ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ป้าเสลาได้รับทราบข่าวจากรายการของคุณสรยุทธเช้าวันนี้
ทำให้ตกใจจนต้องรีบหารายละเอียดมาดู

พบข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 วันนี้มีใจความว่า

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า
ได้รับทราบข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศว่า
คนไทยในญี่ปุ่นได้ร้องเรียนว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับการนวดแผนโบราณไทย โดยโฆษณาผ่านเว็บไซต์ www.http:/home.att.ne.jp/blue/xone ระบุว่า
นายมาซากิ ฟุรุยะ ได้จดลิขสิทธิ์ คำว่า "ฤๅษีดัดตน"
ในรูปของเครื่องหมายการค้าและชื่อบริษัท ในชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ฤๅษีดัดตน จำกัด
ไว้กับหน่วยงานการจดลิขสิทธิ์ของญี่ปุ่น คือ "Japan Patent Office"
หรือ JPO ไว้เรียบร้อยแล้ว
โดยระบุว่า หากใครนำคำว่าฤๅษีดัดตนไปใช้ จะมีความผิดตามกฎหมาย

นายอนุทินกล่าวว่า โดยนายฟุรุยะได้ระบุในเว็บไซต์
ถึงวัตถุประสงค์ของการจดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าครั้งนี้ว่า
เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการค้า และใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทฤๅษีดัดตน
รวมถึงเอกสารต่างๆ ด้วย
ซึ่งหากการจดลิขสิทธิ์มีผลในทางกฎหมาย
ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของภูมิปัญญาฤๅษีดัดตน
จะไม่สามารถใช้คำนี้ในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเรียนการสอนเรื่องฤๅษีดัดตนด้วย
ตนในฐานะรมช.สาธารณสุข คงยอมไม่ได้
ได้สั่งการให้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนการดำเนินการคัดค้านการจดลิขสิทธิ์ดังกล่าว
ส่งให้กับกระทรวงการต่างประเทศอย่างเต็มที่แล้ว

ด้านพ.ญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย
และการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วรู้สึกตกใจมาก
เพราะฤๅษีดัดตนเป็นภูมิปัญญาไทย ชาติไหนๆ ก็ไม่สามารถนำไปจดลิขสิทธิ์ได้
โดยเฉพาะคำว่าฤๅษีดัดตนนั้น ถือเป็นคำสามัญที่คนไทยใช้กันอย่างแพร่หลาย
และเป็นความรู้ที่มีหลักฐานปรากฏชัดว่า เป็นของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2331
ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1
โปรดให้มีการปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม ปัจจุบันคือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
โดยโปรดให้รวบรวมตำรายาและปั้นท่าฤๅษีดัดตนไว้
รวมทั้งฤๅษีดัดตนยังเป็นศิลปะการรักษาโรคแขนงหนึ่ง
ไม่ใช่แค่กายบริหาร เป็นศาสตร์การรักษาโรค ที่ใครจะมาจดลิขสิทธิ์ไปไม่ได้
ไม่อย่างนั้น ไทยเราก็คงจะจดลิขสิทธิ์คำว่า โยคะ หรือนวดไชอัตสึ ของญี่ปุ่นได้เหมือนกัน

"ดิฉันตกใจมากที่รู้ว่าญี่ปุ่นจะจดลิขสิทธิ์ของเราอีกแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ สมุนไพรหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น กวาวเครือ ตะไคร้ เปล้าน้อย
ก็ถูกญี่ปุ่นจดลิขสิทธิ์ไปหมดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้
อีกหน่อยแม้แต่หมอนวดแผนไทยก็จะไม่สามารถเรียนฤๅษีดัดตนได้
เพราะการเรียนถือเป็นการเทรนนิ่งแบบหนึ่ง
ซึ่งญี่ปุ่นยื่นขอจดลิขสิทธิ์ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน"  พ.ญ.เพ็ญนภา กล่าว

พ.ญ.เพ็ญนภากล่าวว่า จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้กระทรวงการต่างประเทศ
ใช้ในการต่อสู้เพื่อทักท้วงและคัดค้านการจดลิขสิทธิ์ดังกล่าว
เพราะทราบว่าในวันที่ 26 พ.ค.นี้ บริษัทจะแจกแจงรายละเอียดทางเว็บไซต์ด้วยว่า
จดลิขสิทธิ์สำหรับตราสินค้าประเภทใดบ้าง และถึงแม้การจดลิขสิทธิ์จะมีผลไปแล้ว
ตนก็จะส่งข้อมูลให้กระทรวงการต่างประเทศ นำไปยื่นขอเพิกถอนการจดดังกล่าวด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงโตเกียว
ได้ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานทูต
และมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ดังกล่าว รวมทั้งสอบถามไปยัง JPO ของญี่ปุ่น
ได้ทราบว่า ทาง JPO ได้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของบริษัทดังกล่าว
ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.2548 แต่มีการเลือกที่จะไม่อนุญาตในสินค้าบางตัว
เช่น น้ำมันนวด รวมทั้งการจัดสัมมนา อบรมของบริษัทดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทราบว่า ทางบริษัทได้พยายามยื่นขอจดลิขสิทธิ์การค้า
ในชื่อของฤๅษีดัดตนมาตั้งแต่เดือนพ.ย.2548
และระหว่างนั้นได้โฆษณาข้อความทางเว็บไซต์ ที่ค่อนข้างคลุมเครือ
แต่ทำให้เชื่อว่าบริษัทเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คำว่า ฤๅษีดัดตน โดยถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ นายฟุรุยะยังได้จดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า
และชื่อบริษัทในชื่อของฤๅษีดัดตน เป็นทั้งภาษาอังกฤษ และอักษรคาตากานะ
ซึ่งถ้ามีผลจริงจะทำให้ไทยหมดสิทธิ์ในการใช้คำว่าฤๅษีดัดตนในกิจการต่างๆทันที
ทั้งนี้ นายฟุรุยะระบุว่า ได้รับอนุญาตให้จดสิทธิบัตรฤๅษีดัดตน
จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งเปิดสอนวิชาฤๅษีดัดตน
และมีตำราฤๅษีดัดตนที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย

สำหรับรายละเอียดของ"ฤาษีดัดตน"
มีภาพประกอบให้ชมจากhttp://www.thaifolk.com/image/watpho/more1/watpo_album2.htm (http://www.thaifolk.com/image/watpho/more1/watpo_album2.htm)

*************


ฝึกเรียน ท่าบริหารแบบฤาษีดัดตน


พิสูจน์แล้วว่า เป็นภูมิปัญญา ไท้...ไทย.. สอนการจัดระเบียบร่างกายที่เรียกว่า "ท่าฤาษีดัดตน"
สามารถใช้ช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ให้ปวดเมื่อย หรือใช้คลายกล้ามเนื้อ เพราะการปวดเมื่อยเล็กน้อยนั้น

- ใช้วิธีนวดตัวเองก็ได้ เส้นสายดี ไม่มีตึง เลือด-ลมเดินคล่อง ไหลเวียนดี ก็จะทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง
- เรียนแล้วได้ประโยชน์ทุกคน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง.. หมอนวดก็ยิ่งควรเรียนรู้ไว้ใช้เพื่อตัวเอง
- หลังเลิกเรียนแล้ว ใช้ "ท่าฤาษีดัดตน" ปฏิบัติทุกเช้าวันละเพียง 10 นาทีหลังตื่นนอน ก็จะช่วยให้ การขับถ่ายเป็นปกติ(ร่วมกับการดื่มน้ำอุ่นสัก 2-4 แก้ว หรือเท่ากับ 500-1000 ซีซี ก็จะยิ่งได้ผลดีมาก)

จากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจประจำวัน ท่านยังสามารถใช้ "ท่านวดตัวเอง"
เพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนนอน เมื่อตื่นนอนในวันต่อไป จะได้รู้สึกสมองแจ่มใส
ไม่เป็นตะคริว หรือเกิดอาการตกหมอน เพราะเลือดและลมของท่าน
ไหลเวียนดี กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เส้นตีไม่มีตึง...นั่นเอง

(ข้อมูลบางส่วนจาก http://www.thaimassagebangkok.com/ruasee.htm
ซึ่งเป็นการเสนอคอร์สฝึกอบรมการนวดดังกล่าวของ
"ศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทย บ้านสิริ สมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย")

หากเป็นเรื่องนี้ ต่อให้คัดค้านไม่ทัน ก็สามารถร้องศาลได้ครับ

โดยหลักการแล้ว สิ่งใดที่สามารถหาที่มาได้ว่าที่จริง ผู้คิดค้นเป็นใคร  ศาลก็จะสั่งเพิกถอนคำจดทะเบียนนั้นเสีย

กรณีแบบนี้ หากกระทรวงต่างประเทศ เป็นงาน ก็จะคัดค้านขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนได้ และก็ขอนำส่งหลักฐานต่อไป


ทุกชาติทุกภาษาต้องมีคนเห็นแก่ได้แบบนี้อยู่ครับ  เรื่องกฏหมายลิชสิทธินยี่ มันเป็นดาบสองคม  อีกประการคือ มันเกิดมาจากการหาผลประโยชน์จากฝรั่ง    โดยเฉพาะคนที่ชอบหากินกะการแอบไปจดลิขสิทธิ หรือ สิทธิบัตรของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตน


ยังมีอีกมากครับ ที่ถูกจดลิขสิทธิไปโดยที่เราไม่ทราบ 

การแออบอ้างจดในประเทศต่างๆนั้น    ทางสหประชาชาติรู้ปัญหาดี  กำลังมีการหาทางออกอยู่ เท่าที่ทราบคือ ทุกประเทศ ต่อไปจะมีองค์กรสากลของแต่ละประเทศดูแลในเรื่องนี้ และศูนย์ใหญ่จะอยู่ที่ ยูเอ็น

เมื่อมีผู้ร้องขอจดสิขสิทธิ ที่ใดก็ตาม  จะมีการส่งข้อมูลให้ทุกประเทศสมาชิก  ตรวจสอบก่อน

นี่อาจเป็นทางป้องกันได้ทางหนึ่ง ครับ

ผมจำเนื้อหาของกฏหมายลิขสิทธิ์,สิทธิบัตร ไม่ได้ทั้งหมด
แต่ไม่ชอบมากๆ เรื่องที่ว่า...
สิ่งไหน ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ หรือ สืบเนื่องกันมา หรือ
มีลักษณะที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน นั้น จดทะเบียนไม่ได้  
ไม่แน่ใจว่า เข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ.....
และครั้งหนึ่ง มีโอกาส ได้ตามเจ้านายไปบรรยายสรุปงานให้ ครม. ฟัง
และนำเรื่องที่ USA เอา ข้าวหอมมะลิ ไปจดทะเบียน..... สมัยทักษิณ 1
ทั้ง ครม. ทำเหมือนกับว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา ยอมรับการกระทำอย่างนั้น...

เมืองไทยมีแต่ของดีๆ คนอื่นเขาก็อยากได้

แต่คนไทยกลับเอาของเน่าๆ ของคนอื่นมาใช้

สังคมมันถึง สังฆัง อย่างนี้ไงครับ

สงสัยว่าทำไมของดีๆของเราเราไม่ไปชิงจดไว้ก่อนล่ะครับ??

ในกรณีนี้ผมก็ขอพูดแรงๆ เลยว่า
ถ้าสิ่งใดที่เป็นภูมิปัญญาหรือทรัพยากรที่อยู่ในประเทศใด
"เจ้าของประเทศควรมีสิทธิเหนือสิ่งนั้น"
ประเทศอื่นก็ไม่มีสิทธิมาจดทะเบียน
ไม่อยากให้ว่าไปทำสัญญาอะไรก็แล้วแต่กับต่างชาติ
เอาผลประโยชน์ของ "คนบางกลุ่ม"   ไปแลกกับประโยชน์ของพี่น้องส่วนมากในประเทศ
หรือมาริดรอนสิทธิบางประการของคนไทย 

ไอ้กฏหมายที่ไม่จดลิขสิทธิให้กับสิ่งที่ไม่แปลกใหม่ "ไม่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ"
ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาที่สืบสานกันมานาน ทุกคนทำอยู่ใช้อยู่
แต่ถ้านำไปเปลี่ยนแปลงยีนต์หรือขั้นตอนเล็กน้อย
แบบต่างชาตินำมาทำกับคนไทยสามารถจดลิขสิทธิ์ได้

กฏหมายเกี่ยวกับการจดลิขสิทธิ์มีมา"ทำไม" "เพื่อใคร" เพียงเพื่อช่วยให้คนมีอำนาจ
หรือเงินมากกว่าได้ประโยชน์  "ของในบ้านตัวเอง ตัวเองไม่มีสิทธิ์ใช้"
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรครับ !! 

 ขอที่อยุ่ มาซากิ ฟุรุยะ  หน่อยค่ะ เบอร์โทรก็ค่ะ

นู๋จาไป ทำไรดี อิอิ ((((((((((())))))))))))))))

เราก็เปลี่ยนมาใช้คำว่าฤาษีดัดตัวแทนซะก็สิ้นเรื่อง -*- ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับถ้านี่เป็นเหตุการณ์แรก แต่อย่าลืมว่ายังมีกรณีข้าวหอมมะลิที่ไทยโดน usa ชิงตัดหน้าจดลิขสิทธ์ซะก่อน เอ๊ะเดี๋ยว จะเรียกว่าชิงตัดหน้าก็ไม่ได้หรอก คนไทยไม่สนใจเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาแต่แรก แต่พอโดนเขาเอาไปก็มาโวย

**แล้วยังมีกรณี ยาสมุนไพรอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ไทยใช้รักษาตัวเอง และพอต่างชาติรู้สูตรก็เอาไปจดเป็นยาของตัวเอง


ไม่รู้สิครับ ไทยก็โดนอย่างนี้มาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว น่าจะชินได้แล้วนะ โทษใครไม่ได้หรอก  :!: :!:

ยุ่นทำมาหลายครั้งแล้ว ทั้งยา ทั้งพันธ์พืช เท่าที่จำได้มียาหลายตัว
ที่เข้ามาศึกษาและวิจัย พอได้ ก็จดทั้งยาและพันธ์พืชนั้น

มีอะไรก็ต้องจดก็ต้องจด ใครจะไปจดไหว สมุด หนังสือ แยะเล่มแบบปัจจุบัน เอาไปจดลิขสิทธ์ ได้ป่ะ

ต้นมะม่วงเอาไปจดลิขสิทธิ์ ห้ามประเทศอื่นปลูก  เฮ้อ

ผมว่ามันเป็นดาบสองคมอย่างมาก กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนต้นคิด คนที่ไปจด คนที่มีความรู้ ไปจดก่อน ก็ได้ เปรียบวันยังค่ำ

ลิขสิทธ์เนี๊ยะผมว่าน่าจะเขียนให้ครอบคลุมมากกว่านี้ นะครับ ไม่ใช่ มีไรก็จดกันให้หมด จะทำอะไรก็ไม่ได้ แล้ว