ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => ห้องสาธารณะ => ข้อความที่เริ่มโดย: ความจริงพุทธศาสนา ที่ 01-07-2007, 00:18



หัวข้อ: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ความจริงพุทธศาสนา ที่ 01-07-2007, 00:18
การที่ สสร.ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น เนื่องจากว่า กลัวว่าจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพ กลัวว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก กลัวว่าจะทำให้ศาสนาอืี่นไม่พอใจ หรืออาจกลัว คมช.ก็เป็นไปได้  แต่หลักความจริงนั้น การบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น มิได้หมายให้มีการใช้บังคับกับศาสนาอื่นให้มาปฏิบัติดังเช่นพุทธ หรือจะบังคับให้คนในสังคมต้องปฏิบัติตามศีล 5 ก็หาไม่ ซึ่งหากแต่เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ หากใครที่จะเข้ามาในประเทศก็ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมประเพณี หรือกฎ ข้อห้ามให้ดี เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเหมือนเราเดินทางไปตะวันออกกลาง ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรมให้ถูกต้อง แต่หากจะเอาความผิดที่คนกระทำความผิดก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาพุทธ เพราะความผิดทางศาสนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเพียงแต่นามธรรม แต่สิ่งที่จะเอาความผิดได้ก็คือ กฎหมายของประเทศ เท่านั้น ซึ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และไม่เกี่ยวว่าจะมีศาสนาพุทธเข้ามาทำการพิจารณาโทษด้วย ฉะนั้นการบรรจุพุทธศาสนา จึงมิใช่จะมาขลาดเขลากับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่เป็นนามธรรมที่เห็นได้เท่านั้นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นความสงบสุขเฉพาะตัว   จะขอกล่าวถึงอายุของพุทธศาสนาไว้ว่า
 สัทธรรมอันตรธาน อายุพุทธศาสนา 5000 ปี
มีอยู่ 3 ประการ คือ อธิคมอันตรธาน คือผู้บรรลุธรรม 1 ปฏิปัตติอันตรธาน คือผู้ปฏิบัติธรรม 1 ลิงคอันตรธาน คือเพศปฏิบัติธรรม 1 เมื่อเหตุ 3 ประการนี้เกิดขึ้นเมื่อใด พุทธศาสนาจักสิ้นไปเมื่อนั้น สำหรับการบรรลุธรรมในช่วง 5000 ปี มีดังนี้
พันปีแรก จักมี พระอรหันต์ 3 ประเภท คือ ปฏิสัมภิทา อภิญญา และ วิชชา เมื่อพ้้นแล้วจักไม่เกิดขึ้น
พันปีที่สอง จักมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสก เมื่อพ้้นแล้วจักไม่เกิดขึ้น
พันปีที่สาม ยังมีำพระอนาคามี
พันปีที่สี่ ยังมีพระสกทาคามี
พันปีที่ห้า ยังมีพระโสดาบัน
เมื่อสิ้น 5000 ปี แล้ว อธิคมสัทธรรมก็สิ้นไป พระปริยัติธรรมก็หมดไปทีละน้อย ลงท้ายก็เหลือแต่เพศภิกษุ ที่มีผ้าเหลือน้อยห้อยหู ทำไร่ไถนา เลี้ยงบุตรภรรยา แล้วลงท้ายก็หมดผ้าเหลือน้อยห้อยหู แต่เมื่อใดยังมีผู้จำพระพุทธวจนะได้เพียง 1 คาถา อันกำหนดด้วยอักขระ 32 ตัว เมื่อนั้นก็ยังเรียกว่า พระปริยัติศาสนายังอยู่ เมื่อไม่มีมนุษย์ใดในโลก จะจำพระพุทธวจนะเพียงคาถาเดียวได้ เมื่อนั้นแหละจึงเรียกว่า หมดพระปริยัติศาสนาจริง ๆ และมีกล่าวไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบ 5 พันปีแล้ว พระอัฏฐิธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ในที่ต่าง ๆ กันจะเสด็จมารวมกันที่ไม้ศรีมหาโพธิ์ แล้วปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าขึ้น ทรงแสดงธรรมแก่เทพยดาอยู่ตลอด 7 ทิวาราตรี เทพยดา หรือยักษ์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ผู้ใดเป็นธาตุเวไนย ผู้นั้นก็จักได้สำเร็จมรรคผล นิพพาน ในคราวนั้น แล้วจวนรุ่งอรุณในคืนที่ 7 พระอัฎฐิธาตุที่ปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นนั้น ก็จะมีเพลิงธาตุเกิดขึ้นถวายพระเพลิงเผาให้ย่อยยับไปไม่มีเหลือ เมื่อนั้นแหละเรียกว่าธาตุอันตรธาน ดังนีี้
ในแง่คิด ไม่ว่าพุทธศาสนาจะถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ก็ตาม
ความสิ้นไปแห่งพุทธศาสนาในไทยก็จักถดถ้อยไปตามกาลเวลาเท่านั้น และจะกลับเข้าสู่ชมภูทวีป คือประเทศอินเดียในเบี้องปลายอยู่ดี เหล่าผูใด้เป็นพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน หรือเป็นพุทธในพิธีเมื่อตายไปก็จักรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ปกป้องพุทธศาสนาไว้ได้ในเมื่อมี
อำนาจหน้าที่ หรือความเป็นไปได้สูงกว่าผู้อื่น เมื่อพระยายมราชถามท่านว่า ผู้ที่ห่มผ้าเหลือโกนผม คิ้ว ตัดเล็บ และเป็นผู้ที่ีมองแต่เบี้องล่างไม่เกิน 4 วา เป็นผู้กล่าวแต่ความจริงให้ผู้อื่นรู้ เรียกว่าอะไร เหล่าผู้นั้นไม่มีแม้จะนึกได้ ก็เพราะเหตุแห่งตนมีทิฎฐิเกินเป็นเกราะคุ้มกันอย่างหนาแน่น ได้แ่ต่เพียงบอกว่า นั้นเป็นผู้ที่ขอทานเลี้ยงชีพหามีหลักแหล่งไม่ พระยายมราชได้แต่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า นี้หรือผู้ที่หิวกระหายน้ำที่มีร่างกายอันสกปรกเมื่อเจอสระใหญ่อันมีน้ำสอาดต่างมุ่งตรงยังสระ พร้อมดื่มกิน แต่หาชำระร่างกายให้สดชื่นไม่ ได้แต่เอาเท้ากวนน้ำให้ขุ้น เพื่อที่จะไม่ให้ผู้อื่นได้มาดื่มกินอีก ก่อนขึ้นจากสระยังถ่ายมูลลงในสระ พร้อมกับเด็ดทำลายดอกบัวแล้วจึงขึ้นจากสระ พวกนี้หาควรให้อยู่ในพุทธศาสนาไม่ ได้แต่มืดมา แล้วก็มืดไป เขาเหล่านี้ถึงจะมีอำนาจหน้าที่มากก็ไม่ควรให้เรียกว่าชาวพุทธเลย
เพราะมิได้ป้องกันศาสนาของพระโคดมเลยแม้แต่น้อย
มีแต่ความขลาดเขลา เหล่าเทพยดา ภูตต่าง ๆ ที่เป็นญาติ เห็นแล้วก็จะรู้สึกสังเวชยิ่งนัก กรรมที่ทำไว้ก็จักมาให้ผลโดยเร็วพลันในเมื่อไม่มีเกราะคุ้มกันแล้ว เปรียบเหมือน ลูกธนูที่ทำจากเหล็กกล้า ย่อมวิ่งทะลวงร่างกายของผู้ทีี่่สวมใส่แต่เสี้อโกเชา การเป็นอยู่ในโลกนี้ หามีอรรถประโยชน์ไม่ แม้แผ่นดินก็จักลุกเป็นไฟ เพราะการกระทำของเขาเหล่านี้
พวกเขาเหล่านี้ ย่อมเป็นผู้ที่ห่างไกลจากพุทธศาสนามากเท่านั้น การเป็นอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลัทธิใดในโลกนี้ เป็นไปเพื่อยังชีวิตผู้อื่นให้ตกไป เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นเพื่อกิเลสตัณหา ลัทธินั้นหาใช่ศาสนาไม่ ศาสนาใดในโลกนี้ เป็นไปเื่พื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อจริงอันประเสริฐ เป็นไปเพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานนั้นไม่มี นอกจากพุทธศาสนาเท่านั้น"
เหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย จงฟัง ในโลกนี้ระหว่างคนโง่กับคนฉลาดใครมีมากกว่ากัน
หากแม้มีแ่ต่คนฉลาดก็คงต้องมีแต่ความสงบสุข
หากแม้มีแต่คนโง่ก็คงต้องมีแต่ความวุ้นวายไม่รู้จบ เหล่านรชนผู้เป็นอิสระจากมารได้แต่่ปลงกับเขาเหล่านั้น
เพราะอีกไม่นานชีวิตเขาเหล่านั้นก็จะสิ้นแล้ว ด้วยกรรมที่เขากระทำไว้
พุทธศาสนามิได้ต้องการอะไรเลยจากผู้ที่นับถือ แต่ผู้ที่นับถือเท่านั้นที่ต้องการสิ่งตอบแทนจากพุทธศาสนา
การป้องกันหรือการอุ้มชูพุทธศาสนาก็ถือว่าเป้นการสร้างบุญอัน
ยิ่งใหญ่กว่าการให้ทานด้วยวัตถุทั้งปวง ผลที่ได้ก็คือ เป็นผู้ที่ผิวพรรณดังสีทอง เป็นผู้ไม่มีโรค เป็นผู้ที่มีร่างกายสมส่วน เป็นผู้ไม่มีกลิ่นปากอันเหม็นเน่า เป็นผู้ที่ผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ เป็นผู้ที่เทวดา ภูต ผี ปิศาจคุ้มครอง เพียงแต่พูดคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นที่พึ่งของเรา เท่านั้น
หากแต่เป็นพระภิกษุผู้ประกาศศาสนา ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม หรือบิดเบือนหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ภิกษุผู้นั้นจะเป็นเหมือนปลาสีทองในแม่น้ำคงคง ที่มีเกล็ดสีทอง แต่มีกลิ่นปากนั้นเหม็นหาที่เปรียบมิได้ ต้องทรมานหลายภพหลายชาติไป

ขออนุโมทนา
ขอเป็นพุทธบุตรทุกชาติไป


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 01-07-2007, 06:40
ดีแล้วที่ไม่บรรจุ


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: eAT ที่ 01-07-2007, 06:55
อ่านแล้วช่างเป็นพวกที่โง่งมงายเสียนี่กระไร เริ่มต้อง ก็อ้างเรื่องไม่บังคับเรื่องศิล 5
ประเด็นนี้ เขียนมาได้ยังไงกัน

- หลักของการเทศนาครั้งแรก กับครั้งสุดท้าย มีเรื่องศึล 5 หรือ?
- ประเทศไทย ส่งออกเนื้อสัตว์มากมาย ถ้าเป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
จะมีน้ำหน้า ส่งเนื้อสัตว์ไปต่างประเทศหรือ?

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ศาสนาพุทธจคงอยู่ด้วยการบัญญัติเอาไว้เป็นตัวหนังสือหรือ?
บ้าไปแล้ว ศาสนาพุทธจะคงอยู่หรือไม่ อยู่ที่พุทธบริษัท ๔ ว่าจะรักษาธรรมวินัยไว้
ได้หรือไม่

พระไตรปิฎก อ่านครับแล้วหรือยัง ปฎิบัติแล้วหรือยัง อย่าทำศาสนาพุทธ เหมือนกฎหมาย
หมวกกันน๊อค ที่บัญญัติไว้ แต่ไม่ค่อยมีคนปฎิบัติเลย

วัดทั้งหลาย มัวเมา เอาแต่ผลประโยชน์ ปั๊มจตุคาม ขายมากมาย ไม่คิดจะทำอะไรกับ
วัดหล่านั้น กลับมาคิดเรื่องโง่ๆ จะให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 01-07-2007, 07:22
มูลนิธิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ยกย่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นตัวอย่างชาวพุทธที่ดี เชิญชวนคนไทยยึดพระองค์เป็นแบบอย่าง พร้อมอยากให้ประชาชนศรัทธาองค์จตุคามรามเทพ แยกแยะความศรัทธา กับความงมงาย ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนานานาชาติเรื่อง พระราชกรณีย์กิจด้านพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดโดยมูลนิธิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก และกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ว่า ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ 61 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ขณะเดียวกัน ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย์กิจ โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ ในการบริหารราชการแผ่นดิน การสัมมนาครั้งนี้จึงเป็นการเผยแพร่ ให้ชาวไทยชาวต่างชาติ เห็นข้อเท็จจริงว่า พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาของการดำเนินชีวิตที่ดี ถ้าปฏิบัติตามจะมีความสุข เปรียบเสมือนการดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และจากกระแสความนิยมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพที่แพร่กระจายไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะการใช้จตุคามเป็นสิ่งจูงใจในการหาเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆนั้น คุณหญิงไขศรี กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแลการเผยแพร่พระพุทธศาสนา รู้สึกเป็นห่วง ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ที่ประชาชนจำนวนมากมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีคนอีกจำนวนมากไม่ได้แยกแยะระหว่างความเชื่อ ความศรัทธา กับความงมงาย โดยห่วงว่าคนกลุ่มนี้อาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจะเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยได้ จึงอยากให้คนไทยระลึกถึงจุดนี้ด้วย ทั้งนี้จะหารือกับ นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เกี่ยวกับการจัดทำสติ๊กเกอร์รณรงค์ให้คนไทยมีสติโดยใช้คติธรรมอย่าหลงบูชาจตุคามอย่างงมงาย โดยจะทำสติ๊กเกอร์ข้อความเกี่ยวกับคติธรรมทางพุทธศาสนาแจกจ่ายรณรงค์ให้ประชาชนติดท้ายรถ
http://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45403
 :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: วูปี ที่ 01-07-2007, 07:42
ไปเปรียบเทียบกับตะวันออกกลางคงไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ถูกต้อง อิสลามทางตะวันออกกลางนั้นเขาครอบคลุมวิถีทางทางสังคม แต่ของไทยนั้นไม่ใช่

จริงๆควรไปดูประเทศอิสลามอื่นๆ หรือประเทศตะวันตกอย่างอังกฤษที่มีคนนับถืออิสลามไม่น้อยว่ามีวิถีทางสังคมอย่างไร แล้วจะเข้าใจว่าศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้แม้จะไม่มีบทบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติ

....
และจากกระแสความนิยมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพที่แพร่กระจายไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะการใช้จตุคามเป็นสิ่งจูงใจในการหาเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆนั้น คุณหญิงไขศรี กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแลการเผยแพร่พระพุทธศาสนา รู้สึกเป็นห่วง ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ที่ประชาชนจำนวนมากมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีคนอีกจำนวนมากไม่ได้แยกแยะระหว่างความเชื่อ ความศรัทธา กับความงมงาย โดยห่วงว่าคนกลุ่มนี้อาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจะเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยได้ จึงอยากให้คนไทยระลึกถึงจุดนี้ด้วย ทั้งนี้จะหารือกับ นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เกี่ยวกับการจัดทำสติ๊กเกอร์รณรงค์ให้คนไทยมีสติโดยใช้คติธรรมอย่าหลงบูชาจตุคามอย่างงมงาย โดยจะทำสติ๊กเกอร์ข้อความเกี่ยวกับคติธรรมทางพุทธศาสนาแจกจ่ายรณรงค์ให้ประชาชนติดท้ายรถ
..

ส่วนเรื่องคุณหญิงนั่น ผมว่าให้เขาเอาคำพูดนี้ไปบอกกับพวกคมช.หรือรัฐบาลีที่ไปทำพิธีจตุคามที่ผ่านมาแล้วกัน


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ปอดแหก ที่ 01-07-2007, 08:16
ผู้ช่วยด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา เป็นประธานทำพิธีเทวาภิเษก บรวงสรวงจตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคลองค์ราชัน ซึ่งจัดสร้างโดยราชนิกุล "กิติยากร"

นายนวัต สุขาวรา ผู้ช่วยด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ เป็นประธานและทำพิธีทางศาสนาพราหมณ์ บนเรือตรวจการณ์ศุลกากร ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณรอยต่อระหว่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย กับจังหวัดสตูล โดยทำพิธีเทวาภิเษก บวงสรวงเทพยดาทะเล พิธีบวงสรวง จตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคล องค์ราชัน วาระที่ 7 จากทั้งหมด 9 วาระ สำหรับจตุคามรามเทพรุ่น 9 มงคลองค์ราชัน จัดสร้างโดยราชสกุล กิติยากร มีหม่อมราชวงศ์ สมลาภ กิติยากร เลขานุการในพระองค์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างิ เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อช่วยเหลือข้าราชการ พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และสมทบทุนมูลนิธิ
ราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อพึ่ง(พา)ยามยาก ในโครงการคืนชีพพ่อ แม่ แก่ลูกน้อยที่ปลอดเอดส์ในสภากาชาดไทยhttp://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45833
 :slime_dizzy:


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: ********Q******** ที่ 01-07-2007, 11:40
ผู้ช่วยด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา เป็นประธานทำพิธีเทวาภิเษก บรวงสรวงจตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคลองค์ราชัน ซึ่งจัดสร้างโดยราชนิกุล "กิติยากร"

นายนวัต สุขาวรา ผู้ช่วยด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ เป็นประธานและทำพิธีทางศาสนาพราหมณ์ บนเรือตรวจการณ์ศุลกากร ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณรอยต่อระหว่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย กับจังหวัดสตูล โดยทำพิธีเทวาภิเษก บวงสรวงเทพยดาทะเล พิธีบวงสรวง จตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคล องค์ราชัน วาระที่ 7 จากทั้งหมด 9 วาระ สำหรับจตุคามรามเทพรุ่น 9 มงคลองค์ราชัน จัดสร้างโดยราชสกุล กิติยากร มีหม่อมราชวงศ์ สมลาภ กิติยากร เลขานุการในพระองค์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างิ เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อช่วยเหลือข้าราชการ พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และสมทบทุนมูลนิธิ
ราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อพึ่ง(พา)ยามยาก ในโครงการคืนชีพพ่อ แม่ แก่ลูกน้อยที่ปลอดเอดส์ในสภากาชาดไทยhttp://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45833
 :slime_dizzy:


 :slime_fighto:


จตุคาม พระพรหม พิฆเนศ ฯลฯ ไม่ใช่ความเชื่อทางพุทธ หยุดเอาที่สาธารณะมาสร้างศาลพระภูมิได้แล้ว...มอมเมาตนเองไม่พอ มอมเมาคนไทยด้วยความเชื่อผีสางเทวดา..

หมดดู108จำพวก สังคมไทยจึงไร้เหตุผลไร้สติ..ขัดกับหลักคำสอนพุทธศาสนาโดยตรง..


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 01-07-2007, 14:04
อ้างถึง
การที่ สสร.ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น เนื่องจากว่า กลัวว่าจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพ กลัวว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก กลัวว่าจะทำให้ศาสนาอืี่นไม่พอใจ หรืออาจกลัว คมช.ก็เป็นไปได้ 


- อันนี้คุณเดาและมั่วเอาเอง ไม่เป็นไปตามหลักกาลามสูตร ที่ให้ยึดเหตุผลในการพิจารณาเลย

อ้างถึง
แต่หลักความจริงนั้น การบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น มิได้หมายให้มีการใช้บังคับกับศาสนาอื่นให้มาปฏิบัติดังเช่นพุทธ หรือจะบังคับให้คนในสังคมต้องปฏิบัติตามศีล 5 ก็หาไม่ ซึ่งหากแต่เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

- การประกาศให้โลกรู้ว่า เรามีอะไรเป็นของประจำชาติของเรานั้น ไม่จำเป็นต้องประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญ เรามีสัตว์ประจำชาติ ดอกไม้ประจำชาติ เพลงชาติ ฯลฯ ไม่เห็นได้เคยประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญที่ไหน ดังนั้นการจะบรรจุถ้อยคำระบุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นหลักความจริงที่จะประกาศให้โลกรู้แต่อย่างใด

อ้างถึง
หากใครที่จะเข้ามาในประเทศก็ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมประเพณี หรือกฎ ข้อห้ามให้ดี เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเหมือนเราเดินทางไปตะวันออกกลาง ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรมให้ถูกต้อง

- ถึงจะประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ฝรั่งขี้ยา จีนแก๊งค์ลูกหมู แขกแก๊งค์ลูกแพะ ก็คงไม่ศึกษาวัฒนธรรมประเพณีอะไรหรอกค่ะ พัฒน์พงษ์ นานา ข้าวสาร พัทยา ก็คงไม่ถือศีลข้อไหนๆหรอกค่ะ ส่วนเรื่องจะเดินทางไปตะวันออกกลางน้น ถ้าไปกับทัวร์ เขาก็จะบอกให้ว่าห้ามนำอะไรเข้าไปบ้าง ขืนนำเข้าไปก็โดนดีเองนั่นแหละค่ะ

อ้างถึง
แต่หากจะเอาความผิดที่คนกระทำความผิดก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาพุทธ เพราะความผิดทางศาสนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเพียงแต่นามธรรม


- อ้าว แล้วเราบรรจุพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญแบบนามธรรมไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเขียนให้เป้นรูปธรรมด้วย รูจักนามธรรมกับรูปธรรม ก็น่าจะแยกแยะได้นี่

อ้างถึง
แต่สิ่งที่จะเอาความผิดได้ก็คือ กฎหมายของประเทศ เท่านั้น ซึ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และไม่เกี่ยวว่าจะมีศาสนาพุทธเข้ามาทำการพิจารณาโทษด้วย

- เออ รู้เหมือนกันแฮะ

อ้างถึง
ฉะนั้นการบรรจุพุทธศาสนา จึงมิใช่จะมาขลาดเขลากับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่เป็นนามธรรมที่เห็นได้เท่านั้นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นความสงบสุขเฉพาะตัว

- ตกลงว่า บรรจุให้เฉพาะตัว ในนามธรรม รับทราบเฉพาะตัวแล้ว อย่าก่อกวนความสงบของส่วนรวม  :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 01-07-2007, 20:12
ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกเหรอเนี่ย

น่าเบื่อจริงๆ จขกท ไม่บรรจุไว้น่ะดีแล้ว


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 01-07-2007, 22:52
* เบื่อแล้ววว ..........  ข้อความแบบนี้  ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

   ไปดูก่อนนะว่าอะไรที่ทำให้    ศาสนา    เสื่อม

   ถึงจะเอาข้อความมาโปรโมทแค่ไหน ........... ค่ามันก็เท่ากัน   ในความเป็นจริง
 
   อยากให้คนเห็นด้วย ... ก็น่าจะไปปรับปรุงในส่วนที่   บกพร่อง  ของ  องค์กรสงฆ์

   มากกว่า ... การมาส่งข้อความแบบนี้ หรือ ไป เย้ว กันแบบที่เป็นอยู่

   เขียนมาได้แบบเนื้อหาข้างบนนี้ ... แสดงว่าไม่ใช่เด็ก

   โต แล้ว ..... ใช้กระบวนการคิดหน่อย  นะ  

   


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: sootyod ที่ 01-07-2007, 23:57
"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
กะอีแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวไปโผล่อยู่ในรัฐธรรมนูญ แค่เนี้ย??จะเป็นจะตาย
ถ้าไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว พระจะสึกหมดประเทศหรือ
ถ้าไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว คนดีดีเค้าจะเลิกนับถือศานาพุทธหรือเปล่า
ถ้าบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว พระจะเลิกใบ้หวย เลิกปลุกเสกของขลัง หรือเปล่า
ถ้าบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว คนจะทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจผ่องใสทุกคน ได้หรือ

แล้ว2550+35ปีที่ผ่านมามีประเทศไหนบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญบ้าง

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า
...ถ้าจะมีศาสนาไหนที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด ศาสนานั้นก็คือศาสนาพุทธ...

แค่กฏหมายฉบับนึง เปลี่ยนคนให้ดำรงตนอยู่ในกรอบพระพุทธศาสนาได้หรือ

พระราชดำรัสของในหลวง
...บ้านเมืองเรานั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...

สสร.ไม่ได้โง่/กลัวคมช. ถึงไม่บรรจุปรโยคนี้ลงไปในรัฐธรรมนูญ
แต่รู้อยู่ว่า ศาสนาเป็นสถาบันหลัก ไม่ควรแดลงมาอยู่ในกฎหมาย
และด้วยความเป็นศาสนาพุทธเอง ก็เป็นศาสนาที่ยอมรับความแตกต่าง ให้เกียรติศาสนาอื่น
จึงไม่เหมาะสม ที่จะบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: (ก้อนหิน) ละเมอ ที่ 02-07-2007, 00:01
น่าเบื่ออ่ะ ประเด็นเก่าแล้วเอามาพูดอยู่ได้
ถ้าไม่มีคำว่า "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ"
จะทำให้พระสึกหมดหรือครับ
จะทำให้ใครบางคนชักดิ้นชักงอขาดใจตายหรือครับ


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 02-07-2007, 11:22
น่าเบื่ออ่ะ ประเด็นเก่าแล้วเอามาพูดอยู่ได้
ถ้าไม่มีคำว่า "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ"
จะทำให้พระสึกหมดหรือครับ
จะทำให้ใครบางคนชักดิ้นชักงอขาดใจตายหรือครับ


ขี้ข้าธรรมกายอาจกำลังชักดิ้นชักงอ


หัวข้อ: Re: ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เริ่มหัวข้อโดย: Cylonn ที่ 11-07-2007, 17:01
ถ้าบัญญัติให้มีบทลงโทษทางโลก(ติดคุกไม่ใช่จับสึกแล้วจบ)กับพระนอกรีตที่ประพฤติธรรมวินัย มัวเมาลาภยส พวกค้าวัตถุศีล พวกมอมเมานับถือผีเปรตเทวดา และ อื่นที่ไม่ใช้วิถีพุทธ  ผมสนับสนุนให้บัญญัติใว้  แต่ผมว่าไอ้พวกห่มผ้าเหลืองที่ดูเหมือนพระหน้าสภาคงจะไม่รอด