ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สโมสรริมน้ำ => ข้อความที่เริ่มโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 09:24



หัวข้อ: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 09:24
เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น  พร้อมๆกับ ไอ้โตที่ซอยเท้ายิกๆวิ่งข้ามถนนจาก โรงพยาบาลสงฆ์ ฝั่งตรงข้ามอย่ารวดเร็ว โดยไม่สนใจว่า รถที่วิ่งไปมานั้นจะเบรกตัวโก่ง หรือมันจะโดนชน

แต่แล้ว ไอ้โต ก็ต้องเบรกโก่งสุดตัวเมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน เพราะ ครูปกครองท่านหนึ่งยื่นไม้เรียวขวางมันก่อนจะวิ่งเข้าไปในโรงเรียนให้ทัน

"ผมยาว  กางเกงผิดระเบียบ เข็มขัดผิดระเบียบ รองเท้าผิดระเบียบ  เสื้อไม่ปัก .แล้วนี่มาเรียนยังไง มีสมุดเล่มเดียว?"    ครูปกครองถามไอ้โตเสียงเข้มทีเดียว


ไอ้โตเงียบ แต่ไม่ก้มหน้า  มันมองมาหาผมที่เดินเอ้อระเหยอยู่ด้านใน ยิ้มแบบเยาะๆมันอยู่ในที

อย่างไม่คาดคิด ไอ้โต มันชี้มาทางผมแล้วเอ่ยกับ ครูปกครองว่า

"ครู ครับ  นายคนนั้น มันก็ ผมยาว กุงเกงก็ผิดระเบียบ เข็มขัดก็ผิด รองเท้าก็ผิด  เสื้อก็ผิด แถมมันยังยิ้มเยาะผมและเดินอยู่ในโรงเรียนได้เลย"

ครูปกครอง หันตามมันมามองที่ผมแล้วก็เอาไม้เรียวนั่นแหละ กวักเรียกผมเข้าไป

ซวยจนได้  ไอ้ห่าโต  ผมคิดในใจ  ขณะที่สาวเท้าช้าๆ เดินไปหาครูปกครอง

"ทั้งสองคน ไปยืนรอที่ศาลพระภูมิโรงเรียนตรงโน้นแหละ  รอครูตรงนั้น"

               
                   เช้าวันนั้น ผมกับไอ้โต ยืนตากแดดหัวแดงตรงศาลพระภูมิ และแหกปากตะโกนว่า

"ผมแต่งตัวผิดระเบียบ ผมเป็นคนนอกคอก " ตั้งแต่ แปดโมงกว่า จนพักเที่ยง 

เราสองคนโดนวิดพื้นเพิ่มอีกเบ็ดเสร็จแล้วคนละประมาณ 60 ที เนื่องเพราะ พอเสียงของเราค่อยลงไป ไม่ได้ยินถึงห้องพักครูปกครองที่อยู่ไกลถึงชั้นสองของกองกลาง  ก็จะมีคนเดินลงมาบอกว่า ให้วิดพื้นครั้งละ ยี่สิบ โทษฐานเสียงเบา ทำให้แกไม่ได้ยินที่ผมสองคนตะโกน


///***///   สมัยนั้น ไม่รู้เป็นไง  พวกเราชอบแต่งกายผิดระเบียบ จะว่ามันเป็นแฟชั่น ก็น่าจะใช่ หากเป็นสมัยนี้ เขาคงเรียกว่าเป็นเด็กแนว นั่นแหละ  แหกมันไปซะทุกเรื่อง ตามใจในสไตล์ของตนเองที่พอใจ

ผมกับไอ้โต  เดิมทีเดียวเป็น คู่กัด กัน
ครั้งแรกที่เห็นหน้ามันตั้งแต่เด็กๆชั้นประถม ผมก็เกลียดขี้หน้ามันแล้ว เพราะมันชอบแคะขี้มูกแล้วดีดใส่เพื่อนๆ

ส่วนมันก็คงเกลียดขี้หน้าผมเช่นกัน เพราะผมเคยหลอกให้มันซัด โอเลี้ยงใส่หมึกอินเดียนอิ๊งค์เข้าไปครึ่งแก้ว
ความที่มันเป็นคนทีเวลาเล่นบอลมาเหนื่อยๆ  เจอใครกินน้ำอยู่  มันจะแย่งกิน และดูดน้ำเขาจนหมด  มันเกเรมากครับ  จนเพื่อนหลายคนเดินหนี แต่หลายคนก็ต้องทนโดนมันเอาเปรียบและรังแก

แต่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมมันประเภท เลวเงียบครับ  ไม่โฉ่งฉ่าง แถมสร้างภาพให้ครูเห็นว่าเราเป็นเด็กดีนะ  เรารักเรียนนะ  อะไรทำนองนั้น 

วีรกรรมการช่วยเหลือเพื่อนจึงเกิดขึ้น เนื่องจาก ไอ้เตี้ย ที่ชอบเอาบ๊วยเค็มและขนมมาขายเพื่อนที่โรงเรียนเป็นประจำโดนไอ้โตแกล้ง และแย่ไปกว่านั้นคือ บ่อยครั้งที่ไอ้เตี้ยซื้อโอเลี้ยงหรือน้ำลำใยมากิน ไอ้โตจะแย่งไปกินจนเกลี้ยง  เหลือแต่กลิ่นและน้ำแข็งให้ไอ้เตี้ยกิน

บ่ายวันหนึ่ง ตอนพัก สิบห้า ไอ้เตี้ยน้ำตาซึมๆ นั่งคนเดียวหน้าห้อง  ผมเข้าไปถามหาซื้อหมากฝรั่งตาแมวกะมัน มันก็บอกว่า เอาไปกินเหอะ  เปียกน้ำหมดแล้ว  ผมเลยทราบว่า เพราะไอ้โต แย่งน้ำไอ้เตี้ยกินอีก ต่คราวนี้ มันทำน้ำทั้งแก้ว ที่เป็นชาดำเย็นหกลงถุงกระดาษที่ไอ้เตี้ยใส่ขนมมาขายเพื่อนๆจนเละไปหมด

ไอ้เตี้ย มันเป็นเพื่อนที่ผมเห็นใจมันมาก เดิมทีบ้านมันก็ฐานะโอเคอยู่หรอก  แต่พอ พ่อมันไปได้เมียใหม่ มันกะแม่ก็เลยต้องลำบาก  ไอ้เตี้ยมันก็เลยไปรับขนมเขามาขายในโรงเรียน

" ไม่ต้องเสียใจ เตี้ย  เด๋ว กูเอาคืนให้.......แต่มึงทำตามที่กูบอกนะ"

นั่นแหละแผนของผม
คือ ให้ไอ้เตี้ยไปนั่งเล่นแถวๆหนามบาส ที่เขาเล่นบอลกัน (ก็จริงนี่ครับ  เราเรียกว่าหนามบาส แต่คนชอบเล่นบอลกัน) พร้อมแก้วโอเลี้ยงที่ผมทำให้

จริงดังคาด  เมื่อไอ้โตเล่นบอลมา  มันก็ปรี่ไปหาไอ้เตี้ยทันที เพื่อแย่งน้ำกินตามเคย

มันเอาหลอดออก แล้วซดโฮกลงไป มากกว่าครึ่งแก้วในคราวเดียว  จากนี้น มันก็สำลักออกมาน้ำหูน้ำตาไหล โอ๊กอ้าก ถ่มถุย จ้าละหวั่นไปหมด  จนหน้าแดงเป็นมะอึกสุก

จากนั้น มันก็มองหาที่จะเล่นงานไอ้เตี้ย  แต่ ไอ้เตี้ยน่ะ  มายืนอยู่ข้างๆผมเสียแล้ว

ไอ้โต มองไอ้เตี้ย ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามา
แต่ผมสะอึกขา ออกขวางตัวไอ้เตี้ยไว้ เหมือนบอกเป็นทีว่า  กู ปกป้องเพื่อนกู  มึงจะทำไม?

ไอ้โต มันก็กล้าๆ เกรงๆผมอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกง่ายๆ  แถมรูปร่างก็พอๆกัน ผิดจากไอ้เตี้ย ที่มันเตี้ยสมชื่อแถมใจมันก็เสาะเหลือเกิน

ไอ้โตชี้หน้า (มันเป็นคนชอบชี้หน้าคน  ซึ่งบุคลิกนี้แหละที่ภายหลังเป็นภัยกะมันเอามากๆ) มาทางผมและไอ้เตี้ย

"ฝากไว้ก่อนมึง  ไอ้เตี้ย " ไอ้โต อาฆาตออกมา


ไอ้เตี้ยไม่พูดตอบหรอก  ผมน่ะตอบแทน  " ไม่ต้องฝากโว้ย  มาเอากะกู เย็นนี้เลย  หลังโรงเรียน"

ไอ้โตรับคำท้าจากผม

ส่วนผมนั้น ท้าไปเพราะ หมั่นไส้ในความเกะกะ อันธพาลกับเพื่อนมานานแล้ว  ที่แน่ๆ  คือ กำลังร้อนวิชา  วิชามวยไทย มวยไชยา  ที่น้าเอามาสอนให้นั่นเอง!!!!






(มีต่อ)


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 10:05
หลังโรงเรียน  ความหมายมันเป็นแบบนั้นจริงๆ  มีมุม มีพื้นที่ เพียงพอให้ทำสังเวียนกำปั้นของลูกผู้ชายได้ทุกวัน โดยเฉพาะที่โรงเรียนผม

ไม่ต้องบอก ไม่ต้องประกาศ เป็นอันรู้กันว่า ทุกคนจะได้ดูมวยฟรีแน่ๆ ทุกวันที่หลังโรงเรียน
มันเป็นวิถีของลูกผู้ชายในสมัยผมจริงๆ ที่ตัดสินกันด้วยกำปั้นรุ่นๆ  โดยมีผู้ชม กองเชียรฺต่างๆห้อมล้อม 

ที่แปลกคือ ไม่ต้องมีโปรโมเต้อร์  แต่มีคนปวารณาตัวเป็นต้นทางให้ทุกทิศ เผื่อว่าจะมีครูผ่านมา และไม่จำต้องมีกรรมการ เพราะ กฏของลูกผู้ชายที่นี่คือ 

"ไม่มีรุม" ครับ

ใครก็ไม่กล้ารุม  และใครแหยมไปรุม  ก็จะโดนผู้ชมทุกชั้นปีที่มาชมก็ว่าได้ ทำการห้ามด้วยการประชุมตีน คนที่เข้าไปรุมนั่นเอง  มันเป็นกฏ กติกาของคำว่า นักเลง และลูกผู้ชาย ของสังคมในสมัยหนึ่ง จริงๆ


ผมไปถึงหลังโรงเรียนก็พบว่า ไอ้โตรออยู่ก่อนแล้ว กะเพื่อนของมันสามสี่คน ที่ผมก็รู้จักดี  แต่ก็คนละกลุ่มกัน
ส่วนกลุ่มของผมค่อนข้างใหญ่กว่า  ไม่นับเพื่อนๆที่ไม่ค่อยเกเร  เอาแต่เฉพาะเพื่อนในกลุ่มที่เกเร ก็มากกว่ากันพอควร 

แต่ครั้งนี้รวมเอาเพื่อนที่ไม่เกเรไปด้วย เพราะมันก็คือ การต่อสู้เพื่อ  "เด็กเรียน " มันเป็นการต่อสู้ของเด็กเกเร กลุ่มหนึ่งเพื่อ เพื่อน เด็กเรียน หรือเด็กแหย นั่นเอง


..............................สำหรับโรงเรียนชายล้วนในสมัยนั้น ทางเลือก มีไม่มากครับ  หากคุณไม่เกเร คุณก็ต้องโดนรังแก  หากคุณเป็นเด็กเรียน หรือแหยๆ  คุณก็ต้องหาเพื่อเป็นเก็กเกเรไว้คุ้มครอง  หรือไม่ ทางเลือกอีกทางก็คือ เป็นกระเทย  ไปเลย   สำหรับ โรงเรียนชายล้วน ที่ชื่อกระฉ่อนไปหมด ในสมัยนั้นว่า  เรียนก็เก่ง  กีฬาก็เก่ง  แต่ เกเรอิ๊บอ๋ายเลย


*****  ผมถอดเสื้อนักเรียน  สร้อยและนาฬิกา ฝาก ไอ้เตี้ยไว้  แล้วก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่น เพื่อจะได้เตะถนัดๆหน่อย เวลาชกกัน   ในขณะที่ ไอ้โตนั้น ถอดเสื้อออกเช่นกัน แต่ยืน จุดบุหรี่กรุงทองสั้นสูบ  (ตอนนั้นผมยังไม่สูบบุหรี่)


.................พี่ กางเกงดำคนหนึ่งที่เป็นเด็กเกเรเช่นกัน   อาสาเป็นกรรมการให้เพื่อดูไอ้เด็กรุ่นเล็กมันชกกันแบบมันๆ   พี่แกพูดเสียงดังฟังชัดว่า  กติกาคือ ห้ามใช้อาวุธ ห้ามสาดโคลน หรือทรายเข้าหน้า ห้ามรุม 

เอ้า....................ชก


ไม่สิ้นเสียงชกหรอกครับ  แค่เอ้า    ผมก็เปรี้ยงไปที่เบ้าตากึ่งสันจมูกไอ้โตแล้ว   ทริกนี้ นับว่าต้องขอบคุณพี่ชาย

ของผมที่เคยสอนไว้ว่า  "ใส่ก่อนได้เปรียบ" นั่นเอง


จากนั้น มันก็เป็นการต่อสู้กันระหว่าง คน กะควาย ครับ 
ไอ้โตนั้น ไม่รู้มันเอาแรงมาจากไหน เดินเข้าหาสาวหมัดเป็นว่ายน้ำหาผมอย่างเดียว 

ผมก็เลือกเตะ แล้วก็เตะ แล้วก็โยนเข่า แล้วก็ศอก  แล้วก็ชก  แต่ดูเหมือนมันไม่รู้สึกอะไรเลย ยังคงว่ายน้ำมาหาผมเพื่อกินแข้ง กินศอก  กินเข่า  แต่ผมเองก็โดนไอ้หมัดว่ายน้ำนี่แหละ อัดเข้าไปหลายหมัดอยู่เหมือนกัน  ขนาดกั้นได้ ยังจุกเลย.......ควายดีๆนี่เอง  แรงไอ้โต

จนกระทั่ง มันหงายหน้าว่ายน้ำ และเตะมาจังหวะหนึ่ง ผมตัดสินใจ กวาดเตะข้อพับมัน  จนเอนเหมือนล้ม วินาทีนั้น ผมไม่ปล่อย นาทีทองของการชกไปได้

ผมสะอึกเข้าฟันศอกเฉือนๆหัวคิ้วซ้ายมัน  เสียงเพราะเหลือหลาย เสียงมันดัง แป่ด  แป่ด สองครั้ง 
เลือดควาย เอ๊ย  เลือดไอ้โตก็ สังเวยศอกของผมทันที

ท่าทางแผลแตกจะเอาการ เพราะเลือดกระเซ็นเลอะไปหมด  แถมเลอะตัวผมด้วย  ไอ้โตนั้น พอเลือดออก มันยิ่งบ้า  ทีนี้ก้มหัววาดมือว่ายน้ำชก แตะสะเปะสะปะ โดยใช้หลังเท้า แทนแข้ง   ขนาดหลังเท้า ผมยังปวดสีข้างเลย    หากมันเตะเป็น ใช้แข้งดีดเป็น ป่านนี้ผมลงไปนอนแล้ว

ความที่มันไม่เป็นมวยมีแต่แรง ผมก็เตะฉาก  ชกฉาก  จนอีกจังหวะ มันลื่นล้มในจังหวะที่ผมเตะช้อนกะว่าจะเตะอัดลิ้นปี่  แต่ดันไปเจอหน้ามันอย่างจัง

ไอ้โตม้วนกระเด็นหงายหลังนอนแผ่ ผมสะอึกไปจะซ้ำ  แต่พี่กางเกงดำก็โผเข้าแทรกกลาง...........

" พอ  อย่าซ้ำ  มันล้มห้ามซ้ำ"....................เอ้า  ลุกมา  จะเอาต่อ หรือจะเลิก  ว่ามา????

ไอ้โตลุกขึ้น อย่างลำบากเหมือนกัน  แต่มันตะโกน เอาต่อ 

พอพี่เขาเบี่ยงตัวออก เท่านั้น ผมก็โยนเข่าอัดหน้าอกไอ้โตอีกครั้ง โดยมันไม่ได้ตั้งตัว ล้มไปอีก  ครางนี้ผมยืนค้ำมัน รอมันลุก

ไอ้โต ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมง้างหมัดจะชก  แต่ก็ช้าไปครับ  ป๊าบ สนั่น รักแร้มันด้วยหลังเท้าของผมนั่นแหละ  มันล้มไปอีกครั้งเอียงกะเท่เร่  พอยันตัวลุกขึ้นมา มือพ้นพื้น ผมก็เตะอีดด้วยแข้งที่สีข้างอีกสองครั้ง ทีนี้ มันลงไปนอกจุกแอ่ดๆ ไม่ลูกเลย

ผมเป็นฝ่ายพูดเอง   " พอแล้วโต   กูพอเท่านี้  " แล้วก็ยื่นมือให้มันจับ


ไอ้โตยื่นมือมาจับกะผม พร้อมพยักหน้าไปทางไอ้เตี้ย

"เตี้ย  กูขอโทษ"














(มีต่อ)






หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 10:42
จากวันนั้น  ผมกะไอ้โต ก็เป็นเพื่อนกัน  เรียกได้ว่าเป็นการควบรวมคนสองกลุ่มเข้าด้วยกันอีกตะหาก  อ้อไม่ใช่ครับ  สามกลุ่ม  รวมกลุ่มไอ้เตี้ยด้วย

.................ไอ้โตช่วยไอ้เตี้ยขายอยู่นานระยะหนึ่ง หลังจากวันนั้น  แต่ มันก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆ ง่ายๆครับ มันขายสไตล์มาเฟียของมัน 

นั่นคือ มันข่มขู่คนอื่นๆให้ซื้อของไอ้เตี้ย ...........นี่แหละไอ้โต

กว่าผมจะชี้แจงมัน ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน ว่า ทำไมเราทำอย่างนั้น ไม่ได้  ไม่ใช่เพราะ อะไร  เพราะมันไม่คุ้มกันว้อย  เอ็งคบเด็กเรียนไว้  เด๋วเวลาสอบมันก็ช่วยเอ็ง  มันก็เลยเข้าใจในกุศโลบายของผม


............................................................................................................................

ปั่นแปะ  มันเป็นการพนันระดับคลาสสิกของเราในสมัยก่อน

คนที่ปั่นเก่งๆ เรียกได้ว่าจะให้ออกอะไรนั้น จะถูกเราวางเป็นมือปั่น จากนั้น กลุ่มของเราจะแบ่งหน้าที่กัน  ไปดูต้นทาง  เป็นหน้าม้าแทงให้ยัก  และระวังความปลอดภัย กันโดนเบี้ยวจากรุ่นพี่ หรือกลุ่มอื่น

..........พวกเราทำตัวเป็นพวก gangster ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว.

การปั่นที่ดี ควรเลือกพื้นที่เรียบไม่ขรุขระ เหรียญที่ใช้ ก็ต้องฝนด้านทั้งสองให้เรียบเล็กน้อย  (บาปกรรมมากครับ เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อยู่......แต่เด็กๆ ดันไม่คิดกัน)

การล่อหลอกการปั่นนั้นต้องทำให้เห็นว่า มันน่าจะออกอย่างที่คนเห็นหรือเข้าใจ  แต่เราพลิกมันตอนที่ตบลงนั่นแหละ  ตรงนั้นมันเป็นศาสตร์และศิลปฺเลยทีเดียว

ศาสตร์ก็คือ เรื่องแสง และความไวของตาคนที่จะจำภาพ
ศิลปฺ ก็คือ ความเนียนในการห่อมือ แบมือตบ เพื่อหลอกตาคน  รวมทั้งศิลป ในการแทงของหน้าม้า ให้คนอื่นยัก

รายได้จากการได้จากปั่นแปะเราก็เอาไปซื้อของกินกัน  เอาไปซื้อบุหรี่ ซื้อเหล้ากิน 


การพนันอีกอย่างก็คือ ไฮโล เสียบหนังสือ

หนังสือที่จะเล่นกันต้องหนาครับ  ต้องมีหน้าเยอะๆ  แล้วก็หาไม้บรรทัดบางๆ มาเสียบ ให้คนแทง

เลขที่แทงก็จะมี 1 จนถึง 0

เรากำหนดให้ 1 2 3 เป็นต่ำ
4 5 6  เป็นกลาง
7 8 9 เป็นสูง

แต่หากออก  0   เราจะเรียกว่า ไฮโล  โดยแค่ยืมคำมาจาก พนันเต๋าไฮโล  แต่ความหมายค่างกัน

หนังสือที่นำมาเล่น เราก็เอามาจากห้องสมุดนี่แหละ ให้พวกเด็กเรียนไปยืมมา  หาไอ้เล่มโตๆ หน้าเยอะๆ  เพราะหากเราไปยิมเอง ครูเขารู้ ครับ   ครูโรงเรียนเราตามเกมส์เด็กไม่ทัน  ป่านนี้โรงเรียนเจ๊งไปนานแล้ว  แต่เราก็เหนือกว่าอยู่ดี  ด้วยการให้พันธมิตรเด็กเรียนนี่แหละ  ไปยืมมาให้เรา

น้ำพึ่งเรือ เสือพื่งป่าครับ   พวกข้าดูแลเอ็งไม่ให้ใครรังแก  พวกเอ็งก็ช่วยข้าเรื่องติวหนังสือสอบ เรื่องแบบที่ว่านั่นแหละ....

หนังสือที่ใช้  เราจะใช้บ่อยไม่ได้  เพราะ หน้าที่เสียบ จะถูกจดจำได้จากผู้เล่น  ดังนั้น เล่มหนึ่งจะเล่นไม่นานครับ  พอมีรอย พอเริ่มที่คนจำได้  ก็เอาไปคืน  ก่อนคืน ก็มาทำให้มันเรียบร้อยสักหน่อย ไม่งั้นครูจับได้

ต่อมาพัฒนาขึ้นมาโดยใช้เครื่องคืดเลขวิทยาศาสตร์ ครับ  ใช้กด แรนดอม เอา  แค่นี้ มันก็เล่นกันได้แล้ว


น้ำเต้าปูปลา  ไฮโล  ล้วนแล้วเป็นการพนันที่พวกเราสรรหามาเล่นกันเพื่อหาเงินไปกิน ไปเที่ยว  แต่บางครั้งก็หมดตัวเอาเหมือนกัน

จนกระทั่งวันหนึ่ง  ไอ้แอ๊ด  ผู้มีหัวการค้าเยี่ยงพ่อมันที่เป็นนักธุรกิจค้าผ้า  มันก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา หลังจากมันไปแกร่วเดินเล่นแถวหนามหลวงอยู่หลายวัน

"เฮ้ย พรรคพวก  กูมีช่องทางแล้ว"  ไอ้แอ๊ดเอ่ยขึ้นมาระหว่างกนข้างกลางวันหลังร้านขนมปังในโรงอาหารที่เราก็ไปสถิตย์อยู่เวลาพัก แทนการไปนั่งเจ่าที่โต๊ะอาหาร

"นี่หนังสือปกขาว  ว้อย  โหย แจ่มเลย  ซื้อหนามหลวง 20 บาท  เอามาขาย 40 ก็มีคนซื้อ พวกเอ็งว่ามะ?"


ครับ  เอเย่นต์หนังสือโป๊ประจำโรงเรียน ก่อตั้งขึ้นวันนั้นเอง   ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ต้องมาหาซื้อกะเรา  มันง่ายและสะดวกดี


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 11:23
ครูฝึกสอน

......สำหรับเด็กวัยรุ่น สมัยก่อน ความเพลิดเพลินที่ได้เรียนกับครูฝึกสอนจากมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยต่างๆ คงไม่เกินไปกว่า การได้เรียนกับครูฝึกสอน สาวๆ  สวยๆ  แถมอายุอานามก็แค่  "พี่สาว ครับ" เท่านั้น

อย่าว่าแต่ครูฝึกสอนเลย  ขนาดครูสาวๆ สวยๆ  มาใหม่ เข้าชั้นเรียนไหน  ไม่มีใครโดดเรียน นั่นเป็นเพราะ จะได้นั่งทำตาหวานมองหน้าครู หรือไม่ก็ ให้หมาในปากออกมาเห่าใส่ครู  แซวด้วยความเพลิดเพลิน

มีครูฝึกสอนคนหนึ่งมาสอนเรา ตอนนั้นจำได้ว่า อยู่ ม.ศ. 3 แล้ว  เธอมาจากมหาวิทยาลัยดังแถวสามย่านซะด้วย  น่ารักมาเลยทั้งชุดนี้ มีมากันหลายคนทีเดียว

มีครูคนหนึ่ง น่ารักมากๆ เสียงก็เล็กๆ เวลาพูด ก็แทบไม่ได้ยินอยู่แล้ว ยิ่งสอนหน้าชั้น คนนั่งกลางห้องและหลังห้องจะคิดว่าเธอบ่นอยู่หน้าชั้นเลยทีเดียว

เธอเป็นคนสวย แถมมีไฝที่เหนือริมฝีปากซ้าย  ซึ่งยิ่งขับให้ดูมีเสน่ห์เก๋ไก๋ไปอีกแบบ

แต่เด็กมันเกเร  มันก็คือเกเรา นั่นแหละครับ

วันนั้น..........
ผมดันเอาดินน้ำมันมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แล้วติดในตำแหน่งเดียวกะไฝชองคุณครูเข้า  แถมให้เพื่อนในห้องทั้งหมดทำเหมือนกัน ก่อนเธอเข้าสอน ซึ่งเป็นชั่วโมงแรกของห้องผมและเธอเสียด้วย


"นักเรียนตรง"

"ซาหวาด ดี คร๊าบ คุณ ครู"  เสียงสวัสดีพร้อมเพรียงกันมากครับ

ยังไม่ทันที่  คุณครู จะเอ่ยว่า นั่งลงได้

คุณครูฝึกสอนท่านนั้น ก็เบิ่งตาโพลงเหมือนกับว่านักเรียนทั้งห้อง เป็นมนุษย์ต่างดาว 
จากนั้น ตาเธอที่สวยใสปิ๊งก็ค่อยๆรื้นน้ำตา และแดงขึ้น  หน้ากลับซีดเผือด  แล้วก็กึ่งเดิน กึ่งวิ่ง ออกจากห้องเรียนไปทางห้องพักครู

สักพักครูประจำชั้นผมก็เดินมาพร้อมกับ เธอ

"ไอ้ชาติหมา...............(เธอคงเรียกคนอื่น ที่ไม่ใช่ผมล่ะนา) ไอ้เลว   ไอ้พวกรายำ (มาถึงตอนนี้ ผมชักมั่นใจแล้วว่า โดนด่าทุกคน)  ใครต้นคิด ทำเรื่องพิเรนทร์ ให้ครูเขาร้องไห้  ฮ้า "

ครูประจำชั้น ที่เราเรียกท่านว่า "แม่โปรย" ด่าเสียงชัดแจ๋ว ในสไตล์ของท่านที่พวกเราชินหูมากๆ

เงียบครับ ไม่มีใครตอบ


"ชั้นถามว่าใคร ทำให้ครูร้องไห้  มีใครในห้องตอบได้มะ????ฮ้า"
เงียบกริบ  ไม่มีเสียงใครตอบ อีก

แม่โปรย หันไปถาม ครูฝึกสอน  " บอกได้ไม้ ครู ว่าทำไมร้องไห้  ใครทำอะไร?  เดี๋ยวครูจะจัดการให้หมดเลย"
ครูฝึกสอนก็ไม่ตอบครับ เธอเอาแต่สะอื้น ฮั่กๆๆๆๆ  แม่โปรย บอกว่าเด๋วกลับมา แล้วก็เดินพาเธอไปที่ห้องพักครูอีกครั้ง


ห้องทั้งห้องเริ่มมีเสียงพูดคุยกัน  บางคนบอกว่า เฮ้ย ไอ้เชนมันต้นคิด  ก็รับไปสิวะ  ไม่งั้นโดนทั้งห้อง
ผมก็สวนไปว่า  ก็เอ็งตามข้าทำไม  แบบนี้ก็ต้องรับด้วยกันหมดโว้ย  ถ้าจะรับ น่ะ

สักพัก อาจารย์พละ ก็มาเรียกพวกเราไปเข้าแถวที่หน้าเสาธงของโรงเรียน  ตอนนั้นน่ะ  แดดเช้าๆ กำลังเปรี้ยงเลยครับ เก้าโมงก่าๆ

ครูปกครองเอย  ครูใหญ่เอย  ครูประจำชั้นเอย พร้อม ครูฝึกสอนคนสวยที่หยุดร้องไห้แล้วมาพร้อมหน้ากัน

ครูปกครองเอ่ยขึ้นมาหลังจัดแถวเสร็จ

"ใครหัวโจก?   ออกมา"

ผมเดินออกไปจากแถวไปหาแก  บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไร แต่ก็เดินออกไป

"ผมครับ  คือ ผมเพียงอยากแหย่ครูเขาเล่นเท่านั้น โดยเอาดินน้ำมันมาติดที่ปาก ให้เหมือนไฝครับ  แต่ทีนี้คนอื่นๆ คิดเหมือนผมมั๊ง  ก็เลยติดกันทั้งห้อง"

ระหว่างที่ผมอธิบาย ทั้งครูใหญ่ ครูประจำชั้น เพื่อนนักเรียนในห้องในแถว  และพี่ๆกางเกงดำที่เขาเดินไปเรียนห้องอื่นๆ  ที่หยุดดู หัวเราะกันครืนใหญ่ !!!
แม้กระทั่งครูฝึกสอนเอง  ผมก็เห็นเธออมยิ้มเหมือนกัน  แต่แววตาไม่ค่อยยิ้มเท่าไร  คงแค้นมากกว่า สงสัยจะอมยิ้มเพราะผมกำลังจะถูกทำโทษมากกว่า

ครูปกครองเองกลั้นยิ้มแล้วพูดกับผมว่า " ถึงครูจะเป็นครูมาฝึกสอน เธอก็ไม่มีสิทธิไปล้อเล่นแบบนั้น เธอเป็นนักเรียน ต้องเคารพ เชื่อฟัง ครูทุกคน และจะต้องมีความนอบน้อม ไม่ลามปาม   .............เข้าใจไหม"

ครับ  ผมตอบไป พร้อมรู้อนาคต

ทุกคนโดนฟาดหน้าเสาธงด้วยไม้เรียวคนละสามที  แต่ผมมันเด็กพิเศษครับ  โดนไปหกที
สามีของครูปกครอง  อีกสามทีของแม่โปรย.....และสามทีของแม่โปรยนั้น เจ็บกว่าหลายเท่าเพราะเธอให้ผมโก้งโค้งงอตัวเก้าสิบองศา  ให้อกขนานพื้น ขาตั้งตรง  จากนั้นแม่โปรยก็ตีตัดๆลงมาที่เราเรียกการตีแบบนี้ว่า

" WENT DOWN " อันเป็นท่าตีประจำตัวของอาจารย์ศิลปะท่านหนึ่งในโรงเรียน ที่สุดเจ็บ  และครูท่านอื่นๆก็เอาไปใช้กัน  จนมีคนเรียกครูศิลปะคนนี้ว่า อาจารย์เว้นดาว

ครูใหญ่ ที่ผมทั้งเคารพ และรัก ทั้งเกรง และกลัว บอกให้ผมไปกราบขอโทษครูฝึกสอนด้วย เพราะผมทำเสียชื่อของโรงเรียน  ผมก็ตามไปขอโทษเธอ ยกมือไหว้ขอโทษ ที่ห้องพักครู


กลับบ้านมาเพิ่งจะรู้ว่า   ก้นผมแตกเป็นแผลสี่แผลเลย..........ไม้เรียวสมัยก่อนมันเจ็บจริงๆ




หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: In The Name Of Justice. ที่ 26-05-2006, 12:54
มีตอนต่อไปไหมครับ?

ผมชอบมากเลย <<<--- เสร่อ

มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่เรียน มานี มานะ ชูใจ อยู่น่ะ


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกไทย หลานไทย ที่ 26-05-2006, 14:49
กำลังรอตอนต่อไปครับ  :shock:


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: (ลุง)ถึก สไลเดอร์ ที่ 26-05-2006, 18:39
เรื่องครูฝึกสอน
เหตุเกิดที่โรงเรียนเดียวกันกับคุณshane
เวลามีครูฝึกสอนมานี่ เด็กเรียนแถวหน้า จะถูกบังคับให้ร่นไปอยู่แถวหลัง
แล้วบรรดาตัวแสบทั้งหลายก็จะ มานั่นปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ นั่งมองหน้าครูสาวๆด้วยกิริยา
ที่น่าถีบเป็นอันมาก
  พวกเวรที่นั่งแถวหน้าทั้งหลาย มันจะพกกระจกเงาอันเล็กคนละอัน หากครูฝึกสอนเข้ามายืนเกาะ
โต๊ะเมื่อไหร่ก็เป็นอันเสร็จมัน มันจะใช้กระจกอันเล็กๆที่เตรียมมาวางบนหลังรองเท้า แล้วยื่นไปส่อง
ใต้กระโปรงของครูฝึกสอน
  "เฮ้ย...สีชมพูว่ะ"
เสียงกระซิบกระซาบต่อๆไป เป็นอันรู้กันหมดทั้งห้อง แล้วก็จะมีเสียง ชมพู ชมพู รับกันเป็นทอดๆ
   ครูฝึกสอนสาวๆไปสอนพวกผมได้ไม่นานสักคน บางคนก็โกรธ บางคนก็น้ำตาซึม ต้องออกจากห้องไป
ก่อนจะครบชั่วโมงเสมอๆ เรื่องถูกทำโทษนั้น ไม่ค่อยมีใครจะกลัวกันสักเท่าไหร่ ดีหน่อยที่พวกเกเรมัก
จะออกมารับผิด เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเรียนโดนทำโทษอยู่เสมอ
   ผมจัดอยู่ในประเภทสะเทินน้ำสะเทินบก อยู่กับพวกเด็กเรียนก็ได้ คบพวกเกเรก็ได้ แต่ป้ายชื่อโรงเรียน
กับเลขประจำตัวนั้น ใช้ปักในแผ่นผ้า ใช้กาวแปะแล้วเอาเตารีดถูให้ดูแนบแน่น พร้อมที่จะดึงได้ออก
ทุกเวลาที่โดดเรียน สมัยผมนิยมโดดเรียนไปเล่นสนุ๊กฯ เพื่อนๆที่เกเรมันพกกรรไกรตัดลวดไปโรงเรียนด้วย
หนีออกทางดับเพลิง จนสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหลายๆคน
   ผมไม่ชอบอยู่อย่างคือเรื่องแก้วน้ำ (แก้วพลาสติค) ที่พวกนักเรียนชอบเอามาจากโรงอาหาร ดื่มน้ำเสร็จ
ก็เอามาเตะเล่น โยนทิ้งตามท่อระบายน้ำ แล้วแม่ค้าก็มาตามเก็บเอาไปล้างให้พวกเราดื่มกันใหม่
   มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ครั้งหนึ่ง หลังจากจบที่สถาบันแห่งนี้ไปแล้วหลายปี ได้เกิดมีการยกพวกตีกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างมาเผชิญหน้ากัน กำลังจะถึงขั้นตะลุมบอนกันแล้ว
   "เฮ้ย...หยุด"
สองคนคนละฝ่าย ตะโกนเกือบจะพร้อมๆกัน เมื่อเห็นลีลาการใช้เข็มขัดเตรียมประจัญบาน
เพื่อนที่เคยเรียนชั้นเดียวกับผม
เรากระโดดเข้ากอดกันกลม
เปลี่ยนจากที่จะราวี ไปนั่งดื่มเหล้ากันเสียนี่
   นี่แหละครับ ที่ผมชอบใช้ชื่อ
     ชมพูม่วงสองสีนี้คือดวงใจ


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: เสลา ที่ 26-05-2006, 21:25
ถามคุณ shane หน่อยค่ะ
คำว่า gigalo นี่ อ่านว่าจิ๊กกะโล่ ที่เพี้ยนมาเป็นจิ๊กโก๋ รึปล่าว
เพราะยุคก่อนจะมีศัพท์ที่ฮิทติดปาก
เรียกวัยรุ่น ชาย หญิง ว่า จิ๊กโก๋ กับ จิ๊กกี๋  :D


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 22:31
นักมวย รวยพวก.........

โรงเรียนที่ผมเรียน มีชื่อด้านกีฬา เกือบทุกชนิดในสมัยนั้น แต่ปัจจุบัน กลับกลายเป็นตกต่ำอย่างน่าใจหายในอดีตที่เคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่  นั่นอาจเป็นเพราะ การบริหารงานและ วิสัยทัศน์ของโรงเรียนเองที่เปลี่ยนไป หลังจาก ครูใหญ่ที่เป็นที่เคารพรักของเราจากโลกใบนี้ไปก็ได้

ไอ้ สตรีท ฟุตบอลนั้นน่ะ  ผมว่ามันมีมานานแล้ว  ก็ที่โรงเรียนเก่าผมน่ะ  ซอกเล็กซอกน้อยตรงไหนก็เล่นบอลกันไปหมด ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กโต

สิ่งที่เด็กเล็กๆจะเจอเป็นประจำคือ การโดนขโมยบอล
เด็กที่โตกว่าจะทำทีเดินผ่าน ที่ที่เล่น แล้วก็เตะบอลไปไกลๆ ต่อกันเป็นทอดๆ  จนลับตา เด็กเล็กก็ตามไม่เจอ  

วิธีนี้ ไม่ดีเอามากๆ  พวกเราจะไม่ทำ เพราะน้องๆมันโตขึ้น มันจะไม่เคารพเรา และมันจะเป็นธรรมเนียมที่แย่ๆของรุ่นพี่กับรุ่นน้องในโรงเรียน มีส่วนน้อยที่ชอบทำ  หากพวกเราเห็น ก็จะเตะกลับคืนไปให้น้องๆ  อย่างมากก็แค่มองหน้าเขม่นกันเฉยๆ

ความที่เป็นโรงเรียนชายล้วน  การตัดสินปัญหาระหว่างกันในวัยนั้นจึงหนีไม่พ้น ชกกัน
ครูพละในโรงเรียนก็เสนอทางออกด้วยการ สวมนวมขึ้นชกกันแทน  แทนการไปแอบชกกันหลังโรงเรียน

ก็มีบ้างบางคู่ที่ไปร้องขอชกกัน โดยให้ครูพละเป็นกรรมการ จนกว่าจะหมดแรงกันไปข้างหนึ่ง  แต่แบบนั้น มันต้องชกแบบมีกติกา  จะชกแบบลูกทุ่งไม่ได้  แต่ผมไม่ชอบแบบนั้น  เพราะ มันไม่สะใจ  มันดูเหมือนเรื่องของเรา ทำไมต้องให้ครูมารับรู้  ตัดสินกันเองแบบลูกผู้ชายง่ายดี


มวยเป็นกีฬาหนึ่งที่ผมชอบ และเข้าสมัครเป็นนักมวยโรงเรียนในรุ่น แบนตั้มเวท    ที่โรงเรียนจะมีกีฬาภายในหลายอย่าง มวยก็เป็นหนึ่งในกีฬาภายในที่ทำการแข่งขันตามรุ่นน้ำหนัก โดยไม่สนว่าใครจะเรียนชั้นไหน

ครูพละที่สอนมวยเราท่านก็เป็นนักมวยเก่า เป็นทหารเรือ แถมเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนอีกด้วย ท่านก็เลยเป็นทั้งพี่ชายคนโตและ ครู   ทำให้พวกเราสนิทสนมกับท่านเอามากๆ

มวยโรงเรียนภายใน จะชกกันทั้งปี และจะไปชิงแชใปกัน วันปีใหม่ครับ  ที่ว่าวันปีใหม่นั้น ก็คือ วันงานปีใหม่ของโรงเรียนนั่นเอง จะมีการชิงชนะเลิศ มวย  บอล บาส  ตะกร้อ และกีฬาอื่นๆที่จัดขึ้น รวมทั้งประกาศผลงานทางด้านศิลปะของนักเรียนด้วย

ความที่พวกเยอะ แถมเป็นนักมวย ผมชนะบายเพราะ คู่ชก กลัวชนะบนเวทีแต่ลงมาแพ้พวกของผมอัด  ผมก็เลยพุ่งไปถึงรอบชิง โดยชนะบายสองสามครั้งทีเดียว ทั้งที่หากชกกันจริงๆบนผ้าใบ  ไอ้คนที่ยอมแพ้บายไป  อาจคว่ำผมในยกแรกได้ด้วยซ้ำ

มันไม่น่าภูมิใจเลยครับ  แต่พวกเพื่อนๆผมมันดันเจ้ากี้เจ้าการ ไปขู่เขา จนเขาไม่อยากมีเรื่อง ก็ยอมแพ้บายไป  ดีว่าเรื่องไม่ถึงครู  ไม่งั้น ผมเองจะซวย

วันชิง  ในวันงานปีใหม่  ผมต้องชกชิงกับ สิงห์อีซ้าย เจ้าของฉายา ดำรงสิงห์ซ้าย ที่เป็นมวยเชิง หมัดหนัก แถมเป็นมวยซ้ายที่ชกด้วยลำบากมาก เพราะทางหมัดและทางสืบเท้า มันต่างกันกับ ทางของมวยขวาแบบผม


หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมไม่ไปขู่ล่ะ  

งานนี้ขู่ไม่ได้ครับ  มวยชิง  ไงซะครู  ก็ไม่ให้บาย อีกอย่าง ดำรงนั้นเป็นรุ่นพี่ผมสองปีด้วย เป็นเด็กกางเกงดำครับ ไม่ใช่เด็กกากี แบบผม   ต่อให้เราโก๋ ขนาดไหน ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะรุ่นพี่คนอื่นจะไม่ชอบ และเป็นธรรมเนียมของพวกเราว่า รุ่นพี่นั้น เราต้องเคารพ   นั่นเป็นสิ่งที่เรายึดถือในอดีต ในสมัยของผม  อยู่ในสายเลือดของพวกเราทุกคน  แม้ว่าจบออกมาแล้ว  ก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป  ยกเว้นพี่บางคนที่แย่เอามากๆ  เราก็อาจเตะเล่นได้เช่นกัน  แต่ต้องไปขออนุญาตพี่คนอื่นๆบอกให้ทราบก่อนว่า น้องขอเตะพี่สักวัน


เราชกกัน สามยกครับ ใส่เฮลเม๊ท แบบมวยสมัครเล่น ใส่กระจับ มีฟันยางที่แข็งเป๊ก  เพราะมันราคาถูก  แต่ผมไม่ใส่ครับ  ไม่ถนัดเลย


ระฆังยกแรกดังขึ้น ดำรงปล่อยหมัดแย๊บดูเชิงตรงๆ มาหลายหมัด กวนซ้ายแย๊บผมตลอด เรียกได้ว่า เขาออกหมัดก่อนผมเสี้ยวช่วงแขนทุกครั้ง ทำให้ผมตกเป็นฝ่ายถอยและปัดอย่างเดียว  รู้สึกรำคาญมาก เพราะ ไม่สามารถเต้นวนออกได้เลย  มวยซ้ายนี่ น่ากลัวจริงๆ

ยกสอง พี่เลี้ยงของผม ซึ่งก็เป็นรุ่นพี่นั่นแหละ  บอกว่าให้ผมเดินเข้าใส่ชกลุยไปเลย ไม่ต้องฉาก  ฉะกันไปให้รู้เลยว่าใครจะไปก่อนกัน ขืนชกแบบเดิม ผมจะเสียคะแนนจากหมัดฮุคของดำรงที่ตามมาหลังแย๊บ เพราะ เขาออกหมัดได้เร็ว และผมป้องไม่ถนัด

พอระฆังดัง ผมก็เดินหน้า หนึ่งสองตรง ไม่ยั้ง ฮุค ครอส สลับ ตามสูตร หากโดนกอด ก็ใช้อัปเปอร์คัท แล้วฉากออกมาแย็บกัน หมุนวน

ได้ผลครับ  ดำรงสะอึกไปเหมือนกัน หน้าแดงเถือก  แต่ผมสิ เล่นฉะแลกหมัดกัน หูอื้อ ตาลายไปหมด กัดฟันชกอยู่รอระฆังดังเท่านั้น รู้แต่ว่าดำรงสวนมาโดนแต่ละที สะเทือนไปถึงปอดทีเดียว  พี่แกเล่นชกตรงเข้าอก  ลิ้นปี่ตอบผมอย่างเดียว จนตัวแข็งไปหมด  หน้าท้องที่เกร็งไว้ ดูเหมือนจะแข็งไปแล้ว  

มันนานมากจริงๆกว่าระฆังจะหมดยก  ผมแทบเป็นลม เพราะโหมกำลังหมัดใส่ไปหมด จนแขนล้า การ์ดตกลงมาเล็กน้อย  เลือดกำเดาออกมาตอนไหนไม่รู้  รู้แต่ว่าสิ้นเสียงระฆังยกสอง  ผมเดินกลับมุมพร้อมเลือดหยดเป็นทาง  

กำเดาอย่างเดียวพอทนครับ แต่ปากข้างในฉีกเพราะกระแทกฟันตัวเอง  ดันไม่ยอมใส่ฟันยางก็แบบนี้  ทำเป็นเก่ง  ที่แท้ก็ห่วยแตก


"พี่ ชา (พี่ปรีชา.....เด๋วนี้เป็นทหารใหญ่ไปแล้วครับ) หมดแรงแล้วพี่" ผมบอกพี่เลี้ยงตอนพักยกสองเสียงหอบดังสนั่น แฮ่กๆๆๆๆ เหมือนหมาที่บ้านเวลาที่มันไล่ตะกวด ไงงั้นเลย

"สู้น่า  อีกยกเดียว  เอ็งก็วนประคอง แย๊บ ฉาก  อย่าให้เขาต้องเข้ามุม  พลิกออกซะ  ไหวนะ" พี่เขาบอก


ยกสาม  ผมก็พยายามทำแบบที่พี่เขาบอก แต่มันไม่ได้ดังใจ แขนเขิน มันเบาหวิว การ์ดตกครับ  แรงมันหมดน่ะ  ก็คืนก่อนวันที่ชกนี่น่ะ  ดันไปเมาอยู่บ้านเพื่อน  เล่นทั้งเหล้า ล่อทั้งเนื้อ(กัญชา) จะเอาความฟิตที่ไหนมาสู้เขาล่ะ พ่อนักมวยพวกมาก!!!!

ดำรงอ่านออกครับ  ยกนี้ดำรงกลับส่ายหัวไหล่ ตามสไตล์การชกของเขา เดินเข้าหาผม หวังน็อก โชว์ฉลองปีใหม่
ถึงผมจะแรงหมด  แต่ก็กัดฟันสู้เพื่อศักดิ์ศรี   ไหนๆก็คงแพ้   ขอแพ้คะแนน  อย่าแพ้น๊อก เด็ดขาด  เสียหมาแน่

รวบรวมกำลังฮึด อัดแลกดำรงแบบ ไม่กูตาย มึงก็ตาย  

ใจครับ  งานนี้ ยกนี้ ใจผมเกินร้อย เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรจะเสีย ไหนๆคะแนนก็แพ้แล้ว  ขอเอาเลือดดำรงมาล้างนวมหน่อยเถอะ

ชีวิตไม่ใช่หนังไทย
ดรงสวนผมหน้าหงายลงไปนับแปด เช็ดนวมก็แล้ว ตั้งการ์ดก็แล้ว ตาผมยังสองมาตรฐานอยู่  มันลาย เบรอก  อยากจะลงไปนอน   แต่ใจก็บอกว่า  ล้มไม่ได้  น็อก ไม่ได้

กัดฟันสาวท้าวแลกหมัดอีกหน

โอ....ไม่รู้ แม่นางตะเคียนเสาตกน้ำมันที่ห้องเรียนผมเฮี้ยนหรือไร ไม่ทราบ? หมัดฮุคกลับแบบเดาสุ่มของผมเต็มข้อ เต็มแรงไหล่ที่ส่ง หลุดเข้ากระทบกรามขวาดำรงขณะเบี่ยงตัวออก  

ดำรงล้มลงไปนอนนับเหมือนกันครับ  แต่เขานับมากกว่าผม เพราะกรรมการ นับสิบ

ฟลุค ชิบเป้ง  ผมชนะน๊อก ดำรงครับ


งานนั้น ตอนที่กรรมการท่านชูมือผมน่ะ  ผมมองอะไรมืดไปหมด แล้ว   ก็มันจะเป็นลมเสียให้ได้ครับ  ไม่ใช่เพราะดีใจ  แต่เพราะหมดแรงจะตายห่าเอา
ส่วนดำรงน่ะ เพราะเผลอ เลยเจอลูกฟลุคหมัดฮุคผม  ถึงนอนยาวไป  กลับยืนยิ้มเผล่ หายใจหอบๆ


งานปีนั้น ภูมิใจมากกับเหรียญทองที่ได้รับจริงๆ  แต่ผมก็แทบจะรีบเอาไปคืนและส่งมอบให้ดำรง เมื่อครูมวยมาบอกตอนหลังว่า

" ปีหน้านะเชน  เชนเป็นตัวแทนไปชกกับแชมป์เก่า ของผดุงศิษย์ นะ"

เท่านั้นแหละครับ ตาผมเหลือกเลย


ก็ทำไมจะไม่ตาเหลือก  เพราะ ไอ้แชมป์มวยนักเรียนของผดุงศิษย์นี่น่ะ  มันเป็นแชมป์เยาวชนของมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยด้วยน่ะสิ  หมัดมันหนักยังกะช้างถีบ................


ซวยแล้ว ไอ้เชน   ไอ้นักมวย จิ๊กโก๋ พวกเยอะ   ซวยข้ามปีเลยเมิง!!!


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 22:56
ถามคุณ shane หน่อยค่ะ
คำว่า gigalo นี่ อ่านว่าจิ๊กกะโล่ ที่เพี้ยนมาเป็นจิ๊กโก๋ รึปล่าว
เพราะยุคก่อนจะมีศัพท์ที่ฮิทติดปาก
เรียกวัยรุ่น ชาย หญิง ว่า จิ๊กโก๋ กับ จิ๊กกี๋  :D

คืองี้ครับ ป้าเสลา  คำว่า จิ๊กโก๋ นี่น่ะ  มันทับศัพท์เพี้ยนออกเสียงมาจากคำว่า gigalo นี่แหละครับ

เคยชมภาพยนต์ที่ ริชาร์ด เกียร์เล่นไหมครับ  สมัยหนุ่มๆน่ะ   เรื่อง AMERICAN GIGOLO " ไงครับ

คำว่า จิ๊กโกโล่นี่ มันแปลว่า ผู้ชายที่รับจ้างเป็นคู่เต้นกับหญิง น่ะครับ 

แต่ ฝรั่งมันก็มีลูกเล่น แปลงให้เป็น gigalo  อีกที ให้มันเป็น slang หมายถึง ชายชอบสนุก ชายเสเพล เกเร  แต่ไม่ใช่พวก gangster 

ต่อมาหลังๆ  คนไทยเราก็เลยรวมเรียกพวก gangster เข้าไปในคำเรียกจิ๊กโก๋ไปด้วยเลย

หาดูตามพจนานุกรมอาจไม่เจอ คำว่า gigalo  คงมีแต่ gigolo ครับ

แรกๆ  ผมก็เข้าใจว่าอาจมีคนสะกดผิด  แต่พอถามเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษา แถมเป็นพวกโก๋ๆด้วย ก็เลยทราบว่า สะแลงของเขามีมากมายทีเดียว  บางคำก็แปลงเอามาจากคำเดิม

อย่างคำว่า  bangkok  ในยุคสมัยหนึ่ง เป็นสะแลงของพวกไอ้กันมันหมายถึงการไปเที่ยวหาความสำราญกับหญิงโสเภณี ครับ
แต่ปัจจุบันไม่มีใครใช้แล้ว

ก็คงคล้ายกับบ้านเรา  สะแลง บางคำก็เป็นไปแค่ยุคหนึ่งๆ  พอตกยุคไป ก็หายไป  บางคำก็ยังใช้อยู่  เช่นกัน

ส่วนคำว่าจิ๊กกี๋  ก็คง สะแลง แผลงตาม จิ๊กโก๋ นั่นแหละครับ

กระเป๋า  กระปี๋

จิ๊กโก๋  จิ๊กกี๋

ภาษาไทยเราน่ะเล่นได้มากกว่าต่างประเทศครับ เพราะเรานั้น มีครบ เนื่องจากเราผันเสียงวรรณยุกต์ครบตามเสียงดนตรี  แต่ชาติอื่น ผันไม่ครบครับ


พูดแล้วก็ภูมิใจในภาษาไทยครับ


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 26-05-2006, 23:10
เรื่องครูฝึกสอน
เหตุเกิดที่โรงเรียนเดียวกันกับคุณshane
เวลามีครูฝึกสอนมานี่ เด็กเรียนแถวหน้า จะถูกบังคับให้ร่นไปอยู่แถวหลัง
แล้วบรรดาตัวแสบทั้งหลายก็จะ มานั่นปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ นั่งมองหน้าครูสาวๆด้วยกิริยา
ที่น่าถีบเป็นอันมาก
  พวกเวรที่นั่งแถวหน้าทั้งหลาย มันจะพกกระจกเงาอันเล็กคนละอัน หากครูฝึกสอนเข้ามายืนเกาะ
โต๊ะเมื่อไหร่ก็เป็นอันเสร็จมัน มันจะใช้กระจกอันเล็กๆที่เตรียมมาวางบนหลังรองเท้า แล้วยื่นไปส่อง
ใต้กระโปรงของครูฝึกสอน
  "เฮ้ย...สีชมพูว่ะ"
เสียงกระซิบกระซาบต่อๆไป เป็นอันรู้กันหมดทั้งห้อง แล้วก็จะมีเสียง ชมพู ชมพู รับกันเป็นทอดๆ
   ครูฝึกสอนสาวๆไปสอนพวกผมได้ไม่นานสักคน บางคนก็โกรธ บางคนก็น้ำตาซึม ต้องออกจากห้องไป
ก่อนจะครบชั่วโมงเสมอๆ เรื่องถูกทำโทษนั้น ไม่ค่อยมีใครจะกลัวกันสักเท่าไหร่ ดีหน่อยที่พวกเกเรมัก
จะออกมารับผิด เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเรียนโดนทำโทษอยู่เสมอ
   ผมจัดอยู่ในประเภทสะเทินน้ำสะเทินบก อยู่กับพวกเด็กเรียนก็ได้ คบพวกเกเรก็ได้ แต่ป้ายชื่อโรงเรียน
กับเลขประจำตัวนั้น ใช้ปักในแผ่นผ้า ใช้กาวแปะแล้วเอาเตารีดถูให้ดูแนบแน่น พร้อมที่จะดึงได้ออก
ทุกเวลาที่โดดเรียน สมัยผมนิยมโดดเรียนไปเล่นสนุ๊กฯ เพื่อนๆที่เกเรมันพกกรรไกรตัดลวดไปโรงเรียนด้วย
หนีออกทางดับเพลิง จนสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหลายๆคน
   ผมไม่ชอบอยู่อย่างคือเรื่องแก้วน้ำ (แก้วพลาสติค) ที่พวกนักเรียนชอบเอามาจากโรงอาหาร ดื่มน้ำเสร็จ
ก็เอามาเตะเล่น โยนทิ้งตามท่อระบายน้ำ แล้วแม่ค้าก็มาตามเก็บเอาไปล้างให้พวกเราดื่มกันใหม่
   มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ครั้งหนึ่ง หลังจากจบที่สถาบันแห่งนี้ไปแล้วหลายปี ได้เกิดมีการยกพวกตีกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างมาเผชิญหน้ากัน กำลังจะถึงขั้นตะลุมบอนกันแล้ว
   "เฮ้ย...หยุด"
สองคนคนละฝ่าย ตะโกนเกือบจะพร้อมๆกัน เมื่อเห็นลีลาการใช้เข็มขัดเตรียมประจัญบาน
เพื่อนที่เคยเรียนชั้นเดียวกับผม
เรากระโดดเข้ากอดกันกลม
เปลี่ยนจากที่จะราวี ไปนั่งดื่มเหล้ากันเสียนี่
   นี่แหละครับ ที่ผมชอบใช้ชื่อ
     ชมพูม่วงสองสีนี้คือดวงใจ



ต้องกราบขอบคุณ พี่ถึกครับ  รุ่นพี่โรงเรียนเก่า คณะเราเช่นกัน ที่มาร่วมเล่า กาลครั้งหนึ่ง gigalo กับผม

วีรกรรมที่พี่เล่านั้น เป็นมรดกตกทอดมาหลายสมัยแก่พวกผมเช่นกันครับ  กราบขอบพระคุณ มา ณ ที่นี้ ถึง ความรู้ทางด้านฟิสิกส์ เรื่องแสง การตกกระทบของแสง และภาพสะท้อนจากกระจก

น้องๆรุ่นหลังก็ทำครับ   รุ่นพี่ถึกนี่เองที่เป็น ยูเรก้าให้พวกเราได้ทำอะไรพิเรนทร์กัน ..อิอิ

แต่พี่อาจลืมเรื่องการเจาะฝาหลังห้อง มองย้อนไปหากระดานดำของอีกห้องที่ครูสาวๆที่เขียนกระดานอยู่จะไม่มีทางทราบเลยว่า เด็กอีกห้องมันก้มมองลอดกระโปรงอยู่หลังห้องอีกห้องหนึ่ง..........(ฮา)


เรื่องเลือดข้น นั้น ผมเห็นด้วยครับ ในอดีต นอกจากโรงเรียนเราแล้ว  โรงเรียนอื่นๆ ก็เป็นคล้ายกัน เช่น อัสสัมชัญ  เทพศิรินทร์  สันติราษฎร์  และอีกหลายสถาบัน

ผมเชื่อลึกๆว่า ระบบ seniority (ซียอนริตี้  ไม่ใช่ซีเหนี่ยริตี้ นะครับ  อย่าอ่านผิด)ในอดีตสมัยนั้น สร้างความรักและผูกพันแก่คนในสถาบันและสถาบัน หลอมรวมเข้าหากันได้อย่างวเหมาะเจาะและเป็นสิ่งดีงาม  แต่ในปัจจุบัน ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเปลี่ยนไปในทางลบ.

ขึ้นสามรุ่น ลง สามรุ่น เป็นคำพูดติดปากที่บอกว่า พวกเราเป็นลูกแม่เดียวกัน  มันบอกอะไรได้หลายอย่างจริงๆ

คำว่า มัจฉาร่วมข้อง เป็น วลี กุศโลบายของสถาบันอันรักยิ่งที่ ทำให้ผมมีวันนี้ได้


หัวข้อ: Re: กาลครั้งหนึ่ง gigalo
เริ่มหัวข้อโดย: นายชด(หนุ่ม) ที่ 27-05-2006, 13:02
คงไม่ต้องเดากันมากครับว่า อนาคตของนักมวย พวกมาก จะเป็นอย่างไร เมื่อไปเจอแชมป์มวยโรงเรียนตัวจริง

ผมน่ะ แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วครับ  วันชกจริงก็สู้ใจขาด  แล้วใจก็ขาดจริงๆ เพราะ ช้ำไปหมดทั้งหัวไหล่ และท้อง ส่วนใบหน้านั้น ผมขอหล่อไว้ก่อน ยังไม่วายคิ้วปูดเกือบแตกสองข้าง  ดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็สมเพชเวทนาอยู่นานทีเดียว   แต่ก็ทะลุไปเจอแชมป์เก่า ไปแพ้เอาในรอบลึกๆครับ ไม่ได้ตกม้าตายตั้งแต่อยู่ในสาย


ขอย้อนไปนิดตรงที่ก่อนขึ้นชก ในวันงานปีใหม่โรงเรียน ที่ผมไปนั่งกินเหล้า ดูดกัญชากะเพื่อนนั่นแหละ
ก็เลยบอกว่า กาลครั้งนั้น สมัยนั้น ยาเสพติด แบบปัจจุบันประเภทเม็ดๆน่ะ  มันก็มีครับ  แต่หายากเอามากๆ เป็นพวกโมการ์ดอน (ยากล่อมประสาท ทำให้ง่วง)  แอลเอสดี  แวเลี่ยม   แต่ไม่ใช่ยาม้า ยาบ้า

  เด็กวัยรุ่น มันเป็นวัยอยากลอง  วัยอยากรู้ วัยที่เตลิดในความคิดและอารมณ์ได้ภายในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีครับ  มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

โค้งแรกของการเป็นมนุษย์ และเป็นโค้งอันตราย ก็คือในวัยนี้นั่นเอง!!!  แหกโค้งไป ตกเขาตายก็มาก  ตกเขาแต่ตระกายขึ้นมาได้ก็มี  แค่เสียหลักไม่แหกโค้งกลับลำได้ก็มาก 

ผมและเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ แหกโค้งตกลงไปแล้วครับ แต่เกาะกลุ่มกันตระกายขึ้นมา

อย่างน้อย ถ้าจะตายก็ขอตายข้างบน ไม่ขอตายในหุบเหว หรืองอมืองอเท้ารอคนมาช่วยเมื่อแหกโค้งตกเขาลงไป

.................วัยรุ่นสมัยผม ลองเพื่อรู้ ใช้ชีวิตให้คุ้ม  และใช้ชีวิตให้เป็น  ออกแนว  เซอร์ไวว์มากกว่า แนว หลงผิดคิดเป็นโจร จริงๆ

และน้อยรายที่จะใช้ชีวิตแบบทำลายชีวิตเหมือนวัยรุ่นหลายคนในปัจจุบัน



สมัยนั้นกัญชา หาซื้อง่ายพอๆกับหาซื้อยาบ้าสมัยนี้ครับ
มีหลายแพคเกจให้เลือก

แบบใบล้วนๆ อบแห้งสนิท
แบบใบผสมก้าน ผสมเม็ด
แบบใบล้วน อบพอแห้ง
แบบอบฝิ่น

หลายโปรโมชั่นครับ  เรียกว่าเดินเข้าไปซื้อแล้ว จะมีคนสาธยายแพ็กเกจต่างๆ

หากเป็นแบบรุ่นออริจินัล คือ มีใบ มีก้าน มีเม็ด ปนๆกัน พันอยู่กะก้าน  ยาวประมาณสามนิ้วกว่าๆ ห่อใส่กระดาษหนังสือพิมพ์  ราคา สามบาท ขาดตัว   หนังสติ๊กรัดสีน้ำตาลอ่อน

หากดีขึ้นมาหน่อย เม็ดไม่มีมาก มีใบเยอะ และก้าน อบแห้งสนิท  อันนี้ห่อละ 5 บาท หนังสติ๊กรัดสีเขียว

หากใบล้วนๆ  อันนี้สุดยอด   จะใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้น อันนี้ห่อละ 10-12 บาท

หากอบฝิ่น ราคาพุ่งไปถึง สามสิบบาท ถึง ห้าสิบบาท
มีการพัฒนา เอาผงขาว ไปโรยด้วย อบด้วย อันนั้นห่อละ 70 ขาดตัว
เพราะผงขาวปิ๊กนึงก็ราวๆ 40 บาทแล้ว ตอนนั้น

ปิ๊กที่ว่า ไม่ใช่หลอดกาแฟที่พัฒนาบรรจุภัณฑ์ขึ้นมาหลังจากนั้น  ปิ๊กรุ่นแรกจะเป็นทรงกระบอกเล็กๆมีฝาปิด  มันก็คือ ที่ใส่ใส้ดินสอของวงเวียนนั่นแหละครับ

ต่อมาก็พัฒนาเพื่อลดต้นทุนบรรจภัณฑ์มาเป็นหลอดพลาสติกดูดกาแฟ

บ้องนั้นเราทำกันเองจากกระบอกไม้ไผ่  ลิ้นที่ใช้ก็ทำเองจากไม้ไผ่ เท่านั้นก็พอครับ
หากมีการเดินทางไปนำเที่ยว หรือไปในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่แหล่งมั่วสุมประจำ  เราก็จะพกเอาแต่ลิ้นส่งไปเท่านั้นกับดินน้ำมันสักก้อน

นอกนั้น ทำเองหมด

ไม่มีอะไรยาก ตัวบ้องก็ใช้ขวดพลาสติกทรงสูงธรรมดาเจาะรูกลางขวด ค่อนลงไปทางก้น เล็กน้อย ให้เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของลิ้น จากนั้นก็เอาดินน้ำมัน หรือดินเหนียว ประคองและอุดซะก็จบ

ท่อดูดก็ใช้ก้านมะละกอนี่แหละ  หาง่ายครับ สมัยนั้น ตัดมาสักสามสี่ก้านขนาดพออมเข้าปากได้  ที่ต้องใช้สามสี่ก้านเพราะ ดูดไปนานๆมันโดนความร้อนมันก็เหี่ยว

ก้านดูก็จุ่มเข้าไปในขวด ให้อยู่เหนือน้ำเล็กน้อยสักนิ้วกว่าๆ  จากนั้นก็ผนึกให้สนิทกัลบปากขวด อย่าให้มีรูอากาศเร็ดรอดได้ เพราะเวลาดูด มันจะเหนื่อยและใช้แรงมาก

เป็นอันใช้การได้

สมัยก่อนเราปิ้งหมูกินกันด้วย

หมูที่ว่า  หากเป็นหมูธรรมดาก็คือ หลังจากยัดกัญชาที่ยำกับใบยาบุหรี่ไปแล้ว ใส่ลงไปที่ลิ้น ก็หั่นบุหรี่กรุงทองขนาดครึ่งเซ็น  วางทับ  จ่อไฟล่อ แล้วดูดให้ไฟติดที่บุหรี่และเผาไปกับกัญชาที่ดูด  ทีเดียวให้หมดทั้งลิ้นส่งครับ

การดูดแบบนี้เขาเรียกว่า "เดินดง" คือถ้าบอกว่าเดินดง ก็หมายถึง  จะมานั่งค่อยๆดูดให้หมดไม่ได้  ต้องกระชากโช๊คทีเดียวให้หมดที่อยู่ในลิ้นส่ง  หรือที่บางคนยก็เรียกกันง่ายๆว่า  ปิ๊ก เช่นกัน






(มีต่อ)