หัวข้อ: "ทักษิณ" ปรับใจให้ตรงปาก ทดลอง "องค์กรแก้วิกฤติ" ยุติขัดแย้ง เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 17-06-2007, 10:30 17 มิถุนายน พ.ศ. 2550 05:00:00 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : อ่านถ้อยแถลงคุณทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่พูดออดอ้อนขอความเห็นใจลงแผ่นวีซีดีฉายผ่านจอโปรเจ็คเตอร์กลางท้องสนามหลวงให้ "กลุ่มคนรักทักษิณ" รับชมกันเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาแล้ว เกิดความรู้สึกสงสารและเห็นใจในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่กลับสังเวชและสมเพชในฐานะอดีตผู้นำที่ไม่ได้เป็นห่วง"บ้านเมืองของเรา" เลยว่าหลังจากพูดออกไปแล้วจะสร้างความวุ่นวายมากขึ้นหรือไม่แต่เนื้อหาคำพูดส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณเป็นห่วงเงินสดกว่า 5.2 หมื่นล้านที่ถูกอายัดไว้ 60 วัน และห่วงลูกเมียที่รู้สึกว่าถูกรังแกมากกว่า แม้จะบอกว่าอยากให้ "บ้านเมืองของเรา" กลับคืนสู่สันติ คุณทักษิณคงจะ"ป่วยทางใจ" หรืออาจจะป่วยทางจิตจริงๆ จากการทุกข์ระทมใจเป็นอย่างยิ่งกับการหล่นจากบัลลังก์อำนาจอย่างไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนจากการถูกรับประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะจนป่านนี้แล้วคุณทักษิณยังพูดแบบย้ำคิดย้ำทำวกวนกลับไปกลับมาอยู่ไม่กี่เรื่อง และไม่เคยรู้สำนึกเลยว่าได้ทำผิดหลายอย่างจนเกิดความวุ่นวายใน "บ้านเมืองของเรา" เช่น แลกเช็คมาก่อน จนเกือบติดคุก (นักธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศนี้มีประสบการณ์เหมือนกันอย่าคุยโวนักเลย) รวยแล้วอยากช่วยชาติ (แต่กลับอ้างว่ารวยแล้วไม่โกงเมื่อสังคมรู้ทันจะบอกว่าโกงนิดหน่อยทวงบุญคุณเสียสละทำงาน) ทำไมรังแกลูกเมีย (แล้วทำไมชอบโอนหุ้นซุกเงินให้ลูกกับเมียจนต้องเดือดร้อนไปด้วย) 5 ปีที่ทำงานมา ไม่เคยมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองเลยหรือ (แล้วแยกแยะได้หรือไม่ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวม) ผมพร้อมคุยอย่างลูกผู้ชาย (ลูกผู้ชายตัวจริงคงไม่เล่นเกมต่อท่อน้ำเลี้ยงจนป่วนเมืองและจะต้องคำไหนคำนั้น) เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ (แล้วทำไมคนยังสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของคุณทักษิณและคนรอบข้าง) เลิกเล่นการเมืองแล้ว (ตัวอย่างนักการเมืองที่เลิกเล่นการเมืองจริงๆมักทำตัวล่องหนหายไปจากสังคม) ฯลฯ แต่ละคำพูดมักขัดแย้งกันเองและยังเหมือนเดิมคือปากอย่าง-ใจอย่างหรือปากกับใจไม่ตรงกัน จนทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าคุณทักษิณเลือกต่อสู้ขั้นแตกหักโดยไม่สนใจว่า "บ้านเมืองของเรา" จะยับย่อยแค่ไหน หรือจะวางมือทางการเมืองเลิกต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศของ "บ้านเมืองของเรา" ให้ลดความขัดแย้งลง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนถ่ายไปสู่การเลือกตั้งในปลายปีนี้ พฤติกรรมของคุณทักษิณที่ไม่ตรงกับปากบอกว่าอยากให้ "บ้านเมืองของเรา" สามัคคีกันคือไม่เคยปรามผู้สนับสนุนกลุ่มต่างๆ ให้สงบสติอารมณ์ลงหรือชุมนุมกันอย่างสันติ หรือเลือกยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติวิธีจริงๆ ด้วยรูปแบบต่างๆ ที่ไม่สุ่มเสี่ยงเกิดความรุนแรง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณทักษิณไม่มีความเข้าใจในการต่อสู้แบบสันติวิธีหรืออารยะขัดขืน จึงไม่รู้จักการต่อสู้ในรูปแบบอื่นที่ไม่ได้มีแค่การชุมนุมแล้วปลุกระดมด้วยถ้อยคำหยาบคายเพื่อให้มวลชนเจ็บแค้นแทน แต่คุณทักษิณกลับส่งสัญญาณเป็นระยะๆ ผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ ที่มีการจัดตั้งขึ้นจากเครือข่ายคนรักทักษิณ เพื่อ "เลี้ยงกระแส" ด้วยสัญชาตญานของ"นักการตลาดการเมือง" ที่ไม่มีวี่แววว่าจะเลิกเล่นการเมืองเลยแต่เป็นการเล่นเกมการเมืองรบนอกรูปแบบอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยการใช้ "ความเก่ง-ความรวย" จ้างบริษัทพีอาร์ต่างชาติและบริษัทกฎหมายต่างชาติ พยายามสร้าง "วาระข่าว" ของตัวเองที่เป็นกลยุทธ์ยึดพื้นที่สื่อในต่างประเทศและในประเทศ เพื่อตอกย้ำคนไทยให้จดจำ "แบรนด์ทักษิณ" ได้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและยังเป็นห่วงประเทศ หากคุณทักษิณจริงใจอยากให้ "บ้านเมืองของเรา" สงบสันติ ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันเลิกทะเลาะเบาะแว้งด้วยอารมณ์รุนแรง จนนักธุรกิจทั่วโลกเริ่มเบือนหน้าหนีประเทศนี้ไปจนเกือบหมดแล้ว ควรจะเริ่มต้นแสดงออกด้วยการกระทำหลายๆ อย่าง ก่อนจะนำไปสู่การเปิดเจรจาเพื่อหาหนทางยุติความขัดแย้งระหว่างคุณทักษิณกับคณะมนตรีความมั่นคงและรัฐบาล เช่น เลิกจ้างคุณนพดล ปัทมะ ในฐานะโฆษกประจำตัวเพื่อแถลงข่าวตอบโต้ข้อกล่าวหารายวัน แต่จำกัดหน้าที่ให้เป็นเฉพาะ"ทนายความ" เพื่อแก้ต่างข้อกล่าวหาที่คิดว่าไม่เป็นธรรมในกระบวนการศาลยุติธรรมเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณเชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลจริงๆ หรือกำลังต่อสู้ในระบบศาลเพื่อให้ได้ความยุติธรรมกลับคืนมา เลิกให้ความหวังกับอดีตลูกพรรคไทยรักไทยที่ยังคอยแบมือรับเงินเดือนในภาวะ"ว่างงานการเมือง" เพราะหลายคน "อ่านใจ" คุณทักษิณ ได้ถูกต้องว่าชอบคนที่พร้อมถวายชีวิตสู้แทนดังเช่น คุณเนวิน ชิดชอบ กับคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ที่เป็นคนโปรด จึงทำให้เกิดการรวมตัวของ "อดีตส.ส.นกแล" ที่ไม่ค่อยมีใครอุปถัมภ์ตั้งกลุ่มคนรักทักษิณไม่เอาเผด็จการแล้วเกณฑ์คนเข้าไปร่วมกับกลุ่ม "คนรักทักษิณ" ที่สนามหลวง จนดูเหมือนว่า "ม็อบจุดติด" ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เลิกให้ความหวังกับ "คนรักทักษิณ" (ที่มีทั้งรักแท้กับรักเงิน) ว่าคุณทักษิณจะกลับมาเล่นการเมืองเป็น "นายกรัฐมนตรี" อีกครั้งเพื่อหว่านเงินให้รากหญ้าชุ่มฉ่ำซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากว่าหลังตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมืองคุณทักษิณและกรรมการบริหาร 111 คนของพรรคไทยรักไทยเป็นเวลา 5 ปี "กลุ่มคนรักทักษิณ" กลับยิ่งมีความหวังว่าจะสู้แตกหักเพื่อให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ ในเร็ววันได้ ควรจะคุยกันในครอบครัวจริงจังเสียที เพื่อเห็นตรงกันว่าการต่อสู้เรียกศักดิ์ศรีของคุณทักษิณคืนมาน่าจะดีกว่า หากมาจากการต่อสู้อย่างสันติผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ใช้วิธี "เลี้ยงกระแสมวลชน" เพื่อต่อรองแล้วเกลี้ยกล่อม คุณหญิงอ้อศรีภริยาสุดที่รัก ให้หักห้ามใจเสียเถอะกับอำนาจที่หลุดลอยไปแล้วเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นจะเอาคืนให้ได้ทุกรูปแบบทุ่มไม่อั้นเพราะได้ยินเสียงเล่าลือบอกกันต่อมาว่าคุณหญิงอ้อนั่นแหละ ที่ไม่ยอมให้คุณทักษิณเลิกเล่นการเมืองเพื่อหวัง "เอาคืน" ทั้งอำนาจและทรัพย์สิน ผมคิดว่าคุณทักษิณควรจะเริ่มจากการแสดงออกด้วยการกระทำเพียงไม่กี่เรื่อง เพื่อทำให้สังคมส่วนรวมเกิดความไว้วางใจว่าคุณทักษิณวางมือทางการเมืองจริงๆ แล้วหลังจากนั้นการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เพื่อเรียกศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิกลับคืนมาของคุณทักษิณ จะอยู่ใน "สายตา" และจะได้รับการ "ขานรับ" จากสังคมไทยและประชาคมโลกที่เชื่อมั่นในระบบศาลสถิตยุติธรรมมากกว่าอำนาจจากการรัฐประหารอยู่แล้ว หากคุณทักษิณเชื่อมั่นและยืนหยัดการต่อสู้ในแนวทางนี้ จนศาลสูงสุดมีความเห็นว่าคุณทักษิณไม่ได้มีพฤติกรรมคดโกงประเทศชาติตามข้อกล่าวหาของ คมช. คุณทักษิณมีโอกาสสูงยิ่งในการกลับมาเป็น "นายกรัฐมนตรี" ได้อีกครั้งอย่างเต็มภาคภูมิจริงๆ ผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่มีความเที่ยงธรรม คุณทักษิณจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมเห็นว่าต้องการเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดินโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จริงๆ เพราะรวยแล้วไม่โกงและไม่ได้เข้ามาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนใดๆ หากทำได้เช่นนี้จริง คุณทักษิณจะได้รับการยกย่องมากกว่าเดิมและผู้คนจดจำไปตลอดว่าเป็นผู้นำที่เสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ดังเช่น พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารเช่นกัน แต่ พล.อ.ชาติชายเลือกอยู่เงียบๆ ในต่างประเทศประกาศวางมือทางการเมืองชั่วคราว แล้วต่อสู้ในกระบวนการศาลจนศาลฎีกามีคำพิพากษาให้คืนทรัพย์สินที่ถูกยึดจากคำสั่งอันมิชอบของคณะกรรมการฯ ที่ตั้งโดยคณะ รสช. จากนั้น พล.อ.ชาติชาย ได้หวนกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้งในอีกแค่ไม่กี่ปีหลังถูกรัฐประหารเมื่อกุมภาพันธ์ 2534 ด้วยการตั้งพรรคชาติพัฒนาแล้วได้ ส.ส.มาจำนวนไม่น้อย จนเกือบจะได้เป็น "นายกรัฐมนตรีรอบสอง" หลังพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากไม่เกิดกรณีงูเห่าพรรคราษฎรเสียก่อน ผมคิดว่า พล.อ.สุรยุทธ์จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้แสดงท่าทีในเชิงบวก ว่าพร้อมจะเจรจากับคุณทักษิณเพื่อให้เห็นแก่ความสงบของ"บ้านเมืองของเรา" มาหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณทักษิณไม่เคยจริงใจนำไปคิดต่อ แล้วปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์หลังรัฐประหารเพื่อให้ประเทศอยู่ในสภาพนิ่งพอในการฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนมาโดยเร็ว คุณทักษิณกลับเลือกเล่นเกมป่วนบางอย่างเพื่อเป้าหมายสร้างอำนาจต่อรองแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าทำไมกลุ่มสนับสนุน "ทักษิณ" จึงมีเงินทุน "ท่อน้ำเลี้ยง" สนับสนุนจำนวนมากในการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ ทั้งบนดินและใต้ดินมากกว่าการใช้สิทธิชุมนุมอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย แต่ด้วยคำพูดและความเคลื่อนไหวของคุณทักษิณค่อนข้างชัดว่าส่งสัญญาณให้กลุ่มคนรักทักษิณลำพองใจว่าคุณทักษิณประกาศ "สู้ไม่ถอย" "บ้านเมืองของเรา" มีโอกาสจะสงบลงได้ชั่วคราว หากทำให้เกิดสัญญาณส่งไปถึง "กลุ่มคนรักทักษิณ" (หากเป็นคนรักทักษิณด้วยใจจริงไม่ใช่รักเงินคุณทักษิณ) ที่กำลังชุมนุมด้วยอารมณ์ร้อนรุ่มให้ตั้งสติใจเย็นขึ้น แล้วในที่สุดกลุ่มคนรักทักษิณที่มีทั้งรักจริงกับรักเงินจะค่อยๆ เลิกชุมนุมแบบเถื่อนๆ ไปเอง เมื่อคุณทักษิณยอมรับการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมที่เชื่อมั่นได้ว่า จะให้ความเป็นธรรมกับคุณทักษิณได้ อาจจะเน้นหนักเฉพาะคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณกับครอบครัว และอีกแนวทางคือ การเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับ"กลุ่มคนรักทักษิณ" จดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองได้โดยเร็ววันเพื่อขจัดเงื่อนไขถูกปิดกั้นจึงไปชุมนุมเดินถนนเพื่อเตรียมการสู่สนามเลือกตั้งปลายปีให้ประชาชนชี้ขาดจะเป็นแนวทางที่มีข้อเสียน้อยที่สุด ขอร้องคุณทักษิณให้ลงมือทำอย่างที่พูดจริงๆว่าอยากให้ "บ้านเมืองของเรา" สงบเสียที หากไม่ไว้วางใจว่าคณะ คมช.และนายกฯ สุรยุทธ์ จะให้ความเป็นธรรมได้ อาจจะเสนอตั้ง "คณะบุคคล" ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมกับคุณทักษิณอาจจะเป็นคุณอานันท์ ปันยารชุน, คุณหมอประเวศ วะสี, อดีตประธานศาลฎีกาที่ได้รับการยอมรับจากคุณทักษิณ ฯลฯ ให้เข้ามาทำหน้าที่เป็น "คนกลาง" คล้ายๆ ข้อเสนอองค์กรแก้วิกฤติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อทำหน้าที่"พูดคุย" หาหนทางขจัดข้อขัดแย้งสองฝ่าย เพื่อถามอย่าง "ลูกผู้ชาย" ว่าคุณทักษิณอยากได้หลักประกันอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรมในการต่อสู้คดีต่างๆ ในกระบวนการศาลจะไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจอื่นใด แล้ว คมช.กับรัฐบาลจะยอมรับเงื่อนไขได้หรือไม่ แม้ว่าความยุติธรรมจะไม่ควรแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ถ้าหากยอม "คุยกัน" แล้ว "ถอยคนละก้าว" เพื่อแลกกับความสงบของ "บ้านเมืองของเรา" น่าจะดีกว่าการ "นองเลือด" มิใช่หรือ http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/17/WW12_1239_news.php?newsid=79303 ยาวหน่อย แต่เป็นบทสรุป ม๊อบเนรคุณ อาจมีทาง ทำให้คนเต็มสนามหลวง และ ได้รับความร่วมมือ จาก คนกรุงเทพฯ เพื่อไล่ คมช. หากคุณทักษิณ ประสพความสำเร็จในการเจรจา ยุติกระบวนการยุติธรรม ทั้งหมด.....เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนเต็มสนามหลวง ........ว่าแต่ จะทำได้หรือปล่าวครับ.....คุณวีระ หัวข้อ: Re: "ทักษิณ" ปรับใจให้ตรงปาก ทดลอง "องค์กรแก้วิกฤติ" ยุติขัดแย้ง เริ่มหัวข้อโดย: นู๋เจ๋ง ที่ 17-06-2007, 10:42 ถ้ากล่าวคำขอโทษ รับผิด สำนึกบ้าง แล้วขอโอกาสแก้ตัวใหม่
คนจะเห็นใจ และสภาพจะดีกว่านี้ เริ่มคิดตอนนี้ อยู่เงียบๆ ซะก็ยังไม่สายนะ แม้ว (อยากกระซิบบอกว่า ไอ้พวกที่เป็นกุนซือรอบๆตัวนั่นแหละ ทำร้ายเหลี่ยมยิ่งกว่าใครๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงผมกระบังตั้ง นั่นแหละตัวดี ทางที่ดีเปลี่ยนเมียเหอะ) คนไทยลืมง่าย ให้อภัยกันได้ ยิ่งพูดมากเท่าไร ก็ยิ่งลดเวลาชีวิตตัวเองมากเท่านั้น) หัวข้อ: Re: "ทักษิณ" ปรับใจให้ตรงปาก ทดลอง "องค์กรแก้วิกฤติ" ยุติขัดแย้ง เริ่มหัวข้อโดย: Cherub Rock ที่ 17-06-2007, 12:06 ผมว่านะ
นพดลน่าจะสู้ด้วยประเด็นทักษิณมีความบกพร่องทางจิตประสาทได้แล้ว เผื่อฟลุ้ก อาจรอดคุก :slime_bigsmile: หัวข้อ: Re: "ทักษิณ" ปรับใจให้ตรงปาก ทดลอง "องค์กรแก้วิกฤติ" ยุติขัดแย้ง เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 17-06-2007, 12:10 วิเคราะห์หลาย ๆ ประเด็นจากการพูดของทักษิณคืนนั้น
กลับตอกย้ำคำสารภาพ "ผมทำเพื่อตนเองและครอบครัว" ชัดเจนมาก หัวข้อ: Re: "ทักษิณ" ปรับใจให้ตรงปาก ทดลอง "องค์กรแก้วิกฤติ" ยุติขัดแย้ง เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 20-06-2007, 09:21 รัฐบาลรับรองความปลอดภัย
ต่อข้อถามว่า หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาประเทศไทยแล้วสามารถมีความเป็นอิสระโดยไม่มีการควบคุมตัวใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ได้ครับ เพราะในขณะนี้ก็ถือว่าท่านยังไม่ได้มีความผิด เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองก็ห่วงในเรื่องความปลอดภัย รัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยได้แค่ไหน พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลก็ต้องดูแลความปลอดภัยอยู่แล้ว ต่อกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมา ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่จะต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯมีความเป็นห่วงหรือไม่ เพราะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช.ออกมาบอกว่าไม่รับรองความปลอดภัย รวมทั้งนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ก็บอกว่ากลับมาแล้วอาจจะโดนฆ่าตาย พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลรับรองความปลอดภัยก็คงจะต้องใช้ความสามารถในทุกส่วนราชการที่จะดูแลความปลอดภัยให้คุณทักษิณ ท้าให้กลับมาสู้ในชั้นศาล เมื่อถามว่า จะคุยกับทาง คมช.หรือไม่ว่าในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาอย่าทำอะไรที่มิดีมิร้ายกับ พ.ต.ท. ทักษิณ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คิดว่าคงไม่ได้เป็นเรื่องของทาง คมช. ที่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีเจตนาที่จะไปทำอะไร อย่าไปตีความในลักษณะที่ว่าจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นก็ขอให้เข้าใจกันตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นหมอประเวศเองก็ตาม ก็อยู่ด้วยความปรารถนาดีมากกว่าที่ว่าไม่อยากจะให้เกิดอันตรายอะไรขึ้นมา ในส่วนของรัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบเราก็ขอให้ความปลอดภัยกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเต็มที่ ในส่วนนี้ถ้าได้คุยกับ พ.ต.ท. ทักษิณก่อนก็ยิ่งดี เมื่อถามว่า จะเร็วไปหรือไม่ที่รัฐบาลจะเตรียมตัวในการรับสถานการณ์ในการกลับมาของ พ.ต.ท. ทักษิณ พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา อยากให้การดำเนินการของเราอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม คิดว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ไม่เช่นนั้นเราก็ไปใช้ วิธีการอื่นนอกกฎเกณฑ์บ้าง นอกกฎหมายบ้าง ซึ่งตนไม่ได้ คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ควรต้องแก้ไขปัญหาต่างๆในลักษณะนี้เมื่อมีความขัดแย้ง เมื่อมีข้อกล่าวหาเราก็ต้องสู้กันในกระบวนการยุติธรรมคือการพร้อมต่อสู้ในชั้นศาล[/color] แล้วทีนี้จะอ้างอะไรอีก .........ถ้ากลัวติดคุก ก็บอกไปตรง ๆ ดีกว่า ........ :slime_smile: http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=51187 |