ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 29-07-2007, 14:07



หัวข้อ: ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 29-07-2007, 14:07
ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........
สังคมและการเมือง

--------------------------------------------------------------------------------
โพสต์: ปุถุชน

(บุคคลนิรนาม)
ID#370797 | เมื่อ: 2550-07-29 14:02:28 | IP: 58.136.94.61 x


"ผมมองว่าภาษาสแลงไม่สลักสำคัญถึงกับทำให้ภาษาเปลี่ยน แต่คิดว่าความอับจนถ้อยคำทำให้พวกเขาสร้างสรรค์คำใหม่ขึ้นมา ตรงนี้เป็นสิ่งน่าชื่นชมความอับจนถ้อยคำเนื่องจากโลกสมัยใหม่ดึงคนออกไปจากหนังสือเยอะเหลือเกิน ทำให้คนไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ สถิติคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ถึงสิบบรรทัด ทำให้เขาไม่มีถ้อยคำ ไม่มีคลังคำ แต่เขาสามารถคิดประดิษฐ์คำขึ้นมาใช้ได้ แต่พื้นฐานที่สำคัญคือการอ่านหนังสือ ถ้อยคำหรือคลังคำจะได้จากการอ่านวรรณคดี เป็นพื้นฐานของภาษา

มองว่าไม่น่าวิตก ภาษาสแลงมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คำเหล่านี้เป็นสักขีพยานว่าคนไทยได้สร้างคำใหม่ขึ้นมา ผมเป็นห่วงยิ่งกว่าคือภาษาเพลงที่ใช้วิธีระเบิดเสียง เพราะการระเบิดเสียงเข้ากับดนตรีฝรั่ง แต่มันระบาดมาเป็นภาษาไทย ตรงนี้น่ากลัวมาก เดี๋ยวนี้วัยรุ่นเขาโหยหาแบบอย่างจากดารานักร้อง อิทธิพลของสื่อจึงมีมาก ฉะนั้นถ้าช่วยกันดูแลมันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี"

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจฉบับวันอาทิตย์....



ความอับจนถ้อยคำเนื่องจากโลกสมัยใหม่ดึงคนออกไปจากหนังสือเยอะเหลือเกิน ทำให้คนไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ สถิติคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ถึงสิบบรรทัด ทำให้เขาไม่มีถ้อยคำ ไม่มีคลังคำ แต่เขาสามารถคิดประดิษฐ์คำขึ้นมาใช้ได้.....

ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ข้างบนนี้.......

ผมอยากจะเสริม ขยายความว่าบางคนก็มีความรอบรู้ภาษาไทยอย่างดี เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข ศิษย์คุณพิชัย วาสนาส่งหรือนายณัฐวุฒิ ใสเกื้ออดีตนักโต้วาที สภาโจ๊ก เป็นต้น.....

 แต่พวกเขามี"มิจฉาทิฐิ" ต้องการบิดเบือนข้อเท็จและสถานการณ์การเมืองเวลานี้ จึงเรียกคณะรัฐประหาร คณะ คมช. เป็น กบถ./ขบถ.คมช. ทั้งที่ภาษาไทยได้กำหนดไว้ กลุ่มคนที่ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล ทำไม่สำเร็จ จะถูกตราหน้าว่า "ขบถ/กบถ".....
ผู้ที่ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลสำเร็จ เรียกว่า คณะรัฐประหาร คณะปฎิวัติ คณะปฎิรูปฯ และ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองฯ เป็นที่ยอมรับให้บริหารบ้านเมืองต่อไป แม้จะมีการต่อต้าน คัดค้านภายหลัง เช่นการ"ปฎิรูปการปกครองฯ"ของคณะ รสช. ที่อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้งอย่างทักษิณก็เคยคุ้นเคย เคยได้รับผลประโยชน์มหาศาล สัมปทานธุรกิจผูกขาดมาแล้ว เป็นต้น...

ว่าด้วยข้อเท็จจริง การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่ทำลายทรัพย์สิน ไม่ทำร้ายชีวิตประชาชนแต่อย่างไร เป็นที่"มหัศจารย์"ของนานาประเทศ....

รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่น ๆ ที่ในหลวงได้ทรงโปรดเกล้าฯ มาแล้วในอดีตรวมทั้งรัฐบาลของนักธุรกิจการเมือง ที่แปรเปลี่ยนเป็น"เผด็จการจากการเลือกตั้ง/เผด็จการรัฐสภา" ด้วย....

ดังนั้นวัยรุ่นไทย คนไทยที่มีอายุบรรลุนิติภาวะส่วนหนึ่งไม่ได้อับจนความคิดในการใช้คำภาษาไทย แต่เป็นเพราะ"มิจฉาทิฐิ" และ ต้องการรับใช้นักธุรกิจการเมือง "อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้ง" ให้กลับมาปกป้องทรัพย์สินส่วนตัว/ครอบครัวให้หลุดพ้นจากการ"อายัดทรัพย์" ของคณะกรรมการ คตส.มากกว่า จึงเจตนาบิดเบือนคำภาษาไทยอย่างอุบาทว์ เพื่อรับใช้"ผู้บงการ" ให้กลับคืนประเทศไทย ใช้"อำนาจเป็นธรรม"ใหม่....

จึงควรที่คนไทยจะรู้เท่าทันภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของกลุ่มก่อการจลาจลสนามหลวง ไม่หลงงมงายว่ากำลังร่วมกับคนมีอุดมการณ์เดียวกันขับไล่คณะรัฐประหารที่ไม่เหมือนคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้....




ผมรีบนำกระทู้นี้ของผม มาฝากไว้ในเวบเสรีไทย....
1. ก่อนที่จะ"ถูกลบ"ในห้อง"สังคมและการเมือง"ของเวบประชาไท
ด้วยความคิดอุบาทว์ในห้องสังคมและการเมืองไทย ภายหลังผู้ดูแลฯ จะกู้กลับมาใหม่ให้ไว้"ที่เดิม" ก็หลายวันผ่านไป ถูกกระทู้ใหม่ไล่กระทู้เก่าแล้ว.....
เป็น"ทุจริตทางนโยบาย" แบบหนึ่ง หรือ วิธีการแบบ"ศรีธนแม๊ว"อย่างหนึ่ง........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
2. คิดว่าเนื้อหาน่าจะเป็นสาระบ้างสำหรับที่นี่........






หัวข้อ: Re: ภาษา"แอ๊บแบ๊ว"ของ"ม๊อบสนามหลวง" พวกขบถก่อการจลาจล........
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 29-07-2007, 16:05
สังคม"แอ๊บแบ๊ว"กับอาการ"แอ๊บแม้ว"
 
29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 00:08:00
 
สังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะ "แอ๊บแบ๊ว" ระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง คือ เกิดอาการผิดปกติแบบแอ๊บๆ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หรือ Abnormal ผสมกับทำท่าทางตาใส "บ้องแบ๊ว" ให้ดูเหมือนว่า บริสุทธิ์ไร้เดียงสาผสมกับคิขุอาโนเนะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของตัวเอง จนทำให้ต่างฝ่ายต่างยึดตั้งธง หลัก "กู" แล้วอ้าง "หลักการ" จนทำให้สังคมไทยไม่กลับสู่ภาวะปกติเสียที

บอกตามตรง ผมเริ่มเกิดอาการเบื่อมากๆ กับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมล และการออกมาประกาศจุดยืนแย่งพื้นที่ข่าวจากกลุ่มองค์กรทั้งชื่อทางการ และ "ชื่อจัดตั้ง" ที่มีแค่ไม่กี่คนทำงานจริง แสดงจุดยืนหลังเหตุการณ์วันที่ 22 ก.ค.กลุ่มคนที่อ้างว่าเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" กับ กองกำลังผสมเจ้าหน้าที่ตำรวจกับทหาร เกิดปะทะกัน จนเลือดตกยางออกไปทั้งสองฝ่าย บาดเจ็บหัวร้างข้างแตกขาหักกันไปกว่า 200 คน

เริ่มจาก อาการแอ๊บแบ๊วของ "คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ" ที่เป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ตกทอดเข้าไปภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ที่จัดทำโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

เมื่อใดก็ตาม ที่องค์กรอิสระแห่งใดเกิดความแตกแยกภายในองค์กร ย่อมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามเจตนารมณ์เดิมที่ตั้งไว้สวยหรู กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นตัวอย่างขององค์กรแตกแยก จนทำให้กรรมการสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิออกอาการ "แอ๊บแบ๊ว" ทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นทำทองไม่รู้ร้อน

เมื่อ อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย กรรมการสิทธิฯ ได้กลายเป็น 1 ใน 9 แกนนำกลุ่ม นปก. จนกระทั่งตกเป็น 1 ใน 9 ผู้ต้องหาตัวการก่อเหตุจลาจล เมื่อคืนวันที่ 22 ก.ค.2550 แล้วขอประกันตัวออกมาจากการฝากขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างภารกิจหน้าที่ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน 4 คณะ

ผมไม่ทราบตื้นลึกหนาบางความขัดแย้งภายในคณะกรรมการสิทธิฯ ชุดนี้ ที่มี อาจารย์เสน่ห์ จามริก เป็นประธาน และไม่เสียเวลาอ่านสงครามอีเมลจำนวนหลายต่อหลายครั้ง จากกรรมการสิทธิฯ บางคน และเจ้าหน้าที่ภายในคณะกรรมการสิทธิฯ ได้เพียรพยายามเป็นอันมากในการเขียนเล่าเรื่องราวเน่าๆ สารพัดของอาจารย์เสน่ห์เพื่อบอกกับสื่อ

เพราะหลายเรื่องเป็นความเห็นในเชิงปัจเจกบุคคล จนอีเมลเหล่านี้กลายเป็น "จังค์อีเมล" ที่ลบทิ้งอย่างเดียว ทำไมผู้เขียนเหล่านี้ไม่เลือกดำเนินการอย่างเปิดเผย และเป็นรูปธรรมในการกล่าวโทษหรือกล่าวหาความไม่ชอบมาพากลของอาจารย์เสน่ห์อย่างเป็นทางการ แล้วให้กระบวนการยุติธรรมไต่สวนพฤติกรรมของประธานคณะกรรมการสิทธิฯ

อาจารย์จรัลมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการคัดค้าน ไม่ยอมรับการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย.2549 แต่ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่มีภารกิจหน้าที่ชัดเจน ดังเช่นที่อาจารย์จรัลได้ใช้เป็นเหตุผลในการขอประกันตัว หลังจากประกาศตัวเป็น 1 ใน 9 แกนนำกลุ่ม นปก.ขึ้นเวทีโจมตีรัฐบาลและคมช.ทุกคืน รวมทั้งเห็นคล้อยตามไปกับกลุ่ม นปก.ที่เชื่อว่าประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549

ทำไมอาจารย์จรัลไม่ใช้กระบวนการของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไต่สวนหรือแสวงหาหลักฐาน เพื่อกล่าวโทษประธานองคมนตรี พล.อ.เปรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

[color=red ในขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เช่น อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ใจลส์ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ฯลฯ ไม่ได้เลือกวิธีเดินสายปลุกระดมมวลชนกลางสนามหลวงแล้วกล่าวหาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองโดยปราศจากหลักฐานใดๆ [/color]

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงอยู่อาการ "แอ๊บแบ๊ว" ผิดปกติ-ทำท่าไร้เดียงสา บอกว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของอาจารย์จรัล ที่กลายเป็นแกนนำปลุกระดมขับไล่ พล.อ.เปรมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ทั้งๆ ที่โดยประสบการณ์ควบคุมฝูงชนของอาจารย์จรัลที่ผ่านมาหลายสถานการณ์ ย่อมมองเห็นความรุนแรงอยู่เบื้องหน้าในคืนวันนั้น

 หากอาจารย์จรัลในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชน เชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการอย่างสันติวิธีด้วยความจริงใจใสๆ ย่อมจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรงของทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ

แต่อาจารย์จรัลกลับไม่ได้ห้ามปราบฝูงชนของกลุ่มนปก.ที่อ้าง "ประชาธิปไตย" ไปยืนด่าพ่อล่อแม่คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กับ ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม แล้วขว้างก้อนหินขวดน้ำใส่บ้านประธานองคมนตรี โดยอ้างว่า จำเป็นต้องทำไปตามสัญชาตญาณป้องกันตัว หลังจากถูกตำรวจฉีดก๊าซน้ำตาและใช้โล่กับกระบองไล่ดันไล่ตี

อีกองค์กรหนึ่ง ที่เริ่มมีอาการ "แอ๊บแบ๊ว" อยู่ระยะกลางคือคณะกรรมการรณรงค์ปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่เป็นขาประจำในการวิพากษ์สื่อ อาจจะเป็นเพราะช่วงก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย.ยืนอยู่คนละข้างกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เมื่อตั้งธงว่าคัดค้านรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ที่ผลลัพธ์เหมือนกันคือล้มอดีตนายกฯ ทักษิณได้ จุดยืนจึงค่อนข้างออกอาการ Abnormal เบลอๆ มักไม่เสนอทางออกของปัญหา แตกต่างจากสมัยก่อนที่ยังมีข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์มากกว่า เช่น

ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเป็นทีวีสาธารณะที่ได้ภาษีทางตรงที่รัฐยังแทรกแซงได้เช่นเดิม แต่กลับยกย่องการต่อสู้ของพนักงานไอทีวี ที่พยายามรักษาสถานะเดิมที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม

ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในทุกกรณี แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนักกับการละเมิดสิทธิผู้อื่นของกลุ่มผู้ชุมนุม นปก. แถลงการณ์จึงค่อนข้างกั๊กๆ ติงผู้ชุมนุมเล็กน้อยแต่พองามว่า การกระทำอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง แต่ประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำรุนแรงเกินไป จนละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน

แล้วทุกครั้งของแถลงการณ์มักลงท้ายสั่งสอน "สื่อโทรทัศน์" อีกเช่นเดิมว่า กำลังทำหน้าที่ในการรับใช้อำนาจรัฐ ขาดอิสระในการนำเสนอ ฯลฯ จนแทบกลายเป็นสูตรสำเร็จในแถลงการณ์ของคปส.

หากการจัดตั้งคปส.มีเจตนารมณ์ในการตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์ เพื่อให้เกิดการตอบสนองไปสู่การปฏิรูปสื่อในระยะยาว กรุณาอย่าตั้งธงไว้ก่อนว่า คนทำงานในสื่อโทรทัศน์ "แอ๊บแบ๊ว" ชอบอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ จนกลายเป็นกลัวหัวหดไม่กล้าทำหน้าที่เสนอความจริง คนทำงานสื่อโทรทัศน์ส่วนใหญ่ 99% ยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพที่นำเสนอความจริงอยู่แล้ว แต่ในบางสถานการณ์มีข้อจำกัดจากสถานะการทำงาน

คปส.กลับละเว้นไม่กล้าวิพากษ์การทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอกชน ASTV ที่พัฒนาไปสู่ "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" ที่ประกาศเป็น "สื่อเลือกข้าง" ไม่เป็นกลาง สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมนปก.ให้สิ้นซากเสียที ด้วยความเชื่อว่า ประเทศจะกลับสู่สันติสุขได้เมื่อกลุ่มนปก.และคนรักทักษิณถูกกำจัดให้หมดไปจากแผ่นดินไทย

คปส.คงจะกลัวการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันจาก ASTV ที่วิพากษ์ทุกคนที่มีจุดยืนและท่าทีต่อต้านคมช. แต่กรณีการวิพากษ์สื่อฟรีทีวีเป็นอาจิณ ที่ "คนทำงานฟรีทีวี" ไม่เคยตอบโต้คปส.สักครั้งเดียว

คปส.จึงควรจะช่วยสร้าง "เกราะ" จากสังคม เพื่อช่วยตรวจสอบและสะท้อนการทำหน้าที่ของสื่อโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโทรทัศน์ของรัฐ 2-3 ช่อง เพื่อช่วยทำให้ "คนทำงานสื่อโทรทัศน์" มีความมั่นใจและความกล้าในการทำหน้าที่ตามหลักวิชาชีพมากขึ้น แต่เมื่อทุกครั้งเริ่มต้นจากประณาม หรือเพียงเรียกร้องให้ทำหน้าที่อย่างอิสระ

"คนทำงานสื่อโทรทัศน์" จะชินชาไม่ยินดียินร้ายกับแถลงการณ์ของคปส.ที่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบไม่เกิดผลใดๆ ในทางปฏิบัติ ทำไมบรรดาคณาจารย์ในคปส.ที่เก่งกาจสามารถในเชิงวิชาการแต่อ่อนด้อยกับโลกความเป็นจริง เดินเข้าหาพวกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร แล้ว "รณรงค์" ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปสื่อจริงๆ แทนการแถลงการณ์อย่างพร่ำเพรื่อ

เขียนถึงคปส.ครั้งนี้ ด้วยกัลยาณมิตรห่วงใยว่า กำลังเกิดอาการแอ๊บแบ๊วขั้นเริ่มต้น ถ้าไม่ระวังจะยกระดับกลายเป็น "แอ๊บแม้ว" ที่ไม่รู้ไม่เห็นกับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างมโหฬารในรัฐบาลทักษิณ

ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชังทักษิณในอดีตที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มรักทักษิณก่อตัวขึ้นมา แล้วอ้างว่าเป็น "แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ" หรือนปก. ซึ่งนักวิชาการหลายคนที่เคยคัดค้านระบอบทักษิณแล้วไม่ยอมรับการรัฐประหาร แต่กลับไม่สนใจว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ มีพฤติกรรมฉ้อฉลในการใช้อำนาจรัฐอย่างไร มองการต่อสู้กับคมช.อย่างเถรตรงว่า กำลังสถาปนารัฐเผด็จการทหารและอำมาตยาธิปไตย

ขอถามว่า ทำไมพวกเขาจึงรังเกียจ "อำมาตยาธิปไตย" อย่างรุนแรง โดยไม่เคยมองย้อนกลับไปว่า "กลุ่มอำมาตยาธิปไตย" ในอดีตได้ทำหน้าที่ "ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" อย่างเต็มภาคภูมิในการวางพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่ยุคต้นๆ

แม้ว่าหลายแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่มองในระยะ 20 ปี อาจจะบิดเบี้ยวไปบ้าง เมื่อประเมินจากสภาพปัจจุบัน แต่โดยภาพรวมแล้วสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่ได้พิกลพิการน่าทุเรศทุรัง จนตั้งแง่รังเกียจมองเป็นปิศาจร้ายมากกว่าอำนาจที่มาจาก "นายทุนนักการเมือง" ที่ใช้ "เงิน" เข้ามายึดอำนาจรัฐแล้วแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง

 กลุ่มนปก.จึงอยู่ในอาการ "แอ๊บแบ๊ว" เข้าขั้นสูงสุด กลายสภาพเป็น "อาการแอ๊บแม้ว" ที่มักบอกว่า รักทักษิณเพราะทักษิณรักประชาธิปไตย ทักษิณรักคนจน ทักษิณโกงบ้าง แต่เสียสละทำงานเพื่อชาติ ฯลฯ

อาจารย์จักรภพ เพ็ญแข เป็นบุคคลที่ป่วยเข้าขั้น Abnormal ผสมกับบ้องแบ๊วจากอารมณ์รักแม้วสุดหัวใจขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด จนพัฒนากลายเป็น "แอ๊บแม้ว"

ท่ายืนข้างรถตู้ก่อนนำไปฝากขัง ชูกำปั้น-ขบกรามฟันแน่น-ตะโกนสู้ๆ คงจะตึดตรึงตาแฟนพันธุ์แท้การเมืองไปอีกนานแสนนาน หลังจากวงการการเมืองห่างหายจากภาพความเด็ดเดี่ยวของนักต่อสู้ทางการเมือง แต่ครั้งนี้อาจารย์จักรภพมีอาการ "แอ๊บแบ๊ว" จนกลายเป็น "แอ๊บแม้ว" เข้าขั้นมากที่สุด

] ไม่ได้ห่วงคำว่า "แอ๊บแบ๊ว" ที่เป็นภาษาไทยของวัยรุ่น ที่ใช้เรียกขานเพื่อนๆ ที่ทำตัวเพี้ยนๆ บ๊องๆ คิขุอาโนเนะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำของตัวเอง [color=navyแต่ห่วงอาการแอ๊บแบ๊วที่กำลังระบาดไปทั่วกับองค์กรภาคประชาชน,องค์กรอิสระ,กลุ่มนปก.,คมช., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ,รัฐบาล,สภานิติบัญญัติ ,สภาร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ที่มีความแตกต่างทางความคิด แล้วต่างฝ่ายต่างยึด "หลักกู" แบบแอ๊บๆ จนเกิด "แอ๊บแบ๊ว" กับ "แอ๊บแม้ว" ซึ่งต่างความหมายกับ "แอ๊บแบ๊ว" ของวัยรุ่น ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครมากนัก [/color]

(อ่านคอลัมน์ย้อนหลังและแสดงความเห็นทาง www.oknation.net/blog/adisak
 
 


นี่เป็นมุมมองหนึ่งของสื่อฯ ต่อพฤติกรรม"แอ๊บแบ๊ว"ของแกนนำม๊อบ"จลาจลไข่แม้ว" ที่พยายามชักชวนประชาชนเข้าร่วมกับม๊อบ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยบังหน้า ซ่อนเร้นความต้องการ"เปิดทาง"ให้อดีตเผด็จการจากการเลือกตั้ง กลับประเทศเพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนเองและครอบครัวจากการ"อายัดทรัพย์"ของคณะกรรมการ คตส. ที่ดำเนินการสู่ขบวนการยุติธรรม......