หัวข้อ: ใครทำให้"สุวรรณภูมิ"เละเพื่อให้"จางงี"แซงหน้า? เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 30-01-2007, 09:05 30 มกราคม 2550 น.
อ่านพาดหัวหน้าหนึ่งของ "ประชาชาติ" ฉบับวันที่ 29-31 มกราคม ที่ผ่านมา คุณจะเข้าใจว่าทำไมท่านรองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน จึงประกาศท้าชกคนที่โกงกินสนามบินสุวรรณภูมิ อย่างมีอารมณ์ เพราะพาดหัวนี้บอกว่า "สิงคโปร์สบช่องสุวรรณภูมิเดี้ยง ชิงเบอร์ 1 เอเซีย..." และเนื้อหาของข่าวบอกว่าวิกฤติของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ประเทศไทยพลาดท่าชิงความเป็น "ฮับการบิน" ของภูมิภาคเอเชียเพราะสิงคโปร์วางกลยุทธ์ลึกล้ำ ดันสนามบินจางงี-คอมเพล็กซ์ กาสิโนดูดเงินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ข่าวชิ้นเดียวกันบอกว่าเวียดนาม ก็ชูนโยบายสร้างสนามบินแห่งใหม่เพื่อจะเทียบฟอร์มกับสิงคโปร์ ซึ่งก็เท่ากับว่าทั้งประเทศเพื่อนบ้านของเราวิ่งแซงหน้าไทยไปแล้ว ความ "น่าเจ็บใจ" ของคนไทยที่ติดตามข่าวคราวเรื่องสนามบิน เทมาเส็ก ชินคอร์ป เงิน 73,000 ล้านบาทที่ตระกูลทักษิณได้จากการขายหุ้นให้เทมาเส็กแล้วไม่เสียภาษีให้คนไทยเลยแม้แต่บาทเดียว...ก็คือว่าเราเคยมีผู้นำที่คุยโม้โอ้อวดหนักหนาว่าจะนำพาประเทศสู่ความเป็นหนึ่งในภูมิภาค แต่พอลับหลังประชาชน เขากลับทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยถูกสิงคโปร์ชิงความเป็นผู้นำเหนือไทยเราอย่างให้อภัยไม่ได้เลย หลายคนคงยังจำได้ว่าทักษิณ ตอนเป็นนายกฯ ทำเป็นขึงขังคึกคักกับการเร่งสร้างสนามบินสุวรรณภูมิให้เสร็จ เพื่อจะเปิดให้ทัน 28 กันยายน ถึงกับสร้างภาพด้วยการไปค้างคืนบริเวณก่อสร้างสนามบินบ้าง อ้างว่าแอบขับรถส่วนตัวไปตรวจสอบการก่อสร้างบ้าง อวดอ้างว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของเอเชียบ้าง... วันนี้เมื่อความจริงปรากฏออกมาแล้วว่า คำประกาศเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำหลอกลวง เป็นการสร้างราคาให้กับตัวเอง ขณะที่เนื้อแท้ของการก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความเหลวแหลก โกงกิน การออกแบบ และรับเหมาก่อสร้างที่ต่ำกว่าคุณภาพ การฉ้อฉลของคนในรัฐบาลเพื่อหาผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติ ทักษิณ และครอบครัวเอาสัมปทานดาวเทียม มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในหุ้นชินคอร์ป ไปขายให้เทมาเส็ก ของสิงคโปร์ เพื่อทำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองโดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียวก็น่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้ว ทักษิณ เป็นผู้นำรัฐบาลที่สร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่คุณภาพต่ำและมีเรื่องอื้อฉาวเป็นที่อับอายไปทั่วโลกก็คือการ "ขายชาติ" อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะวันนี้สิงคโปร์ นอกจากจะเข้ามามีบทบาทครอบงำในเศรษฐกิจไทยเพราะฝีมือของตระกูลทักษิณ แล้ว ความยำยำตำบอนของรัฐบาลก่อนภายใต้การนำของทักษิณ ในเรื่องการโกงกินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็คือการรับใช้สิงคโปร์ เท่ากับเป็นการ "ขายชาติ" ไทยให้สิงคโปร์อีกเปลาะหนึ่งด้วย ไม่มีภาพใดที่ตอกย้ำการ "ขายชาติ" ของผู้นำระดับชาติได้ดีเท่ากับเรื่องการโกงกินกันอย่างย่อยยับที่สนามบินสุวรรณภูมิ มองให้ลึกก็ยิ่งจะเห็นภาพทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนบุคคล และกลุ่มบุคคลที่พยายามเข้ามามีอำนาจทางการเมือง เพื่อจะได้แสวงหาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองด้วยการประเคนทรัพยากรอันมีค่าของประเทศให้กับต่างชาติ สังเกตไหมว่าเขาเคยพูดเสมอว่า "จะมีธุรกิจใหญ่สักกี่กลุ่มในประเทศที่จะมีเงินมากพอที่จะทำอะไรใหญ่ๆ" นั่นสะท้อนถึงความเชื่อลึกๆ ของเขาว่าหากเขาจะกินอย่างเป็นกอบเป็นกำ จะต้องหากลุ่มทุนต่างประเทศที่พร้อมจะ "เล่นเกม" กับเขา คนมีสตางค์มาก และพร้อมที่จะเล่นเกมกับธุรกิจการเมืองที่ไม่ละอายเรื่องโกงกินก็หนีไม่พ้นสิงคโปร์เพราะไม่มีประเทศอื่นใดในอาเซียนที่มีความ "เขี้ยว" เท่าเขาคนนี้อีกแล้ว สำหรับสิงคโปร์ การที่เขาเล่นเกมกับผู้นำไทยที่ "บ้ายอ" และ "หิวเงินก้อนใหญ่" นั้น เขาได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ด้านหนึ่ง เขาเอาเงินเข้ามาซื้อทรัพย์สินที่มีค่าของไทยไม่ว่าจะเป็นโทรคมนาคมหรืออสังหาริมทรัพย์ผ่านผู้มีอำนาจสูงสุดทางการเมือง นอกจากได้ธุรกิจที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทยแล้ว เขาก็ยังได้ผู้นำประเทศที่เขาควบคุมได้อยู่หมัด และที่สำคัญกว่านั้น เขารู้ว่าขาขึ้นเขาได้ทรัพย์สินของไทยและอิทธิพลทางการเมือง ส่วนขาล่องนั้นเขาก็ตัดทอนความสามารถในการแข่งขันของไทยกับสิงคโปร์ในอนาคตอีกด้วย เห็นหรือยังว่านี่คือแผนขายชาติที่น่ากลัวเพียงใด กาแฟดำ http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=153103 หัวข้อ: Re: ใครทำให้"สุวรรณภูมิ"เละเพื่อให้"จางงี"แซงหน้า? เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 30-01-2007, 09:08 วันนี้ผลงาน เลว ๆ ที่สุวรรณภูมิ เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว ........สำนักข่าว เอพี ตีข่าวไปทั่วโลก......จะคอยดูว่าคราวนี้ เหลี่ยมจะจ้างอีกกี่สำนักพิมพ์มาสร้างภาพตัวเอง
หัวข้อ: Re: ใครทำให้"สุวรรณภูมิ"เละเพื่อให้"จางงี"แซงหน้า? เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 30-01-2007, 12:29 (http://www.freephotopost.com/uploads/bbecbe7206.jpg) (http://www.freephotopost.com)
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01soc03270150&day=2007/01/27§ionid=0113 หัวข้อ: เตาอบสุวรรณภูมิ เริ่มหัวข้อโดย: aiwen^mei ที่ 05-02-2007, 10:42 เตาอบสุวรรณภูมิ [5 ก.พ. 50 - 17:05]
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานฝ่ายติดตามการแก้ปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พานักข่าวไปตรวจสอบระบบปรับอากาศเครื่องบินและระบบไฟฟ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ บอกว่าระบบปรับอากาศมีความเย็นต่ำกว่ามาตรฐาน ระบบไฟฟ้าก็ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ เครื่องบินขนาดใหญ่ไม่ไว้วางใจและไม่ยอมใช้บริการ วันนี้ผมก็มีเรื่อง ระบบปรับอากาศภายในอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำมาเล่าสู่กันฟังอีกเรื่องด้วยความเป็นห่วงใยอย่างยิ่ง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดใช้เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว เป็นช่วงหน้าฝนแล้วก็ต่อด้วยหน้าหนาว อากาศยังไม่ร้อนนัก จึงยังไม่มีการทดสอบอุณหภูมิภายในอาคารผู้โดยสารในหน้าร้อน แต่กระนั้นผู้โดยสารก็บ่นกันมากว่าแอร์ไม่เย็น แต่นับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป เมื่อลมหนาวระลอกสุดท้ายพัดผ่านไปแล้ว หน้าร้อนก็จะมาเยือนอย่างเป็นทางการ อุณหภูมิภายในอาคารผู้โดยสารจะเป็นอย่างไร คงได้พิสูจน์กันแน่นอน กลางเดือนที่แล้ว ผมก็ไปใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก แม้จะเป็นช่วงบ่ายคล้อย ผมเดินไปในอาคารทางเดินผู้โดยสาร ผ่านช่วงที่เป็นหลังคากระจก ไอร้อนวิ่งผ่านมากระทบวูบวาบเป็นระลอก ร้อนจนเหงื่อออก แล้วหน้าร้อนในเดือนเมษายนที่จะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ผมไม่แน่ใจว่า ภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะร้อนแค่ไหน เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองเขียนเอง แต่เป็นความเห็นของ สมาคมสถาปนิกสยามที่มีหนังสือไปทักท้วงการออกแบบของ เอ็มเจทีเอ ก่อนที่จะมีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นผล โดยระบุว่า อาคารทางเดินผู้โดยสารมีผนังและหลังคาเป็นผืนเดียวกัน ตามความโค้งของรูปทรงไข่ไก่ ประกอบด้วย กระจก และ ผ้าใยสังเคราะห์เคลือบสารเทฟลอน ซึ่งเป็นวัสดุโปร่งแสง เช่นเดียวกับอาคารหลัก ผู้ออกแบบอ้างว่า ที่นำวัสดุทั้งสองมาใช้ก็เพื่อต้องการแสงธรรมชาติมาลดไฟฟ้าแสงสว่าง และจะมีเทคนิคพิเศษในการปรับอากาศ ทำให้อาคารเหล่านี้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน สมาคมไม่สามารถเชื่อถือการกล่าวอ้างของเอ็มเจทีเอได้ จากแบบขั้นต้นและข้อมูลจากเอ็มเจทีเอ สมาคมฯสรุปความเห็นว่า ผนังและกระจกสลับกับผ้าใยสังเคราะห์ จะก่อให้เกิดปัญหาดังนี้ (ผมจะเอาเฉพาะเรื่องอุณหภูมิภายในอาคารก็แล้วกันนะครับ) อุณหภูมิภายในอาคาร ยากที่จะปรับอากาศให้อาคารรูปทรงไข่ที่มีความยาวรวมกันกว่า 3 กิโลเมตร (3,321 เมตร) ให้มีความเย็นสม่ำเสมอเท่ากันทุกพื้นที่ อาคารที่เปิดรับแสงอย่างโล่งแจ้งในเมืองไทยเช่นนี้ จะต้องวิบัติด้วยพลังงานความร้อน ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายในการต่อสู้กับพลังงานอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เอ็มเจทีเอก็แจ้งกลับสมาคมฯว่า จะเพิ่มผ้าใบเป็น 2 หรือ 3 ชั้น ในระยะห่างกัน 10 ซม. เพื่อบรรจุแผ่นใยกันเสียงเข้าไป แต่สมาคมฯเห็นว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวไร้ตรรกะเป็นอย่างยิ่ง ผ้าใยสังเคราะห์ชนิดเคลือบเทฟลอนเป็นวัสดุที่มีราคาสูง เอ็มเจทีเอประมาณราคาไว้ 6,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ราคาล่าสุดที่มีการใช้ในเมืองไทยตกประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อตารางเมตร ถ้าซ้อน 2-3 ชั้น ราคาจะเพิ่มอีกเท่าไร แล้วสมาคมสถาปนิกสยามก็ฟันธงว่า กระจกและผ้าใบมีปฏิกิริยาต่อแสงต่างกัน แสงแดดโดยตรงที่ผ่านทะลุหลังคาบางส่วนที่เป็นกระจกล้วนๆ ไม่มีอะไรมาบังตามรอยเชื่อมต่อของอาคารลงมาบนพื้นที่ใหญ่โตข้างล่าง จะทำให้บริเวณเหล่านี้เป็นเสมือนขุมนรก จะเป็น ขุมนรก หรือไม่ เดือนเมษายนนี้จะได้พิสูจน์กันครับ. ลม เปลี่ยนทิศ http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=35791 |