ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

น่าจะเป็นที่ชัดเจนในระดับที่คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงแล้วในขณะนี้ว่า ประชาชนไทยกำลังจะได้รัฐบาลใหม่ ภายใต้การคุมทีมของ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน

หลายเสียงวิพากษ์ หลายคำวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในบุคลิกภาพของนายกฯคนใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะออกมาในทาง ลบ มากกว่าบวก  โดยเฉพาะ จุดเด่นในลักษณะผู้นำที่จะต้องไปยืนผงาดร่วมทำงานกับ หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียและสากล

สิ่งที่นักธุรกิจมอง อาจแตกต่างไปบ้าง แต่ก็มีความกังวลลึกๆอยู่คือ คุณสมัครไม่มีความโดดเด่นและเฉียบแหลมในด้านเศรษฐกิจระดับสากล หรือ ระดับประเทศเท่าไรนัก และมองขยายไปอีกว่า การเจรจาต่างๆ อาจไม่ทันแนวคิดของประเทศอื่นๆ

จึงมีการจับจ้องเป็นพิเศษในทีมเศรษฐกิจระดับมหภาคและจุลภาค ของ รัฐบาลผสมชุดนี้ ว่า จะมีใครบ้าง(ที่ชัดเจนจริงๆ) และ นโยบายทางเศรษฐกิจในและนอกประเทศ กับสภาวะผันผวนของเศณษฐกิจโลกในขณะนี้

รัฐบาลใหม่จะมีปัญหาที่ต้องขบคิดมากเป็นอันดับแรกคือ  แนวนโยบายทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจทางแปซิฟิก อันได้แก่ สหรัฐอเมริกานั่นเอง

ไม่ใช่ว่าประเทศไทยเราจะไม่มีเอกภาพ แต่เป็นเพราะ เราเป็นประเทศเล็กที่ต้องมองประเทศหลักที่คุมระบบเศรษฐกิจโลกเอาไว้ เป็นแนวในการดำเนินการ  ดังนั้น  เมื่อทางสหรัฐฯยังไม่มีความชัดเจนในผู้นำประเทศ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเลือกตั้งหาเสียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนนั่นเอง ย่อมเป็นการยากต่อการวางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กอย่างเราเช่นกัน

การบ้านข้อสำคัญที่น่าปวดหัวคือ เรื่องนโยบายเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ

..................การสร้างนโยบายแบบประคองตัวตามสถานการณ์โลกในขณะนี้ ดูน่าจะเป็นทางออกเดียวที่ทางรัฐบาลใหม่จักพึงทำได้ แต่คงต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้งอย่างแน่นอน หลังจาก ที่ทางสหรัฐอเมริกาได้ตัวผู้นำประเทศคนใหม่ และประกาศนโยบายทางการเมือง เศรษฐกิจ และ การต่างประเทศ

เมื่อมองกลับย้อนมาที่เศรษฐกิจในประเทศ ก็น่าใจหายครับ
เพราะ ประเทศเรานั้น ผูกติดเศรษฐกิจภายในประเทศเราแบบลืมตัวมานานแล้ว กับ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสัดส่วนที่ไม่มีจุดปลอดภัย กล่าวคือ ผูกติดมากเกินไปกว่า ระยะแห่งความพอดี ในการยืนหยัดอยู่ได้โดย ไม่ต้องพึ่งการค้าระหว่างประเทศมากนัก

เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว มีทฤษฎีการประคองตัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศตนเองล้มละลายครับ มันเกิดขึ้นมาจากโลกสังคมนิยมประชาธิปไตยนี่แหละ ที่มองว่า จะต้องอยู่ได้ โดยไม่พึ่งสัดส่วนการค้าต่างประเทศในอัตราที่มากกว่า การสร้างฐานตนเองให้มั่นคง

.............................................ผมเชื่อว่าเมื่อถึงบริบทนี้ หลายท่านอาจคำนึงถึง เศรษฐกิจพอเพียง

ถูกต้องครับ  หากเราเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาสร้างรากฐานเศรษฐกิจภายในประเทศให้มั่นคง จากนั้น ในส่วนที่เกิน....เรานำเอาไปเป็นต้นทุนในการสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศ  เมื่อนั้น ประเทศเราจะสามารถเจริญทัดเทียม ประเทศอื่นๆได้อย่างสบายและมั่นคง และอาจเป็นประเทศเดียวในเอเชีย ที่มั่นคงที่สุด มากกว่า ญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำไป


......สิ่งที่รัฐบาลใหม่นี้ ควรจะต้องคำนึงและทำให้เป็นรูปธรรม และจำต้องสร้างรากฐานใหม่โดยเร็ว นั้น น่าจะได้แก่ การแปรเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาดำเนินการให้เร็วและกว้างมากที่สุดแก่ประชาชน

นโยบายประชานิยมนั้นจะต้องโยนทิ้งไปให้หมด เพราะขืนนำมาใช้ รังแต่จะเป็นตัวเร่งให้ประเทศล้มละลายอย่างรวดเร็ว เกินกว่าเยียวยาได้  โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันนี้ที่ผันผวนไปตาม ทรัพยากรทางด้านพลังงาน ด้วยแล้ว ..................การทุ่มนโยบายประชานิยมลงไปในประเทศ เท่ากับเป็นการเผาเงินของประเทศทิ้งไปอย่างไร้ค่าทีเดียว  เปรียบเสมือน การเอาน้ำธรรมดามาทำน้ำหวาน เพื่อมาดื่มแก้กระหาย แทนที่จะดื่มน้ำเปล่า และเอาน้ำตาลไปใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม เมื่อน้ำหว่านหมด..........คอก็ยังแห้งอยู่ และท่านก็ไม่มีน้ำบริสุทธิ์เหลืออีกแล้ว ได้แต่คอแห้งผากรอวันตาย


ในส่วนของการเมืองในประเทศ
สิ่งที่ประชาชน จะต้องคำนึงให้มาก และ หันหน้ามาเผชิญกับความจริงเสียทีคือ  การเมืองประเทศไทยที่ไม่พัฒนาไปได้เท่าไร นั้น  นักการเมืองไม่ได้เป็นคนก่อ  แต่ประชาชนเองต่างหากที่ ไม่มีความเข้าใจในระบบการปกครองและความหมายของประชาธิปไตย

.......................คุณปลูกถั่ว ไอ้ที่มันจะงอกออกมาจากดิน มันก็แค่ถั่ว  มันจะเป็นมะม่วงหรืออย่างอื่นไปไม่ได้เลย!!!!!


ภาวะซ้ำซ้อนของผลที่มาจากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมานับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มันฝังลึกอยู่มาตลอด ปราศจากการพัฒนาเลยสักนิด ประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงไม่มีความเข้าใจการเมืองอย่างถ่องแท้ ว่า แท้จริงแล้ว การเมืองมันคือ การกำหนดวิถีชีวิตของตนเองและลูกหลานตนเองสืบไป

....................หากประชาชนยังคงมองการเมืองเป็นอย่างอื่นๆ ประเทศก็จะไม่มีผู้แทนที่ดี และเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเจริญอย่างยั่งยืนคงเป็นฝันของคนไทยต่อไป


นี่คือ สิ่งที่รัฐบาลใหม่ความให้ความสนใจและสร้างให้แก่คนไทยเสียที  การศึกษา และระบบที่จะศึกษา เป็นกลไกหลักในการสร้างให้คนในประเทศ ตาสว่างและเกิดสำนึก และหน้าที่ของตนในการเลือกผู้แทน ไปกำหนดวิถีชีวิตของตนเองและลูกหลาน

........ระบบการศึกษาและหลักสูตร เป็นหัวใจในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ครับ


การบ้านอีกข้อในช่วงนี้(ที่ผมเห็นว่าเร่งด่วน) คือ การชลประทานระดับมหภาค ทั้งประเทศ

ภาวะแล้งซ้ำซ้อน อุทกภัย.................สองสิ่งนี้ ทำลายและผลาญทั้งทรัพยากรและเงินของประเทศไปมากมายในหลายๆปีที่ผ่านมา

..............ถ้าทราบว่าทุกๆปีจะต้องจัดงบประมาณมหาศาลไปกับการนี้ รัฐบาลต้องสร้างแผนระยะยาวและทุ่มงบประมาณกับสิ่งเหล่านี้เพื่อป้อง ปราม และบรรเทาล่วงหน้า  น่าจะเกิดผลดีต้อประเทศในระยะยาว ดีกว่ามาแก้ปัญหารายปีเฉพาะหน้าและเสียเงินไปอย่างมากมาย โดยไม่ได้พลิกฟื้นเลยในปีถัดมา



เมื่อพิจารณาจากข้างต้นแล้ว

รัฐบาลภายใต้การคุมของว่าที่ นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไม่ได้โชคดีเลย แต่จะเป็นวิบากกรรมที่จะต้องแก้ไขให้ได้อย่างยกลำบากด้วยซ้ำ  แค่เพียงสะดุด หรือล่าช้าจุดใดก็ตาม  พลังของประชาชนที่เคยสนับสนุน จะโถมกลับมาเล่นงานอีกหลายเท่าตัว  ครั้นจะซื้อเวลาซื้อปัญหา ด้วยนโยบายประชานิยม  มันก็ทำได้จำกัดเสียแล้วครับ เพราะฝ่ายค้านคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นแน่ๆ


จะเรียกว่าโชค หรือเคราะห์ดี สำหรับรัฐฐาลนี้ ภายใต้การบริหารของ นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช

เมื่อรูทวารอยากเป็นนาย

ก็ต้องรอดูว่า จะผายลมทางปาก ออกมาเมื่อไหร่

ประมาณวันที่ 25 คงได้นายกคนใหม่จากสภา

ถ้าไม่มีเหตุพลิกผัน..

สวัสดีครับ พี่แคน

โดยส่วนตัว ผมยังมองว่า นายสมัคร ยังไม่น่าเกลียดเท่า นายบรรหาร ศิลปอาชา ในเรื่องมารยาททางการเมือง ครับ

เพราะอย่างน้อย นายสมัคร ก็มีจุดยืนที่เป็น ....(อิอิ) อย่างที่พี่แคนว่า มาตลอด

แต่ นายบรรหารนี่สิ.........................คนที่เลือกเขานั้น แน่ใจหรือว่า คนที่เขาเทคะแนนเลือกทั้งหมดแก่พรรคชาติไทย  อยากเห็นแบบนี้

ก่อกรรมอะไรไว้ มันก็ย่อมได้รับผลนั่นแหละครับ

คนชั่วก็ต้องสร้างเรื่องชั่วๆเอาไว้ให้ตามเช็คบิลกันทีหลังแบบนี้

ปลาหมอจะตายเพราะปากหรือไม่ รัฐบาลพิสูจน์ชัดเจนครับ :slime_agreed: