ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก "หมอมิ้ง" น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญกว่านั้น...น้อยคนนักที่จะมองภาพลักษณ์ของเขาใน "ทางบวก"

  เหตุก็เพราะชื่อเสียงของ "หมอมิ้ง" ในระยะหลังๆ มา ล้วนเต็มไปด้วยข้อครหาติดปลายนวมพ่วงกับคนเป็น "นาย" ไปด้วยเสมอ ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดที่อยู่ "วงในสุด" ในขณะนี้

 ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา "หมอมิ้ง" ได้มีโอกาสเปิดใจกับกองบรรณาธิการในเครือเนชั่นถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่รุมเร้ารัฐบาล จนมาถึงจุดที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อนับต่อจากนี้

 "มาถึงวันนี้ผมไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันไม่มีกติกาอะไรเลยตอนนี้ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ก็ได้แต่หวังว่าพระสยามเทวาธิราชจะมีจริง"

 "ไฮไลท์" ในตอนท้ายของการสนทนา ดูจะเป็นคำพูดที่ยืนยันได้ถึงความกังวลใจต่อสถานการณ์ที่เขม็งเกลียวขึ้นทุก วัน แม้ในตอนเริ่มต้นจะพยายามยิ้มพร้อมกับวางอิริยาบถสบายๆ

 ความกังวลใจยังสะท้อนออกมาจากคำพูดเชิงระบายความในใจ เหมือนกับที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ จากปากฝ่ายตรงกันข้าม

 แต่ครั้งนี้หลุดออกมาจากปากเจ้าตัวซะเองพร้อมกับกลั้วหัวเราะทุกครั้งที่ปรารภทีเล่นทีจริงขึ้นมาในทำนอง...

 "ผมจะมีแผ่นดินอยู่หรือเปล่าเนี่ย"

 หรือ

 "ก็ดีที่ได้มานั่งคุยกันซะก่อนในวันนี้ เผื่อไม่มีโอกาสได้คุย"

 แต่...

 เมื่อถามย้ำว่าทำไมถึงคิดว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ???

  "หมอมิ้ง" เพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะบอกเพียงว่าไม่รู้เหมือนกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ยืนยันได้ว่าตัวเขาและรัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติอย่างดีที่สุด

เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะรัฐบาลไม่มั่นใจในสถานการณ์เพราะขณะนั้นมีการปลุกระดม และพยายามนำไปสู่การกระทบกระทั่งที่รุนแรง  จึงไม่สามารถรอจนถึงเปิดสภาได้ ก็เลยคิดว่ายุบสภาเพื่อให้สถานการณ์มันคลายตัว และประเทศเดินเข้าสู่กติกาใหม่อีกครั้ง

ส่วนเรื่องการเว้นวรรคหลังการเลือกตั้งของ ทักษิณ ชินวัตร นั้น "หมอมิ้ง" บอกว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อกติกาใหม่ การเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องยึดของเดิม

 เมื่อถามว่ามั่นใจแค่ไหนกับการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ ?

 "เราทำโพลตลอด ถามทุกคำถาม ทุกทางออกที่จะเป็นไปได้ ถ้าเกิดอย่างนี้แล้วเป็นยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็เรียกว่ามั่นใจถึง 80% ปักหมุดกันวันนี้เราก็ได้ 300 บวกลบไม่เกิน 15"

 อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความมั่นใจว่าพรรคไทยรักไทยจะไม่ถูกยุบพรรค "หมอมิ้ง" กลับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบเพียงว่า

 "...ผมไม่รู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในตอนนี้"

 "หมอมิ้ง" ยังได้ไขปริศนา "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ให้ฟังด้วยว่า ไม่ใช่การอุปโลกน์ แต่เป็นเรื่องจริง เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต้องการให้เกิดความรุนแรง

 และที่สำคัญไม่ได้มีแค่คนเดียว

 "ผมบอกได้ว่าเป็นพหูพจน์"

 ส่วนข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับรัฐบาล รวมกระทั่งตัวเขาด้วยในเรื่องการจงรักภักดีต่อสถาบันนั้น "หมอมิ้ง" ยอมรับว่ามีความพยายามโยงเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น แต่เป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมนุษยดอทคอม หรือปฏิญญาฟินแลนด์

 แล้วข้อกล่าวหาซ้ายทมิฬมันมาอย่างไร ?

 "คือผมเนี่ยไม่ใช่ซ้าย ไม่ใช่ขวา ผมอยู่ตรงกลาง เป็นตัวของผมเองมาตลอด แล้วผมก็ไม่แคร์หรอกว่าใครจะผลักผมไปอยู่ข้างไหน  ถ้าคุณดูจุดยืนของผมเมื่อ 6 ตุลา ก็ชัดเจนว่าผมยืนข้างไหน ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นผมจำได้หมด ใครเป็นใคร แล้วใครบ้างที่เปลี่ยนไป แต่ผมไม่เปลี่ยนหรอก"

 เช่นเดียวกับการถูกจัดเข้าอยู่ในกลุ่มคนเดือนตุลาประเภท "สายเหยี่ยว" ที่ "หมอมิ้ง" ย้อนถามขึ้นมาทันควันว่าหมายถึงอะไร ???

 "ถ้ามันหมายถึงคนที่มีสายตากว้างไกล มีความเฉียบคม เด็ดเดี่ยวล่ะก็ใช่เลย แต่ถ้าว่าเป็นประเภทชอบใช้ความรุนแรง นั่นคงไม่ใช่ผม เพราะคุณคิดดูผมเนี่ยเป็นหมอนะ หมอต้องมีจิตใจที่อ่อนโยน...

 ...สมัยที่ผมเป็นหมอ เขาพานักโทษมาหาผม ถ้าผมคิดว่าไอ้นี่มันเป็นคนไม่ดี ผมไม่รักษามันหรอก ผมฉีดยาให้มันตาย หรืออะไรก็ได้ โดยที่ผมตัดสินเองว่าไหนๆ มันก็เป็นคนไม่ดีอยู่แล้ว  ผมทำได้เหรอ มันไม่ได้หรอก เพราะงั้นผมถึงว่าคำนิยามที่ว่านี่ใช้กับผมไม่ได้"

 หลายคนตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มคนวงในสุดของนายกฯ ทักษิณ เหลืออยู่ 3 คน คือหมอ เนวิน ชิดชอบ และยงยุทธ ติยะไพรัช ทำไมถึงไปรวมอยู่ในกลุ่มนี้ ทั้งที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ ???

 "พวกคุณไปคิดกันเอง วันนี้ผมยังไม่เจอเขาเลย และที่พวกคุณว่าเนวินเขาเป็นคนโปรดท่านนายกฯ ทำงานให้สารพัดอย่างทั้งใต้ดิน บนดิน มันคืออะไร ไม่มีหรอก ท่านนายกฯ ก็ใช้งานคนทำงานทุกคนเป็นปกตินั่นแหละ"

 เมื่อถามถึงข่าวถูกวางให้เป็นทายาทคนต่อไป หลังจาก "ทักษิณ" วางมือ ???

 "หมอมิ้ง" บอกว่าเขาไม่ใช่คนที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูงทางการเมือง

 "ถ้าหมดจากตรงนี้ ผมก็เลิก คุณจะสังเกตได้ง่ายๆเลยว่าผมไม่มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์เลยไม่ว่าครั้งไหน และก็จะไม่มีไปตลอด เพราะฉะนั้นตัดไปได้ที่ผมหวังจะเป็นนายกฯ แต่ที่ผมมาช่วยงานตรงนี้ผมคิดว่าน่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้บ้าง...

 ...ท่านนายกฯ เคยถามผมเหมือนกันว่าหลังเลือกตั้งอยากนั่งกระทรวงอะไร ผมบอกไม่ล่ะครับ ผมขออยู่ที่เดิมดีกว่า จริงๆ แล้วตำแหน่งที่ผมจะมาทำงานผมขอมาทำแค่เลขาฯ นายกฯ เท่านั้น คอยช่วยท่านนายฯคิดโน่นคิดนี่ เพราะผมคิดว่าผมมีบางอย่างที่ช่วยท่านนายกฯ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหลุดจากตรงนี้ ผมก็คงออกไปเลย"

 เขายังได้ปรารภในช่วงท้ายของการสนทนาถึงชะตาชีวิตของเขาขึ้นมาใน ทำนองไม่คิดว่าจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

 "ผมยังเคยคุยกับอ้วน (ภูมิธรรม เวชยชัย) เลยว่า 30 ปีที่แล้วเรายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ถูกไล่จนต้องหนีเข้าป่า พอ 30 ปีให้หลัง มายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ยังถูกไล่เหมือนเดิม มันก็แปลกดีเหมือนกัน"

 "หมอมิ้ง" กับข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่จนถึงวันนี้ ยังต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

 ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ใน "ทางลบ" ที่ยังสลัดไม่หลุด อาจนำเขาไปสู่จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต

 อันเป็นสิ่งที่แม้แต่ "หมอมิ้ง" เองก็เก็บความกังวลใจไว้ไม่อยู่เหมือนกัน !!!

 โต๊ะข่าวการเมือง

"มาถึงวันนี้ผมไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันไม่มีกติกาอะไรเลยตอนนี้ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ก็ได้แต่หวังว่าพระสยามเทวาธิราชจะมีจริง"

"ผมยังเคยคุยกับอ้วน (ภูมิธรรม เวชยชัย) เลยว่า 30 ปีที่แล้วเรายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ถูกไล่จนต้องหนีเข้าป่า พอ 30 ปีให้หลัง มายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ยังถูกไล่เหมือนเดิม มันก็แปลกดีเหมือนกัน"

"ผมจะมีแผ่นดินอยู่หรือเปล่าเนี่ย"

พี่จรัส ก็คือพี่จรัสที่ไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์

"แผนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" ที่พี่เล่าให้พี่อ้วนกับสหายร่วมศึกฟังบ่อย ๆ ตั้งแต่สมัยใต้ตึกกลมจนถึงที่เขตงานอีสานใต้ พี่เองคงหวังยืมมือนายทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นผู้ทำให้บรรลุเป้าหมาย น่าเสียดายว่าพี่เองก็รู้อยู่ว่าการควบคุมความคิดของนายทุนเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ

แม้ในอดีตที่ผ่านมา นายทุนอาจจะ "สุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย" ไปบ้าง นั่นเป็นเพราะนายทุนก็ต้องการมวลชนในการเริ่มต้นและค้ำจุน

แต่จะหวังการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างพลิกผัน คงไม่มีทาง เพราะนายทุนไม่มีอุดมการณ์ นายทุนนึกถึงแต่ผลกำไรเท่านั้น

ความฝันของพี่ก็คงจะเป็นฝันที่ไม่เป็นจริง ตลอดไป