ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ยืนต้น ที่ 15-05-2006, 18:56



หัวข้อ: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: ยืนต้น ที่ 15-05-2006, 18:56
เมื่อ “ทักษิณ” ทำผิด “ทักษา” .. ความ “ขึด” จึงบังเกิด
สิริมงคล  จันทร์ขาว
กลุ่มใต้ดินเสวนา / เครือข่ายคนทำงานต้านยาเสพติด

ท่ามกลางกระแสการเมืองยุคอัศวินผู้สถาปนาตนเป็นผู้กุมบังเหียนโลกาภิวัฒน์    ยุคของการผลักไสวัฒนธรรมชุมชนไปสู่ความเป็นชายขอบโดย นำระบบ “มูลค่า” เข้ามาแทนที่ “คุณค่า”  ยุคของนายกที่อ้างตัวว่าเป็นคนเมือง (แซ่คู) ที่บรรพบุรุษเป็นคนจีนอพยพมาจากจันทบุรีตั้งแต่ปี 2451 (นายคูซุ่นเส็ง)เพื่อเป็นจ้าภาษีนายอากรประมูลบ่อนเบี้ย อ.แม่ริม สันทราย ดอยสะเก็ด จนนางทองดีผู้เป็นภรรยาถูกยิงเสียชีวิตขณะไปเก็บภาษีที่แม่ริม   ก่อนจะย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่บ้านกาดสันกำแพง  (จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมตระกูลชินวัตรถึงวนเวียนอยู่กับเรื่อง “ภาษี”)    การมีเชื้อสายจีนจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นายก (ที่อ้างว่าเป็น) คนเมือง เข้าไม่ถึงเรื่อง “นิเวศวัฒนธรรม” แต่ใช้ทุนนำหน้าโดยขาดปัญญาไตร่ตรองตามหลักคติชนวิทยา   จึงส่งผลต่อความขึดที่เกิดขึ้นกับเชียงใหม่   ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมที่เชียงดาว   น้ำท่วมตัวเมือง 4 ครั้งในรอบปี (2548)   น้ำทำการเกษตรขาดแคลนในหน้าแล้ง   ฝนตกในฤดูหนาว ฯลฯ

เมื่อพระยาเม็งรายสร้างบ้านแปงเมืองนพบุรีฯที่ผู้ชำนาญได้คำนวณไว้ว่าเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 12 เมษายน 1839 ด้วยผังเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส   กว้างยาวด้านละ 500 วา ตามคติแนวคิดว่าเมืองเป็นสิ่งมีชีวิต   มีร่างกาย   มีดวงชะตาเป็นตัวกำหนดความเจริญและความเสื่อมของเมือง   จึงมีดวงเมืองตามคัมภีร์มหาทักษาเป็นตัวกำหนด   การเลือกทำเลที่ตั้งเมืองมีชัยมงคล 7 ประการ  คือ 

1)จุดศูนย์กลางของเวียงคือสะดือเมือง (ศาลากลางเก่า) เป็นเสาหลักเมืองเดิมของพวกลั๊วะ   
2)มีความลาดเทจากเชิงเขาทิศตะวันตกไปสู่ลำน้ำปิง   โดยตัวเมืองอยู่กลาง   สามารถควบคุมชลประทานได้ดี   
3)ทิศเหนือเป็นที่ราบป่าละเมาะ (ข่วง) ทิศตะวันตกมีภูเขาเป็นแนวปราการใช้เป็นพื้นที่ตั้งมั่นป้องกันข้าศึก   
4)ทิศใต้เป็นที่ราบ   ป่าละเมาะ   ใช้เป็นแนวป้องกันท้ายเวียง   มีดอยอ่างกา (อินทนนท์) เป็นปราการ   
5)ทิศตะวันตกของเมืองมีเทือกเขาใหญ่ (ดอยสุเทพ) มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์   เป็นทั้งปราการ   และแหล่งน้ำหล่อเลี้ยง (วนานคร : เมืองใกล้ชิดกับป่า)   
6)ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีหนองน้ำใหญ่ (ปัจจุบันถูกถมไปแล้ว)   
7)ทิศตะวันออกมีลำน้ำปิงเป็นปราการและเส้นทางคมนาคม   (กู่ขาวเป็นจุดที่ลำน้ำคดและใกล้ตัวเมืองมากที่สุด   เป็นพิกัดอ้างอิงการวางผังเมือง)   

ซึ่งในตัวเมืองมีทักษาเวียงเชียงใหม่   ดังนี้   

1) อายุเมือง  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (แจ่งหัวลิน) พระเจ้าแผ่นดิน   
2) เดชเมือง ทิศเหนือ (ประตูหัวเวียงและประตูช้างเผือก)   การเมืองการปกครอง   
3) ศรีเมือง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (แจ่งศรีภูมิ) พระเจ้าแผ่นดิน   
4) มูลละเมือง ทิศตะวันออก (ประตูเชียงเรือก / ประตูท่าแพ) การพาณิชยกรรม   
5) อุตสาหะเมือง  ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (แจ่งขะต๊ำ) การอุตสาหกรรม   
6) มนตรีเมือง ทิศใต้ (ประตูท้ายเวียง / ประตูเชียงใหม่) ที่พักขุนนางเจ้าหน้าที่   
7) กาละกิณีเมือง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (แจ่งกู่เฮือง / ประตูสวนปรุง)   ที่ว่างและสุสานที่เผาศพ   
8) บริวารเมือง ทิศตะวันตก (ประตูสวนดอก) ที่พักไพร่พลเมือง 

ด้วยหลักทักษาดังกล่าวจึงมีการแบ่งเมืองเป็นสัดส่วนคล้ายร่างกายมนุษย์ (the city as –human organisms)  ดังนี้   

ส่วนบน : อยู่ทางทิศเหนือเมืองได้แก่อายุเมือง   เดชเมือง  และศรีเมือง   เป็นทิศแทนที่พระมหากษัตริย์ประกอบด้วยสถานที่หลักๆคือ
1)วัดเชียงหมั้น (มั่น) เป็นที่ประทับพระยาเม็งราย   
2)เวียงแก้วหอคำ   ปราสาทราชมณเฑียร (วัดมณเฑียร) พอราชมณเฑียร (วัดดับภัย)   
3)หอคลังสมบัติ (วัดหม้อคำตวง)   
4)โรงม้าหลวงและราชรถ (วัดควรค่าม้า) โรงช้างต้น (วัดล่ามช้าง)   
5)ข่วงหลวงเพื่อรวมพล (วัดหัวข่วง)

ส่วนกลางของเมืองหรือสะดือเมือง   มีทักษาเมืองได้แก่มูลละเมืองและบริวารเมือง   มีสถานที่ เช่น วัดสะดือเมือง (ใกล้อนุสาวรีย์สามกษัตริย์)   วัดลีเชียงพระ (วัดพระสิงห์)   กาดลี (ประตูท่าแพถึงวัดพระสิงห์   อันเป็นที่มาของแนวคิดถนนคนเดิน)    วัดกู่หลวง (เจดีย์หลวง) และบริเวณที่ต่ำกว่าสะดือเมืองลงมาตามทักษาเมืองคือ  อุตสาหะและมนตรีเมือง   เป็นบ้านขุนนางและไพร่พลที่เปรียบเสมือนขาและเท้าที่เป็นกลุ่มพวกและช่าง   เช่นวัดพวกเปีย (พิณเปี๊ยะ) พวกหงษ์  พวกแต้ม  ช่างหล่อ  ช่างแต้ม (บริเวณประตูเชียงใหม่)   และด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้บริเวณแจ่งกู่เฮืองตรงกับทักษากาลกิณีเมืองเป็นที่ตั้งของเรือนจำและป่าช้า   ประตูสวนปรุง   เป็นประตูทางออกของผีและสิ่งอัปมงคลไปสู่ป่าช้าหายยา  (เป็นทิศที่มีการจัดทำเมกกะโปรเจคต์  เช่น  ไนท์ซาฟารี  พืชสวนโลก  ฯลฯ)   

นอกจากในเมืองแล้วนอกเขตเมืองก็ยังมีการวางผังกำแพงเมืองชั้นนอกเป็นแบบราหูอมจันทร์   มีลักษณะการใช้พื้นที่คือ   

1)ทิศเหนือ   อยู่บนหัวเวียงเป็ฯที่ก่อสร้างศาสนสถาน (ย่านช้างเผือก-ข่วงสิงห์)  เป็นที่รวมกำลังพลรบ ณ ข่วงช้างเผือกและข่วงสิงห์   
2)ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่   เป็นที่รับน้ำ (ถูกถมไปแล้ว)   
3)ทิศตะวันออกเป็นบริเวณเพื่อการค้าขาย (หากนายกจะทำสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการค้าขายก็ควรไปทำที่สันกำแพง)   
4)ทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้เป็นที่ใช้ทำสวนและที่นา (พื้นที่รับน้ำจากฝายผญาคำที่นายกจะสั่งทุบ)  ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นป่าช้าและทิศกาลกิณี (แม่เหียะ-หนองควาย)   
5)ทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือเป็นป่าปฐมภูมิเพื่อความชุ่มชื้นและให้แหล่งน้ำ   เป็นเขตอรัญญิกที่ต้องการความสงบในการบำเพ็ญธรรม   
6)เวียงบริวาร  คือ เวียงสวนดอกเวียงรูปสี่เหลี่ยม (พ.ศ.1914) เวียงเจ็ดลินรูปวงกลม (พ.ศ.1973)   

นอกจากนี้ด้านการปกครองยังไม่ได้มีเฉพาะอำนาจของกษัตริย์หากแต่ยังมีอำนาจจากสิ่งเหนือธรรมชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของการควบคุม  ปกบ้าน  ป้องเมืองและเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ   กล่าวคือ   ทิศเหนือมีเจ้าหลวงคำแดง   เจ้าแห่งเทวาอารักษ์อยู่ที่อ่างสลุงดอยหลวงเชียงดาว  (ที่มีการพยายามสร้างกระเช้าไฟฟ้า)   ดอยสุเทพมีสุเทวะฤาษี  เทวาอารักษ์   ปูแสะดูแลดอยลูกเหนือ (ดอยสุเทพ)   ย่าแสะดูแลดอยลูกใต้ (ดอยคำ)   ฝายผญาคำมีเจ้าพ่อผญาคำดูแลเป็นต้น

“ความขึด” ที่บังเกิดกับเชียงใหม่ในช่วงที่ดร.ทักษิณดำรงตำแหน่งนายกนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม  ดินถล่ม  ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   ทางคติชนวิทยาให้เหตุผลทางวัฒนธรรมอธิบายว่าเป็นการเตือนและการลงโทษจากสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกล่วงเกินไม่ให้ปุถุชนก้าวล้ำเส้นหรือเพื่อหยุดความทะยานอยากของมนุษย์ที่ต้องการเอาชนะธรรมชาติ   โดยเฉพาะจากโครงการเมกกะโปรเจคต์ (โมหะโปรเจคต์) ทั้งหลาย   กล่าวคือ

1)โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (สวนสัตว์กลางคืน) มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.155.9 ล้านบาท   
2)โครงการอุทยานช้าง ในเนื้อที่ 6.000 ไร่   ติดกับไนท์ซาฟารี 600 ล้านบาท   
3)โครงการพืชสวนโลก ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   งบประมาณ 500 ล้านบาท   
4)โครงการสปา ระดับโลก   ใกล้โครงการพืชสวนโลก (ไม่ทราบงบประมาณ)   
5)โครงการอควาเรี่ยม ภายในสวนสัตว์เชียงใหม่ 300 ล้านบาท   
6)โครงการพัฒนาลานครูบาศรีวิชัย บริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นคอมเพล็กซ์รับสถานีรถไฟฟ้า   
7)โครงการธีมปาร์ค  หรือสวนสนุก และ เครื่องเล่นระดับโลก (ไม่ทราบงบประมาณ)   
8)โครงการพัฒนระบบขนส่งมวลชนแบบโมโนเรล (รถไฟรางเดี่ยว) เชื่อมระหว่างเชิงดอยสุเทพเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ 200 ล้านบาท   
9)โครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ 1.450 ล้านบาท   
10)โครงการศูนย์กลางไม้ตัดต่อประดับพืชเกษตร 300 ล้านบาท   
11)โครงการถนนวงแหวน ด้านตะวันตกหางดง-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 322 ล้านบาท   
12)โครงการถนนเลี่ยงเส้นทางหลักเชียงใหม่-แม่ริมสี่ช่องจราจร   จากกองพันสัตว์ต่าง   โค้งผ่านป่าสมบูรณ์ของดอยสุเทพ-ฟาร์มงูแม่ริม 340 ล้านบาท   
13)โครงการห้องพักสไตล์รีสอร์ท-ร้านอาหารภายในสวนสัตว์ 715 ล้านบาท   
14)โครงการกระเช้าลอยฟ้า เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยวต่างๆรอบดอยสุเทพ   ระยะทาง 15 กิโลเมตร 8 สถานี  ได้แก่  ไนท์ซาฟารี-อุทยานช้าง-น้ำตกห้วยแก้ว-สวนสัตว์เชียงใหม่-ธีมปาร์ค-สปา-พืชสวนโลก-ลานครูบา   โดยจะเป็นเคเบิลคาร์ที่วิ่งสวนกันไปมางบประมาณ 1.000 ล้านบาท   หรือแม้แต่โครงการกระเช้าไฟฟ้าข้ามหัวเจ้าหลวงคำแดงที่เชียงดาว   โครงการทุบรื้อฝ่ายเพื่อการท่องเที่ยวทางน้ำ   ซึ่งล้วนแต่เป็นการพยายามสลายความเป็น “วนานคร” แทบทั้งสิ้น

หากยิ่งฝืนทำต่อโดยยึดระบบ “มูลค่า” มากกว่า “คุณค่า” ในทางวัฒนธรรมแล้ว   ความขึดจะยิ่งเกิดกับท่านและคำว่า "ขึด" แปลว่า "กาลกิณี"    "แจ่ง" แปลว่า "มุมเมือง"   "ข่วง" แปลว่า "ลาน"   "เวียง" แปลว่า "เมือง"   "กาด" แปลว่า "ตลาด"   

บทความนี้เป็นเอกสารซีร็อกซ์ที่ผมได้มาจากพันธมิตรเชียงใหม่ครับ   เอามาพิมพ์อีกที   การใช้ตัวหนาตัวเอนมันหายไปตอนคัดลอกและวาง   การเว้นวรรค   แก้คำผิด  และการจัดหน้าผมทำเอง   ไม่เข้าใจคำไหนถามได้ครับ???

(เพื่อให้สมาชิกอ่านเนื้อหาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ขออนุญาตคุณยืนต้น เจ้าของกระทู้ แก้ไขข้อความและรูปแบบให้นะครับ ขอบคุณครับ  :D - Aloha007)


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: ยืนต้น ที่ 15-05-2006, 18:59
คำว่า "ขึด" แปลว่า "กาลกิณี"    "แจ่ง" แปลว่า "มุมเมือง"   "ข่วง" แปลว่า "ลาน"   "เวียง" แปลว่า "เมือง"   "กาด" แปลว่า "ตลาด"   บทความนี้เป็นเอกสารซีร็อกซ์ที่ผมได้มาจากพันธมิตรเชียงใหม่ครับ   เอามาพิมพ์อีกที   การใช้ตัวหนาตัวเอนมันหายไปตอนคัดลอกและวาง   การเว้นวรรค   แก้คำผิด  และการจัดหน้าผมทำเอง   ไม่เข้าใจคำไหนถามได้ครับ???



หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: นู๋เจ๋ง ที่ 15-05-2006, 20:04
โอย อ่าน จน ตาลาย
 :roll:
 :D


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: สาธุ ที่ 15-05-2006, 20:18
สรุปแล้วเหลี่ยมเอาเงินภาษีพวกเรา ไปสร้างที่หาเสียงในเชียงใหม่


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: ยืนต้น ที่ 16-05-2006, 17:31
ที่จริงเขาซื้อบ้านไว้ที่หลังสวนสัตว์เชียงใหม่ชื่อบ้าน "ฝ้ายคำ" ชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเป็นของท่านชายกบ   ปัจจุบันชื่อเป็นของพายัพ ชินวัตร   บางที่เยาวภา วงศ์สวัสดิ์หรือพานทองแท้ก็มาพัก   แล้วมันก็ไม่ไกลจากไนท์ซาฟารีเลย   ส่วนถนนวงแหวนโครงการที่12นั้นก็วิ่งตัดที่ป่าสงวนรวมทั้งที่ของกองพันสัตว์ต่างเพื่อไปออกอ.แม่ริม   เพื่อนๆคงจะคุ้นชื่ออ.นี้ใช่มั้ยครับ   ก็นายกเขามีบ้านพักอยู่ที่นี่   ที่ข่าวมักจะพูดว่าบ้านพักสนามกอล์ฟกรีนวัลเล่ย์นั่นแหละครับ   แล้วก็ลือกันว่าน้องแม๊คลูกของคุณแหม่มเบนโลก็พักอยู่ที่นี่ (ข่าวลือนะครับ)   แถวนั้นก็มีที่ดินที่เป็นชื่อของคุณหญิงอ้ออีกหลายแปลง   ผมเห็นในรายการสินทรัพย์ของคุณหญิงอ้อเมื่อ3ปีก่อน   เท่าที่แจ้งนะครับ   อันที่ซุกไว้กับคนอื่นน่ะไม่รู้

บางทีรายการทุจริตปลีกย่อยพวกนี้ก็อยู่นอกเหนือความสนใจของคนกรุงเทพเพราะอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง   คนเชียงใหม่ยังไม่รู้เรื่องเลย   ยังมีโครงการเมกกะโปรเจคของแต่ละจังหวัดที่อยู่ในข่ายเดียวกันนี้   ที่น่าห่วงมากๆก็คือที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ   พวกเกาะๆทั้งหลายน่ะครับ   มันกำลังจะกลายเป็นเอ็กเซ๊กคลูทีพรีสอร์ทที่คนไทยเองจะเหยี่ยบเขาไปได้เฉพาะเข้าไปเป็นแรงงานบริการเท่านั้น   สัญญาเช่า50-99ปี   เท่ากับที่เกาะฮ่องกงถูกอังกฤษยึดครองเป๊ะ   และมันจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อยู่เหนือกฎหมายไทย   โดยที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี   แปลว่าจะทำอะไรก็ได้แม้แต่บ่อนการพนัน


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: ไทยถีบ ที่ 19-05-2006, 01:42
    เรียนกระทู้ ยืนต้น
        รายงานนี้ผมเคยอ่านในเวปที่ไหนมาก่อน ผมจำไม่ได้ แต่รู้ว่า เป็นเพียงแค่ สนองตันหา ของญาติโกโหติกา ของชนเผ่า แม้ว ม มั่ว
   
    จึงสร้างเมืองให้เป็นแดน ศิวิไลซ์ บนความ ฉิบหายของธรรมชาติ  และรู้ด้วย ใครที่รับก่อสร้างก็คงไม่พ้น พ่อตาของ ....120 เป็นส่วนใหญ่

     ในธรรมชาติ ที่สมบูรณ์ มาเก่าก่อนของบรรพบุรุษ ที่เขาได้รักษาป่าไว้ เพื่อให้ เทวดา นางฟ้า เจ้าป่า เจ้าเขา ที่ จะบรรดาลให้เกิดความ

     สงบสุข ในพื้นที่แดนเหนือ  แต่ก็ได้รุกล้ำป่า และต่อไปนี้ แดนนี้ ที่ถูกธรรมชาติ เอาคืน โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย อาจจะถูกสังเวย

     มากเป็นประวัติศาสตร์  หรืออาจจะสังคมรุกเป็นไฟ จนแยกเป็นหลายเขตปกครอง และไม่มีความสงบสุข ไม่มีทางหวลกลับได้อีก  ซึ่งมี

     ตัวอย่าง อยู่แล้ว นี่เป็นเพียงแต่บอกความรู้สึก  ที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกเท่านั้น และก็สังเวชใจต่อคนพวกนี้


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: stromman ที่ 19-05-2006, 15:09
สงสารประเทศไทยครับ ทรราชย่ำยี ประชาชนแตกแยก เพราะไอ้แม้วคนเดียว อยากเอามันมาตัดหัวทั้งโครต แล้วเสียบประจานซะเลย :twisted:


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: นทร์ ที่ 19-05-2006, 15:28
 "ขึด" แปลว่า "กาลกิณี"

เพิ่งรู้แฮะ

เหลี่ยมxเหลี่ยม เอาอะไรมาจับก็ไม่อยู่ครับ

ประวัติศาสตร์น่าสนใจดีครับ


หัวข้อ: Re: มาฟังคนเชียงใหม่ด่าทักษิณแบบคติชนวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: อบเชย ที่ 20-05-2006, 22:31
อ่านเรื่องนี้แล้ว.....ทำให้เข้าใจเพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่ ...เพราะ  เคยถามเขาว่า ภูมิใจมั้ยที่เป็นคนเชียงใหม่  ชอบใจมั้ยที่บ้านเมืองเขาเจริญมาก ๆ  ถนนวงแหวนไม่รู้กี่สายต่อกี่สาย  ( ถามแบบประชดประชัน ).....เขา ตอบว่า...ถ้าหมายถึงเชียงใหม่ ณ ปัจจุบัน...มันไม่ใช่บ้านของเขาแล้ว... ยิ่งพ่อกับแม่ของเขา ( ซึ่งเป็นข้าราชการเกษียณทั้งสองท่าน ) ไม่ยอมเข้ามาในตัวเมืองเป็นเวลา 3 - 4 ปี แล้ว.....เขาบอกว่าไม่อยากทำลายความทรงจำที่ดี ๆ ......

เมื่อวานก็เพิ่งกลับจากเชียงใหม่...นั่ง Taxi จากสนามบิน....คนขับเป็นคนเชียงใหม่....แปลกใจมาก เพราะส่วนมากจะเจอแต่คนขับที่มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ....กะว่างานนี้ ต้องฟังคุณลุง Taxi  บรรยายคุณงามความดีของทักษิณที่ทำไว้ให้กับคนเชียงใหม่ตลอดการเดินทางแน่ ๆ ......แต่แกพูดคำเดียวว่า...ทักษิณไม่ใช่คนเชียงใหม่...แต่อาศัยเมืองเชียงใหม่เป็นที่เกิดท่านั้น  ….