ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 20-07-2008, 10:21



หัวข้อ: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 20-07-2008, 10:21
"พล.ต.เจีย เคียวอ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา"

ผู้บัญชาการกองทัพบกจ.พระวิหาร"ระบุพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชา ก่อนทั้งไทย-กัมพูชาจะเปิดประชุมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดในวันจันทร์นี้ (21ก.ค.)

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : หลังจากที่เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ได้ส่งจดหมายตอบกลับนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ของกัมพูชา โดยยืนยันว่าพื้นที่ทับซ้อนปราสาทพระวิหารเป็นดินแดนไทย และสิ่งปลูกสร้างรวมถึงทหารกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ละเมิดอธิปไตยของไทยนั้น พลตรีเจีย เคียว ผู้บัญชาการกองทัพบกจังหวัดพระวิหาร กล่าวว่า หากดูตามแผนที่แล้ว พื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา  



แม้สถานการณ์ในพื้นที่วันนี้จะยังสงบเรียบร้อย แต่พลตรีเจีย เคียว กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังคงเสริมกำลังพลเข้าไปในพื้นที่ โดยกัมพูชาได้ส่งทหารเข้าประจำการกว่า 1,000 นาย ส่วนฝ่ายไทยนั้น มีทหารเกือบ400 นายบริเวณเชิงเขา และไม่แน่ใจว่ายังมีอีกกี่นายที่อยู่ตามป่า

ก่อนหน้านี้ ทางการกัมพูชาปฏิเสธที่จะเปิดตัวเลขกำลังทหารของตนที่ประจำการบริเวณพรมแดน แต่สื่อต่างชาติรายงานว่ามีการเคลื่อนกำลังพลหลายร้อยนายเข้าไปเสริมทหาร 1,000 นายฝั่งกัมพูชา ส่วนไทยเอง มีการส่งทหาร 100 นายไปเพิ่มจากที่ประจำการอยู่ในพื้นที่แล้วตอนนี้ 400 นาย ก่อนที่สองฝ่ายจะเปิดการประชุมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดในวันจันทร์นี้ (21ก.ค.)

http://www.bangkokbiznews.com/


ผมได้ยินมาแล้ว ฝ่ายเขมรอย่างน้อย 3 คน คือ สมเด็จฮุนเซน สหายของนักธุรกิจการเมืองแม๊วๆ รองนายกฯ/รัฐมนตรีต่างประเทศเขมร และ นายพลเจีย เคียว ยืนยันว่าพื้นที่'ทับซ้อน' บริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ของเขมร.....

ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้ยินว่านายกฯนอมินี รมว.กต. ลูกกรอก และนายพลไทย บอกว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นของประเทศไทย.....!!!


ปล. ผมได้ยินว่านายกฯไร้วุฒิภาวะอารมณ์ของไทย ยืนยันว่าคนไทย(บ้า) 3 คนบุกรุกดินแดนเขมร.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 20-07-2008, 10:46
เขมรมันฉลาดกว่าคนไทยเยอะ อย่างน้อยสำนึกในการรักชาติ หวงแหนแผ่นดินก็มีอยู่เต็มเปี่ยม แม้จะแกมโกงก็ตาม

คนไทยกลุ่มหนึ่งนอกจากไม่รักชาติแล้ว ยังขัดขวางคนรักชาติที่พยายามเรียกร้องเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนคืนอีกด้วย

แบบนี้จะเรียกคนกลุ่มนี้ว่าอะไรดี :slime_mad:


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: bangkaa ที่ 20-07-2008, 10:53
เขมรมันเห็นแก่ตัวโดยไม่เห็นหัวไทยครับ

จะเอาทุกอย่าง ไม่ค่อยสนใจ มิตรภาพเท่าใด
ถือว่ามีแบ็กดี...เอาทรัพยากรที่มีเช่น แหล่งพลังงาน ทั้งที่เป็นของมัน และยังไม่ใช่ของมัน ต่อรองแบ่งให้ฝรั่ง มหาอำนาจ...

ประเทศไทยเราเองก็ควรจะใช้สิ่งที่เรามีต่อรองกับฝรั่ง มหาอำนาจด้วยเช่นกัน... แต่ไม่ทำอาจเพราะ แม้ว อยากฮุบเป็นของตัวเอง...

เรื่องนี่เป็นบทพิสูจน์ รัฐบาลหอกหัก ว่าจะแก้ปัญหายังไง...



 :slime_doubt: :slime_doubt: :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: อิรวันชาห์ IrWanSyah ที่ 20-07-2008, 10:57
ปี 46 ก็อย่างนี้แหละ มีคนเขมรออกมาบอกว่าได้ยินชัดที่อีกบ-สุวนันท์ด่าเขมร


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ริวเซย์ ที่ 20-07-2008, 11:07
ปี 46 ก็อย่างนี้แหละ มีคนเขมรออกมาบอกว่าได้ยินชัดที่อีกบ-สุวนันท์ด่าเขมร

รู้อย่างนี้แล้ว มะแอบังมุสลิมเขมรก็ยังเชียร์พวกมันอยู่เนอะ

เหรี้ย ถึงใจจริงๆนะคุณ :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: คนไทยคนหนึ่ง ที่ 20-07-2008, 11:30
http://mil.news.sina.com.cn/2008-07-18/1351511958.html

ขอยกมาบางตอน

泰国总理沙玛则指责,三名泰国示威者因非法进入柬埔寨境内,才会把事情闹大。他对记者说:“就是这三个精神有问题的人越境才会引发问题,引起两方的军队对峙。三名越境的泰国示威者是一个和尚及一对男女,他们是在周二企图进入柏威夏古寺。
แปลได้ดังนี้

นายกประเทศไทยนายกสมัคร ประณามผู้ประท้วงคนไทย 3 คน ทำผิดกฏหมายรุกล้ำาเข้าไปในเขตแดนเขมร ทำให้เรื่องขยายใหญ่ขึ้น
เขา( นายสมัคร)พูดกับนักข่าวว่า * 3 คนนี้สติไม่ดี ข้ามไปทำให้เกิดเรื่อง เป็นเหตุให้เกิดการประจานหน้าของทหารทั้ง 2 ฝ่าย*
3 คนไทยประกอบด้วยพระรูปหนึ่ง และชายหญิงอีกอย่างละคน

ผมเข้าใจว่าสื่อต่างชาติหลายภาษาเสนอข่าวนี้ทั้งนั้น

เป็นไงล่ะ ทั่วโลกต่างเข้าใจว่าประเทศไทยรุกล้ำดินแดนของเขมร เพราะ นายก ประเทศไทยพูดเอง
 :slime_mad: :slime_mad: :slime_mad: :slime_hitted: :slime_hitted:

ถ้าเขมรฟ้องศาลโลก ไทยแพ้แน่นอน ก็แค่เอาเทปเสียงนายกไทยมายืนยันก็คงน่าจะเพียงพอ แถมเขมรอาจเชิญนายสมัครไปเป็นพยายฝ่ายเขมรก็เป็นไปได้
ฮ่อ..........




ขนาด นาย ก. หอกหัก ก็ยังยอมรับว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเขมร

จนสำนักข่าวต่างชาติเอาไปอ้างอิง อย่างนี้ไม่เรียกว่า ขายชาติ ยกแผ่นดินให้เขมร แล้วจะเรียกว่าอะไร

ส่วนฝ่ายเขมรนะพอเข้าใจ ว่าเขาทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเขมร

คราวที่แล้วก็ทำแบบนี้จนชนะคดีปราสาทพระวิหาร อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกละ




หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: p ที่ 20-07-2008, 11:40
ขนาด นาย ก. หอกหัก ก็ยังยอมรับว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเขมร

สมัครขายชาติ
สมัครขายชาติ
สมัครขายชาติ


 :slime_evil: :slime_evil: :slime_evil:


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 20-07-2008, 13:57
ปี 46 ก็อย่างนี้แหละ มีคนเขมรออกมาบอกว่าได้ยินชัดที่อีกบ-สุวนันท์ด่าเขมร


'มะแอ ไม่ถึงสองหมื่น' เปรียบเทียบความเชื่อถือชาวบ้านเขมรเท่ากับนายกฯสมเด็จฮุนเซน รองนายกฯ และ นายพลเขมร.... 

'หมัก เมถุน'นายกฯไร้วุฒิภาวะ และ รมว.ทนายหน้าหอเชื่อถือ'ใบบอก'ของพรรคฯ ยืนยันว่าประเทศไทยไม่เสียดินแดนให้เขมร...
ชาวบ้านและพระไทยจึงพิสูจน์ ประจานรัฐบาลลูกกรอกโกหก ปลิ้นปล้อน หลอกลวงประชาชน ให้รับรู้ว่าคนไทยมีรัฐบาลนำโดย'เฒ่าเลี้ยงแกะ'......

วันนี้ยังไม่ถึงเวลาพวกบัตรเติมเงิน'รู้ทัน'รัฐบาลลูกกรอกอีกหรือ........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 20-07-2008, 22:11
  'เขมร'ขู่หากเจรจากับไทยไม่ได้ผลส่ง'ศาลโลก'แน่ ปลัดกต.ซัด'กัมพูชา'ทำข้ามขั้นตอน 
 
 
     
ปลัด กต. ซัดกัมพูชาทำข้ามขั้นตอน นักวิชาการชี้ 'ฮุน เซน' ฉลาดในการดึงคะแนนนิยม อดีตทูตชี้ทำไม่ได้หากไทยไม่ยินยอม โฆษกกัมพูชาอ้างไม่ได้หวังให้สหประชาชาติเข้าแทรกแซง เชื่อสถานการณ์ไม่เลวร้ายแม้การเจรจาจะล้มเหลว โวยเหนือไทยทั้งการทูต-กม.


  'ปลัดบัวแก้ว' พร้อมแจงทุกเวที

ความคืบหน้ากรณีปราสาทพระวิหาร หลังถูกประกาศให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่กลับสร้างปัญหาบานปลาย แถวบริเวณพื้นที่ชายแดนของไทยกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่คนไทยทะเลาะกันเอง หรือความตึงเครียด ของทหารทั้ง 2 ประเทศ กระทั่งทางการกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา

 นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ว่า เป็นสิทธิของกัมพูชาที่จะยื่นหนังสือถึงยูเอ็น แต่ต้องดูในแง่ความเหมาะสม เพราะควรต้องหารือในกลไกทวิภาคีก่อน ถ้าการหารือสองประเทศไม่สำเร็จ ก็ไปสู่กลไกระดับภูมิภาคคืออาเซียน แต่ถ้าไม่สำเร็จอีกจึงค่อยไปถึงยูเอ็น แต่อันนี้กระโดดไปขั้นสามเลย

"ในแง่ของไทยซึ่งกำลังจะเป็นประธานอาเซียน เราไม่อยากให้ชื่อเสียงของอาเซียนถูกกระทบกระเทือนว่า ทำไมเรื่องแค่นี้หาทางออกไม่ได้ ไปโพนทะนาให้คนอื่นฟัง เรื่องนี้เราควรหาทางแก้ไขกันเอง ควรเจรจากันได้ภายใต้กลไกที่มีอยู่ แต่ไทยก็พร้อมจะชี้แจงในทุกเวทีที่เขาไปหยิบยก" นายวีระศักดิ์กล่าว

นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต  กล่าวว่า ตามปกติความขัดแย้งของ 2 ประเทศ ยูเอ็นจะไม่แทรกแซงหากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ยินยอม การที่เขมรไปร้องต่อยูเอ็น เพื่อให้เข้ามาดูแลความขัดแย้งจึงทำไม่ได้ เพราะไทยไม่ยินยอมและไม่เกิดประโยชน์อะไร โดยเชื่อว่ายูเอ็นจะไม่เข้ามาแทรกแซงการภายในของไทย เพราะตามหลักการแล้วความขัดแย้งระหว่างสองประเทศจะต้องให้ประเทศที่เกิดขึ้นพิพาทแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่การที่กัมพูชายื่นเรื่องไปยูเอ็นนี้เป็นไปเพื่อกดดันทางการไทยมากกว่า

 ชี้ 'ฮุน เซน' ได้คะแนนนิยมอื้อ

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  การส่งหนังสือถึงยูเอ็นถือเป็นความฉลาดของนายฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่เพิ่มอำนาจในการต่อรองกับไทยในเวทีจีบีซีที่จะมีขึ้น และได้คะแนนนิยมจากประชาชนมากทีเดียว จึงหวังว่า ผบ.สส.จะสามารถพลิกเกมการเจรจาให้มีทางออกและไทยไม่เสียเปรียบ และควรเปิดช่องทางการสื่อสารทางตรงระหว่างผู้นำกองทัพไทยกับผู้นำกองทัพกัมพูชาไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินที่อาจคาดไม่ถึง เช่น ทหารหนุ่มที่เลือดร้อนอาจจะเหนี่ยวไกโดยไม่มีคำสั่งจากผู้นำที่อาจเป็นชนวนเหตุให้เหตุการณ์บานปลายได้

"กัมพูชาใช้เวทีระหว่างประเทศกดดัน เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองและป้องกันความเสียเปรียบในการเจรจากับฝ่ายไทย เพราะโดยสภาพแล้วกัมพูชาถือว่า ความสามารถทางการทหารเสียเปรียบไทย ดังนั้นการช่วงชิงการนำในเวทีระหว่างประเทศจึงเป็นการช่วงชิงการนำและเพื่อนานาชาติเห็นใจ" นายปณิธานกล่าว

  'กองกำลังบูรพา' ประชุมรับมือ

ด้าน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา พร้อม พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่กว่า 30 นาย ที่กองกำลังบูรพา อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เพื่อกำหนดมาตรการป้องกัน และอารักขาการประชุมร่วมไทย-กัมพูชา ที่โรงแรมอินโดจีน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว วันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ใช้เวลาหารือกว่า 2 ชั่วโมง และไม่มีใครให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือ

นายอัมรินทร์ ยี่เฮง เลขาธิการองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชน จ.สระแก้ว และแกนนำพันธมิตรสระแก้ว กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรสระแก้ว หารือกันแล้วว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่จะส่งสารให้กำลังใจ พล.อ.บุญสร้าง ให้ทวงอธิปไตยของไทยกลับคืนมา เนื่องจากพื้นที่ส่วนหนึ่งบนเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งส่วนอื่นของประเทศไทยที่กัมพูชารุกล้ำด้วย

'เขมร' โวย 'ไทย' ขนปืนใหญ่ขู่

สำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า พลจัตวา เจีย เกียว ผู้บัญชาการทหารกัมพูชา เปิดเผยว่า การเจรจาของฝ่ายกัมพูชา-ไทย วันที่ 21 กรกฎาคมนี้ มีความหวังเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะรัฐบาลไทยได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาบอกว่าดินแดนที่ทหารไทยตั้งอยู่ในเวลานี้เป็นดินแดนของไทย และสถานการณ์ยังลุกลามกรณีทหารไทยเคลื่อนย้ายเอาปืนใหญ่มาประจำการไว้บริเวณจุดที่ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 1 กิโลเมตร ก่อนหน้าที่จะมีการเจรจากันดังกล่าว

"เราต้องตื่นตัวเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ย้ำคำสั่งกับทหารของเราอยู่ตลอดให้อดทนและเลี่ยงไม่ให้ถูกตำหนิได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นสงคราม" พลจัตวา เจีย เกียว กล่าว

 โฆษกกัมพูชา เผยส่งจ.ม.ร้องยูเอ็น2ฉบับ

 ด้านนายเขียว กันนะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชาออกมาแถลงยืนยันว่า ทางการกัมพูชาได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตถาวรของกัมพูชาประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จัดส่งจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับแรกส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น อีกฉบับส่งถึงประธานสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ทั้งนี้ เพื่อเรียกร้องให้ยูเอ็นให้ความสนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นายเขียว กันนะริด กล่าวกับเอพีว่า การส่งจดหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นการร้องขอให้ยูเอ็นเข้ามาแทรกแซงในกรณีนี้ เพราะทางการกัมพูชายังคงยึดมั่นอยู่กับคำสั่งของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ให้พยายามหาทางแก้ปัญหานี้ด้วยสันติวิธีอยู่ต่อไป

แต่ในขณะเดียวกัน นายเขียว กันนะริด กล่าวกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ว่า แม้การเจรจาที่จะมีขึ้นนี้ล้มเหลวลง สถานการณ์ก็คงไม่บานปลายออกไปมากมายอย่างที่หลายคนคาดคิด เพราะกรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะพิจารณาในเชิงของทางการทูตหรือในแง่มุมของกฎหมายแล้ว กัมพูชาสามารถเอาชนะไทยทั้งทางการทูตและทางกฎหมายได้อย่างแน่นอน

"ถ้าหากการเจรจาล้มเหลว เราจะยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) อีก" นายเขียว กันนะริด กล่าว
 
......................................................................................................................................
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=41678&catid=1



ลองศึกษาคำพูด ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่คิดว่าดินแดนบริเวณนั้นเป็นของประเทศของเขา....
และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่คิดว่าดินแดนบริเวณนั้นไม่ได้เป็นของประเทศของคนอื่น มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างใด.....

ถ้าหมัก เมถุน นายกฯไร้วุฒิภาวะอารมณ์ อดีต รมว. กต.ทนายเหล่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารเกี่ยวกับแผนที่ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศไทย และ แกนนำพรรค พปช. ที่เคยยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่เสียดินแดนให้เขมร แม้แต่หนึ่งตารางนิ้ว มีโอกาสให้สัมภาษณ์แก่สื่อฯไทยอีก จะยืนยัน เป็นพยานให้ฝ่ายเขมรอีกไหม..... :?:


ปล. พวกที่ได้รับ'บัตรเติมเงิน'จากนักธุรกิจการเมืองแม๊วๆ ในเวบเสรีไทยยังยืนว่าที่ดินบริเวณนั้นเป็นของเขมร ตราบที่ได้รับ'บัตรเติมเงิน'ต่อเนื่อง.....

คอยติดตามดูว่า ใครยังได้รับบัตรเติมเงิน ต่อเนื่อง.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 22-07-2008, 22:23
  'ฮุนเซน'รุกหมักยัน'วัดแก้วสิขเรศวร'เป็นของเขมร/'จีบีซี'เหลว!


22 กรกฎาคม 2551    กองบรรณาธิการ

"ฮุน เซน" รุกหนักทำหนังสือตอบ "หมัก" เพื่อนรัก ชูแผนที่ฝรั่งเศส-สนธิสัญญา 2450 ยืนกรานพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรเป็นของกัมพูชา กินแดนเกือบกิโลเมตร


อ้างศาลโลกตัดสินแล้ว ขณะที่  2 ฝ่ายเสริมกำลัง เขมรเอาจริงขนรถถัง 8 คันประชิดหันปากกระบอกมาฝั่งไทย ส่วนที่ประชุมร่วมล้มเหลว ถกนาน 8 ชั่วโมงติดข้อกฎหมายถือแผนที่คนละฉบับ "เตีย บัณห์" ยอมรับสุดวิสัยที่จะหาทางออกได้  ต่างฝ่ายยืนกรานไม่ถอนกำลังกลับ  อาเซียนติงกัมพูชาฟ้องยูเอ็น ไม่สบายใจที่ถูกทำให้กลายเป็นเวทีระหว่างประเทศ


การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา วาระพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมอินโดจีน  อำเภออรัญประเทศ  จังหวัดสระแก้ว  เพื่อเจรจาลดข้อพิพาทบริเวณเขาพระวิหาร ถูกจับตามองอย่างกว้างขวางจากประชาชนของทั้ง 2  ประเทศ  รวมทั้งนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน ที่ต้องการให้เรื่องนี้ยุติลงอย่างสันติ

การประชุมในครั้งนี้   พล.อ.บุญสร้าง  เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นตัวแทนฝ่ายไทย  โดยมี   พล.อ.เตีย   บัณห์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นประธานการประชุมฝ่ายกัมพูชา

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย  พล.อ.อนุพงษ์  เผ่าจินดา  ผบ.ทบ. พล.ต.ท.นิพนธ์   ศิริวงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล พล.อ.ทรงกิตติ  จักกาบาตร์  เสธ.ทหาร พล.ท.สุรพล  เผื่อนอัยกา  เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  พล.ท.นิพัทธ์  ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย  พล.ท.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  แม่ทัพภาคที่  1 พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่   2   นายพิษณุ สุวรรณชฏ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ นายทรงชัย   ชัยประดิยุทธ   ผู้แทนกองเขตแดน  กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายสุรพล ทัดพิทักษ์กุล ผู้ว่าราชการ จ.สระแก้ว

ทั้งนี้ รอบๆ โรงแรมอินโดจีนมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด   โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก  สภ.สระแก้ว   เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารบกจากกองกำลังบูรพา  และเจ้าหน้าที่ทหารพราน กรมทหารพรานที่  12-13 โดยมีรถจักรยานยนต์เคลื่อนที่เร็วและรถฮัมวีติดอาวุธปืนลาดตระเวนรักษาความสงบอย่างเข้มงวด

ทันทีที่  พล.อ.เตีย  บัณห์  เดินทางถึงโรงแรมเวลา 10.00 น. การหารือก็เปิดฉากขึ้นทันที  โดยเป็นการหารือส่วนตัวกับ พล.อ.บูญสร้าง  และคณะกรรมการฝ่ายไทยจำนวน   4   คน คือ พล.อ.อนุพงษ์ พล.ท.นิพัทธ์  พล.อ.ทรงกิตติ นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกัมพูชา 4 คน  คือ พล.อ.เนียง พาด รมช.กลาโหมกัมพูชา  นายลอง  วิสาโล  รมช.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ  นายวาร์  กิม  ฮอง รมว.อาวุโส/ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฝ่ายกัมพูชา  พล.อ.พอล  ซาเรือน  รอง ผบ.ทหารสูงสุด/เสนาธิการทหารแห่งชาติกองทัพกัมพูชา  จนกระทั่งเวลา 13.15 น . ที่ประชุมได้หยุดหารือชั่วคราวเพื่อมารับประทานอาหาร จากนั้นได้ประชุมต่อในเวลา 14.00 น.

 สำหรับบรรยากาศการหารือกันนอกรอบนั้น ในช่วงเช้าใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง และในช่วงบ่ายเริ่มประชุมเหลือฝ่ายละ  3  คน ประกอบด้วย พล.อ.บุญสร้าง พล.อ.อนุพงษ์ และนายวีรศักดิ์  ส่วนฝ่ายกัมพูชาคือ พล.อ.เตีย  บัณห์  พล.อ.เนียง พาด นายลอง วิสาโล ซึ่งทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อออกไปเพราะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด

รายงานข่าวแจ้งว่า   ในที่ประประชุมได้มีการหารือโดยได้เสนอในที่ประชุม  3  ประเด็น  คือ 1.ห้ามยิง 2.ห้ามเพิ่มกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย 3.ห้ามนำผลการประชุมไปเป็นประเด็นการเมือง

ขนอาวุธหนักประชิดชายแดน

ในขณะที่การเจรจาเป็นไปอย่างเข้มข้นนั้น    บริเวณชายแดนบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร  ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เส้นทางเข้าสู่เขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา  ยังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด  มีรถทหารสังกัดกรมทหารราบที่  23  พัน  4 บรรทุกกำลังทหารชุดลายพรางเต็มคันรถกว่า  12  คัน พร้อมลากปืนใหญ่อีกราว 3 กระบอกขึ้นไปยังบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร  ซึ่งเป็นการเข้าเสริมกำลังเพิ่มเติมที่เชิงเขาพระวิหาร  ร่วมกับทหารจากกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) จ.ร้อยเอ็ด,  กองกำลังทหารพรานของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่  23  และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่  26  จ.บุรีรัมย์  ที่ได้ทยอยมาตรึงกำลังอยู่ก่อนหน้านี้เต็มบริเวณพื้นที่เชิงเขาพระวิหาร ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์ฝ่ายกัมพูชาจับกุม 3 คนไทยไปและปล่อยตัวมา

ส่วนฝ่ายทหารกัมพูชามีความเคลื่อนไหวไม่แพ้กัน   มีการเสริมกำลัง   และนำเอาอาวุธหนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนอาร์พีจีเข้ามาตรึงกำลังบริเวณชายแดนเขาพระวิหาร เพิ่มเป็นจำนวนมากเช่นกัน

ยังมีรายงานแจ้งว่า  กัมพูชานำรถถัง  8 คันมาเตรียมพร้อมอยู่ที่บ้านโกมุย และบ้านสวายจรุม  หมู่บ้านชายแดนด้านหลังเขาพระวิหารฝั่งประเทศกัมพูชา  โดยหันปลายกระบอกปืนรถถังเข้ามายังผามออีแดง และบริเวณเชิงเขาพระวิหาร จุดที่ทหารไทยตรึงกำลังอยู่

ขณะที่การประชุมที่โรงแรมอินโดจีนยังไม่มีข้อยุตินั้น  อีกด้านหนึ่งที่ประเทศสิงคโปร์ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า  ที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนได้เรียกร้องให้ประเทศไทยกับกัมพูชาแสดงความอดกลั้นและความระมัดระวังอย่างถึงที่สุดต่อปัญหาการเผชิญหน้าที่แนวพรมแดนของประเทศทั้งสอง พร้อมกับเสนอที่จะยื่นมือเข้าช่วยหาทางออกต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

นายสุรินทร์   พิศสุวรรณ  เลขาธิการสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  หรืออาเซียน  เผยว่า   กัมพูชาได้ชี้แจงว่ากัมพูชาไม่ได้ร้องเรียนหรือขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้าแทรกแซงต่อปัญหาข้อพิพาทดินแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร  กัมพูชาเพียงแต่แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้คณะมนตรีความมั่นคงทราบเท่านั้น

นายลี  เซียน  ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ กล่าวว่า สถานการณ์ได้บานปลายออกไปอย่างน่าอันตราย   กองกำลังจากทั้งสองประเทศได้เผชิญหน้ากันในพื้นที่พิพาทใกล้กับปราสาทพระวิหาร  อาเซียนไม่สามารถนิ่งเฉยโดยไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือ  อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนได้รับคำยืนยันว่า   ไทยกับกัมพูชาจะใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันในเรื่องข้อพิพาทพรมแดน

อาเซียนติงกัมพูชา

ที่น่าสนใจคือนายฮัสซัน วิรายุดา  รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกัมพูชาที่ทำหนังสือไปถึงยูเอ็น  กลายเป็นประเด็นในเวทีระหว่างประเทศ  ทำให้อาเซียนรู้สึกไม่สบายใจ    และอาเซียนได้ออกแถลงการณ์ร่วม หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหาข้อยุติได้ในการเจรจาที่อรัญประเทศ

นายจอร์จ   เยียว   รมต.ต่างประเทศสิงคโปร์ ในฐานะประธานที่ประชุมฯ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า    อาเซียนขอให้ไทยและกัมพูชาใช้ความอดกลั้นและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างฉันมิตร    และหวังว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป  (GBC)  ไทย-กัมพูชา และการหารือในกรอบทวิภาคีอื่นๆ  ที่เกี่ยวข้องจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น  ทั้งนี้  อาเซียนพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกทางด้านต่างๆ  แก่ไทยและกัมพูชา หากทั้งสองฝ่ายต้องการ

นายธฤต  จรุงวัฒน์  อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศกัมพูชายื่นไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ  เป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ     โดยไม่ได้เรียกร้องให้ทำอะไร  ซึ่งเราก็ได้อธิบายกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ ไปแล้วในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม   ในทางปฏิบัติการระหว่างประเทศโดยทั่วไป ไม่เฉพาะแต่กรณีปราสาทพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น  หลายๆ ข้อพิพาทระหว่างประเทศก็ไม่ได้ถูกนำเข้าที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพราะมีกลไกในการเจรจากันทั้งในระดับทวิภาคีระหว่างประเทศคู่กรณี

การเจรจา   2 ฝ่ายไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา  ได้มีหนังสือลงวันที่ 19 กรกฎาคม ตอบจดหมายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีไทย  ซึ่งลงวันที่ 18 กรกฎาคม  โดยมีใจความสำคัญว่า พื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรนั้น  ตาม  "แผนที่ผนวก 1" ซึ่งศาลโลกได้ใช้ในการพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี   2505   ถือว่าตั้งอยู่ภายในดินแดนของกัมพูชาในระยะประมาณ 700  เมตรโดยชอบด้วยกฎหมาย  แผนที่ผนวก 1 ฉบับนี้ เขียนขึ้นเมื่อปี 2451 อันเป็นผลจากการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม   ซึ่งตั้งขึ้นตามข้อตกลงปี  2447 และสนธิสัญญาปี  2450  ระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม ซึ่งได้รับการยอมรับจากราชอาณาจักรสยาม

จดหมายจากผู้นำของกัมพูชาระบุด้วยว่า   ในคำวินิจฉัยของศาลโลกนั้น ศาลโลกได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งถึงความชอบด้วยกฎหมายของแนวเส้นเขตแดนตามแผนที่ผนวก   1 อย่างไรก็ดี ตนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า   ความพยายามร่วมกันของเราทั้งสองจะบรรลุถึงซึ่งทางออกที่น่าพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น

พลจัตวาเจีย   เกียว   ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร  เปิดเผยว่า คุน คิม  รองผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชาได้ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารในวันจันทร์ และได้บอกกับกำลังพลให้มีความอดทน และให้รัฐบาลเป็นผู้แก้ไขปัญหา

ทั้งนี้  คำพิพากษาของศาลโลกที่มีการรับรู้ในฝ่ายไทย    คือศาลโลกตัดสินเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา   แต่ไม่ได้ตัดสินเขตแดนระหว่าง  2  ประเทศ  อีกทั้งแผนที่ที่กัมพูชาใช้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็ไม่ได้ผนวกเอาพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิขเรศวรเข้าไปด้วย และไทยถือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย

 ยังมีรายงานว่าภาคเอกชนของกัมพูชาส่งอีเมล์กระจายไปถึงกลุ่มเอ็นจีโอทั้งในสหรัฐ  สหภาพยุโรป  ขอบริจาคอาหารและหยูกยาไปช่วยเหลือทหารเขมรที่ประจำการอยู่บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นการด่วน  ในอีเมล์มีการตีพิมพ์ภาพทหารเขมรที่ปราสาทพระวิหารด้วย

สรุปผลประชุมไร้ข้อตกลง

ที่โรงแรมอินโดจีน การประชุมย่อย 2 ฝ่ายได้เสร็จสิ้นลงในเวลา 18.30 น. หลังใช้เวลาหารือกันอย่างยาวนานถึง  8  ชั่วโมง ทำให้การประชุมใหญ่ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายที่เตรียมไว้ต้องยกเลิกไป  เนื่องจากเวลาไม่พอ   เพราะการประชุมจะต้องยุติก่อนเวลา 20.00 น. ที่จุดผ่านแดนจะปิด ทั้งนี้ สำหรับการแถลงข่าวร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย ได้ใช้ผลการประชุมส่วนตัวมาแถลงข่าวร่วมกัน

พล.อ.บุญสร้างแถลงข่าวถึงผลการประชุมว่า  การประชุมวันนี้เป็นเรื่องไม่ง่าย ดังนั้นการประชุมจริงยังไม่เกิด  มีแต่การประชุมวงเล็กด้วยบรรยากาศที่ดีตลอด  8  ชม  แต่ทั้งนี้ยังติดขัดในข้อกฎหมายที่มีปัญหา   จึงต้องให้หน่วยเหนือขึ้นไปตัดสินใจ  เราจะนำข้อเสนอแนะที่เหมาะสมให้รัฐบาลนำไปแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม   โดยทั้ง  2  ฝ่ายต้องนำผลไปรายงานรัฐบาลในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ที่เราทำได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายคือทั้ง  2 ฝ่ายจะไปสั่งการทหารที่เผชิญหน้าให้อยู่ในความสงบไม่ให้มีเหตุรุนแรง

ด้าน  พล.อ.เตีย  บัณห์ แถลงว่า การประชุมครั้งนี้เราพยายามทำเต็มที่ ขอย้ำว่าที่ พล.อ.บุญสร้างเรียนมาเป็นสิ่งที่เราทำมา  ทุกอย่างถือว่าเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าอย่างดี  แต่มาขัดต่อกฎหมายบางอย่างจึงทำให้การปฏิบัติเป็นรูปธรรมต้องเอาไว้ก่อน เพราะเรายังปฏิบัติไม่ได้ ตอนนี้จึงได้มาแค่นี้ สิ่งที่เราเข้าใจกันลึกซึ้งคือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ให้เกิดความรุนแรง   แต่สิ่งที่ลดอุณหภูมิแห่งความตึงเครียด   ขอเรียนว่ายังไม่มีการลดลง   เพราะอย่างที่ทราบคือที่ผ่านมามีอุณหภูมิขึ้นมา  ทำให้เราเป็นห่วง  เราจึงอยากลดอุณหภูมิคือการเผชิญหน้ากัน   แต่ถึงติดอยู่ที่ข้อกฎหมายทำให้ผลงานที่หารือกันก่อนที่ประชุมเป็นทางการ  ก็เลยยังเปิดไม่ได้ จึงหารือนอกรอบนี้ก่อนและนำเรื่องนี้ไปอีกสู่ระดับหนึ่ง เป็นสิ่งที่ได้ปฏิบัติมาในวันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อกฎหมายที่ติดขัดคืออะไร และจะมีการถอนทหารหรือไม่   พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ตอนนี้ไม่ทำอะไร  เพราะติดข้อกฎหมายซึ่งซับซ้อนมาก เราจึงนำนักกฎหมายของแต่ละคณะมา ส่วนข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคคงต้องไปถามนักกฎหมาย  ส่วนทหารจะถอนหรือไม่นั้นตอนนี้จะให้ตรึงกับที่ไว้ก่อน แต่อยู่ในความสงบไม่ให้เกิดความรุนแรง   การจะไม่ยิงกัน    และไม่มีการเสริมกำลังทั้งอยู่กับที่ไม่ให้ใช้ความรุนแรง และไม่มีการเสริมกำลังของทั้ง  2 ฝ่าย การหารือไม่ถือว่าล้มเหลว เพราะประชุมมา 8 ชม. ได้อะไรมาเยอะ แต่อาจจะไม่มีข้อสรุปให้รัฐบาล   แต่ตอนนี้ต่างคนต่างทราบว่าจุดยืนแต่ละฝ่ายมีอย่างไร  และสิ่งที่เป็นรูปธรรมในการเจรจาครั้งนื้คือให้ทุกคนอยู่ในความสงบ  และในที่ประชุมไม่ได้นำการที่สมเด็จฮุน เซน ส่งจดหมายไปที่ยูเอ็นมาหารือกัน   เพราะตอนนี้พยายามจะลดปัญหาการเผชิญหน้าเป็นหลัก ซึ่งเรายังพูดอะไรไม่ได้  ตั้งใจว่าจะประชุมอีกครั้งหลังจากแต่ละฝ่ายนำประเด็นไปสู่ระดับสูง ซึ่งอาจจะประชุมหลังเลือกตั้ง

พล.อ.เตีย  บัณห์ บอกว่า ตอนนี้ถือว่าสุดวิสัยที่เราจะหาทางออกได้ เราก็ต้องไปตามทางที่เราจะไปได้  การประชุมนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ส่วนปัญหาพื้นที่เรามีหน่วยงานที่ดูแลและต้องทำกันทั้ง 2 ฝ่ายว่าเป็นอย่างไรที่ทับซ้อนและไม่ทับซ้อนอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวทางเจ้าหน้าที่ได้ตัดบทผู้สื่อข่าวที่จะซักถามต่อ  โดยอ้างว่า พล.อ.เตีย บัณห์ จะต้องรีบเดินทางกลับก่อนที่ด่านจะปิด

จากนั้น  พล.อ.บุญสร้างให้สัมภาษณ์ถึงการติดขัดข้อกฎหมายว่า เราถือแผนที่คนละฉบับ เรื่องพื้นฐานก็มีแค่นั้น ส่วนจะเกี่ยวกับข้อกฎหมายอย่างไรต้องไปถามนายวีระชัย และการประชุมครั้งต่อไปจะเป็นเมื่อไหร่ยังไม่รู้   คงอีกสักระยะหนึ่ง  ซึ่งคณะกฎหมายคงประสานงานกัน ส่วนจะสามารถลงเอยกันได้หรือไม่  ถ้าลงเอยกันได้ก็มาประชุม แต่ถ้าลงเอยไม่ได้มาประชุมก็เสียเงินเปล่า

เมื่อถามว่าจะนำรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างไร ผบ.สส.ตอบว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ทำ เพราะเขาเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย   และเขาจะรู้รายละเอียดเยอะ  อย่าไปคิดว่าการประชุมล้มเหลว

ซักว่าที่ประชุมมีการเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาถอนตัวออกจากพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่   พล.อ.บุญสร้างตอบว่า ถ้าการประชุมไม่ลงเอยสิ่งเหล่านี้ก็ออกมาไม่ได้ การประชุมวันนี้เราจะทำเฉพาะในข้อเสนอแนะเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เสนอแนะจะนำไปสู่รัฐบาล แต่เมื่อกฎหมายไม่ลงตัวก็ยังทำอะไรต่อไม่ได้

พล.อ.บุญสร้างกล่าวถึงแนวโน้มการถอนทหารออกจากพื้นที่ว่า เราคงยอมไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับอธิปไตยและดินแดนของประเทศ   ขณะนี้ทหารเหนื่อยอยู่และวางกำลังอยู่  มานั่งเจรจาให้ถอนกำลังคงทำไม่ได้  หลังจากนี้จะร่างข้อเจรจาทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีและทีมงานได้พิจารณา  และจะมีการนัดหารือในระดับใดเมื่อไหร่ก็ดูว่าจะเป็นระดับกองทัพ รัฐบาลหรือจีบีซี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการหารือเมื่อเวลา  17.00 น. นายสมัคร  สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม  ได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถามผลการหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. โดย ผบ.ทบ.ได้รายงานผลแก่นายกฯ ประมาณ  15  นาที จากนั้น ผบ.ทบ.ได้เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 1  มาสั่งการถึงกรณีการตรึงกำลังทหารบริเวณแนวชายแดนที่มีปัญหา  โดยได้ย้ำถึงมาตรการให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ ทั้งนี้ ผบ.ทบ.มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ พล.อ.เตีย บัณห์ ได้โทรศัพท์ไปหาสมเด็จฮุน เซน ด้วย

พล.ท.นิพัทธ์  ทองเล็ก  เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เปิดเผยว่า ในการเจรจาได้เริ่มตั้งแต่จุดแรก แต่พอถึงข้อสุดท้ายปรากฏว่าไม่สามารถไปต่อได้ เพราะติดขัดข้อกฎหมาย  ทั้ง พล.อ.บุญสร้าง และ พล.อ.เตีย บัณห์ จึงโทรศัพท์ไปหานายกฯ 2 ฝ่าย และก็ให้รอการประชุมครั้งหน้าที่น่าจะมีขึ้นหลังวันเลือกตั้งกัมพูชา  อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถบอกได้ว่าข้อกฎหมายที่ติดขัดคืออะไร เอาเป็นว่าถ้าพูดกฎหมายนี้จะไปเกี่ยวถึงกฎหมายโน้น  มีผลต่อข้อนี้ ซึ่งมันก็เริ่มมาตั้งแต่เรื่องเอ็มโอยู

ที่พรรคประชาธิปัตย์   นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์   กล่าวว่า   แม้จะไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในกรณีปราสาทพระวิหารได้  แต่อย่างน้อยก็ทำให้ปัญหาถูกนำขึ้นสู่โต๊ะเจรจา และทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงและลุกลามต่อไป  ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จึงอยากเอาใจช่วยทุกฝ่ายที่ทำงานในเรื่องนี้ และต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี

"ขณะนี้มีการตรึงกำลังทั้ง 2 ฝ่าย  เป็นไปอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเตือน   ว่าหากกรรมการมรดกโลกไปอนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว  ก็จะมีคนเข้าไปในพื้นที่แน่นอน การบริหารจัดการก็จะเกิดการโต้แย้ง ที่ผมเสนอก็อยากให้ทุกอย่างอยู่บนโต๊ะเจรจา โดยยึดหลักว่าพื้นที่ตรงนั้นยังไม่มีการปักปันเขตแดน  และไม่ควรมีใครไปทำอะไรส่งผลกระทบกับพื้นที่นั้น  และการจัดการร่วมกันก็ต้องไม่กระทบสิทธิ์ซึ่งกันและกัน"

ไม่ยอมรับแถลงการณ์ร่วม

ถามว่า  ขณะนี้กัมพูชาเดินหน้ามากกว่าการเจรจาในระดับทวิภาคี แต่มีการร้องเรียนไปยังองค์การสหประชาชาติด้วย  กระทรวงการต่างประเทศควรดำเนินการอย่างไร  นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไทยควรเดินหน้าในเชิงรุกอย่างที่ตนเคยเสนอไปตั้งแต่ต้นว่า   ไทยไม่ยอมรับในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว   และต้องทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลก  โดยไม่ควรเพิกเฉยในเรื่องนี้  เพราะมีหลายประเทศที่สนใจในเรื่องเหล่านี้อยู่   จึงต้องทำความเข้าใจในมุมของเราด้วย  เพราะกัมพูชาเดินหน้าในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

"ให้ชาวโลกทราบว่าไม่มีใครรังแกใคร   แต่เป็นเรื่องสิทธิและมีการโต้แย้งกันอยู่   ซึ่งเราสามารถพูดคุยและตกลงกันได้ในฐานะเพื่อนบ้านกัน   การประชุมอาเซียนไทยก็ต้องแสดงท่าทีว่าเราไม่มีเจตนาละเมิดสิทธิ์ใคร  เพียงแต่ไทยต้องรักษาสิทธิ์ของตัวเอง และสนับสนุนแนวทางสันติวิธีเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งเจรจากัน และถ้ามีโอกาสต้องแสดงข้อคิดเห็นกันว่าตั้งแต่ต้นทำไมเราจึงคิดว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของเรา และทำไมจึงมีการเสนอให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน จะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอัษฎา   ชัยนาม   อดีตเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เชื่อว่าไม่มีการเผชิญหน้าเด็ดขาด  น่าจะทำความเข้าใจกันได้  ส่วนเรื่องเขตแดนที่ยังไม่มีการตกลงกัน ร้องขอว่าอย่าเข้าไปยุ่ง ขอให้เจ้าหน้าที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนดำเนินการจะได้ลดความขัดแย้งในเรื่องนี้ลง

ส่วนที่นายสมัครออกมาตำหนิคนไทย   3  คนว่าเป็นคนบ้านั้น  ดูแล้วไม่เหมาะสมนักในฐานะนายกรัฐมนตรี  อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เป็นปัญหาก่อนหน้านี้คือ  การยอมรับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่กรุงปารีสนั้น  ถือเป็นข้อผิดพลาดทางการทูตของนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

เขายังมองว่าการที่กัมพูชาทำหนังสือถึงยูเอ็น  แสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ แต่ถือว่าเขาใช้วิธีการแจ้งก่อน  ส่วนยูเอ็นจะเข้ามาประสานรอยร้าวกับข้อพิพาทนี้หรือไม่นั้น  ตนมองว่าคงไม่แน่ เพราะนายฮุน เซน  ให้ทูตทำหนังสือแจ้งสมัชชาใหญ่ที่มีสมาชิก 190 ประเทศ คล้ายกับสภาเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเฉยๆ   ทำเหมือนหนังสือเวียน   ในกรณีนี้ไม่น่าหนักใจ แต่เป็นเหมือนการประจานประเทศไทยของเรา   เพื่อเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกประณามไทย  เหมือนกรณีที่เวียดนามบุกเขมร 

สำหรับการหารือที่โรงแรมอินโดจีน   กลุ่มธรรมยาตราหรือกลุ่มคณะกรรมการแห่งชาติกอบกู้รักษาอธิปไตยของชาติด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย จำนวน   7   คน  นำโดยนายสมาน  ศรีงาม เลขาธิการกลุ่ม  ได้มายื่นหนังสือเรียกร้อง  4  ข้อให้กับ พล.อ.บุญสร้าง โดยมี พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2/ผบ.กกล.บูรพา  เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว สำหรับข้อเรียกร้องคือ 1.ให้รุกกลับทางการเมือง  2.รุกทางกฎหมายระหว่างประเทศ   โดยยึดถืออนุสัญญากรุงโตเกียว ค.ศ.1941 เพราะสนธิสัญญาสยาม  ฝรั่งเศส ค.ศ.1904-1907 ถูกยกเลิกไปแล้วและข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสเป็นโมฆะ และคำตัดสินของศาลโลกต้องเป็นโมฆะ 3.การรุกทางทหาร 4.การรุกด้วยการเจรจา เป็นการเจรจาไปรุกไป.

อ่านข่าวย้อนหลัง

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=22/Jul/2551&news_id=161383&cat_id=501



นายกฯไร้วุฒิภาวะอารมณ์และอดีตรมว.กต.ทนายหน้าหอของนักธุรกิจการเมืองแม๊วๆ เคยยืนว่า เขมรต้องการปราสาทเขาวิหารเท่านั้น ส่วนดินแดนรอบข้างไม่เกี่ยว....

สองแกนนำพรรคพลังประชาชนยืนยันกับคนไทยว่าจะไม่ให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่หนึ่งตารางนิ้ว  วันนี้ประชาชน พวกเราได้รับรู้ว่าสองแกนนำพรรคพลังประชาชน โกหกพกลมอย่างไร้ยางอาย ตลบแตลง ปลิ้นปล้อน พูดดำเป็นขาว มาตลอด.....



'ฮุนเซน'รุกหมักยัน'วัดแก้วสิขเรศวร'เป็นของเขมร!


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: อิรวันชาห์ IrWanSyah ที่ 22-07-2008, 22:30
อ้างถึง
'มะแอ ไม่ถึงสองหมื่น'


เอ้า....ต่อให้อีกห้าพันก็ได้ เพราะวันนั้น CNN บอกว่า MOB กุ๊ยข้างถนนมีไม่เกิน 25,000  
   :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_smile2: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: ผมได้ยินมาจริงๆว่า พล.ต.เจีย เคียว อ้างพื้นที่ทับซ้อนเป็นดินแดนกัมพูชา.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 22-07-2008, 22:54
  ฝ่าเปลวไฟ สุนันท์ ศรีจันทรา


22 กรกฎาคม 2551    กองบรรณาธิการ

  ไส้ศึกเขมร


  พื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกับพูชาขึ้นแล้ว โดยไม่อาจประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะลุกลามบานปลายไปอย่างไร

ปัญหาเขาพระวิหารกำลังปลุกให้คนไทยทั้งประเทศตื่นตัว กำลังทำให้คนไทยหันมาสนใจค้นหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  และตั้งคำถามว่า  รัฐบาลนายสมัคร  สุนทรเวช ไปทำอะไรไว้หรือไม่ จนเขมรเหิมเกริม รุกคืบที่จะครอบครองพื้นที่ทับซ้อน 4.3 ตารางกิโลเมตรอย่างหน้าตาเฉย

ปัญหาเขาพระวิหารถูกขุดคุ้ยขึ้นมาหลายเดือนแล้ว  โดยเริ่มต้นจากกระแสข่าวความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเข้าไปพัฒนาเกาะกง สำรวจก๊าซและน้ำมันในกัมพูชา

แต่ความเคลื่อนไหวการเจรจาเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ในกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเปิดโปงขึ้น เมื่อมีข่าวการทำข้อตกลงเซ็นแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา  เพื่อเสนอขอนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก  และมีกระแสข่าวว่าการเซ็นแถลงการณ์ร่วม โดยนายนพดล  ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเงื่อนไขในการขอสัมปทานธุรกิจในเขมร

รัฐบาลนายสมัครพยายามบิดเบือน  เบี่ยงเบนประเด็นเขาพระวิหารมาตลอด  โดยยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่สูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว

นายสมัครยืนกระต่ายขาเดียวว่า  เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชามากกว่า  46  ปีแล้ว ตามคำตัดสินของศาลโลก และยืนกรานว่าไทยจะไม่สูญเสียอธิปไตยจากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือ ทหารเขมรได้ยึดครองพื้นที่ทับซ้อนไปแล้ว และอ้างว่าเป็นดินแดนของเขมร


กลุ่มประชาชนที่มีความเป็นห่วงอธิปไตยของประเทศไทย  ห่วงดินแดนที่จะเสียไป  และออกมาเคลื่อนไหวเปิดโปงผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มนักการเมืองในการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา

กลุ่มประชาชนที่ต่อต้านการออกแถลงการณ์ร่วมฯ  และเคลื่อนไหวประท้วงการลุกล้ำดินแดนของฝ่ายเขมร  รวมทั้ง  3 คนไทยที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน และถูกทหารเขมรควบคุมตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน ถูกนายสมัครและนักการเมืองพรรคพลังประชาชนโจมตีว่า

เป็นผู้ที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง  3  คนไทย ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อปกป้องดินแดงประเทศไทย ถูกนายสมัครด่ากราดว่าเป็นไอ้บ้าไอ้บอที่จะก่อชนวนสงคราม

แต่ย้อนเวลาช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  ถ้าไม่มีคนไทยที่หวงแหนแผ่นดิน  นำข้อมูลการออกแถลงการณ์ร่วมขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของคนไทยที่ขายชาติมาเปิดโปง  ถ้าสื่อมวลชนไม่ตีแผ่ข้อเท็จจริง  และถ้าไม่มีกลุ่มประชาชนที่ลุกฮือขึ้นมาปกป้องอธิปไตยของไทยแล้ว

ใครจะบอกได้ว่า  สถานการณ์เขาพระวิหารเป็นอย่างไร ใครจะบอกได้หรือไม่ว่า กองทัพไทยจะตื่นตัวลุกขึ้นมาปกป้องอธิปไตยของชาติหรือไม่

และใครจะบอกได้ว่า  นายสมัครจะทำเป็นกระ***นกระหือรือ  ทำท่าจะเป็นคนรักชาติกับเขาขึ้นมา โดยยื่นหนังสือถือนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีเขมร แจ้งว่าทหารเขมรลุกล้ำเขตแดนไทยหรือไม่

วันนี้คนไทยส่วนใหญ่หูตาสว่างขึ้นแล้ว  รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร  และเชื่อแล้วว่าการออกแถลงการณ์ร่วมขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น รัฐบาลนายสมัครมีลับลมคมใน

แม้ว่านายสมัครจะทำเป็นกระ***นกระหือรือรักชาติ  และกลับลำมายอมรับว่าเขมรกำลังรุกล้ำเพื่อครอบครองแผ่นดินไทย แต่จะไว้ใจอะไรกับรัฐบาลนายสมัครได้

จะเชื่อใจได้อย่างไรว่า  นายสมัครจะต่อสู้เพื่อทวงดินแดนคืนอย่างจริงจัง  และจะเชื่อความสามารถในการแก้ปัญหาเขาพระวิหารของรัฐบาลนายสมัครได้หรือ  ในเมื่อขณะนี้ยุทธศาสตร์ทางการต่อสู้และการทูตของไทยเป็นรองเขมรอยู่หลายขุม

เขมรยื่นคำร้ององค์กรสหประชาชาติไปแล้วว่าไทยลุกล้ำดินแดน  แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่รู้หายหัวไปไหน และแทบไม่มีบทบาทใดเลยในยามที่ประเทศต้องแสดงบทบาทต่อนานาประเทศ

พื้นที่ทับซ้อนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารถูกเขมรครอบครองไปแล้ว  โดยไม่รู้ว่าจะทวงคืนกลับมาได้หรือไม่  เพราะการต่อสู้ทวงคืนอธิปไตยของไทยเป็นไปอย่างไร้เอกภาพ แตกต่างจากเขมรซึ่งประชาชนและรัฐบาลพูดจาภาษาเดียวกัน มีเจตนารมณ์เดียวกันเพื่อยึดเขาพระวิหาร

แต่รัฐบาลนายสมัครกับประชาชนกลับพูดจาคนละภาษา  และมีระดับความรักชาติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ประชาชนยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ  แต่รัฐบาลนายสมัครกลับด่ากราดกลุ่มประชาชนที่พยายามต่อสู้ปกป้องเขาพระวิหาร

ถ้าต้องสูญเสียดินแดนเขาพระวิหารไป  ประเทศไทยยามนี้คงไม่แตกต่างจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยมีคนไทยที่เป็น "ไส้ศึก" ให้เขมร.

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=22/Jul/2551&news_id=161377&cat_id=600


ประชาชนยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ  แต่รัฐบาลนายสมัครกลับด่ากราดกลุ่มประชาชนที่พยายามต่อสู้ปกป้องเขาพระวิหาร

ถ้าต้องสูญเสียดินแดนเขาพระวิหารไป  ประเทศไทยยามนี้คงไม่แตกต่างจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยมีคนไทยที่เป็น "ไส้ศึก" ให้เขมร.


ถ้าประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนเขาพระวิหารตลอดไป ประชาชนต้องจดจำไว้ว่านายสมัคร นายกฯนอมินี อดีตรมว.กต.นพดล และนักธุรกิจการเมืองแม๊วๆ  เป็นผู้จัดการยกดินแดนให้เขมร เพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจที่พวกเขาจะได้รับร่วมกันเป็นการส่วนตัว....!!!