หัวข้อ: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 04-09-2008, 22:47 เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่
โดย วิหค อัสนี (1) บันทึกนี้เริ่มขึ้นมาจากการถกกันในกระทู้ เกี่ยวกับการต่อต้านระบอบทักษิณ และการถูกชักจูงโดยพันธมิตร ซึ่งมีการแสดงความเห็นในแนวทางที่ว่าแกนนำพันธมิตรมีวาระซ่อนเร้นส่วนตัว หรือแม้แต่ทฤษฎีสมคบคิด ที่ว่าทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายทักษิณ สุดท้ายแล้วล้วนเป็นหุ่นกระบอกของผู้เชิดคนเดียวกันที่ต้องการจะสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเพื่อเข้ายึดครองเท่านั้น การเข้าร่วมกับพันธมิตรเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณจึงขาดความชอบธรรม จะเป็นการหลงตกเป็นเพียงเครื่องมือในความขัดแย้งแสวงหาอำนาจทางการเมืองไปเสียเปล่าๆ ? ผมขอเสนออีกมุมมองหนึ่งนะครับ ลองคิดดูว่าตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพันธมิตรถูกสลาย ถูกปราบปรามจนแตกย่อยยับ ไม่ว่าจะจากตำรวจหรือจากม็อบฝ่ายตรงข้าม? หรืออยู่ๆ ถ้าเกิดแกนนำได้รับข้อเสนอสมประโยชน์อย่างที่ใครบางคนปรามาสไว้จริง หรือเกิดถอดใจขึ้นมาดื้อๆ ประกาศยุบกลุ่มพันธมิตร ล้มเลิกการชุมนุมต่อสู้ทุกอย่าง ขอให้กลับบ้านใครบ้านมัน เรื่องมันจะจบมั๊ยครับ? คนที่ไม่ชอบทักษิณตอนนี้ส่วนใหญ่ จะผิดหวังสุดขีดกับพันธมิตร จนยอมหันกลับลำไปยอมสวามิภักดิ์ สรรเสริญทักษิณ แล้วกลับไปอยู่อย่างเชื่องๆ ตามเดิมหรือไม่? ไม่มีทาง ผมเชื่อว่าฝ่ายต่อต้านทักษิณส่วนใหญ่ที่มีการตกผลึกการรับรู้มาพอสมควรแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางจะกลับไปให้ความเคารพศรัทธา หรือมีความไว้วางใจใดๆ หลงเหลือให้กับกลุ่มการเมืองฝ่ายนั้นอีกในชีวิตนี้ และผมรับรองได้เลยว่า กลุ่มคนที่ออกมาอยู่บนถนนกันวันนี้ ก็จะแยกตัวปรับขบวนกันไปก่อตั้งเป็นแนวรบใหม่อีกหลายๆ แนว ด้วยรูปแบบการต่อต้านที่จะซับซ้อนพิสดารขึ้นไปยิ่งกว่านี้อีก เพื่อเดินหน้าต่อไปไม่หยุด ตายสิบเกิดแสนครับ และจะไม่มีทางควบคุมได้อีกเลย ตราบใดที่ตัวปัญหาที่แท้จริง ยังไม่ถูกแก้ไข ความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองยังไม่ถูกชำระ ยังไม่มีใครหน้าไหนจะรับผิดชอบได้ ผมมีหลักการและเหตุผลหลายอย่าง สิ่งที่ได้พบได้เห็นมา พฤติกรรมที่แสดงออกมาจากตัวพวกเขาเอง รองรับความเชื่อที่ว่า ระบอบทักษิณนั่นแหละ เป็นตัวการสำคัญที่บิดเบือนและบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อีกทั้งยังมีความเป็นทรราชและเป็นอธรรม ที่ไม่อาจยอมรับให้ขึ้นมามีอำนาจครอบสังคมประเทศชาติได้อีกต่อไป โดยยังไม่ต้องคิดไปถึงใบเสร็จคดีโกงกินทั้งหลายแหล่ที่ยังสืบสาวกันอยู่ในตอนนี้เลย เพราะเหตุนี้ ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม เพราะนึกถึงวันข้างหน้า ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม เพราะเชื่อในหัวใจของความเป็นเสรีชน ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม ถ้าจะให้อธิบายต้นสายปลายเหตุละก็ เรื่องมันยาว...ตั้งแต่หลายปีมาแล้วก่อนพันธมิตร หรือแม้แต่พรรคไทยรักไทยจะเกิดด้วยซ้ำ เดี๋ยวถ้าว่างอีกเมื่อไหร่จะมาทยอยเล่าไปทีละช่วงๆ ก็แล้วกันครับ (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 04-09-2008, 22:50 (2)
เมื่อตอนนั้นผมได้เห็น พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี พร้อมกับคำประกาศอย่างสุดอหังการ์ว่า จะแก้ปัญหารถติดให้ได้ใน 6 เดือน จำได้ลางๆ ว่ารู้สึกทึ่งแกมสงสัย คนๆ นี้มีทีเด็ดหรืออภินิหารอะไรหรือ? ถึงได้กล้าพูดออกมาอย่างมั่นใจขนาดนั้น? และแล้วผมก็เริ่มได้เห็นแผนการของเขา ด้วยสารพัดป้าย "รณรงค์วินัยจราจร" ที่ติดเต็มพรึบไปทั่วเมือง ตอนนั้นผมก็ชอบนะ อ่านแล้วฮาดี เออเขาช่างคิดเว้ย สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น "ลูกใครหว่า" "พี่ขาอย่าทับหนู" และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างน้อยก็น่าจะช่วยลดความรู้สึกเครียดของคนตอนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยในขบวนรถติดลงไปได้บ้าง ผมจำไม่ได้เลยว่านอกจากนั้น มีมาตรการอะไรออกมาอีกหรือไม่... นอกจากการรณรงค์ที่หวือหวาดูน่าสนใจ ทำให้คนทั่วๆ ไปรู้สึกว่าอย่างน้อย "เขาก็ได้พยายามทำอะไรๆ บางอย่างที่ดูใหญ่โตอลังการงานสร้างเพื่อจะแก้ปัญหา และด้วยวิธีที่ดูแหวกแนว โดนใจวัยรุ่น ให้ภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำยุคใหม่ซะด้วย" แต่สุดท้ายแล้ว มันแก้รถติดได้หรือเปล่า? แล้วมีใครได้ไปแตะที่รากของปัญหาแบบจริงๆ จังๆ หรือยัง? ผมว่าทุกคนโดยเฉพาะชาว กทม. ที่กำลังอ่านข้อความผมอยู่ ก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจ... ซึ่งตรงนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่อารัมภบทก่อนให้รู้ถึงความประทับใจแรกๆ ของผมต่อนักการเมืองที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 04-09-2008, 22:52 (3)
ต่อมา วันดีคืนดีนายสมัคร สุนทรเวช ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ตอนนั้นผมอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ได้ข่าวนี้ ก็เกิดของขึ้น เมื่อสนใจสืบค้นไปเจอประวัติของนายสมัคร และเนื่องจากผมเองเคยได้อ่านหนังสือที่บันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ 14 ตุลา 6 ตุลา มาจนถึงพฤษภาทมิฬ มาที่บ้านตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เลยออกไปร่วมแจมกับแคมเปญต่อต้านสมัคร โดยเคลื่อนไหวอิสระเป็นส่วนตัวกับเพื่อนอีก 2-3 คนตอนนั้น ทำใบปลิวไปแจก+ติดซะทั่ว ลุยในกระทู้พันทิพราชดำเนิน มันดูออกจะบ้าบอ พ้นสมัยไปหน่อย ไม่มีนักศึกษาจะมาทำอะไรแนวๆ นี้แล้วในเวลานั้น ผมไม่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่า กทม. แต่ผมอาศัยอยู่ใน กทม. เป็นประจำมาตั้งแต่ตอนเข้ามหาลัย เวทีผู้ว่า กทม. ก็ดูจะไม่ได้มีประเด็นสลักสำคัญอะไรขนาดนั้น ผมเองก็ไม่เคยลุกขึ้นมาเปิดแคมเปญสนับสนุนหรือต่อต้านนักการเมืองคนไหนมาก่อน และก็ไม่ได้ทำอีกจนถึงยุคทักษิณ แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนมีความรู้สึกลึกๆ บางอย่างบอกว่าไม่อยากให้นายนี่ได้ขึ้นมาเป็นผู้ว่า กทม. เลย เหมือนกับว่าถ้าปล่อยให้ขึ้นมาได้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความชั่วช้าสามานย์บางอย่างที่ใหญ่โตกว่าในวันข้างหน้า...ยังไงยังงั้นแหละ แต่ตอนนั้นกระแสชาวกทม. ก็ตีกลับไปรวมกันที่สมัคร เพื่อเป็นการต่อต้านสุดารัตน์จาก ทรท. อีกทีหนึ่ง จนกลายเป็นคะแนนถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ และนายสมัคร สุนทรเวช ก็ได้ขึ้นเป็นผู้ว่า กทม. ในที่สุด... หลังจากนั้น ก็อย่างที่ว่า ผมไม่ได้สนใจอะไรกับสนาม กทม. เท่าไหร่นัก ส่วนเวลามีเลือกตั้งท้องถิ่น หรือเลือกตั้งทั่วไปแต่ละที ผมก็แทบไม่รู้จักใครในพื้นที่แถวบ้านผมเลย อาศัยหาข้อมูลแบบรวบรัดเอาก่อนจะไปเลือก นอกจากนั้น เวลาผมเห็นผู้สมัครคนไหนมาหาเสียงหรือแนะนำตัวในการเลือกตั้งคราวไหนก็ตาม ผมมักจะพยายามมองดูรูป โดยเฉพาะมองลึกเข้าไปในแววตาของคนๆ นั้น เพื่อประเมินจากความรู้สึกตัวเองว่าคนๆ นี้ ไว้ใจได้แค่ไหน? เป็นตัวประกอบการตัดสินใจอีกทางนึง แต่หลังๆ ตั้งแต่ความวุ่นวายจากระบอบทักษิณเริ่มก่อตัว ผมมักจะได้ใช้บริการช่อง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะการเลือกตั้งท้องถิ่น (จังหวัดผมเริ่มกลายเป็นถิ่นแม้วไปแล้วช่วงนั้น ผมเองก็เคยหลวมตัวไปลงคะแนนให้ครั้งนึง โดยเลือกปาร์ตี้ลิสท์ของ ทรท. แล้วเลือก สส. เขตของ ปชป. เข้าไปให้ช่วยถ่วงดุลอำนาจ) จนครั้งหลังสุดๆ นี่แหละที่สถานการณ์ผลักดันให้ผม กา ปชป. มันยกชุดครับท่าน (แต่แน่นอน ทุกวันนี้อะไรที่เห็น ปชป. ทำไม่เข้าท่า ผมก็พร้อมจะวิจารณ์ได้ตลอดเหมือนเดิม) นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องระหว่างผมกับว่าที่ผู้ว่าฯ สมัครในวันโน้น ก่อนจะมาเป็น ฯพณฯ หอกหักในวันนี้... (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 04-09-2008, 22:55 (4)
คราวนี้ มาว่ากันถึงนิยามของคำว่า "ประชาธิปไตย" "เผด็จการ" กับ "ทรราช" เข้าใจดีว่าฝ่ายเชียร์ทักษิณ คงข้องใจมาตลอดว่า ทำไมพวกเราจึงกล่าวหาระบอบทักษิณเป็นเผด็จการ ทั้งๆ ที่มาจากการเลือกตั้ง? รู้อะไรมั๊ยครับ... อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ขึ้นมามีอำนาจจากการเลือกตั้ง โดยเสียงส่วนใหญ่ของชาวเยอรมันในสมัยนั้นอย่างท่วมท้น แล้วทำไมชาวโลกไม่เคยมีใครเชิดชูเขาว่าเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย? ทำไมเขากลับถูกประณามและเป็นที่รู้จักในทุกยุคทุกสมัยว่าเป็นจอมเผด็จการทรราชมาตลอด? ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ? แล้วตกลงนิยามคำว่า ประชาธิปไตย มันควรเป็นยังไงกันแน่? ลองสมมติเล่นๆ ว่ามีประเทศหนึ่ง มีประชากร 10 ล้านคน ได้พร้อมเพรียงกันลงคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นเอกฉันท์ 10 ล้านเสียง ให้นาย ก. เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ และบริหารบ้านเมืองไปได้เรียบร้อยไม่มีปัญหา รัฐบาลไม่เคยโกงกิน อยู่มาวันหนึ่ง จะมีเหตุเป็นมายังไงก็แล้วแต่ แต่สมมติให้มีประชาชนธรรมดาๆ 1 คนถ้วน ชื่อนาย ข. ที่ถ้าตายไปแล้วจะให้ผลประโยชน์กับคนที่เหลือมหาศาล แต่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร คำถามมีอยู่ว่า นาย ก. จะมีความชอบธรรมในการอ้างอำนาจการปกครองจากเสียง 10 ล้านเสียง และอ้างผลประโยชน์ที่จะมีกับประชาชนอีก 9,999,999 คน เพื่อสั่งฆ่านาย ข. เพียง 1 คนได้หรือไม่? และถ้าเป็นอย่างนั้น ถามว่านาย ข. ควรมีความชอบธรรมที่จะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไหม? ถ้าคุณเป็นนาย ข. คุณจะพยายาม ลี้ภัย ป้องกัน ต่อต้าน หรือแม้แต่ จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับอำนาจรัฐอธรรม หรือไม่? หรือจะยอมให้ฆ่าแต่โดยดี...เพราะคนส่วนมากได้ประโยชน์? แล้วถ้าเปลี่ยนโจทย์เป็นพ่อแม่ ลูกเมีย หรือครอบครัวของคุณคนใดคนหนึ่งเป็นเป้าหมายล่ะ? ตัวอย่างสมมติที่สุดโต่งนี้ ใช้เพื่อพิสูจน์กับใจคุณเองว่า ลำพังการอ้าง เสียงข้างมากของมวลหมู่มหึมาอภิมหาประชาชน อย่างเดียว ไม่มีทางเป็นสิ่งที่ "ถูกต้องสมบูรณ์นิรันดร์ไป" ได้หรอกครับ จึงมีคำว่า "พวกมากลากไป" จึงมีคำว่า "ทรราชของเสียงข้างมาก" หรือ "เผด็จการรัฐสภา" มาอธิบายสภาพเหล่านี้ ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะเอามาแอบอ้างว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ที่ชาวโลกยกย่องเชิดชูกันว่าเป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดได้เลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หมายความว่าทั้งโลกกำลังสนับสนุนระบบการปกครองแบบไหนอยู่หรือ? ระบบคิดของสังคมโลกเรากำลังถดถอยไปเป็นคนเถื่อน ที่ยอมรับการรุมโทรมข่มขืน ยอมรับการรวมกันเป็นฝูงใหญ่เพื่อไปรุมทำร้ายปล้นชิงผลประโยชน์จากกลุ่มชนที่มีจำนวนน้อย มีกำลังน้อยกว่า หรือไม่? เคยมีบทความหนึ่งกล่าวไว้ว่า สังคมแบบทรราชโดยเสียงข้างมาก เลวร้ายสำหรับชนกลุ่มน้อย ยิ่งกว่าสังคมแบบอนาธิปไตยที่ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ โดยสิ้นเชิงเสียอีก ก็เพราะว่า ในสภาวะบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบสมบูรณ์นั้น คนแต่ละคนยังพอมีโอกาสต่อสู้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและคนใกล้ชิดให้อยู่อย่างเป็นสุขได้ด้วยกำลังของตนตามสมควร มากกว่าสังคมทรราชที่คนหมู่มากถูกเสี้ยมสอนให้คอยรุมขย้ำสูบเลือดสูบเนื้อและกดเหยียบชนกลุ่มน้อยที่แตกต่างออกไปจากฝูงเสียอีก จะมาอ้างความชอบธรรมในการปกครอง แต่ถ้าไม่ได้ยืนพื้นอยู่บน มนุษยธรรม เสียแล้ว เขาเรียกให้สวยหรูว่าประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือระบอบอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับว่าเป็น ระบอบการปกครองที่ถูกต้องของมนุษย์ ได้ จะเหมาะก็แต่ใช้ปกครองในฝูงสัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญาต่ำกว่ามนุษย์เท่านั้น แต่ระบอบทักษิณกลับพยายามสอดแทรก หรือจะเรียกว่ายัดเยียด แนวคิดบิดเบือนที่เป็นเหมือนยาพิษนี้ ให้กับกลุ่มสังคม ประชาชนที่เป็นฐานเสียงของตนอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้สอนหลักประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับในสังคมอารยะประเทศให้กับประชาชน สอนแต่เพียงคำว่า การเลือกตั้ง เสียงส่วนใหญ่ จำนวน สส. ในสภา คือความถูกต้อง และ ม็อบเป็นสิ่งที่ผิด การต่อต้านรัฐบาลเป็นสิ่งที่ผิด ไม่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย ฝังหัวไว้เพียงเท่านั้น หลักคิดที่ผิดๆ นี่แหละเป็นรากเหง้าอันที่หนึ่ง ของต้นไม้พิษที่มันเติบโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ จนถึงเวลาออกผลไม้พิษมาคือการที่สังคมประเทศชาติแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันถึงขนาดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน (สำหรับรากเหง้าอันอื่นๆ จะอธิบายในโอกาสหน้า) (มีต่อ) หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 04-09-2008, 22:58 (5)
กฎใดๆ ก็ตาม ที่สมมติขึ้น ย่อมต้องขึ้นอยู่กับกฎในระดับสูงกว่าทั้งสิ้น ระบบการปกครองใดๆ ก็ตามของสังคมมนุษย์ จะต้องสร้างขึ้นมาโดยมีพื้นฐานอยู่บนธรรมชาติคือ - มโนธรรมสำนึกของมนุษย์ ที่จะคอยบอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด สิ่งใดยุติธรรมหรืออยุติธรรม - จิตสำนึกในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์ และโดยมีอุดมคติอยู่ที่ การปกครองเพื่อให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และตอบสนองความต้องการตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เหมือนๆ กัน ในโลกยุคปัจจุบัน มีระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีนิยามว่า "การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน" หลักการปกครองในระบอบนี้ ตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสำคัญๆ เช่น - เคารพความเท่าเทียมกันในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ - เชื่อในสิทธิเสรีภาพ ที่แต่ละคนจะเลือกคิด เลือกพูด เลือกกระทำ เลือกใช้ชีวิตไปในแนวทางใดๆ ก็ได้ ตราบที่ไม่ไปล้ำเส้นสิทธิของบุคคลอื่น - เชื่อว่ามนุษย์โดยทั่วไปแล้วย่อมมีสามัญสำนึก สามารถใช้เหตุผลคิดทำเรื่องต่างๆ ให้เกิดผลดีกับตนเองและส่วนรวมได้ตามสมควร - เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนควรเป็นผู้ใช้อำนาจ และถือความรับผิดชอบ ในการกำหนดชะตากรรมของสังคมที่ตนเองอยู่ร่วมกัน - เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนอาจมีอคติ ความเอนเอียงในการตัดสินใจ และมีความต้องการผลประโยชน์เข้าตน แต่เมื่อให้คนหลายๆ คนร่วมกันตัดสินใจ ความเอนเอียงเหล่านั้นจะหักล้างถ่วงดุลกันไป และได้ผลออกมาสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด - ยอมรับว่าอำนาจของผู้ปกครองใดๆ ก็ตาม ต้องเกิดจากการยอมรับของส่วนรวม และดังนั้น อำนาจที่แท้จริงจึงเป็นของประชาชนส่วนรวม ซึ่งแนวคิดเหล่านี้มีความหมายกว้างและลึกซึ้งกว่ากรอบแคบๆ ของคำว่าเลือกตั้งเพียงเท่านั้น การเลือกตั้ง เป็นวิธีมาตรฐานที่สุด ในการเลือกตัวแทนจำนวนหนึ่งเข้าไปเป็นปากเสียงของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งดูแลและบริหารความเป็นไปของสังคมส่วนรวม เพื่อที่คนทั่วๆ ไปจะได้ทำงานที่ตนเองอยากทำไปได้โดยไม่ต้องมาคอยตัดสินใจกิจการของส่วนรวมอยู่ตลอดเวลา ตามหลักการแบ่งหน้าที่กันทำของคนในสังคมนั่นเอง การเลือกตั้ง การลงประชามติ เป็นกลไกหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ที่จะให้ได้ผลสรุปความต้องการและทางเลือกของประชาชนออกมาอย่างชัดเจนและเป็นทางการ และก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งหรือลงประชามติแล้วจะกำหนดความผิดถูกได้ทุกอย่าง การเลือกตั้งที่จะเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม และต้องรับประกันได้ว่าผู้มีสิทธิ์ทุกคน จะใช้สิทธิ์ออกเสียงได้โดยลับและด้วยความอิสระจากการตัดสินใจของตนเอง ปลอดจากการขู่บังคับหรือชักจูงโดยมิชอบด้วยวิธีการต่างๆ ให้มากที่สุด และต้องรับประกันได้ว่าผู้มีสิทธิ์และสังคมโดยรวม จะได้รับข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและเปิดกว้าง เกี่ยวกับทางเลือกทุกด้านของพวกเขาในช่วงหาเสียงหรือช่วงเตรียมการ ก่อนจะมีการลงคะแนน จากที่กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล (คำกล่าวยอดนิยมของนักเศรษฐศาสตร์) แต่มนุษย์โดยทั่วๆ ไป ไม่ได้มีแต่เหตุผลอย่างเดียวสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลได้แค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ ว่าถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน สภาพสติอารมณ์ที่ไม่ถูกกดดัน หรือถูกปลุกเร้าไปในทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และการมีผลประโยชน์-ความเสี่ยงพัวพันกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ยิ่งในสังคมยุคใหม่ ข้อมูลข่าวสารท่วมทะลักอยู่รอบทิศทาง คนเรายิ่งถูกปั่นหัวและถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกไปจากเรื่องที่สำคัญจริงๆ ได้ง่าย ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย และมีการพัฒนาประชาธิปไตยมาจนเข้มแข็งแล้ว จะมีระบบการเมืองซึ่งยอมรับหลักการบางอย่างเหมือนๆ กัน เช่น - การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างกันของอำนาจขั้วต่างๆ - เสรีภาพ ความเปิดกว้าง การยอมรับความเห็นแตกต่างที่อยู่ใต้หลักกฎหมาย - ความเป็นอิสระของสื่อ และการไม่ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร - กลไกที่จะให้สังคมมีอำนาจยับยั้งและถอดถอนผู้ที่ใช้อำนาจรัฐทำอันตรายต่อสังคม ประชาชนและหลักการปกครองได้ ในไทยเราเอง ก็เคยมีกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งกล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงยินดีสละอำนาจที่เป็นของพระองค์ท่านแต่เดิมให้ราษฎรโดยทั่วไป แต่ไม่ทรงยินยอมให้บุคคลคณะใดคณะหนึ่งยึดเอาอำนาจนั้นไปใช้โดยสิทธิ์ขาด และไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร ในประชาคมโลก ก็มีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ผูกมัดอยู่อีกชั้นหนึ่ง แล้วเราจะตัดสินอย่างไร ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ?? ถ้าจะดูแบบง่ายๆ จากบรรยากาศในสังคมแล้วก็อาจจะเรียกได้ว่า: เพราะเปิดกว้าง จริงใจ และสุภาพ จึงเรียกว่าเสรี-ประชาธิปไตย เพราะคับแคบ คิดคด และดุร้าย จึงเรียกว่าเผด็จการ-อำนาจนิยม นั่นเอง นี่คือสิ่งที่ฝ่ายพันธมิตรและแนวร่วมภาคประชาชน ได้พยายามแหกปากบอกกับสังคมอยู่ในเวลานี้ว่า "ประชาธิปไตย ต้องไม่ใช่แค่การออกจากบ้านไปเลือกตั้งกากบาท 1 แกร๊ก แล้วก็ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องสนใจการเมืองไปอีก 4 ปี โดยปล่อยให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอ้างความชอบธรรมจากเสียงข้างมากเพื่อถือสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องเห็นหัวใคร และไม่ต้องรับผิดใดๆ ทั้งนั้น" แต่ว่า แม้แต่แนวคิดเรื่องการเลือกตั้ง ระบอบทักษิณก็ยังจงใจตัดเอาอ้างมาแบบบิดๆ เบี้ยวๆ แค่ส่วนเสี้ยวเดียว ซ้ำยังใช้กลอุบายหากินกับข้อจำกัด ฉวยเอาข้อจำกัด จุดบอด และความเน่าเฟะทุกอย่างของระบบการเลือกตัวแทนที่เราใช้อยู่ มาใช้ปิดกั้น และยิ่งกว่านั้น ใช้เพื่อหักล้างเสียงเรียกร้องและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนอีกด้วย สรุปคือตัดเอาเปลือกส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยมา แล้วหลอกล่อให้คนมองอยู่แต่จุดแคบๆ จุดนั้น พร้อมกับอวดอ้างว่าทั้งหมดแค่นี้แหละคือประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ระบอบทักษิณนำมาประเคนให้ ในขณะที่เนื้อหา ธรรมชาติภายในของการปกครอง กลับยิ่งขัดแย้ง เบี่ยงเบนและหลงทางออกไปจากหลักการประชาธิปไตยทุกอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหินฮะ๛ ที่ 04-09-2008, 23:49 :slime_smile: รออ่านอยู่นะฮะ
ถ้ามีต่อ ก็จะรอฮะ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: นายดอกเข็ม ที่ 05-09-2008, 00:06 :slime_fighto: :slime_fighto: :slime_fighto:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Sweet Chin Music ที่ 05-09-2008, 01:52 เขียนได้ดีครับ รออ่านอยู่เช่นกัน
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 05-09-2008, 01:57 เห็นด้วยอย่างที่สุด ที่สุด และที่สุดครับ ท่าน จขกท.
ขั้นของทักษิณมักจะเอา "เสียงข้างมาก" มาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ไม่ใช่สิ... เป็นมุ้งครอบบรรดาความผิด ความเน่าเฟะ ของตัวเองและคณะเสมอๆ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊ยเก๋า ที่ 05-09-2008, 02:36 แววความฉิบหายของบ้านเมืองมันเริ่มเห็นลางมาตั้งแต่ที่จำลองยกพรรคพลังธรรมให้ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค
จำลองที่สวมบทของคุณธรรมคว้ำสุจินดา ทำไมถึงยอมให้พ่อค้าผูกขาดมือถือมาเป็นหัวหน้าพรรคคุณธรรม(ตามที่ว่า) ถ้าพรรคพลังธรรมวางตัวเป็นผู้จับตาดูพวกโกงบ้านกินเมืองก็น่าจะเห็นสมควรเป็นหน้าที่ แต่ทำไมถึงหลีกทางให้ทักษิณ แล้วไม่สานต่อเจตนารมณ์ที่ให้ไว้ตอนขับไล่สุจินดา(พวกผมรู้สึกเหมือนโดนตบ ลูกตา) นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมผมไม่ไปร่วม พธม.(ไม่ใช่เรื่องที่คนชอบพูดว่าจำลองพาคนไปตาย คนละเรื่อง และผมไม่เคยพูด) เพราะไม่อยากเหนื่อยแล้วโดนหักหลังเหมือนตอนพฤษภาทมิฬ มันเป็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ แล้วเราต้องมาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ก่อนสัมปทานโทรศัำพย์มือถือด้วยซ้ำไป เริ่มตั้งแต่ความสัมพันธ์ของทักษิณ(รวมทั้งผู้อยู่หลังทักษิณ)กับจีนก่อนเริ่มสัมปทาน ไกลมาก... :slime_doubt: ต้องขออภัยไว้ก่อนว่า ไม่ได้ติดจะบั่นทอนกำลังใจของ พธม. หรือให้ท้าย นปก. และไม่ได้เป็นกลุ่มที่เป็นกลาง ใครที่รักจะทำอย่างไรก็ทำต่อไป ไม่ขัด(เพราะขัดไม่ได้อยู่แล้ว) เป็นเพียงแค่คนๆนึงที่มองบ้านเมืองทุกวันนี้อย่างขมขื่นใจ ก็เท่านั้น หวังอย่างเดียวว่าเมื่อใหร่คนไทยจะเริ่มกลับมาทำอะไรที่ควรทำ คิดอะไรที่ควรคิด และคิดให้ออกเร็วๆ อย่างน้อยๆ หน้าที่คนไทยต้องทำอะไรต้องคิดให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคนทำลายชาติจะไม่ใช่นักการเมืองแต่เป็นประชาชนคนไทยที่ไปเป็นทาสให้กับพวกนักการเมือง(จอมปลอม)เพื่อช่วยกันทำลายชาติ จนถึงขั้นขายชาติขายประเทศ ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลและนายกฯ ตั้งแต่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 มาจนกระทั่งปัจจุบัน เชื่อหรือไม่? หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: NuMor ที่ 05-09-2008, 17:44 บทความที่ดีค่ะ
เขียนต่อนะคะ มาให้กำลังใจในการผลิตบทความดีๆ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: egoman ที่ 05-09-2008, 17:52 ยาวไปหน่อย แต่รออ่านอยู่ :slime_dizzy:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: คุณแม่ดุ๊กดิ๊ก ที่ 05-09-2008, 19:18 ตั่งใจอ่านค่ะ แต่น่าจะเผยแพร่มากว่านี้นะค่ะ :slime_v:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 05-09-2008, 20:10 นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมผมไม่ไปร่วม พธม.(ไม่ใช่เรื่องที่คนชอบพูดว่าจำลองพาคนไปตาย คนละเรื่อง และผมไม่เคยพูด) เพราะไม่อยากเหนื่อยแล้วโดนหักหลังเหมือนตอนพฤษภาทมิฬ บางคน ไปร่วมชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมค่ะ ไม่ใช่เพราะแกนนำ เป็นเพราะชื่นชมในตัวคน และจิตวิญญาณของคนตรงนั้น :slime_smile: แน่นอน ไม่ใช่อุปทานหมู่ อย่างที่หมอหมาว่าไว้ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: jerasak ที่ 05-09-2008, 20:15 (4) จึงมีคำว่า "พวกมากลากไป" จึงมีคำว่า "ทรราชของเสียงข้างมาก" หรือ "เผด็จการรัฐสภา" มาอธิบายสภาพเหล่านี้ ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะเอามาแอบอ้างว่าเป็น "ประชาธิปไตย" ที่ชาวโลกยกย่องเชิดชูกันว่าเป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดได้เลย (5) นี่คือสิ่งที่ฝ่ายพันธมิตรและแนวร่วมภาคประชาชน ได้พยายามแหกปากบอกกับสังคมอยู่ในเวลานี้ว่า "ประชาธิปไตย ต้องไม่ใช่แค่การออกจากบ้านไปเลือกตั้งกากบาท 1 แกร๊ก แล้วก็ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องสนใจการเมืองไปอีก 4 ปี โดยปล่อยให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอ้างความชอบธรรมจากเสียงข้างมากเพื่อถือสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องเห็นหัวใคร และไม่ต้องรับผิดใดๆ ทั้งนั้น" เขียนได้ดีครับ จะรออ่านต่อจนจบ :slime_agreed: สภาพการเมืองตอนนี้ผมอยากตั้งชื่อใหม่เป็นระบอบ "กะลาธิปไตย" เพราะอ้างความชอบธรรมวนไปวนมาอยู่ในเนื้อหาแคบๆ คือการเลือกตั้ง ทุกวันนี้อ้างอยู่คำเดียวที่ได้ยินคล้ายๆ "รัฐบาลมาจากเสียงคลั่งมาก" :slime_hmm: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: mr.g ที่ 05-09-2008, 20:38 แหะๆ เรื่องของ อุปทานหมู่ นั้นน่าจะมีที่มาครับ ชะรอย คุณหมอเจมบอนคงและพลพรรค ทรท พปช อาจจะเคยคุ้นเคยกับผลงาน ของทีมงานปรอปะกันดาของไทยรักไทยที่เคยใช้เทคนิคสะกดจิตหมู่ แบบให้คนนึง คนกลุ่มเล็กๆ เห็น ภาพลวงตา แล้วให้ปากต่อปากพวกมากลากไป เทคนิคเดียวเคยทำให้กับสำนักจานบิน และงานโฆษณาในเครือข่าย จนได้ผลนานแล้ว ทีมงานนี้เขาเก่งนะ :slime_bigsmile: :slime_o: หมอแกและพวกๆ เลยเอะอะเหมารวมเอาว่า โกตั๊บและทีมงานใช้เทคนิคนี้ด้วยกับผู้ชม ASTV NEWS1 ยิ่งป๋าหมากตกยุคด้วยแล้ว ทึกทักเหมารวมเอาไปเป็นพวกโอมชินรีเกียวเข้าไปนู่นเลย :slime_hmm: อันที่จริงเทคนิค ของ ASTV NEWS1 และทีมงานของโกตั๊บไม่มีอะไรมากไปกว่า ไขความจริงออกมาให้มากๆ หมดๆ :slime_fighto: รวมกับเทคนิคการแสดงสดให้จับใจผู้ชมแค่นี้เองครับ แม่ยกเลยตรึม มันส์สะใจกว่าดูละครน้ำเน่าอีก :slime_bigsmile: นึกถึงตอนที่ทรทและหน้าเหลี่ยมใช้เทคนิค ทำดราม่านี้จนได้ผลดีตอนสงครามยาเสพติด คือโฆษณาให้ประชาชนในเมืองไทยเชื่อว่า ใครเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เลว ชั่ว หาดีไม่ได้ จะต้องเจอ ironfist หมด ไม่เลือก แถมกลายเป็น อมนุษย์ หมดทุกกรณีเลย ....... .....มาเริ่มรู้สึกตัว ข่าวตู้เย้น ยิงกันจนเด็กตาย แล้วก็...ตอนเจอกับตัวเองเกือบไม่รอด :slime_hmm: เลยเริ่มทราบซึ้งตรึงใจ ไม่เอาแล้ว ทรท :slime_surrender: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: เพื่อนฝัน ที่ 05-09-2008, 22:37 (http://www.biaoqing.com/Resource/KeAiDeFuHaoBiaoQing/12.gif) จะรอติดตามอ่านต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 08-09-2008, 22:34 (6)
ย้อนความกลับไปหน่อยตั้งแต่สมัยผมอยู่ ม.ปลาย ตอนนั้นเริ่มมีกระแสปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษา และอื่นๆ เข้ามา ดูหลายๆ ฝ่ายตื่นตัวกันมาก ผมเองก็สนใจติดตามกับเขาด้วยจากแหล่งต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ หนังสือตำราที่เขียนโดยนักวิชาการท่านต่างๆ ที่มีบทบาทอยู่ในช่วงนั้น และสิ่งที่จำได้คือ แนวคิด "ประชาสังคม" โดยเฉพาะคำว่า "สังคมดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมสร้าง" ซึ่งมีหลักคือ ดึงเอาพลังของชุมชนและสังคมเข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนสังคมโดยรวมเองด้วยภูมิปัญญา ในเวลานั้น สิ่งที่พวกเราเห็นกัน คือบรรยากาศความเปิดกว้างและสร้างสรรค์ของการเมืองยุคใหม่ ที่จะมีพื้นฐานอยู่บนเครือข่ายสังคม ประชาชนที่มีความตื่นตัวในจิตสำนึกทางการเมืองและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอย่างมีเสรีภาพ พร้อมกับมีกลไกที่จะให้ประชาชนควบคุมกำจัดนักการเมืองที่ฉ้อฉลทุจริตออกไปจากสารบบได้ คือบรรยากาศการศึกษายุคใหม่ ที่จะมุ่งสร้างพลเมืองให้ "เก่ง ดี มีสุข" มิใช่เป็นเพียงระบบสายพานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรเหมาโหลคัดเกรด เพื่อส่งออกไปขับเคลื่อนสังคมทาสจักรกลขนาดยักษ์ที่ไล่กัดกินโลกพร้อมพ่นพิษกลับออกมาใส่โลกไปเรื่อยๆ วันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี รุ่นต่อรุ่น อย่างไร้ความหมายและไร้จุดสิ้นสุด แต่เพียงเท่านั้น คือสภาพแวดล้อมโดยรวม ที่จะนำไปสู่ "สังคมอุดมปัญญา" ที่มีพลังในการแก้ปัญหาของตนเอง และก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กันกับพี่น้องร่วมสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในท้ายที่สุด เราหวังว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเพื่อทำลายวังวนน้ำเน่าเก่าๆ ลงไป เปิดพื้นที่ให้คนที่มีความสามารถ มีจิตสำนึกทำงานเพื่อบ้านเมือง มีความสุจริตและเคารพในประชาธิปไตยอย่างแท้จริงมากกว่าเดิม ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานกุมอำนาจรัฐ ถือเสียงแทนประชาชนในสภามากขึ้นๆ แต่ในเวลาแค่ไม่กี่ปีหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เราชื่นชมกันมากมายนั่นแหละ... เราก็ถูกชักจูงให้หลงประเด็น หลงจากแนวทางที่ตั้งใจไว้เดิมอย่างมโหฬารอีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย เราพากันหลงเพลิดเพลินไปกับระบบการบริหารประเทศแบบซีอีโอ ที่ดูฉับไว เบ็ดเสร็จ ทั่วถึง และสร้างอะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้มากมายจนน่าตื่นตา ไม่ผิดกับป้ายรณรงค์การจราจรก่อนหน้านั้น ไปๆ มาๆ กระแสสังคมเริ่มจะหลงใหลไฝ่ฝันภาวะผู้นำแบบสิงคโปร์ มาเลเซีย และกระหายที่จะวิ่งไปข้างหน้าให้ได้อย่างเขา (แต่ต้องอย่าลืมว่า...ประชาชนของประเทศเหล่านั้นเขามีรากฐานเป็นยังไงตั้งแต่แรกด้วย) ส่วนคำว่าเปิดกว้าง คำว่าเสรีภาพ คำว่าเคารพต่อความแตกต่างหลากหลาย มันเริ่มกระจัดกระจายหายไปไหนไม่รู้ มีแม้กระทั่งวันหนึ่ง ที่ท่านผู้นำทักษิณแสดงทัศนะออกมาในทำนองว่า ประชาธิปไตยเป็นแค่วิถีทาง เครื่องมือ ทางผ่าน หรืออะไรสักอย่าง (จำคำพูดต้นฉบับไม่ได้แล้ว) งานปฏิรูปการศึกษาถูกปล่อยปละละเลย และระบบการศึกษายิ่งดูเละเทะไร้ทิศทางมากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็เหลือกระแสเดียวให้มันไหลตามไป คือกระแสทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ คำว่า "ประชาสังคม" หรือ "สังคมอุดมปัญญา" ยิ่งกลายเป็นแค่ปาหี่ไร้สาระที่ไม่มีใครสนใจจะพูดถึง ใครพูดขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นได้ถูกมองว่า "แค่นักวิชาการขาประจำตกยุค น่าเบื่อ" เมื่อนั้น ใช่...ไม่มีใครจะสนใจ ในเมื่อเขากำลังวิ่งตามขบวนแห่ของระบอบทักษิณ ไปสู่ความรุ่งโรจน์ที่ถูกสร้างภาพฝันรอไว้ข้างหน้า ที่ชักจูงให้วิ่งตามไปอย่างไม่คิดชีวิต จนลืมคิดถึงอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น คนที่ไม่ชอบวิธีการของท่านผู้นำทักษิณและพรรคไทยรักไทย คนที่ไม่เข้าพวกกับคนไทยส่วนใหญ่ในตอนนั้น ก็เริ่มจะรู้สึกอึดอัดลำบากใจมากขึ้นเรื่อยๆ คำว่าประชาธิปไตยก็เหลือความหมายเพียงแค่ รัฐบาลได้เสียงข้างมากมาจากการเลือกตั้ง ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นก็เกิดอะไรๆ ขึ้นมากมายเหลือเกิน ลากยาวมาจนมาถึงทุกวันนี้ เมื่อพลังทางสังคมส่วนใหญ่ในประเทศ หยุดคิดสร้างสรรค์ในเรื่องระบบการเมืองนี้เกือบจะโดยสิ้นเชิงมายาวนาน ราวกับว่าได้พบระบบการปกครองที่สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่อาจจะหาอะไรดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว จนมีฝ่ายพันธมิตรจุดประกายคำว่า "การเมืองใหม่" ขึ้นมา แล้วก็กลับกลายเป็นคำต้องห้ามสำหรับฝ่ายรัฐและผู้สนับสนุนไปอย่างรวดเร็ว ถูกนำไปขยายความบิดเบือน แบบคิดเองเออเอง แล้วก็ถือโอกาสรุมโจมตีกันเองทางสื่อสาธารณะทุกรูปแบบจนเละเทะ ทั้งๆ ที่ความมุ่งหมายของวาระการเมืองใหม่ที่ว่า ก็เป็นการเริ่มต่อจากเส้นทางเดิมที่ถูกละทิ้งไปตั้งแต่หลายปีก่อน เป็นการสืบทอดต่อจากเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองและสังคมในครั้งนั้นนั่นเอง และทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและนักวิชาการอีกส่วนหนึ่งชื่นชมกันว่าเป็นฉบับประชาชน ฉบับที่ดีที่สุด ก็เติบโตงอกงามขึ้นมาได้จากเจตนารมณ์แห่งการปฏิรูปในครั้งนั้นเหมือนกัน แล้วทำไมในวันนี้ ถึงจะปิดกั้นไม่ให้การคิดเพื่อสังคมใหม่เดินหน้าต่อไปอีกเล่า? หรือเพียงเพราะว่าอยากจะหวงยึดเอาซากศพของระบอบทักษิณ กับซากประชาธิปไตยแบบบิดเบี้ยวพิกลพิการขนาดนี้ไว้ให้ถึงที่สุด มันคุ้มค่าแล้วหรือ? ในวันก่อนโน้น เมื่อกำลังรณรงค์รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นการต่อสู้ระหว่างธงเหลืองกับธงเขียว จากนั้นมา สีเขียวค่อยๆ กระจัดกระจายหายไปไหนกันไปหมดก็แล้วแต่... แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ผม เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คน ก็พบว่าเวทีการเมืองเกือบจะถูกยึดอย่างเบ็ดเสร็จ โดยผู้ที่ได้อำนาจจาก รธน. สีเขียวฉบับนั้น คือขั้วอำนาจที่ได้พลิกโฉมกลายมาเป็นธงสีแดง เข้าฟาดฟันกับผู้ชักธงสีเหลืองขึ้นใหม่ในแนวทางที่เหมือนและแตกต่างในบางส่วนจากของเดิม โดยมีอดีตเขียวจำนวนมากเข้าเป็นแนวร่วมกับทั้งสีแดงและสีเหลืองใหม่รอบนี้ มีสีขาวเป็นอีกกลุ่มที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เวที และผมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ที่พลังสีเขียวจะต้องกลับคืนมา มิใช่เพียงเพื่อกู้ชาติ หรือสร้างชาติ แต่เพื่อร่วมกันกอบกู้โลกของเราด้วย (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Ldap ที่ 08-09-2008, 23:25 รออ่านอยู่ครับ :slime_agreed:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Ldap ที่ 08-09-2008, 23:45 เสนอ ปักหมุด กระทู้นี้ครับ
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 09-09-2008, 00:04 น้องคิวเขียนบทความได้ยอดเยี่ยมครับ ตรงกับใจผมหลายประเด็นทีเดียว
รอติดตามตอนต่อไปนะครับ :slime_smile: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: samepong(ยุ่งแฮะ) ที่ 09-09-2008, 00:08 1จึ๊กให้กำลังใจเขียนครับ
รออ่านเหมือนกัน หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 12-09-2008, 00:46 (7)
ไม่ว่าใครๆ ก็อาจทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ สำคัญอยู่ที่ว่าทำผิดแล้วกล้ายอมรับผิด คิดจะเผชิญหน้ากับความจริง เพื่อแก้ไขและเดินหน้าต่อไป...หรือเปล่า? อย่างพรรคประชาธิปัตย์เองที่อยู่มา 60 กว่าปี ก็มีบาดแผลมาเยอะ แต่ได้ถูกชำระความกันไปพอสมควรแล้ว เคยได้รับการส่งเสริมจากประชาชนให้ขึ้นมามีอำนาจในบางยุคสมัย และก็ถูกลงโทษจากประชาชนให้หลุดจากอำนาจไปในบางยุคสมัย ผ่านการเติบโตและตกต่ำ มีคนผลัดเปลี่ยนเข้าๆ ออกๆ มามากมาย ตัวละครการเมืองไทยหน้าเก่าๆ ที่ยังวนเวียนอยู่ในสภาทุกวันนี้ ก็มีประวัติโชกโชนกันมามากต่อมาก ทั้งเคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจนต้องยุบสภา ลาออก เคยถูกศาลตัดสินโทษจนต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปหลายปี เคยถูกทหารเอาปืนจี้ไล่ลงจากอำนาจ เคยลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ และอีกหลากหลายรูปแบบ แต่ผู้ที่มีความหยิ่งผยอง คิดว่าตนถูกต้องเสมอ ไม่เคยทำผิด จะผิดไม่ได้ คนอื่นๆ ทั้งโลกที่ขัดแย้งกับตนนั่นแหละเป็นฝ่ายผิด คิดแต่ว่าคนอื่นๆ ทั้งหมดอิจฉาตนเอง รวมหัวกันจะทำร้ายกลั่นแกล้งตนเองอยู่ตลอดเวลา ความคิดแบบนี้ถ้าเป็นคนธรรมดา ไม่มีพวกพ้อง ไม่มีอำนาจทางการเมือง คงถูกคนรอบข้างหาทางจับส่งหมอ ส่งโรงพยาบาลบ้าไปนานแล้ว ก่อนที่จะทันสร้างความวิบัติฉิบหายให้กับสังคมที่เขาอยู่ได้มากนัก แต่ระบอบทักษิณได้สั่งสมความคิดวิปริตแบบนี้ไว้ในหมู่คนที่สนับสนุนจำนวนมาก โดยอาศัยพื้นฐานมาจากการบิดเบือนและจำกัดความหมายของระบอบประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า แล้วเขาได้ปฏิเสธไม่ยอมให้ความผิดของพวกตนได้รับการชำระ แต่กลับหมกและหมักหมมไว้ จึงยิ่งสร้างความอยุติธรรมซ้ำเติมทับถมลงไปบนความอยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งต้องอาศัยกำลังอำนาจที่ฉ้อฉลรุนแรงขึ้นเพื่อปิดปากคน ปิดฟ้า ครอบงำแผ่นดิน ยิ่งหลงออกไปเข้ารกเข้าพงมากขึ้น ยิ่งสร้างปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาปกปิดปัญหาเก่าอยู่ทุกวัน อย่างหยุดไม่ได้ แล้วก็คอยดูว่าถึงจุดวิกฤตเมื่อไหร่ สิ่งที่เขาหมกไว้ทั้งหมดมันก็จะระเบิดออกมาในคราวเดียว ในเมื่อคนอื่นๆ ที่ต้องรับผลจากการกระทำของเขาได้อดทนมาตลอด จนถึงเวลาที่ไม่อาจยอมทนอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าไม่มีความสำนึก ไม่รู้จักหยุดซะก่อนเมื่อยังหยุดได้ เอาแต่ลากยาวไปเรื่อยๆ ก็แย่ตรงที่กว่ามันจะพัง ก็จะพาเอาคนอื่นๆ วินาศสันตะโรไปด้วยอีกเยอะซะก่อน... นับตั้งแต่วันนั้นก็แค่ไม่กี่ปี แต่เหมือนจะยาวนานเหลือเกิน ตั้งแต่คดีซุกหุ้นภาค 1 จากที่เคย "บกพร่องโดยสุจริต" และผู้พิพากษาท่านเคยเมตตาให้โอกาสเพราะเห็นว่าจะได้เข้าไปทำงานใหญ่เพื่อชาติ จนไปๆ มาๆ พอได้รับความนิยมมากแล้วหลงไปกับความนิยมและกำลังอำนาจที่มีอยู่ ทำให้ยิ่งสั่งสมความเหิมเกริม กล้าทำอะไรฝ่าฝืนต่อความชอบธรรมหนักขึ้นทุกที ภารกิจของนักปกครอง นักบริหารบ้านเมือง ที่สำคัญที่สุดก่อนอย่างอื่น คือการทำให้เกิดความร่มเย็น สงบสุข ให้ความรู้สึกของความเป็นสังคมชาติ ในหมู่ประชาชนทุกๆ ส่วนยังคงมีอยู่ได้ ถ้าบ้านไม่เป็นบ้าน ชุมชนไม่เป็นชุมชน ไม่มีความเป็นสังคมชาติเหลืออยู่ ต่อให้หุ้นขึ้นเขียวหรือ GDP สูงลิ่วแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไร? ถ้าได้ชื่อว่ารัฐบาลมีความเด็ดขาดเข้มแข็ง แต่ยึดถืออำนาจเหนือรัฐชาติไว้แล้วกลับปกครองไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร? และการจะรักษาความสงบสันติและมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ประชาชนไว้ได้ ก็ต้องมีทั้งความ "เอื้ออาทร" มีทั้ง "ความเป็นธรรม" และอีกหลายอย่างรวมกัน ทักษิณเคยมีทางเลือก เขาเคยมีเวลาที่จะเลือกตลอดหลายปีนั้น ในตอนนั้นเขามีปัจจัยความพร้อมในแต่ละด้านมากกว่าใครๆ ที่จะเริ่มสร้างความสงบร่มเย็น และความเจริญอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ และมีโอกาสได้ชื่อว่าเป็น "รัฐบุรุษ" อีกคนหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้สรรเสริญถึงลูกถึงหลาน แต่เขากลับเลือกไปในอีกทางหนึ่ง พฤติกรรมของระบอบทักษิณ ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเป็นไปเพื่อความสมานฉันท์ หรือเพื่อเปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย แต่กลับมีพื้นฐานอยู่บนระบบผูกขาดกินรวบและอำนาจนิยม มาโดยตลอด มันผิดเพี้ยนมาตั้งแต่ ทั้งที่ได้รับเลือกเป็นรัฐบาลพรรคเดียวด้วยเสียงเด็ดขาด มีฐานอำนาจในสภาอย่างล้นหลาม แล้วก็ยังมีเสียงสนับสนุนเต็มทั้งประเทศ ...แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปยึดเอาสื่อรัฐจัดรายการพูดกรอกหูประชาชนอยู่ข้างเดียว เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อทุกรูปแบบ ซ้ำยังมีความเคลื่อนไหวอีกหลายด้านที่มีลักษณะรุกไล่จะเข้ายึดเอาพื้นที่การเมืองในชาติเอาไว้แต่เพียงพวกเดียว เริ่มมีการโจมตีพรรคฝ่ายค้านและพลังฝ่ายอื่นๆ ในสังคมอย่างต่อเนื่อง ส่วนใดที่ยังกลืนกินไม่ได้ ก็ทำให้อ่อนแอเพื่อเข้าครอบงำ นอกนั้นก็ทำให้แปลกแยกออกไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว มันฟังไม่ขึ้นเลยว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ หรือถูกรุมกลั่นแกล้งโจมตีอย่างไม่เป็นธรรม ในขณะนั้น ผลงานทุกอย่าง ที่ต้องประโคมให้ใหญ่โตเข้าไว้ ให้เชื่อกันว่านี่คือ "สิ่งสุดยอดที่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ไม่เคยมีโอกาสได้รับมาก่อนเลย ดูสิว่าทักษิณมาทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ เอาทุกอย่างมาประเคนให้กับชาวรากหญ้าขนาดนี้" ประชาชนทั่วๆ ไปก็มีความหวัง และย่อมคล้อยตามได้ง่ายที่สุด ในเมื่อต้นทุนเดิมของท่านผู้นำก็มีภาพเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จระดับกี่หมื่นล้านก็นับไม่ถูกอยู่แล้ว แต่ก็มีหลายๆ คนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ที่เขาเคยประสบความสำเร็จอย่างใหญ่ๆ มา ก็มักจะเป็นสนามผูกขาดทั้งนั้น ที่เขาเคยสู้ได้ดี ก็ต้องเป็นเวทีที่เขาได้เปรียบ เป็นผู้กำหนดกฎเองและสามารถมัดมือมัดปากกดคู่แข่งไม่ให้เกิดได้ทั้งนั้น นโยบายหลายอย่าง ก็ยอมรับว่ามีหลักการพื้นฐานที่ดี และเป็นสิ่งที่ควรเริ่มสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว หลายอย่างก็รวบรวมและต่อยอดมาจากสิ่งที่กำลังมีคนทำอยู่แล้ว เพียงแต่รวบรวมมาจัดทำแพ็คเกจใหม่ให้เป็นระบบ และทำให้แพร่หลายในระดับประเทศ แต่ก็หนีไม่พ้นที่จะมีวาระซ่อนเร้น มีปัญหาในทางปฏิบัติอยู่มาก ซึ่งแทนที่พวกเขาจะทบทวนแก้ไขในข้อจำกัดต่างๆ กลับอาศัยข้อได้เปรียบทางการเมืองของตนเอง เอาแต่ปิดปากและโยนบาปให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง และด้วยการปั่นสร้างมายาภาพให้ดูใหญ่โตจนสุดกู่ ก็เริ่มจะมีขบวนการคลื่นใต้น้ำสร้างกระแสเปรียบเทียบ ค่อยๆ กัดกร่อนซึมลึก จนกระทั่งไปๆ มาๆ ...กลายเป็นเหมือนกับว่าชาติบ้านเมืองแผ่นดินไทยนี้ ไม่เคยมีใครสนใจจะคิดริเริ่มอะไร ไม่เคยมีอะไรดีมาก่อนเลย จนถึงวันที่ท่านผู้นำทักษิณขึ้นมามีอำนาจ และทุกโครงการของพรรคไทยรักไทยที่ทำเพื่อคนจน ช่างดีเลิศประเสริฐอย่างที่ใครจะบังอาจไปแตะต้องหรือท้าทายไม่ได้เลย ความจริงมันมีหรือ สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ ฟรีๆ ในโลกนี้? สินค้าที่ดีจริง จำเป็นแค่ไหนที่ต้องโฆษณาปลุกเร้าความเชื่อมั่นศรัทธาในยี่ห้ออย่างหนักหน่วง และใช้อิทธิพลทุกช่องทางกีดกันไม่ให้มีเสียงขัดแย้งขึ้นมาได้? ยิ่งทำให้น่าสงสัยในความจริงอีกด้านหนึ่งที่ถูกปิดบังไว้ จากกลุ่มคนที่ยังไม่ได้คล้อยตามการโฆษณานั้นไปด้วยเท่านั้น เมื่อมีความสงสัยและคับข้องใจเกิดขึ้น แทนที่คนของระบอบทักษิณจะชำระความด้วยข้อเท็จจริง อธิบายต่อสังคมให้ชัดเจน หรือหาทางประนีประนอมแก้ไขในความคับข้องใจ ความขัดแย้งเหล่านั้น ให้คลี่คลาย แต่พวกเขาเลือกที่จะอ้างที่มาจากเสียงข้างมากของตน เพื่อข่มให้อีกฝ่ายหนึ่งหุบปาก อ้างต้นทุนคือคนทำงานที่เป็นนักวิชาการ มีฐานความรู้อยู่มากในพรรค แล้วบอกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรับฟังเหตุผลจากนักวิชาการที่อยู่นอกสภา นอกพรรค ใช้มือกฎหมายฟ้องเอาผิดคนและสื่อที่วิจารณ์ด้วยตัวเลขค่าเสียหายถึงร้อยล้านพันล้าน เป็นการขู่เข็ญไม่ให้ใครบังอาจเผยอขึ้นมาพูดหรือเขียนต่อต้านตนได้ ใช้การจัดตั้งมวลชนมาแสดงพลังอำนาจแฝงด้วยการคุกคามฝ่ายตรงข้าม แม้แต่กดดันกระบวนการยุติธรรม ยิ่งเมื่อมีรัฐตำรวจเป็นเครื่องมือ ก็ยิ่งอันตราย ยิ่งมัวเมาในอำนาจ และยิ่งส่งเสริมความอยุติธรรมให้แพร่หลายในแผ่นดินได้มากขึ้นอีกหลายเท่า และยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปกว่านั้น เมื่อมีการใช้เล่ห์เพทุบายกับจิตวิทยามวลชนในด้านมืดอยู่ตลอดเวลา หากินกับความทะเยอทะยาน และความรักสบายของคน หากินกับความจนตรอก และปมด้อยของคน หากินกับการแบ่งแยกประชาชน บ่มเพาะความเกลียดชัง พวกเขารู้ดีว่าสังคมไทยยังมีช่องว่างระหว่างคนมีโอกาสกับคนด้อยโอกาสอยู่มาก เช่นเดียวกับช่องรูโหว่ในระบบต่างๆ พวกเขาก็ได้ฉกฉวยโอกาสแทรกตัวเข้าไปตามช่องว่างเหล่านั้น อาศัยยุทธวิธีการตลาดนำการเมืองที่ถนัด ยึดเอามวลชนจำนวนมากไว้เป็นฐานกำลังของตน ขณะเดียวกันก็กระทำการเหมือนๆ จะจงใจยั่วยุท้าทาย สร้างความเป็นศัตรูกับคนกลุ่มอื่นๆ ที่เข้ากับพวกตนไม่ได้ แล้วก็ไปขึ้นเวทีบีบน้ำตากล่าวสุนทรพจน์ปลุกเร้าอารมณ์ของชาวรากหญ้าฐานมวลชนของตน ให้เกิดความสงสารท่านผู้นำและเคียดแค้นพวกที่มีปัญหากับรัฐบาลอยู่บ่อยๆ ทั้งที่หลายๆ ครั้ง มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลย... แต่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการตอกลิ่มสร้างความแตกแยกทั้งนั้น สั่งสมเชื้อมาเรื่อยๆ จนถึงบัดนี้ วันที่แผ่นดินร้าวฉานและลุกเป็นไฟ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติสมัยใหม่ที่เราระลึกได้ สงครามปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่ปราบปรามได้มากน้อยเท่าไหร่ก็ไม่แน่ชัด แต่ที่เห็นคือระบอบทักษิณกลับขึ้นมาผูกขาดความเป็นผู้มีอิทธิพลรายใหญ่คับประเทศ สงครามยาเสพติด ที่คงมีไม่น้อยที่ต้องสูญเสียชีวิต บ้างก็หมดอนาคตไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ต่อสู้พิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม แล้วระบอบทักษิณก็กลายมาเป็นสิ่งเสพติดอันตรายชนิดใหม่ของประเทศไปแทน ตากใบ และ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่น้องเราต้องตายไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ถึงทุกวันนี้จะหาใครที่มีปัญญารับผิดชอบได้หรือเปล่า? ไม่ใช่แค่ไม่เคยสำนึกในผลแห่งการกระทำของพวกตน แต่ยังมีคำพูด "หลุด" ที่แสดงอาการล้อเล่นกับความเป็นความตายของคนออกมาอีกหลายวาระ ไม่ว่าจะเป็น "นักบินหลงหอ" หรือ "สมควรตาย" ถามหน่อยเถอะ ถ้าคุณได้ยินได้ฟังคำพูดแบบนี้ โดยไม่รู้มาก่อนว่าใครเป็นคนพูด คุณจะคิดว่ามันออกมาจากจิตใต้สำนึกของ วิญญูชนที่สมควรได้เป็นรัฐบุรุษ หรือของ ยักษ์มารในคราบมนุษย์ ที่ซ่อนความ***มเกรียมและอำมหิตขั้นสุดยอดไว้ภายใน กันแน่? จนถึงทุกวันนี้ พวกสาวกและลูกสมุนทุกระดับยังออกไปปลุกปั่นให้คนเกิดความเคียดแค้น เล่นประเด็นสงครามชนชั้นที่มันหลุดยุคสมัยออกไปจากเดิมนานแล้ว โดยทำเป็นมองไม่เห็นว่าเงื่อนไข บริบททางสังคมโลกาภิวัฒน์ยุคใหม่ที่โกลาหลอลหม่านนี้มันแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างไร คุณคิดว่า... มีผู้ปกครองที่ดีๆ ในประวัติศาสตร์โลกคนไหนบ้าง มีรัฐบุรุษ มหาบุรุษคนไหนบ้างที่ชาวโลกยกย่อง ที่ใช้วิถีทางแบบนี้? ก็เห็นมีแต่พวกผู้นำทรราชที่เคยก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ อย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี อย่างพล พต แห่งกองทัพเขมรแดง เท่านั้นแหละครับ สำหรับผู้สนับสนุนโดยเฉพาะชาวรากหญ้า เพราะทักษิณและพรรคพวก เกิดขึ้นมาจากเสียงข้างมากของพวกเขา และกล้าที่จะอวดโ อ่ ใช้อำนาจบาตรใหญ่คับแผ่นดิน โดยอ้างว่าทำเพื่อพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้อยู่ฝ่ายชนะ มีความสำคัญและอำนาจขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน... เป็นปมทางจิตวิทยาอีกส่วนหนึ่งที่ถึงกับทำให้คล้อยตามว่า คนของระบอบทักษิณ ไม่เคยผิด และจะมีความผิดความชั่วใดๆ ไม่ได้ เพียงเพราะเขามาจากเสียงข้างมาก แต่ใครก็ตามที่ขวางทาง ใครก็ตามที่ไม่เข้าข้าง ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขา บรรดาผู้สนับสนุนก็จะยัดเยียดตีตราให้เป็นพวกฝักไฝ่เผด็จการ ศักดินา อำมาตยาธิปไตยผู้กดขี่ เป็นพวกชอบสูบเลือดสูบเนื้อชาวรากหญ้า เป็นพ่อค้ายาเสพติด เจ้ามือหวยเถื่อน องค์กรอาชญากรรม เป็นพวกนักวิชาการอยากดัง ศิลปินฝันเฟื่อง เป็นพวกขวางโลก พวกขี้อิจฉาและโรคจิตที่ไม่อยากเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า เป็นพวกขี้แพ้ ฯลฯ ไปในทันที แค่มีนักเขียนวิจารณ์สังคมบางคนตวัดปากกาไปกระทบเข้าหน่อย ผู้สนับสนุนระบอบทักษิณก็ถึงกับต้องรีบขุดโคตรเหง้าขึ้นมาด่า ดิสเครดิตต่างๆ นานาอย่างกับไปเกลียดชังกันมาแต่ชาติปางก่อน ทำอย่างกับว่า ถ้ามีใครสักคนประกาศขึ้นมาว่าโลกกลม แล้วพวกเขาสามารถหาเหตุผลมาโจมตีคนพูดให้ดูชั่วร้ายหรือแปลกแยกจากคนอื่นในสังคมได้ แล้วโลกมันจะแบนไปตามความเชื่อของพวกเขาเหมือนเดิมไปเองอย่างนั้นแหละ สำหรับคำว่า "ขี้แพ้" น่าอนาถใจที่พวกเขายังคิดกันได้แค่นี้ ยินดีจะยึดถือเอาแต่ความแพ้ชนะที่กำลังอำนาจและปริมาณเสียงสนับสนุนที่ดังกว่าเป็นสรณะ แต่อย่างดีที่สุดก็เป็นแค่ชัยชนะที่ว่างเปล่า ได้แต่ความสะใจเท่านั้น เมื่อพวกเขาต้องปฏิเสธเสียงจากมโนธรรมสำนึกภายในตนเอง ปฏิเสธความเป็นองค์รวม และไม่ใส่ใจจะมองว่าความหมายที่แท้จริงของผู้บริหารปกครองในแผ่นดินนั้น เป็นอย่างไร? ความหมายของการอยู่รอดด้วยกันอย่างสงบสุขในสังคมชาติ เป็นอย่างไร? และใครจะรับประกันได้ว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างแท้จริงในระยะยาว ในเมื่ออำนาจและชะตากรรมของพวกเขาต้องไปขึ้นอยู่กับกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเพียงขั้วเดียว โดยไม่มีใครขัดขวางถ่วงดุลเสียแล้ว? อย่างเลวร้ายที่สุด คือความพินาศของทุกฝ่าย ที่ลูกหลานของพวกเราทั้งหมดนี่แหละที่จะต้องอยู่รับกรรม ส่วนพวกนักการเมืองหนังเหนียวๆ ทั้งหลายในสภาตอนนี้ อีกไม่นานก็คงไปกันหมดแล้ว ท่านทั้งหลาย ต้องการแบบนี้แน่หรือ? สุดท้ายนี้ จะขอเน้นย้ำถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอารยะอีกครั้งหนึ่ง เราใช้ปัญญาและเหตุผลของคนหมู่มากที่มีความหลากหลายมารวมกัน เพื่อให้อคติและความผิดพลาดเอนเอียงของแต่ละส่วนย่อยๆ หักล้างถ่วงดุลกันไป และทำให้ได้ผลการตัดสินใจของส่วนรวมออกมาใกล้เคียงกับความถูกต้อง ความเที่ยงตรง ความสมเหตุสมผลตามกฎ และสุดท้ายก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุด แต่มันไม่ใช่ในทางกลับกันว่า ถ้าคนกลุ่มใหญ่ที่สุด ตัดสินใจอะไรออกมาก็ตาม แล้วจะทำให้กฎแห่งความถูกผิดต้องบิดไปตามมตินั้น และยิ่งไม่จำเป็นว่า ถ้าคนกลุ่มใหญ่ที่สุดต้องการอะไร แล้วสิ่งนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยแท้จริงเสมอไป เราให้คนตาบอดจากความเป็นมาที่หลากหลาย มีประสบการณ์ต่างๆ กัน มีนิสัยและวิถีชีวิตต่างๆ กัน มาช่วยกันคลำช้าง แล้วแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นกัน จนกลุ่มคนส่วนรวมได้ภาพของช้างที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ไม่ใช่ว่าไปเกณฑ์คนตาบอดกลุ่มใหญ่ที่สุดมา เข้าค่ายอบรมปลูกฝังให้มีความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะของช้างไปในทางเดียวกันหมด จากนั้นก็พามวลชนคนตาบอดเหล่านั้นไปป่าวประกาศตามที่ต่างๆ ว่าช้างต้องเป็นอย่างนี้ๆ จนถึงกับไปไล่ตีไล่ฆ่าคนตาบอดกลุ่มอื่นๆ ที่บรรยายถึงช้างไม่เหมือนกัน แล้วถ้าคิดว่ามันจะทำให้ช้างทุกตัวในโลกต้องกลายพันธุ์ไปเป็นรูปร่างแบบที่พวกเขาเชื่อละก็ ไม่มีทาง มีแต่ต้องเสียเวลา เสียเลือดเนื้อกันไปเปล่าๆ จนเลือดนองท่วมท้องช้าง เท่านั้นแล (มีต่อ) หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 12-09-2008, 03:15 บ่นอะไร ไอ้พวกเสียงข้างน้อย
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Abraxas ที่ 12-09-2008, 09:56 จขกท. เขียนได้ดีครับ
เห็นด้วยกับการปักหมุด บ่นอะไร ไอ้พวกเสียงข้างน้อย อ่านไม่ออกก็เงียบไปเลย หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: เทพเจ้าโดเรมอน ที่ 12-09-2008, 17:00 คุณมองในมุมของคุณ คุณก็เป็นพระเอกละสิ ไม่มีใครเค้าคิดว่าตัวเองเป็นคนเล็วหรอก
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: คนไกลเมือง ที่ 12-09-2008, 17:27 คุณมองในมุมของคุณ คุณก็เป็นพระเอกละสิ ไม่มีใครเค้าคิดว่าตัวเองเป็นคนเล็วหรอก ผมก็ไม่เห็นว่าพระเอกเรื่องไหนต้องกราบโจรนี่ครับ สุดท้ายก็ต้องออกมาฟาดฟันพวกโจรให้สิ้นทุกเรื่องไป หรือไม่จริง??? :slime_doubt: :slime_doubt: :slime_doubt: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 12-09-2008, 17:32 :slime_sleeping: :slime_sleeping: :slime_sleeping:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: buteo ที่ 12-09-2008, 17:54 เขียนได้ดีครับ จะติดตามอ่าน รอให้จบแล้วจะขออนุญาตนำไปเผยแพร่ให้ผู้คนเข้าใจมากยิ่งขึ้นต่อไปนะครับ
ไม่ต้องไปสนใจพวกกระบือหรอกนะครับ ขอย้ำกระบือไหนมันซิฟัง ยังไงๆมันก็ฟังไม่รู้เรื่อง พวกกระบือคงไม่เข้าใจหรอก สีให้คนฟังดีกว่า จะไพเราะบ้างไม่ไพเราะบ้างก็รับได้และติติงกันได้ ในกรณีที่มีบางส่วนที่มีความเห็นแย้ง ก็ประชาธิปไตยงัย ให้กำลังใจ จขกท.ครับ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 13-09-2008, 01:13 จขกท. เขียนได้ดีครับ เห็นด้วยกับการปักหมุด อ่านไม่ออกก็เงียบไปเลย กำ... ผมประชดรัฐบาล *-* ผม พธม. นะ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: kittie ที่ 13-09-2008, 03:29 ...เรียบเรียงได้ดี และมองเห็นภาพอย่างชัดเจนค่ะ เยี่ยมๆ :slime_fighto:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 14-09-2008, 23:16 ดันกระทู้หน่อย รออ่านภาคต่อไป
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: augustin ที่ 15-09-2008, 00:39 รออ่านด้วยคน
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 15-09-2008, 23:24 (8 )
ลำพังการชักหัวคิว การหากินกับเมกะโปรเจ็กต์ 2-3 โครงการ อาจจะไม่ทำให้ประเทศชาติถึงกับล่มจมไปในทันทีทันใด แต่ถ้ามองลึกไปกว่านั้น การที่นักการเมืองมีความเหิมเกริมถึงขั้นกินคำโตๆ และกินมูมมามขนาดนั้นได้โดยไม่เกรงกลัวโทษใดๆ ยังถือว่าเป็นปลายเหตุ โดยมีต้นเหตุมาจาก จิตสำนึกที่ยอมจำนนต่อความคดโกง ของประชาชนเองนั่นแหละ ในเมื่อเราแสดงพฤติกรรมที่สยบยอมต่อสิ่งที่เราเองก็รู้อยู่ว่าไม่ถูกต้อง และก่อความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ นักการเมืองจึงยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ และกล้าเอาเปรียบ ก่อปัญหา เหยียบย่ำประเทศชาติและประชาชนอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด และจิตสำนึกที่ยอมจำนนต่อความคดโกง ก็มีรากเหง้ามาจากอันเดียวกับ จิตสำนึกที่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรม และความชั่วช้าประการอื่นๆ อีกมาก เป็นรากใหญ่ๆ อีกกระจุกหนึ่งของต้นไม้พิษที่ชื่อระบอบทักษิณ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นตัวการที่จะพาให้อารยธรรมล่มสลายลงได้ในเวลาไม่นาน ถึงแม้ชนชาตินั้น สังคมนั้นจะมีความมั่งคั่งมหาศาล หรือแม้จะได้ชื่อว่า "มหาอำนาจ" ในโลกก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงกล้ากล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ระบอบทักษิณ เป็นเหมือนไวรัสและเซลล์มะเร็งของสังคม ที่จำเป็นต้องถูกกำจัดออกไป ในขณะที่ การเมืองเก่า เหมือนร่างกายที่ขาดสารอาหาร มีแผลเน่าอักเสบเรื้อรัง เต็มไปด้วยสารพิษตกค้าง เสียสมดุลจากพฤติกรรมการกินอยู่ที่ผิดๆ มาตลอด และจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่เพาะมะเร็งและโรคร้ายให้เกิดขึ้น เคยมียุคไหนสมัยไหนบ้าง? ที่เราได้ยินถ้อยคำที่แสดงถึงความตกต่ำ ที่ชวนให้รู้สึกอัปยศอดสูอย่างเช่นคำว่า "โกงได้ไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน" หรือ "เขาเป็นคนดี เพราะมีเงินให้ใช้" อย่างเช่นสมัยนี้? คุณจะบอกว่าอำนาจต่อรองของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองตัวแทนของตน มากขึ้นหรือน้อยลง? ถ้าคุณได้เข้าไปอยู่ในสหกรณ์หรือบริษัทห้างร้านสักแห่ง ที่อ้างว่ามีระบบการดำเนินงาน "ให้พนักงานทุกคนมีหุ้นส่วนเป็นเจ้าของ" แต่เมื่อผู้จัดการมีการทำงานที่ไม่สุจริต มีลับลมคมใน และใช้อำนาจปลุกปั่นสร้างความแตกแยกในองค์กร ในขณะที่ใช้วิธีการเสนอผลประโยชน์และเงินเดือนต่างๆ ล่อใจพนักงานให้เป็นพวก และเมื่อพนักงานส่วนใหญ่นิ่งเฉยอยู่ มีพนักงานส่วนเล็กๆ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อรักษาผลประโยชน์และความเป็นธรรมภายในองค์กรนั้น พนักงานส่วนใหญ่กลับไม่พอใจและขัดขวางพนักงานที่เรียกร้อง แล้วอ้างขึ้นมาว่า "เขาจะโกงบ้างไม่เป็นไร ขอให้มีผลงานก็พอ" คุณคิดว่า พนักงานในองค์กรนี้ มี "ความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองมีส่วนร่วมเป็นเจ้าขององค์กร" อย่างที่คุยไว้ หรือไม่? หรือถ้าถามอีกทางหนึ่ง พนักงานได้ร่วมกัน "แสดงความเป็นเจ้าของ" อย่างแท้จริง ให้สมกับที่ประกาศโฆษณาองค์กรไว้ต่อสังคมหรือไม่? ยังไม่นับว่าในความเป็นจริง เราก็จะมาบริหารปกครองครอบครัว ชุมชน หรือประเทศชาติ แบบเดียวกับที่บริหารองค์กรธุรกิจหาผลกำไรไม่ได้ ถ้าพนักงานไม่พอใจในวิธีการบริหารของบริษัทห้างร้านไหน เขาพิจารณาตัวเองลาออกไปทำงานที่อื่นที่เขายอมรับได้ ก็เป็นสิ่งที่ชอบ และเป็นปกติ แต่ถ้าประชาชนไม่พอใจกับการปกครองของรัฐบาล แล้วจะมาไล่ให้เขาออกจากแผ่นดินเกิดที่เขาอาศัย ไปหาประเทศใหม่อยู่ มันไม่ใช่สิ่งปกติที่ควรจะเป็นแล้ว ในเมื่อความรู้ คือ พลังอำนาจ ถ้าประชาชนอ่อนแอทางการเมือง ไม่มีความสนใจที่จะติดตามข่าวสารจริงๆ จังๆ ซ้ำด้วยถูกปิดหูปิดตา ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปจากความจริงโดยสื่อรอบๆ ตัว และดังนั้นจึงขาดความรู้เกี่ยวกับความจริงในบ้านเมืองที่เพียงพอ เราจะกล้ากล่าวว่าอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงได้อย่างไร? ในเมื่อการมีทางเลือก จำเป็นสำหรับการมีอิสรภาพและอำนาจ ถ้าประชาชนเลือกนักการเมืองเข้าไปถืออำนาจ ด้วยภาวะจำยอม หรือไม่มีทางเลือก แล้วก็จำใจต้องปล่อยให้นักการเมืองนั้นอ้างการได้รับเลือกจากประชาชนมารับรองความถูกต้องให้พวกตัวเองทุกอย่าง เราจะกล้ากล่าวว่าอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงได้อย่างไร? ในเมื่ออำนาจต้องมาควบคู่กับความรับผิดชอบ ถ้าประชาชนมอบอำนาจให้กับนักการเมืองไปแล้ว ไม่สนใจผลที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจนั้น แล้วยังมาคอยปกป้องนักการเมืองที่ทำผิด ยอมตนเป็นเครื่องมือเข้าไปขัดขวางการตรวจสอบ ซ้ำกลไกที่จะคุมนักการเมืองไม่ให้สร้างความเสียหายก็มีไม่เพียงพอ มีความบกพร่อง เราจะกล้ากล่าวว่าอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้เป็นหลักเกณฑ์ธรรมชาติ ไม่ได้มาจากมนุษย์สมมติขึ้นเองลอยๆ และไม่มีมือที่มองไม่เห็น หรือมือที่มองเห็นแต่ซื้อได้ หรือมือของใครๆ อื่น จะกี่สิบล้านหรือแสนล้านมือก็ตาม จะมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการได้เป็นอันขาด ลองนึกถึงสถานการณ์ที่... - ประชาชนคุมนักการเมืองที่เป็นตัวแทนไม่ได้ เมื่อเขาขึ้นมากุมอำนาจรัฐแล้วก็ปล่อยให้ไปก่อเรื่อง สร้างปัญหาให้กับประชาชนอีกส่วนหนึ่ง - เมื่อไล่กลับไปหาประชาชนเจ้าของอำนาจที่เลือกนักการเมืองคนนั้นกลุ่มนั้นมา แล้วพวกเขาไม่ใส่ใจ เพราะถือว่าพวกเขามอบอำนาจไปแล้ว ไม่อยากจะยุ่งหรือรับผิดชอบกับเรื่องการเมืองใดๆ อีก - พอหันไปหาด้านตัวแทนคือตัวนักการเมืองเอง ก็อ้างเอาเสียงประชาชนที่เลือกเขามาข่มขู่ ว่าจะกล่าวโทษและเอาผิดเขาไม่ได้ - อ้างระบบรัฐสภา แต่ก็ใช้พวกมากลากไป พรรคร่วมรัฐบาลที่อยากจะเกาะกินผลประโยชน์จากการเป็นรัฐบาลต่อก็ใช้มือ สส. ของพรรค หลับหูหลับตายกมือรับรองให้นักการเมืองที่ถูกตรวจสอบ โดยไม่สนใจว่าจะมีความชอบธรรมหรือไม่ - นักการเมืองให้ลูกสมุนไปปลุกระดม โยนความผิดกลับไปใส่คนที่มากล่าวโทษตน ประชาชนที่เป็นฐานเสียงก็โกรธแค้น ออกมาปกป้องเป็นโล่มนุษย์ให้กับนักการเมืองพวกนั้นอีกต่างหาก นี่เป็นสถานการณ์สมมติที่ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นสักเท่าไหร่นัก สรุปได้ว่า...มันคือระบบแห่งการปฏิเสธความรับผิดชอบ และไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้นต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าในสังคม แล้วก็ทำเป็นหลับหูหลับตาบอกกันเองอยู่ทุกวันว่าพวกตนไม่ได้ทำผิดอะไร ใช่หรือไม่? มันไม่มี พฤตินัยแห่งความเป็นเจ้าของ และยิ่งไม่มี จิตสำนึกแห่งความเป็นหุ้นส่วนร่วมกับคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องไปถามหา จิตสำนึกรับผิดชอบที่มีต่อบุคคลภายนอกและสังคมในวงกว้างออกไปกว่านั้น รู้หรือไม่ว่า... คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกชักจูงและถูกกดดันด้วยอิทธิพลของกลุ่มได้มากกว่าที่หลายๆ คนอาจจะคิด เช่นเดียวกับที่ถูกกดดันให้ยอมรับคำสั่งจากผู้ที่เชื่อกันว่าอยู่ในสถานะมีอำนาจหน้าที่ ได้มากกว่าที่คิด ส่วนสำคัญ นอกจากความต้องการแสวงหาความปลอดภัยด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง และความไม่ชอบขัดแย้งแล้ว ก็เป็นเพราะการทำให้ตนเองเกิดความเชื่อว่า ความรับผิดชอบในการกระทำใดๆ ถูกผลักไปให้คนอื่นแบกรับแทน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโดยรวม หรือเป็นบุคคลผู้มีอำนาจ เสียแล้ว แล้วจึงหลอกตนเองด้วยความคิดสั้นๆ โดยฝ่าฝืนต่อจิตสำนึกภายในตนเองว่า เขาไม่จำเป็นต้องรับความรู้สึกผิดอะไร ต่อผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจของเขาอีก ภาวะจิตสำนึกรวมฝูง (Groupthink) ซึ่งมีส่วนคล้ายกับ "อุปาทานหมู่" แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เป็นตัวอย่างที่ความเห็นของคนนำไม่กี่คน สามารถมีอิทธิพลคุมจิตวิทยาของกลุ่ม จนทุกคนพากันลงมติไปในทางเดียวกัน และต่างก็คิดว่าคนหมู่มากต้องการอย่างนั้น ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ ของแต่ละคนในกลุ่มนั้นจะคัดค้านมตินั้นกันเกือบหมดก็ตาม แต่เพราะถูกทำให้มีความเชื่ออยู่ก่อนแล้วว่า กลุ่มโดยรวมมีความต้องการอย่างนั้น และถูกกดดันด้วยบรรยากาศ-รูปแบบในการประชุม ที่ขัดขวางไม่ให้แต่ละคนกล้าบอกความต้องการที่แท้จริงออกมาได้ และมักมีการนำเอาอารมณ์อย่างเช่นความกลัว ความรู้สึกผิด ความรู้สึกอายที่จะแปลกแยก ความไม่อยากขัดแย้ง ความหวังในผลประโยชน์สิ่งล่อใจต่างๆ ฯลฯ มาเป็นเครื่องมือชักจูงและล้อมกรอบทางความคิดให้ได้ผลยิ่งขึ้น จึงมีการกำหนดให้การเลือกตั้งของประชาชน ต้องเป็นการเลือกตั้งโดยตรงและลับ ให้แต่ละคนใช้สิทธิ์เฉพาะตน ไม่ให้ใครอื่นมาสอดรู้หรือชักจูงกดดันการเลือกของเขาในคูหาเลือกตั้งได้ แต่การลงมติในสภาของผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย เป็นการยกมือหรือลงมติโดยเปิดเผย รู้กันหมดว่าใครเลือกอะไร สนับสนุนหรือคัดค้านอะไร เพราะสังคมใช้หลักการให้ความเชื่อใจไว้ว่า บรรดาผู้แทนเหล่านี้ ต้องมีวุฒิภาวะ ความกล้าหาญ และมีอิสระในตนเองมากพอในระดับหนึ่ง ที่จะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผู้แทนคนอื่นๆ ในสภา และแสดงจุดยืนของตนอย่างเปิดเผยได้ และให้ความเชื่อใจไว้ว่า มติของเขาจะสอดคล้องไปในทางเดียวกันกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชนที่เลือกเขามาเป็นตัวแทน แต่ความจริงในสภาผู้แทนของเราทุกวันนี้ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นจึงมีคำถามว่า เราจะทำอย่างไร ให้ทั้งประชาชนและผู้แทนมีอิสรภาพ สามารถแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมาได้ เป็นเรื่องใหญ่ (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 16-09-2008, 04:07 มาอ่านต่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 16-09-2008, 09:02 เหม็นน้ำลายจัง...ใครพล่ามอะไรน้ำลายเน่าๆท่วมเว๊บเนี่ย!?! :slime_whistle:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: :: Jack Ryan :: ที่ 16-09-2008, 13:39 ยอดเยี่ยมครับ มารออ่านต่อ
แทงใจสมุนไข่แม้ว :slime_v: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: คุณแม่ดุ๊กดิ๊ก ที่ 16-09-2008, 18:42 :slime_v: :slime_v: ติดตามอ่านอยู่ค่ะ เขียนอ่านง่ายดีค่ะ
แต่รำคาญไอ้ TLE เลิกโพสต์สักที หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 18-09-2008, 02:46 เหม็นน้ำลายจัง...ใครพล่ามอะไรน้ำลายเน่าๆท่วมเว๊บเนี่ย!?! :slime_whistle: เออ มึงเถียงไม่ได้ มึงก็ด่าเนอะ เปื้อนกระทู้ในดวงใจกูหมด หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: พลังเงียบ ที่ 18-09-2008, 03:45 เมื่อไหร่ ผมจะเขียนแบบนี้ได้บ้างน้า
แหล่มครับ...... :slime_agreed: :slime_fighto: :slime_v: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: น้องเหมียวกู้ชาติ ที่ 18-09-2008, 04:36 เขียนได้ดีมากครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ รออ่านต่ออยู่ครับ
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: May The Force Be With You ที่ 18-09-2008, 08:23 :slime_agreed:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: นู๋เจ๋ง ที่ 18-09-2008, 08:52 ขอบคุณที่นั่งพิมพ์ให้อ่าน
ขอบคุณที่คิดดี และเสนอความคิดดีๆเช่นนี้ต่อสังคม ขอบคุณที่ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกที่ดีมีคุณธรรม เขียนต่อนะคะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว เรียบเรียงเป็น A 4 พิมพ์แจกเลยนะคะ.. เอาไว้เป็น reference เพราะบางทีเถียงกับพวกหัวเหลี่ยม ยางประเด็นก็นึกไม่ทัน ทีนี้ล่ะจะได้ยื่นเอกสารของ วิหก อัสนี ให้ไปเลย เบาแรงนู๋ไปได้เยอะเลยค่ะ เขียนต่อค่ะ เขียนต่อไป ขอบคุณนะคะ..... :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_agreed: ***************************************************** เพราะเหตุนี้ ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม (นู๋เจ๋งด้วยคน) เพราะนึกถึงวันข้างหน้า ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม (นู๋เจ๋งด้วย) เพราะเชื่อในหัวใจของความเป็นเสรีชน ถึงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎ ผมก็ยอม (นู๋เจ๋งเป็นด้วย)************************************************************** หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: tu249cm ที่ 18-09-2008, 12:37 ตามอ่านมาสองวันเพราะอ่านแล้วคิดระหว่างบรรทัดไปด้วยค่ะ
อ่านไปหยักหน้าหงึกๆไปด้วยคนเดียวค่ะ สรุปขอนุญาตทำเป็นเอกสารเก็บไว้ให้คนอื่นๆได้อ่านด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: hide ที่ 18-09-2008, 14:37 เขียนได้ดีค่ะ
แต่ติดอยู่ตรงนึงป้ายพวก ลูกใครหว่า พี่ขาอย่าทับหนู มาจากผลงานของพิจิตต รัตตกุล ตอนเป็นผู้ว่ากทม.หนิ หรือป่าวไม่แน่ใจ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: OMEGA ที่ 18-09-2008, 17:06 เป็นข้อเขียนที่ดีครับ ขอบคุณครับผม :slime_agreed: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 18-09-2008, 17:22 เขียนได้ดีค่ะ แต่ติดอยู่ตรงนึงป้ายพวก ลูกใครหว่า พี่ขาอย่าทับหนู มาจากผลงานของพิจิตต รัตตกุล ตอนเป็นผู้ว่ากทม.หนิ หรือป่าวไม่แน่ใจ :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: ท่านอัสนี เช็คข่าว + เกลา ทีครับ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 18-09-2008, 17:31 ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำแนะนำต่างๆ ครับ :slime_v:
เรื่องป้ายจราจร เช็คข่าวแล้ว เป็นผลงานทักษิณในสมัยรัฐบาลบรรหารเมื่อปี 2538 ครับ หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Red Baron ที่ 18-09-2008, 18:26 :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_agreed: รออ่านข้อความดีๆต่อครับ
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: istyle ที่ 18-09-2008, 21:03 ปูเสื่อรออ่านต่อครับ
อยากอ่านตอนที่ถึงทางออกของปัญหานี้เร็วๆจัง หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: papangping ที่ 18-09-2008, 23:03 น้องคนเขียนนี่น่าจะเขียนส่งหนังสือ 'ศาลาคนเศร้า' บ่อยซิท่า....ออกแนวน้ำตาท่วมจอ น้ำลายแตกฟอง เนียนๆเลยน๊า :slime_smile2: ผมว่าทักษินทำตัวน้ำเน่า น้ำตาท่วมมากกว่าอีกนะ :slime_hmm: รออ่านต่อครับ เขียนได้ดีมากๆ อยากเขียนได้แบบนี้มั่งจัง เวลาเถียงกับพวกทักษินหรือพวกคนกลาง(ฝ่ายทักษิน) ยังตอบโต้ไม่ค่อยทัน อยากให้ลงความเห็น เกียวกับความเสียหายที่ระบอบทักษินทำปรียบเทียบกับผลงานของระบอบทักษิน ให้ลึกกว่านี้อีกนิดนึง จะดีมากเลย เป็นกำลังใจให้ครับ (อยากอ่านต่อแล้ว) :slime_agreed: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 20-09-2008, 04:23 (9)
มีคำถามว่าถ้าตาชั่งเอียง ใครจะเป็นคนคอยตรวจสอบตาชั่ง? การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมและอยู่รอดมาได้จนถึงป่านนี้ ก็เพราะพวกเราทุกคน ต่างก็มีตาชั่งภายในตัวเองอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ตั้งแต่ระดับต่ำเรียกว่า สามัญสำนึก ไปจนถึงระดับสูงเรียกว่า มโนธรรมสำนึก หลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "หากมีผู้ใดพูดโกหกบิดความจริงทั้งที่รู้อยู่ โดยไม่มีความละอายแล้ว ก็ไม่มีความชั่วชนิดใดๆ อีกแล้วที่ผู้นั้นจะทำไม่ได้" ซึ่งโดยปกติทั่วไป ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ก็ย่อมใช้เป็นมาตรฐานในการวัดคนได้ในทุกยุคทุกสมัย แล้วเราลองมาดูตัวอย่างประเด็นที่ระบอบทักษิณฝังหัวไว้ให้คนเกิดความเชื่อ เช่น: "รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกหมกเม็ดจากขบวนการล้มพุทธ วางแผนถอดศาสนาพุทธออกไปจากการเป็นศาสนาประจำชาติตามรัฐธรรมนูญ" โกหก! ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือก่อนหน้านั้น ก็ไม่เคยมีการบัญญัติศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด มีเพียงบัญญัติไว้อย่างชาญฉลาดว่า "พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมถก (ผู้ให้ความช่วยเหลือค้ำจุนทุกศาสนา)" ซึ่งก็ถือเป็นการรับรองถึงสถานะพิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยไว้อยู่แล้ว และประเทศไทยก็มีประชากรหลายศาสนาอยู่ร่วมกันมาได้โดยไม่เคยมีประเด็นปัญหาจริงๆ จังๆ ว่า คนนับถือศาสนาใดมีความเป็นคนไทยมากหรือน้อยกว่าคนศาสนาอื่นแต่อย่างใด สำหรับการจะบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดนั้น สามารถทำได้ แต่คนเสนอควรจะอธิบายให้ได้ด้วยว่า บัญญัติไว้แล้วจะมีผลตามกฎหมายที่ผูกมัดประชาชนในชาติอย่างไรบ้าง และจะมีผลดีผลเสียอื่นๆ อย่างไร หรือมีวาระซ่อนเร้นที่จะให้บางนิกายบางกลุ่ม อ้างความเป็นศาสนจักรเข้ามาแสวงหาอำนาจ ก้าวก่ายอำนาจฝ่ายอาณาจักร สถาปนาตนขึ้นเป็นองค์กรอำนาจที่แตะต้องไม่ได้ กีดกันและกวาดล้างทำลายนิกายอื่นหรือผู้ที่มีความเห็นในหลักศาสนาแตกต่างออกไป ว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นขบวนการล้มพุทธ รับเงินต่างชาติมาทำลายพระพุทธศาสนา หรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่?? ในปัจจุบัน ประเทศที่บัญญัติศาสนาประจำชาติไว้ในกฎหมายสูงสุดของตน ส่วนใหญ่หลักศาสนาของประเทศเหล่านั้น จะบัญญัติจุดมุ่งหมาย หรือมีแนวคำสอนที่ผลักดันให้นำกฎหมายศาสนามาบังคับใช้เหนือรัฐอยู่แล้ว แต่พระพุทธศาสนา โดยคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา ไม่เคยบัญญัติไว้ มิได้มีจุดมุ่งหมายของศาสนาเพื่อสถาปนาอำนาจปกครองแบบใดๆ และมิได้มีวิธีการเผยแผ่ในลักษณะนั้น แต่กลับให้เผยแผ่พระศาสนาด้วยศรัทธาและปัญญา ทำให้คนทั่วไปได้สัมผัสเอง รู้เห็นเอง และยอมรับเองอย่างกว้างขวางมากกว่า ทรงตรัสไว้ว่าพระศาสนาจะสืบต่อไปได้ด้วยความร่วมมือกันรักษาของพุทธบริษัท 4 และทรงตรัสอีกว่า ตราบใดที่มีผู้ทำตามพระธรรมคำสอน เป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระพุทธศาสนา จะอยู่รอดปลอดภัยและรุ่งเรืองได้ก็เพราะพุทธบริษัท ไม่ว่าพระหรือชาวบ้าน ว่ามีความเข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนแค่ไหน เป็นหลัก มากกว่าการบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ "การเมืองใหม่ 70/30 จะเป็นการปล้นอำนาจไปจากมือประชาชน ให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้งแค่ 30 ส่วน อีก 70 ส่วน มาจากการเลือกสรร ซึ่งก็คือการแต่งตั้งมาโดยพันธมิตรฯ และใครก็ไม่รู้ที่ถูกชักใยโดยอำนาจเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยอยู่อย่างแน่นอน" โกหก! การเลือกสรรที่ว่า ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งมาแต่งตั้ง แต่หมายถึงการเลือกตั้งนั่นแหละ เพียงแต่มาจากวงวิชาชีพหรือกลุ่มสังคมต่างๆ นอกเหนือจากการแบ่งตามเขตพื้นที่ การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง กรรมวิธีย่อยๆ อย่างหนึ่งในกระบวนการของระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด และแน่นอนว่ามันก็มีจุดบกพร่อง ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้มากเหมือนกัน โดยเฉพาะในสภาพสังคมของประเทศไทยเรา ที่ชาวบ้านหรือแม้แต่ชาวเมืองในบางแห่ง ยังต้องขึ้นอยู่กับอิทธิพลท้องถิ่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หัวคะแนนต่างๆ อยู่มาก คุณคิดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง จะมีสภาพผูกขาดเก้าอี้ สส. หรืออำนาจบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นสมบัติประจำโคตรเหง้าตระกูลไม่กี่ตระกูลสืบทอดกันไป แบบที่เป็นอยู่หลายๆ ที่ทั่วประเทศเราอย่างนั้นจริงๆ หรือ? การเลือกตั้งแบบไม่ขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่ แต่ไปขึ้นกับกลุ่มสังคมวิชาชีพแทน ก็เป็นวิธีการอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแบบที่พันธมิตรฯ เสนอมามันก็ยังไม่ลงตัว มีจุดอ่อนอยู่ที่ต้องปรับปรุงต่อไป เปรียบเทียบกับรูปแบบอื่นๆ ที่มีกลุ่มอื่นเสนอมา อย่างระบบการเลือกตั้งปาร์ตี้ลิสท์ หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2540 นั่นก็คือวิธีการเลือกตั้งที่ไม่ขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่เหมือนกัน แล้วเราก็ยังใช้กันมาจนถึงตอนนี้โดยไม่เห็นมีใครต่อต้านคัดค้านอะไรไม่ใช่หรือ? แต่มาพลาดตรงคำว่า "เลือกสรร" เป็นคำที่ถูกนำไปบิดเบือนขยายความให้ผิดเพี้ยน จนกลายเป็นเหมือน "แต่งตั้ง" ไปได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าระบอบทักษิณก็ได้ใช้ข้อได้เปรียบในการชิงทำโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนทั่วๆ ไปเกิดความเข้าใจแบบนั้นไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่ของประเทศไทยจะออกมาเป็นอย่างไรจริงๆ นั้น ไม่ใช่อยู่ที่พันธมิตรฯ กลุ่มเดียว แต่เป็นงานของหลายๆ ฝ่ายในสังคมต้องช่วยกันคิดช่วยกันเสนอให้เป็นรูปเป็นร่างโดยไม่ปล่อยให้ล่าช้าออกไปอีก "รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกเขียนขึ้นมากีดกันและทำลายฝ่ายการเมืองไทยรักไทยโดยเฉพาะ จนทำงานไม่ได้ และรัฐบาลล้มเหลวเพราะถูกจับผิดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา" โกหก! ฐานความผิดหลายๆ อย่าง ที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนโดนอยู่ ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และฉบับก่อนๆ ก็บัญญัติไว้ ไม่ใช่เพิ่งจับยัดเข้าไปลอยๆ ในฉบับปี 2550 และถ้าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นไหนๆ ขึ้นมาเป็นรัฐบาลตอนนี้ ถ้าทำผิดก็คือผิดตามกฎหมายนี้เหมือนกัน และคงไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนๆ ของอารยะประเทศใดๆ ที่ยอมให้นายกฯ และรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้จากในคุกตะรางหรอกครับ ในกรณีของนายสมัคร คดีความที่ค้างคาอยู่และกำลังจะเข้ามาเพิ่ม ก็เป็นเพราะเขาไปทำตัวเองทั้งนั้น กฎระเบียบของข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง ที่ป้องกันไม่ให้ไปรับจ้างหาผลประโยชน์กับธุรกิจเอกชน เข้าไปมีผลประโยชน์พัวพันกับเอกชน ก็มีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ได้มีมือที่มองไม่เห็นของอำมาตย์ศักดินาที่ไหนไปง้างปาก บังคับให้เขาพูดจาหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นแต่อย่างใด (หมิ่นประมาทเป็นคดีอาญาทั่วไป ไม่ใช่การผิดระเบียบทางการเมืองอีกด้วย) vvvv (มีต่อ) หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 20-09-2008, 04:27 ^^^^ (ต่อ)
"ท่านทักษิณและพรรคพวกเท่านั้นที่มีความหวังดี นึกถึงคนยากคนจน และเป็นที่พึ่งให้กับพวกเราได้อย่างแท้จริง ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่อยู่ข้างท่านทักษิณ ก็มีแต่พวกชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง ที่ไม่เข้าใจคนจน อิจฉาคนจนอย่างพวกเรา ไม่อยากให้ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาเทียบเท่ากับพวกเขา เพราะอยากกดพวกเราเอาไว้เป็นเหยื่อขูดรีดกดขี่ต่อไปเท่านั้น ประเทศไทยไม่เคยไม่มีนโยบายช่วยเหลือคนจนและคนด้อยโอกาสมาก่อนเลย และก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ถ้าไม่มีระบอบทักษิณ และถ้าระบอบทักษิณถูกโค่นล้มลงไป พวกชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงก็จะยกเลิกนโยบายดีๆ เหล่านี้และริบเอาสิทธิประโยชน์ไปจากพวกเราทั้งหมด ชนชั้นล่างจะถูกปล่อยให้ตายอย่างทรมานโดยไม่มีใครสนใจ" โกหก! อย่างที่บอกว่านโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยหลายๆ อย่าง ก็รวบรวมและต่อยอดขึ้นมาจากสิ่งที่มีคนกำลังริเริ่มและพัฒนาอยู่บ้างแล้วในเวลานั้น และระบบช่วยเหลือคนยากคนจน คนอนาถา ก็ย่อมมีพื้นฐานของมันอยู่แล้วแน่นอนในสังคมไทยก่อนหน้า หรือคุณคิดว่าก่อนยุคไทยรักไทย ประเทศไทยเราเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีแต่พวกอนารยชนอยู่อาศัยและครองอำนาจมาตลอด? เมื่อพัฒนาการของสังคมมาถึงจุดที่จะมีระบบรัฐสวัสดิการ ไม่ว่าใครจะเป็นคนผลักดันหรือขับเคลื่อน จะเร็วหรือจะช้าแต่มันก็ต้องเกิดขึ้น และพัฒนาขึ้นจนเป็นส่วนปกติของสังคมไปอยู่แล้ว ดูอย่างการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลเผด็จการ คมช. จะไปพาลยกเลิกนโยบายช่วยคนยากคนจนและคนด้อยโอกาสไปเสียให้หมดอย่างที่ใครอาจจะวิตกจริตกัน ตรงกันข้าม กลับช่วยปรับปรุงหลายนโยบายที่เป็นประโยชน์ เช่นประกันสุขภาพ-รักษาฟรี อีกด้วยซ้ำ และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคอื่นๆ ก็จำต้องหันมาคิดปรับนโยบายให้เข้าหาชาวบ้านรากหญ้าด้วยกันทั้งหมด ขอให้เข้าใจว่า ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง นักวิชาการ หรือกลุ่มไหนๆ ก็แล้วแต่จะเรียก ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ต่อต้านหลักการรัฐสวัสดิการ ไม่ได้ต่อต้านนโยบายที่ช่วยโอบอุ้มผู้ยากจนและเดือดร้อนในสังคมเลย ประเทศที่มีความสงบสุข มีความเจริญและมั่นคงหลายประเทศ ก็มีระบบรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็ง และเคารพในมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานที่จะต้องช่วยคนยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของตนเอง เป็นชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือจะเป็นผู้ลี้ภัยมาจากประเทศอื่น ด้วยกันทั้งนั้น แต่นโยบายประชานิยมทั้งหลายของระบอบทักษิณ มักจะเป็นการเอาผลไม้พันธุ์ดีๆ มาตัดต่อพันธุกรรมให้กลายเป็นผลไม้พิษที่มีฤทธิ์เสพติด ประโยชน์เดิมของมันก็ยังมีอยู่ แต่มีโทษที่ถูกเอาไปใช้ในทางที่ผิดอย่างเป็นระบบ และสุดท้ายแล้วก็ก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างสาหัสต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม สังคมไทยเองได้รับบทเรียนกันมาแล้ว ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่เมื่อปี 2540 และจากวิกฤตชาติในหลายปีที่ผ่านมาหลังจากระบอบทักษิณเรืองอำนาจ นโยบายการพัฒนาที่เน้นไปปั่นฟองสบู่ อุ้มกลไกทุนนิยมขนาดใหญ่แบบสุดโต่ง อุ้มแต่พ่อค้านายทุนนักธุรกิจให้ล้มบนฟูก คงยากจะได้รับการสนับสนุนจากสังคมโดยรวมอีก และถ้าบอกว่าจะหันไปพัฒนาที่รากฐานให้แข็งแกร่ง มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลับมาหาชาวรากหญ้าอยู่นั่นเอง เพียงแต่จะทำด้วยวิธีที่ถูกต้องให้ผลยั่งยืน และมีความจริงใจต่อปัญหาได้แค่ไหนเท่านั้น ผมเชื่อว่าระบบการเมืองที่เป็นธรรม ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ควรจะเป็นเหมือนระบบนิเวศน์ในธรรมชาติที่กลุ่มต่างๆ หรือถ้าใครจะยังแบ่งเป็นชนชั้นต่างๆ ก็ตาม สามารถอยู่กันไปได้อย่างปกติสุขและไม่รู้สึกอึดอัด ในที่ทางของตน และมีความเป็นอยู่ที่พึ่งอาศัยซึ่งกันและกันตามสมควร มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องทำให้สังคมโลกเป็นสนามรบ ที่ชาวรากหญ้าต้องมาฟาดฟันกับชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง นักวิชาการ คนเมืองกรุง หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้มันพินาศสิ้นเผ่าพันธุ์กันไปข้างหนึ่ง ที่แข่งกันให้คนที่รวมตัวกันได้มากกว่า ตั้งตนขึ้นมาได้ใหญ่ที่สุด ต้องพยายามแผ่ขยายตัวออกไปกลืนกินส่วนอื่นๆ ที่เหลือให้หมดสิ้น ความเป็นศัตรูระหว่างชาวรากหญ้า กับชนชั้นกลาง คนเมือง ฯลฯ ที่มันหนักหนาสาหัสมาจนถึงขั้นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เห็นเป็นเพราะการสร้างเงื่อนไขของพวกนักการเมืองที่หวังยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือระบบสังคมชาติ เบี่ยงเบนความสนใจจากอำนาจที่กดขี่ตัวจริงไปหาเป้าหมายลวง ทำให้ประชาชนทุกชนชั้นนอกจากพวกตนเกิดความขัดแย้งและอ่อนแอเพื่อกดลงเป็นทาสของพวกตนไปนานๆ นั่นแหละ "รัฐบาลประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายกชวน เป็นต้นเหตุของพิษเศรษฐกิจและเป็นผู้นำประเทศชาติไปเป็นทาส IMF แต่ท่านทักษิณและพรรคไทยรักไทยเท่านั้นเป็นวีรบุรุษผู้มาไถ่กู้ชาติให้หลุดพ้นจากอำนาจของ IMF ได้ในเวลาไม่กี่ปี และยังพัฒนาชาติจนใกล้จะได้เป็นมหาอำนาจแล้วแท้ๆ ถ้าไม่รีบนำท่านทักษิณกลับขึ้นมามีอำนาจ ประเทศไทยเราจะต้องล้มละลายจนกลับไปเป็นทาส IMF อีกรอบแน่ๆ" โกหก! วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เกิดขึ้นในปลายสมัยรัฐบาลชวลิต มีรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีรองนายกฯ ฝ่ายคลังชื่อ วีรพงษ์ รามางกูร มีรัฐมนตรีคลังชื่อ ทนง พิทยะ มีรัฐมนตรีช่วยคลังชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง นอกจากนี้ยังมีชื่อสมัคร เสนาะ เฉลิม นั่งอยู่ใน ครม. ครบชุด รัฐบาลชวน 1 ก่อนหน้านั้น มีการเปิดเสรีทางการเงิน ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นการเปิดช่องโหว่โดยยังไม่ได้สร้างระบบการเงินของประเทศให้เข้มแข็งมากพอ หลังจากพ้นรัฐบาลชวนไป ผ่านรัฐบาลบรรหาร มาจนถึงรัฐบาลชวลิต ก็เริ่มมีสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจมาให้เห็นแล้ว แต่สองรัฐบาลที่กล่าวมาก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอุดช่องดังกล่าว หรือเสริมพื้นฐานระบบป้องกันให้แข็งแกร่งสักเท่าไรนัก ช่วงก่อนปี 2540 เต็มไปด้วยการปั่นฟองสบู่ในธุรกิจการเงิน ธนาคาร บ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม หุ้น ฯลฯ จนกระทั่งระบบการเงินการคลังที่พื้นฐานไม่แข็งแรงพอถูกทุนต่างชาติโจมตี และเกิดผลพังทลายเป็นทอดๆ จากตลาดหุ้น ค่าเงิน ทุนสำรอง ไปถึงสถาบันการเงินล้ม ฯลฯ หลังจากประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคม 2540 แล้วนำประเทศไทยไปเข้าโครงการรับความช่วยเหลือจาก IMF ในเดือนสิงหาคม 2540 จากนั้น พล.อ. ชวลิตก็ประกาศลาออกในเดือนพฤศจิกายน 2540 นายชวน หลีกภัยตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วงต่อในภาวะวิกฤต และมีการเปิดประมูล ปรส. ในปี 2541 อันนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่อง ปรส. ซึ่งมีความจริงอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือกระแสที่ว่า "รัฐบาลชวนถือโอกาสยึดเอากิจการที่ล้มลงของคนในชาติ ไปแกล้งขายทอดตลาดถูกๆ ให้ต่างชาติเข้ามากว้านซื้อ" แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนโต้แย้งในทำนองว่า "ราคาที่ว่าถูกนั้นคือถูกกว่าราคาฟองสบู่ ถ้าขายตามราคาฟองสบู่ของหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ ที่ปั่นกันขึ้นไปสูงลิ่วๆ เกินมูลค่าพื้นฐานจริงๆ ของสินทรัพย์นั้นมาก แล้วใครจะบ้ามาซื้อ ในเมื่อฟองสบู่แตกให้คนเห็นกันทั้งโลกไปแล้ว? แล้วคนไทยตอนนั้นก็แทบไม่เหลือใครมีกำลังซื้อ ก็เลยเสร็จทุนต่างชาติไปเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่นับว่าการขายทอดตลาดแบบนั้นคือขายแบบจนตรอก ขายแบบคนร้อนเงิน ที่มีอำนาจต่อรองน้อยอีกต่างหาก" แต่เสียงอีกด้านหนึ่งก็ถูกกลบไปเกือบสนิทด้วยการโฆษณาชวนเชื่อเผยแพร่แต่ด้านเดียวซ้ำๆ อีกเช่นเคย หมายเหตุ: ปัจจุบัน นายอมเรศ ศิลาอ่อน ที่เป็นประธาน ปรส. ในสมัยนั้น เพิ่งจะถูกส่งฟ้องในข้อหาขายสินทรัพย์โดยมิชอบ พัวพันกับบริษัทเลห์แมนที่กำลังมีปัญหาอยู่ในอเมริกาตอนนี้ เมื่อไหร่ที่มีการพิจารณาคดีคงเป็นโอกาสที่สังคมไทยจะได้รับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเพิ่มขึ้นอีก จากปลายสมัยรัฐบาลชวลิต ผ่านรัฐบาลชวนมาจนปลายปี 2543 เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างแล้วจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ถึงตอนนั้นประเทศไทยกู้หนี้จาก IMF แล้วขอเบิกมาเป็นงวดๆ ตามความต้องการใช้ (ไม่ได้ยื่นเบิกก้อนใหม่เพิ่มแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542) รวมทั้งหมดประมาณ 12,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ และเริ่มมีการทยอยชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2543 มีกำหนดเวลาที่ต้องชำระหนี้ให้ครบภายในปี 2548 พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคมปี 2544 และมีการประกาศใช้หนี้ IMF ทั้งหมดในเดือนกรกฎาคมปี 2546 การรีบเร่งใช้หนี้ IMF ทั้งหมดก่อนกำหนด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งก็อีกนั่นแหละ ระบอบทักษิณได้ประโคมแต่ข้อดีอย่างวิเศษเลิศเลอให้คนในชาติเกิดความคล้อยตามอย่างฝังใจ และถือโอกาสใช้เป็นข้อเหยียบย่ำโจมตี และโยนบาปไปให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างหนักหนาสาหัส นอกจากนั้น จากการที่ผู้คนถูกดึงและเบี่ยงเบนความสนใจให้ไปจดจ่ออยู่กับหนี้จาก IMF ก็ทำให้ลืมนึกถึงหนี้สาธารณะก้อนอื่นๆ ไปด้วย ว่าจะมีใครเล่นกลยักย้ายเงินก้อนโน้นมาถมก้อนนี้ กู้หนี้จากที่อื่นมาชำระหนี้เดิม แล้วอ้างว่าเขาช่วยปลดหนี้หรือทำให้เงินงอกขึ้นมาได้อย่างปาฎิหาริย์ บ้างหรือเปล่า? สุดท้ายถ้าลองคิดดูดีๆ ถ้าตอนที่พรรคไทยรักไทยขึ้นมามีอำนาจ ประเทศไทยย่อยยับเหลือแต่ซากแล้วอย่างที่หลายๆ คนอาจจะถูกระบอบทักษิณทำให้รู้สึกไปอย่างนั้น แล้วรัฐบาลจะเอาทรัพยากรที่ไหนที่เหลืออยู่มาใช้ หรือจะเอาเครดิตที่ไหนไปขอกู้ยืมเงินจากต่างชาติ เพื่อมาทำโครงการประชานิยมและเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหลายได้? "ท่านทักษิณและพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา แต่พรรคฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกฝักไฝ่เผด็จการ ยอมก้มหัวให้และชอบเก็บกินผลจากอำนาจเผด็จการทหารมาตลอด ตัวอย่างเช่นตอนพฤษภาทมิฬ" ตอแหล! ถ้าพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามระบอบทักษิณที่เหลืออยู่พรรคเดียวในขณะนี้ ถึงแม้จะดูว่าไม่ค่อยมีบทบาทออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน ต่อรัฐบาลเผด็จการทหารที่ผ่านๆ มา จนถูกกล่าวหาว่าสมยอม (ที่จริงผมเห็นว่ามันก็เป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของพรรคนี้ ที่ชอบรอเกาะตามกระแส และชอบวิถีทาง "ช้าๆ สบายๆ แต่แน่ใจว่าปลอดภัยเอาไว้ก่อน" มากเกินไป) แต่ถ้าลองไปดูประวัตินักการเมืองและพรรคอื่นๆ ที่ผู้สนับสนุนระบอบทักษิณพากันสรรเสริญว่าเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" อยู่ตอนนี้บ้างล่ะ? มีใคร ที่เคยเข้าไปร่วมหัวจมท้ายและได้รับผลประโยชน์จากอำนาจเผด็จการในอดีตมามากกว่ากันแน่? ในตอนพฤษภาทมิฬ 5 พรรคมารสมัยนั้น ที่เข้าไปร่วมกับรัฐบาลสุจินดา คือพรรคประชากรไทย พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคสามัคคีธรรม พรรคราษฎร มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทยในสมัยนั้น เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญใน 5 พรรคมาร ในการพลิกลิ้นเรื่องแก้-ไม่แก้รัฐธรรมนูญ จนเป็นชนวนเหตุหนึ่งให้เกิดพฤษภาทมิฬ ซ้ำยังมีรองนายกฯ ชื่อ สมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ริเริ่มพูดว่า "จำลองพาคนไปตาย" เป็นคนแรกหลังพฤษภาทมิฬ จนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ซ้ำยังพูดถึงวีรชนหมาดๆ ที่สละชีวิตในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการในครั้งนั้นว่า "ไปอยู่ในที่เกิดเหตุทำไม ถ้านอนอยู่บ้านจะตายไหม?" อีกด้วย และที่มาของคำกล่าวว่า "ถ้าไม่มีบิ๊กจ๊อด ก็ไม่มีทักษิณในวันนี้" กับภาพประทับใจของทั้งสองในครั้งก่อน ก็หาอ่านหาดูได้ไม่ยากเท่าไหร่เลย ก่อนหน้านั้น รัฐบาลหอยที่เกิดจากการรัฐประหารหลัง 6 ตุลาคม 2519 ก็ยังมีนายสมัครนี่แหละเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ที่ทำบัญชีหนังสือต้องห้ามและมีการไล่ปิดสื่อขนานใหญ่ที่สุด (มีต่อ) หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: istyle ที่ 20-09-2008, 08:08 ขอโทษครับ โพสผิดกระทู้
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: THE THIRD WAY ที่ 20-09-2008, 08:58 งดงามครับ
ทั้งเหตุทั้งผล ผ่านตาไปได้ไง? เพิ่งเจอ ส่งกำลังใจมาครับ และขออนุญาตพิมพ์ใส่แฟ้มไว้อ้างอิง (http://u4.popcornfor2.com/show/tp746a22_thumb.jpg) (http://u4.popcornfor2.com/view/tp746a22.jpg) หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: แมมมอธ ที่ 20-09-2008, 10:20 เมื่อก่อนเคยหลงชื่นชมทักษิณ :slime_dizzy: คิดว่าคนรวยไม่โกง พอยิ่งนานไปเริ่มเห็นธาตุแท้ นโยบายเอื้อธุรกิจตนเองทั้งนั้น ติดตามข่าวสารตลอด ดูเวลาเขาให้สัมภาษณ์ พูดกลับไปกลับมา เหมือน สมัคร เลย จอมแถไปได้เรื่อยๆๆ คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่พฤติกรรม คำพูด และการกระทำ คนไทยเขาไม่ได้โง่นี่นา :slime_evil: :slime_evil: :slime_mad: :slime_mad:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: papangping ที่ 23-09-2008, 20:56 รออ่านต่อ :slime_bigsmile:
ถ้าเขียนจบเมื่อไหร่ขออนุญาติไปทำเป็นเอกสารเผยแพร่นะครับ :slime_fighto: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: nu_cool ที่ 25-09-2008, 14:55 :slime_o: :slime_o:รออ่านยู๋นะ..คุณวิหค
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: hide ที่ 25-09-2008, 15:16 รอเครื่องปริ้นซ่อมเสร็จก่อน
จะปริ้นรวบรวม อ่านในคอมตาลาย :slime_cool: :slime_cool: :slime_cool: หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: จะบ้าตาย ที่ 25-09-2008, 16:17 เยี่ยม :slime_smile:
หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 30-09-2008, 23:24 ไม่สงวนสิทธิ์ครับ
ขอเชิญเผยแพร่ได้ตามสะดวก :slime_v: ********* (10) ต่อจากตอนที่แล้ว ผมไม่ได้จะบอกว่านโยบายทั้งหมดของไทยรักไทย ใช้ไม่ได้ ทักษิณไม่ได้เก่งอะไรเลย หรือการใช้หนี้ IMF เกิดขึ้นเองตามกลไกตลาดโลกล้วนๆ ไม่ใช่อย่างนั้น... แต่การที่ประเทศชาติกว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่ความสามารถของใครคนใดคนหนึ่ง ในยุคสมัยใดสมัยหนึ่งเท่านั้น การที่จะวัดว่าใครเก่งไม่เก่ง ดีไม่ดีในประวัติศาสตร์นั้น ก็ต้องดูสถานการณ์ เงื่อนไขที่ส่งเสริมหรือบีบคั้นในตอนนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเอาสถานการณ์ในที่หนึ่งเวลาหนึ่ง ไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นในที่อื่นเวลาอื่นอย่างคับแคบและมักง่าย ตามอคติของตน และยิ่งไปกว่านั้น ในห้วงเวลาที่เกิดวิกฤต ก็มีตัวละครสำคัญในฝ่ายไทยรักไทย และพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ปัจจุบันนี้ ร่วมละเลงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ? ดังนั้น การสร้างกระแสยกตนเป็นผู้วิเศษที่มาไถ่กู้ประเทศชาติได้แต่เพียงผู้เดียว แล้วโจมตีเหยียบคนอื่นๆ นอกจากพวกตนว่าไม่เคยสร้างทำอะไรให้ประเทศชาติเลย มีแต่ทำให้ประเทศชาติล้าหลังและล่มจม จึงเป็นการกล่าวหาที่ อยุติธรรมอย่างที่สุด เอาล่ะ สมมตินะครับ สมมติว่า...พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวถ่วง ไร้ความสามารถขนาดนั้นจริงๆ แต่คุณคิดว่ามันสมควรแล้วหรือ ที่ประเทศชาติและประชาชน 60 กว่าล้านคน จะต้องมาถูกลงโทษ เพราะเหตุจากความไม่ได้เรื่องของพรรคนี้หรือพรรคอื่นใดก็ตาม ด้วยการถูกเหยียบไว้เป็นทาสของระบอบทักษิณ? นี่คือความยุติธรรมแล้วงั้นหรือ? ตอนนี้ จะเป็นการโต้แย้งประเด็นโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ของระบอบทักษิณต่อจากคราวที่แล้ว ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ นั่นแหละ "ศักดินา อำมาตยาธิปไตย ระบบอุปถัมป์ เป็นตัวถ่วงประเทศชาติและสังคมมาช้านาน จนมาถึงยุคนี้นี่แหละที่มีท่านทักษิณและพรรคพวกมาปลดปล่อยเรา จะได้พ้นจากระบบอุปถัมป์ให้เป็นเสรีชนกับเขาสักที" เพ้อเจ้อ! หัดออกไปมองโลกความเป็นจริงดูบ้าง ทุกวันนี้มีหรือเปล่าที่ระบบศักดินา อำมาตยาธิปไตยที่ว่า (ซึ่งถ้าถามหาคำตอบจริงๆ ว่ามันหมายถึงอะไร หมายถึงใครบ้าง? ก็คงยากที่จะได้คำตอบชัดเจนแน่นอน ส่วนใหญ่ก็ดีแต่วาดภาพแบบคลุมเครือ ตีสำนวนกระทบกระเทียบไปเรื่อยๆ เท่านั้น) จะมามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไปได้ขนาดนั้น? แล้วลองดูว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ พ่อมดการเงิน นายทุนน้อยใหญ่ เข้ามาขูดรีดและกอบกินทรัพยากรของชาติโดยเบียดบังสิทธิของคนทำมาหากินอยู่แต่เดิม มีเท่าไหร่? ระบบการค้าที่เป็นธรรม ในปัจจุบันนี้มันมีจริงอย่างที่ถูกวาดภาพให้เคลิ้มฝันไว้โดยระบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์แค่ไหน? ใครที่ชอบจ้างแรงงานต่างด้าว ใครที่ชอบอาศัยความได้เปรียบในระดับโลกของตน มองหาประเทศกำลังพัฒนาที่จะยอมกดค่าแรงคนในชาติให้ต่ำๆ เพื่อให้พวกนี้เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อ ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินเราในการผลิต ทิ้งขยะและมลพิษมากมาย กับเศษเงินที่เป็นส่วนแบ่งเล็กๆ จากมูลค่าสินค้าไว้ให้เรา แล้วเราก็หลงชื่นชมยินดีกันว่า "ต่างชาติเอาเงินเข้ามาลงทุนแล้ว เราจะเจริญเป็นประเทศพัฒนาแล้วกับเขาเสียที" พวกนี้คือศักดินา อำมาตยาธิปไตยหรือเปล่า? แล้วก็อย่าลืมมองที่พวกผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น แก๊งคนมีสี องค์กรอาชญากรรม อันธพาล ฯลฯ ที่โยงใยกับเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการดูด้วย ว่าคนพวกนี้รับใช้ใคร? ผูกติดกับอำนาจของใครบ้าง? ใช่พวกอำมาตย์ศักดินา ผู้ดีเก่า หรือว่าเป็นพวกนักการเมืองและนักธุรกิจที่ชอบอ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย? ระหว่างสิ่งเหล่านี้ กับมโนภาพจากละครน้ำเน่าแนวๆ นางทาส หรือบ้านทรายทอง อย่างไหนที่มันเห็นเป็นจริงเป็นจัง ใกล้ตัวเราใน พศ. นี้มากกว่ากัน? ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปี ก็มีผู้แทนราษฎรจากเขตพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไปนั่งหน้าสลอนอยู่ในรัฐสภา กล่าวกันว่าเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน มีอำนาจจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ออกกฎหมาย ทำโครงการต่างๆ มากมาย ถามว่ามีมือที่มองไม่เห็นของอำมาตย์ศักดินาที่ไหน ไปฉุดรั้งไม่ให้พวกเขาใช้มืออันทรงเกียรติของพวกเขาในสภานั่นแหละ ยกชูขึ้นเพื่อประโยชน์กับประชาชน? มีมือที่มองไม่เห็นที่ไหนไปบีบขมับพวกเขาให้เกิดความคิดตีบตัน นึกประโยชน์ของชาติและพี่น้องประชาชนไม่ออกนอกจากหากินจากความเป็น สส. ความเป็น รมต. ไปวันๆ จนถึงทุกวันนี้ งั้นหรือ? แล้วพวกนักการเมืองน้ำเน่าหน้าเก่าๆ นี่ไม่ใช่หรือ? ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเวทีการเมืองไทยไม่ยอมไปไหนสักที แล้วก็มีจำนวนไม่น้อยถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่รวมกันในคอกที่เรียกว่า "พรรครัฐบาล" ของ "ฝ่ายประชาธิปไตย" ในวันนี้ ถ้าพูดถึงระบบอุปถัมป์ ขอถามว่า ไม่ว่าเฉลิม อยู่บำรุง ก็ดี สมัคร สุนทรเวช ก็ดี และคนอื่นๆ อีกหลายคน คุณคิดจริงๆ หรือว่าคนพวกนี้ได้ขึ้นมาเป็นถึงนายกฯ เป็นถึงรัฐมนตรีของประเทศไทยด้วยความสามารถของตัวเอง โดยไม่เคยอาศัยเกาะชื่อทักษิณขึ้นมา? โดยไม่อาศัยการอุปถัมป์ค้ำชูจากพวกพ้องของทักษิณ? ตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี ข้าราชการ สส. ถูกสืบทอดกันมาเหมือนสมบัติประจำตระกูลไม่กี่ตระกูล เรียกว่าระบบอุปถัมป์หรือไม่? แล้วสภาพ "สภาผัวเมีย" ในยุคทักษิณเรืองอำนาจล่ะ เข้าข่ายระบบอุปถัมป์บ้างหรือเปล่า? คำกล่าวว่า "ไม่เอาทักษิณ แล้วจะเอาใคร?" กับ "วัฒนธรรมเอื้ออาทร" แสดงถึงสภาพจิตแบบเสรีชน ประชาธิปไตยเต็มขั้น ไร้ภาวะที่หวังพึ่งพาผู้อุปถัมป์ แน่หรือ? "พันธมิตรและฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ดึงฟ้าต่ำ ประโคมเรื่องขบวนการล้มเจ้า เอาสถาบันฯ มาโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดี เป็นการกระทำที่ใช้ได้หรือ?" ตอแหล! อย่างที่พวกเราได้เห็นกันแล้วในระยะหลังๆ ว่าจักรภพ เพ็ญแข คิดและพูดอะไร? ดา ตอร์ปิโด คิดและพูดอะไร? คนพวกนี้อยู่กับใครและได้รับการโอบอุ้มจากใครบ้าง จนถึงทุกวันนี้คดีก็ยังไปไม่ถึงไหน ในขณะที่สนธิ ลิ้มทองกุล ไปเปิดเผยในม็อบพันธมิตร ให้คนทั่วๆ ไปได้รับรู้ว่ามีคนพวกนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่ ยังถูกสั่งฟ้องดำเนินคดีข้อหาเผยแพร่อย่างรวดเร็วทันใจ คนพวกนี้มีอยู่ไม่น้อย ที่เวลาอยู่หน้าจอไม่มีใครมองเห็น ก็ไปเที่ยวสุมหัวกันในเว็บไซต์การเมืองหัวเอียงซ้าย เพื่อเขียนข้อความจาบจ้วงมุ่งร้าย ดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบันฯ เสียๆ หายๆ อยู่สารพัดเป็นขาประจำ (และแน่นอน ส่วนใหญ่จะควบคู่กับสรรเสริญเยินยอทักษิณเป็นเทวดาที่ห้ามใครแตะต้องไปด้วย) ถึงกี่เดือนกี่ปีกันแล้ว โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบดูแลด้านนี้โดยตรงไม่เห็นจะใส่ใจเข้ามาจัดการ แต่พอมีโอกาสออกมาให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยกับคนอื่นกลางแจ้งเมื่อไหร่ คนพวกเดียวกันนี้แหละก็ทำฟูมฟายเป็นเดือดเป็นแค้นบอกว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ และผู้ที่ออกมาปกป้องสถาบันฯ ทั้งหลาย เป็นพวกเล่นวิธีสกปรก ดึงฟ้าต่ำ เอาสถาบันฯ มาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง (แบบที่พวกขวาจัดสมัยตุลาคม 2519 เขาทำกันใช่หรือเปล่า?) ถ้าไม่หูหนวกตาบอดต่อความเป็นไปในบ้านเมืองจนเกินไป คงไม่ต้องบรรยายความให้มากไปกว่านี้ ขอจบประเด็น "เมื่อตอนเลือกตั้ง 2 เมษายน ปี 49 พรรคฝ่ายค้านที่ขัดขวางบอยคอตการเลือกตั้ง และชักจูงให้คนเลือกไม่ออกเสียง เป็นการปฏิเสธวิถีทางประชาธิปไตย" ตอแหล! ถ้าประชาชนมีสิทธิ์มีอำนาจอย่างแท้จริงตามที่คุยโม้ แล้วทำไมประชาชนจะลุกขึ้นมาแสดงเจตนาของตนเองว่า "ไม่พอใจกับตัวเลือกที่มีอยู่" บ้างไม่ได้? ในเมื่อเกม "เลือกตั้ง 2 เมษา" ของพรรคไทยรักไทย เป็นการบีบทางเลือก และฉวยโอกาสยัดเยียดทางเลือกจอมปลอมนั้นให้กับทุกๆ คน ให้ลงมาเล่นในเกมที่ตนเองได้เปรียบ ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริง ยังไม่นับว่าเป็นเกมที่เริ่มต้นด้วยความตระบัดสัตย์ หนึ่งในกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ไม่ทราบ ด้วยการยุบสภาหนีการอภิปราย ทั้งที่เพิ่งจะประกาศก่อนหน้านั้นว่าจะไม่ยุบสภา ทั้งๆ ที่สภาไม่ได้ผิด แต่เป็นปัญหาของรัฐบาลเอง และทั้งๆ ที่ตนก็มีเสียงอยู่ล้นสภาอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกลัวรัฐบาลจะล่มจากการยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจเลย แล้วเขาทำไปทำไม? ไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะมีโอกาสตอบโต้และชี้แจงในเวทีที่เปิดเผยต่อสาธารณะ อย่างเสมอหน้ากันหรอกหรือ? พฤติกรรมฉกฉวยโอกาสประโคมข่าวพูดกรอกหูประชาชนอยู่ข้างเดียวซ้ำๆ ตลอดเวลา แล้วพอฝ่ายอื่นๆ จะลุกขึ้นมาโต้แย้งบ้าง ก็หาทางอุดปากหรือระดมมวลชนมาส่งเสียงตะคอกดังๆ กลบเสียงมันให้หมด ใครท้ามาดีเบท อภิปรายโต้ทางความคิดกัน ก็หัวหดทุกที แล้วพอเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ใช้อำนาจยุบเวทีมันเสียเลย พฤติกรรมใช้การเลือกตั้ง ใช้ประชามติ อ้างเสียงสนับสนุนจำนวนมากเพื่อฟอกตัว และการเอาแต่ท้าให้มาลงเลือกตั้งแข่งกัน พยายามขีดเส้นนิยามระบบในความคิดของผู้คนใหม่เพียงแค่ว่า ประชาธิปไตย คือเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง เท่านั้น และ มีเสียงมาก มีพวกมาก ก็เท่ากับเป็นความถูกต้อง ทำไมประชาชนที่ควรเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง จะต้องมายอมทนกับพฤติกรรมเหล่านี้? ทำไมเราต้องยอมให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งสักแต่เอาคำว่า "ประชาธิปไตย" มาหากินหลอกล่อเราอยู่ซ้ำๆ โดยที่เราไม่คิดจะมองหาความหมายที่แท้จริงของคำนี้กันเองบ้างเลย? ในเมื่อต้องเลือกระหว่าง รูปแบบพิธีกรรมส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย กับ หลักการสำคัญของประชาธิปไตย ก็ย่อมมีคนส่วนหนึ่งเลือกเอาสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นหลักการแท้จริง ยิ่งกว่าเปลือกชิ้นหนึ่งที่ชื่อ "เลือกตั้ง" นั่นเอง vvvvvvvvv หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: วิหค อัสนี ที่ 30-09-2008, 23:40 ^^^^^^^^^ "พันธมิตรอยากได้การเมืองใหม่ เรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง แต่กลับไม่ยอมให้รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนแก้รัฐธรรมนูญ ก็เพราะคิดจะชิงเขียนรัฐธรรมนูญเองโดยไม่สนใจรับฟังเสียงของประชาชน ก็เพื่อจะยึดอำนาจกลับไปให้พวกเผด็จการ ศักดินา อำมาตยาธิปไตยเท่านั้น" บิดเบือน! ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า นักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองในระบอบทักษิณที่มีประวัติบ่อนทำลายประชาธิปไตยมาแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่ควรได้รับความไว้วางใจให้ลงมือแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่เพียงผู้เดียว ขออย่าได้ลืมว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เหนือกว่ากฎหมายอื่นๆ ทั้งหมด มีผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติ ต่อชะตากรรมของคนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคน และจะกำหนดรูปร่างหน้าตาของระบบการเมืองโดยรวม รัฐธรรมนูญกำหนดวิถีทางการขึ้นมามีอำนาจ การใช้อำนาจ และการพ้นไปจากอำนาจของนักการเมืองทั้งหลาย ถ้าการแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น แล้วทำให้นักเลือกตั้งหากินลำบากขึ้น คิดว่าพวกเขาจะอยากแก้กันหรือ? ถามจริงๆ คุณคิดว่า การให้นักเรียนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เลือกตั้งกันขึ้นมาเป็นสภานักเรียน แล้วมาทำหน้าที่ออกข้อสอบกันเอง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? จะให้กลุ่มโจรที่กำลังจะติดคุก มารวมหัวกันทำสำนวนฟ้องพวกตัวเองต่อศาลแทนตำรวจ มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ถ้ามีความจริงใจจะปฏิรูปการเมือง พัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขอให้ตั้ง สสร. ขึ้นมา รวบรวมข้อมูลและสำรวจความคิดเห็นของสาธารณะให้กว้างๆ ก่อนร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นพื้นฐานระบบการเมืองประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งมั่นคง ให้ประชาชนลงประชามติรับรองจากตัวเลือกหลายๆ รูปแบบ จะเป็นไรไป? คุณไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่า... ทำไม ฝ่ายที่อวดอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถึงเสนอแต่วิถีทางที่จะรวบอำนาจทุกอย่างเข้ามาไว้เป็นกระจุกเดียว ให้ขึ้นอยู่กับนักเลือกตั้งไม่กี่คน ไม่กี่ตระกูล มาตลอด? แล้วทำไม ฝ่ายที่ถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายรับใช้เผด็จการ ศักดินา อำมาตยาธิปไตย กลับเสนอวิถีทางที่จะเปิดเวทีการเมืองให้เป็นเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยทั่วไป เสนอวิถีทางที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ให้ความรู้กับชาวบ้านให้มีความตื่นตัวทางการเมือง และเรียกร้องการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง? "การเมืองประชาธิปไตยต้องคุยกันในสภาเท่านั้น พวกม็อบข้างถนนไม่ใช่ประชาธิปไตย การมีม็อบออกมาประท้วงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศชาติล้มละลาย ต่างชาติหวาดผวาไม่กล้ามาเที่ยว ไม่กล้ามาลงทุน ชาวโลกจะมองเราอย่างประนามหยามเหยียดว่าด้อยพัฒนาทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย" โกหก! โกหก! และ โกหก! การชุมนุมประท้วงเป็นการแสดงออกถึงความคับข้องใจของประชาชน แสดงออกให้นักการเมืองและสังคมสนใจรับรู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ม็อบมีมาคู่กับการพัฒนาทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย นานาประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตยก็ยังมีเรื่องของม็อบอยู่ไม่ขาด ก็ไม่เห็นว่าประเทศเหล่านั้นจะล่มจมเพราะม็อบแต่อย่างใด และส่วนใหญ่ ประเทศที่ยอมรับกันว่า "พัฒนาแล้วในทางการเมือง" นักการเมืองของประเทศเหล่านั้นก็มักจะหน้าบางเพียงพอ เมื่อมีประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงเป็นวงกว้าง ก็ไปทบทวนดู มองเห็นว่าประชาชนมีปัญหา เกิดความเดือดร้อนภายใต้การบริหารงานของตนจนถึงกับต้องออกมาชุมนุมประท้วง ก็เกิดความละอายแก่ใจ ลาออกจากตำแหน่ง การประท้วงก็จบลงได้โดยไม่ยืดเยื้อยาวนานสร้างความเสียหายมากนัก เมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 เมื่อครั้ง 6 ตุลาคม 2519 เมื่อครั้ง 18 พฤษภาคม 2535 ก็เป็นสูตรสำเร็จเดิมๆ ของผู้ถืออำนาจรัฐไม่ใช่หรือ ที่จะตีโพยตีพายอ้างว่าการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน เป็นการก่อความวุ่นวาย เสียหายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ? ทัศนคติว่าม็อบเป็นสิ่งเลวร้ายทำลายชาติ แสดงถึงจิตวิญญาณ "ประชาธิปไตย" หรือ "อำนาจนิยม" กันแน่? จนมา พศ. 2551 นี้ นักการเมืองมีการพัฒนาความด้านหนาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการฉวยโอกาสโยนบาปทุกสิ่งทุกอย่างไปให้ผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลเป็นต้นเหตุของปัญหาสารพัด ไม่ว่าหุ้นตก คนตกงานเป็นเบือ ธนาคารล้ม ข้าวยากหมากแพง น้ำท่วม แผ่นดินไหว ก็เพราะม็อบทั้งนั้น ถ้าทุกคนยอมกลับบ้านไปอยู่อย่างเชื่องๆ คอกใครคอกมัน ให้รัฐบาลผู้เอื้ออาทรเป็นผู้ขุนเลี้ยง ยอมเชื่อฟังรัฐบาลแต่โดยดี ไม่ส่งเสียงโวยวายอะไรให้รำคาญหู ป่านนี้ประเทศเราก็เป็นมหาอำนาจไปแล้ว ฯลฯ แล้วก็มีคนมากมายที่เชื่อตาม โดยไม่สนใจจะหันไปมองว่า รัฐบาลมัวทำอะไรอยู่? ได้ทำตามบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็นในการบริหารประเทศ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ในการปกครองให้เกิดความยุติธรรมในสังคมแล้วหรือยัง? แล้วประเทศนี้ ทั้งระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม มันเปราะบางถึงขนาดที่แค่มีม็อบ ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าแค่คนส่วนน้อยจำนวนไม่เท่าไหร่ ออกมาแสดงความไม่พอใจรัฐบาลแล้วจะทำให้บ้านเมืองล่มจมเชียวหรือ? อย่างสติ๊กเกอร์ที่พิมพ์คำว่า สนธิกับจำลอง ไล่ทักษิณได้ ต่อไปไล่ใคร? นั่นก็เหมือนจะสมเหตุสมผล แต่เป็นการอ้างเหตุผลแบบแคบๆ ไม่ต้องสนใจเลยว่า ทักษิณไปทำอะไรมาถึงถูกสนธิกับจำลอง (และผู้สนับสนุนอีกจำนวนไม่น้อย) ลุกขึ้นมาขับไล่? ถ้าอ้างเหตุผลแบบนี้ ต่อให้ทักษิณจะไปทำอะไร ก็ห้ามใครออกมาไล่ทั้งนั้น ไม่งั้นคนอื่นทุกคนก็จะถูกไล่อีก งั้นหรือ? อย่างใบปลิวที่เล่นสำนวนโวหารว่า ทักษิณทำอะไร แล้วสนธิทำอะไร นั่นก็เขียนได้ดูดีน่าเชื่อถือและปลุกเร้าอารมณ์มาก แต่ทำเป็นลืมไปว่า ทักษิณอยู่ในบทบาทหน้าที่อะไร? เป็นนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารประเทศชาติให้อยู่รอดเป็นชาติ ให้มีความสงบสุข สนธิอยู่ในบทบาทหน้าที่อะไร? เป็นสื่อมวลชน มีหน้าที่ตีแผ่ความจริงในสังคม ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนทั่วไป เราไปกินร้านข้าวแกงที่คนนิยมกันมาก แล้วพบว่ามีสารพิษปนเปื้อนในซี่โครงไก่ต้มฟักจานเด็ด จนตัวเราต้องเข้าโรงพยาบาลเกือบตาย แต่ตราบใดที่เราทำกับข้าวอร่อยๆ ไม่ได้อย่างร้านนั้น ไม่ได้เปิดร้านข้าวแกงที่มีคนแห่ไปกินกันอย่างหนาแน่นเทียบเทียมกับร้านนั้น ก็จงหุบปากไปเสีย ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไร อย่างนั้นใช่หรือไม่? ถ้าผู้ปกครองเป็นอธรรม แต่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญาจะขึ้นไปบริหารประเทศได้เหมือนอย่างเขา ตราบนั้นประชาชนก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น ต้องหุบปากก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เขาจะยัดเยียดมาให้ ใช่หรือไม่? และยังอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่คนในกลุ่มการเมืองนี้ โกหกหลอกลวงประชาชนออกอากาศอย่างหน้าด้านๆ วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง ทำความผิดแล้วเฉไฉเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่อยไม่ยอมตอบตรงๆ ในขณะที่ประชาชนทุกระดับชั้น ทุกสาขาอาชีพ ออกมาแสดงพลัง เรียกร้องจิตสำนึกจากนักการเมือง - ให้รู้จักมียางอายในการทุจริต ใช้อำนาจโดยมิชอบ เอาเปรียบและกดขี่ประชาชน - ให้รู้จักเคารพยำเกรงต่อเจตจำนงและเสียงเรียกร้องของประชาชนอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง - ให้รู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองเสียบ้าง - ให้มีความจริงใจกับคำว่า "ประชาธิปไตย" และ "พี่น้องประชาชน" สักที แต่บรรดานักการเมืองระบอบทักษิณกลับเอาแต่ไปตีโพยตีพายกับมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตนว่า - พวกชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง คนเมือง นักวิชาการ หมั่นไส้ทักษิณที่เป็นที่รักของคนจนชาวรากหญ้า อิจฉาคนจนที่มีพ่อคนใหม่มาอุปถัมป์ ไม่อยากให้คนจนได้ดีขึ้นมาเท่าพวกตน - พวกอำมาตย์ ลูกป๋า ฯลฯ ตามแต่จะเรียก ไม่พอใจเพราะทักษิณไม่ยอมก้มหัวให้ ไม่ยอมไปแสดงความคารวะ หรือเข้าพบขอคำปรึกษาในการบริหารประเทศ - พวกนักคิด นักเขียน ศิลปิน ต่อต้านเพราะไม่ยอมไปแสดงความเคารพนับถือ ส่งกระเช้าไปอวยพรวันเกิดพวกเขา - คนออกมาชุมนุมประท้วงป่วนเมือง เพราะอยากทำให้รถติด ให้คนเดือดร้อนเล่นๆ ฯลฯ เมื่อก่อนมีคำว่าดับเบิ้ล แสตนดาร์ด แต่มาถึงตอนนี้ เราคงต้องขยายความ โดยพูดถึงการอาศัยหากินอยู่กับความเท็จ ความหลอกลวง ความฉ้อฉล มารยาสาไถย อ้างสิ่งที่ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา ที่ร้ายยิ่งกว่า มีการใช้การโฆษณาชวนเชื่อที่ผูกขาดช่องทางนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่ความคิดที่บิดเบือน ทั้งบนดินและใต้ดินอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ จนความเท็จฝังรากลึกในจิตใจคน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายฐานเสียงของระบอบทักษิณ และสร้างศรัทธาและพลังมวลชนขึ่้นมาบนพื้นฐานของความเท็จและบิดเบือนเหล่านั้น นี่คือระบอบทักษิณ ที่สุดท้ายก็เป็นเพียง "ลัทธิแก้" ที่จะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น และจนถึงวันสุดท้าย ถ้าพวกเขาทั้งหมดยังไม่รู้สึกตัว... ในเมื่อโลกนี้ ให้โอกาสเราทุกคนได้ชำระและแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ในเมื่อคนทุกคน เกิดมาแล้วย่อมต้องตาย ผมเองเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า กฎแห่งกรรมมีจริง เป็นกฎธรรมชาติที่เที่ยงตรงที่สุด และจะตอบแทนทุกการกระทำไม่ว่าดีหรือร้ายอย่างเหมาะสม สำหรับคนที่ชอบอ้างแต่เสียงข้างมากลากไป เมื่อไหร่ที่เขาไปสู่ปรโลก และถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนเองเคยทำไว้ทั้งหมด หวังว่าคงไม่ต้องไปก่อม็อบประท้วงให้ยมบาลมาจากการเลือกตั้ง หรืออะไรทำนองนั้นอีกก็แล้วกัน (มีต่อ) ********* หัวข้อ: Re: เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ เริ่มหัวข้อโดย: Augustine ที่ 02-10-2008, 23:53 อ้าวววว ตอนที่สิบ มาตั้งแต่ เมื่อไร
|