หัวข้อ: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 05-09-2008, 16:41 ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ชี้อาจเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทย หากยังไม่สามารถแก้วิกฤติทางการเมืองได้
ศาสตราจารย์ เลสลี กรีน ศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญากฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford University) มหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ ได้ออกมาแสดงทัศนะเกี่ยวกับการเมืองของไทยในขณะนี้ โดยระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง และหากไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ อาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศไทย ศาสตราจารย์ กรีน ยืนยันว่า ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะได้เกิดการแบ่งแยก และแบ่งขั้วทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างเป็นปฏิปักษ์กันอย่างสุดขั้ว และไม่ยอมประนีประนอมซึ่งกันและกัน ซึ่งหากปรากฏการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทย ซึ่งเคยได้ชื่อว่า เป็นชาติที่มีความเจริญในระดับแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะต้องเกิดภาวะสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่ ที่มา http://www.innnews.co.th/around.php?nid=131022 หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 05-09-2008, 16:43 'ธีรยุทธ'เตือนสงครามกลางเมือง-ติง'สมัคร'ปลุกฆ่าอนาธิปไตย!
"ธีรยุทธ" ยันบทบาทตุลาการภิวัตน์เป็นทางออกประเทศไทย ศาลควรเร่งพิจารณาคดีคอรัปชั่นให้ทันกาล ระบุวาทะ "หมัก" ให้คนของผมลุกขึ้นมาฆ่าบ้างจุดชนวนใช้ความรุนแรง เตือนจะหนักกว่าตุลาวิปโยค-พฤษภาทมิฬ เพราะความขัดแย้งสุดขั้วเกิดอนาธิปไตย ต่อให้รัฐประหารก็คุมไม่อยู่ เผยปัญหารากเหง้า คนไทยอยู่กับศรัทธาปลอมๆ สอพลออุดมการณ์ ยึดมั่นประชาธิปไตยเลือกตั้งที่มีแต่การซื้อเสียง ชาวบ้านไม่ได้อะไรแต่กลุ่มทุนกอบโกย ชี้อนาคตขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 2 ปีคุมไม่อยู่อาจตามมาด้วยรัฐประหารเต็มรูปแบบ ให้พันธมิตรฯ ผ่อนสลับรุก แนะคนไทยต้องเจริญสติ ที่มา http://www.ryt9.com/news/2008-07-27/40145497/ หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: istyle ที่ 05-09-2008, 16:45 เวรกรรม ... ตัวเองส่งออกประชาธิปไตยมาให้ทางนี้แท้ๆ
ยังไงก็ตาม ประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่าพวกมากลากไปครับ หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: personal jesus ที่ 05-09-2008, 16:52 อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่
อ่านถึงตอนนี้ต้องบอกว่า shut up , klappe zu !!!!! (http://www.paultrecords.net/Black/covers/klappezu.jpg) หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: -3- ที่ 05-09-2008, 17:01 อยากให้ศาสตราจารย์กรีนลองไปปราศรัยบนเวที นปก จิงๆ
หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: NuMor ที่ 05-09-2008, 17:21 อ้างอิง อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่
เออ เขาพยายามใช้วิถีรัฐสภาแก้ไขแล้วนะ ท่านศาสตราจารย์คงไม่ได้ดูอภิปรายผู้แทนที่ผ่านมา ถ้าดูแล้ว คงเข้าใจว่า โอ เยส โน โคล่า วอท ดา เฮล โกอิ้ง ออน เฮียร์ ดูซิ ว่ารัฐบาลเขาฟังไหม ฟังมา ยังไม่เข้าใจประเด็นการเปิดสภาเลย ว่ามันสรุปแล้วได้อะไรเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาบ้างฟ่ะ ส่วนเรื่องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพฯ น่ะเห็นด้วย ควรจะมีการสร้างความเข้าใจในระบบการเมือง ระบบประชาธิปไตยให้ทุกคนในระยะยาวอีกที หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: marrykate ที่ 05-09-2008, 17:40 "อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่"
Professor, you know nothing about Thai politicians. หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 05-09-2008, 18:14 ก็เป็นไปได้ครับ เพราะคุณปล่อยโจรหน้าเหลี่ยมหนีคดีไปแบบง่ายดายแบบนั้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหา "วิกฤติที่พูดไม่ได้" อีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกันนะครับ ศาสตราจารย์เขาก็พยายามพูดเผื่อไว้ จะไปว่าเขาไม่เข้าใจก็ไม่ได้ แต่รัฐสภาที่มีนักการเมืองแบบนี้เป็นส่วนใหญ่หาทางออกให้ได้หรือเปล่า :?: หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนร่วมชาติ ที่ 05-09-2008, 18:18 รู้สึก INN จะได้บทสัมภาษณ์เด็ด ๆ จากอังกฤษหลายชิ้นเลยนะ
ไอ้เซ่ออะไรที่อยู่พรีเมียร์ลีกก็คนนึงละ อีตาอาจารย์อ๊อกซ์ฟอร์ดนี่ก็อีกคน :slime_smile2: หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: marrykate ที่ 05-09-2008, 18:26 ข้อสังเกตุ
ช่วงนี้จะมีข่าวจากนักวิชาการ เซอร์ .... อะไรต่อมิอะไรจากอังกฤษมาเยอะ สงสัยไอ้บริษัท PR มันคงโหมทำงานช่วงใกล้รับ paycheck (เหมือนใครบางคน ... แถวๆนี้แหละ) หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 05-09-2008, 18:36 ผมคิดว่าอย่าเพิ่งไปปรามาส อาจารย์คนนี้ก็สังกัดสถาบันข้างๆสถาบันที่ผมเคยเรียนหนังสือนะครับ ซึ่งเป็นสถาบันสอนกฎหมายที่ดีที่สุดของประเทศนั้น
อันนี้มันขึ้นอยู่กับว่า 1. "วิกฤติที่พูดไม่ได้" คลี่คลายไปทางไหน 2. ถึงเวลานั้นกองทัพจะเลือกข้างยังไง หรือจะแตกแยก 3. ฝ่ายตุลาการจะถูกแทรกแซงสำเร็จหรือไม่ แต่ยังติดอยู่ประการเดียวคือ "โจรหนีคดี" อิทธิพลและอำนาจทางการเงินยังเหลือเฟือ ผมคิดว่ารัฐสภาแก้ไม่ได้ครับ มีวิธีเดียวคือ การตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยผู้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติต้องมีเครดิตสูงมากๆ จะต้องตัดสินใจเลยครับ และต้องใช้ความเสียสละอย่างมาก หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนร่วมชาติ ที่ 05-09-2008, 18:54 มาด่าอีตาเลสลี กรีนอยู่ในนี้ แกคงไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ
ใครเก่งภาษาอังกฤษ และอยากเมนต์ให้ศาสตราจารย์คนนี้ เชิญทางนี้ดีกว่า lgreen@osgoode.yorku.ca หรือถ้าอยากเห็นความหน้าเลื่อม ..... ใส ก็เชิญที่นี่ http://www.osgoode.yorku.ca/faculty/Green_Leslie.html แบบว่า หมั่นไส้อีตาคนนี้อย่างแรง เป็นถึงศาสตราจารย์ แต่เรื่องที่ไม่รู้จริงดันอยากพูด หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: protecter ที่ 05-09-2008, 19:07 เป็นไปได้ที่หมอนี่รับเงินจากทักษิณ แล้วออกมาพูด โดยผ่านบริษัทรับจ้างสร้างภาพในยุโปร หรือ อเมริกา :slime_smile2: :slime_smile2:
หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 05-09-2008, 19:11 พูดไปแล้ว ต้องโทษ'รัฐประหารเพื่อตนเอง' และ ตำหนิรัฐบาล'ขิงแก่' ที่สร้างปัญหาให้สังคมไทย.....!!!
หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 05-09-2008, 19:54 ในสมัยที่อังกฤษออกล่าอาณานิคม ฆ่าฟันชาวเอเซียและอาฟริกา ปล้นฆ่าคนไปทั่วโลก :slime_dizzy:
อังกฤษก็มี รัฐสภา และมี ประชาธิปไตย แล้ว :slime_hmm: รัฐสภาของอังกฤษ เลื่อนยศให้กับโจรสลัด ที่ออกปล้นทรัพย์สินชิงดินแดนของผู้อื่น ฟรานซิส เดรก โจรสลัด ได้เป็นท่านเซอร์ :slime_smile2: เออ มันยังกล้าพูดเนอะ :slime_bigsmile: หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: dutchin ที่ 05-09-2008, 19:58 ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ชี้อาจเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทย หากยังไม่สามารถแก้วิกฤติทางการเมืองได้ ศาสตราจารย์ เลสลี กรีน ศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญากฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford University) มหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ ได้ออกมาแสดงทัศนะเกี่ยวกับการเมืองของไทยในขณะนี้ โดยระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง และหากไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ อาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศไทย ศาสตราจารย์ กรีน ยืนยันว่า ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะได้เกิดการแบ่งแยก และแบ่งขั้วทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างเป็นปฏิปักษ์กันอย่างสุดขั้ว และไม่ยอมประนีประนอมซึ่งกันและกัน ซึ่งหากปรากฏการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทย ซึ่งเคยได้ชื่อว่า เป็นชาติที่มีความเจริญในระดับแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะต้องเกิดภาวะสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศเฉกเช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่ ที่มา http://www.innnews.co.th/around.php?nid=131022 คิดไรมากครับ ศ. ด้านกฎหมายก็คือด้านกฎหมาย เพราะ ศ ไม่ได้มารู้ว่า ประเทศไทยมีคอรับชั่นขนาดไหนถึง ไม่สามารถแก้สถาณการณ์จากรัฐสภาได้ เพราะประเทศที่ ศ อยู่ คอรับชั่นมันน้อยครับ มีที่อยู่ อีเมลล์ ศ ท่านนี้ไหม ผมอยู่เยอรมัน อยากจะโทรไปเสวนาด้วยเช่นกัน ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนร่วมชาติ ที่ 05-09-2008, 20:06 คิดไรมากครับ ศ. ด้านกฎหมายก็คือด้านกฎหมาย เพราะ ศ ไม่ได้มารู้ว่า ประเทศไทยมีคอรับชั่นขนาดไหนถึง ไม่สามารถแก้สถาณการณ์จากรัฐสภาได้ เพราะประเทศที่ ศ อยู่ คอรับชั่นมันน้อยครับ มีที่อยู่ อีเมลล์ ศ ท่านนี้ไหม ผมอยู่เยอรมัน อยากจะโทรไปเสวนาด้วยเช่นกัน ขอบคุณครับ อีเมล์ ศ คนนี้อยู่ในความเห็นของผมข้างบนครับ หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: NuMor ที่ 05-09-2008, 20:21 คุณ dutchin หรือท่านไหน พอทราบไหมคะ ว่า ศาสตราจารย์คนนี้วิจัยเรื่องเมืองไทย หรือทางเอเชียมาบ้างไหม เท่าที่อ่านคร่าวๆ เหมือนเขาจะเน้นวิจัยด้านกฎหมาย สังคม วัฒนธรรม จริงๆ เขาก็น่าจะรู้ระบบพื้นฐานประเทศไทยบ้าง ก่อนเขาจะให้ความเห็นอะไร
คำถามคือ "สมมติ"ว่า ถ้าเขาพอมีพื้นฐานประเทศไทย ทำไมจึงให้ความเห็นแนวนี้ นี่คือรายชื่อผลงานของศ. กรีนค่ะ http://osgoode.yorku.ca/osgmedia.nsf/research/green_leslie ถ้าโทรไปคุย วานถามด้วยนะคะ ทำไมจึงคิดว่า การแก้ปัญหาทางทางเมืองในระบบรัฐสภาจะใช้ได้? Vielen Dank! หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: sleepless ที่ 05-09-2008, 20:48 1) สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในขณะนี้กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง 2) หากไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ อาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศไทย 3) ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะได้เกิดการแบ่งแยก และแบ่งขั้วทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน 4) ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างเป็นปฏิปักษ์กันอย่างสุดขั้ว และไม่ยอมประนีประนอมซึ่งกันและกัน 5) หากปรากฏการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทย ก็อาจจะต้องเกิดภาวะสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศ 6) ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา มีข้อไหนที่แม่ค้าในตลาดเมืองไทยไม่รู้บ้างครับ ศจ. อ๊อกซ์ฟอร์ดเขารู้แค่นี้ก็ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วเหรอครับ :D เหมือนศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจมหาลัยแห่งหนึ่งของเมืองไทย เห็นออกมาพยากรณ์ประชาสัมพันธ์ศูนย์ที่ว่าทุกวัน ไม่เห็นมีอะไรที่ชาวบ้านไม่รู้เลย :D 7) สังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่ ส่วนข้อสุดท้ายนี่ เรียกศาสตราจารย์จากอ๊อกซ์ฟอร์ดที่ว่านี่มาให้แม่ค้าที่ฟังแป๊ะลิ้มพูดทุกวันเล็คเชอร์ให้ฟังดีกว่าว่าประชาธิปไตยคืออะไร แม่ค้าบ้านเรามีครบทั้งทฤษฏีและประสบการณ์จริง สอนศาสตราจารย์ที่รู้แต่ตำราพวกนี้ได้สบายมากครับ :D หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: ninja ที่ 05-09-2008, 20:55 เมการู้จักแต่สงครามฝ่านเหนือ-ฝ่ายใต้
เห็น นปก ตีกันเอง เจอนายก หอกหัก สร้างฉากออก พรก ฉุกเฉิน ฝรั่งตกใจกว่าคนไทยอีก นึกว่าเราคงเกิดสงครามการเมืองจริง ๆ คนไทยได้แต่นั่งหัวเราะ แล้วบอกว่า ไอ้หอกหักมันบ้า :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: May The Force Be With You ที่ 05-09-2008, 21:33 ขออัญเชิญสมัครไปเป็นนายกบ้านมันแถมข้าว2ถุง+ไก่2ตัวแล้วจะรู้ประชาธิปไตยแบบไทยไทยเป็นไง :slime_bigsmile:
หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: bangkaa ที่ 05-09-2008, 21:51 ฟันธง...
ไม่มี สงครามกลางเมือง ในประเทศไทยของเรา.... ยังไงก็ไม่มีครับ..... เราทุกคนต้อง ไม่ยอม ให้มันเกิดขึ้น.... ใช่ ไม่ใช่ ... พี่น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ใช่... (ตอบเอง ก็ได้วะ) :slime_fighto: :slime_fighto: :slime_fighto: หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 06-09-2008, 05:31 อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ กรีน ชี้ว่า ปัญหาทางการเมืองของไทยในขณะนี้จะเบาบางลงได้ ถ้าหากฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาใช้วิถีทางทางการเมืองตามระบบรัฐสภาในการแก้ไขปัญหา และสังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจหลักการเรื่อง เสรีภาพตามระบอบการปกครองแบบประชาธิไปไตยเสียใหม่ อ่านถึงตอนนี้ต้องบอกว่า shut up , klappe zu !!!!! (http://www.paultrecords.net/Black/covers/klappezu.jpg) สงสัย พี่แกไม่เห็นการประชุม 2 สภา ล่าสุด เหลวขนาดไหน หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 09-09-2008, 17:39 ย้ำคำนักวิชาการ! ผู้นำดื้อด้านสุดๆ ส่อเกิดสงครามกลางเมือง..??
ผมอยากเขียนย้ำคำนักวิชาการ "พิทยา ว่องกุล" ที่จับเอาหลักคิดทฤษฎีของ คาร์ล วอน เคลาซ์วิตซ์ ปรมาจารย์การทหารคนสำคัญของโลก ชาวปรัสเซีย, เลนิน ปรมาจารย์ทฤษฎีแห่งการลุกขึ้นสู้ในเมืองของรัสเซีย รวมถึง เหมา เจ๋อ ตง ปรมาจารย์ทฤษฎีชนบทล้อมเมือง และ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ นักทฤษฎีโลกาภิวัตน์ ฯลฯ ที่เคยอธิบายให้ผมฟังไว้.. ที่ระบุคุณลักษณะที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง ตามสถานการณ์ทางการเมือง จึงมีภาพทางการเมืองที่เลวร้ายได้เกิดขึ้น เป็นฉากเป็นตอนจากความขัดแย้งของทั้งสองกลุ่ม ซึ่งถ้าเราอาศัยทฤษฎีเคลาซ์วิตซ์ ปรมาจารย์ทหารชาวปรัสเซีย ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ทางทหาร (On War) "การเมืองที่หลั่งเลือดหมายความว่า เกิดความขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากความไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ไม่สามารถตกลงผลประโยชน์กันได้ หรือรัฐบาลไม่สามารถจะปกครองได้ตามความต้องการ หรือรัฐบาลเองก็กดขี่ข่มเหงประชาชน และก็ไม่ฟังเสียงเลย ดังนั้น ความขัดแย้งนี้จะค่อยๆ เพิ่มปริมาณ ทีละพื้นที่ ทีละขั้นตอนที่จะนำไปสู่การเมืองที่หลั่งเลือด.. มีความเป็นไปที่จะเกิดสงครามกลางเมือง" ยิ่งได้เห็นคำพูดของผู้นำรัฐบาลที่ไม่สนใจหรือรู้สึกรู้สาไม่ยอม "สละ" เปลี่ยนแปลงตามคำเรียกร้องประชาขน โดยอ้างเพื่อรักษาประชาธิปไตย แต่นัยหนึ่งคือ "รักษาสถานะตัวเอง" "ประชาชนจะต้องเลือกข้าง ตามหลักการของการเลือกข้างของ เคลาซ์วิตซ์ ถ้านักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด ได้พัฒนาไปแล้วจะกลายเป็นระบบที่เลวที่สุด แก้กฎหมายเพื่อตนเองจะเถลิงอำนาจที่สุด ผลบั้นปลายเขาจะใช้อำนาจสูงสุดในการควบคุมประชาชนอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อการรักษาอำนาจ เมื่อถึงจุดนั้น การเข่นฆ่าประชาชนและกดขี่ ทำให้ประเทศไปสู่ความเลวร้ายหนักหน่วง เมื่อนั้นประชาชนจะทนไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร อยากให้ประชาชนตัดสินใจเอาเอง" พิทยา กล่าวย้ำไว้.. ยิ่งนายกฯ ได้ประกาศจะ "หาคน" ที่มีหลักคิดคล้ายๆ กัน ได้มีโอกาสออกมาพูดตามสื่อ เพื่ออธิบาย "วิถีดำรงอยู่" ของตนเอง ก็เสี่ยงยิ่งเป็นการปลุกเร้าปลุกระดมฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเดียวกันให้ออกมา "แสดงออก" มากขึ้น.. ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนคืนวันที่ 1 กันยา มาซ้ำสอง,สาม อีกเลย!! ........ ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=311940 หัวข้อ: Re: อ็อกซ์ฟอร์ดชี้ไทยอาจเกิดสงครามกลางเมือง เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 09-09-2008, 17:43 วันนี้ (3 ส.ค.) ที่สมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันอิศรา จัดเสวนาในห้วข้อ สงครามการ (กลาง) เมือง พลังประชาชน-พันธมิตรฯ ชนวนวิกฤต 6 ตุลา ภาค 2 โดยมี นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณะบดี คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
นายสุรชาติ กล่าวว่า มีคนบอกว่า การเมืองในปัจจุบันเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้น คิดว่าไม่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นเป็นแบบซ้าย กับขวา พิฆาต แต่ปัจจุบันนั้นเป็นขวากับขวาพิฆาต ซึ่งสังคมไทยในยุคนี้จะแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ถ้าเปรียบสื่อ คือ สถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี กับ พีทีวี หรือทุนนิยม กับ จารีตนิยม โดยมีแกนกลาง คือ ประชานิยม ทุนนิยม และโลกาภิวัตน์ อุดมการณ์เช่นนี้ถ้าเปรียบกับบทสวดมนต์ในพุทธศาสนา ก็คือ ไตรสรณคม ซึ่งอุดมการณ์ 3 ส่วนนี้ จะแบ่งเป็นจารีตนิยม ชาตินิยม และอุดมการณ์ ต่อต้านการเมือง จะเห็นได้ว่า ในละตินอเมริกาจะมีอุดมการณ์ต่อต้านการเมืองเกิดขึ้น โดยมีทหารเข้ามาแทรกแซงการเมือง มีแกนกลางโดยมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวโยง โดยมีกระแสไม่รับการเมืองมาจากการเลือกตั้ง คือ เห็นแต่ด้านร้ายของการเลือกตั้ง คือ เชื่ออุดมการณ์ต่อต้านการเมืองมากกว่าผู้นำ เพราะเขาเชื่อว่าทหารเป็นผู้มีศีลธรรมสูง มากกว่านักการเมือง เพราะเขาคิดว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมักจะทุจริต คอร์รัปชัน และทำลายชาติ คือ ไม่รักการเมืองแบบการเลือกตั้ง มองลบ เห็นแต่ด้านร้าย เขาบอกว่า คนที่เชื่ออุดมการณ์ต่อต้านการเมือง มองว่า ผู้นำทหารมีสถานะศีลธรรมสูงกว่าพรรคการเมือง ผลจากวิธีคิดทำให้คนส่วนหนึ่งมองการเมืองแบบลบ เช่น มองนักการเมือง ซึ่งจะต้องให้พลังอำนาจเข้ามาจัดการ คือ ทหาร หรือผู้นำทหารเข้ามาจัดการ ซึ่งกระแสอย่างนี้เข้ามาในเมืองไทยนานแล้ว แต่ไม่มีการอธิบายเชิงปรากฎการณ์ทางการเมือง ซึ่งทุกวันนี้จะมอง ขวา มองขวา ด้วยสีเฉดเดียวกันไม่ได้ จะต้องมองหลายเฉดสี ผศ.ดร.สุรชาติ กล่าวอีกว่า กระแสนิยมเกิดขึ้นที่ชัดเจนคือเรื่อง ปราสาทพระวิหาร ที่มีไม่คำนึงข้อเท็จจริงการทำสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ของรัชกาลที่ 5 และ มติ ครม.ปี 2505 ซึ่งเรื่องนี้สิ้นสุดไปแล้วในปี 2545 แต่ก็มีนักวิชาการบางคนไปตีความว่าปราสาทพระวิหารยังอยู่ ตนเคยอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ปราสาทในกัมพูชา ตั้งอยู่อาณาเขตกัมพูชา ถ้าตีความจริงก็เป็นของกัมพูชา แต่ปัญหาว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน แต่มีนักกฎหมายตีความอย่างนี้เหมือนไปเที่ยวบ้านเพื่อน แต่ลืมโทรศัพท์ ซึ่งเทียบกันไม่ได้ เพราะโทรศัพท์ หยิบจับได้ ไม่เหมือนปราสาทพระวิหาร มีหลายคนบอก่ามีแผนที่ลับ และอนุสัญญาลับ นั้นความจริงไม่มีหรอก เพราะถ้าใครเก็บแผนที่ลับไว้ ถือว่าขายชาติ ซึ่งมีโทษหนัก แต่ถ้าคนไทยรักชาติต้องไม่เอาชาติเข้าสงครามแต่ต้องพัฒนาบ้านเมืองร่วมกัน เปลี่ยนพื้นที่สนามรบเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม ถ้ารักชาติต้องไม่เอาชาติเข้าสงคราม ถ้ารักชาติต้องพาชาติออกจากสงคราม เพราะมีวิกฤตหลายอย่าง ทั้งเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันสิ้นปีอาจแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และวิกฤตในบ้านเรื่องภาคใต้การทับซ้อนวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า หลังการยึดอำนาจทุกอย่างนี้แต่ 49 ไม่นิ่ง ทำให้กลุ่มที่ยึดอำนาจไม่สามารถคุมอำนาจได้ นี่คือ การเมืองใหม่ แต่ไม่ใช่คิดแบบสุดโต่ง จะเกิดสงครามการเมือง แต่ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง คือ เป็นสงครามกลางเมือง เพราะเมื่อก่อนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาตั้งแต่ 2516-2519 แต่ขณะนี้โลกที่มีสื่อเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากจะเกิดจราจลอย่างหนัก ถ้าคุมไม่ได้จะเป็นสงครามกลางเมือง แล้วจะเลือกเอารัฐประหารรอบใหม่หรือไม่ แล้วเมื่อมีการรัฐประหารทหารก็ไม่สามารถหาใครมาเป็นรัฐบาลได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถคุมการเลือกตั้งได้ หรือจะถอยเข้ามาจุดเดิมที่ให้ สภา เป็นสภา รัฐบาลเป็นรัฐบาล และศาลเป็นศาล แต่สังคมไทยเป็นสังคมตรวจสอบเกินถ่วงดุล โดยดำเนินภายใต้อำนาจตุลาการมากเกินไป นายสุรชาติ กล่าว นายสุรชาติ กล่าวอีกว่า อยากให้ผู้ที่เรียกร้องบนสะพานมัฆวาน เอาข้อเสนอบนถนนมาแปลงเป็นนโยบายทางการเมือง แล้วสู้กันในระบบเลือกตั้ง ถ้าสังคมเลือก ก็ดำเนินนโยบายอย่างนั้น ถ้าหากการเมืองกลับไปสู่ภาวะปกติแล้ว ก็ให้เอาปัญญาเป็นที่ตั้ง แล้วบ้านเมืองจะเดินทางไปในทางที่ดี แต่ถ้าเล่นกันแบบหยาบๆ สุดท้ายก็จะลงเหวกันหมด ถ้าจะถามตนในขณะนี้อยากจะเสนอกว่าการยุบสภาเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจจะไม่รับ ซึ่งเราคิดแต่ว่าการเมืองขณะนี้เดินมาถึงทางตัน ต้องเลิกคิดวาทกรรม เอาทหารล้างท่อ เลิกเชื่อว่าการยุบสภาผิดกฎหมาย เพราะการเมืองไม่มีทางตัน สังคมไทยต้องพ้นอวิชชาและต้องตั้งหลัก สุดท้ายทหารเป็นกรรมกรรื้อบ้าน ด้าน นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต กล่าวว่า สังคมไทยสะสมความขัดแย้ง เชิงโครงสร้างมายาวนาน เริ่มตั้งแต่มีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง มีระบบรัฐสภา แต่ต่อมาทหารได้สร้างวิธีคิดก่อการปฏิวัติ เพราะเห็นว่านักการเมืองแย่ จึงเข้ามากวาดล้างระบบรัฐสภา แต่แนวคิดนี้ต้องเจือจางไปสมัย พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี และทหารก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลไกของรัฐ กระทั่งปี 2531 สมัย พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นจุดสูงสุดของกลุ่มทุนเกิดการคอร์รัปชัน กระจายตัวจนรัฐบาลถูกกล่าวหาเป็นบุฟเฟ่ต์ คาบิเนต จนเกิดการรัฐประหารปี 2534 แม้เหตุผลจะจริงดังที่ผู้ก่อการระบุหรือไม่ก็ไม่ทราบ ต่อมามีกลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากระบอบประชาธิปไตย คือ กลุ่มทุนท้องถิ่น นักเลงอันธพาล เป็นความฉลาดของการใช้ระบบอุปถัมภ์ ในฐานะฐานเสียงของตัวเอง เมื่อตัวแทนในพื้นที่เข้ามาสู่วงการเมืองได้ จึงเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง กลายเป็นประชาธิปไตยตัวแทน ใช้ระบบอุปถัมภ์สร้างคอรัปชั่นให้เกิดขึ้น เหตุการณ์เดือนตุลาฯในอดีตที่ผ่านมาก็เกิดจากการยึดครองอำนาจของตระกูลหนึ่งและกลุ่ม หนึ่ง เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ไม่ได้เกิดการจัดสรรทรัพยากรไปชุมชนอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตามวันนี้กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นที่วันนี้อายุ 70 กว่า และเคยร่วมเหตุการณ์ดังกล่าว ก็กลับเข้ามาในสภา มาทั้งเจ้าพ่อ นักเลง อันธพาล ซึ่งคนพวกนี้ สามารถสร้างมวลชนขึ้นมาได้ นายพิชาย กล่าวต่อว่า เมื่อโภคทรัพย์กระจุกตัว เพราะทหารและนักการเมือง และทำให้เกิดวิกฤตขึ้นมา ความพยายามของคนชั้นกลางที่จะสร้างกติกาการเมืองขึ้นมา และแก้ปัญหาคอร์รัปชัน การสร้างระบบตรวจสอบจึงเกิดขึ้นโดยรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่รัฐธรรมนูญ 40 ก็มีจุดอ่อน ทำให้ ส.ส.กลุ่มเดิมที่เกิดจากระบบอุปถัมภ์กลับมาอีก อีกทั้งระบบการศึกษาถูกทำลาย ทำให้มีการซื้อการศึกษามาก ส.ส.ต้องจบปริญญาตรี แต่ที่เกิดปรากฏการณ์เหนือความคาดหมาย คือ ปรากฏการณ์ทักษิณ กลไกการตรวจสอบถูกบิดเบือนโดยนักการเมือง มีการทุจริตคอร์รัปชันนายหน้ากินเปอร์เซ็นต์ ทำให้สร้างความอึดอัดกับชนชั้นกลาง ในที่สุดก็เกิดกลุ่มพันธมิตรฯต่อต้านรัฐบาลทักษิณ เพื่อให้โภคทรัพย์กระจายไปทั่วสังคมและประชาชน แต่ปัญหามีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่น และทำให้เกิดการสถาปนาขึ้นมา หรือเป็นอุดมคติของชาวบ้าน ที่เหมือนมีคนมาโปรด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองในอดีตทำไม่ได้ ในที่สุดก็เกิดการประจันหน้ากันของกลุ่มสนับสนุนและต่อต้าน ทำให้เกิดคำถามว่าระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน เหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ และวิกฤตที่เกิดขึ้น เกิดจากประชาธิปไตยแบบตัวแทนเชิงพื้นที่ หรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมเชิงกลุ่มผลประโยชน์ที่ว่าใครมีทุน ซื้อเสียงก็จะทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ การใช้อำนาจแทนประชาชนจึงเกิดคำถามว่าประชาชนมีส่วนร่วมจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการจัดสรรผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง แล้วโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้ประชาชน มีจุดมุ่งหมายสถาปนาอำนาจตนเอง ซึ่งประชาธิปไตยแบบนี้เกลียดการตรวจสอบมาก เพราะตรวจสอบไปที่จุดไหน จะพบความเน่าเฟะ ไม่เหมือนกับประเทศตะวันตก ที่ยินดีให้ตรวจสอบ อย่างไรก็ตาต้องยอมรับว่าบทบาทของศาลในอีดีตไม่มีสมดุลย์กับอำนาจบริหาร ต่างจากต่างประเทศที่มีความสมดุล ทำให้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้รับผลกระทบ เมื่อกระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งประชาธิปไตยจะยั่งยืนเหมือนเกาหลี นายพิชาย วิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเกิดในอนาคต ว่า แนวโน้มน่าจะเกิดการเปลี่ยนผ่าน วันนี้เราอยู่ในช่วงปริซึมเตรียมแยกเฉดสี เปลี่ยนผ่านการเมืองไทย ไม่ย้อนกลับสู่แบบเดิม ที่มีแต่นักการเมืองฉ้อฉล แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ชนชั้นกลางจะเริ่มแสดงออกทางการเมือง เป็นกลุ่มหรือเครือข่ายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลการเลือกตั้งพลิกผันได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยในอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แต่จากข้อมูลเชิงประจักษ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 6 ตุลาฯ 19 เกิดจลาจล แต่ในที่สุดก็ยุติได้ด้วยระบบพิเศษของสังคมไทย แต่วันนี้คนเป็นนายกฯ มีความคิดและการแสดงความเห็น ทำให้เกิดคำถามว่าอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ทำให้เกิดความเชื่อว่าถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น คงเป็นเรื่องธรรมดา และนายกฯ ได้ออกมาพูดในลักษณะฝ่ายเขาฆ่าเรามามาก เราต้องฆ่าเขาบ้าง ซึ่งเป็นการเปรียบเปรย อาจไม่เป็นจริง แต่ประชาชนไม่เข้าใจ จึงเกิดกรณีม็อบอุดรฯ นี่คือการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ นอกจากนี้หากมองไปยังคนที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์บางคนวิชาชีพถูกปลูกฝังให้ใช้ค วามรุนแรง ซ้อมผู้ต้องหา นโยบายปราบปรามยาเสพติด ทำให้ผู้ปฏิบัติตีความผิด ไปใช้ความรุนแรง เกิดกรณีมัสยิดกรือเซะ และตากใบ ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก มีทั้งกลุ่มนักเลงเจ้าพ่อ พวกคลั่งไสยศาสตร์ และมวลชนของคนกลุ่มนี้ก็เป็นฝ่ายซ้ายสุดขั้ว เมื่อหันมามองดูแกนนำพันธมิตร ฯ 4 คน ไม่มีประวัติใช้ความรุนแรงมาก่อน โดยวิชาชีพ ยกเว้นพล.ต. จำลอง ศรีเมือง โดยลักษณะวิชาชีพมีการใช้ความรุนแรงมาก่อน แต่ 20 กว่าปีที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ได้เข้าไปอยู่สันติอโศก ปฏิบัติธรรม ที่สำคัญ 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้มาชุมนุมเป็นผู้หญิงจากชนชั้นกลาง และการแสดงออกทางการเมืองแบบใช้ความรู้และสันติสูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนมองว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อรัฐบาลและนายทุนเกิดภาวะจนตรอกและสิ้นคิด จนตรอกคือกลัวติดคุก และสิ้นคิดคือเมื่อจะติดคุกก็ทำลายให้มันพังไปหมด อยู่ที่ว่าจะเลือกจนตรอก หลีกหนี ลี้ภัย ความรุนแรงจะไม่เกิด แต่ถ้าจนตรอกแล้วสิ้นคิดจะเกิดความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นกลไกหลัก ถ้าสามารถแก้ได้จะล้างความผิดทั้งหมด เมื่อไหร่ที่ยื่นแก้รัฐธรรมนูญ หมายความว่าสิ้นคิด และจะเกิดจลาจลขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ดังนั้นสังคมยังมีทางออกถ้านักการเมืองใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรมมีจริยธรรม ถ้าสามารถข้ามพ้นวิกฤตินี้ไปได้ก็จะมีการเมืองใหม่ที่ไม่เป็นแบบเดิม ผู้ที่เข้ามาจะถูกตรวจสอบเหมือนในอารยะประเทศอื่น ไม่เหมือนรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้องแล้วก็ไม่ยอมออก ด้านนายปริญญา กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้มีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น คำถามคือเรามีทางออกหรือไม่ หรือจะปล่อยให้แตกหัก ซึ่งหากปล่อยไปจะนำไปสู่ความรุนแรงและนองเลือดได้ ทั้งนี้สาเหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากการใช้อำนาจไม่ชอบของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และมีการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกวิธีคือการยึดอำนาจ และทำให้สังคมไทยตกอยู่ในหลุม ที่ไม่สามารถขึ้นมาจากหลุมได้ รัฐธรรมนูญปี 50 ก็มีปัญหาในหลายจุด เช่นระบบการเลือกตั้ง โดยจากการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. พรรคพลังประชาชนได้ ส.ส.จากการเลือกตั้งแบบแย่งเขตจำนวน 199 จาก 400 คน คิดเป็น 49,75 เปอร์เซ็น คะแนนที่ได้จากประชาชนคิดเป็น 36 เปอร์เซ็นเท่านั้น ซึ่งพรรคพลังประชาชนควรได้ 147 คนเท่านั้น หมายความว่าได้เกินมา 52 คน จุดนี้จงเป็นสาเหตุของความขัดแย้งเลือกตั้งไปแล้วปัญหาไม่จบ นายปริญญา กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เคยปลูกฝังความเป็นพลเมืองไนระบบอนาประชาธิปไตย ที่ยองรับความแตกต่าง ไม่ใช้ความุนแรงแก้ปัญหา ซึ่งคล้ายคลึงกับ เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ประชาชนไทยแบ่งเป็นซีกซ้ายขวาชัดเจน ส่วนชนวนที่จะนำไปสู่การนองเลือดคือการแก้รัฐธรรมปี 50 ที่มีฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับว่าเป็นกติกาสูงสุด ยังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ม.237 และม.309 และหากพลังประชาชนแก้จริง แต่แก้ไม่สำร็จ ซึ่งทางออกของเหตุการณืในเรื่องนี้คือหากปล่อยให้กระแสความรุนแรงไปเรื่อยๆสังคมจะเก ิดความเสียหายในระยะยาว แต่เมื่อขณะนี้ยังไม่เกิดก็มีโอกาสหลีกเลี่ยงความรุนแรง จึงขอเสนอแนวทางการหลีกเลี่ยงความรุน 4 ข้อ ได้แก่1.รักษากติกาไม่ใช้ความรุนแรงให้ได้ 2. พันธมิตรและกลุ่มต่อต้านต้องยึดมั่นในกติการไม่ใช้ความรุนแรง เพราะเหตุการณ์ที่จังหวัดอุดรธานี ฝ่ายต่อต้านเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แม้พันธมิตรจะไม่ควรจัดการชุมนุมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง แต่ฝ่ายต่อต้านก็ไม่มีสิทธิเข้าไปทำร้ายพันธมิตร ขณะที่ตำรวจจะต้องรักษากติกา และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด หากเกิดความรุนแรงรัฐบาลไปไม่รอดแน่ เพราะ 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่เคยมีรัฐบาลไหนอยู่ได้ รัฐบาลจะต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันไม่ให้คนไทยฆ่ากันเอง 3.รัฐบาลจะต้องตัดชนวนการแก้รัฐธรรมนูญ แม้ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่การแก้ในขณะนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง ควรปล่อยให้คระกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 50 เป็นผู้ดำเนินการ และต้องเสนอร่างให้สาธารณะชนรับฟังความคิดเห็นก่อน และ4.แม้การยุบสภาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น การยุบสภาเป็นการแก้ปัญกหาเฉพาะหน้า เชื่อว่าจะทำให้ความรุนแรงที่เขมรเกลียวคลี่คลายออกไปได้ แล้วเข้าสู่ระบบเลือกตั้ง หากใช้แนทางแก้รับธรรมนูญก้ควรแก้ไขระบบเลือกตั้งให้ดีขึ้น หากจะทำได้จะต้องใช้ สสร.3 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน "เหตุการณ์นองเลือดยังไม่เกิด เพียงแต่มีแนวโน้มว่าจะเกิด ดังนั้นเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องยึดหลักประชาธิปไตย ปฏิเสธ ความรุนแรง เพราะเราผ่านเหตุการณ์นองเลือด 3 ครั้ง การปฏิวัติ 8 ครั้ง แต่ทำไมสังคมไม่ดีขึ้นมาเลย ดังนั้นต้องอาศัยสันติวิธี ผมเชื่อว่าระบบอบประชาธิปไตยจะเกิดสันติสุขได้"นายปริญญา กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากรัฐบาลปล่อยมาตรการ 6 เดือน จะทำให้ผลการเลือกตั้งหลังยุบสภา เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ นาย ปริญญา กล่าวว่า ถ้าจะปกครองด้วยระบอบประชธิปไตยต้องยอมรับการตัดสินของประชาชน แต่ระบอบต้องอยู่แบบอิสระ ไม่ใช่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมป์ แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาซื้อเสียงไม่ได้เลย การเลือกตั้งที่ผ่านมาปี 50 ในระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคพลังประชาชนเพียง 2 แสนคะแนนเท่านั้น คิดเป็น 40.44 เปอร์เซ็น กับ 41.08 เปอร์เซ็น ซึ่งหากประเทศไทยใช้ระบบการเลือกตั้งที่เป็นธรรม พรรคประชาธิปัตย์จะมี ส.ส.น้อยกว่าพลังประชาชนแค่ 3 คนเท่านั้น ดังนันการแก้ไขระยะยาวต้องแก้ที่ระบบเลือกตั้ง ขณะที่ยุบสภาเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนที่กลุ่มพันธมิตร เสนอการเมืองใหม่ที่ให้มีการแต่งตั้ง 70 และเลือกตั้ง 30 ก็ควรเสนอให้พรรคการเมืองพิจารณา เพื่อปรับให้เป็นการเมืองใหม่ ไม่ใช่ยึดการเมืองแบบนองเลือดอย่างเดียว ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การปรับ ครม.สมัคร 4 ได้ช่วยให้สถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้นหรือไม่ นาย ปริญญา กล่าว่า ช่วยได้ จะทำให้คะแนนนิยมมีมากขึ้น แต่ไม่คิดว่าเสถียรภาพของรัฐบาลจะมีมากขึ้น โอกาสที่รัฐบาลจะอยู่ยาวก็มีหากแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ถ้าหากแก้รัฐธรรมนูญ โอกาสจะอยู่สั้นลง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีแนวทางป้องกันปัญหาไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองด้วยวิธีนอกระบบ นายสุรชาติ กล่าว เราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าจะอยู่ในการเมืองนอกระบบหรือในระบบ เพราะประช่ธิปไตยไม่มีเส้นทางลัด แม้จะมีส่วนเสีย แต่อย่งน้อย หลักประกันคือให้ประชาชนมีส่วนร่วม เมื่อประสพปัญหาต่างๆก็ต้องร่วมกันฝ่าไป สังคม ไทยจะลดความเป็นคนเจ้าอารมณ์ลง กรณีเขาพระวิหารสังคมไทยต้องทำความเข้าใจให้ชัด เพราะหากไปตีความว่าแถลงการณืร่วมเป็นหนัสือสัยญา ภาควิชาที่ตนสอนต้องปิด หรือถ้าอย่าน กรรีที่นาย เตช บุญนาค รมว.ต่างประเทศไปร่วมประชุมและมีข้อตกลงกับรัฐบาลกัมพูชา นายเตช จะต้องนำข้อตกลงนั้นมาเข้าสภาตามรัฐธรรมนูญ ม.190 วรรค 2 และถ้าสภาไม่เห็นชอบสิ่งที่ดำเนินมาก็เป็นศูนย์ และรัฐบาลไทยก็จะขาดความน่าเชื่อถือ http://www.thaipost.net/print.asp?news_id=162022&cat_id=501&iDate=4/Aug/2551 |