ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ศาลอุทธรณ์ นัดชี้ชะตา “สมัคร-ดุสิต” หมิ่น “สามารถ” 25 ก.ย.นี้  
ศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษา คดี “สมัคร-ดุสิต” หมิ่น รองผู้ว่าฯ กทม.ออกทีวี 25 ก.ย.นี้ หลังศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปีไม่รองอาญามาแล้ว
       
       ภายหลังจากที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อปี 2550 ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ นายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยการโฆษณา
       
       ล่าสุด วันนี้ (24 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีการยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วและส่งคำพิพากษากลับมายังศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ส่งหมายแจ้งให้คู่ความทราบแล้ว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ นายสามารถ รองผู้ว่าฯ กทม.ยื่นฟ้อง นายสมัคร สุนทรเวช และ นายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะเป็นผู้ดำเนินรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 และรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
       
       ตามฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.2549 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” และรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” โดยวันที่ 12 ม.ค.2549 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า “มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็ม ซีรีส์ โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้ ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 13 ม.ค.2550 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการมันกินกัน 12-13% เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ ในวันที่ 17 ม.ค.2549 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเปก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่า ใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง และข้อความอื่นๆ ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบข้อมูลมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ
       
       โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2550 เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชน เชื่อว่า การก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก จึง พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทงๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

ไม่เคยมีนายกฯของไทยคนไหนที่ถูกประชาชนก่นด่ามากมายเหมือนนายกหอกหัก หมัก เมถุน
คนนี้เลยสักคน
  ตั้งแต่สัตว์นรก เหี้-ย ป๋าหมาก และอีกสารพัดสัตว์........เอิ้กกกกกกก
 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

ถ้าศาลตัดสินติดคุก

ไม่ต้องถึงศาลฎีกาหรอกครับ

แค่ตัดสินว่าติดคุก ก็ขาดคุณสมบัติทันที

ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ก็คือไม่มีการรอลงอาญาครับ
และทำท่าว่าจะฎีกาไม่ได้อีกด้วย

แต่ถ้าพิพากษาให้รอลงอาญา ก็คงยื้อให้ส่งตีความแน่นอน
กว่าจะตีความเสร็จอาจชิงยุบสภาไปก่อนแล้วก็ได้
ระหว่างนั้นก็เป็นรัฐบาลเป็ดง่อย+อมโรค เวรกรรมจริงๆ  :slime_hmm:

สมมุติว่า หมักยื้อจนถึงวันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน หมักลาไปติดคุก
ครม.ทั้งคณะสิ้นสภาพแล้วใครจะรักษาการนายกบริหารบ้านเมืองต่อไป
ต้องมาโหวตเลือกนายกกันใหม่หรือไม่ครับ

คงได้ฮือฮาไปทั่วโลก  นายกไทยได้คุกคาเก้าอี้ 
หมักเอ๋ยหมัก อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งปากหาคุกแท้ๆ

รัฐธรรมนูญมาตรา 174 ระบุว่า รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (5) ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ก็คือไม่มีการรอลงอาญาครับ
และทำท่าว่าจะฎีกาไม่ได้อีกด้วย

แต่ถ้าพิพากษาให้รอลงอาญา ก็คงยื้อให้ส่งตีความแน่นอน
กว่าจะตีความเสร็จอาจชิงยุบสภาไปก่อนแล้วก็ได้
ระหว่างนั้นก็เป็นรัฐบาลเป็ดง่อย+อมโรค เวรกรรมจริงๆ  :slime_hmm:

จริงด้วยครับ.. แบบนี้ก็มีประตูเดียวคือการพิพากษายืน ถึงจะทำให้ต้องพ้นตำแหน่ง
(แต่ถ้าพิพากษายืนแล้วไปตกกรณีฎีกาไม่ได้ ก็จะไม่สามารถประกันตัวอีกด้วย)

ผมว่าน่าจะแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ให้ชัดเจนไปเลยว่าถ้ามีคดีอาญาที่มีโทษจำคุก
ค้างคาในศาล ก็ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองคือสมัคร ส.ส. ไม่ได้ไปเลย
แต่ถ้าถูกฟ้องร้องขณะดำรงตำแหน่งแล้ว แบบนั้นค่อยไปตกกรณีที่บัญญัติไว้เดิม

เพราะการมีคดีค้างคามีผลกระทบกับการดำรงตำแหน่ง ตัวผู้ดำรงตำแหน่งเองก็มี
ภาระต้องต่อสู้คดี ถ้าสังคมเชื่อไปก่อนว่าผิดจริงก็ยิ่งขาดความสง่างามเข้าไปอีก
และผู้เกี่ยวข้องก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะอยู่รอดในตำแหน่งไปถึงเมื่อไหร่
ตัวอย่างตอนนี้ก็กลายเป็นนับถอยหลัง 1 เดือนไปแล้วว่าจะรอดหรือไม่รอด  :slime_smile:

...................มาตรา ๒๑๘ ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไข

เล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้า

ปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

...................ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้

ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง


...................มาตรา ๒๑๙ ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี

หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่า

มานี้ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ข้อห้ามนี้มิให้ใช้แก่จำเลยในกรณีที่ศาลอุทธรณ์

พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย


..ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา