ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 01-01-2007, 14:16



หัวข้อ: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 01-01-2007, 14:16
หัวข้อ: ที่ดินเขายายเที่ยง กลับกลายโอละพ่อเป็น สทก.ของกรมป่าไม้ 

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10523

ทำอย่างไรดีกับบ้านบนเขา

โดย โสภิณ ทองปาน



บ้านบนเขากลายเป็นข่าวขึ้นมา เพราะเป็นบ้านบนเขายายเที่ยงถ้าเป็นบนเขาเกาะสมุย และที่ภูเก็ตจะไม่เป็นข่าว ล่าสุดเป็นข่าวเมื่อเจ้าของบ้านคือ นายกรัฐมนตรีให้ข่าวว่า ถ้าเรื่องที่ดินที่ปลูกบ้านผิดจริงพร้อมจะลาออกจากตำแหน่ง (มติชน 28 ธันวาคม 2549)

เป็นข่าวขึ้นมาช่วงปลายเดือนธันวาคม เมื่อคนสนิทของบิ๊กจิ๋วเปิดเผยว่า "เจ้านายสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับภาพโบกี้รถไฟที่บ้านพักส่วนตัวของ พล.อ.สุรยุทธ์ บนเขายายเที่ยง" แล้วทุกคนปฏิเสธว่าไม่ได้พูด ไม่ได้ให้ข่าวนักข่าวเขียนเอง

สุดท้ายโดนคำถามมากเข้าเจ้าของบ้านต้องออกมาให้ข่าวเมื่อเที่ยงวันที่ 25 ธันวาคม 2549 ว่ามีบ้านอยู่จริงปลูกบนเนื้อที่ราว 20 ไร่ ไม่มีสระว่ายน้ำ ไม่มีตู้รถไฟ เป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ มีแต่ไปเสียภาษีบำรุงที่ดิน (ภบท.5) โดยซื้อมาจากชาวบ้านชื่อเบ้า ปัจจุบันบวชเป็นพระ (มหาชน 29 ธันวาคม 2549)

ปัญหา ภบท.5 คนทั่วไปอาจจะสับสน บางทีแกล้งทำเป็นสับสนเอกสารนี้มิใช่เอกสารสิทธิแต่เป็นหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องถิ่น ซึ่งมีอัตราภาษีตั้งแต่ไร่ละ 5 บาท ถึงสูงสุด 100 บาท ต่างกันไปตามท้องที่ ไม่มีใครไปเสียทุกปี ห้าปีสิบปีไปเสียทีแต่ต้องเสียค่าปรับ ก็ไม่มาก ที่ดินแปลงนี้ในพื้นที่นี้คาดว่าจะไม่เกินไร่ละ 5 บาท ยี่สิบไร่ค่าภาษีปีละ 100 บาท

ที่ดินแถวรังสิตคลองห้าคลองหกอัตราภาษีไร่ละ 50 บาทเท่านั้นเอง ใครก็ไปเสียได้แม้ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียงแต่ไปแจ้งว่าที่ดินอยู่ตรงไหน

ประเด็นต่อมาที่ชมรมคนวันเสาร์ถามคือ ที่ดินที่ปลูกบ้านเจ้าของไปบุกรุกที่ป่าสงวนหรือไม่ ก็คิดว่าคงจะไม่ แต่อาจจะให้ชาวบ้านไปบุกรุกแบบที่ผู้มีอิทธิพลทำกันทั่วไป ความกระจ่างเกิดขึ้นเมื่อลูกเขยพระเบ้า บอกว่าคุณพ่อขายให้กับนายทหารในราคาหกแสนบาท (มติชน 28 ธ.ค.2549) ก็ไร่ละสี่หมื่นกว่าบาท เป็นที่ดินที่กรมป่าไม้จัดแบ่งให้แก่เกษตรกร ราว 100 กว่าครอบครัว ครอบครัวละ 16 ไร่ จึงตัดประเด็นบุกรุกป่าสงวนออกไป  

ปัญหาคือเกษตรกรผู้ที่ได้รับที่ดินทำกินจากกรมป่าไม้ครอบครัวละประมาณ 14 ไร่ มาจากการจัดที่ดินทำกินของกรมป่าไม้ เพื่อแก้ปัญหาการทำกินในพื้นที่ป่าสงวน ระยะหลังมีจัดน้อยมาก ขณะนี้กำลังจัดอยู่ในพื้นที่ตำบลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด รวมทั้งจัดรอบๆ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาใน เพื่อรองรับการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ฯ โดยจัดให้ครอบครัวละ 14 ไร่ เรียกว่า โครงการจัดที่ดินทำกินของกรมป่าไม้ เอกสารที่มอบให้เรียกว่าหนังสือแสดงสิทธิทำกิน (ส.ท.ก)

ลุงเบ้าหรือภิกษุเบ้าในปัจจุบันก็คงจะมีเอกสารนี้ แต่ที่ดินที่ได้รับซื้อขายไม่ได้เว้นแต่ให้ทายาททำกินแทน หรือตกทอดโดยมรดก แต่โดยทั่วไปก็ซื้อขายกัน ร้อยครอบครัวที่ได้รับ ส.ท.ก พร้อมลุงเบ้าก็คงขายกันไปเยอะแล้ว

ถ้าขายคราวเดียวที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ซื้อก็ราคาไร่ละ 4-5 หมื่นบาท ไม่มีการจดทะเบียนการซื้อขาย คนซื้อไปก็ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ แต่ดูจากภาพแล้วก็เป็นชุมชนพอควรมีถนนพอจะใช้ได้ ปัจจุบันอยู่ในหมู่ที่ 6 ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว

การซื้อขายที่ดินลักษณะนี้มีกันทั่วไป โดยเฉพาะในเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งได้รับหนังสือแสดงสิทธิทำกินแล้วคือ ส.ป.ก.4-01 และที่ยังไม่ได้รับ (ที่ดินประเภทนี้สร้างปัญหาให้ ส.ป.ก. มาก จะแจกเอกสาร 4-01 ก็ไม่มีคนมารับเพราะขายไปแล้ว) มีอยู่ทุกเขตพื้นที่ปฏิรูปรวมทั้งในเขตอำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งเป็นข่าวฮือฮาเมื่อสิบปีก่อน เพราะพบว่าคนใหญ่โตในบ้านเมืองมีที่ดินและคฤหาสน์หลังงาม

ที่จริงเป็นความน่ารักของสังคมไทย คนที่จ่ายเงินไปเป็นล้านแต่ไม่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์ก็ยินดี แถมน่ารักยังให้คนขายอาศัยทำกินและเฝ้าที่ดินให้ด้วยเวลาไปถามผู้ที่อยู่อาศัยก็ตอบซื่อๆ ว่า "ไม่ใช่ที่ดินของผม ผมขายไปแล้ว แต่คนซื้อยังให้ผมอาศัยอยู่" อย่างนี้ก็มี

ปัญหาของบ้านบนเขายายเที่ยงจะหาทางออกอย่างไร ทีแรกที่ผู้เขียนคิดไว้ คือ ถ้าเป็นที่ป่าสงวนก็ให้เจ้าของบ้านขอใช้ประโยชน์ที่ดินจากกรมป่าไม้โดยจ่ายค่าเช่าเป็นไร่ต่อปี ดูเหมือนจะไม่เกินไร่ละ 30 บาท มีคนที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง โดยเสียค่าเช่า และอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกมากเกือบล้านไร่ตั้งแต่ที่ทำกินและทำรีสอร์ทในจังหวัดภาคเหนือ อำเภอมวกเหล็กปากช่องก็มีกันทั้งนั้น ขออนุญาตให้ถูกต้องจะแจ้งว่าเพื่อปลูกสวนป่าก็น่าจะได้ ทำย้อนหลังก็น่าจะรับได้ เพราะเป็นการหลงลืมโดยสุจริต

ทีดินบนเขายายเที่ยงก็หมดปัญหาไปเพราะมิใช่เป็นที่ป่าสงวน แต่เป็นที่ดินอนุญาตภายใต้โครงการ ส.ท.ก. เจ้าของขายไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของเจ้าของเดิม ซึ่งต้องให้ทายาทของพระภิกษุเบ้าเป็นคนจัดการ แต่เจ้าของบ้านคนปัจจุบันไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ แต่ไม่เป็นไร เพราะท่านมีบ้านเพื่อหาความวิเวก เพื่อชมวิวลำตะคองและอำเภอปากช่อง

โล่งใจแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าจะรื้อระบบ ส.ท.ก.ก็เป็นเรื่องใหญ่อาจจะถึงขั้นย้ายกรมป่าไม้อีกก็ได้ เพราะโครงการนี้มีอยู่ทุกจังหวัดรวมทั้งที่ผู้เขียน (พอจะจำได้) มีที่เขาไม้แก้ว จังหวัดชลบุรี ผู้ที่ครอบครองก็เป็นนายทหารระดับบิ๊กเหมือนกัน แถมมีตู้รถไฟเสียด้วยจะบอกให้


คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม ที่พยายามชี้ให้เห็นว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ประพฤติชั่ว ไร้คุณธรรม และจริยธรรม มากกว่า"นายผู้ชาย" และครอบครัว  จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ผมไม่หวังว่าคนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียมจำกัด จะเข้าใจนะ
เพราะพวกนี้ถูก"ล้างสมอง" กำลัง"ประสาทแดก".....

ที่กลายเป็น "ผู้สูญเสียผลประโยชน์" กระทันหัน.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า








หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: จูล่ง_j ที่ 01-01-2007, 14:22
เป็นผู้เสียผลประโยชน์ไม่เท่าไรครับ

แต่กำลังจะเป็นผู้สนับสนุนมือระเบิดด้วยนี่สิ :slime_mad:


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: นู๋เจ๋ง ที่ 01-01-2007, 14:50
คำว่าเลว ไม่พอแล้ว..สำหรับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลขณะนี้

ต้องมีคำว่า สาระ นำหน้าด้วย



หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: justy ที่ 01-01-2007, 16:30
นายมันเลวไม่พอ ลูกน้องมันยิ่งแล้วใหญ่ ชั่ว!! ขอประณามกลุ่มคนพวกนี้

ต่อไปมันจะเอาอะไรมาเล่น อย่าเล่นวันเด็กนะโว๊ย จับไปประหารให้แล้วรู้รอดไปเลย

จับท่อไปประหารคนแรก


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: buntoshi ที่ 01-01-2007, 17:30
คนไทย ที่ทำร้าย คนไทยด้วยกัน สมควรจะเรียกอะไรครับ

ส่วนภาษาไทย ตั้งแต่เกิดมา พวก คลั่งเหลี่ยมเข้าใจมาตลอดหล่ะครับ ก็มาไม่รู้เรื่องก็ตอนเหลี่ยม เป็นนายกนั่นแหล่ะ เริ่มไม่เข้าใจภาษาไทย


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ
เริ่มหัวข้อโดย: (ก้อนหิน) ละเมอ ที่ 01-01-2007, 18:10
ปกติ เวลามีข่าวเกี่ยวกับนายกทีไร
wnc หรือราชดำเนิน มักจะเอาไปถกเสมอ
แต่พอไปดูในทั้งสองที่ล่าสุด

เงียบ.....

ไม่มีการยกมาถกแต่อย่างใด
รู้ แต่แกล้งโง่ หรือว่าโง่จริงๆ  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 01-01-2007, 21:22
ถ้าย้อนเวลาไปถึงยุคสมัยสามก๊กได้
อยากรู้ว่าคนจีนสาปแช่ง ตั๊งโต๊ะมากกว่าหรือน้อยกว่า "เผด็จการจากการเลือกตั้ง"คนนี้........





หัวข้อ: หลงลืมโดยสุจริต?
เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 02-01-2007, 09:06
หัวข้อ: ที่ดินเขายายเที่ยง กลับกลายโอละพ่อเป็น สทก.ของกรมป่าไม้ 

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10523

ทำอย่างไรดีกับบ้านบนเขา

โดย โสภิณ ทองปาน

...

ปัญหาของบ้านบนเขายายเที่ยงจะหาทางออกอย่างไร ทีแรกที่ผู้เขียนคิดไว้ คือ ถ้า
เป็นที่ป่าสงวนก็ให้เจ้าของบ้านขอใช้ประโยชน์ที่ดินจากกรมป่าไม้โดยจ่ายค่าเช่าเป็น
ไร่ต่อปี ดูเหมือนจะไม่เกินไร่ละ 30 บาท มีคนที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง โดยเสียค่าเช่า
และอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกมากเกือบล้านไร่ตั้งแต่ที่ทำกินและทำรีสอร์ทใน
จังหวัดภาคเหนือ อำเภอมวกเหล็กปากช่องก็มีกันทั้งนั้น ขออนุญาตให้ถูกต้อง จะแจ้ง
ว่าเพื่อปลูกสวนป่าก็น่าจะได้ ทำย้อนหลังก็น่าจะรับได้ เพราะเป็นการ
หลงลืมโดยสุจริต

...

คล้ายๆ บกพร่องโดยสุจริต  ไหมเนี่ย?


หัวข้อ: การถือครองป่าเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เริ่มหัวข้อโดย: snowflake ที่ 02-01-2007, 09:43
การถือครองป่าเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

โดย ปรีชา สุวรรณทัต

1. ข้อเท็จจริงมีว่า ประมาณปี พ.ศ.2536-2537 นายเบ้า สินนอก ได้ขายที่ดินให้แก่
    นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ จำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกมีเนื้อที่ 14 ไร่ และแปลง
    ที่ 2 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ติดต่อกันโดยขายให้ในราคา 600,000 บาท
    ปี 2540 เปลี่ยนผู้ถือครองที่ดินเป็น พล.ต.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์
    ต่อมาปี พ.ศ. 2545 เปลี่ยนผู้ถือครองเป็น พ.อ.หญิงจิตราวดี จุลานนท์ และได้ยื่น
    เสียภาษีบำรุงท้องที่ ภทบ.5 ตลอดมา

ที่ดินดังกล่าวอยู่ในท้องที่หมู่ 6 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา กรมป่าไม้ประกาศ
เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อ พ.ศ.2507 ในปีที่ประกาศใช้
พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 โดยครอบคลุมพื้นที่ป่าเขาเตียง เขาเขื่อนลั่น
และเขายายเที่ยง และต่อมาในปี พ.ศ.2535 กรมป่าไม้ได้ทำการจำแนกประเภทของ
ป่าเพื่อจัดที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร กรมป่าไม้ได้จำแนกพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เป็นพื้นที่
ป่าโซน C (โซนอนุรักษ์) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สงวนใช้เป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่อนุญาตให้นำพื้นที่
ป่าไม้ดังกล่าวไปจัดเป็นพื้นที่ทำกินแก่ราษฎร

2. เมื่อมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ผู้เขียนจะต้องคิดถึงทฤษฎี
    ของการแยกประเภทความผิดอาญาเพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยและเข้าใจปัญหา
    ตามสภาพและพฤติการณ์ของการกระทำและผู้กระทำความผิดเสียก่อน
    ในกรณีนี้ได้แก่การแบ่งแยกประเภทความผิด ความแตกต่างในแง่ของกฎหมายตาม
    ภาษาละติน ออกเป็น 2 อย่าง คือ
    mala in se. delits naturels คือ "ความผิดในตัวเอง" และ
    mala prohibita, delits artificiels ou de temp et de lieu คือความผิดที่มี
    กฎหมายห้ามตามพฤติการณ์ และกาลเทศะ

mala คือความผิด
ส่วน in se ก็ตรงกับคำว่า อินทรีย อินทรีย์ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน
พ.ศ. 2542 ได้ให้คำอธิบายว่า ร่างกายและจิตใจ เช่น สำรวมอินทรีย์ สติปัญญา
ความรู้สึก อินทรียสังวร
สำรวมอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง
ดมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ
ความผิดที่เป็น mala in se จึงเป็นความผิดที่กระทำโดยเจตนา หรือมีเจตนาทุจริต
ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำ มีอายตนะคือมีเครื่องรู้ และสิ่งที่รู้ว่าการกระทำ
นั้นเป็นความผิด หรือมีเถยจิตเป็นโจร

ส่วนความผิดที่เป็น mala prohibita หมายถึง ความผิดนั้น ไม่ใช่ความผิดอาญาใน
ตัวเอง แต่เป็นความผิดเพราะกฎหมายห้าม ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบว่า การกระทำ
เช่นนั้นเป็นความผิด เช่น คนต่างด้าวที่เพิ่งเข้ามาในราชอาณาจักร หรือคนที่อยู่ห่าง
ไกล ไม่ทราบถึงกฎหมายที่ประกาศใช้ใหม่
เมื่อมีสภาพและพฤติการณ์ ทั้ง 2 ประการ แสดงว่าผู้กระทำความผิดอาจไม่รู้กฎหมาย
จริงๆ เพราะเป็นกฎหมายพิเศษ ที่บัญญัติความผิดขึ้นเฉพาะท้องถิ่น เฉพาะชั่วคราว
จึงไม่ใช่ความผิดในตัวเอง ดังเช่น ความผิดที่เป็น mala in se ที่ได้อธิบายมาแล้ว
ข้างต้น

แต่ทั้งความผิดที่เป็น mala prohibita และ mala in se ก็ล้วนเป็นการกระทำที่เป็น
ความผิดเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันตรงที่ถ้าเป็น mala prohibita แล้ว ศาลอาจยอม
ให้พิสูจน์ว่าผู้กระทำความผิดอาจไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และศาล
อาจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายระบุไว้ในกฎหมายเท่าใดก็ได้ จะไม่ลดโทษให้ก็ได้
แต่ข้อสำคัญจะไม่ลงโทษเลยไม่ได้ เพราะยังเป็นความผิดอาญาอยู่  เพียงแต่ไม่มี
"เถยจิตเป็นโจร" เหมือน mala in se

กรณีของท่าน พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ในขณะนี้ ก็ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและ
ประกอบตามคำให้สัมภาษณ์ของท่านที่มีอยู่ 2 ตอนที่สำคัญดังนี้

"เรื่องนี้ผมยินดีที่จะให้ตรวจสอบ และอย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่า ถ้ามีปัญหาก็ไม่มีอะไร
มากมาย เราก็พร้อมที่จะคืน เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากมาย ถ้าผิดผมก็ยินดีที่
จะไม่ใช้พื้นที่ ผมเรียนตรงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าจะให้ผิดถึงกับว่าเป็นความผิดทาง
ด้านการเมืองผมก็ยินดี เพราะผมไม่ได้มีอะไรยึดติดอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าผมสมควรที่จะออก
ผมก็พร้อม ไม่มีอะไรขัดข้องเลย"

และอีกตอนหนึ่งที่สำคัญว่า
"มันก็เป็นพื้นที่อย่างนี้อยู่แล้ว เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ "ก้ำกึ่ง"  แต่ก็ได้ดำเนินการ
อย่างถูกต้องตามขั้นตอน คือได้จ่ายเงินให้กับชาวบ้านเพื่อไปขอใช้พื้นที่ เพราะเรา
ไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ ผู้ถือสิทธิที่ดินดังกล่าวก็ยังมีอยู่ และผมก็เข้าไปทำประโยชน์
อย่างต่อเนื่อง คือเข้าไปปลูกต้นไม้ ปรับปรุงพื้นที่ ซึ่งแต่เดิมไม่ได้ทำอะไร เป็นเพียง
ทุ่งหญ้าคา ก็ได้เข้าไปทำเกษตรกรรมจนมีสภาพอย่างที่สื่อมวลชนได้เห็นในปัจจุบัน
ว่า มีทั้งต้นไม้ และผลไม้ต่างๆ"

3. การไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติเป็นความผิด จึงต่างกับการไม่รู้ข้อเท็จจริง ถ้าไม่รู้ข้อ
    เท็จจริงแล้ว สามารถแก้ตัวได้ เพราะเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์
    ประกอบของความผิด กฎหมายถือว่าไม่มีเจตนา จึงไม่เป็นความผิดอาญา ไม่ว่า
    จะเป็น mala prohibita หรือ mala in se
    การไม่รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด (ตามประมวลกฎหมายอาญา
    มาตรา 59 วรรค 3) ที่ถือว่าผู้กระทำไม่มีเจตนาจึงไม่เป็นความผิดอาญาดังคำ
    พิพากษาศาลฎีกาที่เป็นบรรทัดฐานดังนี้

ฎีกาที่ 1266/2515 ไม่รู้ว่าที่ดินที่ใดเป็นป่าสงวนไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507

ฎีกาที่ 2907 ถึง 2928/2517 เข้าใจว่าที่ดินที่จำเลย ไถ ทำนาเป็นที่ดินที่จำเลยมี
สิทธิครอบครอง ไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 360

ฎีกาที่ 320/2515 ประกาศ กฎกระทรวง คำสั่ง ระเบียบ หรือข้อบังคับต่างๆ ที่ออก
โดยฝ่ายบริหาร ไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย การไม่รู้บทบัญญัติเหล่านี้ ต้องถือว่าเป็นการ
ไม่รู้ข้อเท็จจริง เท่ากับไม่มีเจตนา (ฎีกาที่ 660/2492 และที่ 1347/2505) แต่ความ
เข้าใจผิด ที่อ้างว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ จะต้องมีเหตุผลอันสมควรด้วย (resonable)

แต่คำรับของท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ "ก้ำกึ่ง"
คำพูดนี้จึงเป็นการปิดปากไม่ให้ท่านเถียงและแก้ตัวว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวน
ตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อ พ.ศ.2507

รีบปลงอาบัติเสียเถอะครับ  

มติชน วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10524

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0140020150&day=2007/01/02

คุณ ปุถุชน คงไม่บอกว่า
อ.ปรีชา กลายเป็นพวก “รักทักษิณ” ไปแล้ว หรอกนะคะ

ผิดคือผิด เหตุใดต้องบิดเบือนให้ถูก ตามอำเภอใจ?
แล้วจะต่างอะไรกับที่ว่าผู้อื่นใช้ "กติกู"?


 :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 02-01-2007, 09:53
หากที่ดินนั้น พิสูจน์ได้ว่าเป็นป่าสงวน ผู้ครอบครอง ต้องรับผิดชอบ  สำหรับกรณีที่ดินแปลงที่เป็นปัญหานี้

อ้างถึง
1. ข้อเท็จจริงมีว่า ประมาณปี พ.ศ.2536-2537 นายเบ้า สินนอก ได้ขายที่ดินให้แก่
    นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ จำนวน 2 แปลง โดยแปลงแรกมีเนื้อที่ 14 ไร่ และแปลง
    ที่ 2 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ติดต่อกันโดยขายให้ในราคา 600,000 บาท
    ปี 2540 เปลี่ยนผู้ถือครองที่ดินเป็น พล.ต.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์
    ต่อมาปี พ.ศ. 2545 เปลี่ยนผู้ถือครองเป็น พ.อ.หญิงจิตราวดี จุลานนท์  และได้ยื่น
    เสียภาษีบำรุงท้องที่ ภทบ.5 ตลอดมา

จากข้อมูลที่ยกมาจะเห็นได้ว่า ไม่มีชื่อของท่านนายกรัฐมนตรี สุรยุทธ เข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่หากจะยกข้อกฎหมายที่ว่า คู่สมรสต้องรับผิดชอบร่วมกัน

ก็ควรไล่ดูกรณี ซุกหุ้นของเมียอดีตนายก ซื้อที่ดินถนนรัชดา เลี่ยงภาษีโอนหุ้นให้พี่ชาย  และอีกสารพัดกรณีด้วย

จะใช้มาตรฐานอย่างไร ก็ใช้เสียอันหนึ่งค่ะ

ยุคนี้หมดตัวสองมาตรฐานไปแล้ว

หากท่านนายกสุรยุทธผิด ก็เชิญท่านออกไป  หาคนใหม่มาแทน

ยังไงก็ไม่ใช่ไอ้เหลี่ยม  รับได้ทั้นั้นค่ะ   :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: ใบไม้ทะเล ที่ 02-01-2007, 10:11
สองมาตราฐาน อิอิ  :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: สวัสดีปีใหม่ค่ะ เสรีไทยและเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่าน
เริ่มหัวข้อโดย: อังศนา ที่ 02-01-2007, 12:19
ขอตอบกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของปีใหม่ ด้วยความชื่นชมนายกคนปัจจุบ้น  :slime_v:

อ้างถึง
"เรื่องนี้ผมยินดีที่จะให้ตรวจสอบ และอย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่า ถ้ามีปัญหาก็ไม่มีอะไร
มากมาย เราก็พร้อมที่จะคืน เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากมาย ถ้าผิดผมก็ยินดีที่
จะไม่ใช้พื้นที่ ผมเรียนตรงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าจะให้ผิดถึงกับว่าเป็นความผิดทาง
ด้านการเมืองผมก็ยินดี เพราะผมไม่ได้มีอะไรยึดติดอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าผมสมควรที่จะออก
ผมก็พร้อม ไม่มีอะไรขัดข้องเลย"

..ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้อความที่ยกมาข้างบนนี้
เพราะชี้ให้เห็นถึงความเป็นพลเอกสุรยุทธ์อย่างเด่นชัด ไม่ต้องมี
อรรถาธิบายใดๆ เพิ่มเติม.. เหตุการณ์มีมาอย่างไร ก็จงเป็นไปตามนั้น!

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทุกๆ ท่าน   :slime_smile:

(http://i30.photobucket.com/albums/c329/Seaspica/pink_flowers.gif)


หัวข้อ: Re: การถือครองป่าเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 02-01-2007, 15:00
การถือครองป่าเขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

โดย ปรีชา สุวรรณทัต

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0140020150&day=2007/01/02

........................................................................................

คุณ ปุถุชน คงไม่บอกว่า
อ.ปรีชา กลายเป็นพวก “รักทักษิณ” ไปแล้ว หรอกนะคะ

ผิดคือผิด เหตุใดต้องบิดเบือนให้ถูก ตามอำเภอใจ?
แล้วจะต่างอะไรกับที่ว่าผู้อื่นใช้ "กติกู"?


 :slime_doubt:


เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ของเว็บบอร์ด จึงย่นย่อ คคห.
คุณ snowflake เท่านี้ มิใช่เจตนาปกปิดข้อเท็จจริงอย่างไร.............


คุณ ปุถุชน คงไม่บอกว่า
อ.ปรีชา กลายเป็นพวก “รักทักษิณ” ไปแล้ว หรอกนะคะ
อ.ปรีชา สุวรรณฑัต เป็นนักกฏหมายที่สมควรนับถือคนหนึ่ง
แม้เป็นนักกฏหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคย"ตีความ" หรือ "นิติกรบริการ"
ให้พรรคประชาธิปัตย์อย่างไร....

ดังนั้น อ.ปรีชา สุวรรณฑัต เป็น "ขาประจำ" ของทักษิณ เผด็จการจากการเลือกตั้งได้
แต่เป็น "คนรักทักษิณ" ไม่ได้อย่างแน่นอน......

ความเห็นของ อ.ปรีชา สุวรรณฑัต นี้ อาจจะทำให้ คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม
และ ลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียมจำกัด ดีใจ รีบยึดถือ อ้างอิงไว้ "เล่นงาน"
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ได้

แต่คุณ snowflake ไม่ควรจะเป็นอย่างคนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม
และลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียมจำกัด ควรจะพิจารณา ความคิดเห็นของผู้ปฎิบัติหน้าที่
ผู้รู้กฏหมายอื่น ๆ ด้วย ที่ได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว ด้วยครับ
ผมคงไม่ต้องชี้แนะ หรือ แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม..........

ผมไม่ได้ปกป้อง นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
หรือ ประธาน คมช. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างงมงาย....

ผมประเมินและยอมรับการรัฐประหารครั้งนี้กับการครองอำนาจต่อไปของทักษิณ
เผด็จการจากการเลือกตั้งแล้ว ผมจำเป็นต้อง "ยอมรับ" ไม่ต่อต้านจนกว่าจะครบปีที่ทั้งสองท่านให้สัญญา
หรือ สองท่าน"เปี๋ยนไป๋".... ครับ


ปล. ผมไม่เคยรู้สึกว่า ทักษิณ "เปี๋ยนไป๋" ครับ




หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 02-01-2007, 15:15
เวลานี้มีคน"ปลุกปล้ำข่าว" จะให้คุณชวน หลีกภัย กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ใหม่
แทนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อให้ข่าวการยุบพรรคประชาธิปัตย์ของคณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่
สมจริง จากพวกหมาหางด้วน....

ถ้าข่าวนี้ ได้รับการตอบสนองจาก"คอการเมือง" ข่าวที่ตามอาจจะพลิกฟื้น หยิบกรณีคุณชวน หลีกภัย
ไม่ได้แจ้งว่าถือหุ้นใน"สหกรณ์ฯธรรมศาสตร์(?)" มีคุณค่า 2-300 บาท(?) ขึ้นมาอีกว่าผิกกฏหมายนักการเมืองต้องแจ้งทรัพย์สินให้ครบถ้วน  แม้ว่าคดีนี้ จะมีการวินิจฉัยว่าไม่มีผล ไม่มีเจตนาปิดบังก็ตาม....

 คุณ snowflake คงไม่หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นอีก ....

 แต่คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และ ลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียมจำกัด ระดับปลายแถว ที่มีมิจฉาทิฐิ อาจจะจุดประเด็นใหม่ เพราะไม่มีเรื่องอื่น ๆ แล้ว จะไปดึง รั้ง ขากางเกงคุณชวน หลีกภัยได้....






หัวข้อ: Re: คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม จะเข้าใจภาษาไทยในกระทู้นี้หรือไม่.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่ 02-01-2007, 15:36
เข้ามาเป็นขุนพยักเพยิดเห็นด้วยกับลุงปุฯค่ะ

เจอบทความดีๆ น่าจะเข้ากับพวกหวอรูม เลยเอามาฝากกัน



เบื่อพวกโง่และขยัน
 
เล่ากันว่ากองทัพอินทรีเหล็กของเยอรมนียุครุ่งเรืองนั้น มีหลักเกณฑ์ในการจัดสรรกำลังพลที่ไม่เหมือนใคร น่าสนใจ เขาจัดแบ่งทหารของเขาเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

 กลุ่มที่หนึ่ง เป็นพวกฉลาดและขยัน เขาจะจัดให้ทำหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ คือ เป็นคนช่วยคิดช่วยอ่านและช่วยวางแผน รวมทั้งร่างยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยคนฉลาดและขยัน

 กลุ่มที่สอง เป็นพวกฉลาดแต่ขี้เกียจ พวกนี้เขาจัดวางอยู่ในสายบังคับบัญชาหน่วยที่เรียกว่าฝ่าย "ไลน์" เป็น ผบ.หมวด ผบ.กองร้อย ผบ.กองพัน จนกระทั่งถึงขั้นแม่ทัพ ทั้งนี้เพราะเขาเห็นว่าคนกลุ่มนี้ฉลาดแต่ขี้เกียจธรรมชาติจึงจัดทดแทนกัน โดยสร้างให้คนกลุ่มนี้เก่งในทางบังคับบัญชาสั่งงานและตัดสินใจ คนพวกนี้ขี้เกียจจึงมีความสามารถจากธรรมชาติ ให้เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง แต่รู้จักมอบหมายใช้สอยคนอื่นทำ

 กลุ่มที่สาม เป็นพวกโง่และขี้เกียจ พวกนี้เขาวางตัวไว้เป็นทหารเร็ว คอยรับคำสั่ง คิดไม่เป็นและขี้เกียจ ต้องให้คนคอยจี้ใช้ให้ทำงานตามสั่ง จึงเหมาะที่จะเป็นลูกแถว โดยเฉพาะคนกลุ่มนี้ธรรมชาติสร้างให้เป็นคนหัวอ่อนตามกฎแห่งการดำรงอยู่ของธรรมชาติ

 กลุ่มที่สี่ เป็นพวกโง่และขยัน คนพวกนี้เขาจะคัดออกจากกองทัพ ไม่ให้ทำหน้าที่อะไรทั้งสิ้น เพราะด้วยความโง่แต่ขยัน อาจจะขยันทำผิดให้ผู้อื่นต้องตามแก้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เล่ากันต่อไปว่าในยุคของ จอมเผด็จการฮิตเลอร์ นั้นนอกจากท่านผู้นำจะไม่ใช้คนพวกนี้แล้ว ยังสั่งให้เอาไปฆ่าเสียอีก (จริงเท็จอย่างไรก็ไม่ทราบ)

 ส่วนเมืองไทยนั้นได้รู้ฤทธิ์พิษสงของ พวกขยันและฉลาดแต่โกงเก่ง มาแล้วว่าทำความเจ็บแสบให้มากน้อยแค่ไหน อันตรายจากพวกโง่และขยันมีไม่น้อยกว่ากัน

 อันว่าความโง่นั้นอาจจะเกิดขึ้นมาแต่กำเนิด เป็นบุคคลที่มีไอคิว อีคิวต่ำ และมีการศึกษาอบรมน้อย แต่อีกพวกหนึ่งนั้นเกิดมาก็ไม่ได้โง่ เรียนหนังสือก็สูง จบปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ขาดปัญญาความคิดอ่าน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคนโง่ประเภทหนึ่งเหมือนกัน

 คนโง่ประเภทหลังนี้มีอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง เพราะด้วยค่านิยมของสังคมในโลกกำลังพัฒนาปัจจุบัน ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยเรานั้นพวก "โง่เทียม" เหล่านี้ มักมีตำแหน่งในองค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐสูงพอที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับสังคมรอบข้างได้

 ลองหันไปมองเหตุการณ์รอบตัวเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะเห็นว่าความยุ่งยากต่างๆ เกิดจากพวกโง่และขยันทั้งสิ้น โดยผมไม่ต้องยกตัวอย่างให้กระเทือนซางใครๆ

 ใครที่รู้ตัวว่าโง่ ถ้าแก้ไม่ได้ช่วยให้ของขวัญปีใหม่แก่สังคม ด้วยการขยันให้น้อยลงก็จะดีไม่น้อย
 


http://www.komchadluek.net/2006/12/column/m016_78324.php?news_id=78324