ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: oversea ที่ 13-06-2006, 16:40



หัวข้อ: แฉไอ้โม่งในรัฐบาลปลุกผีคอมมิวนิสต์! ตั้งมวลชนในอีสานดีเดย์บุกกรุงฯ18มิ.ย.
เริ่มหัวข้อโดย: oversea ที่ 13-06-2006, 16:40
ความคิดเห็นที่ 10

แฉไอ้โม่งในรัฐบาล
ปลุกผีคอมมิวนิสต์!
ตั้งมวลชนในอีสาน
ดีเดย์บุกกรุงฯ18มิ.ย.

13 June 2006 14:16
จำนวนผู้อ่าน 62 คน

“คนรู้ทัน” เปิดโปงขบวนการปลุกผีคอมมิวนิสต์คืนชีพ “ประสงค์” แฉไอ้โม่งในรัฐบาลไปเตรียมแผนจัดตั้งมวลชนที่ภาคอีสานมาแล้วล่วงหน้า 1 สัปดาห์ 2 จุดใหญ่ที่ “ขอนแก่น-อุบลฯ” ดีเดย์บุกกรุงฯ 18 มิ.ย.นี้ โดยไประดมแกนนำที่เคยเข้าป่าให้จัดมวลชนมาสนับสนุนรัฐบาล เชื่อเป็นการเอาเชื้อไฟไปสุมให้ลุกลาม จวกยับ “ปฏิญญาหูฉลาม” ที่มีบางกระดี๊กระด๊าฝันอยากเป็นนายกฯ ปริศนาออกโรงเตือน “พวกเรา” รู้ว่า “คุณกำลังคิดอะไร”

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป ภายหลังการเฉลิมฉลองงานสิริราชสมบัติครบ 60 ปีผ่านพ้นไปแล้ว สถานการณ์การเมืองจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติที่มีความขัดแย้งกันเหมือนเดิม เพราะจากการวิเคราะห์ดูรอบด้าน ตนรู้สึกว่า คงเกิดเรื่องใหญ่อีกครั้ง และการเกิดครั้งนี้ จะเป็นไปตามกระบวนการทางธรรมชาติของการเมือง ที่เกิดจากฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายภาคประชาชน และฝ่ายที่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คล้ายสึนามิ เพราะมีความอัดอั้นในการทำงานของนักการเมืองและองค์กรอิสระต่างๆ รวมถึงความดื้อรั้นถือดี ออกมาตอบโต้ ข่มขู่ ด่าว่าคนโน้นคนนี้ อย่างนี้ถือเป็นการเอาเชื้อไฟ ไปสุมให้มันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปลุกผีคอมฯ-ตั้งมวลชนสู้ดีเดย์ 18 มิ.ย.

“ล่าสุดตอนนี้ผมทราบมาว่า มีนักการเมืองในซีกรัฐบาลไปจัดตั้งมวลชนมาแล้วสัปดาห์หนึ่ง ในเขตอีสานเหนือที่จ.ขอนแก่น กับเขตอีสานใต้ที่จ.อุบลราชธานี โดยใช้ 2 จุดเป็นที่พบปะกับแกนนำในพื้นที่และให้ออกไปหามวลชน โดยแกนนำในพื้นที่เหล่านี้เป็นพวกที่เคยออกจากป่าเมื่อสมัยก่อน และไปอยู่ตามหมู่บ้านหลายจังหวัด ก็จะมีเป็นจำนวนมาก และทั้งสองเขตนี้ เป็นเขตที่เคยเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว เรื่องนี้ประชาชนจะน่าสงสารมาก เพราะจะเป็นมวลชนที่เขาสามารถระดมได้ง่าย เพราะมีการจัดตั้งช่วยเหลือกันมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะเรื่องนโยบายประชานิยม”น.ต.ประสงค์กล่าวและว่า อย่างคาราวานคนจนที่เคยออกมาสนับสนุนรัฐบาลทักษิณ คนที่เป็นหัวหน้าและออกมาเคลื่อนไวก็คือคนที่ออกจากป่ามาแล้วและติดต่อกับใครในรัฐบาลมาโดยตลอด

“คุณไม่ยอมแพ้ คุณสร้างความเสียหาย แต่ไม่ยอมรับ กลับจะมาต่อสู้ทุกวิถีทาง ทั้งนี้เชื่อว่า มวลชนในกรุงเทพฯจะก่อตัวขึ้น และมีการชุมนุมแน่ และพวกคอมมิวนิสต์เก่าที่อยู่ในรัฐบาล ก็จะต่อสู้ทุกทาง เพื่อให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป ไม่ให้ถูกลงโทษ ถือเป็นความคิดที่ชั่วและเลวทราม เพราะถ้าเตรียมการกันแบบนี้ โดยกำหนดวันไว้ที่ 18 มิ.ย.นี้ จะเคลื่อนตัวเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อกดดันในสิ่งต่างๆ คล้ายกรณีซุกหุ้นของทักษิณ และจะไปสนับสนุนการทำงานของกกต.และรัฐบาล ถือว่าน่าเป็นห่วงและน่ากลัวมาก สำหรับคนที่ดื้อรั้น ที่จะปกป้องอำนาจตัวเองไม่ให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ผมก็ไม่รู้ว่า เมื่อผมบอกวันไปแล้ว พวกนี้จะเปลี่ยนแปลงวันใหม่หรือไม่”น.ต.ประสงค์กล่าว

ทิ้งปริศนา “พวกเรา” รู้-“คุณคิดอะไร”

น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า พวกที่บอกน้อมรับกระแสพระราชดำรัส แต่ไม่ยอมทำ เวลานี้มีแต่องค์กรศาลเท่านั้นที่ปฏิบัติตามและเร่งทำงาน กกต.ไม่น้อมรับอะไรเลย ดีแต่พูด หรือคนบางคนกล่าวว่าน้อมรับ แต่ในใจไม่ได้คิดอย่างนี้ เพราะสิ่งที่ไปพูดจากับคนหลายคน “พวกเรา” รู้หมดว่า คุณมีความคิดอะไร จึงไม่สายเกินไปที่จะยุติ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปถึงจุดที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่

สำหรับความดื้อรั้นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ยังไม่ยอมลาออกนั้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า เท่าที่รู้ความผิดที่สะสมในกกต.มีไม่ต่ำกว่า 3 พันเรื่อง และหยิบมาเล่นงานกกต.ได้ ว่าเลือกปฏิบัติในการทำหน้าที่ ทำให้เค้ากลัว เท่าที่ตนทราบ จึงพยายามเคลียร์ให้เสร็จก่อน เลยมีการบอกกันว่า ถ้าตายก็ตายด้วยกัน เวลานี้จึงจะเห็นว่า กกต.พยายามทำงานให้เห็น เพื่อให้มองว่า มีความเป็นกลาง ทั้งในเรื่องพรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะทำให้มีปัญหาด้วยกันทั้งคู่

จวกยับปฏิญญาหูฉลาม-กระดี๊กระด๊าอยากเป็นนายกฯ

“ความยุติธรรมในห้วงเวลานี้ แทบจะหาได้ยาก เพราะคนที่เขียนกฎหมายและทำงานตามกฎหมาย ก็มีการเลือกปฏิบัติ เรื่องที่คุณทักษิณทำผิดกฎหมาย ก็มีการฟ้องร้องกัน แต่เงียบหายไป พอคนอื่นมีไปทำพฤติกรรมเช่นเดียวกัน ก็เล่นงานทันที กฎหมายมันไม่เสมอภาค ผมรู้สึกว่า หลังงานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติผ่านไปแล้ว คงเข้าสู่ภาวะปกติที่มีความขัดแย้งทางการเมืองจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการทำงานที่เลือกปฏิบัติของรัฐบาล หรือการดื้อรั้นของกกต.”น.ต.ประสงค์กล่าว

นอกจากนี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวว่า เรื่องการไปจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองใหม่ ของคนในไทยรักไทยก็เป็นเรื่องจริง ถือเป็น “นอมินี” เอาไว้เป็น “อะไหล่สำรอง” เวลาถูกยุบพรรคขึ้นมา แต่เรื่องที่น่าเกลียดมากคือ เมื่อมันมี “ปฏิญญาฟินแลนด์” มาแล้ว แต่ตอนนี้ยังมี “ปฏิญญา Shark Fin” (หูฉลาม) กำลังมาแทนที่ เพราะมีบางคนกระดี้กระด๊าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตลกยิ่งกว่าปฏิญญาฟินแลนด์เสียอีก เพราะไปตกลงกันที่ฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เว็บไซต์แห่งหนึ่ง มีผู้จดทะเบียนคือนายทองเจือ ชาติกิจเจริญ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิทสนมถึงขั้นเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายเนวิน ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอบทวิเคราะห์ชื่อว่า "ไทยรักไทยจับมือชาติไทย ดัน"เติ้ง"นายกฯรอบสอง" เขียนโดยผู้ใช้นามปากกว่า “กระดิ่ง แก้ว” ลงเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยบทความดังกล่าว ชี้ถึงสถานการณ์ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องอยู่ในภาวะลุ้นระทึกกับข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ. 2541 ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงขั้นทำให้ยุบพรรคนั้นพรรคชาติไทยที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค จะได้อานิสงส์จากสถานการณ์ดังกล่าว

ทรท.จับมือลับๆกับชท.-เชิด “เติ้ง” คืนบัลลังก์

บทความยังวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างนายบรรหารและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย และชี้ว่าหากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะมีการจับมือกันแบบลับๆ ระหว่างแกนนำพรรคชาติไทยและพรรคไทยรักไทย เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายต้องบอบซ้ำจากกระสุนดินดำที่ต่างฝ่ายต่างยิงถล่มกัน เพราะวันนี้แม้กระแสต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณหรือปมปัญหาเรื่องพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก เป็นข้อหาที่ติดตัวอยู่ แต่ผลพวงจากนโยบายประชานิยมทำให้พรรคไทยรักไทยยังได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นมากพอสมควร

อย่างไรก็ตามบทความที่เขียนโดยกระดิ่ง แก้ว ยังอ้างว่า หัวหน้าพรรคชาติไทยอาจจะไม่ได้มีเป้าหมายแค่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะถ้าหากมีโอกาสร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทย ด้วยกระแสต่อต้านหรือเงื่อนไขบางประการที่ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ นายบรรหารอาจจะมีโอกาสรับบทผู้นำประเทศอีกครั้ง โดยชูนโยบายเรื่องการปฏิรูปการเมือง หลังจากเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในช่วงพ.ศ. 2539

อัดนักวิชาการตายทางการเมือง-ไม่ควรวิจารณ์มีเหตุรุนแรง

ขณะที่นายอดิศร เพียงเกษ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตคนเดือนตุลาฯ กล่าวถึงกรณีที่มีนักวิชาการประเมินว่า หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี การเมืองจะรุนแรงขึ้น ว่า นักวิชาการหลายคนเวลานี้มีคุณสมบัติไม่พอที่จะออกมาพูดอะไรอีกแล้ว เพราะจบแค่ ม.7 เท่านั้น ที่ผ่านมาออกมาเรียกร้องเรื่องมาตรา 7 จนตกเหว และตายทางวิชาการไปหมดแล้ว ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นนายชัยอนันต์ สมุทวณิช, นายสุรพล นิติไกรพจน์, นายสนธิ ลิ้มทองกุล ดังนั้นอย่าทำให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้เลย ตนยังมั่นใจว่า การเมืองหลังจากนี้ก็ยังไม่มีอะไรรุนแรง เพราะเวลานี้ทุกคนต่างนิ่ง มีสติกันหมดแล้ว และที่ผ่านมาก็ได้แสดงความคิดเห็นกันจนสุดกู่ ก็น่าจะพอกันได้แล้ว บ้านเมืองต้องเดินต่อไปตามรัฐธรรมนูญ

“ช่วงที่ผ่านมาการเมืองของเราเหมือนกับสายกีต้าร์ที่ขันไม่ดี มีตึง มีหย่อนไปบ้าง ทำให้เสียงมันเพี้ยนไป แต่หลังจากพระราชพิธีผ่านไปแล้ว ทุกคนที่บอกว่ารักในหลวงก็ควรยึดกระแสพระราชดำรัส ซึ่งพระองค์ท่านทรงอยากให้สามัคคีกัน คนที่เคยบอกว่า “รักในหลวง” ผมไม่เห็นในงานพระราชพิธีเลยสักคน ทั้งคุณสนธิ พล.ต.จำลอง (ศรีเมือง) หรือนักวิชาการทั้งหลาย ไม่รู้ว่ารักในหลวงอย่างไร”นายอดิศรกล่าว
ลงให้ด้วย ด่วนมากๆๆ

http://www2.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000076711