ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: RONALDO ที่ 10-03-2007, 19:58



หัวข้อ: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: RONALDO ที่ 10-03-2007, 19:58
ผมก็ไม่อยากจะ copy มานะ เป็นเส-นียดเปล่าๆ แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่คนไม่ได้เข้าไปดู จะได้รู้

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยหรือดิน แดนสยามแห่งนี้ก็ดูเหมือน ไม่เคยว่างเว้นจากการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหารด้วยกันสลับกับการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน นับรวมได้ ๒๔ ครั้ง ในจำนวนทั้งหมดนี้มีอยู่เพียง ๒ ครั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ นั่นก็คือ ปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิไตย และปฏิวัติ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารมาสู่ระบอบประชา ธิปไตยอีกครั้ง นอกนั้นเป็นการทำรัฐประหารสลับกับกบฎและการก่อความไม่สงบ

๗๔ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ความเป็นประชาธิปไตยไม่เคยมีความมั่งคงในดินแดนแห่งนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยดูเหมือนจะมีอยู่เพียงครั้งเดียวคือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ผมถือว่าเป็นการเอาคืนหลังจากสูญเสียอำนาจของกลุ่มขุนนางเก่า ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบอมาตยาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่าพรรคข้าราชการ ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะไม่ขอออกความเห็นเพราะนั่นเป็นการเรียกร้องที่ไร้สาระว่า “นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง”แต่บนความเป็นจริงเป็นการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อลบรอยแค้นระหว่างนายทหาร จปร.๗ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ จปร ๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วก็มี จปร ๑ นำโดย พล.อ.เชาลิต ยงใจยุทธ เข้าร่วมแจมแบบหมาหวงก้าง สุดท้ายลงเอยด้วยประชาชนมีอันจะต้องไปตายแทนบนความขัดแย้งของนายทหาร ๓ รุ่นดังกล่าว

การล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับนาๆ อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เนื่องจากมีการชิงไหวชิงพริบเพื่อครอบครองอำนาจโดยเด็ดขาดจากนายทหารสองกลุ่ม จึงมีการแบ่งขั้วและซ่องสุมกำลังเพื่อจัดการอีกฝ่ายจนกลายมาเป็นระบอบเผด็จการ โดยมีจุดเริ่มต้นที่จอมพล ป.พิบูลสงครามต่อเนื่องมายุคจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ และสืบทอดต่อมายังจอมพลถนอม กิติขจร ก่อนที่จะถูกนักศึกษาประชาชนโค่นล้มเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการอวสานยุคเผด็จการทหาร

เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้คนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ตายได้ชื่อว่าวีรชนเป็นการตอบแทน มีหลายคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีก็หลายคน ส่วนที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินสร้างครอบครัวโดยที่ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีกระจายไปอยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปรกติ คนรุ่นนี้จะมีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไป

ส่วนที่ไม่ปรกติคือกลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งบัดนี้หลายคนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ กลับทำหลงลืมออกมาช่วยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังกวักมือและเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ อันเป็นการกระทำที่ผมยอมรับไม่ได้ เพราะผมถือว่าเป็นการหักหลังพวกวีรชนที่อุตส่าห์ต่อสู้จนแม้อุทิศชีวิตให้กับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งผมจะยังไม่ลงในรายละเอียดในตอนนี้ แต่ขอสัญญาว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนายธีรยุทธ บุญมี นายสังษิต(แซ่โล้ว) พิริยะรังสรรค์ และอีกหลายคนที่ช่วยกันเคลื่อนไหวในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เผด็จการจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข่นฆ่ากวาดล้างผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่อยู่ซีกนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีนายถวิล อดุล นายทองอิทนร์ ภูริพัฒน์นายจำลอง ดาวเรือง และดร.ทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ก็มีวิธีกวาดล้างอี**ปแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย นั่นคือ จับขังลืมโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม จอมพลแต่ละท่านมีอิทธิพลบารมีมากล้นที่จะทำอะไรได้ตามที่ใจปรารถนา นั่นเป็นเพราะว่าแต่ละท่านอยู่บนตำแหน่งที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๑ จวบจนกระทั่งถูกจอมพลสฤษดิ์ ทำการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๐๐ เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่บนอำนาจ (มีช่วงที่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ) จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจจริงๆ เมื่อปี ๒๕๐๑ จวบจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี ๒๕๐๖ จากนั้นจึงถึงคิวจอมพลถนอม จนกระทั่งถูกโค่นล้มจากพลังนักศึกษาและประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่าการที่บุคคลอยู่บนตำแหน่งที่ทรงอำนาจมายาวนานนั้นสามารถบ่มเพาะอิทธิพลบารมีได้อย่างสุดประมาณ
เมืองไทยมีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนมองข้าม แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประเมินผิด คนนั้นก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกคนมองเพียงว่าถึงบุคคลผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีและควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจว่าขิงแก่อย่าง พล.อ.เปรม นั้นถึงแม้ลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจก็จริงอยู่ แต่พลันก็เข้ารับตำแหน่งที่มีบารมีสูงมาทดแทนในทันใด นั่นก็คือตำแหน่งองคมนตรี และไม่นานหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

ตำแหน่งรัฐบุรุษอันเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนโทแห่งประเทศไทยที่ทุกคนมองข้าม เพราะความเป็นรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิรัฐบุรุษขึ้นมาเพื่อเสริมอำนาจบารมี ด้วยการกวาดต้อนผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เพิ่งเกษียณมาช่วยงาน ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่จะเสนอใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้บัญชาการคนเก่าที่กำลังจะเกษียณ ที่เรียกกันว่าจัดทำโผโยกย้ายนั่นแหละ ดังนั้นบุญคุณระหว่างผู้บัญชาการทั้งใหม่และเก่าซึ่งยังคงมีความผูกพันธ์กันอยู่ จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าแหล่งข้อมูลทางทหาร พล.อ.เปรม เอามาจากที่ไหน

ในอดีตที่ผ่านมา เรามีกลุ่มขุนนางรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นกุมอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ จนมีการเรียกขานกันว่า พรรคข้าราชการหรือระบอบ “อมาตยาธิปไตย” แต่พลันที่เกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ และมีการรวบรวมข้าราชการที่เกษียณเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีคนเข้าใจว่าระบอบอมาต ยาธิปไตยนั้นได้หวนกลับ แต่ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มีสิ่งบ่งบอกว่ามันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือระบอบ “เปรมธิปไตย” เพราะเป็นการกินรวบอันเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆเดียว นอกนั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงที่ต้องทำตามคำบัญชา แม้คณะปฏิรูปฯ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ว่ามานี้ ดังจะเห็นได้จากความไม่เป็นเอกเทศในการปฏิบัติงานต้องคอยหันรีหันขวางโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธ์และ คมช. อันมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้า ซึ่งดูไปแล้วผิดกับคณะรัฐประหารคณะอื่นๆที่ผ่านมาที่มีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองรัฐบาล แต่กับคณะของ พล.อ.สนธิ กลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายใหญ่ตามคำเรียกขานของบิ๊ก คมช. ผมไม่ได้หลงไหลคลั่งไคล้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับต้องลงทุนเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะคุณทักษิณไม่ได้เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของผมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงหากแต่ผมทนดูไม่ได้กับวิธีการอันต่ำช้าเลวทรามในการโค่นล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่กลับตาขาวทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวบอนเซาะให้เกิดความเกลียดชังในตัวผู้นำที่มาจากการเลือตั้งตามกฎกติกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างปราศจากคุณธรรม

การพูดขยายความจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จากเรื่องเท็จก็พยายามป่าวร้องกระพือให้เป็นเรื่องจริงด้วยความจงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มให้สมอารมณ์แค้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ ผมในฐานะเคยร่วมเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ผมย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจในการกระทำของกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างแน่นอน

ถ้าหาก พล.อ.เปรม ส่องกระจกดูเงาตัวเองสักหน่อย คงจะได้เห็นภาพของตัวเองก็ไม่ต่างไปจากผู้นำคนอื่นๆ ที่มีการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างเช่น พล.อ.ประจวบ สุนทรางกุล เป็นต้น และก็ด้วยเหตุที่เล่นพรรคเล่นพวกนี่แหละนำพาไปสู่การทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ถึงสองครั้งสองครา ตลอดจนมีการลอบสังหารอีกต่างหาก แถมยังมีนักศึกษาสติเฟื่องกระโดดเข้าชกดั้งจมูกที่สนามกีฬาหัวหมากด้วยความหมั่นไส้ นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรมยังถนัดในการบริหารด้วยวิธีแยกแล้วปกครอง ส่งผลให้สถาบันทหารแตกร้าวจนยากประสานจวบจนทุกวันนี้ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธและพล.อ.พิจิตร กุลวานิช ก็เป็นคู่แคนดิเดท จนไม่มองหน้ากันถึงทุกวันนี้ ศึกสายเลือดระหว่าง จปร.๗ และ ๕ ก็เกิดในยุคเปรมนี่แหละ ยังมีอีกคู่คือ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และบิ๊กอู๊ด พล.อ.อ. วรนาจ อภิจารี ก็มีการพลิกโผเปลี่ยนจาก พล.อ.อ.เกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทอ. จ่อคิวขึ้นเป็น ผบทอ. มาเป็น พล.อ.อ.วรนาจ ที่อยู่บนตำแหน่ง เสธ.ทอ. ส่งผลให้ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุในบันดล

ความสับสนจนบานปลายไปสู่ความขัดแย้งของคนทั้งประเทศก็เกิดจากการกล่าวร้ายให้เท็จจนเป็นที่กังขาของคนทั่วไปทำให้เกิดการแบ่งขั่ว โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นจริงด้วยการให้เครดิต เนื่องเพราะเห็นว่าอยู่บนตำแหน่งประธานองคมนตรี ส่วนอีกฝ่ายไม่เชื่อเพราะผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณนั้นเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่เนื่องจากรัฐบาลถูกโจมตีมายาวนาน จนสัดส่วนของคนที่เชื่อว่าเป็นจริงดังที่กล่าวหามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐเองก็ไม่ได้ชี้แจงเท่าที่ควร อันเนื่องจากมวลสมาชิกซีกรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปลืองตัว อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเปรมาธิปไตยกลับโยนความผิดให้เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียว

ในที่นี้ผมจะยังไม่พูดถึงในรายละเอียด เพราะใกล้หมดหน้ากระดาษสำหรับบทความชิ้นนี้ คงต้องยกยอดไปว่ากันในตอนต่อไป แต่ก่อนจากกันในวันนี้ใคร่อยากชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์ในความเป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ตามที่ท่านได้เรียกร้องให้ผู้คนอย่าไหว้คนที่มีเงินหรืออย่าไปนับถือคนรวยนั้น แต่บนความเป็นจริงนั้น พล.อ.เปรม เวลานี้ก็มีฐานะร่ำรวยเกินกว่าที่คนๆหนึ่ง ซึ่งรับราชการมาตลอดชั่วอายุจะพึงมี เอากันแค่เศษเงินที่บำรุงบำเรอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่เป็นนักมวยและนักร้อง เฉพาะรายของหนุ่มเสกได้ข่าวว่ารายเดียวหมดไปนับร้อยล้าน เรื่องจริงอย่างนี้ปิดมิดหรือ พี่-น้อง ดังนั้นจึงอย่าได้ไว้วางใจผู้คนอันสืบเนื่องจากเห็นว่ามีตำแหน่งใหญ่โต พร้อมกันนี้สังคมควรที่จะต้องช่วยกันประนามและยุติที่จะยกย่องนับถือคนอย่างพล.อ.เปรมถึงจะถูกต้อง

ตื่นเถอะชาวไทย


ที่มา : โดย อาคม ซิดนีย์  http://www.hi-thaksin.net/article.php?ParamID=1346

-------------------------------------------------

ทำไมคนไทยลักไทย มันชั่วช้าสามานย์แบบนี้ ข้อกล่าวหา ทักษิณ ชิณวัตรหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้นเป็นความจริงทุกประการ

สุรยุทธ์ ท่านทำอะไรอยู่ ลากคอมันมาได้แล้วคุกไม่ได้มีไว้ขังหมานะท่าน :slime_mad: :slime_mad:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: skidato ที่ 10-03-2007, 20:19
 :slime_evil:ถึงผมจะต่อต้านเหลี่ยม แต่จากการประมวลเหตุการณ์บวกับข้อมูลที่ได้รับมา ผมเชื่อว่า สิ่งที่เขาเขียนมานั้นมีส่วนจริง :slime_evil:
:slime_cool:กองทัพที่มันเละเทะอ่อนแออยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคนๆนี้แหละ :slime_cool:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: RONALDO ที่ 10-03-2007, 20:52
ผมก็ไม่อยากจะ copy มานะ เป็นเส-นียดเปล่าๆ แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่คนไม่ได้เข้าไปดู จะได้รู้

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยหรือดิน แดนสยามแห่งนี้ก็ดูเหมือน ไม่เคยว่างเว้นจากการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหารด้วยกันสลับกับการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน นับรวมได้ ๒๔ ครั้ง ในจำนวนทั้งหมดนี้มีอยู่เพียง ๒ ครั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ นั่นก็คือ ปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิไตย และปฏิวัติ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารมาสู่ระบอบประชา ธิปไตยอีกครั้ง นอกนั้นเป็นการทำรัฐประหารสลับกับกบฎและการก่อความไม่สงบ

๗๔ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ความเป็นประชาธิปไตยไม่เคยมีความมั่งคงในดินแดนแห่งนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยดูเหมือนจะมีอยู่เพียงครั้งเดียวคือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ผมถือว่าเป็นการเอาคืนหลังจากสูญเสียอำนาจของกลุ่มขุนนางเก่า ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบอมาตยาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่าพรรคข้าราชการ ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะไม่ขอออกความเห็นเพราะนั่นเป็นการเรียกร้องที่ไร้สาระว่า “นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง”แต่บนความเป็นจริงเป็นการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อลบรอยแค้นระหว่างนายทหาร จปร.๗ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ จปร ๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วก็มี จปร ๑ นำโดย พล.อ.เชาลิต ยงใจยุทธ เข้าร่วมแจมแบบหมาหวงก้าง สุดท้ายลงเอยด้วยประชาชนมีอันจะต้องไปตายแทนบนความขัดแย้งของนายทหาร ๓ รุ่นดังกล่าว

การล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับนาๆ อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เนื่องจากมีการชิงไหวชิงพริบเพื่อครอบครองอำนาจโดยเด็ดขาดจากนายทหารสองกลุ่ม จึงมีการแบ่งขั้วและซ่องสุมกำลังเพื่อจัดการอีกฝ่ายจนกลายมาเป็นระบอบเผด็จการ โดยมีจุดเริ่มต้นที่จอมพล ป.พิบูลสงครามต่อเนื่องมายุคจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ และสืบทอดต่อมายังจอมพลถนอม กิติขจร ก่อนที่จะถูกนักศึกษาประชาชนโค่นล้มเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการอวสานยุคเผด็จการทหาร

เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้คนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ตายได้ชื่อว่าวีรชนเป็นการตอบแทน มีหลายคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีก็หลายคน ส่วนที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินสร้างครอบครัวโดยที่ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีกระจายไปอยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปรกติ คนรุ่นนี้จะมีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไป

ส่วนที่ไม่ปรกติคือกลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งบัดนี้หลายคนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ กลับทำหลงลืมออกมาช่วยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังกวักมือและเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ อันเป็นการกระทำที่ผมยอมรับไม่ได้ เพราะผมถือว่าเป็นการหักหลังพวกวีรชนที่อุตส่าห์ต่อสู้จนแม้อุทิศชีวิตให้กับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งผมจะยังไม่ลงในรายละเอียดในตอนนี้ แต่ขอสัญญาว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนายธีรยุทธ บุญมี นายสังษิต(แซ่โล้ว) พิริยะรังสรรค์ และอีกหลายคนที่ช่วยกันเคลื่อนไหวในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เผด็จการจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข่นฆ่ากวาดล้างผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่อยู่ซีกนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีนายถวิล อดุล นายทองอิทนร์ ภูริพัฒน์นายจำลอง ดาวเรือง และดร.ทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ก็มีวิธีกวาดล้างอี**ปแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย นั่นคือ จับขังลืมโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม จอมพลแต่ละท่านมีอิทธิพลบารมีมากล้นที่จะทำอะไรได้ตามที่ใจปรารถนา นั่นเป็นเพราะว่าแต่ละท่านอยู่บนตำแหน่งที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๑ จวบจนกระทั่งถูกจอมพลสฤษดิ์ ทำการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๐๐ เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่บนอำนาจ (มีช่วงที่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ) จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจจริงๆ เมื่อปี ๒๕๐๑ จวบจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี ๒๕๐๖ จากนั้นจึงถึงคิวจอมพลถนอม จนกระทั่งถูกโค่นล้มจากพลังนักศึกษาและประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่าการที่บุคคลอยู่บนตำแหน่งที่ทรงอำนาจมายาวนานนั้นสามารถบ่มเพาะอิทธิพลบารมีได้อย่างสุดประมาณ
เมืองไทยมีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนมองข้าม แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประเมินผิด คนนั้นก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกคนมองเพียงว่าถึงบุคคลผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีและควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจว่าขิงแก่อย่าง พล.อ.เปรม นั้นถึงแม้ลงจากตำแหน่งที่มีอำนาจก็จริงอยู่ แต่พลันก็เข้ารับตำแหน่งที่มีบารมีสูงมาทดแทนในทันใด นั่นก็คือตำแหน่งองคมนตรี และไม่นานหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

ตำแหน่งรัฐบุรุษอันเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนโทแห่งประเทศไทยที่ทุกคนมองข้าม เพราะความเป็นรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิรัฐบุรุษขึ้นมาเพื่อเสริมอำนาจบารมี ด้วยการกวาดต้อนผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เพิ่งเกษียณมาช่วยงาน ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่จะเสนอใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้บัญชาการคนเก่าที่กำลังจะเกษียณ ที่เรียกกันว่าจัดทำโผโยกย้ายนั่นแหละ ดังนั้นบุญคุณระหว่างผู้บัญชาการทั้งใหม่และเก่าซึ่งยังคงมีความผูกพันธ์กันอยู่ จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าแหล่งข้อมูลทางทหาร พล.อ.เปรม เอามาจากที่ไหน

ในอดีตที่ผ่านมา เรามีกลุ่มขุนนางรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นกุมอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ จนมีการเรียกขานกันว่า พรรคข้าราชการหรือระบอบ “อมาตยาธิปไตย” แต่พลันที่เกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ และมีการรวบรวมข้าราชการที่เกษียณเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีคนเข้าใจว่าระบอบอมาต ยาธิปไตยนั้นได้หวนกลับ แต่ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มีสิ่งบ่งบอกว่ามันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือระบอบ “เปรมธิปไตย” เพราะเป็นการกินรวบอันเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆเดียว นอกนั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงที่ต้องทำตามคำบัญชา แม้คณะปฏิรูปฯ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ว่ามานี้ ดังจะเห็นได้จากความไม่เป็นเอกเทศในการปฏิบัติงานต้องคอยหันรีหันขวางโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธ์และ คมช. อันมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้า ซึ่งดูไปแล้วผิดกับคณะรัฐประหารคณะอื่นๆที่ผ่านมาที่มีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองรัฐบาล แต่กับคณะของ พล.อ.สนธิ กลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายใหญ่ตามคำเรียกขานของบิ๊ก คมช. ผมไม่ได้หลงไหลคลั่งไคล้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับต้องลงทุนเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะคุณทักษิณไม่ได้เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของผมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงหากแต่ผมทนดูไม่ได้กับวิธีการอันต่ำช้าเลวทรามในการโค่นล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่กลับตาขาวทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวบอนเซาะให้เกิดความเกลียดชังในตัวผู้นำที่มาจากการเลือตั้งตามกฎกติกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างปราศจากคุณธรรม

การพูดขยายความจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จากเรื่องเท็จก็พยายามป่าวร้องกระพือให้เป็นเรื่องจริงด้วยความจงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มให้สมอารมณ์แค้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ ผมในฐานะเคยร่วมเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ผมย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจในการกระทำของกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างแน่นอน

ถ้าหาก พล.อ.เปรม ส่องกระจกดูเงาตัวเองสักหน่อย คงจะได้เห็นภาพของตัวเองก็ไม่ต่างไปจากผู้นำคนอื่นๆ ที่มีการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างเช่น พล.อ.ประจวบ สุนทรางกุล เป็นต้น และก็ด้วยเหตุที่เล่นพรรคเล่นพวกนี่แหละนำพาไปสู่การทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ถึงสองครั้งสองครา ตลอดจนมีการลอบสังหารอีกต่างหาก แถมยังมีนักศึกษาสติเฟื่องกระโดดเข้าชกดั้งจมูกที่สนามกีฬาหัวหมากด้วยความหมั่นไส้ นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรมยังถนัดในการบริหารด้วยวิธีแยกแล้วปกครอง ส่งผลให้สถาบันทหารแตกร้าวจนยากประสานจวบจนทุกวันนี้ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธและพล.อ.พิจิตร กุลวานิช ก็เป็นคู่แคนดิเดท จนไม่มองหน้ากันถึงทุกวันนี้ ศึกสายเลือดระหว่าง จปร.๗ และ ๕ ก็เกิดในยุคเปรมนี่แหละ ยังมีอีกคู่คือ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และบิ๊กอู๊ด พล.อ.อ. วรนาจ อภิจารี ก็มีการพลิกโผเปลี่ยนจาก พล.อ.อ.เกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทอ. จ่อคิวขึ้นเป็น ผบทอ. มาเป็น พล.อ.อ.วรนาจ ที่อยู่บนตำแหน่ง เสธ.ทอ. ส่งผลให้ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุในบันดล

ความสับสนจนบานปลายไปสู่ความขัดแย้งของคนทั้งประเทศก็เกิดจากการกล่าวร้ายให้เท็จจนเป็นที่กังขาของคนทั่วไปทำให้เกิดการแบ่งขั่ว โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นจริงด้วยการให้เครดิต เนื่องเพราะเห็นว่าอยู่บนตำแหน่งประธานองคมนตรี ส่วนอีกฝ่ายไม่เชื่อเพราะผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณนั้นเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่เนื่องจากรัฐบาลถูกโจมตีมายาวนาน จนสัดส่วนของคนที่เชื่อว่าเป็นจริงดังที่กล่าวหามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐเองก็ไม่ได้ชี้แจงเท่าที่ควร อันเนื่องจากมวลสมาชิกซีกรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปลืองตัว อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ กลุ่มคนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบเปรมาธิปไตยกลับโยนความผิดให้เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียว

ในที่นี้ผมจะยังไม่พูดถึงในรายละเอียด เพราะใกล้หมดหน้ากระดาษสำหรับบทความชิ้นนี้ คงต้องยกยอดไปว่ากันในตอนต่อไป แต่ก่อนจากกันในวันนี้ใคร่อยากชี้แจงให้ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์ในความเป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ตามที่ท่านได้เรียกร้องให้ผู้คนอย่าไหว้คนที่มีเงินหรืออย่าไปนับถือคนรวยนั้น แต่บนความเป็นจริงนั้น พล.อ.เปรม เวลานี้ก็มีฐานะร่ำรวยเกินกว่าที่คนๆหนึ่ง ซึ่งรับราชการมาตลอดชั่วอายุจะพึงมี เอากันแค่เศษเงินที่บำรุงบำเรอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่เป็นนักมวยและนักร้อง เฉพาะรายของหนุ่มเสกได้ข่าวว่ารายเดียวหมดไปนับร้อยล้าน เรื่องจริงอย่างนี้ปิดมิดหรือ พี่-น้อง ดังนั้นจึงอย่าได้ไว้วางใจผู้คนอันสืบเนื่องจากเห็นว่ามีตำแหน่งใหญ่โต พร้อมกันนี้สังคมควรที่จะต้องช่วยกันประนามและยุติที่จะยกย่องนับถือคนอย่างพล.อ.เปรมถึงจะถูกต้อง

ตื่นเถอะชาวไทย


ที่มา : โดย อาคม ซิดนีย์  http://www.hi-thaksin.net/article.php?ParamID=1346

-------------------------------------------------

ทำไมคนไทยลักไทย มันชั่วช้าสามานย์แบบนี้ ข้อกล่าวหา ทักษิณ ชิณวัตรหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้นเป็นความจริงทุกประการ

สุรยุทธ์ ท่านทำอะไรอยู่ ลากคอมันมาได้แล้วคุกไม่ได้มีไว้ขังหมานะท่าน :slime_mad: :slime_mad:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: RONALDO ที่ 10-03-2007, 20:59
คุณครับ คุณจะเห็นว่าท่านเปรมเป็นอย่างไรมันเป็นเรื่องของคุณผมไม่ว่า แต่ผมชิงชังวิธีการของลิ่วล้อเหลี่ยมที่นำเอาเรื่องหมิ่นเหม่ พระบรมเดชานุภาพครับ

เป็นวิธีที่สกปรกครับ ทำไมไม่ออกมาแฉ แถลงการณ์เลยล่ะ ว่าปธ.องคมนตรีเป็นอย่างไร

มาตัดต่อรูป เอาท่านเปรมไปเปรียบกับฟ้า เชิญคุณแวะไปดู ว่ามันชั่วขนาดไหน

ส่วนตัวผมก็ไม่เห็นด้วยกับคุณเปรมเท่าไหร่ที่เข้าไปล้วงลูก แต่ ไทยรักไทยไม่ควรใช้วิธีการที่สกปรกแบบนี้


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 10-03-2007, 21:09
อืมม.......เข้ามาอ่าน


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: aoporadio ที่ 12-03-2007, 17:48
เว็บไรหว่า ฮิ ทักษิณ :slime_smile2: :slime_smile2:

อ่านไม่ถึง ตรงนั้นเลยค่า เห็นหน้าเว็บก็คลื่นใส้แล้ว มันขย้อน :slime_hmm: ช่างทำได้
 :slime_hitted:
พรุ่งนี้ไปใหม่ ก่อนกินข้าวเช้า :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: นายเกตุ ที่ 12-03-2007, 18:04
ความจงรักภักดีของมันหมดไปตั้งแต่มันถูกถีบตกสวรรค์ไปแล้ว

คนๆนี้มันไม่รู้จักบาปบุญโทษอะไรหรอกเพราะมันนะบ้าอำนาจ.............

ว่าจะไม่ด่าใครแล้วนา


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: RONALDO ที่ 12-03-2007, 18:09
ผมสำรอก ไปแล้วครับ ก่อนคุณ aoporadio อีก 5555555555555 :slime_v: :slime_v: :slime_worship: :slime_worship:

ขอบคุณทุกท่านที่มาแสดงความเห็นครับ


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: The Last Emperor ที่ 12-03-2007, 18:41
แทนที่พวกคุณจะมานั่งพล่ามด่าทอแบบไร้สาระ...อิชั้นขอท้าทายให้พวกคุณเอาข้อมูลมาแฉหน่อยซิว่า ข้อมูลตรงไหนของอาคม ซิดนี่ย์ที่ว่าโกหก ทุกอย่างมัน sense กันด้ายคร้าคุณขา  :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: СεгЪεгυŞ ที่ 12-03-2007, 19:02
ประวัติศาสตร์ที่เขาพล่ามมานั่นแหละครับ เล็กๆน้อยๆยกมาผิดบ้าง ตัดทอนเหลือข้างเดียวบ้าง หากสนใจอ่านหนังสือบ้างก็จะเจอที่ผิดไม่ยาก

การปฏิวัติจะสำเร็จได้ต้องมีเงื่อนไขมากกว่าแค่ทหาร (หรือพลเอกเปรมตามบทความนี้) ทหารผู้ปฏิวัติเป็นผู้ปิดฉากโดยอ้างความชอบธรรมในการล้มรัฐบาลเดิมที่ส่งทอดกันมาจากสหพันธ์และประชาชนผู้ต่อต้าน (รวมถึงประชาชนผู้ให้ดอกไม้ทหารวันปฏิวัติ)

มองในอีกแง่หนึ่ง หากการปฏิวัติครั้งนี้ไร้ความชอบธรรมพอ ก็น่าจะมีเสียงคัดค้านหรือออกมาต่อต้านตั้งแต่วันแรกๆในที่สาธารณะ แต่น่าแปลกที่การคัดค้านในที่สาธารณะกลับไม่มีหรือมีน้อยมากจนดูเหมือนการอ้างความชอบธรรมดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้?



หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 12-03-2007, 19:07
ป้ายสีองคมนตรี เสียดสีเศรษฐกิจพอเพียง เป้าหมายของปฎิญญาฟินด์แลนด์


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: so what? ที่ 12-03-2007, 19:18
ผมขอตั้งข้อสังเกตนิดเดียวครับ ว่าทำไมคนพวกนี้เพิ่งจะมาเกลียดพลเอกเปรม เอาเมื่อสมัยไอ้เหลี่ยม โดยเฉพาะหลังจากไอ้เหลี่ยมเริ่มปีนเกลียวกับพลเอกเปรม ทำไมไม่เกลียดตั้งแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย อานันท์ ชวน บรรหาร เชาวลิต

พวกเค้าทำเพื่อไอ้เหลี่ยมใช่มั้ยครับ    :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: room5 ที่ 12-03-2007, 19:21
ขิงแก่ทำไรอยู่ว้า
สงสัยกะลังหาเงินมาช่วยเรื่อง ไอทีวี
ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องหนะเก่งจัง
อีเรื่องจริงจรังดันไม่ได้เรื่อง

วัยรุ่นเซ็ง


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: cameronDZ ที่ 12-03-2007, 19:24
ผมขอตั้งข้อสังเกตนิดเดียวครับ ว่าทำไมคนพวกนี้เพิ่งจะมาเกลียดพลเอกเปรม เอาเมื่อสมัยไอ้เหลี่ยม โดยเฉพาะหลังจากไอ้เหลี่ยมเริ่มปีนเกลียวกับพลเอกเปรม ทำไมไม่เกลียดตั้งแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย อานันท์ ชวน บรรหาร เชาวลิต

พวกเค้าทำเพื่อไอ้เหลี่ยมใช่มั้ยครับ    :slime_smile2:

ไม่ใช่มั้งครับ
เขาทำเพือประชาทิปะตายยยยยยย
เพื่อชาติ บ้านเมือง
ไม่เกี่ยวกับเหลี่ยม แม้ซักกะติ้ดดดดดดดด

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:

เหมือนตอนนี้ ที่ขิงแก่ กำลังเป็นที่นิยมชมชื่น ในหมู่คนรักแม้ว
ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเหลี่ยมแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะว่า ขิงแก่ของเรา ตัดสินใจทุกอย่าง ถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรม เพื่อชาติ เพื่อประชาชน เป๊ะๆๆๆ
 :slime_v:


หัวข้อ: Re: hi-thaksin จงใจจาบจ้วงป๋าเปรม ถึงขนาดตั้งว่า"เปรมาธิปไตย"เป็นวิธีสกปรกมาก
เริ่มหัวข้อโดย: samepong(ยุ่งแฮะ) ที่ 12-03-2007, 20:36
แต่ผมยังเชื่อว่า องคมนตรี ย่อมต้องเป้นคนดี เป้นคนที่น่าไว้วางใจ