "เพาะเลี้ยงชายฝั่ง" ที่มีอยู่แล้ว 2 แสนกว่าไร่กระมังครับ
พอดีไม่ได้ติดตามรายละเอียดมากนัก พูดง่าย ๆ คือ สำรวจจุดที่ทำมาหากินกันอยู่แล้วนั่นแหละ หากเลิกทำมาหากินก็คงหมดสิทธิ์ คล้าย ๆ สปก. รายละเอียดพวกนี้ ทำได้ยาก คงอีกนานครับ เฉพาะการแปลง สปก. เป็นโฉนด ยังทำไม่ได้เลยครับ...มันติดขัดกฎหมายอื่น ๆ อีกหลายฉบับ เว้นซะแต่ต้องไปแก้ไขกฎหมาย หรือยกเลิกป่าสงวนฯ ทีแรกก็เห็นคณะกรรมการทำงานกันขยันขันแข็ง ตอนนี้แผ่ว ๆ ไปแล้วครับ นั่นแหละโครงการหาเสียงของพรรการเมือง คนพวกนี้จะตีค่าหัวออกมาเป็น "คะแนนเสียง" เท่านั้นเองครับ อย่าคิดมาก |