ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => ห้องสาธารณะ => ข้อความที่เริ่มโดย: soco ที่ 05-05-2006, 12:08



หัวข้อ: อาการเหมือนจะรู้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: soco ที่ 05-05-2006, 12:08
(http://www.thairath.co.th/2549/politics03/May/library/05/s_politic.jpg)

ขึ้นเป็นวาระงานทางการจากทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีฉัตรมงคล ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง วันที่ 5 พฤษภาคมนี้

และในช่วงค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นประธานในงานสโมสรสันนิบาตและ นำกล่าวถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เป็นการหวนกลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

หลังเก็บข้าวของออกจากห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ส่งไม้ให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รับหน้าเสื่อรักษาการนายกรัฐมนตรี

แน่นอน โดยเงื่อนไขที่อยู่ระหว่างปลีกวิเวก “เว้นวรรค” หรือ “ไม่เว้นวรรค” ยังสับสน อยู่ๆ “ทักษิณ” กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

มันก็เลยฮือฮานิดหน่อย

แต่ถ้าไม่คิดจับผิดอะไรกันมากไป อันนี้ก็พอเข้าใจได้ระดับหนึ่งว่าเป็นพระราชพิธีสำคัญ เป็นเรื่องการถวายพระพร โดยสถานะของผู้นำประเทศที่เข้าร่วมพิธีควรต้องชัดเจน

ลักปิดลักเปิดไม่ได้

อย่างไรเสีย โดยสถานะทางกฎหมาย วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังดำรงอยู่ในฐานะ นายกรัฐมนตรีรักษาการของประเทศไทย

ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง

แต่โดยโมเมนตัมการเมือง ก็ยังมองไม่เห็น “ทักษิณ” กลับมาทำหน้าที่เฉพาะกิจจะส่งผลอะไร เท่าที่เห็นจนถึงนาทีนี้ “ทักษิณ” ก็ยังนิ่งสงบปากสงบคำ

ไม่หือไม่อือกับใคร

ขนาดลูกพรรคไทยรักไทยออกมาท้าของแข็ง ลองของศาล ขวางโมฆะเลือกตั้ง

เบื้องหน้าเบื้องหลัง “ทักษิณ” น่าจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำกับคิวที่รัฐมนตรีใหญ่ระดับแกนนำ ภาคของพรรคไทยรักไทยเผลอหลุดปากกลางวงเหล้า

“เลือกตั้งใหม่ใช้คนละล้านห้า สี่ร้อยเขตปาเข้าไปเท่าไหร่ จะเอาเงินจากไหนวะ”

“ทักษิณ” ไม่อยู่ในสถานะที่จะกุมสภาพได้เหมือนเก่า

เอาเป็นว่า ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาในเวลา 10.30 น. วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม แถลงคำวินิจฉัยก่อนลงมติ

“โมฆะ” หรือ “ไม่โมฆะ”

และเมื่อโฟกัสจาก 4 ปมใหญ่ที่อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ตั้งแท่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

1. การจัดให้เลือกตั้งหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาในเวลาเพียง 37 วัน

2. กรณีที่ กกต.ออกประกาศให้มีการจัดเลือกตั้ง โดยหันคูหาแบบใหม่ที่ทำให้การลงคะแนนไม่เป็นไปโดยลับ

3. การที่ กกต.ลงมติรับรองผลการเลือกตั้งทางโทรศัพท์ โดยไม่ครบองค์ประชุม

4. ผลสอบของ กกต.ในกรณีที่พบว่า พรรคการเมืองใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การว่าจ้างให้พรรคเล็กส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง

เมื่อเอามาประเมินกับอาการนอตหลุดของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.

“หลักฐานทั้งหมดเกิดจากการกระทำของสื่อมวลชนที่มีจิตวิปริต วิปลาส อุตริ ใจชั่ว ใช้เทคโนโลยีมาจ้องจับผิดเพื่อทำลายผม ยืนยัน กกต.ทำทุกอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายทุกประการ”

อยู่ๆ “วาสนา” เจาะจงงัดเอาปมจัดคูหาเลือกตั้งมาด่าสื่อมวลชนแรงๆ

และบังเอิญ พล.ต.อ.วาสนาเพิ่งเดินทางเข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าหนึ่งวัน ขณะเดียวกัน นายผัน จันทรปาน ตุลาการผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แพลมไต๋ล่วงหน้า

ส่วนตัวพร้อมลงมติ โดยไม่ต้องเรียกหลักฐานข้อมูลจากผู้ร้องและ กกต.มาเพิ่มอีก

เพราะจากการชี้แจงของ พล.ต.อ.วาสนาและนายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต. ก็เพียงพอต่อการวินิจฉัย

เป็นไปได้หรือไม่ คิวนี้รู้ล่วงหน้ากันแล้วหวยจะออกอะไร

กรณีจัดคูหาเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน มีปัญหา เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยมีหลักฐานเป็นภาพข่าวทางโทรทัศน์และ หนังสือพิมพ์ที่ซูมให้เห็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง กากบาทในช่องลงคะแนน เป็นหลักฐานฟ้องว่า

การลงคะแนนไม่เป็นความลับ

ช่องเล็กๆรูเดียวที่จะสั่งโมฆะเลือกตั้งได้.


“ทีมข่าวการเมือง”
http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=4798 (http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics&content=4798)


หัวข้อ: Re: อาการเหมือนจะรู้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 06-05-2006, 02:01
เคยตอบในราชดำเนินไปตั้งนาน กระทู้ลิ่วล้อที่บอกว่า "โมฆะยังไง"

ก็รูเดียวนี่แหละ เลือกตั้งไม่เป็นความลับ

ก็เรื่องหันคูหาไม่ถูกต้อง.... พอเลือก สว. กกต.เลยกลับลำไปสู่การจัดคูหาแบบเดิม

คำถามคือ ก็ในเมื่อแต่ใหนแต่ไร ไม่เคยเบี่ยงเรื่องคูหา

ทำไมเลือกตั้ง สส. ทั่วประเทศถึงมีคำสั่งแบบนั้น...มีเจตนาอะไร

แถมมาสารภาพ ในการเลือกตั้ง สว. อีกที ยิ่งย้ำว่า...ทำไปครั้งนั้น..."มันผิดเต็มประตู"


หัวข้อ: Re: อาการเหมือนจะรู้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: บุรุษไร้นาม ที่ 06-05-2006, 23:56
ไหนจะ ติดโฆษณา เบอร์ 2 ในคูหาด้วย


หัวข้อ: Re: อาการเหมือนจะรู้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 07-05-2006, 00:37
ย้ำอีกทีบทความอาจารย์มีชัย
.................................

ภารกิจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
 
การจัดการเลือกตั้งนั้นแม้จะเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก ใช้กำลังคน กำลังเงินมาก ทั้งยังต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดอย่างกระชั้นชิด แต่การที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยซึ่งรับภาระนั้นมานับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็สามารถกระทำได้โดยไม่เคยเกิดปัญหามาก่อน  ปัญหาที่เกิดความคลางแคลงใจ หรืออยากให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากกว่านั้น ก็คือ การจัดการเลือกตั้งให้เป็นไป “โดยสุจริตและเที่ยงธรรม”  ซึ่งแม้กระทรวงมหาดไทยจะยืนยันว่าตนสามารถทำได้ แต่ผู้คนก็ไม่แน่ใจ เพราะกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร  รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจึงสร้างองค์กรอิสระขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทำหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาแทนที่กระทรวงมหาดไทย 

เพื่อให้เกิดความอิสระอย่างเต็มที่ รัฐธรรมนูญจึงมีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษ สำหรับกระบวนการการได้มาซึ่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอำนาจหน้าที่ของ กกต. 

ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจนั้น เกือบจะเรียกว่า เป็นองค์กรเดียวภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมากที่สุด คือ มีอำนาจทั้งการนิติบัญญัติ (การออกกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้ง) อำนาจในการบริหารจัดการ และอำนาจในการตุลาการ (การวินิจฉัยตีความ การวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง และการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่อันเป็นผลให้สมาชิกภาพของ สส. หรือ สว.ต้องสิ้นสุดลง)


ด้วยความอิสระและอำนาจที่มากมายเช่นนั้น รัฐธรรมนูญ ฝากความหวังให้เป็นหน้าที่ของ กกต.เพียงเรื่องเดียว คือ การจัดการเลือกตั้งให้เป็นไป  “โดยสุจริตและเที่ยงธรรม”


และเพื่อให้สามารถดำเนินการให้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็วภายในเวลาอันจำกัด  รัฐธรรมนูญจึงให้เครื่องมือที่เป็นดุลพินิจไว้แก่ กกต. ในการชี้ขาดแตกต่างจากมาตรฐานที่ใช้ในวงการศาล  กล่าวคือ เพียงแต่มีหลักฐาน “อันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้ง....นั้น...มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”  กกต. ก็สามารถสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้


อัน “ความเที่ยงธรรม” นั้น มิได้หมายถึงความเที่ยงธรรมเฉพาะตอนไปเลือกตั้ง หากแต่หมายถึงกระบวนการทั้งกระบวนการที่จะต้องมีความเที่ยงธรรม และเป็นความเที่ยงธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คือ พรรคการเมืองทุกพรรค  ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคน และประชาชนผู้จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งขึ้นใหม่นั้น ปรากฏตามข่าวว่าฝ่ายบริหารได้หารือกับ กกต.ว่าจะสามารถเลือกตั้งได้เร็วที่สุดเท่าใด เพราะรัฐบาลต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุด  ปรากฏว่า กกต.คำนวณระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว ก็ตอบกลับไปว่าสามารถจัดการเลือกตั้งได้เร็วที่สุดในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙  แล้ว กกต.ก็นับถอยหลังตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อกำหนดวันที่พรรคการเมืองจะต้องส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และวันที่รับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งล้วนแต่เป็นระยะเวลาน้อยที่สุดที่จะพึงทำได้ตามกฎหมาย เพื่อดำเนินการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดตามความประสงค์ของรัฐบาล


ถ้านับแต่วันยุบสภาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ถึงวันที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒  เมษายน ๒๕๔๙ ก็เป็นระยะเวลาเพียง ๓๕ วัน  ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดวันสำหรับการเลือกตั้งในกรณีที่อายุของสภาสิ้นสุดลง ไว้ ๔๕ วัน (เพราะรู้กันล่วงหน้าแล้วว่าอายุของสภาจะสิ้นสุดลงเมื่อไร) และสำหรับการเลือกตั้งในกรณีที่มีการยุบสภา รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๖๐ วัน (เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ทุกฝ่ายจึงต้องใช้เวลาในการเตรียมการมากขึ้น)


   การที่รัฐธรรมนูญกำหนดระยะเวลาไว้แตกต่างกันเช่นนั้น ก็เพราะคำนึงถึง “ความเที่ยงธรรม” ต่อทุกฝ่าย


 ปัญหาอยู่ที่ว่าในการขันอาสาต่อรัฐบาลในการจัดการเลือกตั้งให้รวดเร็วตามความประสงค์ของรัฐบาลนั้น  กกต.ได้คำนึงถึง “ความเที่ยงธรรม” ที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ตามหน้าที่หลักของ กกต. ด้วยหรือไม่
 กกต. จะคำนึงหรือไม่ก็แล้วแต่  แต่พรรคการเมืองที่ไม่ใช่เป็นฝ่ายรัฐบาลและประชาชนทั่วไปส่วนหนึ่งเขาเห็นว่า กกต.ไม่ได้ให้ความเที่ยงธรรมเพียงพอ อาการ “ประชาต่อต้าน” (civil disobedience) จึงเกิดให้เห็นอยู่ทั่วไปทั้งในการชุมนุม และจากผลของการเลือกตั้งที่ติดตามมา


 การที่พรรคการเมืองที่เคยเป็นฝ่ายค้านตัดสินใจร่วมกันไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งก็ดี จำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยลงคะแนน “ไม่ใช้สิทธิ” ที่มีอยู่อย่างท่วมท้นก็ดี จำนวนบัตรเสียที่ผู้ใช้สิทธิเขียนข้อความต่อต้านก็ดี การปฏิเสธไม่ไปเลือกตั้งที่มีเป็นจำนวนมากก็ดี สมควรเป็นเครื่องยืนยันให้ กกต.ได้ตระหนัก ถึงการต่อต้านที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี


 และเมื่อพรรคการเมืองและประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อในความเที่ยงธรรมในการกำหนดวันเลือกตั้งของ กกต. เสียแล้ว ผลที่ติดตามมาจึงสร้างปัญหาที่กฎหมายมิได้คาดการณ์ไว้และครอบคลุมไม่ถึงหลายเรื่อง ที่ทำให้ กกต.ถึงทางตัน


 ในการแก้ไขทางตันแต่ละเรื่อง ดูเหมือน กกต. ก็มีอาการ “แตกตื่น” ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จนลืมภารกิจสำคัญในเรื่อง “สุจริตและความเที่ยงธรรม” อีกเช่นกัน


 เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏให้เห็นถึงแรง “ประชาต่อต้าน” แล้ว แทนที่ กกต.จะทบทวนถึงความสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วเสียให้ถูกต้อง กกต.กลับเดินหน้าต่อไป


 การที่ กกต.กัดฟันเดินหน้าต่อไป ก็ด้วยเหตุผลที่เกรงว่าจะไม่สามารถเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันตามมาตรา ๗/๒ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ประการหนึ่ง กับเกรงว่าจะเปิดสภาไม่ทันภายในสามสิบวันตามมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญอีกประการหนึ่ง


 ความกริ่งเกรงในเรื่องระยะเวลาสามสิบวันตามมาตรา ๗/๒ นั้น พอจะเข้าใจได้ แต่ถ้า กกต.ไตร่ตรองให้ดีระหว่างภารกิจหลักในการสร้างความเที่ยงธรรมตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด กับระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายลูกนั้น กกต.ซึ่งทรงคุณวุฒิอยู่แล้วคงจะตระหนักดีว่าควรจะเลือกทางใด


 แต่ความกริ่งเกรงว่าจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาภายในสามสิบวันตามมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญไม่ทันนั้น  น่าจะเป็นความกริ่งเกรงที่ กกต. ไปคิดแทนฝ่ายบริหาร  เพราะ กกต.ไม่มีหน้าที่ไปเสนอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา


 บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติที่มีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายบริหารที่รักษาการอยู่ ตีกินรักษาการไปเรื่อย ๆ โดยไม่นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก  จึงไม่ใช่หน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องไปกังวล

 กกต.มีหน้าที่เพียงดำเนินการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จสมบูรณ์และเกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม  ตราบใดการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ ส่วนระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนั้น ถ้าการไม่แล้วเสร็จนั้นไม่ใช่ความผิดของ กกต.  ใครก็ไม่อาจกล่าวหาว่า กกต.จงใจฝ่าฝืนกฎหมายได้

 เมื่อพรรคการเมืองที่เคยเป็นฝ่ายค้านไม่ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้ง  การสมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตจึงมีผู้สมัครจากพรรครัฐบาลเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นในเขตที่เป็นฐานเสียงของพรรครัฐบาลก็คงไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรก็คงมั่นใจได้ว่าผู้สมัครจะได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ ๒๐ ของผู้มีสิทธิลงคะแนน  แต่ในเขตที่เป็นฐานเสียงของพรรคที่เคยเป็นฝ่ายค้านมาก่อน โดยเฉพาะในภาคใต้และใน กทม. ประกอบกับอาการ “ประชาต่อต้าน” มีแพร่หลายยิ่งขึ้น ย่อมยากที่จะหวังให้ได้คะแนนเสียงถึงร้อยละ ๒๐ ตามที่กฎหมายกำหนด 

การระดมพรรคเล็ก ๆ ให้ส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันในเขตต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นอย่างปิดไม่มิด

 กกต.ไม่ทราบถึงกระบวนการดังกล่าวจริง ๆ หรือ ในเมื่อได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโจ่งแจ้งว่ามีการจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มีการให้เงินแก่เจ้าหน้าที่ของ กกต. เพื่อแก้ไขข้อมูลของ กกต. ให้สอดรับกับการที่พรรคเล็ก ๆ จะสามารถหาคนมาลงสมัครแข่งขันได้


 จริงอยู่ กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นดำเนินการสอบสวน แต่ กกต.ก็มิได้ดำเนินการตามมาตรา ๘๕/๖ คือสั่งงดการลงคะแนนเลือกตั้งไว้ก่อน  ตรงกันข้าม กกต.กลับเดินหน้าต่อไปโดยไม่นำพาต่อผลที่จะเกิดขึ้น  อันเป็นการปิดหนทางของ กกต.เองในอันที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม


 ผลการสอบสวนในเวลาต่อมาก็ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดจริง จน กกต.มีมติให้ดำเนินการเพื่อยุบพรรคการเมืองเล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีกับหัวหน้าพรรคและเจ้าหน้าที่ของ กกต. ส่วนความเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองใหญ่ กกต.ยังคงให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
 เมื่อการเลือกตั้งในวันที่ ๒ ผ่านไปแล้ว อันที่จริง กกต.ก็ยังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง กล่าวคือ งดการประกาศผลการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๕/๗  แต่ กกต.ก็มิได้กระทำ


 กกต.คงไม่ต้องตอบคำถามใคร เพราะเป็นอำนาจโดยเด็ดขาดของ กกต.ในการใช้ดุลพินิจ แต่ กกต.ต้องตอบคำถามกับตัวเองให้ได้ว่า  กกต.ทั้ง ๔ ท่าน เชื่อโดยสุจริตใจจริงหรือว่า  ด้วยกระบวนการฉ้อฉลที่ปรากฏจากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการที่ กกต.ตั้งขึ้นนั้น การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจริง ๆ อย่างไม่มีข้อกังขา


 นอกจากนั้น กกต.ยังควรตอบคำถามในใจตัวเองอีกด้วยว่า ในการจัดการเลือกตั้งครั้งที่สองสำหรับเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวซึ่ง กกต.จัดให้มีการรับสมัครใหม่  กกต.ดำเนินการไปเพื่อให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเพื่อให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จทันภายในสามสิบวันโดยไม่นำพาต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมที่เป็นภารกิจหลักของ กกต.


 การที่ กกต.จะทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างมั่นใจและน่าเชื่อถือ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำตอบดังกล่าวที่ กกต. ตอบให้แก่ตัวเองในใจ และการกระทำที่เกิดจากผลแห่งคำตอบนั้น


              สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่สองที่มีขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน นั้น กกต.ยังมีทางแก้ไขโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๘๕/๗  ได้ ส่วนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายนที่ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว ก็คงเหลือทางออกสุดท้ายเพียงทางเดียว คือการอาศัยอำนาจตามมาตรา ๘๕/๙ สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ที่เกี่ยวข้องและดำเนินการเลือกตั้งใหม่  โดยต้องเข้าใจว่าความไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมนั้น แม้จะเกิดจากผลแห่งการกระทำของคนอื่นหรือพรรคการเมืองอื่น ก็สามารถใช้อำนาจตามมาตรา ๘๕/๙ ได้


 กกต.ทั้ง ๔ ท่าน จะนอนหลับฝันดีหรือฝันร้ายต่อไป ย่อมขึ้นอยู่กับผลแห่งคำตอบของตนที่ตอบโดยอาศัยความสุจริตเป็นที่ตั้ง และการกระทำภายหลังจากตอบคำถามนั้นแล้ว

 แม้จะเห็นใจในภาระหน้าที่และเอาใจช่วย แต่ก็ได้แต่เพียงหวังว่า กกต. ทั้ง ๔ ท่าน จะไม่ต้องนอนหลับฝันร้ายไปตลอดชีวิต

มีชัย ฤชุพันธุ์
๒๔ เมษายน ๒๕๔๙

 


หัวข้อ: Re: อาการเหมือนจะรู้ตัว
เริ่มหัวข้อโดย: สาธุ ที่ 07-05-2006, 09:59
ในการแก้ไขทางตันแต่ละเรื่อง ดูเหมือน กกต. ก็มีอาการ “แตกตื่น” ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จนลืมภารกิจสำคัญในเรื่อง “สุจริตและความเที่ยงธรรม” อีกเช่นกัน

เห็นด้วยกับ อาจารย์ มีชัย ฤชุพันธุ์ ครับ

ขอบคุณ คุณแคนที่นำบทเขียนดีๆของอาจารย์มาให้อ่านครับ