หัวข้อ: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: เอกราช ที่ 20-08-2008, 21:31 "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจมฝากผู้บริหารคลังดูแลให้ประเทศมีเงินใช้
วันนี้ เวลา 17.31 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้ส่วนเกินจากการเปิดให้ประชาชนแลกซื้อธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ชนิดราคา 16 บาท ในราคาแลกซื้อ 100 บาท เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแด่คณะที่เข้าเฝ้าฯ ความว่า "ขอขอบใจที่ได้ท่านทำงานอย่างเข้มแข็ง ได้ทำงานมากในงานของการธนาคาร ขอให้งานธนาคารที่ท่านทำเป็นผลดีสำเร็จ แต่ก่อนเงิน 10 บาทก็รู้สึกว่าเป็นเงินมาก เดี๋ยวนี้ สิบบาทร้อยบาทพันบาทหรือหมื่นบาทก็ยังน้อย ทำไมมันน้อย แม้ล้านบาทก็ยังน้อย "เมื่อครั้งไปขอเงินสมเด็จพระพันวษา ขอเงิน 1 บาทท่านให้ พอกำแหงหน่อยขอ 5 บาทก็ยังให้ ต่อมาขอท่าน 10 บาทก็ยังให้ แต่มาถึง 50 บาท ท่านบอกไม่มี ถามว่างั้น100 บาทมีไหม ท่านบอกว่ามีแต่ต้องตัดบัญชีที่มีอยู่อยากใช้เท่าไรก็ได้" ท่านสอนว่าเราไม่ควรจะถลุงเงิน แม้ 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่วันนี้เป็นพันบาทหมื่นบาทแสนบาทล้านบาทท่านก็ให้ ร้อยล้านท่านก็ให้ สมัยนี้เปลี่ยนไป แต่ก่อน 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่สมัยนี้ ร้อยพันหมื่นแสนท่านก็เอามาให้ ต้องขอบใจท่านที่มีน้ำใจ เพราะว่าสมเด็จย่าท่านบอกว่า ถ้าให้ก็หมด หมดก็ไม่ให้แล้ว ตอนนี้ท่านให้มาเป็นจำนวนมาก หวังว่าท่านบริหารได้พันล้านหมื่นล้าน ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมดเพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไปให้มีใช้ "ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล้มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวัง" ขอบใจที่ท่านระวังเรื่องการดำเนินด้านการเงิน ขอให้สำเร็จใจการบริหารการเงินของประเทศชาติ ขอบใจท่านที่เหน็ดหนื่อยเรื่องการเงิน เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยลำบากใจนอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้ และยังทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้บ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง ขอบทุกท่านที่ปฎิบัติงานเพื่อความสำเร็จของชาติบ้านเมือง ขอให้มีความสุขในการงานขอให้สำเร็จ" http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1219238578&catid=42 CLIP VIDEO พระราชดำรัสตามลิ้งค์ (คลิ๊กที่รูปกล้องวีดีโอ) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1219296147&grpid=00&catid=42 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: drop ที่ 20-08-2008, 21:40 "ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม
แม้ตอนนี้ใกล้ล้มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวัง" เมื่อตอนสองทุ่มก็นั่งดูข่าวในพระราชสำนัก ฟังไม่ได้ชัดว่า พระองค์ตรัสอะไรบ้าง ได้ยินเรื่องเงินใกล้ล่มจม.... วิ่งหาอ่านอยู่ ก็เข้าไปมติชน ไม่เห็นมี รบ พูดถึงโครงการแต่ละโครงการ ราคาเป็นหมื่นล้าน พันล้าน แสนล้าน .... ฟังแล้วเหมือนประเทศร่ำรวย :slime_hmm: :slime_hmm: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: มารุจัง ที่ 20-08-2008, 21:40 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ และในฐานะประชาชนคนหนึ่งของประเทศ จะพยายามใช้จ่ายอย่างระมัดระวังค่ะ... หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ ที่ 20-08-2008, 22:05 พณ ท่านหอกหัก เห็นแล้วจะว่ายังไงเนี่ยยยย :slime_inlove: :slime_inlove:
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: samepong(ยุ่งแฮะ) ที่ 20-08-2008, 22:26 น้อมรับ และจะพยายามหาทางออมให้ชีวิตดีขึ้นไปเรื่อย ครับ
หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: login not found ที่ 21-08-2008, 00:31 ไม่ว่าฟังพระราชดำรัสครั้งไหน ก็ชื่นชมในพระปรีชาไปทุกซะทุกครั้ง
แต่ละประโยคล้วนมีทั้งความหมายตรง ความหมายแฝง หากรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาพอมีสมองและยางอายอยู่บ้าง ไม่สนใจแต่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว ทำตามที่พระองค์ทรงชีแนะ ประเทศคงเจริญกว่านี้อีกมากมาย ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: Kittinunn ที่ 21-08-2008, 00:44 (http://www.thaipost.net/images/thaipost_logo.gif) ชาติใก้ล่มจม! ในหลวงรับสั่งชื่นชมแบงก์ชาติทำดีแต่ถูกว่า ในหลวงรับสั่งขอบใจแบงก์ชาติที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=21/Aug/2551&news_id=162818&cat_id=501 หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 21-08-2008, 09:15 * ขออนุญาตเอาบทความชิ้นนี้มาแปะด้วย ..... ( หวังว่าคงไม่ผิดกาละเทศะ นะคะ :slime_shy: )
อ้างจาก: see - u เปลวสีเงิน คนปลายซอย 18 สิงหาคม 2551 กองบรรณาธิการ ปฏิบัติการ"ยึดแบงก์ชาติ-ตลาดทุน" คนอย่างนายสมัคร "พูดแล้วเชื่อได้" เมืองไทยกลายเป็นสวรรค์ไปนานแล้ว อย่างน้อย คนกรุงเทพฯ ก็มีแฟลตฝักข้าวโพดอยู่เป็นวิมาน ชาวไร่-ชาวนา ก็มีน้ำมันรัสเซียถูกลิตรละ ๘ บาทเป็น "น้ำมันทิพย์" ใช้ แต่นี่..ก็แค่ "ตดให้หมาดม" อย่างวานนี้ บอกว่า "ไม่หนี-ไม่ยุบ-ไม่ออก" ลองมาในแนวนี้ละก็ เตรียมกันได้แล้วครับ ถ้าไม่หนี-ไม่ยุบ-ไม่ออก ก็ควรต้อง "ถีบ" ให้ออก! ก็ดูซีครับ งานอะไรล่ะที่รัฐบาลตัวแทนทักษิณกำล้งก้มหน้าก้มตาปลุกปล้ำอยู่ตอนนี้? งานส่งคนเข้าไปคุมเบ็ดเสร็จในตลาดเงิน-ตลาดทุน และงานลุกลี้ลุกลน ไล่ที่โรงเรียน-ชาวบ้าน "ย่านเกียกกายสร้างรัฐสภา" ยังไม่ทันไร งบก้อนแรก ๔,๐๐๐ ล้าน เตรียมใส่พานไว้ชุ่มน้ำ-ฉ่ำเนื้อแล้ว และนี่..นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เตรียมผลาญรอบ ๒ ด้วยมาตรการช่วยคนจน ต่อจาก ๖ มาตรการ ๖ เดือน ซึ่งอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ มันเป็นการหว่าน "ประชานิยม" หาเสียง-หาคะแนนตุนไว้นั่นเอง! กะว่า งบประมาณ ๒๕๕๒ ผ่านสภาสะเด็ดน้ำแล้ว งานพระราชพิธี พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็คงไม่มีความจำเป็นต้องใช้สภา เพราะชุดนี้-ใช้เป็น "ตรายาง" ยำกฎหมายช่วยแม้วได้ไม่เต็มที่! ยุบมันไป..เลือกตั้งประเดิม "ชื่อพรรคใหม่" ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในตอนต้นปี ๒๕๕๒ จากที่เอาเงินหลวงไปละลายเป็นประชานิยมไว้ จากไทยรักไทย มาพลังประชาชน ถึงพรรคใหม่ ภายใต้ "เกี๊ยะทักษิณ" ทับ มันจะไปไหนเสีย!? ก็โปรดทราบนะครับ กระทรวงคลังแถลงออกมาแล้ว ๑๐ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๑ นี้ รัฐบาลขาดดุลเงินสดไปแล้วร่วม ๒ แสนล้าน ที่โม้จะลงทุนโน่น-สร้างนี่ ไม่รู้กี่แสนล้านล้านนั่นน่ะ มันก็แค่ "วาดวิมาน" ให้ฝันตามกันไปมื้อๆ สำหรับคนในสังคมผู้มีรสนิยมประชาธิปไตยเปลือก ไม่มีการคิดโปร่งใสเป็นกระบวนการ-เป็นระบบ ไม่มีการศึกษา-วิจัย ไม่มีการหยิบอนาคตมาเป็นปัจจุบันคิด แค่นึกอะไรแผลงๆ โก้ๆ ได้ ก็เอามาโม้ตอนวันอาทิตย์ โม้แล้วก็ถือว่า "จบภารกิจ" โปรเจ็กต์เพื่อการเมือง พอกินจนพุงอืด ก็ฟุ้งโปรเจ็กต์ใหม่เอาไว้ไปโม้ในอาทิตย์หน้าต่อ นี่..มันเป็นอย่างนี้ ก็ทราบกันไว้ชัดๆ เวลานี้-รัฐบาลต้องกู้เขามากิน มาใช้ แล้วทิ้ง "ภาระหนี้" เป็นชามไว้ให้พวกเราล้าง คือ "จ่ายแทน" ทางภาษี คิดๆ แล้วก็สมเพชประเทศไทย ไม่มียุคไหนที่ "กระเบื้องเฟื่องฟู" แถมทั้งน้ำเต้า ทั้งชมพู่ ลอยฟูฟ่องเท่ายุคนี้แล้วครับ! ณ วันนี้ ท่านจะเห็นว่า พรรคพลังประชาชน และตัวนายสมัคร วางเป้าหมายภารกิจหลักไว้ที่ใช้ "เสียงข้างมาก" ปฏิบัติการในสภาฯ เพื่อ "สร้างกฎหมาย" ฟอกทักษิณ พร้อมกับทำทุกอย่างเพื่อลบล้าง-บั่นทอนการทำหน้าที่ "ดุลยธรรม" ของกระบวนการยุติธรรมไทย ให้มีภาพพร่าในสายตาและทัศนคติของชาวโลก ซึ่งเขาไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องเป็นเครื่องกรองข่าวสาร-สาดสี สาดสี-จากรัฐบาล จากผู้นำรัฐบาล "บ้านเมืองไทย" ของตัวเอง!? การที่นายสมัคร-นายสุรพงษ์ "***นกระหือรือ" ตั้ง ครม.เศรษฐกิจ ทำหน้าที่เป็นอนุกรรมการให้ ครม.ใหญ่ โดยมีนายวีรพงษ์ รามางกูร ทำหน้าที่คล้าย "นายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ" นั้น มองเผินๆ ใครก็ต้องนึกว่าดี แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปจนเห็น "ลาย" ที่เชื่อมโยงของคนในเครือข่ายกระบวนการเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ผมบอกได้คำเดียวว่า ถ้าปล่อยให้พวกเทคโนแครต "ทักษิณสวามิภักดิ์" โดยเฉพาะ "โกร่ง-วิจิตร" ที่สัมพันธ์กันมาตลอด กำหนดทิศทางเศรษฐกิจมหภาค แบบ "บ้าจีดีพี" ตีฟองด้วยการกระตุ้นการใช้จ่ายที่ไม่มีฐานให้ฟุ้งไว้ เพียงหวังภาพทางการมืองเหมือนยุคชาติชายล่ะก็ วิกฤติเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ ที่ "นายวิจิตร" มีส่วนร่วมตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ปีนี้-ปี ๒๕๕๑ เตรียมใจไว้เถอะครับ อาจไม่ทันถึงปี ๒๕๖๐ หายนะรอบใหม่..มันมาแน่! แต่ที่แน่ๆ ด้วยกฎเกณฑ์ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ร.บ.เงินตรา พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ที่ออกมาใหม่เขาก็คงร่างออกมาด้วยเจตนาดี คือใช้เหตุการณ์ปี ๒๕๔๐ เป็นบทเรียน แล้วร่างกฎหมายใหม่ ลดบทบาท-อำนาจ "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" ลงไป ด้วยการให้อำนาจบอร์ดมากขึ้น มากถึงขั้นเสนอปลดผู้ว่าฯ แบงก์ชาติได้เลย ก็เหมือนรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ เจตนารมณ์คนร่าง-ดี แต่เมื่อให้กำเนิดรัฐบาล "นายกฯ ทักษิณ" ขึ้นมา ปรากฏว่า คนใช้กฎหมายเจตนารมณ์-ไปอีกทาง มาถึงวันนี้ บ้านเมืองจึงเกิดกลียุค นี่ก็ทำนองนั้น การที่ "คณะร่างทรงทักษิณ" ยกแผงเข้าคุมกลไกทั้งแบงก์ชาติ ทั้งตลาดหุ้น ทั้ง ก.ล.ต.และทั้งตลาดทุน มันส่งสัญญาณเตือนว่า ระวัง...ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย! กฎหมายดี แต่ถ้าคนที่เข้ามาตามช่องกฎหมายนั้น พลิกปูมประวัติตามเส้นทางแต่ละคนแล้ว สร้างความหวาดระแวงให้สังคม ก็อดที่จะบอกไม่ได้ว่า กฎหมายไม่น่ากลัว แต่คนที่เข้ามาตามกฎหมาย ภายใต้อำนาจการเมืองกำกับนั้น มันน่ากลัว..และต้องจับตา ด้วย "กลัวในที่มา" กันไว้ก่อน!? และควรทราบ คณะกรรมการการเงิน หรือ กนง.ที่ทำหน้าที่ขึ้น-ลงดอกเบี้ยนโยบาย อย่างที่ ดร.โกร่งด่าแบงก์ชาติสาดเสีย-เทเสียอยู่ขณะนี้ และคณะกรรมการ กนส.ที่คอยกำกับ ดูแลสถาบันการเงิน ออกใบอนุญาตให้ตั้งแบงก์ ตั้งไฟแนนซ์ได้อะไรนั่น ถ้า "บอร์ดแบงก์ชาติ" ชุดที่ "นายสุรพงษ์-วิจิตร" ชงขึ้นนั้น ประกาศออกมา ก็ยากจะเป็นอื่นได้ นอกจากว่า ทั้งแบงก์ชาติ ทั้งตลาดหุ้น ตลาดทุน แนวทางนโยบายต่อไป อาจตกอยู่ภายใต้ "อำนาจการเมือง" และเป็นไปเพื่อ "รับใช้การเมือง" คดี พ.ต.ท.ทักษิณ-พจมาน รวมทั้งของบริวาร และครอบครัว หัวใจใหญ่อยู่ที่ "เส้นทาง-ความเป็นไปทางการเงิน" จากตลาดหุ้น และจากสถาบันการเงินโดยตรง ฉะนั้น ถ้าตลาดเงิน-ตลาดทุน ตลอดถึงการกำกับดูแล ตกอยู่ภายใต้กลไกควบคุมของ "คณะร่างทรงทักษิณ" แล้ว ก็พอจะเห็นชัด ว่าการ***นกระหือรือตั้ง "คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ" ของนายสมัคร สอดรับกับภารกิจหลักที่พรรคพลังประชาชน "โหมแก้รัฐธรรมนูญ" เพื่อทักษิณ ก่อนจะไปสู่การยุบสภาฯ เลือกตั้งกันใหม่เหมาะเจาะ อย่างไรก็อย่างนั้น! อืมมมม..ถ้ามือขวา ยึดอำนาจสั่งการทางการเมืองได้พร้อมสรรพ แถมมือซ้าย ยึดนโยบายควบคุมกลไกแบงก์ชาติ ก.ล.ต. ตลาดหุ้น ตลาดทุน ได้เบ็ดเสร็จ ประเทศไทย..จะไปข้างไหนเสีย!? "เทคโนแครตทักษิโณมิกส์" ตัวหลักๆ ที่เป็นอนุภาคโปรตอนเศรษฐกิจทักษิณประกอบด้วยใครบ้างล่ะ ที่ผลัดกันคัด-ผลัดกันตั้ง ผสมพันธุ์กันเองนัวเนียอยู่ ก็มี "วิจิตร-ชัยวัฒน์-สมใจนึก-นิพัทธ-สถิตย์-พรชัย-สุชาติ" ที่แยกย้ายเข้าควบคุมแบงก์ชาติ ควบคุมตลาดหลักทรัพย์ ควบคุมคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และต่อไปใกล้ๆ นี้ ไม่พลาดแน่ ก็จะคืบคลานเข้าคุม "ตลาดทุน" ในรูปแบบคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่จะตั้งใหม่ คอยกำกับดูแลการซื้อ-ขายหุ้นในตลาด คือมีอำนาจ "คุมทั้งหมด" อีกทีหนึ่ง! ตอนนี้ ตลาดหุ้น กับ ก.ล.ต. นายสุรพงษ์ในฐานะรัฐมนตรีคลัง ชงให้นายวิจิตร และนายนิพัทธ "มือระดับพระกาฬ" แยกกันไปคุมไว้แล้ว การ "หาเงิน" จาก "ตลาดหุ้น" ไปเป็นทุนใน "ตลาดเลือกตั้ง" สบายมาก-ถ้าใครมีอำนาจเหนือกลไกตลาด และไม่ซื่อ จำกันได้มั้ย ตั้งแต่หุ้นแบงก์บีบีซี จนมาถึงหุ้นแก๊สในยุคทักษิณ รวยกันจนฉิบหายยังไม่จบถึงวันนี้!? สำหรับ "บอร์ดแบงก์ชาติ" ที่เป็นปัญหา-น่ากลัวอันตรายต่อประเทศชาติ นั้น ถ้า ๖ กรรมการคุณวุฒิ ที่ "วิจิตร-ชัยวัฒน์-นิพัทธ-สมใจนึก-สถิตย์" ชงให้นายสุรพงษ์เตรียมประกาศ มีการประกาศออกมา ผมว่า "เรื่องใหญ่" เกิดขึ้นในบ้าน-ในเมืองอีกแน่! เพราะไม่ต้องดูอื่นไกล ลองตั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร. และนายชัยเกษม อัยการสูงสุด มาเป็นบอร์ดคุมนโยบายเศรษฐกิจ-การเงิน มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ยิ่งเอานายพรชัย นุชสุวรรณ ผู้สวามิภักดิ์รับใช้ทักษิณตั้งแต่สมัยเป็น ผอ.งบประมาณ มาเป็นประธานบอร์ดด้วยแล้ว ก็พูดได้คำเดียวว่า นี่คือเก้าอี้สมนาคุณ และมันมากันตามแผน! หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 21-08-2008, 11:31 ที่ว่า ถลุงเงิน คงไม่ได้หมายถึง แบงค์ชาติ อ่ะ เพราะท่านว่า แบงค์ชาติทำดีแล้ว
ส่วนใครที่ถลุงเงิน ด่ามันไปเท่าไหร่ มันก็ไม่สำนึกหรอก :slime_surrender: คุณธาริษาก็คงจะรู้สึกปลาบปลื้ม ได้กำลังใจ ไปสู้แร้งรุมทึ้งทั้งตลาดเงินตลาดทุนตอนนี้ คิดถึงเรื่องบอร์ดแบงค์ชาติ บอร์ดกลต บอร์ดตลท แล้วยังสยองไม่หาย เห็นแต่ละคนแล้วขนหัวลุก :slime_surrender: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: protecter ที่ 21-08-2008, 11:43 ข่าวว่าลิ่วล้อหน้าเหลี่ยมโกงชาติ มีแผนการเอาเงินคงคลังหลายแสนล้านไปตั้งกองทุนแบบ เทมาเซ็ก แห่งสิงคโปร์
เอาไว้ปั่นหุ้นที่พวกตัวเองถือ............ ถ้าพวกมันทำได้สำเร็จ คราวนี้คงรวยยิ่งกว่าหน้าเหลี่ยมซะอีก หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: คนไทยคนหนึ่ง ที่ 21-08-2008, 12:08 คนที่ถลุงเงินชาติ น่าจะเป็นรัฐบาล นะครับ
เพราะคิด เมกะโปรเจครายวัน ออกมาตลอด ตอนนี้คิดออกมาแล้ว มากกว่า ล้านล้านบาทแล้ว ถ้าทำพร้อมกันหมด ประเทศก็ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหนมาให้พวกมันถลุง กะแต่จะฟันหัวคิวกันตลอด กินกันหน้าด้านด้าน เรียกกันว่าปล้นกลางแดดกันเลยทีเดียว กินกันตั้งแต่โปรเจคละ 10-20% ไปถึงเกิน100% กะกินกันให้ชาติล่มจมกันไปเลย หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 21-08-2008, 14:50 รับบาลสมัครฟังเอาไว้ซะ แล้วเลิกสร้างรัฐสภาใหม่เสีย
:slime_evil: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 21-08-2008, 15:17 "สมัคร" รับใส่เกล้าฯ พระราชดำรัส "ในหลวง" สั่งกำชับทุกฝ่ายใช้งบฯ อย่างระมัดระวัง
"สมัคร" รับพระราชดำรัส กำชับทุกฝ่ายใช้งบฯอย่างระวัง ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแด่คณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม ขอบใจทำงานหนักเพื่อชาติ ทรงฝากผู้บริหารคลังควรรู้สิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของประเทศว่า เรื่องนี้ต้องนำมาใส่เกล้าใส่กระหม่อม และตนต้องทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้น ทุกคนต้องระมัดระวังการใช้งบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็กหรือใหญ่ นายสมัคร กล่าวถึงการประชุมหัวหน้าหน่วยราชการระดับปลัดกระทรวงว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ เพื่ดูแลและแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยจะให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดูแลเป็นหลัก ผู้สื่อข่าวรายงานวาน นายสมัครไม่ขอแสดงความเห็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดเข้าชี้แจงคดีชิมไปบ่นไปในวันที่ 8 ก.ย.นี้ และกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ติดต่อกับส.ส.พรรคพลังประชาชน หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 21-08-2008, 15:56 "สมัคร" รับใส่เกล้าฯ พระราชดำรัส "ในหลวง" สั่งกำชับทุกฝ่ายใช้งบฯ อย่างระมัดระวัง "สมัคร" รับพระราชดำรัส กำชับทุกฝ่ายใช้งบฯอย่างระวัง ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแด่คณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม ขอบใจทำงานหนักเพื่อชาติ ทรงฝากผู้บริหารคลังควรรู้สิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง ถ้านายก ฯรับใส่เกล้าจริงๆ รัฐสภาใหม่ก็ยังไม่สมควรสร้าง ด้วยไหมครับ ? ท่าน นายก ฯ :slime_smile2: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 21-08-2008, 16:18 เมื่อตอนบ่ายๆ..ผมเข้าไปที่ราชดำเนิน... ผมเห็นคนตั้งกะทู้นี้เพียงกระทู้เดียว เเละคนตอบกระทู้นี้ก็น้อยเต็มที่.. เมื่อเทียบกะที่เวลาชมรัฐบาลสมัคร...โดยตั้งกันได้สอง-สามกระทู้ เเถมก็มีคนชมกันให้รึ่ม... เเถมไม่มีคนออกมาบอกด้วยว่า อย่าโยงประเด็นการเมือง ทั้งที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาทำงานพระองค์ท่านก็ทรงชมทั้งนั้น. อืม.... แบบนี้หมายความว่าอย่างไรคิดดูกันเอาเองล่ะกัน.. เพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา... เพราะเรื่องพระราชดำรัชโกงๆกินๆเนี๊ยมันเป็นของเเสลงพวกราชดำเนิน..ที่คุณจะไม่ได้พบเห็นคนพวกโน่นตั้งกระทู้หรอก.. ซึ่งเปรียบได้กะกรณีสติ๊กเกอร์ของคุณหญิงกัลยา ที่คุณหญิงเอามาติด ทำไปติด โอยยดิ้นกันทั้งก๊วนทรท. และยังบอกหาว่าคุณหญิงหมิ่น..เที่ยวรี่ไปเเจ้งความ.. แต่ผลสุดท้านยอัยการก็สั่งไม่ฟ้อง.... อืม..ตถตา... หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: PK ที่ 21-08-2008, 21:54 :slime_doubt: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 22-08-2008, 10:01 * เอามาแปะเพิ่ม ................ :slime_smile:
อ้างจาก: see - u เปลวสีเงิน "บอร์ดแบงก์ชาติ"ชะตาชาติ!? 22 สิงหาคม 2551 กองบรรณาธิการ ผมเข้าใจว่า "นายสมัคร สุนทรเวช" และ "นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" คงได้ฟังกระแสพระราชดำรัสของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทางโทรทัศน์ไปแล้วแต่คืนวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๑ แต่ถ้าไม่ได้ฟัง ในฐานะเป็นนายกฯ และเป็นรัฐมนตรีคลัง ตอนรุ่งขึ้นเช้าวานนี้ ก็น่าจะ "ใส่ใจ" ได้กระวีกระวาดนำมาศึกษา-ใคร่ครวญแล้ว "...ตอนนี้ (บ้านเมือง) ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง.." นี่คือความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัส ซึ่งผมมั่นใจว่าทุกท่านคงทราบความละเอียดแล้วจากข่าวพระราชสำนัก หรือจากหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเมื่อวานนี้ ......................................... ...................................................................................................................... แต่หลังจากวันนี้แล้ว นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีผู้บริหารราชการกระทรวงการคลังจะ "แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด" ในเรื่องที่สังคมกำลังครหา และเพ่งเล็งหรือเปล่า ก็ยังสงสัย? ก็เรื่องใช้อำนาจเปิดประตูให้คณะเทคโนแครต "ทักษิโณมิกส์" ยกโขยงเข้าขยายเครือข่ายอำนาจยึดธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต.และตลาดทุน นั่นแหละ เห็นอ้างว่า "ไม่ผิดกฎหมาย" แต่หลายคนบอกว่า "ไม่แน่..?" เพราะหัวเชื้อแก๊งเทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์นี้ เริ่มต้นจากส่งคน "ขาดคุณสมบัติ" เข้ามาเป็น "คณะสรรหา" บอร์ดแบงก์ชาติ ในสาขาผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วบอร์ดใหญ่ ก็แตกสายพันธุ์ออกไปเป็น "บอร์ดเล็ก" แยกย้ายยึดครององค์กรต่างๆ ของสถาบันเงิน-สถาบันทุนเป็นเน็ตเวิร์ก และหลายคนที่ให้เป็นบอร์ด "หลังลายพร้อย" ต้องคดีความคนละหลายคดี บางคนหนักหนาสาหัส ถูกหาทุจริต-คอรัปชั่น ถึงขั้นไล่ออกจากข้าราชการก็ยังมี! การเอาหัวเชื้อ "เทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์" เข้ามา แล้วเพาะเชื้อ-ขยายพันธุ์ "กูตั้งมึง-มึงตั้งกู" ล่อกันเองนัวเนียกันเองอย่างนี้ สังคมคุณธรรมบอกว่า มันส่อพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ ถึงอ้างว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่มันฝืนหลัก "ธรรมาภิบาล" ที่ประกาศใช้อยู่ชัดๆ! และมันก็ชัดด้วยว่า ถ้า "กระบวนการ" นี้ไม่ได้รับการทบทวน-แก้ไข ต่อไป "แบงก์ชาติ-การเงิน" จะตกเป็นเมืองขึ้นของ "การคลัง" ต้องเดินนโยบายใต้อาณัติ "กระทรวงการคลัง" นั่นคือ "การเมือง" จะเผด็จการเบ็ดเสร็จ ผนึก "การเงิน-การคลัง" เข้าด้วยกันเป็นฐาน "อำนาจเพื่อการครองเมือง"! และถ้าแผนการส่ง "เทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์" กระจายเครือข่ายยึดตลาดเงิน-ตลาดทุนครั้งนี้สำเร็จ วันนี้-ด้วยอำนาจการเมือง "พวกเดียวกัน" และด้วยกฎ-กติกาตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่นี้ มัน "เกื้อกัน" กินหัว-กินหาง-กินกลาง-ตลอดตัว ไปเลย! แต่ถ้าในอนาคต อำนาจการเมืองเปลี่ยนขั้ว ก็ด้วย กฎ-กติกา ตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยใหม่นั่นแหละ ขบวนการ "เทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์" ที่ยึดตลาดเงิน-ตลาดทุนไว้อยู่ ในความเป็น "คนละขั้วอำนาจ" จะเล่นบท "พระเอกโจร" แยกทำหน้าที่ควบคุมกลไก "ตลาดเงิน-ตลาดทุน" ทันที โดยจะประกาศอิสรภาพ ชูนโยบาย "การเงิน" ออกจาก "การคลัง" คอยขัดขารัฐบาล! มติที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคาร (๑๙ ส.ค.) ที่ผ่านมา มีการตั้งกรรมการ DSI ก็คือ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่ "นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์" ขุนพลฝ่ายเหนือของ "ทักษิณ-นายใหญ่" เป็นรัฐมนตรี เสนอใครไปทำหน้าที่สืบสวน-สอบสวนจับโจร จับขโมยทราบไหมครับ? ตั้ง "นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์" ๑ ใน "สารตั้งต้น" ทีมเทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์ ผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดสรร "บอร์ดแบงก์ชาติ" และบอร์ด ก.ล.ต.ร่วมกับ "วิจิตร-นิพัทธ-สมใจนึก-สถิตย์" นั่นเอง เอาคนที่รู้เรื่อง "ทางเศรษฐกิจการเงิน" มาทำงานในองค์กรใช้กฎหมายสืบจับคดีโจรผู้ร้ายที่ DSI มันน่าแปลกไหมครับ? ดูเผินๆ ต้องแปลก แต่ถ้าแหวะให้เห็น "ลายสักมังกร" ก็ต้องบอกว่า อ้อ..อย่างนี้ ไม่แปลกเลย! ปูมย่อๆ ของนายชัยวัฒน์ เคยเป็นความหวังของแบงก์ชาติ แต่จากเหตุการณ์ "วิกฤติเงินบาท" จนกลายเป็น "วิกฤติต้มยำกุ้ง" เมื่อปี ๒๕๔๐ บทบาทของเขาในฐานะรองผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ดูแลทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน มีบางอย่างร่วมเป็นปริศนาคาใจ "พลเอกชวลิต" ผู้เป็นนายกฯ ขณะนั้นมาถึงบัดนี้? เก่งเศรษฐกิจมหภาค เป็นมือร่างแผนเศรษฐกิจให้ พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่เริ่มพรรคไทยรักไทย เก่งฉกาจฉกรรจ์ในการวางแผนเอาเงินหลวงมาใช้เป็นนโยบายประชานิยมให้รัฐบาลไทยรักไทย ยังเป็นที่ประทับใจ "นายใหญ่" จนถึงวินาทีนี้ อ้อ..DSI นี่ไงครับที่นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีคนก่อน ทำคดี "บริษัท เอสซี แอสเสท" เกี่ยวกับโครงสร้างผู้ถือหุ้นชินคอร์ป พอนายสมพงษ์มาเป็นรัฐมนตรีปุ๊บ ก็ย้ายนายสุนัยปั๊บ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ "วินนี่เดอะปุ๊" คนนี้แหละ ที่เป็นประธานกรรมการบริษัท เอสซี แอสเสท อยู่ขณะนั้น และเคยถูก คตส.เรียกไปสอบ และก็เป็นชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ คนเดียวกับที่ ครม.นอมินีทักษิณ ตั้งให้เข้ามาเป็น ๑ ใน ๙ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ DSI สดๆ ร้อนๆ วันอังคารที่ผ่านมา และก็ DSI กรมสอบสวนคดีพิเศษนี่ไง ที่เป็นเจ้าของคดีเอสซี แอสเสท และวันนี้ มีอดีตผู้บริหารบริษัทเอสซี แอสเสท นามว่า "ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์" เข้ามาเป็นกรรมการ DSI!? พูดถึง "บอร์ดแบงก์ชาติ" ซึ่งในส่วนกรรมการทรงคุณวุฒิ ๕ คน ที่แก๊งเทคโนแครต-ทักษิโณมิกส์เลือกเข้ามา สังคมกำลังตั้งข้อรังเกียจ และเรียกร้องให้นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คำนึงธรรมาภิบาล ให้ย้อนกลับไปทบทวนถึง "คุณสมบัติ" กรรมการที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่เป็น "บอร์ดคัดเลือก" เสียใหม่ เช่น นายวิจิตร สุพินิจ, นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์, นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ล้วนเป็นประธานกรรมการอยู่ในสถาบันการเงิน ซึ่งน่าจะขัดกับกฎหมาย หรืออย่างนายนิพัทธ พุกกะณะสุต ก็มีมลทินร้ายแรงทางการเงินขณะรับราชการอยู่ในกระทรวงการคลัง แถมคนที่คัดเข้ามาเป็น "บอร์ดแบงก์ชาติ" ก็หลายคนเป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วมอยู่ในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ต้องหาอยู่ขณะนี้ สรุปแล้ว ทั้งบอร์ดคัดเลือกบอร์ด และคนที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นบอร์ด ล้วนอยู่ในเครือข่ายกันเอง และมีประวัติไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะนายนิพัทธ เป็นบอร์ดคัดเลือก ก.ล.ต.ด้วย ตั้งคนมาเป็นบอร์ด ก.ล.ต.เสร็จสรรพแล้ว บอร์ดชุดที่นายนิพัทธตั้งเองนี่แหละ ก็ตั้งนายนิพัทธให้ไปเป็น "บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ" http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=22/Aug/2551&news_id=162872&cat_id=200 หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: เอกราช ที่ 22-08-2008, 14:20 ความเห็นจากนักวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของไทย
แก๊งออฟ4 "คณาธิปไตย"ยึดตลาดเงิน-ทุน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนาเรื่อง "มีความจำเป็นหรือไม่ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเป็นอิสระ" ในวันที่ 21 ส.ค.2551 โดยมีนักวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของไทยเข้าร่วม ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ และรักษาการประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราภิชาน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงความเห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลภาวะเงินเฟ้อ แต่ต้องประสานการวางกรอบนโยบายและทำงานร่วมกับรัฐบาลมากขึ้น แต่ต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชน ด้วยการเปิดรายงานผ่านรัฐสภา ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ได้ชี้ให้เห็นว่าการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นคณะกรรมการองค์กรกำกับ ตรวจสอบทางการเงินของไทยทั้งคณะกรรมการ ธปท.และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในขณะนี้มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีการสรรหามาจากกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวกันกับผู้สรรหา ทำให้ผิดหลักการธรรมาภิบาล ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องความรับผิดชอบ และความโปร่งใสในการทำงาน การที่กรรมการขององค์กรที่มีหน้าที่กำกับตรวจสอบทั้งตลาดเงินและตลาดทุนถูกแทรกแซงโดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพรรคพวกเดียวกัน จะทำให้เกิดระบอบคณาธิปไตย คือ กลุ่มคนเพียงกลุ่มหนึ่งสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ โดยแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ นอกจากการจัดทำกรอบกฎหมายที่ชัดเจนแล้ว ยังควรใช้กรอบของระบอบประชาธิปไตยมาใช้ด้วย การให้ความสำคัญกับการใช้นิติรัฐ การคำนึงถึงเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของสาธารณชน "ทุกวันนี้ หนังสือพิมพ์กลับมีการพูดถึง "Gang Of Four" ที่เข้ามากุมอำนาจในการกำกับดูแลตลาดเงิน ตลาดทุน และพูดถึงหลักต่างตอบแทน แต่ตนเองอยากจะเรียกว่า เป็น "คณาธิปไตย" มากกว่า โดยเฉพาะในกรณีของตลาดทุน เพราะกรรมการสรรหาตั้งบุคคลเข้ามากำกับดูแลตลาดทุน แล้วกรรมการกำกับดูแลตลาดทุน ก็กลับไปตั้งบุคคลที่เป็นกรรมการสรรหาเข้าไปเป็นกรรมการในตลาดหุ้น" ดังนั้น หากต้องการให้องค์กรอย่าง ธปท.และ ก.ล.ต. ไม่ถูกแทรกแซงจากการเมือง โดยใช้กรอบระบอบประชาธิปไตยดังกล่าว สามารถดำเนินการด้วยการกำหนดคุณสมบัติของผู้ทรงคุณวุฒิ ที่จะเป็นกรรมการ โดยการสรรหาไม่ควรกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานเพียง 1-2 แห่ง แต่ควรประกาศให้มีผู้สมัครอย่างกว้างขวาง และให้ผู้สมัครได้แสดงวิสัยทัศน์ ก่อนแต่งตั้งเพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือก อาทิเช่น การคัดค้านหากเห็นว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม นอกจากนี้ การกำหนดหน้าที่และเป้าหมายของผู้เป็นกรรมการต้องมีความชัดเจน ขณะเดียวกันเพื่อให้ ธปท.มีความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานของตน จะต้องกำหนดให้ ธปท.ต้องรายงานผลงานต่อสาธารณชนผ่านรัฐสภาเป็นประจำ และเปิดเผยรายงานการประชุมที่สำคัญ ที่ประชาชนควรได้รับรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้รับทราบถึงการทำงานของ ธปท. อีกทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ที่สำคัญของ ธปท. อาทิเช่น พนักงาน ธปท.ควรมีบทบาทในการป้องกันการแทรกแซงที่ไม่เหมาะสม ด้วยการตั้งองค์กรหรือสมาคมพนักงานที่เป็นตัวแทนทำหน้าที่ปกป้องศักดิ์ศรีของ ธปท.ซึ่งจะช่วยกำกับดูแลผู้บริหาร และช่วยให้องค์กรมีการปรับตัวและสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาเฉพาะทุนความน่าเชื่อถือที่สะสมมาในอดีตเท่านั้น "แบงก์ชาติกินบุญเก่ามามาก แต่โดยตัวเองอาจจะไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในระยะหลังๆ อาจจะอิงกับการเมืองบ้าง และการเมืองก็อาจจะเข้ามามีบทบาทด้วย ดังนั้น พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องแก้ไขให้สาธารณชนมีส่วนในการคัดเลือกคณะกรรมการสำคัญๆ ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่งุบงิบกันแค่กระทรวงการคลังกับแบงก์ชาติ และต้องให้ผู้ว่าการรายงานการทำงานกับสาธารณชน รายงานในรัฐสภา เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ เอื้อให้คนภายนอกได้มีบทบาทในการตรวจสอบ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับตัวได้" ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา มองว่าไม่ว่า ธปท.จะมีอิสระมากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญสำหรับทุกหน่วยงานของรัฐ คือ การมีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ไม่ใช่มีความอิสระอย่างเต็มที่ ซึ่งใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ก็ได้ให้อิสระ ธปท.อย่างมีขอบเขต ด้วยการกำหนดให้ ธปท.กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องตกลงเป้าหมายนโยบายการเงินร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในการดูแลควบคุมเครื่องมือทางการเงิน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของ ธปท.ซึ่งต้องให้การดำเนินนโยบายทำไปโดยอิสระ จากการที่ ธปท.ควบคุมเครื่องมือทางการเงินทั้งตลาดพันธบัตร ตลาดเงินตราต่างประเทศ ขณะที่ฝ่ายการคลังและการเมืองไม่ควรคุมเงินเฟ้อเพราะฝ่ายการเมืองมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการคลังเพื่อให้คนมีความสุข เศรษฐกิจขยายตัวทำให้ต้องการใช้เงินเยอะ จึงต้องมีการควบคุมเงินเฟ้อควบคู่กันไปด้วย "เราต้องชัดเจนว่า อิสระหมายความว่ายังไง กรอบความอิสระเป็นยังไง ถ้ากรอบชัด ธปท.ดำเนินมาตรการอะไรก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงแบบวันต่อวัน อย่าง ธปท.ดำเนินการอะไรที่กระทบอัตราแลกเปลี่ยน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรแทรกแซงเพราะมีผลกระทบ มีคนได้ คนเสียเยอะ เป็นเรื่องที่ปล่อยให้ ธปท.ดำเนินการโดยใช้เครื่องมือและความซื่อสัตย์สุจริต" นอกจากความอิสระในการใช้เครื่องมือทางการเงินควบคุมเงินเฟ้อแล้ว การกำกับดูแลสถาบันการเงินของ ธปท.ก็ต้องมีอิสระ ไม่ปล่อยให้การเมืองเข้าแทรกแซง เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเหมือนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งแนวคิดในการแยกหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินออกจาก ธปท.นั้น หากจะดำเนินการจริงก็จะต้องให้มีผู้กำกับดูแลที่มีความอิสระจากการเมืองยิ่งกว่า ธปท.เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุด คือ การร่วมมือของนักการเมืองและนักการธนาคาร ส่วนการสรรหาคณะกรรมการ ธปท.ที่มีความกังวลว่า จะเข้ายึดการทำงาน ธปท.นั้น ดร.อัมมาร กล่าวว่า การคัดเลือกกรรมการ ธปท.มีปัญหาตั้งแต่คณะกรรมการสรรหาที่หลายคนกังวลว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น ก็ต้องถามว่าประชาชนคือใคร เพราะถ้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็อาจจะมีปัญหาได้อีก อย่างไรก็ตาม มองในแง่หนึ่งการที่คณะกรรมการ ธปท.เป็นคนละพวกกับผู้บริหาร ธปท.ก็อาจจะเป็นข้อดีในแง่ของการคานอำนาจในตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่แนวทางที่ดี เพราะจริงๆ แล้ว ควรหาจุดสมดุลของอำนาจให้มากกว่าที่มี ความรับผิดชอบในการทำงานของ ธปท.เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งตามกฎหมายใหม่ก็ได้ให้อำนาจกับคณะกรรมการ ธปท.มากขึ้น จากเดิมที่ประธานคณะกรรมการ ธปท.เป็นผู้ว่าการ ธปท.โดยตำแหน่ง ไปเป็นการสรรหามาจากผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ก็เกิดความกังวลเรื่องการถูกแทรกแซงจากบุคคลกลุ่มอื่น ในกฎหมายปัจจุบัน กำหนดให้ ธปท.และกระทรวงการคลัง จะต้องมีการหารือกันในแต่ละปี เพื่อกำหนดเป้าหมายของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน ของประเทศ และการจะให้น้ำหนักในแต่ละส่วน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราแลกเปลี่ยน จากนั้น รัฐมนตรีคลังจึงจะเสนอเป้าหมายดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งกระทรวงการคลังและ ธปท.จะต้องตกลงเป้าหมายในการดำเนินนโยบายให้ได้ตรงกัน ขณะที่การปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายนั้น จะต้องให้เป็นไปโดยอิสระ โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรเข้ามาแทรกแซงวันต่อวัน เพราะมีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ดร.อัมมาร กล่าวย้ำว่า ในรอบ 20 ปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าการ ธปท.บ่อยมาก โดยที่มาจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง ทำให้ ธปท.ต้องมีอิสระ แต่ไม่ใช่อิสระจากทุกอย่าง เพราะยังต้องมีความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อสังคมอยู่ ซึ่งหมายถึงว่า การทำงานของ ธปท.ต้องมีสมรรถนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำได้ดี ยกเว้นในช่วงทศวรรษ 2530 จนกระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงิน ในปี 2540 ซึ่ง ธปท.มีส่วน 90% ที่ทำให้เกิดวิกฤติดังกล่าว จึงทำให้ ธปท.เสียศูนย์ไป และทำให้คนไม่เชื่อมั่นจนถึงวันนี้ "ผมยังเชื่อในสมรรถนะขององค์กรอย่างแบงก์ชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่แบงก์ชาติต้องพิสูจน์ให้สังคมเชื่อถือ โดยเฉพาะความโดดเด่นในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นอิสระของ ธปท. ไม่ใช่ว่าจะตัดสินด้านนโยบายโดยพลการ ว่า จะดูแลเงินเฟ้ออย่างเดียว จึงต้องหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจร่วมกัน" http://special.bangkokbiznews.com/detail.php?id=3722&username=thot1 *********************************************************************** พระราชดำรัสช่วงท้ายๆ ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล้มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวัง" ขอบใจที่ท่านระวังเรื่องการดำเนินด้านการเงิน ขอให้สำเร็จใจการบริหารการเงินของประเทศชาติ ขอบใจท่านที่เหน็ดหนื่อยเรื่องการเงิน เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยลำบากใจนอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้ และยังทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้บ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง "นายสมัคร สุนทรเวช" และ "นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" สงสัยจะฟังพระราชดำรัสไม่เข้าใจ :slime_doubt: :slime_doubt: :slime_doubt: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 22-08-2008, 19:40 ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 14:20ข้อความโดย: เอกราช
"นายสมัคร สุนทรเวช" และ "นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" สงสัยจะฟังพระราชดำรัสไม่เข้าใจ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 22-08-2008, 21:15 มีข่าว แว่วว่า ลุงหมัก กำลังจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ เพื่อ ทำโปรเจ็คซื้อเสียง เตรียมเลือกตั้งครั้งหน้า...
รับใส่เกล้า เสร็จ ก็ลืมไว้ ที่บ้าน ไม่ได้เอามาที่สภา.... รัฐบาลนี้ มันเหมือนจับปูใส่กระด้ง....มันแทรกแซง องค์กร อิสสระ ยังไม่ได้ มันก็ไปแทรกแซง แบ็งค์ชาติ ที่ เป็นห้องเครื่องเศรษฐกิจ ... แบ็งค์ ชาติ ที่ เป็นตัวถ่วง ความชิบหาย ที่ พวกมันไม่สนใจบ้านเมือง ต้องพึ่งศาล จริง ๆ ครับ....คดีไหนที่ค้างคาอยู่ในศาล ก็รีบ ๆ ตัดสิน เอาพวกนี้เข้าคุกให้หมด ไม่งั้น มันก็ปล่อยไปสร้างความฉิบหาย ตรงโน้นที ตรงนี้ที.....ดู หน้าตา บอร์ดแบงค์ชาติ แต่ละคน ล้วนแผลเหวะหวะ บางคนเคยโดนคดี บางคน ก็กำลังจะโดน.....บางคน ก็มีคุณสมบัติ บกพร่อง เพราะ เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาก่อน......ไม่รู้มันแต่งตั้งกันเข้าไปได้ไง.... โดยเฉพาะ วิจิตร สุขพินิจ....ที่สร้างความฉิบหาย ตั้งแต่ หนุ่มยันแก่... เริ่ม จาก เงินทุนหลักทรัพย์เอฟซีไอ....บีบีซี.....ฯลฯ.. หัวข้อ: Re: "ในหลวง"ทรงเตือน"แบงก์ชาติ" อย่าถลุงเงินจนหมดจะทำชาติล่มจม............. เริ่มหัวข้อโดย: Unread ที่ 23-08-2008, 02:15 รัฐบาล ระบอบทักษิณ มันเคย ฟังพระราชดำรัส ในหลวง ซะเมื่อไร ทำอะไรขัดแย้งพระราชดำรัสไปเสียทุกเรื่อง ขนาดพระองค์ เตือนแล้วว่าอย่าไป ซื้อเลย รถหุ้มเกราะ ยูเครน แต่พวกมันก็ยังไปซื้อ ..... พี่น้องคิดดูละกัน พี่น้องจะยอมเชื่อฟัง รัฐบาลที่ไม่ฟังกระทั่งพระราชดำรัสกันเจียวหรือ????????????
และคิดดูผมไม่คิดไม่ฝันว่า ชาตินี้จะได้เห็นองค์การแช่งน้ำจาก พระมหากษัตริย์ ไทย แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ กับ พระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า "ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้ มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่นสร้างความเจริญ ก็ขอให้ต่อายุ ได้ถึง 100 ปี ส่วนคนไหนที่อายุมากแล้ว ขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย" เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีละกัน พวก ทรราช และ ลูกสมุนขุนบาทว์ทั้งหลาย |