ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ตกลงเขาจะเอาไงของเขากันแน่ว่ะเนี่ย
  :slime_hmm: :slime_doubt: :slime_dizzy:

คนกลุ่มนี้เป็น ญาติร่วมโลกกับ
...กลุ่มเป็นกลาง
...กลุ่มริบบิ้นสีขาว
...กลุ่มชั้นเดือดร้อนแต่ขอด่าเฉยๆ แล้วก็ทำมาหากินของตัวเองต่อ

หรือเปล่าหนอ  :slime_doubt: :slime_doubt: :slime_cool:

อาการแบบนี้แนะนำให้ไปไล่รัฐบาลก่อนครับ
เพราะประกาศไม่เอารัฐบาลแล้ว

ส่วนพันธมิตรแค่รำคาญก็แนะนำให้ทนไปก่อน
จัดการรัฐบาลเสร็จ พันธมิตรจะสลายไปเอง
สรุปว่าเบื้องต้นมีเป้าหมายร่วมกันกับพันธมิตร  :slime_bigsmile:

เหอๆๆ ก็กลุ่มกรูจะเอาอย่างเดียวไง

ด่ารัฐบาลไม่ดี ไม่อยากได้ แต่ก็ไม่อยากลำบากมาไล่
รำคาญพันธมิตร เพราะขี้เกียจดูข่าว ขี้เกียจรถติด

พวกนี้ ดีแต่ปากทั้งน้านนนน พอถามว่าให้ทำยังไง
ก็ได้แต่ตอบว่าไม่รู้ แต่ทำย่างนี้ไม่ได้ก็แล้วกัน มันไม่เป็นประชาธิปไตย
แล้วที่เป็นอยู่ เผด็จการรัฐสภา แถลงสนับสนุนตั้งแต่ยังไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ มันประชาธิปไตยตรงไหน(ว่ะ)

ยังถือว่าเป็นกลุ่มที่มีใจเป็นธรรม แยกแยะถูกผิดได้

ส่วนการไม่พอใจพันธมิตร อาจไม่ชอบวิธีการ รูปแบบ หรืออะไรก็แล้วแต่

ก็ยังมีเป้าหมาย เป็นแนวร่วมกันอยู่ คือไล่รัฐบาล ชั่วครองเมือง ออกไป

ผมเองก็เป็นพวกคล้ายๆทำนองนี้นะครับ คือไม่เอารัฐบาลและ นปก และทักสินแน่ๆ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับหลายๆแนวทางของพันธมิตร

แต่ก็ไม่ได้รำคาญนะครับ เพียงแต่วิธีที่พันธมิตรใช้ปัจจุบันผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่

อยากได้แนวทางแบบ รวดเร็วเด็ดขาด ไม่ต้องพูดไม่ต้องยืดเยื้อ ทุ่มทรัพยากรที่มีทั้งหมดลงไปทีเดียว ตูมเดียว จบ เรียบร้อย

จึงอยากเห็นว่าถ้าพล.อ.พัลลภมาเป็นแกนนำ วิธีการของแกจะเป็นอย่างไรเหมือนกันเผื่อจะแนวทางเดียวกัน


ส่วนพวกที่ประกาศว่าเป็นกลางน่ะ ผมก็เคารพกับการตัดสินใจของพวกเขา แต่ว่าก็ควรทำตัวให้มีจุดยืนที่แน่ชัด ให้บริการข้อมูลข่าวสารที่เป็นกลางและถูกต้องและทางที่ดีช่วยเสนอแนวทางด้วยว่าถ้าไม่เอารัฐบาลแล้วจะเอายังงัยต่อ จะเคลื่อนไหวอย่างไร

ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ออกมาบอกแล้วก็เงียบ หรือแค่ใส่ชุดดำบ้าบอไรนั่นแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ไร้ประโยชน์ครับแบบนี้ นอนอยู่บ้านเฉยๆก็ไม่มีใครเขาว่าหรอก

เป็นพวกเริ่มสนใจการเมืองมากขึ้นน่ะค่ะ  :slime_smile2: จากที่เฉยๆกับรัฐบาล ไม่เอาพันธมิตร เพราะรถติด บลาๆๆๆๆ

เป็นพวกมือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ.....
 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

ไม่เป็นไรหรอกครับ

เป็นเรื่องของเสรีภาพทางความคิด

เพีงแต่แนวความคิดที่เขานำเสนออาจจะมีความขัดแย้งซักหน่อย

เพราะไม่อยากได้รัฐบาลแต่ปฏิเสธการชุมนุมเพื่อการแสดงออกถึงความต้องการ

แต่อย่างไรเสีย เป็นสิทธิของกลุ่มพวกเขา

และนี่แหละครับ ความสวยงามของประชาธิปไตย

ความเห็นที่หลากหลาย จึงเป็นสิ่งที่ดี

กลุ่มคนพวกนี้มีความคิดว่า ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้ตูเดือดร้อน
เช่น โพลออกมาตำหนิการชุมนุมประท้วง เท่านั้นเปอร์เซนต์
แต่พอถามว่า รบ.ใช้พรก.ฉุกเฉินจัดการ คนกลุ่มนี้ไม่เอา คงเพราะกลัวจะมีผลกระทบต่อตัวเองด้วย  :shock:

พวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของประเทศครับ เป็นพวกสุขนิยม  :slime_worship:

คนไทยเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไม่ออกมาทำอะไรเพื่อส่วนรวม แต่ถ้ากระทบถึงตัวเองเมื่อไหร่ ดิ้นเป็นหมาถูกน้ำร้อนเลยทีเดียว

ตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังใช้สงครามข้อมูลข่าวสารข่าวสาร  พันธมิตรควรหมั่นหาแนวร่วม
และอย่ามองคนที่คิดไม่เหมือนเราในแง่ร้าย  เพราะยุทธวิธีการต่อสู้ทางการเมืองแบบนี้
คนทั่วไปจะไม่เข้าใจ  เห็นมีเหมือนกันว่าเคยไม่ชอบพันธมิตร แต่วันนี้สนับสนุนให้ทำสำเร็จ

ช่วงนี้ถือเป็นช่วงการพัฒนาความคิดทางด้านการเมือง

การเคลื่อนไหวทางการเมืองยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับคนไทย เลยยังไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้

อาจเป็นเพราะเราถูกปลูกฝังให้อยู่ในกรอบความคิด ว่าต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ มากกว่าการใช้เหตุผล

บางคนกลัวว่าการออกมาชุมนุมนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง กลัวผิดกฏหมาย เพราะโดนรัฐบาลพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน

พธม. คงต้องหาวิธีโน้มน้าวให้คนเหล่านี้เข้ามาร่วมด้วยให้ได้

ต้องทำให้เห็นว่าการชุมนุมนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และจะได้อะไรจากการชุมนุม

ซึ่งดีกว่าออกมาบ่นว่ารำคาญ โดยไม่ยอมแสดงความคิดเห็นอะไรเลย

พวกนี้เป็นพวกอีแอบครับ
ถ้าให้เค้าแสดงความเห็นงเค้าจะไม่ค่อยด่ารัฐบาล
แตชอบขี่ม้าเลียบค่าย
และเค้าจะชอบตั้งคำถามว่า

ตกลงคนตายอยู่ฝ่ายไหนเหรอ
สมัครลาออกแล้วจะเอาใครมาแทน
สมัครยุบสภาแล้วถ้าได้กลับมาจะประท้วงต่อไหม

แต่สังคมไทยไม่ชอบคนเลือกข้าง
คนชอบไม่เลือก
เพราะส่วนมากกลัวเลือกข้างคนแพ้น่ะครับ

สมาชิกหลายท่านพูดได้ชัดเจน

เปรียบไปแล้วพวกนี้คือพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำนั่นแหละ

กลุ่มขี้บ่นแห่งชาติ

ไม่เอานี่ รำคาญโน่น แต่ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา  :slime_shy:

ฝากข้อความให้อ่านประเทืองปัญญา อาจพอแก้ไขได้ทัน

คนไทยจะยอมตกต่ำทนทุกข์ทรมานกันไปอีกกี่รุ่น?

มีคนจำนวนมากได้รับข้อมูลข่าวสารด้านเดียว คือจากสื่อที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐ ข้อมูลที่ถูกบิดเบือน และสร้างภาพหลอกลวง คนที่ไม่รู้จึงเชื่อตามนั้น ว่า........ประชาธิปไตยคือเสียงข้างมาก ใช้จำนวนเป็นตัวกำหนดความชอบธรรมของสังคม

จึงใคร่ขอให้ทุกท่านทบทวนดูว่า "จำนวนคือเครื่องชี้วัดความชอบธรรม" จริงหรือไม่ หาก....

๑.ประชาธิปไตย คือเสียงข้างมาก ทั้ง ๆ ที่วิธีที่ได้มาซึ่งเสียงข้างมากคือการซื้อเสียง (เอาผิดตามกฏหมายไม่ได้ เพราะรัฐคุมเกม)  ตราบใดที่เป็นเช่นนี้ เราคนไทยจะได้อะไรมาปกครองเรา นอกจากพวกนักโกงชาติ

๒.ประเด็นของรัฐบาลสมัครซึ่งเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งรัฐบาลทักษิณถูกทำรัฐประหารเพราะสาเหตุจากการใช้อำนาจรัฐในขณะนั้นโดยมิชอบเพื่อผลประโยชน์ตนและพวกพ้องโกงกินคอรัปชั่น ดังที่มีคดีมากมายหลายคดี  

แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาของรัฐบาลสมัคร(ประกาศตัวเป็นนอร์มินี) ก็เหมือนการเป็นพนักงานของบริษัทชินฯ ซึ่งเหตุผลข้อนี้ข้อเดียวก็พิลึกพิลั่นในตัวของมันเองแล้ว ในเมื่อนายจ้างเจ้าของบริษัทถูกดำเนินคดี ลูกจ้างซึ่งกุมอำนาจรัฐทั้งหมดก็ต้องนำมาใช้เพื่อให้นายพ้นผิด นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 โดยพยายามโจมตีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทุกวิถีทาง เพื่อจะสามารถเข้าไปดำเนินการฟอกความผิดให้กับนายของตน

จึงขอให้ตั้งข้อสังเกตุว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  หากรัฐใช้อำนาจบีบเค้นองค์กร และข้าราชการประจำหน่วยต่าง ๆ ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อสิ่งที่มิชอบ

หลักคิดและเหตุผลง่าย ๆ นี้ พี่น้องประชาชนคงพอจะเข้าใจว่า ทำไมรัฐบาลสมัคร จึงไม่ควรอยู่บริหารประเทศ

รัฐใดก็ตามที่ถูกครอบงำโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รัฐนั้นย่อมปราศจากเอกภาพ ไม่สามารถบริหารประเทศโดยสุจริตขาวสะอาดอย่างแท้จริง  จึงทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและสิ้นศรัทธาว่ารัฐจะสามารถนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้  

และรัฐแห่งนี้คือประเทศไทย มิใช่สมบัติหรือบริษัทส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง

พี่น้องต้องพิจารณาให้เห็นและหาคำตอบให้กับประเทศด้วยใจเป็นธรรม และเป็นคุณต่อประเทศของท่าน ทั้งในวันนี้และอนาคตข้างหน้าด้วย  

คนไทยทุกคนต้องทำใจให้ปลอดอคติจากทิฐิมานะทุกประการ และตัดสินใจโดยนำประโยชน์อันแท้จริงเป็นตัวตั้ง  เป็นหลักในการไตร่ตรอง

จากเหตุผลแค่ 2 ข้อข้างต้น  ผิด-ถูกท่านคงพิจารณากันได้  หากท่านต้องการให้การเมืองไทยพลิกโฉมเน่า ๆ ที่เราคนไทยทุกคนต้องจำนนยอม ตกต่ำกันตลอดมาช้านานแล้ว  

พี่น้องทุกคนคงเคยได้ยินตา-ยาย -พ่อ-แม่ เราบ่นก่นด่ารัฐบาล และระบอบการเมืองเช่นนี้มาหลายรุ่นแล้ว วันนี้โปรดตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องให้กับสังคมของเรา โอกาสฟื้นฟูสังคมอยู่ในมือเรา-ท่านทุกคนแล้วในวันนี้  

การนิ่งเฉยไม่สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้แม้แต่น้อย  :slime_fighto: :slime_fighto: :slime_fighto:

(http://i378.photobucket.com/albums/oo229/sarav_09/baby.jpg)



(เผื่อว่าหมักจะบ้ายอ และมีเมตตาสงสารเด็ก ๆ เผื่อว่าหมักจะหลงคิดว่าตัวเองเป็นปู่ใจดีจริง ๆ )

ส่วนพวกที่ประกาศว่าเป็นกลางน่ะ......
เป็นพวกเฮไหนเฮนั่น บ่นให้คนอื่นรับรุ้ความเดือดร้อนของตนเอง....

แต่พอใจทำตัวเป็น'ขอนไม้ลอยน้ำ' รอวันผุกร้อนไปตามกาลเวลา...

บางที'ความเป็นกลาง' คือการเลือกข้างแล้ว เลือกข้างรัฐบาล เลือกไม่ออกมาชุมนุม ไม่สนับสนุนพันธมิตรฯ.....!!!

พวกประกาศตัวว่าเป็นกลาง หรือพวกริบบิ้นขาวเนี่ย ผมว่ามันดูคลุมเครือยังไงไม่รู้ เหมือนพวกจะแทงกั๊กตลอด

ชอบบอกว่าให้ใช้วิธีเจรจา ก็เห็นๆอยู่ว่า นายสมัคร มันเจรจาไม่ได้ เหมือนกับคนเมายาบ้ากำลังเอามีดจ่อคอหอย

ตัวประกัน มันต้องชาร์จลูกเดียว

ผมว่านาทีนี้ใครอยู่จุดยืนไหนก็แสดงตัวเลือกข้างมาเลยดีกว่า บอกมาเลยว่าใครควรทำอย่างไร บอกวิธีมาเลย

อย่ามาบอกว่า เกลียดสมัคร เกลียดทักษิณ และเกลียด พธม. มันดูกลวงๆ เห็นแก่ตัวไงไม่รู้ เหมือนทำงานกลุ่ม

คนอื่นเขาทำกันแทบตาย จะทำผิดทำถูกเข้าก็ทำ แต่คนประเภทนี้จะคอยนั่งติอย่างเดียว

ผมนั้นเห็นด้วยกับ พธม. หลายประการ แต่ก็ไม่เห็นด้วยหลายประการเช่นกัน แต่ก็ยังถือว่า พธม. มีเจตนาดี

ปล. ส่วนพ่อกับแม่ผมนั้น ท่านเป็น พธม. เต็มตัวครับ  :slime_slapped:

ไม่ต้องโต้ตอบ พยายามใส่ข้อมูลที่เรารับรู้  

พวกนี้เขาเรียกว่า เน้นปลอดภัยครับ
คนส่วนใหญ่อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น

เหมือนเพื่อนผมคนนึงครับด่าสมัครแล้วก็ด่าพันธมิตร
ไปชุมนุมทำไมวะ ชุมนุมแล้วได้อะไรยังไงมันก็ไม่ออกยังไงมันก็เซ็น

เฮ้อคนพวกนี้ก็ยกประเทศให้หมักกับทักษิณไปเลยละกันครับ

ถ้าพวกคุณไม่ชอบพธม.ไม่มาชุมนุมพวกคุณก็หาชื่อคนเยอะๆ สิครับ
ออกแถลงการณ์ ออกบ่อยๆ ไม่ชุมนุมไม่ว่า เราไปเอง :slime_v:

ไม่ออกก็อย่าออก
       
       คงมีบางคนที่ฟัง นายกฯ สมัคร สุนทรเวช พูดผ่านวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ในเช้าวันที่ 4 กันยายน 2551 ตั้งคำถามเหมือนนายกฯสมัคร ว่า ทำไมทำกันถึงขนาดนี้ บ้านเมืองเสียหายหมด ทั้งปิดสนามบิน ยึดทำเนียบ ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า เมื่อปิดสนามบินภูเก็ต นอกจากประเทศเสียหายแล้ว คนที่เสียหายมากที่สุด ก็คือ คนภูเก็ตเอง แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทำร้ายตนเองอย่างนั้น
       
       เป็นเพราะมนุษย์เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อการมีกินมีใช้ แต่เรามีชีวิตเพื่อสิ่งอื่นที่มากกว่าสิ่งที่จับต้องได้ อย่างเรื่องความชอบธรรม และความเป็นธรรมในสังคม มนุษย์เราจึงยอมไม่ได้ที่จะให้มีใครมาเอาเปรียบใคร ถ้าถามนักเรียนที่สอบตกว่ายอมรับได้ไหม เขาคงต้องทำใจยอมรับได้ แต่ถ้าถามว่าเขาสอบตก แต่เพื่อนซึ่งโกงการสอบ สอบผ่าน เขายอมรับได้ไหม เขาคงยอมรับไม่ได้
       เช่นเดียวกับที่คนอื่นๆ ซึ่งทำมาหากินอย่างเหนื่อยยาก แต่เมื่อเขารู้ว่ามีคนที่เข้าสู่อำนาจแล้วสามารถซื้อที่ดินได้ในราคาถูก หลบเลี่ยงภาษีได้โดยลูกน้องที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หาประโยชน์กับสัมปทานในเขมรโดยยอมยกปราสาทเขาพระวิหารให้ สามารถเอาเงินมาโปรยเพื่อซื้อพรรค และนอมินีมาบริหารประเทศและช่วยเหลือตนเองให้หลุดคดี เขาจึงต้องออกมาแสดงความคิดเห็นแบบอหิงสาตามหลักประชาธิปไตย แต่เมื่อรู้ว่าอหิงสาไม่ได้ผล ผู้มีอำนาจไม่ฟัง หรือฟังแต่ไม่ได้ยิน เขาจึงต้องทำร้ายตนเองประท้วงโดยวิธีการต่างๆทั้งปิดสนามบิน ขู่หยุดงาน หยุดเดินรถไฟ ตัดน้ำ ตัดไฟ ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้ง ไล่ออกโดยผู้มีอำนาจอีก
       
       ต้องเห็นใจผู้ไม่มีอำนาจ เพราะเขาไม่มีอำนาจ เขาจึงทำได้แต่เพียงทำร้ายตนเอง เพื่อประชดสังคม เพื่อให้สังคมและผู้มีอำนาจได้ยิน แต่จนแล้วจนรอดผู้มีอำนาจก็ทำแต่เพียงตอบคำถามแบบข้างๆ คูๆ หรือไม่ตอบถ้าตอบไม่ได้ และใช้ความรุนแรงเข้าใส่ ทั้งแก๊สน้ำตา และการระดมคนอีกกลุ่มมาผจญหน้ากัน เพื่อให้เกิดความรุนแรง แล้วตัวเองก็หลบฉากไป บอกว่าเขาตีกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว
       
       นายกฯสมัคร กล่าวในรายการเดียวกัน ว่า คุณเตช บุนนาค ลาออก เพราะภรรยาขอร้องเนื่องจากอายที่ร่วมรัฐบาลที่มีคนด่าทั้งเมือง การกระทำนี้เป็นสิ่งที่ประเทศที่มีอารยะเขาทำกัน เพราะผู้นำประเทศ ทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของเขามาเพื่อชื่อเสียงต่อวงศ์ตระกูล ไม่ได้มาเพื่อหาผลประโยชน์อะไร เมื่อโดนคนในสังคมตำหนิเล็กน้อยก็ลาออกแล้ว เพราะไม่คุ้มกับชื่อเสียงที่สั่งสมมา แต่น่าแปลกใจที่ผู้นำประเทศของเรายังคงอยากอยู่ในตำแหน่ง ไม่อายที่มีคนด่าทั้งเมือง เหมือน คุณเตช บุนนาค หรือเป็นเพราะรอให้งบประมาณที่ใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยผ่านสภาก่อน โดยไม่สนพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงกล่าวว่า “ประเทศชาติใกล้ล่มจมแล้ว”
       
       อย่างไรก็ดี ผมคาดเดาอยู่แล้ว ว่า เช้าวันที่ 4 กันยายน 2551 นายกฯสมัครจะไม่ประกาศลาออก และผมดีใจที่ท่านไม่ได้ลาออก การเปิดเผยตัวตนของท่านนายกฯผ่านสื่อเรื่อยๆ จะเป็นการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ผู้คนในสังคมไทย ว่า ถ้าเรายอมให้มีการทุจริตการเลือกตั้งแบบที่ผ่านมา ยอมให้มีการซื้อพรรคและซื้อนอมินีมาบริหารประเทศ เราจะได้ผู้นำประเทศแบบนี้ ผู้นำที่ร่าเริงเมื่อเห็นผู้คนตีกันจนเสียชีวิต ผู้นำที่ไม่อายเมื่อมีคนด่ากันทั้งเมือง ไม่ว่าท่านจะลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้วครับ เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ในแผ่นดินนี้ เขาไม่คิดว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว       
       นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์
       เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ผมว่าคุณหมอให้ความเห็นที่ดีมากเลยครับ สำหรับกลุ่ม ไม่เอารัฐบาล แต่รำคาญพันธมิตร   :slime_v:

พูดตรงๆ ผมรำคาญคนกลุ่มนี้มาก รัฐบาลก็ไม่เอาพอประท้วงจะเอารัฐบาลออก มันก็บ่นว่ารถติด

ลำบากยังโง้น อย่างั้น  คุณจะเอาทุกอย่างแต่คุณไม่เสียสละเลย เห็นแก่ตัวครับคนประเภทนี้

ผมว่าคนที่อยู่ราชดำเนอนในพันธ์ทิพย์ยังดูดีกว่าคนพวกนี้อีก อย่างน้อยเค้าก็ชัดเจนว่าเค้าต้องการอะไร ใส่กันตรงๆ

คห.ส่วนตัวครับ

จะทำความสะอาดบ้าน ก็มีคนมานอนอยู่กลางบ้าน ปากก็พร่ำบ่น พื้นสกปรก เหม็นขยะ แล้วก็ด่าคนทำความสะอาดบ้านว่าทำอะไรเสียงดัง น่ารำคาญ

แล้วมันก็นอนเกลือกกลิ้งเกะกะบนกองขยะต่อไป กีดขวางการกวาดขยะของคนทำความสะอาดบ้าน

เห็นด้วยกับหลายๆคนครับ  :|
The only thing necessary for the triumph of evil is for good men to do nothing.

http://www.pub-law.net/publaw/View.asp?publawIDs=1268  

การเมืองไทย สามก๊ก


สถานการณ์บ้านเมืองเราในปัจจุบันที่แบ่งแยกผู้คนออกเป็นหลายขั้วหลายกลุ่มทำให้ผมนึกถึงนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก และแปลเป็นไทยโดยเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๔๕ ถือเป็นนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์เล่มแรกและเก่าแก่ที่สุดของไทย
       เรื่องราวของสามก๊กนี้คนไทยเราส่วนใหญ่มักจะอ่านมาแล้วบ้าง อย่างน้อยก็ในชั้นเรียน นิยายอิงประวัติศาสตร์ชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้เพราะประกอบไปด้วยคติสอนใจและกลศึกต่างๆ สามารถประยุกต์เข้ากับการบริหารงานและสถานการณ์บ้านเมืองได้ทุกยุคทุกสมัย จนมีผู้กล่าวว่า “ยังมิได้อ่านสามก๊ก อย่าพึงคิดการใหญ่” แต่หากอ่านมากไปก็อาจเป็นระแวงของคนอื่นได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครอ่านสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้”
       สามก๊กกล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในยุค พ.ศ.๗๖๓ ถึง พ.ศ.๘๒๓ เริ่มจากสมัยพระเจ้าเลนเต้ได้ขึ้นครองราชย์ แต่ทรงครองราชย์อย่างไร้คุณธรรม ทำให้ราษฎรเดือดร้อน หิวโหยทุกหย่อมหญ้า ราษฎรทนไม่ไหวจึงรวมตัวกันเกิดเป็นกบฏโจรโพกผ้าเหลือง มีผู้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แม้แต่กองทหารก็ต้านไม่ไหว จึงมีการประกาศหาอาสาสมัครปราบโจรดังกล่าวทุกหัวเมือง ซึ่งเป็นเหตุให้เล่าปี่ กวนอูและเตียวหุย ได้มาพบกันและสาบานตนเป็น พี่น้องกันและร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลือง
       ในการปกครองบ้านเมืองของจีนในยุคนั้น ราชวงศ์ฮั่นถือเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่มาก มีการแผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกล ทิศเหนือครอบครองแมนจูเรียและเกาหลีบางส่วน ทิศใต้ครองมณฑลกวางตุ้งรวมถึงตอนเหนือของเวียดนาม แต่มาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกหรือตงฮั่น จักรพรรดิทรงอ่อนแอ ขันทีมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขุนศึกหัวเมืองต่างๆพากันกระด้างกระเดื่องและตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้น ก่อความเดือดร้อนไปทั่วจนทำให้เกิดกบฏโจรโพกผ้าเหลืองดังกล่าวขึ้น กลุ่มอิทธิพลต่างๆทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่สนใจรัฐบาลกลาง ในที่สุดแผ่นดินจีนก็แตกออกเป็นสามก๊กอย่างชัดเจนภายหลังที่โจโฉพ่ายแพ้แก่เล่าปี่และ ซุนกวนในการศึกที่ผาแดง โดยก๊กทั้งสามแบ่งเป็น
       ๑) วุยก๊ก เป็นก๊กที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามก๊ก วุยก๊กครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจีนโดยโจโฉซึ่งต่อมาได้สถาปนาเป็นราชวงศ์วุย ซึ่งภายหลังวุยก๊กถูกโจมตีและโค่นล้มโดยสุมาเอี๋ยนและสถาปนาราชวงศ์จิ้นขึ้นแทนแล้วรวบรวมแผ่นดินที่แบ่งเป็นก๊กต่างๆเข้าด้วยกัน
       ๒) จ๊กก๊ก ปกครองโดยเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ฮั่น ครอบครองพื้นที่ทางภาคตะวันตกของประเทศจีน บริเวณมณฑลเสฉวน จ๊กก๊กปกครองอาณาจักรได้เพียง๔๒ ปีมีจักรพรรดิแค่ ๒ พระองค์ก็ล่มสลายลงด้วยกองทัพของวุยก๊ก เนื่องจากการปกครองแผ่นดินที่ล้มเหลวของเล่าเสี้ยน
       ๓) ง่อก๊ก ปกครองโดยซุนกวน ครอบครองพื้นที่ทางด้านตะวันออกของประเทศจีน บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ซึ่งก็คือพื้นที่บริเวณรอบๆเมืองหนานจิงในปัจจุบัน ง่อก๊กเป็นอาณาจักรสุดท้ายที่ล่มสลายโดยกองทัพของสุมาเอี๋ยน
     
 เมื่อหันกลับมามองสถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราในปัจจุบันแล้วจะเห็นได้ว่า ในช่วงก่อนการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ บ้านเมืองเราแบ่งออกเป็น ๒ ก๊ก คือ
       ๑) ก๊กเอาทักษิณ
       ๒) ก๊กไม่เอาทักษิณ


       แต่พอเกิดการรัฐประหาร ๑๙ กันยาฯ ขึ้น บ้านเมืองเราแบ่งเป็น ๔ ก๊ก คือ

       ๑)ก๊กเอาทักษิณ ไม่เอารัฐประหาร ได้แก่พวกไทยรักไทยเก่าหรือพลังประชาชน
       ๒)ก๊กเอาทั้งทักษิณและรัฐประหาร ได้แก่บางกลุ่มบางพวกของนักการเมือง และข้าราชการประจำตลอดจนนักวิชาการที่แสวงหาอำนาจและยศตำแหน่งทั้งหลาย
       ๓)ก๊กไม่เอาทักษิณ เอารัฐประหาร ได้แก่พวกพันธมิตรฯและแนวร่วม
       ๔)ก๊กไม่เอาทั้งทักษิณและไม่เอารัฐประหาร ได้แก่พวกที่เห็นพิษภัยของระบอบทักษิณและการรัฐประหาร
       แต่เมื่อ คมช.หมดอำนาจ บ้านเมืองเข้าสู่การเลือกตั้งแล้วมีการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ และได้รับการต่อต้านจากฝ่ายพันธมิตรฯที่ปักหลักประท้วงเป็นแรมเดือน บ้านเมืองก็เข้าสู่สภาวะแตกแยกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ก๊กใหญ่ๆอย่างชัดเจน คือ


       ๑)ก๊กไม่เอาร่างทรงของทักษิณ ได้แก่พวกอำมาตยาธิปไตยผนวกเข้ากับราชาชาตินิยมนำโดยพันธมิตรฯและแนวร่วมที่ปักหลักประท้วงอยู่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์และกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆโดยมี เอเอสทีวีเป็นแกนในการถ่ายทอดร่วมกับวิทยุชุมชนบางสถานี
       ๒) ก๊กไม่เอาพันธมิตรฯ ได้แก่พวกประชานิยมประสมกับทุนสามานย์นำโดยพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลผนวกเข้ากับพวกที่ชื่นชอบทักษิณ
       ๓) ก๊กไม่เอาทั้งร่างทรงของทักษิณและไม่เอาทั้งพันธมิตรฯ (หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพวก ๒ ไม่เอา – TWO NOs) ได้แก่ พวกที่เบื่อทั้ง ๒ ก๊กข้างต้นเต็มแก่ โดยเห็นว่าทั้ง ๒ ก๊กล้วนแล้วแต่สร้างความเดือดร้อนให้แก่บ้านเมืองทั้งสิ้น ไม่มีใครดีกว่าใคร  

       ทั้ง ๓ ก๊ก ต่างอ้างแนวร่วมของตนเองว่ามีมากกว่าใครเพื่อน โดยก๊กแรกอ้างว่า มีแนวร่วมถึง ๒๐ กว่าล้านคนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ก๊กที่สองก็อ้างว่าตนเองมาจากการเลือกตั้งมีเสียงข้างมากในสภาซึ่งมาจากคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งกว่า ๔๐ ล้านคน ส่วนก๊กที่สามก็ฮึ่มๆว่าตนเองนั้นคือพลังเงียบที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ทั้งประเทศซึ่งล้วนแต่เบื่อหน่ายต่อการหันกระบอกปืนใหญ่มายิงใส่กันด้วยความแค้นแต่ปางหลังของทั้งสองก๊กข้างต้น
       อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีนเรื่องสามก๊กแล้ว เราจะเห็นได้ว่าในที่สุดมันก็มีผู้ชนะจนได้ แต่กว่าจะชนะหรือปราบทั้ง ๓ ก๊กให้รวมเป็นปึกแผ่นได้ต้องระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
       แล้วสถานการณ์บ้านเมืองของเราจะเป็นไปอย่างไร
       เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ ฉะนั้น เมื่อใดที่การจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ยังไม่ลงตัวความขัดแย้งก็จะยังเป็นไปอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อใดการจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ลงตัวหรือเกี่ยเซียะกันได้แล้วความขัดแย้งก็จะทุเลาลง ขอแต่เพียงว่าใครอย่าจุดชนวนให้มีการเลือดตกยางออกหรือเกิดการจลาจลขึ้นก็แล้วกัน แม้ว่าล่าสุดฝ่ายพันธมิตรฯจะใช้ยุทธวิธีบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและทำเนียบรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการเริ่มโดยฝ่ายใดก็ตามก็จะยังสรุปไม่ได้ว่าใครแพ้ใครชนะ
       
       จุดเปลี่ยนที่จะชี้ผลแพ้ชนะอยู่ที่ใครจะมีความอึดมากกว่ากันที่จะไม่ใช้ความรุนแรงก่อน เพราะผู้ที่ใช้ความรุนแรงก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ เพราะความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาทางการเมืองได้สำเร็จ
       โดยเฉพาะยิ่งอย่าให้เกิดมีพวกที่มักง่าย คิดสั้นทำหรืออยากให้มีการทำรัฐประหารใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าจะทำรัฐประหารเพื่อช่วยก๊กใดก็ตามก็จะยิ่งทำให้ประเทศ ตกลงไปในเหวลึกจนแหลกเละอย่างไม่มีวันฟื้นคืนมาได้อีกเลย


โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ

เป็นคำคล้องจองนะ่ครับ อย่าคิดมาก  :slime_smile2:

แล้วคนที่เขียนบทความ ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ อยู่ก๊กไหน?

เท่าที่เคยอ่านบทความ ถ้าจำไม่ผิด ส่อไปทางก๊ก "เอาทักษิณ เอาประชาไท ของลูกครึ่งไจรัน" หรือเป็นพวกชอบแทงกั๊ก?