หัวข้อ: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 08-09-2006, 19:16 (http://www.nokkrob.org/upload/forum/_forweb21.jpg) สังคมไทยมีวิธีคิดแบบที่อาจารย์อธิบายมาหรือเปล่า ว่าในบางเรื่องเราใช้วิธีการทางกฎหมายไม่ได้ คนไทยเลยเรียนรู้ที่จะใช้วิธีการซิกแซกเพื่อให้เรื่องมันจบได้ ทีนี้พอมาถึงเรื่องใหญ่ๆ... ก็เอาแบบเดียวกัน สังคมไทยจะคุ้นเคยกับวิธีคิดแบบนี้ คือเราเป็นสังคมที่ไม่ค่อยเอาหลักการ ย้อนกลับไปตั้งแต่คดีซุกหุ้น เรามีวาทกรรมเรื่องนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ ซึ่งผมไม่เคยเห็นวาทกรรมแบบนี้ในประเทศอื่น นอกจากประเทศไทย และผมก็รู้สึกว่าวาทกรรมแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย จริงๆ แล้วในมุมหนึ่งอาจจะเป็นข้อดี ในบางสถานการณ์ ในเรื่องการระหว่างประเทศบางอย่าง อาจจะเป็นข้อดีที่เราเป็นอย่างนี้ เราก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ เราไม่แพ้สงครามทั้งๆ ที่เราประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร มันก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด แต่วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ทำให้สังคมเดินหน้าไปได้ดีตลอดเวลา อย่างคดีซุกหุ้นภาคแรก ผมพยายามดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าในทางกฎหมายนี่ยากมากเลยที่ท่านนายกฯจะไม่ผิด ยืนยันว่าผิดแน่ๆ แต่ถามว่าปัจจัยที่ทำให้คุณทักษิณไม่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีเพราะอะไร คำตอบคือวิธีคิดที่จะเอาเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการ คือขอให้คุณทักษิณอยู่เถอะ แม้ว่าจะบิดกฎหมายบ้าง แม้ว่าไม่เอาหลักการบ้าง เอาไว้ข้างๆ ก่อนก็ไม่เป็นไร วันนั้นเราคิดอย่างนั้น วันนี้แบบเดียวกันครับ วันนี้เรากลับกันแล้ว วันนี้คือเอาทักษิณออก เมื่อจะเอาทักษิณออก ไม่ต้องเอาหลักการหรอก วันนี้ธงคือเอาทักษิณออก เพราะฉะนั้นวิธีการยังไงก็ได้ ปัญหาก็คือ มีคนบอกว่าก็ตอนเข้ามาไม่ได้เข้ามาตามหลักการ ตอนออกไปก็ต้องออกไปแบบไม่ตามหลักการสิ ถึงจะถูกต้องตรงกัน ก็เป็นวิธีคิดแบบซาดิสม์ดีนะ ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะไม่มีการเรียนรู้ คือถึงที่สุดก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก เราจะไม่มีทางมีหลัก สังคมจะทำอย่างนี้ทุกๆ คราวไป สังคมที่ทำอย่างนี้ทุกคราวไปเป็นสังคมที่เสี่ยงกับการเกิดความรุนแรง ความแตกร้าวในสังคมจะเกิดขึ้นง่าย สังคมต้องเรียนรู้ที่จะโตด้วยตัวเอง ต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าวันนี้เราไม่เอาหลัก เราเป็นอย่างนี้ คือเราเอาธง แล้วยังไงก็ได้ โอกาสที่จะเกิดการปะทะกันก็มาก จริงๆ แล้วการปะทะกันทางความคิดของคนมีอยู่เสมอ แต่ว่าถึงที่สุดแล้วมันจะถูกแก้ไขไปได้โดยการมีเหตุมีผล มีหลักมีฐาน หลักการและเหตุผลจะช่วยทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้จะเห็นต่างกัน คือคนสองคนอยู่ด้วยกันได้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันหมด แต่อยู่บนพื้นฐานหรือหลักการบางอย่างที่รับตรงกัน แต่ถ้าเราไม่รับตรงนี้ มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ วันหนึ่งสังคมจะแตกเป็นเสี่ยง http://www.nokkrob.org/index.php?file=forum&obj=forum.view(cat_id=nkbd-1,id=103)&PHPSESSID=6d2fecb4bf0a3722af494a448914a9de อ. วรเจตน์กล่าวได้ดี ปัญหาที่เผชิญหลังจากนี้คือการปะทะกันของพวกสุดโต่ง ซึ่งในฝ่ายต้านทักษิณจะมีลักษณะ อาการรุนแรงมากกว่าเพราะถูก มอมเมาด้วยข้อมูลที่บิดเบือนมาอย่างยาวนาน หลายเรื่องร้ายแรงมากถึงขนาด เกี่ยวพันไปถึงสถาบัน ซึ่งเคยเป็นชนวนให้เกิดการนองเลือดมาแล้ว สังคมไทยต้องเริ่มคิดกันแล้วว่า หลังจากการเลือกตั้งไปแล้ว สังคมไทยจะทำอย่างไรต่อไป หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 08-09-2006, 19:21 อ้างถึง สังคมไทยต้องเริ่มคิดกันแล้วว่า หลังจากการเลือกตั้งไปแล้ว สังคมไทยจะทำอย่างไรต่อไป สังคมไทย น่าจะเอาคนมีความคิดแบบอาจารย์ ไปอบรมใหม่ค่ะ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 08-09-2006, 19:30 ผมเคยนั่งคุยกับไอ้เด็กคนนี้ คุยแล้วก็รู้สึกได้ความวกวนปวดหัวดี
เพราะจะมีแต่ ตรรกะ แบบ ยึดหลักการ เป็นต้นทาง แล้วค่อยหาทางโปรย รายละเอียดต่าง ๆ มาสนับสนุน หลักการ ปัญญาชน รุ่นใหม่ ที่มีวิธีคิดแบบนี้ ไม่น่าเป็นความหวังได้ครับ เพราะ สักแต่ คิดดี ใฝ่ดี รักความยุติธรรม แต่ มองไม่เห็น ความกล้าหาญทางจริยธรรม เหมือนนักวิชาการรุ่นเก่า ๆ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว ที่ 08-09-2006, 21:05 ผมยังคงเชื่อว่า จำกัดวาระนายกฯไม่เกิน 8 ปี/2ครั้ง ควรจะเป็น priority ต้นๆในการจะเดินหน้า
พูดตรงๆ ผมไม่อยากเห็นปรากฎการณ์มาร์กอส ซูฮาร์โต้ คือ ไม่รู้ว่าหลักการอะไรทำให้เกิดเรื่องเยี่ยงนั้นได้ การผูกขาดอำนาจ จนกระทั่งนำไปสู่การสร้างหลักการเพื่อกลุ่มอำนาจของตน ผมกลัวที่สุดครับ แนวคิดเอาธง ไม่เอาหลัก คือธรรมชาติของมนุษย์สัตว์โลกธรรมดา เพราะจริงๆแล้ว ไม่เอาหลัก = เอาหลัก แต่เอาเฉพาะในข้อที่เป็นประโยชน์กับตนเอง มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละครับ ที่จะยอมถูกตีจนตายไม่ยอมผิดศีล เราต้องอยู่กับแนวคิดเอาธงไม่เอาหลักไปตลอดทุกภพชาติ ดังนั้น ตัดการผูกขาดอำนาจเถิด หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ชอบแถ ที่ 08-09-2006, 21:18 อาจารย์บุญคลี เคยกล่าวไว้ว่า เอาเป้าหมายไม่เน้น process เป็นธุรกิจ
เอา process ให้ถูกต้องไม่สนเป้าหมาย คือ ราชการ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 08-09-2006, 22:44 น่าสังเกตว่า นักเชลียร์ o[_]o จึงชื่นชมวิธีการของคนไม่ชอบทักษิณบางคน เช่น "วรเจตน์" "ศิโรตม์" และ "ใบตองแห้ง" อยู่เสมอ
เพราะว่า นักเชลียร์ o[_]o มั่นใจว่า วิธีการของนักวิชาการ 3 สลึงเหล่านี้ จะไม่มีวันโค่นนาย o[_]o อันเป็นที่รักของนักเชลียร์ ใช่หรือไม่??? หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 08-09-2006, 22:53 ใช่ครับ ผมพร้อมจะเอาทักษิณออกยังไงก็ได้ โดยไม่เลือกวิธีการ
แต่วงเล็บด้วยว่า "ถูกต้องตามกฎหมาย" ไม่ว่าจะไปยืนไล่ ไปฟ้องศาลปกครอง สนับสนุนการดำเนินคดีฟ้องความเท็จของทักษิณ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ผมสนับสนุนและยินดีทำหากจำเป็น ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนฝ่ายทักษิณจะพยายามทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องและพิทักษ์ทักษิณให้อยู่ในอำนาจต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการขว้างปาข้าวของใส่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป เดินเข้าไปรุมกระทืบลุงแก่ๆ ที่ยืนไล่ทักษิณ จนสมองกระทบกระเทือน หาเสียงโดยสัญญาว่าจะจัดสรรเงินภาษีให้ โดยมีคนบางกลุ่มรู้เห็นเป็นใจ ถามว่า ใครกันแน่ ที่ "ไม่เลือกวิธีการ" ? หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 08-09-2006, 23:54 เข้าใจผิดแล้วนะคะ
ทั้ง อ.วรเจตน์ คุณ ศิโรตม์ และคุณ ใบตองแห้ง ไม่มีท่านไหนชอบคุณ ทักษิณ เลย เพียงเพราะเขาไม่ชอบวิธีการต่อต้านคุณทักษิณ แบบไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย (เช่น ม.7) มิได้แปลว่าเขาเป็นพวกรักทักษิณ ถ้าแค่นี้รับไม่ได้ ก็คงไม่เข้าใจประชาธิปไตย ที่ให้ที่สำหรับแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างเสรี หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 09-09-2006, 00:00 เข้าใจผิดแล้วนะคะ ทั้ง อ.วรเจตน์ คุณ ศิโรตม์ และคุณ ใบตองแห้ง ไม่มีท่านไหนชอบคุณ ทักษิณ เลย เพียงเพราะเขาไม่ชอบวิธีการต่อต้านคุณทักษิณ แบบไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย (เช่น ม.7) มิได้แปลว่าเขาเป็นพวกรักทักษิณ คุณ snowflake เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้บอกว่า วรเจตน์ ศิโรตม์ ใบตองแห้ง ชอบทักษิณ แต่ผมบอกว่า สิ่งที่คนเหล่านี้กำลังทำ คือไปเข้าทางทักษิณ ได้สอดสายตามองรอบตัวเองบ้างหรือไม่?? ถ้าแค่นี้รับไม่ได้ ก็คงไม่เข้าใจประชาธิปไตย ผมมีสิทธิที่จะออกความเห็นว่า ชอบหรือเกลียด เห็นด้วยไม่เห็นด้วยกับใคร รับได้หรือรับไม่ได้กับความคิดของใครได้เสมอตามระบอบประชาธิปไตยที่ให้ที่สำหรับแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างเสรี แล้วคุณ snowflake จะกล่าวหาผู้อื่นว่า "คงไม่เข้าใจประชาธิปไตย" ขอถามกลับหน่อยคุณ snowflake เองละครับ แน่ใจหรือว่า การพูดแบบนี้คือการเข้าใจประชาธิปไตย?? หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: เพนกวินน้อยนักอ่าน ที่ 09-09-2006, 00:10 เฮ้อ มันเป็นปัญหาที่ พูดลำบาก
ถ้าคุณยึดเอาหลักการเป็นหลัก มันต้องตั้งคำถามก่อนว่าหลักการนั้น สอดคล้องกับประโยชน์ส่วนใหญ่ไหม คำว่าประโยชน์ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประโยชน์เฉพาะหน้า หรือประโยชน์ทางการเมือง มันมีอนาคตชาติเป็นเดิมพัน ปล่อยให้คนที่ไล่ ปิดระบบการทำงาน ขององค์กรอิสระ มาครอบงำประเทศ โคตรอุบาทว์เลย จะให้เราเอาหลักการที่คนอื่นถือไว้ มาต่อสู้เหรอ อยากรู้ ว่า มีดในมือคนอื่น มันจะใช้ประโยชน์อะไรได้ รธนฯ ที่ว่าดีที่สุด เมื่อโดนทำลายและครอบงำ อยากรู้ว่า คุณ วรเจตต์ จะยึดอะไรไปสู้ 8) หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ตาย่าน ที่ 09-09-2006, 01:43 น่าสังเกตว่า นักเชลียร์ o[_]o จึงชื่นชมวิธีการของคนไม่ชอบทักษิณบางคน เช่น "วรเจตน์" "ศิโรตม์" และ "ใบตองแห้ง" อยู่เสมอ ใช่ครับ ผมไม่นับคนพวกนี้เป็นพันธมิตร บางทีถึงกับรู้สึกว่าคนเหล่านี้เป็นไส้ศึก คนเขากำลังจะตีเหล็ก เสือกคอยเอาน้ำเทลงมาเพราะว่า นักเชลียร์ o[_]o มั่นใจว่า วิธีการของนักวิชาการ 3 สลึงเหล่านี้ จะไม่มีวันโค่นนาย o[_]o อันเป็นที่รักของนักเชลียร์ ใช่หรือไม่??? หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 09-09-2006, 08:39 น่าสังเกตว่า นักเชลียร์ o[_]o จึงชื่นชมวิธีการของคนไม่ชอบทักษิณบางคน เช่น "วรเจตน์" "ศิโรตม์" และ "ใบตองแห้ง" อยู่เสมอ ใช่ครับ ผมไม่นับคนพวกนี้เป็นพันธมิตร บางทีถึงกับรู้สึกว่าคนเหล่านี้เป็นไส้ศึก คนเขากำลังจะตีเหล็ก เสือกคอยเอาน้ำเทลงมาเพราะว่า นักเชลียร์ o[_]o มั่นใจว่า วิธีการของนักวิชาการ 3 สลึงเหล่านี้ จะไม่มีวันโค่นนาย o[_]o อันเป็นที่รักของนักเชลียร์ ใช่หรือไม่??? คำตอบของคุณ Quiveror ชัดเจนสมบูรณ์ดีมาก ความจริงผมก็รู้จัก วรเจตน์ และ ศิโรตน์ ดี และก็ยืนยันได้ว่า 2 คนนี้ เกลียดเหลี่ยม และ ไม่มีทางเป็นพวกเหลี่ยม แต่สิ่งที่พวกเขา คิด และ ทำ "เหมือนเหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้อยู่ในภาวะปกติ" ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ เหมา เจ๋อ ตง ปฏิวัติจีน ไม่ได้ ถ้า เหมา มาเกิดใหม่ช่วยกอบกู้ประเทศไทยตอนนี้ แน่นอนว่า 2 คนนี้ ต้องถูกฆ่าเป็นอันดับแรก ในฐานะพวกซ่าไม่รู้กาละเทศะ ชอบโชว์พาว ฉายเดี่ยว ทำงานใหญ่เสีย หรือถ้าจะพูดภาษา "คอม" สายรัสเซีย สะโลวากี้ ก็จะบอกว่า "ไฟกำลังจะไหม้บ้าน แม่งเสือกจะไปเสียดายแปลงดอกไม้" หัวข้อ: รีบๆ ทำไวๆ จะได้เป็นทรราชก่อนทักษิณ และดังกว่าฮิตเลอร์ เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 09-09-2006, 10:31 เอาเลยค่ะ ทำอย่างประธานเหมา
ใครไม่เห็นด้วยกับแนวทางฉลาดล้ำเลิศของพวกคุณก็ฆ่าให้หมด จะได้ไม่มีใครอยู่เกะกะกีดขวางทาง จะ 16-19 ล้านที่เลือก ทรท. หรือบางส่วนของ no vote ที่ไม่เลือก ทรท. แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรง รวมทั้งคนที่เหลือที่นอนหลับทับสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งอีกจำนวนเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กำจัดไปให้หมด จนเหลือแต่พวกที่คิดเหมือนกัน ซึ่งไม่ทราบมีกี่คน แล้วจะได้อยู่ปกครองประเทศกันอย่างมีความสุขตลอดไป โดยไม่มีใครคัดค้าน และไม่มีคนโง่ หลงผิด มีแต่คนจริตเดียวกัน โอ้ ... ช่างเป็นโลกที่น่าอยู่เสียนี่กระไร รีบๆ ทำไวๆ เลยนะคะ ขืนช้าเดี๋ยวไม่ได้เป็นทรราชก่อนคนที่พวกคุณประณามเขาไว้ตลอดปี ที่แท้ก็อยากเป็นซะเอง คงได้ดังกว่าฮิตเลอร์ที่ฆ่ายิว เพราะฆ่าคนเชื้อชาติเดียวกัน แถมจำนวนมากกว่าหลายเท่า หมายเหตุ แปลงดอกไม้อาจมีค่ากว่าบ้านก็ได้ หากมันเป็นดอกไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เช่นเดียวกับทรัพย์สินเงินทองที่คิดว่าโดนปล้นไปนั้น มีคุณค่าไม่เทียบเท่า คุณธรรมความดีงามในจิตใจที่เสื่อมไป เพราะคิดว่าต้องทำเลวกับคนเลว เนื่องจากการทำดีมิอาจชนะได้ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว ที่ 09-09-2006, 10:40 เข้าใจครับ คุณ snow
จริงๆแล้ว เชื่อเถอะ ใครก็ตามที่มีอำนาจ เขามีวิธีสกปรกๆไว้จัดการศัตรูเยอะแยะ การพุ่งเข้าชนแบบควายธนูเข่นฆ่าศัตรู อาจไม่ฉลาดนักในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่ายแบบนี้ เหมือนเช่นที่ มหาเธร์ จับ อันวา เข้าคุก ยัดข้อหา เป็นเกย์ (แม่ง มันไปดูเค้าเอากันหรือไงถึงได้รู้) ผมขอเสนอว่า คนที่เราเห็นว่ากำจัดศัตรูภายใต้กรอบกติกานั้น ไม่ใช่ว่า มันผู้นั้นเป็นคนจริงใช้ความจริงในการเอาชนะ อาจเป็นการจัดฉากป้ายสีแบบทั้งระบบก็ได้ ไม่ใช่ว่า มันเป็นผู้ยึดหลักกติกาทุกกระเบียด แล้วถ้ามีคนชั่วมากระทำกับสังคม โดยเล่นสกปรกในที่ลับ ยึดกติกาในที่แจ้ง แบบนี้ ถ้าเราทำ innocent ก็มีหวัง เกิดผลเสียได้ครับ หัวข้อ: Re: รีบๆ ทำไวๆ จะได้เป็นทรราชก่อนทักษิณ และดังกว่าฮิตเลอร์ เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 09-09-2006, 10:46 เอาเลยค่ะ ทำอย่างประธานเหมา ใครไม่เห็นด้วยกับแนวทางฉลาดล้ำเลิศของพวกคุณก็ฆ่าให้หมด จะได้ไม่มีใครอยู่เกะกะกีดขวางทาง จะ 16-19 ล้านที่เลือก ทรท. หรือบางส่วนของ no vote ที่ไม่เลือก ทรท. แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรง รวมทั้งคนที่เหลือที่นอนหลับทับสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งอีกจำนวนเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กำจัดไปให้หมด จนเหลือแต่พวกที่คิดเหมือนกัน ซึ่งไม่ทราบมีกี่คน แล้วจะได้อยู่ปกครองประเทศกันอย่างมีความสุขตลอดไป โดยไม่มีใครคัดค้าน และไม่มีคนโง่ หลงผิด มีแต่คนจริตเดียวกัน โอ้ ... ช่างเป็นโลกที่น่าอยู่เสียนี่กระไร รีบๆ ทำไวๆ เลยนะคะ ขืนช้าเดี๋ยวไม่ได้เป็นทรราชก่อนคนที่พวกคุณประณามเขาไว้ตลอดปี ที่แท้ก็อยากเป็นซะเอง คงได้ดังกว่าฮิตเลอร์ที่ฆ่ายิว เพราะฆ่าคนเชื้อชาติเดียวกัน แถมจำนวนมากกว่าหลายเท่า คุณตีความยังไงครับ คุณ DZ เขาไม่ได้หมายความว่าเขาเชียร์ให้ฆ่าคนพวกนี้ทิ้ง แต่เขาหมายถึงว่า 1. คนอย่างวรเจตน์นั้น โชคดีเหลือหลายที่ไม่ได้เกิดมาในเมืองจีนในยุคของประธานเหมา 2. ให้ระวังการกลายเป็น "เครื่องมือ" หรือ "ยืมมือฆ่าคน" จากฝ่ายรักทักษิณเสียเอง 3. สิ่งที่เขาพูดตลอดเวลาว่า "ไปเลือกตั้งๆๆๆๆ" "กติกา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ" คุณคิดว่า เขามีเจตนาอย่างที่พูดออกไปจริงหรือ?? ผมของถามคุณ snowflake คำถามหนึ่ง ถ้าคุณต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นระหว่าง "ความเป็นความตายของประเทศชาติ" และ "ความเป็นความตายของประชาธิปไตย" คุณจะเลือกอะไรครับ?? หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: my sweetheart ที่ 09-09-2006, 10:47 เอาเลยค่ะ ทำอย่างประธานเหมา ใครไม่เห็นด้วยกับแนวทางฉลาดล้ำเลิศของพวกคุณก็ฆ่าให้หมด จะได้ไม่มีใครอยู่เกะกะกีดขวางทาง จะ 16-19 ล้านที่เลือก ทรท. หรือบางส่วนของ no vote ที่ไม่เลือก ทรท. แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรง รวมทั้งคนที่เหลือที่นอนหลับทับสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งอีกจำนวนเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กำจัดไปให้หมด จนเหลือแต่พวกที่คิดเหมือนกัน ซึ่งไม่ทราบมีกี่คน แล้วจะได้อยู่ปกครองประเทศกันอย่างมีความสุขตลอดไป โดยไม่มีใครคัดค้าน และไม่มีคนโง่ หลงผิด มีแต่คนจริตเดียวกัน โอ้ ... ช่างเป็นโลกที่น่าอยู่เสียนี่กระไร รีบๆ ทำไวๆ เลยนะคะ ขืนช้าเดี๋ยวไม่ได้เป็นทรราชก่อนคนที่พวกคุณประณามเขาไว้ตลอดปี ที่แท้ก็อยากเป็นซะเอง คงได้ดังกว่าฮิตเลอร์ที่ฆ่ายิว เพราะฆ่าคนเชื้อชาติเดียวกัน แถมจำนวนมากกว่าหลายเท่า หมายเหตุ แปลงดอกไม้อาจมีค่ากว่าบ้านก็ได้ หากมันเป็นดอกไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เช่นเดียวกับทรัพย์สินเงินทองที่คิดว่าโดนปล้นไปนั้น มีคุณค่าไม่เทียบเท่า คุณธรรมความดีงามในจิตใจที่เสื่อมไป เพราะคิดว่าต้องทำเลวกับคนเลว เนื่องจากการทำดีมิอาจชนะได้ คำนวณยังไงก็เหลือไม่ถึง16ล้าน ดีไม่ดีเหลือไม่ถึง10ล้าน ดังนั้นต้องล้อมเอาไว้อย่าให้บินหนีไปได้ ส่วนชาวบ้านต้องให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงชีวิตของพวกเขาไปเรื่อยๆ เพื่อให้เหลือส่วนน้อยที่หลงดื้อผิดๆ พยายามให้ชาวบ้านมีความสุขกับชุมชนตนเอง.. หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 09-09-2006, 11:21 ฮี่ ๆ ๆ
ผมค่อนข้างจะเชื่อว่า คุณสโนว์คิดว่าตัวเองมี "จุดแข็ง" อยุ่ที่จุดยืนเรื่อง "ไม่นิยมความรุนแรง" แต่ผมมองไปมองมา มันจะกลายเป็น "จุดอ่อน" ประจำตัวไปได้นะนั่น เพราะเห็นใครมาแตะเรื่องนี้ คุณสโนว์จะเป็นฟืนเป็นไฟมากกว่าที่ควรจะเป็นสักร้อยเท่า ทำไมไม่มองว่า มันเป็นแค่ "วิธีคิด" อย่างหนึ่งละครับ จะได้เปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดคนอื่นได้ เพราะไม่อย่างนั้น ก็จะมาคิดจุกจิก หยุมหยิม จับวลีที่ไร้สาระแก่นสารมาถกแบบ "ตัวกู ของกู" ไปอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ เชื่อในแนวทางสันติวิธี ย่อมมาก่อน - แต่ไม่ใช่ "มีวิธีเดียว" จริง ๆ ผมก็ตั้งประเด็นในกระทู้แค่ว่า "เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้ถือว่าอยู่ในภาวะปกติเหรอ" ถ้าเชื่อว่ามันเป็นปกติ ธรรมดา - OK เอาเลย จะใช้หลักการ หลักนิติบัญญัติ หลักยุติธรรม ก็ว่ากันไป แต่ถ้าคิดว่า บ้านเมืองเราตอนนี้มันไม่ปกติ ถึงขั้น พ่อของเรา ต้องลำบากลงมาช่วยจัดการให้ ผู้หลักผู้ใหญ่ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ต้องสวมบทนักรบกลาย ๆ เพื่อขจัดมารร้ายในแผ่นดิน ผมก็คงไม่มีเวลาฟังเสียงแบบ "ตัวกู ของกู" ของไอ้นักวิชาการเด็กเมื่อวานซืน 2-3 คน ที่ทำเป็นจะไม่ยอมพายเรือต่อ ซ้ำยังทำท่าจะเอาเรือกลับเข้าฝั่ง เพียงเพราะ เรือลำนั้น หา "พาย" ไม่เจอ หรอกครับ หวังว่าคงเข้าใจว่า "ไม้พาย" ไม่ใช่หลักการของการพายเรือ เพราะบางที ก็ใช้ "เท้า" แทนได้ ขึ้นอยู่ที่ว่า จะเอา เท้าพาย หรือ เอาเท้าราน้ำ เท่านั้นเอง หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 09-09-2006, 11:56 จุดอ่อนจุดแข็ง อะไรไม่สนใจค่ะ
ตราบเท่าที่มีแล้ว ไม่ไปทำร้ายใคร ก็พอใจ และไม่เคยคิดว่าจะต้องสะสมจุดแข็งเอาไว้ในตัว ให้มากๆ แต่ประการใด ดิฉันเพียงเป็นพุทธศาสนิกชนที่พยายามถือศีลห้า ที่ข้อหนึ่งมีว่า การฆ่าที่ดีนั้นไม่มี ฆ่าคนเลวก็ไม่ถือเป็นการทำความดี และเพียงแค่ คิด จิตก็เสื่อม กลายเป็นเศร้าหมองแล้ว ที่คอยคัดค้าน/ขัดคออยู่นี้ มิได้ทำเพื่อคุณทักษิณ และบริวาร แต่ไม่อยากให้พวกเรา (ถึงคุณจะไม่นับดิฉันเป็นพวกด้วยก็ตาม) ต้องกลายเป็นคนใจร้ายเพราะเขา คงอธิบายได้เท่านี้ หวังว่าจะเข้าใจ ส่วนเรื่องมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ คงตอบว่าถ้าทิศทางที่จะไปนั้นคือ ตกเหว ก็จำเป็นต้องไม่ให้ความร่วมมือค่ะ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: เพนกวินน้อยนักอ่าน ที่ 09-09-2006, 14:06 ผมจะบอกว่า พุทธศาสนิกชน ณ มหาวิทยาลัยสงฆ์ นาลันทา ในอินเดีย
โดนคนศาสนาอื่น กวาดล้าง ทำร้ายจนต้องหนีกระเซิง เพราะเราไม่คิดร้ายคนอื่น แต่คนอื่นคิดร้ายเรา ถ้าคุณสโนวเฟลค ทนได้ ก็เป็นเรื่องดีครับ ผมเชื่อในหลักพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่คนอื่นมีห่วง มีเรื่องต้องกังวลเยอะแยะ ตำแหน่งนายกฯ และ ตำแหน่งในรัฐบาลเกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือปล่อยวางได้ ครับ และทุกคนก็ไม่ได้พูดเรื่องจะไปฆ่าแกง นายเหลี่ยมแต่อย่างใด แค่ทุกคนสนับสนุนว่า หลักการ ของเหลี่ยมมันบิดเบือนเท่านั้นเอง อ. วรเจต จะไปพูดเรื่องหลักการ ในยามที่หลักการมันใช้ปกป้องเผด็จการ ก็เป็นเครื่องมือรับใช้โดยไม่รู้ตัวเสียเปล่าๆ ถ้าอ้างหลักการ อย่างที่อ. วรเจต ชอบอ้าง ผมสงสัยว่าทำไม แกไม่อ้างเรื่อง ความยุติธรรมในสังคม และอื่นๆอีกมากมาย ที่จะทำให้สังคมกลับมาหาหลักการได้ เช่นการต่อต้านการครอบงำ สว. และ องค์กรอิสระ ผมว่าแก โฟกัสผิดจุด หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: Coolly_Jade ที่ 09-09-2006, 14:56 ผมว่าอาจารย์แกออกจะดูสับสนในหลายครั้งอะครับ เพราะแกนำหลักการมาผสมปนเปกันไปหมด
โดยเท่าที่สังเกตุหลักที่แกยึดทางกฏหมายออกจะเป็นไปในทางคอมมอนลอว์แบบทางอังกฤษ จะเห็นได้ในหลายครั้งที่แกออกจะวิจารณ์แบบอกทะเลไปเลย ยกตัวอย่างกรณีการตัดสิน กกต แกยังคงยึดหลักของคอมมอนลอว์ที่ยึดว่าตัดสินของศาลจะต้องเป็นบรรทัดฐานหรือเป็นหลักต่อคดีเช่นเดียวกันต่อไป ซึ่งที่จริงแกไม่น่าจะลืมเสียด้วยซ้ำตามระดับความรู้ระดับนี้ว่าไทยเป็นระบบประมวลกฏหมาย ซึ่งยกตามตัวบทอักษร เจตนารมณ์เป็นหลัก ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสินเหมือนกันในทุกคดี ขึ้นอยุ่กับคำฟ้อง ซึ่งถ้าหลักที่แกพยามยามกล่าวอ้างต่อสังคมนั้นเป็นส่วนของศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญแล้ว จะไม่มีใครสงสัยอะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งที่แกพยายามทำกลับเป็นการยัดเยียดระบบวิธีคิดต่อศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองให้กับศาลในระบบประมวลกฏหมาย คนไม่รู้ก็คงจะเชื่อๆแกไป แต่คนที่รุ้หรือพอรู้ ฟังแกแล้วก็ได้แต่มึน ว่าระดับความรุ้ของแกทำไมถึงได้สับสนในแนวทางขนาดนี้ หัวข้อ: Reforming Thailand กับ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 09-09-2006, 15:36 ก่อนอื่น ขอบอกว่า
1) บทสัมภาษณ์นี้ยาวกว่าที่ จขกท. ยกมา 2) ข้อความใต้ link ในกระทู้แรกนั้น เป็น จขกท. เขียนเอง มิใช่ คำพูดของ อ.วรเจตน์ (น่าจะใส่สีต่างไป เพื่อความชัดเจน) 3) บทความนี้ชื่อ Reforming Thailand กับ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ขอคัดท่อนอื่นมาลงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อประกอบความเข้าใจ สำหรับผู้ไม่ขยันตาม link ไปอ่านฉบับเต็ม (ซึ่งค่อนข้างยาว) ท่อนต่อไปนี้ อยู่หลังท่อนที่ จขกท. คัดมา และต่อไปจนจบ http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/876 หลักการทำให้เราต้องอดทนนานขึ้น และคนไทยก็ไม่ค่อยอดทน ถ้าใช้หลักการกันเยอะ แล้วมันขัดกับจริตคนไทยที่ใจร้อนและไม่ค่อยมีหลักการ ระหว่างนี้เราจะอยู่กันอย่างไร ถึงที่สุดเราต้องตอบคำถามว่าเราจะเอาอะไร ต้องเลือกว่าเราจะเอาแบบไหน ถ้าคนไทยเรียนรู้คุณค่าของหลักการ ของเหตุผล เราก็จะไม่มาถึงวันนี้ แต่นี่เราไม่เรียนรู้ คุณทักษิณเขาถึงเข้าสู่ตำแหน่งได้ และเขาก็อยู่ในตำแหน่งได้ เขาไม่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองในวันนั้นยังไม่เอาหลักการเลย วันนี้คนที่มาไล่คุณทักษิณ วันนั้นก็คือคนที่เชียร์คุณทักษิณเต็มที่ เสียงอย่างผมก็คือเสียงที่ไม่มีใครฟังในวันนั้น ในวันที่คนส่วนใหญ่ยังชื่นชม หลายคนที่วันนี้กลับมาเป็นคนที่ต่อต้าน ก็คือคนที่เชียร์คุณทักษิณสุดลิ่มทิ่มประตู กฎหมายไม่เป็นไรหรอก ประเทศไม่พัง ก็จริง วันนั้นผมก็พูดหลังจากคดีซุกหุ้น บอกว่าประเทศชาติไม่เจ๊งหรอก มันไม่พินาศลงไปเพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้หรอก แต่ว่าหลักการทางการปกครองของเราที่เป็นหลักที่เป็นเหตุเป็นผลจะไม่หยั่งรากลึกลงไป แปลว่าสังคมไทยก็ไม่เข้มแข็ง เราพร้อมที่จะใช้วิธีการอย่างอื่นยังไงก็ได้เวลาที่มันเกิดปัญหา ถามว่าแล้วประเทศเราจะอยู่แบบอิสราเอลไหม ก็ไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรามีโอกาสที่จะพัฒนา คำถามคือทำไมสังคมไม่อดทนและไม่ทำ หลายคนก็วาดภาพเลย บอกว่าปล่อยไปแม้แต่ 1-2 วัน มันสลายแน่ แต่ผมคิดว่า ถ้าศาลยังอิสระอยู่ ยังมีบทบาทในลักษณะเช่นนี้ได้ ในอีกมุมหนึ่งคืออำนาจของนายกฯทักษิณก็ไม่ได้เด็ดขาดมากมายเบ็ดเสร็จเหมือนกับที่เราเข้าใจกันอยู่ วันหนึ่งเขาต้องถูกตรวจสอบ โอเค ถ้าถึงวันหนึ่ง โดยกลไกของสังคม มันมีขบวนการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ มันไม่มีทางออกแล้ว เหมือนกับที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ เกิดเป็นคลื่นมหาชนขึ้นมาล้มล้างระบบไป ถ้าถึงจุดนั้นทุกคนคิดว่าไม่ไหวแล้ว consensus เกิดขึ้นในสังคม มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้เราไปเร่งปฏิกิริยาในสังคม มันยังไม่ถึงจุดนั้น มันก็เลยเกิดการเผชิญหน้ากันแบบนี้ ผมถามว่าเราจะอธิบายเรื่องระบอบประชาธิปไตยของเราอย่างไร อธิบายรัฐธรรมนูญของเราอย่างไร ในเมื่อวันนี้มีคนพร้อมที่จะบอกว่าเลิกรัฐธรรมนูญ คือผมก็เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องแก้ไขหลายเรื่อง แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่บอกว่าจะฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะผมรู้สึกว่าสังคมควรจะมีกติกา แล้วก็ว่ากันไปตามนั้น อย่างที่ผมบอกว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมยังทำงาน ยังใช้ได้อยู่ ซึ่งผมมองว่าก็ยังใช้ได้อยู่ในระดับหนึ่ง ผมคิดว่ามันก็ไปได้ มันอาจจะไปได้ไม่ดีเหมือนกับที่ผมคิด ผมเองก็ยอมรับ หลายเรื่องผมก็วิจารณ์การใช้กฎหมายของรัฐบาลคุณทักษิณ อย่างตอนที่มีพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ อย่างนี้ในทางกฎหมายเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลสามารถต่ออายุไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา แต่เราก็ผ่านออกมา มันเป็นประเด็นที่เราเรียนรู้ ผมคิดว่าถึงที่สุดแล้วพลังของประชาชนจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แล้วก็เคลื่อนไป แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าพลังที่มีอยู่มีการปรุงแต่งในระดับหนึ่ง ไม่ธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจึงมีข้อมูลบางอย่างซึ่งโอเวอร์ไป dramatize ไป แล้วก็ทำให้คนไม่ใช้เหตุผล คือเชื่อ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นสองฝั่ง ทั้งฝั่งที่เชียร์คุณทักษิณและฝั่งที่ต่อต้าน คนที่อยู่ในด้านหนึ่งก็เชื่อไปแล้วว่าอีกด้านหนึ่งมันเลวสุดขีด ผมถึงบอกว่าพอเราไม่ใช้หลักการและเหตุผล มันจะปะทะกัน แต่ผมก็คาดหมายไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า แต่ถ้าเราผ่านจุดนี้ไปได้โดยที่คนซึ่งเราไม่ต้องการถูกดึงออกไปจากระบบ ขณะที่เราไม่ทำลายระบบ เราก็จะไปได้อีกระดับหนึ่ง ประชาธิปไตยเป็นสากลหรือว่ามีประชาธิปไตยแบบไทยๆ ได้ คือบางอย่างเราก็อ้างหลักการสากล แต่บางทีเราก็อ้างเฉยๆ เราไม่ใช้มัน เราก็จัดการกันแบบนี้ แต่เราก็ยังมีประชาธิปไตยอยู่ คุณจะบอกว่าเราไม่มีก็ไม่ได้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ อย่างเรื่องการชุมนุมและปิดถนนก็เป็นแบบไทยๆ คือหมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลอดทนมาก จะอดทนด้วยเหตุอะไรก็ตาม แต่อดทนสูงมาก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องซึ่งเราคงจะต้องใช้เหตุผลบ้าง เพราะระบอบประชาธิปไตยถึงที่สุดแล้วคือการให้คนส่วนมากมีโอกาสในการปกครอง ก็คือฝึกให้คนได้รู้จักใช้เหตุผล ไม่ใช่ให้คนคอยตามใครคนใดคนหนึ่งบงการมาแล้วก็ shape ประเทศไปในทิศทางนั้น ผมจึงบอกว่า ถ้าเราพูดว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ แล้วเราไม่พูดโดยเหตุผล เราก็เป็นประชาธิปไตยที่ประหลาดอยู่ เพราะเป็นประชาธิปไตยแบบที่ไม่ฝึกให้คนใช้เหตุผล ไม่ทำให้คนฉลาดขึ้นโดยกระบวนการของมัน ผมจึงไม่มองว่าที่คุณทักษิณเขาได้รับเลือกมา เป็นเพราะว่าคนที่เลือกโง่ ผมคิดว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าเขามีการคิดคำนวณประโยชน์ของเขาในระดับหนึ่ง คนที่เขาเลือกเขาคงคิดอย่างนั้น เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ถูก ระบอบประชาธิปไตยคือการอดทน และการพยายามทำให้เสียงข้างน้อยกลับเป็นเสียงข้างมาก เรายังไม่เคยเรียนรู้วิธีการแบบนี้ตลอดระยะเวลาการปกครอง 70 กว่าปี คุณทักษิณเป็นโอกาส ในแง่มุมหนึ่งทำให้เรารู้ว่าเราจะอดทนอย่างไรที่จะทำให้เสียงข้างน้อยค่อยๆ กลับกลายเป็นเสียงข้างมากในที่สุด คุณทักษิณจะอยู่หรือไป โดยส่วนตัวผมไม่สนใจ ผมคิดว่าธงในการปฏิรูปการเมืองของผมคือทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดการตรวจสอบได้จริง บังคับใช้กฎหมายได้จริง ถ้าทำตรงนี้ได้ ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบนโยบายหลายอย่างของคุณทักษิณ แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งในสังคม และผมก็ไม่ควรมีสิทธิ์มากกว่าคนอื่นที่จะไปบอกว่าประเทศมันต้องเดินไปในทิศทางนี้ทิศทางเดียว ผมน่าจะมีสิทธิ์แต่เพียงบอกว่าผมคิดอย่างไร แล้วคนอื่นเห็นกับผมหรือไม่ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ยังเลือกคุณทักษิณ และประชาธิปไตยคือการฟังเสียงคนส่วนใหญ่ อาจารย์จะอดทนได้หรือไม่ ผมอดทนได้ แต่อย่างที่บอก ประชาธิปไตยคือการเคารพฝ่ายข้างน้อย ขอเพียงแต่ว่าผมได้รับการเคารพ ไม่ถูกคุกคาม ข่มขู่ ได้มีโอกาสพูด ได้มีโอกาสเสนอความเห็น แม้ว่าคนจะไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ถ้าตราบเท่าที่ผมยังได้อยู่เท่านี้ ผมรับได้ แม้ว่าผมจะต้องยืนอยู่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา ผมไม่ซีเรียส เพราะผมเชื่อว่าวันหนึ่งมันก็จะกลับ และผมอยากให้คนอดทน แน่นอน ผมไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถเรียกร้องให้นายกฯลาออกได้ อันนี้ก็เป็นประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง เราไม่พอใจ เราก็เรียกร้องให้ผู้นำลาออกได้ เรามีสิทธิ์ที่จะเดินขบวน มีสิทธิ์ชุมนุมประท้วง อันนี้ไม่มีปัญหา ทำได้ แต่เราจะทำไปไกลถึงขั้นฉีกรัฐธรรมนูญอันเป็นกติกาที่เราอยู่ร่วมกัน ผมคิดว่าไม่ได้ ผมคิดว่ามันมากไป เรารักษากติกาไว้ รักษารัฐธรรมนูญไว้ แต่ราคาที่เราต้องจ่ายไปในด้านอื่นๆ มันแพงไปหรือเปล่าสำหรับการรอจนกระทั่งเสียงกลับข้าง อาจารย์ประเมินตรงนี้อย่างไร นี่เป็นเรื่องการประเมิน การประเมินอย่างนี้เป็นเรื่องอัตวิสัยของแต่ละคน ผมอาจจะไม่มีสิทธิ์บอกว่ามันไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก ในขณะเดียวกัน อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าประเทศไทยพังแน่ พรุ่งนี้ประเทศไทยตกเหวแน่ มันคงไม่ใช่ มันเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องประเมิน แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเรารับระบบเสียงข้างมาก คุณทักษิณเขาก็มี legitimacy อยู่ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยในความหมายที่แคบที่สุด ในความหมายที่กว้างออกไป มันอาจจะลดทอนลงไป แต่ในความหมายที่แคบที่สุด ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่มีเลยเหรอ ผมคิดว่าคงไม่ใช่ ผมจึงบอกว่าถ้าเขาผิด ในทางกฎหมาย ต้องจัดการ ทีนี้มีคนบอกว่าระบบกฎหมายมันไม่ทำงานแล้ว อันนี้เป็นเรื่องความเชื่อแล้ว แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น แน่นอน คุณทักษิณเข้มแข็งมากในหลายเรื่อง แต่ผมไม่คิดว่าเขาคุมได้ทั้งหมด ถ้าเขาคุมได้ทั้งหมดมันคงไม่เป็นอย่างวันนี้ แปลว่ามองในมุมกลับกัน การต่อสู้มันมีอยู่ มีการขับเคลื่อน แต่แน่นอน มันไม่ได้ดั่งใจของคนที่เขาไม่เอาทักษิณ คนที่ไม่เอาทักษิณคือต้องชนะ ต้องล้มทักษิณ มันกลายเป็นว่าถึงที่สุดแล้วต้องสู้กันถึงขนาดว่ามีข้างใดข้างหนึ่งแพ้หรือชนะ เพราะข้างที่แพ้จะอยู่ไม่ได้ เราเล่นกันถึงอย่างนี้ทุกคราวเลยเวลาที่มีปัญหาทางการเมือง และที่สุด พอไปถึงจุดซึ่งมันนองเลือดไปเรียบร้อยแล้ว ก็อยู่กันได้ ในทางหลักการเราไม่ว่าต่อ มันเหมือนกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คนตายไปเรียบร้อย เรามีพระราชกำหนดนิรโทษกรรม และสังคมก็ลืม นี่คือความไม่มีเหตุผลในระบบของเรา เราอาจจะบอกว่าไปรื้อฟื้นทำไม แต่ถามว่ามีใครมีสิทธิ์ฆ่าคนโดยที่ไม่ต้องรับผิดเหรอ ผมคิดว่า ไม่น่าจะใช่ ถ้าระบบกฎหมายจะดำรงคงอยู่อย่างศักดิ์สิทธิ์ คงต้องมีระบบหรือกระบวนการ แต่ก่อนหน้านั้นเราจะต้องเอาพลเอกสุจินดา(คราประยูร)ออกให้ได้ใช่ไหม แต่ตอนนี้คุณสุจินดาก็อยู่ในประเทศนี่ครับ ผมไม่ได้ว่าคุณสุจินดาถูกหรือผิด เพราะว่าที่สุดแล้วเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไม่เคยผ่านกระบวนการทางกฎหมายเลย เราก็อยู่กันอย่างนี้อีก แล้วมันคุ้มไหมกับการสูญเสีย ผมไม่เข้าใจ เอาล่ะ คุณทักษิณจะเป็นยังไงไม่รู้ อยู่ได้หรือไม่ได้ผมไม่รู้ เขาอาจจะอยู่แบบคุณสุจินดาอีก ถ้ามันเกิดนองเลือด ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นง่ายๆ แล้ว แต่ผมว่ามันไม่คุ้มหรอก เพื่ออะไร เพื่อล้มคนคนหนึ่ง เราลงทุนจ่ายกันขนาดนั้นเลยเหรอ หลายคนบอกว่าคุ้ม ผมคิดว่าไม่คุ้ม โอเค ตอนนั้นหลักการมันไม่ได้ใช้ มันก็ผ่านไปแล้ว เราไปปรับเปลี่ยนไม่ได้ แต่วันนี้เมื่อระบบเดินมาแล้วก็ว่าไปตามระบบ ผิดก็ต้องจัดการ ผมเชื่อว่ามีหนทางเชิงกฎหมาย เพราะว่าอำนาจไม่ได้อยู่ยงคงค้ำฟ้าหรอก มันมีปฏิสัมพันธ์ มีกลุ่มผลประโยชน์ มีได้ มีเสีย มีขึ้น และมีลง ประชาชนจะเป็นคนชี้ในที่สุด และหน้าที่ของเราก็คือให้การเรียนรู้กับประชาชน ที่กลุ่มพันธมิตรฯทำส่วนหนึ่งก็คือให้การเรียนรู้กับประชาชน ก็ถูกแล้ว แต่บางอย่างที่มัน dramatize ไป ถึงขนาดทำให้คนเกลียดกัน แล้วไม่ฟังกันเลย คือพูดนิดหนึ่งก็ถูกจัดข้างเลย ผมคิดว่าสังคมอย่างนี้ไม่น่าอยู่ สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมแบบนี้ในวันนี้ แล้ววันหนึ่ง ผมสมมติว่าถ้าเกิดเราไม่มีหลักของสังคมที่เป็นตัวบุคคล แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร น่าเป็นห่วง แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมหลายคนผมก็รู้สึกแปลกๆ เวลาที่ออกมา มีการ switch ไปมาตลอด หาหลักไม่ค่อยได้ เราคิดในเชิงยุทธวิธีการต่อสู้ทางการเมือง เอาชนะคะคานกันมากเกินไปหรือเปล่า ผมคิดว่าอย่างนั้น ผมไม่ได้หมายความว่ายุทธวิธีมีไม่ได้ มันมีได้ ในทางการเมืองมันก็คือการต่อสู้กันในทางยุทธวิธี แต่ปัญหาก็คือ มันต้องทำถึงขนาดไหน การเมืองควรจะเล่นกันขนาดไหน ผมคิดว่าวันนี้เล่นกันหมดหน้าตัก ซึ่งมีแต่จะทำให้สังคมโดยรวมเสีย ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แล้วสมมติว่าล้มคุณทักษิณได้ ความร้าวฉานในสังคมจะมีไปอีกยาวนาน คือเขามาโดยระบบ แต่เขาไปโดยไม่ใช่ระบบ ผมพูดอย่างนี้ละกัน คือไม่ได้ว่าเขาถูกหรือผิด จะดีจะเลวเราไม่รู้ แต่ว่าเขามาตามระบบ เพราะระบบสร้างเขาขึ้นมา เราถึงต้องจัดการกับตัวระบบ ไม่ใช่จัดการกับตัวนายกฯ จะจัดการตัวนายกฯก็ว่าไปตามระบบนั่นแหละ แต่ถ้าระบบมันเป็นอย่างนั้นก็จัดการกับระบบ และถ้าเขาอยู่ตามระบบ ระบบมันดำเนินการไปได้ก็ทำไป ผมคิดว่าถึงที่สุดคุณทักษิณก็อาจจะแพ้ เป็นไปได้ แต่จะแพ้อย่างไรผมไม่รู้ หรือถ้าเกิดการเลือกตั้งจริง แล้วเขาเว้นวรรค เขาอาจจะอยู่ต่อไปได้ แล้วก็ไปปฏิรูปการเมือง แต่ถ้าแพ้โดยการไปทำนอกระบบ หมายถึงว่ารัฐบาลไปเลยตอนนี้ แล้วก็จะมีนายกฯพระราชทานหรือมีอะไรเข้ามา ผมคิดว่าความร้าวฉานในสังคมมันจะเป็นบาดแผลลึกสำหรับคนซึ่งเขาอยู่อีกฟากหนึ่ง ที่เขาชื่นชอบการบริหารราชการของคุณทักษิณ มันจะเป็นแผลในใจของคนกลุ่มนี้ ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นเพื่อนร่วมชาติของเรา เป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ในฐานะนักวิชาการ เราอาจจะทำได้อย่างมากเท่านี้ บทบาทของนักวิชาการก็แล้วแต่แต่ละคนจะเลือกเล่น ผมก็เล่นในบทบาทอย่างนี้ ผมอาจจะไม่ถนัดที่จะไปชุมนุม ผมรู้สึกว่าในสังคมต้องมีคนหลายๆ แบบ และผมคิดว่าก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะมีบทบาทไปในแต่ละส่วน ก็ไม่ได้ว่าว่าบทบาทใครเป็นอย่างไร ใครที่ว่านักวิชาการที่ออกมาวิจารณ์ว่าอยู่ในหอคอย ผมคิดว่าเขาอาจจะใจแคบมากไปนิดหนึ่ง เขาคงต้องมองว่าสังคมมันหลากหลาย และแต่ละคนก็อยู่ในหลายบทบาท แต่ละคนก็มีส่วนช่วยสังคมในคนละลักษณะ ผมอยากให้มองแบบนี้ คุณจะสู้ก็สู้ แต่ว่าต้องยอมรับการวิจารณ์ และคนที่แสดงความเห็นอย่างผมก็ต้องฟังคำวิจารณ์ ผมกล้าที่จะแสดงความเห็น ก็ต้องกล้าฟังคำวิจารณ์ แต่ว่าต้องเป็นคำวิจารณ์ที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่คำด่า คำวิจารณ์กับคำด่านี่ไม่เหมือนกัน หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 09-09-2006, 15:49 เชอะ นึกว่าวรเดช :mrgreen: :lol: :mrgreen:
หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: my sweetheart ที่ 09-09-2006, 16:01 จริงแล้วประชาธิปไตยสำหรับคนส่วนใหญ่ มันก็ต้องพัฒนาหรือปฏิรูปไปข้างหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงช้าหรือเร็ว ได้ผลดีแค่ไหน ก็ต้องดูความเจริญก้าวหน้าของสังคมเป็นหลัก กติกาจะเป็นกรอบที่คมชัดก็ต่อเมื่อ ทุกฝ่ายเคารพกติกาและไม่โกง ส่วนกรณีของระบอบทักษิณเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ที่คนส่วนน้อยต้องช่วยกันแก้ไขทุกวิถีทาง การยึดหลักการโดยไม่หันเหออกจากผลลัพธ์ที่เป็นความจริงจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เอาว่าผมสรุปว่า นักวิชาการบางทีและบ่อยครั้งก็หลงอยู่ในกรอบวิชาของสิ่งที่เขาเรียนรู้มา ที่วรเจตน์พูดมาจึงดูเป็นการอิงกระแสและอิงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อสลายแรงกดดันในบทบาทของนักวิชาการของตน ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม.. แต่คิดว่าคงไม่มีผลมากนักต่อสังคมส่วนอื่นๆ ในตอนนี้.. :mrgreen: หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 09-09-2006, 16:09 ผมว่า อ.วรเจตน์ พยายามช่วยหรืออยากมีส่วนร่วม
ในการหาทางออกให้กับสถานการณ์มากกว่า และพยายามที่จะผลักดันให้นักกฏหมายมหาชน ได้เข้ามามีส่วนมีบทบาทแก้ไขวิกฤติการณ์ และช่วยวางรากฐานประชาธิปไตยของประเทศ ในระยะยาวต่อไป หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 09-09-2006, 16:19 (http://www.nokkrob.org/upload/forum/_forweb21.jpg) สังคมไทยมีวิธีคิดแบบที่อาจารย์อธิบายมาหรือเปล่า ว่าในบางเรื่องเราใช้วิธีการทางกฎหมายไม่ได้ คนไทยเลยเรียนรู้ที่จะใช้วิธีการซิกแซกเพื่อให้เรื่องมันจบได้ ทีนี้พอมาถึงเรื่องใหญ่ๆ... ก็เอาแบบเดียวกัน สังคมไทยจะคุ้นเคยกับวิธีคิดแบบนี้ คือเราเป็นสังคมที่ไม่ค่อยเอาหลักการ ย้อนกลับไปตั้งแต่คดีซุกหุ้น เรามีวาทกรรมเรื่องนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ ซึ่งผมไม่เคยเห็นวาทกรรมแบบนี้ในประเทศอื่น นอกจากประเทศไทย และผมก็รู้สึกว่าวาทกรรมแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย จริงๆ แล้วในมุมหนึ่งอาจจะเป็นข้อดี ในบางสถานการณ์ ในเรื่องการระหว่างประเทศบางอย่าง อาจจะเป็นข้อดีที่เราเป็นอย่างนี้ เราก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ เราไม่แพ้สงครามทั้งๆ ที่เราประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร มันก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด แต่วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ทำให้สังคมเดินหน้าไปได้ดีตลอดเวลา อย่างคดีซุกหุ้นภาคแรก ผมพยายามดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าในทางกฎหมายนี่ยากมากเลยที่ท่านนายกฯจะไม่ผิด ยืนยันว่าผิดแน่ๆ แต่ถามว่าปัจจัยที่ทำให้คุณทักษิณไม่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีเพราะอะไร คำตอบคือวิธีคิดที่จะเอาเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการ คือขอให้คุณทักษิณอยู่เถอะ แม้ว่าจะบิดกฎหมายบ้าง แม้ว่าไม่เอาหลักการบ้าง เอาไว้ข้างๆ ก่อนก็ไม่เป็นไร วันนั้นเราคิดอย่างนั้น วันนี้แบบเดียวกันครับ วันนี้เรากลับกันแล้ว วันนี้คือเอาทักษิณออก เมื่อจะเอาทักษิณออก ไม่ต้องเอาหลักการหรอก วันนี้ธงคือเอาทักษิณออก เพราะฉะนั้นวิธีการยังไงก็ได้ ปัญหาก็คือ มีคนบอกว่าก็ตอนเข้ามาไม่ได้เข้ามาตามหลักการ ตอนออกไปก็ต้องออกไปแบบไม่ตามหลักการสิ ถึงจะถูกต้องตรงกัน ก็เป็นวิธีคิดแบบซาดิสม์ดีนะ ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะไม่มีการเรียนรู้ คือถึงที่สุดก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก เราจะไม่มีทางมีหลัก สังคมจะทำอย่างนี้ทุกๆ คราวไป สังคมที่ทำอย่างนี้ทุกคราวไปเป็นสังคมที่เสี่ยงกับการเกิดความรุนแรง ความแตกร้าวในสังคมจะเกิดขึ้นง่าย สังคมต้องเรียนรู้ที่จะโตด้วยตัวเอง ต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ ถ้าวันนี้เราไม่เอาหลัก เราเป็นอย่างนี้ คือเราเอาธง แล้วยังไงก็ได้ โอกาสที่จะเกิดการปะทะกันก็มาก จริงๆ แล้วการปะทะกันทางความคิดของคนมีอยู่เสมอ แต่ว่าถึงที่สุดแล้วมันจะถูกแก้ไขไปได้โดยการมีเหตุมีผล มีหลักมีฐาน หลักการและเหตุผลจะช่วยทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้จะเห็นต่างกัน คือคนสองคนอยู่ด้วยกันได้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันหมด แต่อยู่บนพื้นฐานหรือหลักการบางอย่างที่รับตรงกัน แต่ถ้าเราไม่รับตรงนี้ มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ วันหนึ่งสังคมจะแตกเป็นเสี่ยง http://www.nokkrob.org/index.php?file=forum&obj=forum.view(cat_id=nkbd-1,id=103)&PHPSESSID=6d2fecb4bf0a3722af494a448914a9de อ. วรเจตน์กล่าวได้ดี ปัญหาที่เผชิญหลังจากนี้คือการปะทะกันของพวกสุดโต่ง ซึ่งในฝ่ายต้านทักษิณจะมีลักษณะ อาการรุนแรงมากกว่าเพราะถูก มอมเมาด้วยข้อมูลที่บิดเบือนมาอย่างยาวนาน หลายเรื่องร้ายแรงมากถึงขนาด เกี่ยวพันไปถึงสถาบัน ซึ่งเคยเป็นชนวนให้เกิดการนองเลือดมาแล้ว สังคมไทยต้องเริ่มคิดกันแล้วว่า หลังจากการเลือกตั้งไปแล้ว สังคมไทยจะทำอย่างไรต่อไป อย่างคดีซุกหุ้นภาคแรก ผมพยายามดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าในทางกฎหมายนี่ยากมากเลยที่ท่านนายกฯจะไม่ผิด ยืนยันว่าผิดแน่ๆ แต่ถามว่าปัจจัยที่ทำให้คุณทักษิณไม่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีเพราะอะไร คำตอบคือวิธีคิดที่จะเอาเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการ คือขอให้คุณทักษิณอยู่เถอะ แม้ว่าจะบิดกฎหมายบ้าง แม้ว่าไม่เอาหลักการบ้าง เอาไว้ข้างๆ ก่อนก็ไม่เป็นไร วันนั้นเราคิดอย่างนั้น วันนี้แบบเดียวกันครับ วันนี้เรากลับกันแล้ว วันนี้คือเอาทักษิณออก เมื่อจะเอาทักษิณออก ไม่ต้องเอาหลักการหรอก วันนี้ธงคือเอาทักษิณออก เพราะฉะนั้นวิธีการยังไงก็ได้ คุณ Killer เห็นด้วยกับความคิดเห็นวรรคนี้ของอ.วรเจตน์ใช่ไหม........... :?: หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: buntoshi ที่ 09-09-2006, 16:24 ผมว่า อ.วรเจตน์ พยายามช่วยหรืออยากมีส่วนร่วม ในการหาทางออกให้กับสถานการณ์มากกว่า และพยายามที่จะผลักดันให้นักกฏหมายมหาชน ได้เข้ามามีส่วนมีบทบาทแก้ไขวิกฤติการณ์ และช่วยวางรากฐานประชาธิปไตยของประเทศ ในระยะยาวต่อไป แหม่ พูดดีคิดดีก็ได้นิครับ พี่คิล :D ผมก็ค่อยข้างเห็นด้วยนะครับ ที่ อาจารย์แก มองไปที่การแก้ปัญหาระยะยาว แต่เราต้องมองมาที่ความจริงครับ เหมือนที่ พี่ คาเมรอน บอก ประเทศไทย ตอนนี้ มันปกติ หรือเปล่า ถ้าปกติ ก็โอเค :mrgreen: แต่มันไม่ใช่ อีกฝ่าย มีอำนาจทุกอย่าง มีทั้งกำลังตำรวจ ทั้งทหาร มีทั้งสือ ออกมาด่าฝ่ายตรงข้ามปล่าวๆ และสิ่งที่เค้าทำไว้ มันเกิน ที่จะอยู่เฉยได้ คนที่มีสามัญสำนึก รักชาติ หากคิดว่าพลังประชาชน จะช่วยเหลือประเทศได้ ก็ต้องทำ วิธีที่อ.วรเจต ชอบ มันเหมือนกับ รอ และ ก็รอ บอกว่าให้ใช้เหตุผล แต่อีกฝ่ายเค้าใช้เหตุผล อะไรมากัดกินประเทศ จะต่อสู้กับระบอบทักษิณได้ ก็ต้องทำให้หลายๆ ฝ่ายเข้าใจถึงผลเสียของมัน แบบที่หลายๆ คนทำอยู่แบบนี้แหล่ะ ไม่ใช่ มาพูดขัดขาในสถานการณ์เช่นนี้ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 09-09-2006, 16:29 ขอให้อ่านบทความโดยตลอด คุณปุถุชน ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก
อ.วรเจตน์อ้างอิง ถึงในอดีต ที่ได้สร้างบรรทัดฐานเอาไว้ โดย ศาลรธน. สามารถที่จะยึดเอาหลัก รัฐศาสตร์ นำ นิติศาสตร์ ได้ (ที่จริงศาลรธน. มีความผิดพลาดหลายครั้งหลายหน ในหลายต่อหลายเรื่อง) เมื่อมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เราต้องสรุปกันให้ได้ตรงกันก่อนว่า จะเอาบรรทัดฐานที่ว่านั้นมาใช้อีกหรือไม่.? ถ้าใช้ได้ ... กลุ่มคนที่ไม่พอใจผลการวินิจฉัยในครั้งนั้นต้องยอมรับด้วยว่า ครั้งนั้นทำโดยชอบแล้วเช่นกัน ส่วนการจะเอา ดร.ทักษิณ ออกไปเสียจากการเมืองไทย ก็ควรต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยของศาสรธน.ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ด้วยวิธีการนอกรีต นอกรอย ไร้ขื่อแป หรือว่าใช้อำนาจเผด็จการทรราชย์ มาใช้ (เช่นการลอบสังหาร) หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 09-09-2006, 17:40 ถ้าผมมีอำนาจพอจะพูดแล้ว วรเจตน์ แอนด์ เดอะแก๊ง เชื่อ
ผมจะพูดว่า หุบปากไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ เก็บความคิด คำพูด ดี ๆ เหล่านี้ไว้ใช้ตอนบูรณะฟื้นฟูประเทศ หลังยุค เหลี่ยม จะเหมาะกว่า เพราะคำพูด ดี ๆ แต่ ไม่เข้าเรื่อง ไม่ถูกกาลเทศะ พวกนี้ ถึงจะคิดด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ใครฟังก็อาจอดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ หรือว่ามันเป็นสปาย ไส้ศึก ให้ไอ้เหลี่ยมวะ ถ้า วรเจตน์ แอนด์ เดอะแก๊ง บริสุทธิ์ใจจริง ก็ควรหุบปากตัวเองไว้ให้แน่นก่อน ประเทศชาติต้องการคนอย่างพวกคุณแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อย่าเพิ่งเจ๋อ อยากเด่น อยากดัง แบบ เอาประเทศเป็นเหยื่อสนองความอยากส่วนตน หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 10-09-2006, 12:02 แหม เสียดาย ไม่มีเทป ไม่งั้นจะชวนให้ดูสารคดีช่องเก้าวันนี้ เรื่อง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จะได้เห็นว่า การใช้ความรุนแรง ปะทะกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 10-09-2006, 12:10 แหม เสียดาย ไม่มีเทป ไม่งั้นจะชวนให้ดูสารคดีช่องเก้าวันนี้ เรื่อง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จะได้เห็นว่า การใช้ความรุนแรง ปะทะกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เห็นด้วยครับ ควรเอาไปให้คนที่สั่งการให้นำแก๊งมอเตอร์ไซค์ออกมาข่มขู่ หรือการทำร้ายคนแก่มากกว่าครับ กรุณาเถอะครับ ความรู้ก็ดี จะวางฟอร์มไปถึงไหน ออกมาสู่โลกแห่งความจริงซะบ้าง ประเภทวางฟอร์มมากไป แบบว่าฉันเรียนมาสูง ฉันคลุกขี้ดินไม่ได้แล้ว ฉันเรียนมาทฤษฏีนั้นมันว่างอย่างนี้ โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ห้ามทำ นั่นก็กลัวจะรุนแรง คนนั้นก็มีมลทินมาต้านทักษิณแล้วเชื่อได้เหรอ แล้วผู้พูดก็ประกาศตัวเป็นศาสนิกผู้เคร่งคำสอนน่ะครับ เพราะไปขีดข้อจำกัดให้ตัวเองมากไป ฟอร์มที่วางไว้มันกลับมารัดตัวเองตลอดแหละครับ สุดได้มันก็ไม่เกิดผลลัพธ์อะไรเลย จะกลายเป็นจำอวดไปนะครับ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 10-09-2006, 12:54 มันน่าแปลกที่คนบางคนไม่ได้สังเกตกันเลย
ทำไมนักวิชาการนอกคอก อย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ถึงได้วางตัวประหลาดๆ ไม่ยอมมาเกลือกกลั้วกับ มหกรรมไล่ ดร.ทักษิณ กับเขาด้วย ทั้งที่เป็นคนที่รังเกียจระบอบทักษิณ มาก่อนใครเสียอีก หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 10-09-2006, 13:01 คิลก็เลิกตัดเฉพาะความที่เห็นเข้าทางตัวเองมาแปะซะทีดิ แปะให้มันเต็มๆ :mrgreen:
เรื่องการใช้ความรุนแรง ต้องหยุดทั้งสอนฝ่ายนั่นแหละ มันเกิดมาสามครั้งแล้วไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ใช่ว่า คราวนี้มีใครตายอีกซักทีแล้วมันจะจบ ไม่ใช่เพราะแอนไม่เห็นความจริง แต่เพราะเห็นมาแล้วต่างหาก หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 10-09-2006, 13:12 มันน่าแปลกที่คนบางคนไม่ได้สังเกตกันเลย ทำไมนักวิชาการนอกคอก อย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ถึงได้วางตัวประหลาดๆ ไม่ยอมมาเกลือกกลั้วกับ มหกรรมไล่ ดร.ทักษิณ กับเขาด้วย ทั้งที่เป็นคนที่รังเกียจระบอบทักษิณ มาก่อนใครเสียอีก ผมตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับพี่คิล และน่าจะมีหลายๆคนคิดเช่นเดียวกัน แต่เพราะประเด็นใหม่ๆแต่ละวันเข้ามาเยอะมาก เช่น กรณีนอมินีกุหลาบพลาสติก ยังไม่ทันหมด ก็เกิดเรื่องทำร้ายผู้ตะโกนไล่ทักษิณที่ Central World พอมีการยกประเด็นว่าใครเป็นคนทำ ก็มีการสร้างหนังฮาบอมบ์ขึ้นมาแล้ว ลำพังแค่จะพูดให้ทุกแง่มุมมันก็หมดเวลาแล้ว ผมก็เคยซื้อหนังสือของ นิธิ และคณะ มาอ่านเมื่อปี 2546 รู้จักชื่อ "อนาคตเมืองไทยใครว่าไม่น่าห่วง" อ่านแล้วก็ชอบแต่ไม่ถึงกับติดใจเพราะเหมือนมีทฤษฎีมาก แต่เมื่อมีท่านหนึ่งในนี้แหละมาแปะลิ้งก์ม.เที่ยงคืนให้อ่าน อ่านแล้วตกใจมาก พี่คิลต้องตั้งข้อสังเกตด้วยสิครับว่า ทำไมอ.พิภพ มหาจำลอง อ.เจิมศักดิ์ จึงตัดสินใจมาร่วมกับพันธมิตรฯ?? โดยเฉพาะอ.เจิมศักดิ์ อ.พิภพ เป็นแนวร่วมที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย สนธิสมัยยังเลียทักษิณยังแอนตี้อ.เจิมศักดิ์ด้วยซ้ำ หัวข้อ: Re: คิดนอกกรอบแบบ วรเจตน์ เริ่มหัวข้อโดย: ไทมุง ที่ 10-09-2006, 14:36 คุณคิลพูดถูกต้อง อ.นิธิ ชี้ให้เห็นถึงมะเร็งร้ายของระบอบทักษิณที่ก่อตัวอย่างเงียบๆ มานานหลายปีแล้ว
แต่ช่วงเวลานั้น ความเห็นของ อ.นิธิ เป็นเพียงเสียงตะโกนเล็กๆ ในสังคมที่เห็นว่าควรใช้หลักรัฐศาสตร์ควบคู่กับหลักนิติศาสตร์ในการพิจารณาพฤติกรรมของทักษิณ อีกอย่างบทความของ อ.นิธิ เผยแพร่ในวงแคบ เมื่อเทียบกับจำนวนประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากท้องตัวเอง และลูกเมีย จึงไม่มีโอกาสและเวลาอ่านเพื่อนำไปขบคิด ยอมรับว่าข้อเขียนของ อ.นิธิ อ่านยาก หากเทียบกับคอลัมนิสต์สื่อรายวัน รายสัปดาห์ เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคุณคิล และคุณไทยธรูท ที่ว่าทำไป อ.นิธิ ไม่ออกมาร่วมขบวนกับพันธมิตร ประการหนึ่ง คือ อาจเพราะอยู่ไกล (เดี๊ยวอาจมีคนแย้งว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรค) ประการหนึ่ง คือ อายุ (เดี๊ยวอาจมีคนแย้งว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค) ประการหนึ่ง คือ แนวคิด ที่บางด้านที่ตรงกัน แต่บางประเด็นแตกต่าง อาทิ อ.นิธิ ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 7 ด้วยเหตุผลจะยิ่งทำให้สังคมไทยอ่อนแอ พึ่งพา/แก้ปัญหาด้วยตนเองไม่ได้ยามวิกฤติ เอะอะก็จะดึงในหลวงลงมา ทั้งที่สามารถหาทางออกได้ด้วยแนวทางตามรัฐธรรมนูญ ประการหนึ่ง คือ วิธีการไล่ทักษิณในแบบของสนธิ ไม่ใช่บุคคลิกและแนวทางของ อ.นิธิ จะให้อาจารย์ขึ้นเวทีก็คงประดักประเดิด และอาจติดร่างแหมาตรา 7 ไปด้วย กรณีคุณพิภพ เข้าร่วมกับสนธิ มันเป็นบทบาทของที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งช่วงหนึ่งได้คลุกคลีกันทักษิณ จึงน่าจะเห็นอะไรๆ ของทักษิณ มากกว่าเราๆ ท่านๆ อย่าลืมว่าคุณพิภพเข้าร่วมกับสนธิก่อนเสนอมาตรา 7 อย่าเหมาว่าทุกคนในพันธมิตรเห็นด้วยกับมาตรา 7 เสียทุกคน แต่อาจเพราะเสียงส่วนใหญ่ จึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้กับข้อเสนอนี้ ประการสำคัญ พันธมิตรและผู้เกี่ยวข้องอาจพิจารณาแล้วเห็นว่า จะไล่ทักษิณด้วยวิถีทางแห่งประชาธิปไตย พูดกันด้วยเหตุด้วยผลยังไงมันก็คงตะแบงอยู่เฝ้าทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลอยูอย่างนี้ จึงเหลือทางเลือกไม่กี่ทาง และอาจเลือกหนทางที่ไม่ได้เห็นด้วยโดยสมบูรณ์ เพราะทักษิณหน้าด้านหน้าทนอย่างที่เป็นอยู่นี้ จึงทำให้คนส่วนหนึ่งเหลืออด ต้องออกมาไล่เหมือนห..เหมือนหม..ไง |