ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: boyk ที่ 29-08-2008, 05:11



หัวข้อ: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 29-08-2008, 05:11
ต้องยังงี้สิป๋า.. :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_agreed:


อ้างถึง
เปลวสีเงิน
บนมาตรฐานแห่ง"กบฏแผ่นดิน"  

29 สิงหาคม 2551   

เรื่องไหน ฝ่ายตัวเอง "ได้ประโยชน์" ก็แสดงความชื่นชมศาล แต่เรื่องไหนตัวเอง "เสียประโยชน์" ก็กระเทียบเปรียบกระแทกศาลต่างๆ นานา มันสันดานเดียวกับ "นาย"ของมัน" ที่หนีศาลไปซุกหางเห่าอยู่นอกประเทศเสียจริงๆ   

กับสถานการณ์ขณะนี้ เป็นปัญหาบ้านเมือง-เรื่องการเมือง เหตุมาจากตัวนายสมัคร-พรรคทักษิณแท้ๆ แต่มันกลับไม่กล้าเผชิญเพื่อแก้ปัญหาตามหน้าที่ก่อน

หนีไปซุกทหาร แล้วแบกปัญหาเป็น "เผือกร้อน" ไปพึ่งบารมีศาลให้ท่านแก้ให้ ส่วนตัวเองก็ ลอยหน้า-ลอยตา เป็นว่าต่อจากนี้ "รัฐบาลไม่เกี่ยว" แล้ว.. ..การยึด "ทำเนียบรัฐบาล" เป็นสถานที่ชุมนุมของ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" พ้นหน้าที่ และพ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลไปแล้ว!

ดูสันดานมันทำ!

นายสมัคร ใช้ความชำนาญเล่ห์การเมือง  ผลักปัญหา-ภาระทั้งหมดนั้นให้ไปอยู่ในเขตอำนาจของศาล จากร้องฉุกเฉินไปจนถึงขั้นตอน "แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี" ทำให้เกิดภาพเป็นว่า ขณะนี้ "ศาลแพ่ง" คล้ายต้องทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองแทนรัฐบาล  โดย "เจ้าพนักงานบังคับคดี" อันเป็นหน่วยงานของศาล ต้องลงมาแบกรับปัญหา  และต้องเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม "มวลชนพันธมิตรฯ" แทนรัฐบาล

ศาล จึงคล้ายเป็น "คู่กรณี" กับพันธมิตรฯ ไปโดยปริยาย!?

อันที่จริง การแก้ปัญหาการชุมนุมนี้ ถือเป็นภาระหน้าที่ขั้นต้นที่ "ฝ่ายบริหาร" ต้องแก้ปัญหาก่อน  ไม่ใช่มีปัญหาปุ๊บ ก็โยนปัญหานั้นปั๊บไปให้ศาลแบกรับภาระแทนทันที

โดยที่ตัวเอง  คือรัฐบาล  ยังไม่ทันเอาบ่าแบกล้อ  แล้วเฆี่ยนควายให้เดินเลยซักก้าว!

กลายเป็นว่า  ขณะนี้-ในกรณีนี้  ศาลต้องทำหน้าที่ทั้งฝ่ายตุลาการ  และทั้งฝ่ายบริหารแทนนายสมัคร

ส่วนตัวนายสมัครเองในฐานะนายกฯ ก็ "ลอยตัว" อยู่เหนือปัญหา ด้วยการพูดว่า "เรื่องของเขาแล้ว ต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องของเรา"! ใช่..กลายเป็นเรื่องระหว่าง ศาล กับ ประชาชน คือม็อบพันธมิตรฯ  ไปแล้ว  ไม่ใช่เรื่องในเขตหน้าที่ของรัฐบาล-ของนายสมัคร กับฝ่ายม็อบพันธมิตรฯ

นี่..ไม่เพียงเปลื้องภาระที่ตัวเองแก้ไม่ได้ให้ "พ้นตัว" ไปเท่านั้น นายสมัครยังใช้สันดานนักการเมืองเก๋าเกม "ฉวยโอกาสในวิกฤติ" ด้วยการเสกให้งาช้างงอกในปาก อวดสังคมว่า "สั่งไม่ให้ใช้กำลังสลายการชุมนุม อยากจะชุมนุมก็ให้ชุมนุมกันไป" ก็ใช่น่ะซี..ใช้ศาลทำหน้าที่ "สลายการชุมนุม" แทนไปแล้วนี่!

ในเบื้องต้นนี้ ผมอยากตั้งคำถามให้เป็นข้อสังเกตร่วมกันว่า "นายสมัครใช้สถาบันเบื้องสูงเปลืองหรือเปล่า?" และเป็นการใช้ "สถาบันเบื้องสูง" ให้เป็นไปเพื่อ ผลประโยชน์การดำรงสถานภาพทางการเมืองแห่งตนเองใช่หรือไม่?

เช่นกรณี  ร้องศาลแพ่งให้มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน เพื่อให้พันธมิตรฯ ออกไปจากทำเนียบฯ จะเห็นว่า รัฐบาล-โดยนายสมัครไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นว่า  ได้มีความพยายามใช้อำนาจตามหน้าที่ "ฝ่ายบริหาร" แก้ปัญหานั้นก่อนเลย และทั้งในฐานะผู้ดำรงอำนาจเหนือกว่า ก็ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำหน้าที่คลี่คลาย  ด้วยการเปิดโอกาสให้พันธมิตรฯ-ผู้ชุมนุม ได้เข้ามาพูดจา เพื่อทำความเข้าใจ-ตกลงอะไรกันเลย!

พันธมิตรฯ มายึดทำเนียบฯ เป็นที่ชุมนุมปุ๊บ ก็ไปร้องฉุกเฉินต่อศาลปั๊บ  ซึ่งเป็นช่องทางที่ทำได้ก็จริงอยู่  แต่ถ้าด้วยวิสัยผู้บริหารที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ และมีศักดิ์ศรีแห่งอำนาจบริหารของตัวเองแล้ว

เขาจะไม่นำภาระ "สถาบันตัวเอง" ไปเป็นภาระ "สถาบันอื่น" โดยที่ตัวเองยังไม่ได้แสดงสติปัญญา และแสดงความรับผิดชอบด้วยการแก้ไขอะไรให้เห็นใน "เขตแดนอำนาจ" ตนเองก่อน

การไปร้องศาลของรัฐบาลครั้งนี้ จึงเป็นเหมือน "ผลักภาระ" ให้ศาล ที่ฝ่ายบริหารน่าจะต้องละอายตัวเองที่..เอะอะ ก็ผลักภาระไปที่ "สถาบันศาล" ทั้งที่..อีกด้านหนึ่ง ตัวเองเคยแสดงปฏิกิริยาด้านลบ ส่อให้เห็นถึงความ "ข้องใจ-ไม่เชื่อใจ" ในดุลยธรรมของศาลตลอดมา  แต่ว่า พอมีปัญหาถึงตัวเอง กลับวิ่งโร่ไป "พึ่งบารมีศาล" ก่อนกาลอันควร และเมื่อศาลมีคำชี้ขาดออกมาด้วยความเที่ยงธรรม  บังเอิญความเที่ยงธรรมนั้น "ตรงกับใจ-ตรงกับผลประโยชน์ตัวเอง"

ก็..ชื่นแล้ว..ชมอีก  ชื่นชมศาลชนิดหน้ามือ-เป็นหลังมือ กับตอนเรื่องใบแดง เรื่องยุบพรรค เรื่องคดีทักษิณผู้บังเกิดเกล้า "การที่ศาลได้กรุณา ก็นับว่าเป็นความกรุณาของศาลอย่างยิ่ง ถ้าเทียบกับสำนวนธรรมดาก็เหมือนกับว่าให้ดาบมาถือไว้" แม้กระทั่งฝ่ายค้าน-ประชาธิปัตย์ ที่เหมือนขี้-เหมือนหนอนในความรู้สึกของนายสมัคร คราวนี้..ชมเปาะไม่ขาดปาก ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้งนายสุเทพ  ฐานที่ว่า "พูดจาถีบหัวพันธมิตรฯ" จึงนับเป็นหนึ่งมิตรชิดใกล้ แบบนี้ "ร่วมรัฐบาล-ร่วมสภาฯ" มีความเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้  หรือว่าไม่จริง?! ลองพร่ำรำพรรณพรั่งพรูอย่างนี้ ชนิดที่ว่า ถ้าเปิดทวารดมได้ก็คงทำอย่างนั้นไปแล้ว  เพื่อยืนยันให้เห็นว่า..ชื่นชมประชาธิปัตย์จริงใจที่พูดจา "เพิ่มรังวัด" ให้ฝ่ายรัฐบาล!

นี่..เป็นหนึ่งในข้อสังเกต ส่วนข้อสังเกตที่สอง ข้อนี้ "ชัดเจน" จากคำพูดนายสมัครเองแล้วที่บอกว่า "ขอพึ่งพระบารมี" นำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในประเด็น "ความแตกแยก" แหลกเป็น ๒ ฝ่ายของประชาชนชาวไทยขณะนี้ การจัดงาน "๑๑๖ วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ" นี่ก็คือนัยเจตนาที่แท้ของนายสมัครหวังนำ "สถาบันเบื้องสูง" มาใช้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองให้ได้ใจประชาชนเกิดเป็นสามัคคี

กระทั่งการใช้อำนาจรวบรัดอย่างมีพิรุธ ในการ "ไล่โรงเรียน-ไล่ชุมชนเกียกกาย" เพื่อเอาที่ไปสร้างเป็น "รัฐสภาแห่งใหม่" นายสมัครอ้างสถาบันเบื้องสูงเป็นความชอบธรรมเพื่อทำอย่างนั้นด้วยการพูดว่า

"จะรีบรื้อถอนบางส่วนออกไปให้ทันก่อนวันที่  ๕ ธันวา และจะกราบบังคมทูลเชิญ 'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว' เสด็จฯ มาทรงวางศิลาฤกษ์" การอ้างถึง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ในกาลอันมิบังควรเช่นนี้  วิญญูชนย่อมตรองเห็นได้มิใช่หรือว่า  นายสมัครอ้างอิง "สถาบันเบื้องสูง" ด้วยจิตเจตนาเพื่อใช้ในการของตัวเองใช่หรือไม่?

การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนพันธมิตรฯ นั้น  อำนาจของประชาชนคือ "สัจจะคุณธรรมเพื่อแผ่นดิน"  ดังนั้น  คราใดที่ประชาชนเห็นว่า  ผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองของเรา ประจักษ์ชัดว่า มันกระทำอสัตย์ ต่อชาติ ต่อแผ่นดิน และต่อประชาชน "สัจจะคุณธรรมเพื่อแผ่นดิน" จากประชาชนจะโชนแสงแรงกล้าออกมาทันที!

ประชาชนไม่มีกฎหมายในมือ  ประชาชนไม่มีปืน-รถถังในมือ  ประชาชนไม่มีกองทัพในมือ ประชาชนผู้ยึดมั่นสัจจะคุณธรรมอำนาจมีแต่ "มือ" ที่พร้อมชูเป็น "กำปั้น" สู้กับมันเท่านั้นครับ!

ใจรักชาติ รักแผ่นดิน  รักประชาชนผู้มี "สัจจะคุณธรรม" ในหัวใจด้วยกัน ทุกผู้-แบฝ่ามือแล้วกำมันเป็นกำปั้นอีกสักครั้ง   แล้วทุบลงไปที่หน้าอกตัวเองด้านซ้ายพิสูจน์ดูซิครับว่า ใจนี้ ทุกตุ๊บเต้น มันเต้นเพื่อใคร?

เพื่อประเทศไทยคุณธรรม?

หรือว่า...

เพื่อไอ้หมาโกงชาติ-โกงแผ่นดินตัวไหน?

นี่คือ  ที่ผมจะบอกว่า  อย่าผิวเผิน-ฉาบฉวย  หยิบแค่เรื่องก้าวร้าวเกินเหตุที่  NBT  มาพิพากษาไปถึงว่า  เจตนามวลชนพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมกันมาในภาพใหญ่ทั้งหมดนั้น  มันเป็นการต่อสู้การเมืองที่เลวยำยำหมา  มันใช้ไม่ได้..มันชั่วร้ายถึงระดับ "กบฏแผ่นดิน" ที่ต้องจับไปกุดหัวให้หมด-ให้สิ้น

จาก ๙ แกนนำ ต่อไปก็จะ "ขุดราก-ถอนโคน" ค้นประวัติประชาชนนับแสน-นับล้านที่มาร่วมชุมนุม จับไปบั่นหัวคั่วประจานเซ่น "สมัครผู้รักแผ่นดิน" ให้สิ้นถึงเจ็ดชั่วโคตร!

ใครผิด-ถูก  อย่างไร  นั่นก็ว่ากันไปตามความผิด ตามกระบวนการกฎหมาย แต่ถ้าการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ครั้งนี้ ผิดถึงขั้นกบฏ ต้องตัดหัว... โดยที่ฝ่ายรัฐบาลตัวแทนทักษิณ  มีพฤติกรรมหวุดหวิดที่ประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กัมพูชา มีพฤติกรรมพล่า-ยำกฎหมาย  เพื่อนำไปรับรอง-ฟอกตัวให้คนโกงชาติ โกงแผ่นดิน กลับเป็นคนถูก!   

กลับเป็นผู้ปราบกบฏ!!   

กลับมีความดี-ความชอบ ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ องค์กรอำนาจทุกทุกหมู่เหล่าของประเทศชาติ ยกย่อง-สรรเสริญรัฐบาลที่ใกล้จะทำให้ "ประเทศชาติล่มจม" นี้

เป็น "รัฐบาล-เป็นนายกฯ" ที่มีความถูกต้องชอบธรรม ต้องเทิดพิทักษ์ไว้!

จะเอากันอย่างนี้หรือ?


พันธมิตรฯ กับรัฐบาลสมัคร  ต้องถือว่าเป็น "คู่กรณี" ฉะนั้น  ในความเป็นคู่กรณีที่เกิดคดีความเมืองขึ้น   พันธมิตรฯ จะมีความผิดที่ "ต้องรับผิดชอบ" ฝ่ายเดียวไม่ได้ ฝ่ายรัฐบาล "คู่กรณี" ก็ต้องมีความผิดด้วย  และ "ต้องรับผิดชอบ" ต่อบ้านเมืองด้วยเช่นกัน

พันธมิตรฯ  ผิด-ข้อหากบฏ  ฝ่ายนายสมัคร  โดยฐานความผิดทางพฤติกรรม "อำนาจรับใช้"  และด้วย "สัจจะคุณธรรมแผ่นดิน" จากประชาชนนี้   พิพากษาว่า..ทาสรับใช้ทักษิณเข้าข่าย "กบฏแผ่นดิน"  ด้วย


ต้อง..ออกไป!

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=29/Aug/2551&news_id=163208&cat_id=200

 :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 29-08-2008, 05:26
ต่อด้วยเรื่องพลังของเพศแม่..  :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_agreed: :slime_fighto: :slime_fighto: :slime_fighto:

อ้างถึง
บทบรรณาธิการ ไทยโพสต์

สตรีภิวัตน์ นักรบ "อาซิ้ม-อาซ้อ"
29 สิงหาคม 2551    กองบรรณาธิการ

ภาพของผู้หญิงวัยกลางคนวิ่งนำหน้าถือป้าย "พันธมิตรตลาดบัวตอง นครศรีธรรมราช" ยืนปักหลักยึดสนามหญ้าหน้าทำเนียบรัฐบาล


โดยไม่ได้มีความหวั่นเกรงกับกองกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถือปืนแก๊สน้ำตาอยู่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า   ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของการชุมนุมยึดอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ของกลุ่มพันธมิตรฯ

ร่วมเข้าวันที่  4  แล้ว  กับการปักหลักยึดทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาลนอมินี ท่ามกลางการไหลบ่ามาของประชาชนทั่วสารทิศที่มุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางอำนาจรัฐมากขึ้นทุกวันๆ   วันนี้สถานที่แห่งนี้จึงเป็นบ้านหลังใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ   ที่โยกย้ายจากบริเวณสะพานมัฆวานฯ  มาปักหลักใช้ทำเนียบฯ เป็นกองบัญชาการเพียงหนึ่งเดียว

ส่งผลให้ศูนย์กลางอำนาจรัฐในวันนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยประชาชนมากหน้าหลายตา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ  แต่เมื่อจำแนกแยกแยะและมองด้วยตาเปล่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญยึดกุมรัฐบาลครั้งนี้มีพลังหลักเป็น "ผู้หญิง"

เหตุใดผู้หญิงจากทั่วสารทิศจึงตื่นตัว ทิ้งบทบาทแม่บ้าน คอยดูแลครอบครัว เปลี่ยนแปรตัวเองเป็นพลังทางการเมือง  เป็นผู้หญิงที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของการขับเคลื่อนการเมืองของสังคมไทย

นภาภรณ์  สิริวโรธากุล  อายุ 55 ปี อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ โชคชัย 4 กทม. ที่ปักหลักชุมนุมและยืนหยัดต่อสู้มาจนการเคลื่อนทัพมาสู่ทำเนียบรัฐบาล  เล่าให้ฟังว่า  เธอสนใจติดตามเรื่องการเมืองมาตั้งแต่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์   ของสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อได้รับข้อมูลเรื่องราวต่างๆ  เกี่ยวกับการคอรัปชั่น  หรือความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลทักษิณ  ในช่วงนั้นก็ไม่ได้เชื่อในทันที  จึงพยายามติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ  เพิ่มเติมว่าเรื่องต่างๆ นั้นมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  เวลาผ่านไปก็รับรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เขานำมาเปิดเผยเป็นเรื่องจริง  เลยติดตามรายการมาอย่างต่อเนื่อง  เพราะคิดว่าเป็นรายการที่กล้าพูดความจริง   กล้าเปิดเผย  แต่ไม่ใช่ทีวีช่องอื่นจะไม่ดู แต่ก็ดูเหมือนกันแล้วเอามาเปรียบเทียบเพื่อให้รู้ข้อมูลข่าวสารที่เท่าทัน ซึ่งก็โชคดีที่อยู่ในกรุงเทพฯ เพราะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากกว่าอยู่แล้ว

เธอบอกว่าหลังจากมีเอเอสทีวีก็ติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทีวีช่องนี้มาตลอด และมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ  อย่างต่อเนื่อง   จนมาถึงวันที่นายสมัคร  สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรี  ประกาศสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ  ที่เชิงบริเวณสะพานมัฆวานฯ ในครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2551

"วันนั้นได้ฟังการประกาศสลายการชุมนุมของนายสมัคร  ก็รีบออกจากบ้าน คิดว่าต้องมาให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนกัน  เพราะคิดว่าถ้าคนน้อยก็จะสลายได้ง่าย  และจนนาทีนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่าไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่รัฐบาลแล้วประชาชนจะเป็นผู้พ่ายแพ้"

เธอคิดว่าการชุมนุมครั้งนี้   ผู้หญิงในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นหน่วยพลังที่เข้มแข็งมาก   มีความตื่นตัวทางการเมืองที่เธอเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อย กับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในสิ่งที่รัฐบาลได้ทำกับประชาชน เพราะรัฐบาลสมัครดูถูกประชาชนจนเกินไป

"ขณะนี้ถือว่าเกิดประชาภิวัตน์ในสังคมไทย  วันนี้จึงไม่แปลกที่เราจะบอกว่า  เกิดผู้หญิงภิวัตน์ขึ้นเช่นกัน   พลังบริสุทธิ์ของผู้หญิงที่มาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมากหลั่งไหลกันมาทั่วสารทิศมารวมกัน   ปักหลักขับไล่รัฐบาลชั่วร้ายอยู่ในขณะนี้ เป็นการต่อสู้ด้วยสมองและข้อมูล ถือเป็นความรู้ ความกล้า ที่เกิดการรับรู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะลุกขึ้นปกป้องลูกหลาน ครอบครัว เพื่อรักษาบ้านเมืองให้กับลูกหลานของเรา"

ในขณะที่ นางจันทรา  กุลอนุสรณ์สถิต  อายุ  66  ปี  ชาวจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนั่งสนทนาอยู่ใกล้ๆ กับนภาภรณ์  บอกว่า ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นั้นไม่ได้เคยรู้จักกันมาก่อน เพิ่งเห็นหน้ากันครั้งแรกในชีวิต แต่ก็คุยกันถูกคอ  ตนและเพื่อนๆ ผู้หญิงนั่งรถทัวร์กันมาจากขอนแก่น เอาเงินมาบริจาค  แล้วก็ออกเงินเหมารถทัวร์ให้เพื่อนๆ มากัน 11 คันรถ เพราะเพื่อนๆ บางคนอยากมา แต่ก็ไม่มีเงิน ตนเลยออกเงินให้

"คนกรุงเทพฯ   เขาใจดี  เอื้ออารีกับคนบ้านนอก เมื่อวานฝนตกหนัก เสื้อเปียกหมด เราตัวใหญ่ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน  พวกเพื่อนๆ  ที่ไม่เคยรู้จักกัน  พวกคนกรุงเทพฯ  เขารีบไปหาเสื้อตัวใหญ่ๆ ไปขอบริจาคกัน  ใครมีเสื้อตัวใหญ่บ้างมาให้เราเปลี่ยน  เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะไม่สบาย  รู้สึกเอื้ออาทร ช่วยเหลือกัน   มีอาหารก็แบ่งกัน   จะมีคนคอยถามไถ่กันตลอดว่ากินข้าวหรือยัง  แบ่งร่ม  แบ่งที่นั่งกัน คนกรุงเทพฯ  เขาก็ถือเป็นกองหนุนสำคัญ ขาดตกบกพร่องอะไรเขาก็ช่วยโดยไม่คิดอะไร มันเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน"

อาม่าบอกว่า  ในชีวิตไม่เคยเข้ามาในทำเนียบรัฐบาลเลย ได้แต่ชะโงกมองเข้ามาเวลานั่งรถผ่านแถวนี้  สงสัยอยู่เหมือนกันว่าข้างในมันจะสวยงามแค่ไหน รัฐบาลเขาทำอะไรกัน ได้เข้ามาชุมนุมขับไล่รัฐบาลโกงประชาชนในทำเนียบฯ ครั้งนี้จึงถือเป็นความภูมิใจมากที่ได้เกิดมาในชาตินี้

"สองสามวันนี้ลูกๆ  โทร.มาตลอดเขาเป็นห่วง เราก็บอกว่านอนโรงแรม ทั้งๆ ที่นอนอยู่แถวนี้แหละกับเพื่อนๆ  จ่ายค่าโรงแรมเปล่าๆ  คืนละ  900  ไปหลายหมื่นแล้ว เราต้องมา ลูกหลานเขาเป็นห่วง เพราะไม่สบายเป็นหลายโรค ทั้งเบาหวาน ตับ กระดูกทับเส้นประสาท ยาก็หมดแล้ว ตอนนี้ขอแต่ยาพาราทุเลาอาการไปก่อน ลูกหลานก็บอกอาม่ากลับเถอะ เราก็บอกว่า แม่กลับไม่ได้ ถ้าแม่ยังไม่ชนะ"

อาม่าบอกว่า   เมื่อก่อนเคยเป็นหัวคะแนนให้กับทักษิณ   แต่ตอนนี้เลิกหลงผิดแล้ว   เพราะเห็นความจริง  ที่ผ่านมาว่าเขาโกงการเลือกตั้ง ใช้เงินซื้อเอาทุกอย่าง  ที่มาสู้ก็ให้สมัครลาออกไป จะเข้ามาเอาแต่งบประมาณ ไม่เคยพูดเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน มีแต่บอกว่าจะไม่ออก ไม่ออก แถมยังประกาศชัดเจนว่าเป็นนอมินีทักษิณอีก

"ไม่รู้จักหรอกว่าการเมืองภาคประชาชนมันเป็นยังไง  รู้แต่ว่ารัฐบาลที่เราเลือกมาอย่าเข้ามาโกงกิน   หลอกลวงประชาชน   สามารถให้ประชาชนตรวจสอบได้  เราไม่ได้เข้าไปยุ่งอย่างอื่นหรอก แล้วอย่ามาอ้างว่าเราเลือกมา  ถ้าอย่างนั้นเราก็บอกได้เหมือนกันว่า เราเลือกมาได้ เราก็เอาออกได้เช่นกัน  หลังจากนี้คิดว่าการเมืองบ้านเราคงดีขึ้น  อาจจะไม่รวดเร็ว แต่ก็คงดีขึ้นทีละนิด ซึ่งมันก็คงจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแน่นอน"

ขณะที่คุณหมอวัย  68 ปี ที่มาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ 94 วัน ขาดเพียง 2 วันที่ไม่ได้มาร่วม วิเคราะห์สัญชาตญาณของผู้หญิงกู้ชาติเหล่านี้ว่า  ถือเป็นยุทธศาสตร์ชัยชนะสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ  กับพลังบริสุทธิ์ของเพศแม่  และเป็นการส่งสัญญาณอันตรายกับรัฐบาลสมัคร ว่าถ้าสู้กับผู้หญิง  "อันตราย" เพราะ "กัดไม่ปล่อย" เนื่องจากผู้หญิงจะไม่ยอมให้ทำลายครอบครัวหรือลูกหลานเป็นอันขาด

ผู้หญิงมีจุดยืนมั่นคง อ่อนนุ่ม เอื้ออารี มันเย็น แล้วก็มีพลัง การสู้ที่ยืดเยื้อครั้งนี้มันมีผู้หญิงเป็นตัวดัน เป็นทัพที่เข็มแข็งเพิ่มขึ้นเรื่อย  และจุดแข็งของการต่อสู้  คือผู้หญิงไม่ใช้ความรุนแรง  มีความเอื้ออาทร  ในขณะที่ผู้ชายมักใช้อารมณ์   ฉุนเฉียว นิยมใช้ความรุนแรง ไม่อดทน  แตกหักได้ง่าย  นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีสัญชาตญาณยึดถือความถูกต้อง  รักครอบครัว ทำเพื่อลูกหลาน และต้องการความยั่งยืน เป็นธรรมชาติที่สู้จนวันตาย ในขณะที่ผู้ชายต้องการความเป็นใหญ่ ความเจริญ

ในขณะที่ นายสุริยะใส  กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้มุมมองในพลังการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้หญิงในครั้งนี้ว่า  ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย  ที่เราเห็นบทบาทของผู้หญิงกับการเมืองเข้มข้นมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเวทีของการต่อสู้ในเมืองหรือในชนบท  ถือเป็นภาพสะท้อนความตื่นตัวทางการเมืองของพลเมืองไทย ที่แต่เดิมการเมืองผูกพันอยู่แต่กับผู้ชายเป็นหลัก   โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงกว่า  3  ปีที่ผ่านมา  ผู้หญิงเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก มากกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ   ซึ่งตนก็ตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่าเกิดจากปัจจัยอะไร   ที่มีผู้หญิงตั้งแต่วัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุมาเป็นหลักในการชุมนุม

"ผมคิดว่ามีแรงจูงใจหลายประการ  ประการแรก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักน่าจะเกิดจากประเด็นการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์  ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสมัยรัฐบาลทักษิณ ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่อาจจะมีความคิดในเชิงอนุรักษนิยม   ที่มีความผูกพันภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก  ฉะนั้นการเปิดโปงขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และกลุ่มพันธมิตรฯ จึงทำให้สามารถระดมผู้หญิงสูงวัยเข้าร่วมได้อย่างต่อเนื่องจำนวนมาก  ประการที่สอง  พลังสื่อสารของเอเอสทีวี

โดยเฉพาะ new 1 ได้กลายเป็นทีวีของครอบครัวของคนไทยจำนวนมาก เป็นทีวีทางเลือกที่มีสาระ  เป็นข่าวสาร  สังคม  การเมือง  ที่สอดคล้องกับคนทุกกลุ่มของเป้าหมายในวันนี้ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถระดมผู้หญิงให้ตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ  กับสามี  และลูกๆ  เนื่องจากมีจำนวนมากที่กลุ่มผู้ชุมนุมมากันเป็นครอบครัว  ประการที่สาม การชุมนุมและการจัดกิจกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯ  มีทั้งเนื้อหาและสีสันที่หลากหลาย  มีดารา  นักร้อง รุ่นตั้งแต่ 40 ขึ้นไป เป็นจำนวนมาก จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเป็นแรงจูงใจหนึ่งในการกระตุ้นและดึงดูดผู้หญิงวัยสูงอายุให้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก"

ในขณะที่มุมมองของพี่สุทิน   วรรณบวร   ผู้สื่อข่าวเอพี   หัวเรือหลักของน้องๆ   ในสนามข่าวท่ามกลางสถานการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ระอุเพิ่มขึ้นทุกวัน   บอกว่า  เงื่อนไขสำคัญของพลังการต่อสู้ครั้งนี้คือสื่อเอเอสทีวี ที่เป็นที่ติดอกติดใจของบรรดากลุ่มสตรีแม่บ้าน แล้วก็เป็นชนวนผลักดันมวลชนให้ออกมาสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ   ทั้งนี้ ปรากฏการณ์นี้เริ่มมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว  ที่เริ่มจากภาคใต้แล้วลามไปภาคตะวันออก  ขยายไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ชุมพรลงไป หนังสือพิมพ์ต้องไทยโพสต์ และเอเอสทีวีเป็นทีวีของครอบครัว และคนส่วนใหญ่ที่ดูก็คือกลุ่มแม่บ้าน  อาซิ้ม  อาซ้อ คนพวกนี้ดูแล้วติด เปิดฟรีทีวี 3, 5, 7, 9 ไม่ได้

"ม็อบพันธมิตรฯ   80% เป็นผู้หญิง และเป็นคนชั้นกลางที่มีเงิน มีกิจการเป็นของตัวเอง คนพวกนี้ส่วนใหญ่เสพสื่อเอเอสทีวี  ดูไปดูมาก็ดูกันทั้งครอบครัว  แล้วผู้หญิงถ้าชอบอะไรแล้วก็ไม่โลเล สนับสนุนสุดลิ่ม นำครอบครัวมา  มันก็เหมือนกับพวกแม่ยกลิเก  ไชยา  มิตรชัย นั่นแหละ แต่ตอนนี้มันแปรสถานะกลายเป็นแม่ยกพันธมิตรฯ ไปแล้ว"

พี่สุทิน   เปรียบเทียบการต่อสู้ทางการเมืองในยุคผู้หญิงที่พูดเรื่องการเมือง  และออกมาขับไล่รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม  จนทำให้เพศแม่ต้องออกจากบ้านมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย ทิ้งท้ายว่า เวลาเสพสื่อพอติด ก็ต้องเสพประจำหยุดไม่ได้ แล้วครั้งนี้ลองผู้หญิงได้ลงมือสู้แล้ว ไม่มีถอยหลังเด็ดขาด.

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=29/Aug/2551&news_id=163202&cat_id=100


หัวข้อ: Re: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: OMEGA ที่ 29-08-2008, 06:07


ขอบคุณครับ  ป๋าเปลวเขียนบทความนี้ได้โดนมากๆ ลากไส้ไอ้หมักมาเห็นๆ

ยิ่งอยู่ยิ่งเกลียดมัน  เสียดายแผ่นดินนี้จริงที่ต้องรองรับน้ำหนักของมันไว้

คนทรยศต่อแผ่นดิน......................................ไอ้หมักหมมแต่ความชั่ว




หัวข้อ: Re: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 29-08-2008, 09:48
*  สับปลับ  กลับกลอก  ปลิ้นปล้อน  อีแอบ  ขี้ขลาด  หน้าด้านหน้าทน  ............. ฯลฯ

    ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรีบเปรยแล้ว .... สำหรับตัวผู้นำที่ชื่อ  สมัคร 

     ดูดิ๊ ... เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว ลุงหมัก ยังหนังหน้าหนาเกาะเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย

     ในใจคงอยากจะจัดการกะม๊อบของพันธมิตรใจจะขาดแล้วมั้งนั่น... แต่ก็ไร้ปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพราะคนออกมามากมายขนาดนั้น

     ไม่กี่วันก่อน ต้องวิ่งไปโยนเผือกร้อนให้ตำรวจ  แล้วซุกหัวแอบอยู่ข้างหลัง  ............

     ครานี้เอาอีกแล้วโดยนเผือกร้อนไปให้ศาลแล้วมุดหัวหนี ... ทำเป็นลอยตัว  แบบนี้มันปากกล้าขาสั่น นี่ค่ะ

     จริง ๆ แล้วถ้า ลุงหมัก กระสันต์ที่จะเป็นนายกมากนัก .... ก็ลงมาจัดการแก้ปัญหาด้วยตัวเองสิจ๊ะ !

     จะว่าไปแล้วก็อยากให้ พลเอก พัลลภ ขึ้นมาเป็นแกนนำ พธม. เหมือนกันนะ ....

     เพราะแกบอกว่า 3 วันจะจัดการกะ ฝี หนอง อย่างรัฐบาล ของ ลุงหมัก ให้จบลงเสียทีปล่อยไว้ประเทศก็มีแต่บอบช้ำ  !!!



หัวข้อ: Re: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: -3- ที่ 29-08-2008, 10:12
เขียนดีมากครับ

+1 โหวตเลย  :slime_fighto:


หัวข้อ: Re: อ่านป๋าเปลวอัดไอ้หอกหัก...ซู้ดปาก...แซบหลายเด๊อ...
เริ่มหัวข้อโดย: MaMood ที่ 29-08-2008, 10:24
"ม็อบพันธมิตรฯ   80% เป็นผู้หญิง และเป็นคนชั้นกลางที่มีเงิน มีกิจการเป็นของตัวเอง คนพวกนี้ส่วนใหญ่เสพสื่อเอเอสทีวี  ดูไปดูมาก็ดูกันทั้งครอบครัว  แล้วผู้หญิงถ้าชอบอะไรแล้วก็ไม่โลเล สนับสนุนสุดลิ่ม นำครอบครัวมา  มันก็เหมือนกับพวกแม่ยกลิเก  ไชยา  มิตรชัย นั่นแหละ แต่ตอนนี้มันแปรสถานะกลายเป็นแม่ยกพันธมิตรฯ ไปแล้ว"

สงสัยจะจริง  :slime_agreed: :slime_agreed: