ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 01-02-2007, 11:33



หัวข้อ: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 01-02-2007, 11:33
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส เปิดเผยว่า หลังจากศาลล้มละลายเห็นชอบแผนฟื้นฟูฯแล้ว บริษัทจะต้องเร่งหาเงินทุนจำนวน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 2 หมื่นล้านบาท มาชำระหนี้บางส่วนให้กับเจ้าหนี้ทั้ง 14 กลุ่ม และอีกส่วนหนึ่งจะต้องแปลงหนี้เป็นทุน โดยเงินทุนดังกล่าวอาจจะมาจากการเพิ่มทุนและเงินกู้ รวมทั้งเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งตามแผนฟื้นฟูฯกำหนดว่าบริษัทจะต้องหาเงินทุนประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท จากพันธมิตรรายใหม่ที่จะเข้ามาร่วมทุน

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบีทีเอส กล่าวว่า การปรับโครงสร้างหนี้ตามแผนฟื้นฟูฯ จะทำให้บริษัทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถบันทึกกำไรในส่วนดังกล่าวได้ทันในงบการเงินงวดปี 2549 ซึ่งสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2550 และหลังจากนี้จะเจรจาหาผู้ร่วมทุน ซึ่งมีกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศแสดงความสนใจเข้ามาเป็นพันธมิตรกับบริษัทราว 10 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นไม่เกิน 49% และมีมากกว่า 1 ราย โดยหนึ่งในนั้นอาจจะมีกลุ่มธุรกิจจากดูไบที่เข้ามาลงทุนในบริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) ก่อนหน้านี้ด้วยก็ได้ รวมทั้งจะเข้าไปเจรจากับทางกรุงเทพมหานครเพื่อขอเป็นผู้บริหารเดินรถส่วนต่อขยายจากสถานีตากสินถึงถนนตากสิน ระยะทาง 2.2 กม.
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01eco03010250&day=2007/02/01&sectionid=0103

สุดท้าย นายเกษม จาติกวนิช ก็ต้องไป ให้คนฮ่องกงมาแทน รถไฟฟ้าก็ต้องแปลงหนี้ให้ทุนต่างชาติเอาไป เพราะในประเทศไม่มีตังค์นั่นเอง
ไม่รู้ว่าจะมีใครไปเย้วๆ ที่สถานทูตฮ่องกง(ต้องเป็นจีนมั้ง) ว่ามาเอากิจการสาธารณูปโภคเราไป แล้วก็ กทม ปล่อยได้ไง ขายชาติ หรือเปล่า



หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-02-2007, 11:49
แล้วตอนไอ้เหลี่ยมเรืองอำนาจ่  มัวทำอะไรอยู่

อีกอย่าง
...กระทู้นี้ "ขัดแย้ง" กับกระทู้เก่า ๆ ของเอ็งว่ะแถ
เพราะถ้า "เศรษฐกิจไม่ดี" จริง ๆ
แขกดูไบ - เจ๊กฮ่องกง มันจะกระสันต์เข้ามาทำธุรกิจทำไม ??
แถมยังเลือกธุรกิจ "หากินกับคนเมืองกรุง" ที่เอ็งและพรรคพวกไอ้เหลี่ยมพยายามเสี้ยมให้ "รากหญ้า - คนต่างจังหวัด" เข้ามากระทืบอีกต่างหาก ??


ทำไมไม่ไปขอบริหารกิจการ "วัสดุก่อสร้างเหลือ ๆ" จากงานพื้ชลวงโลกที่เชียงใหม่
ทำไมไม่ไปขอบริหารกิจการ "อาจสามารถโมเดล"
ทำไมไม่ไปขอบริหาร - สานต่อกิจการ "สามสิมบาทตายอนาถทุกโรค"
ฯลฯ

เออ...น่าคิดนะ
ถ้าไม่มี "คนกรุงเทพ ฯ - คนเมือง"
แล้วจะมีต่างชาติหน้าไหนเข้ามาบริหาร - สานต่อกิจการ "ประชานิยม แต่ล่มจมทั้งแผ่นดิน" บ้างไหม ???


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 01-02-2007, 11:54
เศรษฐกิจสุดเน่ายังไง คนก็ต้องเดินทางอยู่ดี ถ้ามันเน่ามากๆ หากินกับสาธารณูปโภคก็เท่ากับหากินกับของ
จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไงก็ได้เงิน มีแต่โง่ๆ คิดว่า เศรษฐกิจเน่าคือไม่มีใครทำมาหากินอะไรเลย


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-02-2007, 12:00
เศรษฐกิจสุดเน่ายังไง คนก็ต้องเดินทางอยู่ดี ถ้ามันเน่ามากๆ หากินกับสาธารณูปโภคก็เท่ากับหากินกับของ
จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไงก็ได้เงิน มีแต่โง่ๆ คิดว่า เศรษฐกิจเน่าคือไม่มีใครทำมาหากินอะไรเลย


โง่เหมือนไอ้ตัวที่พยายามกล่าวหาและบิดเบือนว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คือ "การทำตัวอด ๆ อยาก ๆ" ใช่ไหม ?
โง่เหมือนไอ้ตัวที่พยายามกล่าวหาและบิดเบือนว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คือ "การไม่พัฒนา" ใช่ไหม ??






หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: irq5 ที่ 01-02-2007, 13:01
 :slime_cool:

มันอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้

1 แม้วแกล้ง ทุจริตทำเครือข่ายไปรวมหุ้นกับต่างชาติต่างๆ มาขยายธุรกิจในไทยเยอะๆ
2 แกล้งทำให้ผิดกฎหมาย แต่กำชับให้มือกฎหมายบอกว่าไม่ผิด และล๊อบบี้ทางผู้อนุญาติไม่ให้ทักท้วง
3 กระซิบกับทหารว่า เส็กก็ลงทุนมาเยอะแล้ว ฮ่องกงอีก อื่นๆ อีก รวมทั้งหมด เกือบล้านๆบาท บ.ตั้งทีไทยเรียนร้อย
4 ปฏิวัติกันเลย ยกเรื่องนี้แหละ มาโจมตีแล้วยึดเงินเข้าประเทศ เดี๋ยวผมจะได้มีเวลาหนีเมียไปเที่ยวบ้าง





หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: qazwsx ที่ 01-02-2007, 13:05
เศรษฐกิจสุดเน่ายังไง คนก็ต้องเดินทางอยู่ดี ถ้ามันเน่ามากๆ หากินกับสาธารณูปโภคก็เท่ากับหากินกับของ
จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไงก็ได้เงิน มีแต่โง่ๆ คิดว่า เศรษฐกิจเน่าคือไม่มีใครทำมาหากินอะไรเลย

แล้วทำไมไม่ขอซื้อ ขสมก. หรือ รฟท. ?


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: สี่หามสามแห่ ที่ 01-02-2007, 15:26
เศรษฐกิจสุดเน่ายังไง คนก็ต้องเดินทางอยู่ดี ถ้ามันเน่ามากๆ หากินกับสาธารณูปโภคก็เท่ากับหากินกับของ
จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไงก็ได้เงิน มีแต่โง่ๆ คิดว่า เศรษฐกิจเน่าคือไม่มีใครทำมาหากินอะไรเลย

นี่คือตัวอย่าง ของ

คนโง่ ที่พูดมามากๆ แล้วโชว์โง่  :slime_smile2: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: WATERMAN ที่ 01-02-2007, 15:55
ทีตอนไอ้เหลี่ยมแทบจะยกประเทศให้สิงกะโปโตก ไอ้แถมันบอกถูกต้อง ทีคนอื่นแค่มาร่วมทุนมันบอกไม่ได้ อย่าลืมว่าคนฮ่องกงไม่เคยคิดที่จะครอบงำระบบเศรษฐกิจไทย ไม่เหมือนสิงกะโปโตก มันร่วมมือกะไอ้เหลี่ยม เพื่อจะยึดไทย เริ่มตั้งแต่มาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เข้ายึดกิจการโทรคมนาคม การสื่อสาร ของไทย โดยถือหุ้นเกินครึ่ง(โดยใช้นอมินีคนไทยถือแทน) คนอย่างนี้มันน่าจับไปอยู่เกาะสิงกะโปโตกจริงๆ เพราะมันกลัวไทยจะเจริญจนสิงกะโปโตกยึดประเทศเราไม่ได้ เลยต้องออกมาโวย


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: nuiosk ที่ 01-02-2007, 18:12
เศรษฐกิจสุดเน่ายังไง คนก็ต้องเดินทางอยู่ดี ถ้ามันเน่ามากๆ หากินกับสาธารณูปโภคก็เท่ากับหากินกับของ
จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไงก็ได้เงิน มีแต่โง่ๆ คิดว่า เศรษฐกิจเน่าคือไม่มีใครทำมาหากินอะไรเลย


โง่เหมือนไอ้ตัวที่พยายามกล่าวหาและบิดเบือนว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คือ "การทำตัวอด ๆ อยาก ๆ" ใช่ไหม ?
โง่เหมือนไอ้ตัวที่พยายามกล่าวหาและบิดเบือนว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คือ "การไม่พัฒนา" ใช่ไหม ??






แบบนี้เขาเรียก โง่ซ้ำซาก ครับ


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: room5 ที่ 02-02-2007, 12:56
โรคสมองควายระบาดในหมู่ลิ่วล้อ
ตอนนี้ยังไม่มียารักษาได้
ต้องปล่อยให้ทรมาน แล้วมันจะตายไปเอง


หัวข้อ: Re: เศรษฐกิจสุดเน่า รถไฟฟ้าต้องให้ต่างชาติเอาไป
เริ่มหัวข้อโดย: อยากประหยัดให้ติดแก๊ส ที่ 05-02-2007, 15:57
ซุปเปอร์เคแฉพฤติกรรม 2 ตี๋เล็ก ทุนฮ่องกง-สิงค์ ดอดฮุบรถไฟ BTS เตือน อตร.ต่างชาติยึดสาธารณูปโภค
"ซุปเปอร์เค" เกษม จาติกวณิช อดีตประธาน บริษัท รถไฟฟ้าบีทีเอส ออกโรงแฉ กลุ่มทุนฮ่องกง-สิงคโปร์ โดยนิวเวิลด์ และ ยูโอบี เข้าเทคโอเวอร์บริษัท รถไฟฟ้าบีทีเอส สัมปทานของกทม.เบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายกลาง ทั้งผิดกฎหมายในความเป็นบริษัทต่างด้าว ทั้งไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสัมปทานของรัฐ โดยเฉพาะกิจการสาธารณูปโภคที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง ถามผู้ว่าฯกทม.ไฉนไม่เข้ายึดกิจการ มีอะไรจุกปากอยู่หรือไร

นายเกษม จาติกวณิช เจ้าของฉายา "ซุปเปอร์เค" อันโด่งดัง อดีตประธานคณะกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส ให้สัมภาษณ์กับ "ดอกเบี้ยธุรกิจ" ว่า ตามที่ หนังสือพิมพ์ "ดอกเบี้ยธุรกิจ" ได้ตีพิมพ์ข่าว การเอารัดเอาเปรียบของบริษัท รถไฟฟ้าบีทีเอส ต่อประชาชนใน กทม.นั้น เป็นความจริงทุกประการ อย่างมิอาจปฏิเสธ ซึ่งขณะที่ตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทอยู่นั้น ได้ทำการคัดค้านและบอกให้ นายคีรี กาญจนพาสน์ ในฐานะตัวแทนของ บริษัท ธนายง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนั้นทำการแก้ไข แต่ก็ไม่มีการแก้ไข จนเกิดเป็นความขัดแย้ง ระหว่างนายเกษม จาติกวณิช กับ นาย คีรี กาญจนพาสน์ เป็นต้นมา

"อย่างในกรณีที่คุณว่า คือ การยัดเยียดเสียงโฆษณาในรถโดยสาร ให้ประชาชนผู้โดยสาร รถไฟฟ้าทำไม่ได้ เพราะว่า ประชาชน เขาซื้อตั๋ว เขาจ่ายค่าตั๋วขึ้นรถมาแล้ว แล้วมาถูกบีบบังคับให้ฟังโฆษณา ซึ่งโดยจรรยาบรรณ บริษัททำไม่ได้ ในแง่กฎหมาย ผมไม่มั่นใจ เพราะว่า ผมไม่เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย แต่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ผมก็บอกให้ ดร.อาณัติ (อาภาภิรม) ดำเนินการให้มีการแก้ไข ปรากฏว่า นายคีรี โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เต้นเหมือนเจ้าเข้า เพราะว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัท วีจีไอซึ่งเป็นบริษัทโฆษณา แล้วก็มีลูกชายเป็นผู้บริหารบริษัทนี้ นี่เป็นประเด็นแรกที่เขาเกลียดผม" นายเกษม จาติกวณิช ว่า

พร้อมทั้งยังกล่าวอีกว่า ในประเด็นการขอขึ้นราคาค่าตั๋วโดยสารกับประชาชน ก็เช่นกัน ถือว่า เอาเปรียบมาก เนื่องจากปัจจุบันนี้ บีทีเอส มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 แสนคนแล้ว รายได้จากการประกอบการก็พอเลี้ยงบริษัทแล้ว ประการสำคัญก็คือ การขอขึ้นราคาที่สถานีต้นในราคาเพิ่มขึ้นถึง 5 บาท ดูตัวเลข 5 บาทแล้วเหมือนกับไม่มาก แต่หากคำนวณกับราคาเฉลี่ยของ บีทีเอส เนื่องจากบีทีเอสเก็บค่าโดยสารตามระยะทาง ดังนั้น ต้องคำนวณที่ราคาเฉลี่ย มิใช่ไปคำนวณกับสถานีปลายทางที่แพงที่สุด ไม่ถูกต้อง โดยราคาเฉลี่ยนั้นอยู่ที่ระดับ 20 บาทต่อคน หากปล่อยให้บีทีเอสปรับเพิ่มเป็น 5 บาทต่อคนในสถานีต้น คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ แล้ว ถือว่า เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ประชาชนที่เดินทางไกลอาจจะรับภาระถึงเกือบเท่าตัวทีเดียว ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมาก เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาที่มากมโหฬารทีเดียว

นายเกษม จาติกวณิช กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ขณะนี้ บริษัท รถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ตกเป็นของต่างชาติไปโดยปริยายแล้ว โดยก่อนหน้านี้ (ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายกลางเพื่อฟื้นฟูฯ) นายคีรี กาญจนพาสน์ ได้ดึงเอา กลุ่มทุนฮ่องกงกับสิงคโปร์ สองกลุ่มคือ นิวเวิลด์กับยูโอบี เข้ามาฮุบกิจการไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีการปลดนายเกษม จาติกวณิช ออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ แล้วแต่งตั้ง มร.Kim Chan จากกลุ่มนิวเวิลด์ ขึ้นนั่งเป็นประธานคณะกรรมการแทน รวมทั้งยังมีการแต่งตั้ง มร.Tong Yuk Lun Paul เข้าเป็นอีกหนึ่งในคณะกรรมการที่มีอำนาจแท้จริงในการลงนามกระทำการแทนบริษัทร่วมกับนายคีรี กาญจนพาสน์ และ มร.Kim Chan

ก่อนหน้านั้น คณะกรรมการคนไทย อันประกอบด้วย ดร.พนัส สิมะเสถียร ซึ่งเป็นกรรมการอิสระและเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร รวมทั้ง นายศิววงศ์ จังคศิริ กรรมการอิสระ นายประกิต ประทีปะเสน กรรมการอิสระ ถูกกดดันให้ลาออกยกชุด นายเกษม จาติกวณิช ระบุว่า ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อการปล่อยให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการสาธารณูปโภคเช่นนี้ รวมทั้งกฎหมายไทยก็ไม่อนุญาต เนื่องจากกิจการรถไฟฟ้าบีทีเอส ถือว่า เป็นกิจการสาธารณูปโภคที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างแท้จริง "รถไฟฟ้าบีทีเอสไม่เหมือนธนายง ที่กลุ่มนี้เข้าไปยึดเป็นเจ้าของเอาไว้แล้ว ไม่เหมือนกับทีพีไอ เพราะว่า บีทีเอส เป็นเจ้าของสัมปทานกิจการสาธารณูปโภคของรัฐ มิหนำซ้ำ ยังเป็นกิจการที่ผูกขาด เนื่องจาก SKY TRAIN สายนี้ มันมีคู่แข่งไม่ได้ เมื่อ กทม.จะขยายเส้นทาง ก็ต้องพึ่ง บีทีเอส เพราะว่า เขาเป็นเจ้าของระบบอยู่แล้ว คนอื่นมาแข่งไม่ได้ และยิ่งหากกทม.อ่อนข้อ บีทีเอส ยิ่งจะสามารถใช้กทม.หากินต่อได้ และกทม.ก็จะถูกบีบ เพราะมีอยู่เส้นเดียวบริษัทเดียว ตรงนี้ถือว่า อันตรายมากกับความเป็นอยู่ของประชาชนในการใช้บริการ ที่จำเป็นต้องพึ่งบีทีเอส" นายเกษม จาติกวณิช ว่า พร้อมกับกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตัวเองได้ทำหนังสือถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลทางด้านเศรษฐกิจ ว่า ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ โดยเฉพาะโครงการของรัฐที่จะทำเพิ่มเป็น 4 สาย 5 สาย เพราะว่า เมื่อเพิ่มสายในกทม.ในที่สุดก็ต้องเชื่อมต่อผ่านกับระบบตรงนี้ ในที่สุดก็จำเป็นต้องใช้บีทีเอสอีก จะยิ่งทำให้ บีทีเอสอันเป็นบริษัทต่างชาติ สามารถมีอำนาจการต่อรองเหนืออำนาจรัฐ เพราะว่าแค่มีแค่นี้ประชาชนในกทม.ปัจจุบันถึงเกือบ 5 แสนคน จำเป็นต้องพึ่งการบริการ หากเพิ่มขึ้นอีก ก็ยิ่งมีประชาชนที่ต้องใช้เพิ่มขึ้น อำนาจการต่อรองก็จะมากขึ้น รัฐบาลก็จะถูกบีบให้การขนส่งเป็นไปตามนโยบายของธุรกิจของบริษัท บีทีเอส อันจะส่งผลกระทบถึงประชาชน ตามความหมายของอำนาจการผูกขาดสาธารณูปโภค ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในจดหมายที่ทำถึงรองนายกรัฐมนตรีดังกล่าว

นายเกษม จาติกวณิช ยังระบุอีกว่า ตัวเองเห็นด้วยที่รัฐจะดำเนินการทำรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนเป็นอันดับแรก และเห็นด้วยในแนวความคิดที่จะให้เป็นไปตามขีดความสามารถของการเงินและศักยภาพในการก่อสร้างของประเทศ ซึ่งถ้าหากทำด้วยปรัชญานี้ จะก่อให้เกิดโครงการขึ้นโดยเร็ว เพราะมิใช่เจตนาจะทำเพื่อหาเสียงทางการเมืองเป็นหลัก ซึ่งทำให้ไม่สามารถเริ่มต้นได้สักที อย่างไรก็ตาม

ในจดหมายฉบับดังกล่าว นายเกษม จาติกวณิช ได้เสนอรองนายกรัฐมนตรีว่า "ผมเป็นห่วงบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในนามบริษัท บีทีเอส ผู้รับสัมปทานจากรัฐประเภท สาธารณประโยชน์" ซึ่งเป็นสัมปทานที่มีความสำคัญอย่างมากในการให้บริการขนส่งสาธารณะแก่ชุมชน ในกรณีที่รัฐจะลงทุนก่อสร้างเพิ่มเติม จะมีแนวโน้มให้เกิดการตั้งเงื่อนไข และข้อเรียกร้องต่างๆจากผู้ถือหุ้นต่างชาติ ในการต่อเชื่อมระบบและอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอุปสรรคในการขยายเส้นทางในอนาคต ด้วยความเป็นห่วงผมขอให้ท่านทบทวนโครงสร้างของบริษัทนี้ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานเป็นคนไทย และได้ดำเนินการจนกระทั่งได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก แต่จะเป็นที่น่าเสียดายหากต่างชาติ โดยเฉพาะฮ่องกง สิงคโปร์ (เจ้าเก่า) และนอมินี จะมาครอบงำทั้งคณะกรรมการ การดำเนินการ และการเงินของบริษัท" นายเกษม จาติกวณิช ยังเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ เข้าตรวจสอบการใช้นอมินี ถือหุ้นในบริษัท รวมทั้งอำนาจการจัดการ ซึ่งมีกรรมการที่มีอำนาจถึง 2 คนใน 3 คนเป็นผู้ลงนามกระทำการแทนบริษัท เห็นชัดเจนยู่แล้ว หากแปลตามกฎหมายใหม่ว่า บริษัท บีทีเอส เป็นบริษัทต่างด้าวอย่างแน่นอน แต่ในส่วนของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.นั้น นายเกษม จาติกวณิช กล่าวว่า ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้ว่า หลานของตัวเองเป็นรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อยู่ เพราะรู้อยู่ว่า นายอภิรักษ์ คงไม่กล้าทำอะไรกับนายคีรี กาญจนพาสน์ ตัวเองก็ไม่อยากพูดถึง

อย่างไรก็ตาม หากกทม.จะทำเพื่อชาติและประชาชน ตนเองก็อยากเสนอให้ กทม. แก้ไขปัญหาดังนี้คือ

นกรณีที่ศาลล้มละลายกลางตัดสินให้นายคีรีและพวกต่างชาติ เป็นผู้เข้าบริหารตามแผนฟื้นฟู ที่พวกเขาทำกันเองนั้น ในแผนฟื้นฟูดังกล่าว ระบุว่าบริษัทจะต้องหาเงินเพิ่มทุนจำนวน 12,000 ล้านหุ้น ซึ่งหุ้นจำนวนนี้คิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้นถึง 85% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด กทม.หรือรัฐบาล น่าจะฉวยโอกาสตรงนี้ เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนดั่งกล่าวทั้งหมด เหมือนเช่นดังที่ทำกับทีพีไอ ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนเช่นนี้ จะทำให้บริษัท บีทีเอส กลับมาเป็นของคนไทยเช่นเดิม แทนที่จะปล่อยให้ต่างชาติ 2 กลุ่มที่จับมือกับ คีรี กาญจนพาสน์ ในขณะนี้คือ นิวเวิลด์จากฮ่องกงและยูโอบีของสิงคโปร์ ซื้อไป เพราะมิเช่นนั้นสาธารณูปโภคที่ดีที่สุดของคนกรุงเทพจะกลายเป็นอีกกิจการหนึ่งที่ตกอยู่ในมือของนายทุนฮ่องกงและสิงคโปร์

http://www.dbbnews.com/super%20k.html