หัวข้อ: *** เอามาฝากครับ *** เริ่มหัวข้อโดย: istyle ที่ 01-05-2006, 08:48 ความจงรักภักดี?
โดย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ความดำรงอยู่ของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มี "พระมหากษัตริย์" เป็นพระประมุขนั้น มี "ความละเอียดอ่อน" เป็นอย่างยิ่งที่จะถูกหยิบยกมาใช้เป็น "เครื่องมือ" ในทางการเมืองของกลุ่มคณะบุคคลต่างๆ 66 ปีนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" มาเป็นระบอบ "ประชาธิปไตย" ที่มี "พระมหากษัตริย์" เป็นพระประมุข นั้น "สถาบันพระมหากษัตริย์" ได้ถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อใช้ "ทำร้ายเข่นฆ่า" และ "ช่วงชิงอำนาจ" นับครั้งแทบไม่ถ้วน หลายครั้ง...ทำให้ ผู้คนจำนวนมาก "ล้มตาย" หลายครั้ง...ทำให้ ผู้คนจำนวนมาก "ถูกจับคุมขัง" และทุกครั้งจะมีผู้ได้ประโยชน์ ที่สามารถ "ขึ้นสู่อำนาจ" หรือ "รักษาอำนาจ" ของตัวเองเอาไว้ให้ยืนยาว และ "ทุกครั้ง" เช่นกัน "สถาบันพระมหากษัตริย์" จะสงบนิ่ง! การดำรงคงอยู่ของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มีทั้งช่วง "กระแสขาขึ้น" และ "กระแสขาลง" แล้วแต่ "พระบรมเดชานุภาพ" และ "พระราชกรณียกิจ" ของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ถูกเชิดชูเป็น "มหาราช" บางพระองค์ก็ถูกมองในเชิงลบดังเช่น "พระเจ้าเอกทัศน์" กษัตริย์องค์สุดท้ายของ "ศรีอยุธยา" ภายใต้ "พระบารมี" "พระบรมเดชานุภาพ" "พระราชกรณียกิจ" ของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน" สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นที่ยอมรับของ "ผู้คนทั้งโลก" อย่าว่าแต่พี่น้องประชาชนคนไทยเลย เป็นโชคดีของ "คนไทยในยุคนี้" ที่ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระบารมี จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่ "ความจงรักภักดี" ที่คนไทยแสดงออกต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้จึงมีอย่างเหลือล้น แต่เท่านี้คง... "ยังไม่พอ" ...ถ้าเราไม่ใช้ "สติ" ที่จะคิดใคร่ครวญว่า "ความจงรักภักดี" นี้ต้องเป็น "ความจงรักภักดี" ต่อ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ทั้งสถาบัน! ต้องรู้จักมองย้อนไปใน "อดีต" และพิจารณาใคร่ครวญต่อไปใน "อนาคต" ถึงความสำคัญของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" กับสังคมไทยยาวนานนับร้อยนับพันปี !!! ต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบันและต่อไปในอนาคต สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้มี "การต่อสู้" ทางการเมืองอย่างแหลมคม "สถาบันพระมหากษัตริย์" ถูกหยิบยกมาเป็น "เครื่องมือ" อีกครั้งหนึ่ง ทั้งจาก "ฝ่ายรัฐบาล" และ "พันธมิตร" โดยข้ออ้างเช่นเดียวกันคือ "ความจงรักภักดี" !!!!! จริงหรือไม่ ต้องใคร่ครวญ! การต่อสู้ทางการเมืองที่มีอยู่ในขณะนี้ ดูผิวเผินก็เหมือนการต่อสู้ระหว่าง "สนธิ" "จำลอง" ฯ กับ "ทักษิณ" หรือระหว่าง "พันธมิตร" กับ "รัฐบาล" ! แต่ความจริงปัญหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...!!! เพราะ... "ปรากฏการณ์" การชุมนุมของผู้คนที่เกิดขึ้น ไม่ได้ "อุบัติ" ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่มันมี "ความเป็นมา" มี "การสะสม" ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในประเทศที่ "มีผลประโยชน์" ทาง "ชนชั้นที่แตกต่าง" กัน จากประสบการณ์ที่เคยเป็น "ผู้ก่อการ" การชุมนุมมาบ้าง ทำให้ได้พบข้อเท็จจริงว่า กว่าจะทำให้คน 1,000-2,000 คนมาชุมนุมร่วมกันโดยมีเป้าหมายทางการเมืองนั้นไม่ใช่ของง่ายๆ ก่อนหน้านี้ในยุคสมัยของรัฐบาล "ทักษิณ" บรรดากลุ่มองค์กรต่างๆ พยายามก่อการชุมนุมมาไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ "ไม่สำเร็จ"? "ปรากฏการณ์สนธิ" แม้จะมีผู้ชมจำนวนหนึ่งออกมาร่วมกับ "เมืองไทยรายสัปดาห์" แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาไปสู่การ "ไล่ท้าก....ษิณ ออกไป" จวบจน "การขายหุ้นชิน" ทุกอย่างจึงลงตัว!!! "ความรู้สึกร่วม" ของผู้คนที่หลากหลายผลประโยชน์ทางชนชั้นมุ่งไปที่ "คนกลุ่มเดียว"! ทักษิณและพวกพ้อง "รัฐบาล" ที่เคยประเมินสถานการณ์เอาไว้ก็รู้ตัวว่า "ผิด" และ "กลับลำ" เพียงแต่การกลับลำไม่ได้กระทำในเรื่องที่เป็น "หลักการ" ที่มีปัญหา แต่เป็นการกลับลำทาง "วิธีการ" นั่นคือ "สร้างม็อบ" สกัด "ม็อบ" สร้าง "พื้นที่ข่าว" ช่วงชิง "พื้นที่ข่าว" ที่เป็นของอีกฝ่าย ในกระแสแห่งการต่อสู้เรื่องของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็น "ประเด็นสำคัญ" ของการต่อสู้ นั่นเท่ากับ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ได้เข้ามาอยู่ระหว่าง "กระทิงดุ" 2 ตัวที่กำลังจะห้ำหั่นกัน!!! เรื่องอย่างนี้จะเป็นผลดีกับ "สถาบันพระมหากษัตริย์" หรือ??? เมื่อ "ข้างหลัง" ของกระทิงดุทั้ง 2 ตัวนั้นมี "กำลังพล" มากมายที่พร้อมจะถาโถมเข้าหากัน รัฐบาลมี เงินๆๆๆๆๆ + อำนาจ + มวลชน พันธมิตรมี พลังมวลชนอันไพศาล เมื่อถึงวันแตกหัก "สถาบันพระมหากษัตริย์" ไม่ว่าจะ "สงบนิ่ง" หรือ "เคลื่อนไหว" อย่างหนึ่งอย่างใดก็จะมีแต่ "ความบอบช้ำ"!!! เมื่อคราว "พฤษภาทมิฬ" ผู้เป็น "นายกรัฐมนตรี" เป็น "ทหาร" เรื่องนี้มี "นัยยะ" อันสำคัญยิ่งเพราะ "ทหารทุกคน" พร้อมจะเอาชีวิตเป็น "ราชพลี" ด้วยวิถีแห่งจิตวิญญาณที่ได้บ่มเพาะมา แต่ไม่แน่ว่าผู้คนกลุ่มชนชั้นอื่นๆ จะคิดอย่างนี้กับ "สถาบันพระมหากษัตริย์" หรือไม่ เขาว่ากันว่า "หมอ" ก็จะคิดแบบ "หมอ" "นักบัญชี" ก็คิดแบบ "นักบัญชี" "นักกฎหมาย" ก็คิดแบบ "นักกฎหมาย" "ตำรวจ" ก็คิดแบบ "ตำรวจ" "พ่อค้า" ก็คิดแบบ "พ่อค้า" เมื่อถึงคราวสถานการณ์พัฒนาไปถึง "จุดอับ" ชายชาติทหารอย่าง "พล.อ.สุจินดา คราประยูร" จึงไม่มี "ความลังเล" แม้แต่เพียงเล็กน้อยที่จะ "ถวายความจงรักภักดี" ด้วยการลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและไม่เป็นภาระต่อ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ทั้งนี้ เพราะ "พล.อ.สุจินดา" เป็นทหาร ไม่ใช่ "พ่อค้า" หรือ "นักธุรกิจ" จึงไม่มี "ผลประโยชน์" หรือ "บริษัท" อื่นใดที่จะต้องดูแลรักษาหวงแหนเอาไว้ "พล.อ.สุจินดา" เป็นทหารจึงคิดแบบทหาร สถานการณ์ปัจจุบันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่!!! "พันธมิตร" และ "พรรคฝ่ายค้าน" ขอพระราชทานนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 เพื่อ "แก้วิกฤต" ที่กำลังเกิดขึ้น เป็น "ความจงรักภักดี" จริงหรือ หาก "สถาบันพระมหากษัตริย์" ตัดสินใจ "เห็นด้วย" ผู้คนอีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอย่างไร หาก "ไม่ตัดสินใจ" อย่างใดอย่างหนึ่งผู้ที่ร่วมชุมนุมจะคิดอย่างไร "เสีย" ทั้งขึ้นทั้งล่อง "รัฐบาล" เร่งรัดดำเนินการ "คุณสนธิ" ในข้อหา "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" อย่างเอางานเอาการ เป็นการเอางานเอาการด้วย "ความจงรักภักดี" หรือเพียงจะได้กลายเป็นเครื่องมือ "หวดตี" ให้ "คุณสนธิแพ้พ่าย" ลงไป มีคดีอีกหลายคดีที่ "คนในรัฐบาล" หรือแม้แต่ "ทักษิณ" เองถูกกล่าวหาว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ก็ไม่เห็นว่า "รัฐบาล" และ "เจ้าหน้าที่รัฐ" จะเร่งรัดเอางานเอาการแต่อย่างใด!! ทำไม?? จึงเห็นได้ชัดเจนว่า "รัฐบาล" ทำด้วยความ.... "จงรักภักดี" หรือเอาความจงรักภักดีมาเป็น "เครื่องมือ" ทำลายฝ่ายตรงข้าม หากใช้ "สติ" พิจารณาก็จะเห็นได้ว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์" ที่ว่ามี "ความละเอียดอ่อน" นั้น เป็น "ความละเอียดอ่อน" ที่จะนำไปสู่ "ความเสียหาย" ต่อ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ทั้งสิ้น ใครทำอะไรอยู่จึงรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่า ทำด้วย "ความจงรักภักดี" หรือเพียงเพื่อตอบสนอง "ผลประโยชน์" ตน ยามบ้านเมือง "วิกฤต" การเรียกหา "สถาบันพระมหากษัตริย์" ให้เข้ามาช่วยแก้ไขจะดังกระหึ่มขึ้นทุกครั้ง คู่กรณีที่เป็นคู่ต่อสู้กัน ดังเช่น "รัฐบาล" กับ "พันธมิตร" ต่างก็จะพยายาม "เสนอ" ประเด็นที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตนเอง แต่ "สถาบันพระมหากษัตริย์"...สงบนิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว "บุคคล" ที่ถูก "ตีความ" ว่ามีความ "ใกล้ชิด" หรือมีตำแหน่งหน้าที่ มีศักยภาพ ดังเช่น "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีจะ "สงบปาก สงบคำ" หลีกเลี่ยงที่จะ "ออกความเห็น" ดังนั้น เรื่องของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" จึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทั้งหลายด้วย "การตีความ" และ "คำแปล" ต่างฝ่ายต่างก็ "ตีความ" เข้าข้างตนเอง ต่างฝ่ายต่างก็เอา "คำแปล" มาวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อจะกำหนดการเคลื่อนไหวให้เกิด "ประโยชน์สูงสุด" ของฝ่ายตนเอง "ผู้บอบช้ำ" คือผู้ถูกตีความ "คำถาม" มีอยู่ว่า ภายใต้ความ "สงบนิ่ง" นั้นมีความเคลื่อนไหวลึกๆ อยู่หรือไม่? ไม่มีใครตอบได้ แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว นอกเหนือจากความเป็น "จอมปราชญ์" ที่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ได้แสดงออกมาให้เห็นผ่าน "พระราชดำริ" "พระราชดำรัส" และ "พระราชกรณียกิจ" แล้ว ขอให้พึงระลึกว่า "พระชนมพรรษา 80 พรรษา" แม้เป็นบุคคลธรรมดาก็ถือว่าเป็น "ผู้อาวุโส" ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน แต่นี่คือองค์ "พระมหากษัตริย์" ของราชอาณาจักรไทยที่ "ครองราชย์" มายาวนานถึง "60 ปี" นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ธรรมดา เพราะ 60 ปีที่ว่านั้น เป็น 60 ปีที่ทรงฝ่าฟัน "อุปสรรคปัญหาสารพัน" เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาใดๆ จะเผชิญได้ ดังนั้น มีหรือจะมี "ความเคลื่อนไหว" ใดให้ "เกิดปัญหา" จึงขอให้เชื่อเถอะว่า "การตีความ" และ "คำแปล" ทั้งหลายนั้นเป็น "การคิดฝัน" เอาเองทั้งสิ้น มีความนำของหนังสือ "หนึ่งในโลก จอมกษัตริย์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่" จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์ร่วมด้วยช่วยกัน" ซึ่งอยากจะคัดเอามาให้ได้อ่านกัน เพราะจะทำให้เข้าใจ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ที่มี "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" องค์ปัจจุบันเป็นพระประมุขของราชอาณาจักรไทย "กาลครั้งหนึ่ง... ...เจ้าชายน้อยองค์หนึ่งได้ถือกำเนิด...ในดินแดนอันห่างไกล ไม่นานนัก...พระองค์ได้พบกับความสูญเสียของชีวิตเป็นครั้งแรก...พระบิดาอันเป็นที่รักยิ่งต้องจากไปชั่วนิรันดร์ ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์...พระองค์และครอบครัว...พระมารดาและพระเชษฐา...ต้องหลีกลี้จากความวุ่นวายในอาณาจักรที่อาจคุกคามถึงครอบครัว... ไปอยู่ในหุบเขาอันสงบ...ห่างไกล และแล้ว...พระองค์ก็ได้พบกับความสูญเสียของชีวิตเป็นครั้งที่สอง...เมื่อต้องพลัดพรากจากพระเชษฐาอย่างไม่มีวันหวนคืน นับแต่นั้น...ภาระแห่งแผ่นดิน ก็โถมทับหนักอึ้งอยู่บนสองบ่าของพระองค์ เจ้าชายหนุ่มได้เป็นพระราชา โดยมิได้ผ่านชีวิตสนุกสนานเฉกเช่นวัยรุ่นทั่วๆ ไป พระราชาองค์ใหม่ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกตารางนิ้วในอาณาจักร อันเป็นภารกิจที่เหนื่อยยากเกินกว่าที่พระราชาในอาณาจักรอื่นๆ จะกระทำได้ ในการเดินทางพระองค์ได้เผชิญ "ศัตรู" ที่ร้ายกาจ 2 คนที่คุกคามอาณาจักรของพระองค์อยู่ ศัตรูคนหนึ่งนี้คือ "มังกรร้าย" ที่อำพรางตัวมาเป็น "ความยากจน" คอยเข้าโจมตีคุกคามทำร้ายชาวนาในหมู่บ้านต่างๆ อยู่เนืองๆ พระองค์ได้พบชาวนา แลกเปลี่ยน รับรู้ พูดคุย และเข้าใจความทุกข์ยากของพวกเขา มิใช่ในฐานะพระราชา แต่ในฐานะ "มิตรสหาย" พระองค์ได้มอบ "พรวิเศษ" ที่เป็นสิ่งที่ช่วยขจัดเภทภัยจากเจ้ามังกรร้าย "พอเพียง" คือพรข้อนั้น "ศัตรู" อีกตนที่พระองค์ได้เผชิญคือ "ภูต" ที่คอยสิงสู่ผู้คนในอาณาจักรให้ขัดแย้ง แตกแยก ประหัตประหารกันเอง สองครั้งสองครา...ที่อาณาจักรของพระองค์ต้องเผชิญวิกฤต...ถาโถม พระองค์ได้ยุติการประหัตประหารที่ลุกลามของชาวเมือง... ได้ทั้งสองครั้งสองครา อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทวยเทพต่างได้พากันสรรเสริญให้พระองค์เป็นยิ่งกว่าจอมกษัตริย์ ปวงปราชญ์ได้คารวะ ที่พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงทุกๆ ความทุกข์ที่เผชิญให้เป็นความรัก ปวงข้าฯ ขอถวายความจงรักภักดีด้วยชีวิตต่อองค์พระราชา ผู้เป็น "หนึ่งในโลก" ขอจงทรงพระเจริญ "ความยิ่งใหญ่" ของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" องค์ปัจจุบันไม่ใช่เพราะเป็น "พระมหากษัตริย์" แต่เพราะเป็น "บุคคลพิเศษ" ที่มากประสบการณ์ และมีความคิดเชิงปรัชญาจนสามารถเรียกได้ว่า "จอมปราชญ์" ต้องเข้าใจสถานะดังกล่าวนี้ให้ชัดเจน จาก:มติชน หัวข้อ: Re: *** เอามาฝากครับ *** เริ่มหัวข้อโดย: ภูพาน ที่ 01-05-2006, 09:01 เป็นแนวคิดที่ดี สามารถวิเคราะห์ความหมายของ "ความจงรักภักดี" สามารถนำไปคิดต่อยอดได้....ขอบคุณคุณ istyle ครับ
หัวข้อ: Re: *** เอามาฝากครับ *** เริ่มหัวข้อโดย: Wadoiji ที่ 01-05-2006, 09:07 ใจจริง...ไม่อยากจะเอ่ยถึงในหลวงในสถานการณ์ขณะนี้เลยค่ะ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกรงจะพูดอะไรสื่อความหมายผิดพลาดไป...
แต่รู้สึกมานานแล้วว่า การกระทบกระทั่งระหว่างรัฐบาลกับประชาชนคราวนี้นั้น ในหลวงทรงเคลื่อนไหวได้ลำบาก ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็คงมีแต่เสีย ดังนั้นสถานการณ์ครั้งนี้เห็นใจในหลวงที่สุดค่ะ เพราะเข้าข้างใครไม่ได้เลย ภาวนาให้เรื่องจบโดยเร็ว และธรรมะได้รับชัย เท่านั้นแหละค่ะ... |