หัวข้อ: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1-2-3จบ(กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ทำลาย ที่ 22-05-2006, 05:02 (http://img67.imageshack.us/img67/7576/govno6ul.jpg) (http://imageshack.us) ถึงเวลาแล้วครับที่เราต้องเข้าใจเรื่องการคลังของรัฐบาลกันบ้าง ไม่ใช่รัฐบาลในอดีตของคุณทักษิณเท่านั้นแต่ของทุกรัฐบาลที่รับอาสาทำงานแทนพวกเรา งานนี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นการดูแลเงินภาษี เงินที่รัฐได้มาจากความเหนื่อยยากของพลเมืองดีที่ยินดีเสียภาษีครับ ปีหนึ่งๆ รัฐฯเก็บภาษีจากประชาชนในรูปแบบต่างๆกัน ตั้งแต่การจัดเก็บแบบง่ายๆ เช่นภาษี VAT คือโดนเก็บภาษีกันหมดทุกคนไม่ว่าจะฐานะยากดีมีจนแค่ไหน จ่ายเท่าๆ กัน ปัจจุบันจ่ายร้อยละ7 หรือภาษีเฉพาะประเภท เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ใครหาได้มาก จ่ายมาก คนไหนหาได้น้อย จ่ายน้อย (พวกหาได้มาก แล้วเบี้ยวไม่ชอบจ่ายก็มี!) รัฐบาลในอดีตเก็บเงินภาษีได้ปีละหลายแสนล้าน ตอนนี้ปาเข้าไปปีละล้านล้านบาทแล้วครับ รัฐบาลบางครั้งลืมตัว เวลาใช้เงินเพื่อการหนึ่งการใด ขาดความระมัดระวัง ทำเหมือนว่าเป็นเงินที่หาได้มาเอง แท้ที่จริงเป็นเงินที่ได้มาจากการเก็บภาษีจากหยาดเหงื่อของพวกเราทั้งสิ้น การใช้เงินภาษีที่เรียกกันว่าเงินงบประมาณ มีขบวนการตามที่กฎหมายกำหนดครับ รัฐบาลคือผู้เสนอว่าจะใช้เงินในการพัฒนาประเทศไปในทิศทางใด ส่วนผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินงบประมาณรวมทั้งรายละเอียดการใช้จ่าย คือ ส.ส.ตัวแทนของพวกเรา ที่ท่านผู้อ่านดูทีวี เห็นนั่งหน้าสลอนในสภาละครับ ทุกปีรัฐบาลจะเสนอรายการใช้จ่ายเงินในรูปแบบของกฎหมาย เรียกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี.... ทุกๆ ปี หลักการจัดงบประมาณที่สำคัญคือ รัฐบาลจะกำหนดว่าการใช้จ่ายในปีนี้ หาได้เท่าไร ก็จะใช้เท่านั้น เรียกว่า งบประมาณสมดุลหรือ หาได้เท่านี้ ไม่พอใช้ ขอกู้เพิ่ม เราเรียกกันว่า การจัดงบประมาณขาดดุล ใช้ได้ทั้งสองวิธีแล้วแต่ฐานะทางเศรษฐกิจและแนวนโยบายการใช้จ่ายเงินในแต่ละปี ที่คุยกันเป็นเรื่องขำขันคือ ปีไหนรัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุล ฝ่ายค้านจะโต้ว่าทำไมไม่จัดแบบสมดุล และถ้าปีใดรัฐบาลจัดงบแบบสมดุล ฝ่ายค้านก็จะโวยวายว่า น่าจะจัดงบประมาณแบบขาดดุล เป็นฝ่ายค้านทำงานง่ายดีไหมครับ ผลจากนโยบายการจัดงบประมาณนี่แหละครับ จะเป็นตัวกำหนดว่า สถานะทางการคลังของประเทศเป็นอย่างไร เช่น ถ้านโยบายการใช้จ่ายเงินงบประมาณอยู่ในรูปแบบของการขาดดุล ต้องกู้เงินเพื่อนำมาปิดหีบงบประมาณ หนี้ของรัฐฯก็จะเพิ่มทุกปี ในขณะที่ถ้ารัฐบาลเก็บเงินภาษีได้มาก และใช้น้อย ใช้ไม่หมด รัฐบาลก็จะมีเงินเหลือเพิ่มทุกปี เช่นกัน อ่านมาถึงตอนนี้ เห็นได้ว่าเข้าใจได้ไม่ยากนัก ไม่ต่างจากการคลังในกระเป๋าของท่านผู้อ่านเท่าไรใช่ไหมครับ ที่ยุ่งยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งคือ การคลังของรัฐบาลนั้นไม่ได้มีเฉพาะเงินที่เข้าออกในระบบงบประมาณเท่านั้น มีเงินที่อยู่นอกระบบด้วย เราเรียกกันว่าเงินนอกงบประมาณ ผมไม่ทราบว่าเรื่องของเงินนอกงบประมาณนี้เกิดขึ้นเมื่อไร คิดในใจว่าจะไปค้นดูซักทีแต่ก็หาเวลายังไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าเป็นเงินในงบประมาณ ส.ส.คือ ตัวแทนของพวกเรามีส่วนรับรู้ แต่ถ้าเป็นเงินนอกงบประมาณ จะกลายเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร แปลว่ารัฐบาลมีอำนาจในการใช้จ่ายเงินได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ ฟังดูแล้ว ระบบนอกงบประมาณนี่ไม่ค่อยจะดีใช่ไหมครับ พิจารณาได้จากตัวอย่างแบบนี้ กองสลากขายหวยบนดิน รายได้จากการขายหวยหักลบรายจ่ายค่ารางวัล เป็นกำไร รัฐบาลจัดชั้นกำไรประเภทนี้ โดยกำหนดว่าไม่ต้องส่งเงินเข้าคลัง กลายเป็นเงินนอกงบประมาณ รัฐบาลใช้ได้เต็มที่ มั่วแบบที่เห็นกันอยู่ เรื่องนี้ต้องคุยกันอีกมาก พอดีวันนี้ไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ ผมต้องขออนุญาตข้ามไปก่อน อ่านต่อครับ เงินนอกงบประมาณและเงินในงบประมาณเขานำมาปนกันครับ รวมกันในรูปแบบเฉพาะของเงินสดเท่านั้น ไม่ใช่ระบบบัญชี ดังนั้นสถานะทางการคลังของประเทศนอกจากจะพูดถึงผลของการรับเงินหรือจ่ายเงินในงบประมาณแล้ว ยังมีผลของการรับเงินหรือจ่ายเงินของเงินนอกงบประมาณมารวมด้วยอีกต่างหาก เงินคงคลังจะเป็นตัวดำหรือตัวแดง ต้องรวมทั้งสองส่วนคือ ส่วนของในงบประมาณและส่วนของนอกงบประมาณด้วย ตัวดำไม่เป็นปัญหา แปลว่า มีเงินเหลือเวลาตัวแดง แปลว่า "เงินหมด ไม่มีจ่าย" เรียกว่า ถังแตกครับ ( มีต่อ ) กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ www.korbsak.com (http://www.korbsak.com) หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1 (กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 22-05-2006, 08:44 ผมชอบบทความที่คุณกอร์ปศักดิ์เขียน เพราะเขียนได้ชัดเจนและเข้าใจง่ายดีครับ
หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1 (กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 22-05-2006, 09:21 คร่อกกกก.........ฟี๊...ส์..ส์.........
หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1 (กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 22-05-2006, 10:26 ไม่นานเกินรอหรอกครับ..........เด๋ว มันก็มาบี้เอากับกระเป๋าแห้งๆของประชาชนอีก
หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1-2 (กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ทำลาย ที่ 25-05-2006, 14:51 (http://img81.imageshack.us/img81/9809/govno18hx.jpg) (http://imageshack.us) วันที่ :23 พฤษภาคม 2549สองสามเดือนที่ผ่านมา คนนินทารัฐบาลรักษาการของคุณทักษิณกันมาก ลือกันให้แซดว่ารัฐบาลถังแตก เพราะเมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินเดือนลูกจ้าง ก็ไม่จ่าย ครบกำหนดงวดเงินที่ต้องจ่ายผู้รับเหมา ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ รอกันนานเป็นเดือน บางราย 3-4 เดือนแล้ว ยังไม่เห็นมีท่าทีว่าจะดีขึ้น ถ้าใช้นิยามคำว่ารัฐบาลถังแตก แบบที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน แปลความได้ว่าตอนนี้เงินคงคลังเป็นตัวแดง เงินไม่มี เงินหมด รายได้ ไม่ทันรายจ่าย แถมไม่ได้เตรียมกู้ไว้ล่วงหน้า บริหารเงินสดหมุนเวียนไม่เป็น ไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายแบบมืออาชีพ ใครที่ไม่ชอบรัฐบาลอยู่แล้วก็จะโวยวายเลยว่ารัฐมนตรีคลังไม่เป็นสัปปะรด รายได้จากการจัดเก็บภาษีมีมากกว่ารายจ่ายอยู่แล้ว ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นินทากันหูอื้อละครับ แล้วความจริงเป็นอย่างไร ? ต้องดูกันที่ตัวเลข มีไม่กี่รายการหรอกครับ ต้องเริ่มต้นที่วันแรกที่คุณทักษิณรับอาสาบริหารประเทศกันเลย แล้วไล่กันไปทีละปีก็จะเข้าใจครับ รัฐบาลคุณทักษิณเป็นรัฐบาลแรกที่ได้มีโอกาสรับผิดชอบจัดงบประมาณแผ่นดิน ติดต่อกันถึง 5 ปี คือปีงบประมาณ 2545 2549 และในระหว่างปีงบประมาณ ตลอดระยะเวลา 5 ปีนั้น ยังมีการจัดงบประมาณกลางปีถึง 2 ครั้ง คือในปี 2548 และปี 2549 ที่ผมกล่าวมาตั้งแต่แรกว่า เงินคงคลังคือตัวชี้วัดว่ารัฐบาลถังแตกหรือไม่เพราะเงินคงคลังแท้ที่จริงก็เปรียบได้ว่าเป็นเงินออมของประเทศนั่นเอง ว่าตามหลักทฤษฏีนะ ปฏิบัติจริงไม่ใช่ เมื่อจะวิเคราะห์ว่ารัฐบาลมีเงินสำหรับใช้จ่ายจริงหรือไม่ ต้องดูกันที่เงินคงคลัง สิ้นปีงบประมาณ 2544 มีเงินคงคลังจ่ายในมือที่ 76,402 ล้านบาทครับ การจัดงบประมาณ 3 ปีแรกของรัฐบาลคุณทักษิณ เป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุลตลอดทั้ง 3 ปี แปลว่าเก็บภาษีได้เท่าไหร่ไม่เคยพอใช้ต้องกู้ทุกปี สิ้นปีงบประมาณ 2547 มีเงินคงคลังอยู่ในมือที่ 153,242 ล้านบาท งงไหมครับ? ถ้าต้นปี 2544 มีเงินในกระเป๋า 76,402 ล้านบาท 3 ปีให้หลังเงินออมเพิ่มเป็น 153,242 ล้านบาท เป็นไปได้อย่างไร เพราะตลอด 3 ปีไม่เคยมีเงินเหลือใช้ในแต่ละปีเพราะต้องกู้เพิ่มทุกปี ตรงนี้แหละครับคือปัญหา เพราะเงินคงคลังที่ว่าเป็นเงินออม ตามทฤษฎีนั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่ ในการปฏิบัติเป็นเพียงเงินในกระเป๋าคงค้างอยู่เท่านั้น เวลารัฐไปกู้เงินมามาก ๆ แล้วใช้ไม่ทัน เงินเหลือ ก็กองไว้ตรงนี้แหละครับนำเงินกู้มาเป็นเงินคงคลัง แสดงว่าตัวเลขเงินคงคลังแท้จริงมีการบิดเบือนใช่หรือไม่? ถูกต้องที่สุดครับ แล้วในระบบของเรา จะมีทางรู้หรือไม่ว่าเงินคงคลังหรือเงินออมมีเหลือจริง มีเท่าใด ใครตอบได้ บอกได้เลยว่า ตรงนี้ไม่มีคำตอบ ดูต่ออีกนิดหนึ่งครับ คือปี 2548 และปี 2549 ทั้งสองปีงบประมาณ น่าสนใจ เนื่องจากรัฐบาลจัดงบประมาณแบบสมดุลไม่มีการกู้ สิ้นปีงบประมาณ 2549 คาดว่าจะมีเงินคงคลังเหลือประมาณ 100,000 ล้านบาท แปลกดี สองปีหลังรัฐบาลไม่ต้องกู้เพิ่มเพราะเก็บเงินภาษีได้มาก แต่เงินคงคลังอาจหายไปถึง 50,000 ล้านบาท (อย่าลืมว่า สิ้นปี 2547 มีเงินคงคลัง 153,242 ล้านบาท ) แต่อย่างน้อยอ่านได้ว่า ปี 2549 ไม่น่ามีปัญหาว่ารัฐบาลถังแตก เพราะเงินคงคลังยังเป็นตัวดำ ใช่หรือไม่? ถูกแต่ไม่ทั้งหมด เพราะปรากฏว่าช่วงต้นปีรายได้จากการเก็บภาษี เข้าช้า ขณะที่รัฐบาลเร่งรัดการจ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พูดง่าย ๆ ทำโครงการเร็วขึ้น เบิกเงินเร็วขึ้น ทำให้รัฐบาลหมุนเงินไม่ทัน ฟังดูแล้วรัฐบาลคงจะไม่ถังแตกตามที่นินทากัน เพียงแต่บกพร่อง ไม่วางแผนการใช้จ่ายเงินแบบนักบริหารที่ดี ปัญหาทั้งหมด ถึงวันนี้ คงจะหมดไปแล้ว อาจใช่ครับ แต่ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจจะเล่าให้ฟังต่ออีกใน 2-3 วันนี้ครับ. กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ www.korbsak.com หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1-2 (กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: Killer ที่ 25-05-2006, 15:24 รอผู้รู้มาตอบ....ดีกว่า ว่าไอ้หมอนี่มั่วยังไงมั่ง
แต่เท่าที่พอจะทราบ งบประมาณในแต่ละปี ถ้าเข้าใจคำว่า "ประมาณ" ก็ไม่น่าจะโง่ที่จะเข้าใจ เหมือนกับบริษัททั่วไป ที่ผู้บริหารจะจัดทำงบประมาณการในแต่ละปี อาจจะหลุดไปจากนี้บ้างก็เป็นไปได้ ถ้าทำได้ใกล้เคียงหรือว่าเป๊ะเลยก็ถือว่าฝีมือ แต่ของจริงอยู่ที่ งบกระแสเงินสด หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1-2-3จบ(กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ทำลาย ที่ 26-05-2006, 13:04 (http://img129.imageshack.us/img129/4303/govno39xv.jpg) (http://imageshack.us) ก่อนจะถึงเนื้อหา ลองนึกภาพเงินในธนาคารของท่านตอนสิ้นปี สมมุติกันว่า ณ สิ้นปี 2544 ท่านมีเงินออมในธนาคารจำนวน 1,000,000 บาทท่านได้ประมาณไว้ว่าปีหน้า คือปี 2545 ท่านน่าจะมีรายได้ทั้งปีประมาณ 1 ล้านบาท และคำนวณแล้วว่าอาจจะใช้เงินตลอดปีประมาณ 1.2 ล้าน มากกว่าที่หาได้ประมาณ 200,000 บาท คิดแล้วท่านมีทางแก้ปัญหา 2 ทางคือ 1. กู้เงินจากเพื่อน 200,000 บาท จะได้พอกับรายจ่าย หรือ 2. นำเงินออมที่เก็บไว้มาใช้ 200,000 บาท ถ้าท่านเลือกวิธีที่ 1 เงินออม ณ สิ้นปี 2545 จะเหลือเท่าเดิมคือ 1,000,000 บาท แต่ท่านจะมีภาระเป็นหนี้ 200,000 บาท ถ้าท่านเลือกวิธีที่ 2 เงินออมของท่านก็จะเหลือเพียง 800,000 บาท แต่ไม่เป็นหนี้ใคร วิธีนี้ดีสุด เพราะเป็นการประหยัดค่าดอกเบี้ย ทุกคนใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น ความจริงแล้ว เงินออมของพวกเรามักเป็นของแท้ เหลือจากใช้จ่ายเท่าไหร่ก็จะฝากประจำเก็บไว้ เงินขาดมือถึงจะเบิกมาใช้ เงินคงคลังของรัฐบาลก็ไม่ต่างกันครับ เพียงแต่ว่า เงินของรัฐมีปีงบประมาณเป็นหลักในการคิด เงินคงคลังที่ถือว่าเป็นเงินออม อาจไม่ใช่เงินออมเสมอไป เพราะมีค่าใช้จ่ายค้างข้ามปี เงินออมของท่านผู้อ่านคือเงินออมที่แท้จริงไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนดไม่มีค่าใช้จ่ายข้ามปี ตั่งค้างรอเบิก ผมได้เรียนแล้วว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2544 มีเงินคงคลัง 76,402 ล้านบาท ไม่ใช่เป็นเงินออมทั้งหมด เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้จ่ายอีกเป็นจำนวนมากของปีก่อนๆ ภาษาราชการเขาเรียก ค่าใช้จ่ายเหลื่อมปีครับ รัฐบาลเมื่อใช้จ่ายเงินมากกว่าเงินภาษีที่เก็บได้ ไม่มีสิทธิเลือกวิธีใด เงินขาดเท่าไหร่ จะต้องขอวงเงินกู้เท่านั้น รัฐบาลอาจไม่กู้ทั้งหมดก็ได้ เพราะในระหว่างปีงบประมาณ รัฐบาลอาจมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้กู้ไปเงินอาจจะเหลือ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกู้ให้ครบทั้งจำนวน เสียดอกเบี้ยฟรีไปทำไม ขณะเดียวกัน รายจ่ายของรัฐบาลก็ไม่แน่นอน เพราะบางครั้งทำตัวเลขตกหล่น หรือไม่คาดว่าจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้วิธีที่สองคือ นำเงินคงคลังมาใช้ก่อน การบริหารเงินสดของรัฐบาลจึงยุ่งยาก ซับซ้อน ทำได้ดีหรือไม่ขึ้นโดยตรงกับความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลครับ 3 ปีแรกของรัฐบาลคุณทักษิณ ตั้งงบประมาณขาดดุล และต้องกู้เงินทั้ง 3 ปี ประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหา คือ ค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า งบกลาง ครับ งบกลางตั้งไว้สูงมากทุกๆปี ทำให้รัฐบาลต้องตั้งวงเงินกู้เพื่อปิดหีบงบประมาณจำนวนมากทั้งสามปี งบกลางถูกวิจารณ์มากว่าเป็นการจัดงบประมาณที่ผิดวินัยทางการคลังอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการขอใช้เงินโดยไม่มีโครงการหรือแผนงานรองรับ มีแต่วงเงินเท่านั้น พอถึงเวลาใช้เงินจริง จึงไม่มีปัญญาใช้ให้ทันในปีงบประมาณนั้นๆ ก็ไม่มีแผนงานรองรับนี่ครับ เป็นการใช้เงินแบบมั่วๆ จึงใช้ไม่ทัน ต้องกันวงเงินเผื่อไว้ข้ามปี ไม่ใช่ปีเดียว 2-3 ปีก็มี นี่แหละครับ ที่ทำให้เงินคงคลังมีจำนวนสูงขึ้นในช่วง 3 ปีแรก เพราะหน่วยราชการใช้เงินไม่ทัน หลังจาก 3 ปี แรกแล้วเกิดอะไรขึ้นครับ ปลายปีที่ 3 และต้นปีที่ 4 ปรากฏว่างบกลางที่เตรียมไว้เมื่อปีที่ 1 เพิ่งจะมาเบิกกันครับ ทำให้เงินคงคลังที่มีเหลืออยู่ไม่พอจ่าย เกิดเป็นตัวแดงขึ้น ที่กล่าวมานี้เป็นปัญหาแรก ที่ไม่ได้เตรียมแผนไว้รองรับ ปัญหาที่สองครับ ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการจัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่ยอมรับความจริง ตัวอย่างเช่น ปีนี้ต้องใช้หนี้ 80,000 ล้านบาท สำนักงบประมาณก็จะจัดงบประมาณไว้ให้เพียง 60,000 ล้าน เวลาเบิกเงิน สำนักงบประมาณอนุมัติให้เบิกตามจริง โดยนำเงินคงคลังมาให้ก่อน กฎหมายย่อมให้ทำได้ ใช้เงินในส่วนที่เรียกว่าเงินนอกงบประมาณ ทำให้เงินนอกงบประมาณกลายเป็นตัวแดง สำนักงบประมาณใช้วิธีนี้มาโดยตลอด ทำไมทำกันอย่างนี้ เอาใจนายไงครับ ทำให้ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ต่ำกว่าความเป็นจริง พอนำตัวเลขค่าใช้จ่ายมาเปรียบกับรายได้จากการเก็บภาษี ตัวเลขดูสวยขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายต่ำ ทำให้จัดงบประมาณสมดุลง่าย รัฐบาลคุยโวได้ว่าเก่ง โกยคะแนนเสียงทางการเมืองเป็นกอบเป็นกำ ถ้าไม่เชื่อผม ดูตัวเลขซิครับ ว่ามีการเบิกเงินคงคลังไปใช้กันเท่าใดในแต่ละปี ปี จำนวนเงิน(ล้านบาท) 2545 13,204 2546 41,344 2547 88,786 2548 37,087 รวมเงินจ่ายจากเงินคงคลัง180,421 ล้านบาท พรบ.เงินคงคลังมาตรา 7 (1) อนุญาตอยู่แล้ว วิธีการงบประมาณระบุว่า ถ้ามีการนำเงินคงคลังมาใช้ในปีใด ต้องจัดงบจ่ายคืนในปีถัดไป ทราบว่ามีการจัดงบประมาณเพื่อใช้คืนในปีถัดไปจริง แต่เม็ดเงินไม่เคยนำส่ง จริงหรือไม่ต้องรอฟังสำนักงบประมาณชี้แจง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ www.korbsak.com หัวข้อ: Re: รัฐบาลถังแตก !! ภาค1-2-3จบ(กอร์ปศักดิ์ เล่าให้ฟัง) เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ทำลาย ที่ 26-05-2006, 13:07 ปัญหาที่สามครับ เมื่อรัฐบาลมีการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในแต่ละโครงการ ทำให้การเบิกจ่ายมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่กลายว่ามากระทบเงินคงคลัง ที่มีไว้ไม่มากพอ เห็นได้ชัดเจนว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลคุณทักษิณไม่เข้าใจคำว่าวินัยทางการคลัง การตั้งงบประมาณที่เรียกว่างบกลาง แล้วนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองโดยไร้แผนงาน นอกจากจะเป็นการใช้เงินภาษีแบบไม่โปร่งใสแล้ว ยังทำให้การบริหารเงินสดเกิดปัญหา เช่นเวลามีเงินสดมากในปีแรกๆ ขอวงเงินกู้ไว้ แต่กู้ไม่ครบเพราะโครงการที่ใช้งบกลางยังไม่ได้เริ่ม ทำอย่างนี้ติดต่อกัน 3 ปีพอเริ่มต้องใช้เงินในปีที่ 4 จึงเกิดปัญหา นี่ถ้าเป็นภาคเอกชน ป่านนี้ ซีอีโอฝ่ายการเงิน ( CFO ) ถูกไล่ให้ไปขายหวยบนดินแล้ว
แล้วสมัยก่อนนี้เขาทำกันอย่างไร? ลองไปดูรัฐบาลช่วงปี 2532 - 2539 กันครับ เงินคงคลังแข็งปึก เรียกได้ว่าเป็นเงินออมจำนวนสูงทีเดียว จัดงบประมาณสมดุลเกือบทุกปี หาได้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ไม่มีการกู้เงินเพิ่ม ไม่มีการตั้งงบประมาณกลางปีเพื่อถลุงใช้เงินเกินความจำเป็น ตัวเลขเงินคงคลังของแต่ละปีเป็นอย่างนี้ ปีงบประมาณ เงินคงคลัง(ล้านบาท) 2532 21,320 2533 61,015 2534 132,679 2535 183,299 2536 226,895 2537 231,977 2538 237,977 2539 319,915 เงินคงคลังจากที่มีเพียง 21,320 ล้านบาท เพิ่มเป็น 319,915 ล้านบาท อย่างนี้ครับ เขาเรียกว่าเงินคงคลังที่เป็นเงินออมอย่างแท้จริง รัฐบาลสมัยก่อนจะดีชั่วอย่างไรก็แล้วแต่จะคิดกัน อย่างน้อยไม่เคยมีรัฐบาลไหนถลุงเงินภาษีของประชาชนอย่างเมามัน ที่ซ้ำร้าย ยังใช้ระบบการตลาด โฆษณาหาคะแนนนิยมว่าเก่งกาจทางด้านเศรษฐกิจอีกต่างหาก แต่ทุกอย่างก็หมดสิ้นเพราะวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2539 เงินคงคลังล่าสุดเกือบ 4 แสนล้านบาทด้องนำมาใช้จนหมด เราไม่ต้องโทษว่าเป็นความผิดของใคร แต่ต้องคิดว่า ยังโชคดีที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้อุตส่าห์มีเงินออมสะสมไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงแย่กว่านี้ ถึงวันนี้ เป็นอย่างไรครับ เงินออมของประเทศนะไม่มีหรอก เพราะช่วงที่เวลารัฐบาลเก็บภาษีได้มากกว่าที่ประมาณการ มีเงินเหลือ แทนที่จะเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต ก็ไปตั้งงบประมาณกลางปี ถึงสองปีซ้อน ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ตอนนี้เงินออมของประเทศไม่มีครับเพราะฉะนั้นเลิกคุยเสียทีว่าบริหารเก่ง เศรษฐกิจแข็งปึก สรุปว่ารัฐบาลยังไม่ถึงกับถังแตกครับ แต่มีปัญหา ขาดวินัยทางการคลังไม่มีวินัยในการใช้เงินภาษีของประชาชน ทำให้บริหารเงินสดผิดพลาด เป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐบาลจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะต้องสำนึกอยู่เสมอว่าเงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์คือเงินจากหยาดเหงื่อของประชาชน ไม่มีสิทธิที่จะนำเงินมาใช้ในการเพิ่มคะแนนนิยมให้กับตัวเองหรือพวกพ้องอย่างเด็ดขาด ต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดกับเจ้าของเงินครับ ขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ได้ติดตามและทนอ่านมาได้จนถึงวันนี้ เก็บไว้ในใจมันกลุ้ม หาที่ระบายหน่อยครับ ถ้าท่านต้องการทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดงบกลางของคุณทักษิณ คลิกได้ที่ : ข้อมูล : กรมบัญชีกลางกระทรวงการคลัง (http://www.korbsak.com/ebook/bugget_gov.pdf) ข้อมูล :กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ www.korbsak.com |